Professional Documents
Culture Documents
ภาวะผู้นำและแนวคิดทฤษฎีผู้นำ
ภาวะผู้นำและแนวคิดทฤษฎีผู้นำ
ความหมายของผู้นำา
เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ผูน้ ำา (Leader) เป็นปัจจัยทีส่ ำาคัญยิ่งประการหนึ่งต่อความสำาเร็จของ
องค์การทั้งนี้ เพราะผูน้ ำามีภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบโดยตรงที่จะต้องวางแผนสั่งการดูแลและ
ควบคุมให้บุคลากรขององค์การปฏิบัติงานต่างๆให้ประสบความสำาเร็จตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์
ที่ตั้งไว้ปัญหาที่เป็นที่สนใจของนักวิชาการและบุคคลทั่วไปอยู่ตรงที่ว่า ผู้นำาทำาอย่างไรหรือมีวิธีการนำา
อย่างไรจึงทำาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตามเกิดความผูกพันกับงานแล้วทุ่มเทความสามารถ และ
พยายามที่จะทำาให้งานสำาเร็จด้วยความเต็มใจ ในขณะที่ผู้นำาบางคนนำาอย่างไรนอกจากผู้ใต้บังคับ
บัญชาจะไม่เต็มใจในการปฏิบัติงานให้สำาเร็จอย่างมประสิทธิภาพแล้ว ยังเกลียดชังและพร้อมที่จะร่วม
กันขับไล่ผู้นำาให้ไปจากองค์การ
เพื่อให้เข้าใจภาวะผู้นำา (Leadership) และผู้นำา (Leader) ดีขึ้น จึงเสนอความหมายของผู้นำา
(Leader) ไว้ดังนี้
ผู้นำา คือ บุคคลที่มีความ สามารถในการใช้อิทธิพลให้คนอื่นทำางานในระดับต่าง ๆ ทีต่ ้องการให้
บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ (McFarland, 1979:214: 215)
ผู้นำา คือ ผู้ที่สามารถในการชักจูงให้คนอื่นทำางานให้สำาเร็จตามต้องการ (Hues, 1978:227)
ผู้นำา คือ บุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในกลุ่ม และเป็นผู้ทตี่ ้องปฏิบัติภาระหน้าที่ของตำาแหน่งผู้นำาที่ได้รับมอบ
หมายบุคคลอื่นในกลุ่มที่เหลือก็คือผู้ตาม แม้จะเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อย หรือผู้ชว่ ยในการปฏิบัติหน้าที่ต่าง
ๆ ก็ตาม (Yolk, 1989:3-4)
ผู้นำา คือ บุคคลที่มาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง หรือการยกย่องขึ้นมาของกลุ่ม เพื่อให้ทำาหน้าที่
เป็นผู้ชี้แนะและช่วยเหลือให้กลุ่มประสบความสำาเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
กวี วงศ์พุฒ (2535: 14-15) ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับผู้นำาไว้ 5 ประการ คือ
(1) ผูน้ ำา หมายถึง ผู้ซึ่งเป็นศูนย์กลางหรือจุดรวมของกิจกรรมภายในกลุ่ม เปรียบเสมือนแกน
ของกลุ่ม เป็นผู้มีโอกาสติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นมากกว่าทุกคนในกลุ่ม มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจของกลุ่ม
สูง
(2) ผูน้ ำา หมายถึง บุคคลซึ่งนำากลุ่มหรือพากลุ่มไปสู่วัตถุประสงค์หรือสู่จุดหมายที่วางไว้แม้
แต่เพียงชี้แนะให้กลุ่มไปสู่จุดหมายปลายทางก็ถือว่าเป็นผู้นำาทั้งนี้รวมถึงผู้นำาที่นำากลุ่มออกนอกลู่นอก
ทางด้วย
(3) ผูน้ ำาหมายถึงบุคคลซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่คัดเลือกหรือยกให้เขาเป็นผู้นำาของกลุ่มซึ่งเป็นไป
โดยอาศัยลักษณะทางสังคมมิติของบุคคลเป็นฐาน และสามารถแสดงพฤติกรรมของผู้นำา ได้
(4) ผู้นำาหมายถึงบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะบางอย่างคือสามารถสอดแทรกอิทธิพลบาง
ประการอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มได้มากที่สุด
(5) ผู้นำา หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งสามารถนำากลุ่มไปในทางที่ต้องการ เป็นบุคคลที่มีส่วนร่วมและ
เกี่ยวข้องโดยตรงต่อการแสดงบทบาทหรือพฤติกรรมความเป็นผูน้ ำา
บุญทัน ดอกไทสง (2535:266) ได้สรุปเกี่ยวกับผูน้ ำาไว้ว่า ผู้นำา (Leader) หมายถึง
(1) ผู้มีอิทธิพล มีศิลปะ มีอิทธิพลต่อกลุ่มชน เพื่อให้พวกเขามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติงานให้
บรรลุเป้าหมายตามต้องการ
(2) เป็นผูน้ ำาและแนะนำา เพราะผู้นำาต้องคอยช่วยเหลือกลุ่มให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามความ
สามารถ
(3) ผูน้ ำาไม่เพียงแต่ยืนอยู่เบื้องหลังกลุ่มที่คอยแต่วางแผนและผลักดัน แต่ผู้นำาจะต้องยืนอยู่
ข้างหน้ากลุ่ม และนำากลุ่มปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย
สรุปได้ว่า ผู้นำา (Leader) คือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งหรือการเลือกตั้งหรือการยกย่องจาก
กลุ่มให้ทำาหน้าที่ของตำาแหน่งผู้นำา เช่น การชี้แนะ สั่งการ และช่วยเหลือให้กลุ่มสามารถปฏิบัติงานได้
สำาเร็จตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ได้มีการเขียนชื่อผู้นำาแตกต่างกันออกไปตามลักษณะงานและองค์การที่อยู่
เช่น ผูบ้ ริหาร ผู้จัดการ ประธานกรรมการ ผู้อำานวยการ อธิการบดี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้ว่าราชการ
นายอำาเภอ กำานัน เจ้าคณะจังหวัด เจ้าอาวาส ปลัดกระทรวง คณบดี
ความหมายของภาวะผู้นำา
ภาวะผูน้ ำา (Leadership) คือความสามารถที่จะใช้อิทธิพลนำากลุ่มไปสู่วัตถุประสงค์ อิทธิพลนั้น
อาจได้รับมาแบบเป็นทางการนั่นคือผู้นำาอย่างเป็นทางการ หรือผู้นำาที่ไม่เป็นทางการซึ่งคือผู้นำาที่ไม่ได้
รับมอบอำานาจอย่างเป็นทางการแต่สามารถนำากลุ่มและเป็นที่ยอมรับ (กรองแก้ว อยู่สุข, 2534: 132)
ภาวะผูน้ ำา (Leadership) หรือความเป็นผู้นำา ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการนำา (The
American Heritage Dictionary, 1985: 719) จึงเป็นสิ่งสำาคัญยิ่งสำาหรับความสำาเร็จของผูน้ ำา ภาวะ
ผู้นำาได้รับความสนใจ และมีการศึกษามาเป็นเวลานานแล้ว เพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นองค์ประกอบที่ จะช่วย
ให้ผู้นำามีความสามารถในการนำา หรือมีภาวะผู้นำาที่มีประสิทธิภาพ
การศึกษานั้นได้ศึกษาตั้ง แต่คุณลักษณะ (Traits) ของผู้นำา อำานาจ (Power) ของผู้นำา
พฤติกรรม (Behavior) ของผู้นำาแบบต่าง ๆ และอื่น ๆ ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีการศึกษาภาวะผู้นำาอยู่ตลอด
เวลา และพยายามจะหาภาวะผู้นำาที่มี ประสิทธิภาพในแต่ละองค์การและในสถานการณ์ต่าง ๆ กัน
ความหมายของภาวะผู้นำา ได้มีผู้ให้ความหมายของภาวะผู้นำาไว้หลากหลายและแตกต่างกันซึ่ง
ยุคล์ (Yolk, 1989: 3) ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ความหมายของภาวะผู้นำามีหลากหลายและแตกต่างกัน ก็
เนื่องจากขอบเขตเนื้อหาและความสนใจในภาวะผู้นำา ในการศึกษาของนักวิจัยแตกต่างกัน ในที่นี้จึงขอ
นำาเสนอให้ศึกษาดังต่อไปนี้
๏ ภาวะผู้นำาคือความริเริ่มและธำารงไว้ซึ่งโครงสร้างของความคาดหวังและความสัมพันธ์
ระหว่างกันของสมาชิกของกลุ่ม (Stodgily, 1974:411)
๏ ภาวะผู้นำาคือความสามารถที่จะชี้แนะ สั่งการ หรืออำานวยการ หรือมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
ของผู้อื่นเพื่อให้มุ่งไปสู่จุดหมายที่กำาหนดไว้ (McFarland, 1979:303)
๏ ภาวะผู้นำาคือศิลป์ในการชี้แนะลูกน้อง หรือผู้ร่วมงานให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ
กระตือรือร้นและเต็มใจ (Schwartz, 1980:491)
๏ ภาวะผู้นำา เป็นกระบวนการที่บุคคลใช้อิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุความต้องการของกลุ่ม
หรือจุดมุ่งหมายขององค์การ (Mitchell and Larson, Jr., 1987:435)
๏ ภาวะผู้นำาเป็นเรื่องของศิลป์ของการใช้อิทธิพลหรือกระบวนการใช้อิทธิพลต่อบุคคลอื่น
เพื่อให้เขามีความเต็มใจ และกระตือรือร้นในการปฏิบัติงานจนประสบความสำาเร็จตามจุดมุ่งหมายของ
กลุ่ม(Koontz and Weihrich, 1988:437)
๏ ภาวะผู้นำาเป็นความสามารถในการใช้อิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้ประสบความสำาเร็จตาม เป้า
หมายหมายที่ตั้งไว้ (Robbins, 1989:302)
๏ ภาวะผู้นำาเป็นกระบวนการของการชี้แนะและอิทธิพลต่อกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกของ
กลุ่ม (Stoner and Freeman, 1989:459)
๏ ภาวะผู้นำาเป็นกระบวนการที่บุคคลหนึ่ง(ผูน้ ำา)ใช้อิทธิพลและอำานาจของตนกระตุ้นชี้นำาให้
บุคคลอื่น(ผูต้ าม) มีความกระตือรือร้น เต็มใจทำาในสิ่งที่เขาต้องการ โดยมีเป้าหมายขององค์การเป็นจุด
หมายปลายทาง (พยอม วงศ์สารศรี, 2534:196)
จากการวิเคราะห์ความหมายของภาวะผู้นำาข้างต้น จะเห็นได้ว่า แนวคิดส่วนใหญ่จะ
เกี่ยวข้องกับกลุ่มคน และสมาชิกของกลุ่มมีความสัมพันธ์ภายในต่อกันอย่างสมำ่าเสมอ ในการนี้จะมี
สมาชิกคนใดคนหนึ่งหรือมากกว่าถูกกำาหนดหรือยอมรับให้เป็นผู้นำา (Leader) เนื่องจากมีความแตก
ต่างในด้านต่าง ๆ จากบุคคลอื่น ๆ ของกลุ่ม ซึ่งถือว่าเป็นผู้ตาม (Followers) หรือผู้ใต้บังคับบัญชา หรือ
ลูกน้อง (Subordinates) หรือผู้ปฏิบัติ
สำาหรับความหมายของภาวะผู้นำาเกือบทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับการใช้อิทธิพล ซึ่งส่วนมากจะ
เป็นผู้นำา (Leader) พยายามจะมีอิทธิพลต่อผูต้ าม (Followers) ในกลุ่มหรือบุคคลอื่น ๆ เพื่อให้มีทัศนคติ
พฤติกรรม และอื่น ๆ ไปในทิศทางที่ทำาให้จุดมุ่งหมายของกลุ่มหรือองค์การประสบความสำาเร็จ ดังนั้น
จึงสรุปได้ว่า ภาวะผู้นำา (Leadership) คือกระบวนการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือมากกว่า พยายามใช้
อิทธิพลของตนหรือกลุ่มตน กระตุ้น ชี้นำา ผลักดัน ให้บุคคลอื่น หรือกลุ่ม บุคคลอืน่ มีความเต็มใจ และ
กระตือรือร้นในการทำาสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการ โดยมีความสำาเร็จของกลุ่ม หรือองค์การเป็นเป้าหมาย
และยุคล์ (Yukl,1989: 7-8) ได้สรุปแนวทางการศึกษาภาวะผู้นำาของงานวิจัยได้เป็น 4
แนวทาง ดังต่อไปนี้คือ
1. ศึกษาอำานาจ-อิทธิพล (Power-Influence Approach) ของผู้นำา
2. ศึกษาคุณลักษณะ (Trait Approach) ของผู้นำา
3. ศึกษาพฤติกรรม (Behavior Approach) ของผูน้ ำา
4. ศึกษาสถานการณ์ (Situational Approach) ของผู้นำา
1) อำานาจ-อิทธิพล (Power-Influence Approach) การศึกษาประสิทธิภาพของ ภาวะผู้นำา
จากอำานาจ-อิทธิพลของผูน้ ำา ส่วนใหญ่จะเน้นหรือพิจารณาที่ขนาด ชนิดและการใช้อำานาจ ของผู้นำา ดัง
ที่ยอมรับกันแล้วว่าอำานาจเป็นสิ่งสำาคัญสำาหรับผู้นำา เพราะนอกจากจะทำาให้มีอิทธิพลต่อ ลูกน้องแล้ว
ยังสามารถมีอิทธิพลต่อเพื่อน ผู้นำาในระดับเดียวกัน ต่อผู้บังคับบัญชาในระดับสูง รวมทั้งบุคคลภายนอก
หน่วยงานและองค์การได้ ในการศึกษาวิจัยชนิดนี้ นักวิจัยจะมีคำาถามที่ต้องการ คำาตอบอยู่หลาย
คำาถาม ได้แก่
(1) อะไรคือแหล่งของอำานาจผู้นำา ลักษณะเฉพาะใดของผู้นำา และ ในสถานการณ์เช่นไรที่ทำาให้
ผู้นำามีอำานาจ
(2) ทิศทางการเพิ่มและลดอำานาจของผู้นำาจากกระบวนการแลกเปลี่ยนอิทธิพลเป็นอย่างไร
นอกจากนั้น การที่ต้องวิเคราะห์อำานาจของผู้นำาพร้อม ๆ กับ การวิเคราะห์อำานาจของหน่วยงานและ
กลุ่มคน ทำาให้การประเมินประสิทธิภาพของภาวะผู้นำามุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการปรับตัวของ
องค์การต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อันเนื่องมาจากใช้ กลยุทธ์อิทธิพลของผู้นำา
2) พฤติกรรม (Behavior Approach) การศึกษาประสิทธิภาพของภาวะผู้นำาจาก พฤติกรรม
หรือแบบของผูน้ ำานั้นมักจะมุ่งไปที่พฤติกรรมอะไรบ้างของผู้นำาที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆหรือผู้นำาทำา
อะไรบ้างในการปฏิบัติงานให้ประสบความสำาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรม
ของผู้นำาจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ โดยกลุ่มแรกจะทำาการศึกษากิจกรรมต่าง ๆ ของงานบริหาร
ของผู้นำาและเวลาที่ผู้นำาใช้ในแต่ละกิจกรรมในระยะต้น ส่วนในปัจจุบันจะมุ่งเน้นศึกษาภาระหน้าที่หรือ
งานของผู้นำาแต่ละชนิด เพื่อค้นหาพฤติกรรมของผู้นำาที่เหมาะหรือทำาให้แต่ละภารกิจประสบความสำาเร็จ
สำาหรับงานวิจัยกลุ่มที่สองจะศึกษามุ่งเน้นไปที่ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพและ
ไม่มีประสิทธิภาพของผู้นำา โดยหาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของผู้นำา กับความพึงพอใจและผล
การปฏิบัติงานของผู้ตามพฤติกรรมของผู้นำาที่นำามาพิจารณามักเป็นพฤติกรรมที่สำาคัญๆ (Critical
Incident) ของการบริหาร
3) คุณลักษณะ (Trait Approach) การศึกษาวิจัยแบบนี้จะมุ่งเน้นไปที่คุณลักษณะเฉพาะ
ของผู้นำาซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเชื่อว่าผู้นำาที่ประสบความสำาเร็จจะมีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าผู้ตาม เช่น
การทำางานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การสามารถหยั่งรู้ใจคนได้ การคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แม่นยำา
อย่างน่ามหัศจรรย์ และมีพรสวรรค์ในการชักจูงคนได้อย่างเหลือเชื่อ การศึกษาคุณลักษณะของผูน้ ำาได้มี
มากในระหว่าง ค.ศ.1930 - 1940 แต่ก็ไม่มีงานวิจัยใดยืนยันได้ว่าคุณลักษณะของ ผู้นำาแต่ละ
คุณลักษณะมีความสัมพันธ์ต่อความสำาเร็จของผูน้ ำาได้อย่างไร จึงทำาให้นักวิจัยให้ความ สนใจใน
คุณลักษณะของผูน้ ำาน้อยลงตามลำาดับ อย่างไรก็ตามได้มีความพยายามที่จะศึกษาว่าคุณลักษณะของ
ผู้นำาชนิดที่จำาเป็นสำาหรับงานของผู้นำาแต่ละประเภทอย่างไรและในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
คุณลักษณะใดที่จะช่วยให้ผู้นำาประสบความสำาเร็จได้
4) สถานการณ์ (Situation Approach) การศึกษาวิจัยสถานการณ์ที่มีผลต่อ ประสิทธิภาพ
ของภาวะผู้นำานั้น จะมุ่งเน้นศึกษาสถานการณ์ที่สำาคัญ ๆ เช่น อำานาจหน้าที่ และความ มั่นคงของผูน้ ำา
ลักษณะงานของผู้นำา ความสามารถและแรงจูงใจของผู้ตาม สภาพแวดล้อมภายนอก ความคาดหวัง
และข้อเรียกร้องต่าง ๆ เกี่ยวกับงานของลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน และบุคคลภายนอก องค์ก าร การศึกษา
วิจัยเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แยกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ โดยกลุ่มแรกจะมุ่ง เน้นว่าสถานการณ์ใดที่จะ
มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมแต่ละพฤติกรรมของผูน้ ำาอย่างไร ดังนั้น การวิจัย ประเภทนี้จึงต้องศึกษาว่า
พฤติกรรมการบริหารงานของผู้นำาต่างองค์การ ต่างระดับเหมือนหรือ แตกต่างกันอย่างไร สำาหรับกลุ่มที่
สอง มุ่งที่จะศึกษาว่า สถานการณ์ลักษณะใดจะมีส่วนทำาให้พฤติกรรมหรือแบบของผูน้ ำา รวมทั้ง
คุณลักษณะของผูน้ ำามีผลต่อประสิทธิภาพของภาวะผู้นำา เพราะนักวิจัยกลุ่มนี้มี พืน้ ฐานความคิดที่ว่า
พฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งไม่เหมาะสำาหรับทุกสถานการณ์ หรือประสิทธิภาพ ของผูน้ ำาขึ้นอยู่กับความ
สามารถในการปรับพฤติกรรมให้เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ หรือเหมาะสมกับ
สถานการณ์
ลักษณะของผู้นำา
มิทเชล และ ลาร์สนั จูเนียร์ (Michel and Larson, Jr., 1987:435-436) ได้ชใี้ ห้เห็นองค์
ประกอบที่สำาคัญ 3 ประการ ในการพิจารณาว่าผู้นำาใดมีภาวะผู้นำาหรือไม่ ได้แก่
1. ผูน้ ำาเป็นกระบวนการ
2. มีระดับความถูกต้องของการใช้อิทธิพล
3. มีความสำาเร็จของจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
1) ภาวะผู้นำา เป็นกระบวนการของการใช้อิทธิพล ทีผ่ ู้นำาพยายามจะมีอิทธิพลเหนือผู้ตามเพื่อ
ให้มีพฤติกรรมการปฏิบัติงานตามต้องการโดยมีจุดมุ่งหมายขององค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องของ
บุคคลที่จะพึงมีภาวะผู้นำาได้โดยที่ไม่ได้มีการกระทำาใด ๆ เป็นกระบวนการ (process) ให้เกิดอิทธิพลต่อ
ผู้อื่น ดังนั้น ผูน้ ำาทางจากการแต่งตั้ง เช่น ผูอ้ ำานวยการ ผู้บัญชาการ อาจจะมีภาวะผู้นำาหรือไม่ก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่ามีลักษณะทั้ง 3 ประการหรือเปล่า ในทางตรงข้าม ผู้ที่แสดงภาวะผู้นำาอาจจะไม่เป็นผูน้ ำาที่
เป็นแบบทางการ แต่มีองค์ประกอบ 3 ประการเหล่านั้น
2) ภาวะผู้นำา นอกจากเป็นกระบวนการแล้ว ภาวะผู้นำาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ตามยอมให้
ผู้นำาใช้อิทธิพลต่อตัวเขา ซึ่งโดยทั่วไปก็ต้องพิจารณาถึงระดับความถูกต้องของอิทธิพลที่ใช้ด้วยว่าไม่ใช่
เป็นการใช้อำานาจเข้าขู่เข็ญ หรือบีบบังคับให้ทำาตาม เพราะถ้าเป็นการเช่นนั้นก็ไม่ถือว่าผู้นำามีภาวะผู้นำา
ได้
3) ภาวะผู้นำา จะถูกอ้างถึงเมื่อจุดมุ่งหมายของกลุ่ม หรือองค์การประสบความสำาเร็จ ดังนั้น
ถ้าหากผู้นำาไม่สามารถนำากลุ่มไปสู่ความสำาเร็จดังกล่าวได้ ก็ย่อมหมายถึงว่าผูน้ ำาไม่ได้แสดงภาวะผู้นำา
หรือไม่มีความสามารถในการนำานั่นเอง
(ที่มา: http://www.nrru.ac.th/article/leadership/page1.1.html)
เมื่อเปรียบเทียบความหมายของคำาว่าผู้นำากับภาวะผู้นำาพบว่า มีความแตกต่างและ
คล้ายคลึงกันที่ผู้นำาหมายถึงบุคคล ส่วนภาวะผู้นำาหมายถึงการใช้กระบวนการของความสามารถของ
บุคคลที่ใช้อิทธิพลของตนในการชักชวน ชีน้ ำาหรือชักจูงผู้อื่นให้ร่วมมือร่วมใจกับตนในการ ปฏิบัติงาน
อย่างใดอย่างหนึ่ง
จากการจำาแนกประเภทของผู้นำา อาจจำาแนกโดยอธิบายให้เห็นถึงการเกิดภาวะผู้นำาว่าเกิดขึ้น
ได้ 2 ประเภท คือ ประเภทโดยสถานการณ์และโดยตำาแหน่ง หรืออาจจำาแนกโดย ลักษณะในการบริหาร
ซึ่งมี 3 ประเภท การจำาแนกแบบของผู้นำานี้แตกต่างไปจากประเภทของผู้นำาที่กล่าวคือจะเน้นที่
พฤติกรรมของผูน้ ำาเป็นสำาคัญว่า ผู้นำามีพฤติกรรมอย่างไร เช่น เป็นแบบมุ่งงานหรือมุ่งสัมพันธ์ เป็นแบบ
ใช้พระเดชหรือใช้พระคุณซึ่งมีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้
1) ผูน้ ำาแบบใช้พระเดช หมายถึงผู้นำายึดถือเอากฎหมาย ระเบียบแบบแผนเป็นที่ตั้ง
2) ผูน้ ำาแบบใช้พระคุณ หมายถึงผู้นำาที่มีอำานาจและศิลปะในการที่จะสามารถจูงใจให้บุคคล
ทั้งหลายทั้งปวงปฏิบัติตามที่ตนประสงค์
3) ผูน้ ำาแบบสัญลักษณ์ หมายถึงผู้นำาที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ของผู้อยูใ่ นฐานะตำาแหน่งที่
ควรแก่การเคารพนับถือ
ถ้าพิจารณาผู้นำาแบบใช้พระเดชจะพบว่า ตรงกับประเภทของภาวะผู้นำา คือ ผู้นำาประเภท
นิเสธ ส่วนผู้นำาโดยตำาแหน่งก็มักจะมีพฤติกรรมแบบผู้นำาแบบใช้พระเดชเป็นส่วนมาก คือเมื่อได้รับการ
แต่งตั้งให้ดำารงตำาแหน่ง ก็มักยึดถือกฎหมายและระเบียบแบบแผนเป็นที่ตั้ง แต่ก็มีบ้างที่ใช้พระคุณ ส่วน
ผู้นำาแบบใช้พระคุณนั้น ตรงกับผู้นำาประเภทปฏิฐาน และผูน้ ำาโดยสถานการณ์ เพราะเป็นผูน้ ำาที่ทำาให้ผู้
ร่วมงานเลื่อมใสศรัทธา และเห็นอกเห็นใจผู้ร่วมงานเหมือน ๆ กัน ทั้งยังเป็นผู้นำาที่อาจจะไม่ได้รับการ
แต่งตั้งตามกฎหมายอีกด้วย
รูปแบบของผู้นำาอาจสรุปได้จากลักษณะการใช้อำานาจและลักษณะของการปฏิบัติงาน ได้ 2
กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้คือ
• การกำาหนดที่ใช้สถานะเป็นหลัก ได้แก่
ผู้นำาที่ยึดความคิดตนเป็นหลัก ใช้อำานาจในการบังคับบัญชาการทำางานอาจในลักษณะ
เผด็จการ มุ่งงานเป็นหลัก มุ่งผลผลิตเป็นศูนย์กลาง
ผู้นำาที่ปล่อยปละละเลย ทำาตัวตามสบาย แบบหนีงาน แบบนักบุญหรือประนีประนอม
มากเกินควร
ผู้นำาที่ยึดการทำางานร่วมกันเป็นหลัก มุ่งความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการส่งเสริมแรงจูงใจ
ในการทำางาน มีการนิเทศช่วยเหลือให้คำาแนะนำา มุ่งคนเป็นศูนย์กลาง นักพัฒนา
ผู้นำาผสมผสานผู้นำาที่ยึดทุกรูปแบบหรือผสมผสานแนวทางในการดำาเนินการตาม
สถานการณ์ ตามลักษณะของกลุ่มงานในองค์การนั้นๆ เช่นตามทฤษฎี ของ McGregor
นักเผด็จการที่มีศิลปะ นักบริหาร นักพัฒนา
ทฤษฎีผู้นำา
1) ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
พื้นฐานความคิดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมโดยสรุป เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์นั้นเกิด
ขึ้นจากการเรียนรู้ สามารถสังเกตพฤติกรรมได้ในรูปแบบต่างๆ กัน และเชื่อว่าการให้ตัวเสริมแรง (Rein
forcer) จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมตามต้องการได้ นักจิตวิทยาที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มนีไ้ ด้แก่
Pavlov ซึ่งเดิมเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย Watson นักจิตวิทยาชาวอเมริกันซึ่งได้รับการ
ยอมรับว่า เป็นบิดาของจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม และ Skinner ชาวอเมริกัน ทีโ่ ดดเด่นในการนำา
ทฤษฎีด้านจิตวิทยามาประยุกต์ใช้เพื่อการเรียนการสอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการ
เสริม แรง ได้มีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
Skinner เชื่อว่าตัวเสริมแรง เป็นตัวแปรสำาคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการเรียนรู้ของ
ผู้เรียน เกี่ยวข้องกับความเร็ว ความอดทนในการทำางาน ความสามารถบังคับตนเอง และช่วยให้เกิด
ความคิดสร้างสรรค์ การเสริมแรงอาจเป็นรูปแบบของการให้รางวัลที่เหมาะสม หรืออาจเป็นความพึง
พอใจที่เกิดขึ้นจากความสำาเร็จในการทำางานหรือทำากิจกรรม
2) ทฤษฎีภาวะผู้นำาด้านการศึกษาวิถีทางสู่เป้าหมายของเฮาส์
เน้นบทบาทของผู้จัดการที่สามารถเอื้ออำานวยการปฏิบัติงานไปสู่จุดหมายปลายทาง ด้วยการ
จัดวิถีทางการกำาหนดงานให้มีความชัดเจนและการสร้างขวัญ มีการจัดรางวัลแก่ผู้ปฏิบัติงานที่ทำางาน
บรรลุประสิทธิผล
3) ทฤษฎีภาวะผู้นำาแบบต่อเนื่องของทันเนนบอมและชมิดท์
เน้นแนวความคิดว่าก่อนจะเลือกใช้แบบของผูน้ ำาลักษณะใดนั้น จำาเป็นต้องมีการพิจารณา
ปัจจัยให้รอบคอบ เพื่อการตัดสินใจแบบผู้นำาได้ผลเหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ
1) ทฤษฎีความเป็นผู้นำาตามวงจรชีวิต
เน้นว่าแบบของผูน้ ำาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญวัยของผูใ้ ต้
บังคับบัญชา
2) ทฤษฎีสิ่งทดแทนความเป็นผู้นำา
จะชี้ให้เห็นว่าปัจจัยสถานการณ์บางอย่างสามารถทดแทนพฤติกรรมของผูน้ ำานั่นคือปัจจัยทาง
สถานการณ์ที่ทำาให้พฤติกรรมของผูน้ ำาไม่จำาเป็น สิ่งทดแทนอาจจะเป็นคุณลักษณะของพนักงาน ดังนั้น
ในบางครั้งสมาชิกของกลุ่มบางคนจะเป็นผูน้ ำาที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งไม่ต้องการผู้นำาที่เป็นทางการช่วย
เหลือการดำาเนินงานประจำาวันของกลุ่มให้บรรลุความสำาเร็จ
3) ทฤษฎี 3 ทักษะ
ประกอบด้วยทักษะ 3 ประการ ด้วยกันคือทักษะในคตินิยม คือทักษะที่สามารถเข้าใจ
หน่วยงานของตนในทุกลักษณะ ทักษะทางมนุษย์สัมพันธ์ คือทักษะในความสามารถที่จะทำางานร่วมกับ
คนหลายประเภทได้เป็นอย่างดีและทักษะทางเทคนิค การทำางานเกี่ยวกับกิจกรรมเฉพาะอย่างที่ต้อง
อาศัยความรู้ การวิเคราะห์ การใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงาน
ในปัจจุบันนักวิจัยได้ดำาเนินการศึกษาถึงความเเตกต่างระหว่างความเป็นผู้นำาเชิงการจัด
การเเละความเป็นผู้นำาเชิงการปฏิรูปพบว่าความเป็นผูน้ ำาเชิงการจัดการเป็นอย่างเดียวกับการบริหาร
งานประจำาวันเนื่องจากการดำาเนินการต้องการเพียงให้มีประสิทธิภาพเท่านั้น เเต่นักวิจัยหลายคนยืนยัน
ว่าความเป็นผูน้ ำาเชิงการจัดการอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะนำาองค์การเผชิญกับความท้าทายภาย
ใต้สภาพเเวดล้อมที่เปลี่ยนเเปลงเเละซับซ้อนมากขึน้ ได้ ดังนั้นความเป็นผู้นำาเชิงการปฏิรูปจึงมีความ
จำาเป็น ที่จะจูงใจพนักงานให้กระทำามากกว่าที่คาดหวังเอาไว้และจะปลุกเร้าพนักงานให้มองนอกเหนือ
ไปจากผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขาเอง เเละกลายเป็นความผูกพันต่อการทำางานหนักมากขึ้น เพื่อที่
จะทำาให้โลกทัศน์ของผู้นำากลายเป็นความจริง ดังนั้นผู้นำาเชิงการปฏิรูปจะต้องควบคู่กับผู้นำาเชิงการ
จัดการ เพื่อที่จะรักษาการดำาเนินงานขององค์การของพวกเขาให้ราบรื่นต่อไป
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อผูน้ ำา ( Leader ) คือ ผูท้ ี่จะต้องมีอำานาจ ( Power ) หรือเป็นผู้มี
อิทธิพลเหนือผู้อื่น (Influence over others) หรือเป็นผู้มีอำานาจการบังคับบัญชาตามกฎหมายระเบียบ
ภายในองค์กร ( Authority ) เมื่อพูดสิ่งใดผู้อื่นจะเชื่อถือและทำาตาม โดยที่อำานาจจะตั้งอยู่บนฐานทั้ง 3
ฐาน ที่จะสร้างอำานาจและมีขีดความสามารถในการเป็นผู้นำาสูงได้ดังนี้ ต้องอยู่บนความชอบธรรมด้าน
กฎหมาย ด้านสังคมด้านฐานบนบารมี ( Base on charisma ) ซึ่งในสังคมไทยบารมีเกิดจากการให้
เป็นกระบวนการสะสมกุศลบารมี ทั้งด้านทรัพยากร วัตถุ การช่วยเหลือด้านแรงกายและแรงใจ
ส่วนบทบาทของการนำาที่จะเป็นตัวชี้ขาดนั้น จะเป็นเรื่องของการนำาทางความคิด ซึ่งมี
ความสำาคัญกว่าการมีตำาแหน่งการนำา เพราะจะต้องเข้าใจในตัวของผู้ตาม และผูน้ ำาควรมีความรับผิด
ชอบต่อสิ่งที่กระทำาเสมอ ซึ่งหัวหน้างานควรมีบทบาทการเป็นผูน้ ำา โดยจะเป็นคนดูแลควบคุมการ
ทำางานของลูกน้องให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การ เป็นผู้กระจายข่าวสารข้อมูลให้แก่องค์การ
และเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการทำางานของกลุ่มสถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง ทำาให้คนมีบทบาทที่แตกต่างกัน ดังนั้นเรายึดสถานภาพอะไรเป็นตัวกำาหนดบทบาทของ
ผู้นำา คือยึดตำาแหน่งทางโครงสร้างขององค์การยึดสถานภาพทางการและไม่เป็นทางการ ยึดความชอบ
ธรรมโดยตำาแหน่งและโดยการยอมรับด้านบารมีรวมทั้งโดยยึดสัญลักษณ์กับผลงาน ซึ่งจะทำาให้เห็น
ที่มาของผูน้ ำาสถานภาพและบทบาท ของผู้นำาที่จะทำาให้เราสามารถจำาแนกแยกประเภทภาวะผู้นำาหรือ
รูปแบบการนำาได้
จากรูปแบบการเป็นผู้นำาทั้งหมดนี้ ผู้นำาแบบออกคำาสั่งได้ผลน้อยที่สุด เพราะการข่มขู่ส่ง
ผลกระทบต่อการทำางานของผู้ปฏิบัติงานและยังบ่อนทำาลายความภาคภูมิใจของผู้ร่วมงาน แต่ก็
สามารถใช้ได้ผลในบางสถานการณ์เช่นกัน เช่นกรณีฉุกเฉิน ดังนั้นการจะใช้รูปแบบการเป็นผู้นำาอย่างได้
ผลต้องอาศัยทักษะความฉลาดทางอารมณ์ 3 ประการ คือ
1. การสร้างอิทธิพลเหนือคนอื่น (Influence)
2. การใฝ่หาความสำาเร็จ (Achievement)
3. การริเริ่มสร้างสรรค์ (Initiative)
5) ทฤษฎีภาวะผู้นำาเชิงพฤติกรรม
ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 นักวิจัยส่วนใหญ่หันเหการศึกษาภาวะผู้นำาที่มุ่งเน้นด้าน
คุณลักษณะไปสู่การศึกษาภาวะผู้นำาในเชิงกระบวนการและกิจกรรมของผูน้ ำาซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัด
เจน ซึ่งเรียกว่า การศึกษาภาวะผู้นำาเชิงพฤติกรรม โดยพิจารณาว่า มีพฤติกรรมใดบ้างที่ผู้นำาที่ประสบ
ความสำาเร็จแตกต่างจากผู้นำาทีไม่ประสบความสำาเร็จ การศึกษาภาวะผู้นำาเชิงพฤติกรรมที่จะกล่าวถึงใน
ที่นี้มี 3 ทฤษฎี ได้แก่ การศึกษาภาวะผู้นำาที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (Ohio state studies) การศึกษา
ภาวะผูน้ ำาที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan studies) และทฤษฎีตาข่ายภาวะผู้นำา
(Leadership grid) รวมทั้งทฤษฎีการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำากับสมาชิก
1) การศึกษาภาวะผู้นำาที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (The Ohio state studies) คณะนักวิจัย
ของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท ในสหรัฐ ได้สรุปผลการวิจัยโดยจำาแนกพฤติกรรมของผู้นำาออกเป็น 2 มิติ
ได้แก่ ด้านกิจสัมพันธ์ (Initiating structure) กับด้านมิตรสัมพันธ์ (Consideration) เป็นครั้งแรกที่เน้น
ความสำาคัญทั้งของงานและคนในการประเมินพฤติกรรมของผูน้ ำา
1.1) พฤติกรรมของผูน้ ำาที่มุ่งด้านกิจสัมพันธ์ (Initiating structure) เป็นพฤติกรรมของผูน้ ำาที่
แสดงออกต่อผู้ตามโดยมุ่งที่ความสำาเร็จขององค์การในเรื่องเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างของงานและ
องค์การ การกำาหนดคุณลักษณะของงานที่ต้องการ การกำาหนดบทบาทของผู้นำาและผู้ตามการมอบ
หมายงานและความรับผิดชอบ การกำาหนดวิธีสื่อสาร การกำาหนดกระบวนการและวิธีการทำางาน
เป็นต้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมของผู้นำาที่มุ่งความสำาเร็จของงาน โดยผู้ตามมีโอกาสได้เรียกร้องหรือเสนอ
เงื่อนไขการทำางานได้น้อยมาก
1.2) พฤติกรรมของผูน้ ำาที่มุ่งมิตรสัมพันธ์ (Consideration) เป็นพฤติกรรมของผูน้ ำาที่แสดงถึง
ความรู้สึกไวต่อการรับรู้ต่อผู้ตามในแง่ให้การยอมรับถึงความรู้สึก ความคิด การให้ความไว้วางใจ การ
แสดงความชื่นชม และรับฟังปัญหาของผู้ตามอย่างตั้งใจ การรับฟังข้อเสนอแนะของผู้ตามเพื่อประกอบ
การตัดสินใจ การแสดงความเอื้ออาทรห่วงใยต่อปัญหาและความต้องการของลูกน้อง เป็นต้น
จากพฤติกรรมของผู้นำาทั้งสองด้านดังกล่าวเมื่อนำามาผสมผสานกันทำาให้ได้แบบของผู้นำา
(Leadership style) ขึ้น 4 แบบ ดังภาพต่อไปนี้
• กิจสัมพันธ์ตำ่า • กิจสัมพันธ์สูง
สูง • มิตรสัมพันธ์สูง • มิตรสัมพันธ์สูง
มุง่ มิตรสัมพันธ์
• กิจสัมพันธ์ตำ่า • กิจสัมพันธ์สูง
• มิตรสัมพันธ์ตำ่า • มิตรสัมพันธ์ตำ่า
ตำ่า มุง่ กิจสัมพันธ์ สูง
9
Country Club Management Team Management
8 ผูน
้ ำำทีเ่ อำแต่นำำใจคน ผูน
้ ำำแบบทำำงำนเป็นทีม
5 5,5
Middle of the Road Management
4 ผูน
้ ำำแบบพบกันครึ่งทำง
3
Authority-Compliance
Impoverished Management Management
2 ผูน
้ ำำแบบยำ่ำแย่ ผูน
้ ำำแบบเอำแต่งำน
1 1,1 9,1
1 2 3 4 5 6 7 8 9
Low High
พฤติกรรมมุง่ ผลผลิต (Concern for Results)
กล่าวโดยสรุป แม้ว่าผลงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำาเชิงพฤติกรรมที่ยกเป็นตัวอย่างทั้งสาม
แนวคิด จะให้กรอบความคิดในการจัดแบ่งมิติของพฤติกรรมหลัก และแบบต่าง ๆ ของผู้นำาซึ่งผู้บริหาร
สามารถนำาไปใช้วิเคราะห์ตนเองและเลือกใช้ตามที่ต้องการก็ตาม แต่ผลวิจัยเหล่านี้ได้เสนอแนะแนวทาง
ปฏิบัติที่มีประโยชน์ต่อผู้บริหาร ได้แก่
(1) ผู้บริหารจำาเป็นต้องหาแนวปฏิบัติ ที่เน้นทั้งด้านงานและความสัมพันธ์ไปพร้อมกัน
(2) ต้องใช้วัตถุประสงค์และลำาดับความสำาคัญก่อนหลังของภารกิจเป็นตัวนำาพฤติกรรม
(3) รู้จักเลือกใช้พฤติกรรมที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์
L L L L L L
+3 +3 +3 +3 +3 +3 0 0 0 0 0 0
SA SB SC SX SY SZ
(หมายเหตุ: +3 หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำา (L) กับผู้ใต้บังคับบัญชา (S) ทีด่ ีเยี่ยม 0 หมายถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำา กับผู้ใต้บังคับบัญชามีน้อยเหมือนคนแปลกหน้า)
ภาพที่ 2.3: แสดงความแตกต่างระหว่าง “คนวงใน” กับ “คนวงนอก”
ที่มา : Norte
ในสภาพของการทำางานภายในองค์การนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนสามารถทำาให้ตนกลาย
เป็น “คนวงใน” หรือเป็น “คนวงนอก” ได้ โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าตนสามารถทำางานเข้ากับผู้นำาได้ดีเพียง
ไรและผู้นำาเองสามารถทำางานเข้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นได้ดีเพียงไรด้วย รวมทั้งบุคลิกภาพและ
คุณสมบัติส่วนบุคคลก็มีส่วนสำาคัญต่อความสัมพันธ์ นอกจากนี้การที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะเป็น “คน
วงใน” หรือ “คนวงนอก” นั้น ยังขึ้นอยู่กับการที่ผู้นั้นได้รับมอบหมายจากผูน้ ำาให้รับผิดชอบงานเพิ่มเติม
เป็นพิเศษจากปกติมากน้อยเพียงไร ผูใ้ ต้บังคับบัญชาที่สนใจและเต็มใจในการเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือ
งานของกลุ่มก็จะสามารถกลายเป็น “คนวงใน” ได้ค่อนข้างง่าย โดยการกระทำาดังกล่าวจึงมีลักษณะ
คล้ายเป็นข้อตกลงที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนที่เกิดจากผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นทำางานหรือกิจกรรมพิเศษ
ที่นอกเหนือจากที่กำาหนดในรายละเอียดของงานอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ผู้นำาจึงให้ “ความเป็น
พิเศษ” เพื่อเป็นการ ตอบแทน แต่ในกรณีของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขาดความสนใจหรือไม่อาสารับผิดชอบ
งานพิเศษอื่นใดเพิ่มเติมจากงานปกติ ผู้นั้นก็จะอยู่ในกลุ่มของ “คนวงนอก” ได้โดยง่ายเช่นกัน
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นคนวงในมักจะได้รับความไว้วางใจ ความเอื้ออาทรห่วงใย ความมี
อิทธิพล ตลอดจนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและแหล่งทรัพยากรมากกว่าผูใ้ ต้บังคับบัญชาที่เป็น คน
วงนอก นอกจากนั้นยังเป็นบุคคลที่ผู้นำาถือว่าเป็นคนที่สามารถพึ่งพาอาศัยได้ จึงทำาให้มีโอกาสเข้าไป
เกี่ยวข้องกับกิจการต่าง ๆ ขององค์การได้สูงกว่าคนอื่น มีโอกาสเข้าพบปะหารือหรือติดต่อสื่อสารกับ
ผู้นำาได้มากกว่าบุคคลที่เป็นคนวงนอกทั่วไป และในขณะที่สมาชิกที่เป็นคนวงในปฏิบัติพิเศษให้แก่ผู้นำา
ก็จะได้รับผลตอบแทนทำานองเดียวกันจากผู้นำา แต่สำาหรับสมาชิกที่เป็นคนวงนอกแล้วจะกลายเป็นตัว
เลือกที่มีความสำาคัญน้อยในทัศนะของผู้นำา และเป็นเพียงผู้ที่มาทำางานตามปกติประจำาวัน หลังจาก
ทำางานเสร็จก็กลับบ้านเท่านั้น
แนวคิดตามทฤษฎี LMX ในยุคแรกเริ่ม จึงเป็นกระบวนการที่บทบาทยังถูกกำาหนดโดยผู้นำาและ
ทฤษฎียังขาดความชัดเจนถึงเกณฑ์ที่ผู้นำาใช้ในการจำาแนกระหว่าง “คนวงใน” กับ “คนวงนอก” มีนักวิจัย
ตั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า การแยกผู้ใต้บังคับบัญชาออกมาเป็น “คนวงใน” นั้น เป็นการสร้างความรู้สึกที่
แตกแยกขึ้นในองค์การ ก่อให้เกิดอุปสรรคของการทำางานร่วมกันแบบทีมงาน โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็น “คน
วงนอก” จะเกิดการไม่ร่วมมือหรือยอมปฏิบัติตามคำาร้องของผู้นำาติดตามมา เนื่องจากเห็นว่า ผู้นำาขาด
ความยุติธรรม เอาใจคนโปรด (Favorites) ให้ได้ผลประโยชน์ตา่ ง ๆ มากกว่าที่ควรได้
ทฤษฎี LMX มีจุดเด่นหลายประการ ได้แก่ การเป็นทฤษฎีเชิงพรรณนาสูงที่ใช้วิธีการอธิบายว่า
ผู้นำาให้การยอมรับผูใ้ ต้บังคับบัญชาบางคน (สมาชิกวงใน) มากกว่าคนอื่น ๆ (สมาชิกคนวงนอก) ในการ
ดำาเนินงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การได้อย่างไร ประการที่สอง ทฤษฎี LMX มีลักษณะเฉพาะที่แตก
ต่างจากทฤษฎีภาวะผู้นำาอื่นตรงประเด็นที่เน้นกระบวนการภาวะผู้นำาในแง่ความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้นำา
และสมาชิก ด้วยเหตุนี้ทฤษฎีนี้จึงให้ความสำาคัญต่อกระบวนการและทักษะในการสื่อสารอย่างมี
ประสิทธิผลเพื่อสร้างความสัมพันธ์ดังกล่าว และประการสุดท้าย ทฤษฎี LMX ได้รับการสนับสนุนจาก
งานวิจัยจำานวนมากที่ยืนยันว่า การแลกเปลี่ยนที่มีคุณภาพสูงระหว่างผู้นำากับสมาชิกมีความเกี่ยวข้อง
โดยตรงกับผลลัพธ์เชิงบวกขององค์การ
อย่างไรก็ดี ทฤษฎี LMX ยังคงมีจุดอ่อนเช่นกัน ประการแรกที่สำาคัญที่สุดก็คือ แนวคิดของ
ทฤษฎีขัดแย้งกับค่านิยมของโลกปัจจุบัน ที่ยดึ หลักการแห่งความเป็นธรรมและความเสมอภาคในสถาน
ประกอบการ โดยทฤษฎีให้ความสำาคัญและเอาใจใส่พิเศษแก่คนกลุ่มหนึ่งในขณะที่ละเลยกับอีกกลุ่ม
หนึ่ง ด้วยการปฏิบัติที่ขาดความเสมอภาคที่เกิดจากการให้และการตอบแทนพิเศษต่อคนวงในก่อให้เกิด
ผลเสียหายมากมายในแง่ความรู้สึก เจตคติและพฤติกรรมของผู้ถูกทำาให้เป็นคนวงนอก ประการทีส่ อง
ทฤษฎี LMX ซึ่งมุ่งเน้นความสำาคัญของการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำากับสมาชิก ยังไม่สามารถอธิบาย
กระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนยากแก่การเข้าใจว่า การสร้างการแลกเปลี่ยนที่มีคุณภาพสูงนั้นทำาได้
อย่างไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร และแม้วา่ ทฤษฎีจะเสนอรูปแบบในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ด้วยประเด็นการสร้างความไว้วางใจ การให้การยอมรับนับถือและความผูกพันซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่
สามารถอธิบายเป็นหลักการเชิงทฤษฎีได้ว่า ประเด็นเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และท้ายสุดก็คือข้อสงสัย
เกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้วัดในทฤษฎี LMX นั้นจะสามารถวัดความสลับซับซ้อนด้านภาวะผู้นำาได้จริงหรือ
ไม่ เพียงไร
3) ความสอดคล้องระหว่างแบบภาวะผู้นำากับสถานการณ์
ในการหาคำาตอบว่าภาวะผู้นำาแบบใดจะมีประสิทธิผลในสถานการณ์ใดนั้น ฟีดเลอร์ได้
รวบรวมข้อมูลจากการศึกษาไม่น้อยกว่า 800 กลุ่มในช่วงเวลากว่า 10 ปี โดยแต่ละกลุ่มจะหาความ
สัมพันธ์ระหว่างแบบภาวะผู้นำากับประสิทธิผลของกลุ่ม จากนัน้ นำามาเขียนเป็นกราฟโดยใช้มัธยฐาน
(Median) ของค่าสหสัมพันธ์ในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งปรากฏดังภาพที่ 8.5 ที่ได้ปรับปรุงใหม่แล้ว ดังนี้
แอลพีซส ี ูง:
มุง
่ สัมพันธ์ 1.00
0.80
0.60
0.40
0.20
ความสัมพันธ์ แบบมุง่ สัมพันธ์
ระหว่างแบบ 0.00
มีประสิทธิผลมาก
ภาวะผู้นำากับ
ประสิทธิผล แบบมุง
่ งาน
-0.20 แบบมุง
่ งาน มีประสิทธิผลมาก
มีประสิทธิผลมาก
-0.40
-0.60
-0.80
แอลพีซีต่ำา:
มุง
่ งาน -1.00
ควบคุมมาก 1 2 3 4 5 6 7 8 ควบคุมน้อย
ความสัมพันธ์ระหว่าง
ผู้นำากับสมาชิก ดี ดี ดี ดี ไม่ดี ไม่ดี ไม่ดี ไม่ดี
โครงสร้างของงาน ชัด ชัด ไม่ชัด ไม่ชัด ชัด ชัด ไม่ชัด ไม่ชัด
อำานาจในตำาแหน่ง มาก น้อย มาก น้อย มาก น้อย มาก น้อย
ภาวะผู้นำาแบบแลกเปลี่ยน
Transactional Leadership
องค์ประกอบที่ 5 องค์ประกอบที่ 7
องค์ประกอบที่ 6
-การให้รางวัลตามสถานการณ์ -การบริหารแบบวางเฉยเชิงรับ
- การบริหารแบบวางเฉยเชิงรุก
(Contingent Reward) (Passive Management by
(Active Management by Exception)
Exception)
ขาดภาวะผู้นำา
Non-Leadership
องค์ประกอบที่ 8
การบริหารแบบปล่อยตามสบาย
(Laissez – Faire)
ภาพที่ 2.7: รูปแบบพฤติกรรมของภาวะผูน้ ำาแบบเปลี่ยนสภาพและภาวะผู้นำาแบบแลกเปลี่ยน
ที่มา : Northouse, 2001: 136