Professional Documents
Culture Documents
แนวคิดนักทฤษฎียุค Classic
1. Selfish & Greedy Wealth (The Wealth of Nation : Adam
Smith)
สังคมที่ปล่อยให้คนเห็นแก่ตัวและโลภละโมบได้เต็มที่ สังคมจะได้ความมั่งคั่ง ไม่ผูกขาดตัดตอน ส่งเสริม
กิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการตลาด โดยดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ทำาความเสียหายเป็นหลัก
เศรษฐศาสตร์แบบทุนนิยม เสรีนิยม (Laissez-Faire) เช่น อบต. ควรใช้หลักทฤษฎีนี้ปล่อยให้เป็น
อิสระ
2. Ambitions check Ambitions Democracy (James Madison)
สังคมที่ให้ความทะเยอทะยานของคนหรือกลุ่มคนมาถ่วงดุลตรวจสอบกัน ผลรวมที่ได้ คือ ประชาธิปไตย
ทำาให้เกิดการกระจายตัวของอำานาจ ไม่มีอำานาจเบ็ดเสร็จ เป็นกระบวนการเจรจาต่อรอง
เป็นทฤษฎีแบบพหุนิยม (Pleuralism) มีความหลากหลายของกลุ่มผลประโยชน์จำานวนมาก
3. Fear Security (The Prince : Machiavelli)
ถ้าพระราชาต้องการให้รัฐมีความมั่นคง ต้องใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือ ปัจจุบันไม่สามารถใช้ได้แล้ว เช่น
พฤษภาทมิฬ
ตัวแบบและทฤษฎีการเมืองไทย
Feed back
Demand เรียกร้องความต้องการ
แนวคิด Liberal
วิธีการหลีกเลี่ยง Implosion
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและการเมืองไทย
เป็นผลมาจากนโยบายในแต่ละยุคสมัย
รัชกาลที่4 :
(1) การเปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการทำาสนธิสัญญาบาวริ่ง และ
(2) การรักษาโครงสร้างการปกครองจากนโยบายการฑูต
เดิมในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ส่งข้าราชการออกไปกินเมือง ความสัมพันธ์ของส่วนกลางกับส่วน
ภูมิภาคเป็นแบบ push (หัวเมืองผลักส่วนกลางออก) & pull (ส่วนกลางดึงหัวเมืองไว้) ส่วนกลาง
ต้องการรายได้ จึงมีพระบรมราชโองการห้ามหัวเมืองชายฝั่งค้าขายกับต่างชาติ โดยให้ทำาการโดยตรงกับราช
สำานัก เกิดการค้าผูกขาดโดยราชสำานัก
กลางศตวรรษที่ 19 (1850+) เริ่มเจรจาลงนามสนธิสัญญาบาวริ่ง ซึ่งจากนโยบายนี้ทำาให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงเป็นผลที่ตามมา
1. ยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (ยอมให้ขึ้นศาลกงสุลของประเทศนั้นๆ) เกิดผลในรัชสมัย ร.5 การ
คมนาคมสะดวกขึ้น คนที่เดินทางมากับเรือกลไฟเมื่อทำาความผิดก็มักจะอ้างว่าอยู่ในอาณัติของประเทศต่างๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงศาลไทยจึงต้องส่งคนไปศึกษาด้านกฎหมายเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัย เพื่อต่างชาติจะ
ได้ยอมรับ
รัชกาลที่ 5 :
เชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ทรงเห็นว่ายังไม่พร้อม จึงได้พระราชทาน
- State Council (อภิรัฐมนตรี) ซึ่งต่อมา คือ คณะรัฐมนตรี ที่มีอำานาจสูงสุดทางการบริหารใน
ปัจจุบัน
- Privy council (องคมนตรี) เป็นคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ทรงยอมเสียดินแดนเมือง
ขึ้นเพื่อรักษาเอกราชของประเทศ นับเป็นนโยบายแบบ Pracmatism เช่นกัน
รัชกาลที่ 6 :
ทรงมีทัศนคติต่อคนจีนว่าเป็น Jew of the East (ยิวแห่งบูรพาทิศ) มีพฤติกรรมเห็นแก่ตัว
เอาแต่ได้ มุ่งสะสมเงิน เพื่อเอาไปสร้างเมืองในบ้านเกิด เป็นข้อมูลเพียงวงแคบที่ทรงได้รับจากในราชสำานัก
ทำาให้มีผลต่อนโยบายที่กำาลังจะเปลี่ยนไป ตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ให้วิธีการปกครองคน
ต่างชาติแบบแบ่งแยกแล้วปกครอง ตั้งชุมชนชาติต่างๆให้ดูแลปกครองกันเอง เป็นอิสระ รวมทั้งให้ตำาแหน่ง
หน้าที่ขุนนาง สร้างความจงรักภักดี ไม่มีปัญหารัฐซ้อนรัฐและกระแสชาตินิยมไม่ยอมให้ถือ 2 สัญชาติ โดย
เฉพาะรุ่นลูกที่มีแม่เป็นคนไทย ถูกเลี้ยงดูมีความเป็นไทย ถูกทำาให้กลมกลืนแต่ศตวรรษที่ 20 เรือกลไฟทำาให้
การเดินทางสะดวกขึน้ คนจีนอพยพมามากทั้งชาย หญิง จึงมีการแต่งงานในหมู่ชาติเดียวกันรวมทั้งจากสนธิ
สัญญาบาวริ่ง ทำาให้อ้างอาณัติของชาติต่างๆ มีผลต่อการดูดซับคนเหล่านี้เข้าสู่ระบบของสังคมไทย
รัชกาลที่ 7 : หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ยุคจอมพล ป. ลัทธิชาตินิยมรุนแรง ทัศนคติสมัย ร.6 กลายมาเป็นนโยบายต่อต้านคนจีน ทำาให้คน
จีนไม่มีทางเลือก เช่น การบีบให้พ่อค้า ที่จะทำาสัญญากับรัฐประมูลงาน ขอสัมปทาน ต้องเป็นบริษัทที่มี
สัญชาติไทย พ่อค้าจีนจึงต้องเปลี่ยนสัญชาติ รวมทั้งชื่อนามสกุลมาเป็นไทย รวมทั้งคนที่เกิดในประเทศไทย จะ
ได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนโดยอัตโนมัติ การสร้างสัมพันธ์กับผู้มีอำานาจ ข้าราชการให้มานั่งในบริษัท
สงวนอาชีพให้คนไทยทำา แต่บางอาชีพที่คนไทยไม่พร้อมจะทำาเองก็ยอมให้คนจีนทำา เพื่อรักษาเศรษฐกิจ (คิด
Pracmatism) การควบคุมโรงเรียนจีน ใบอนุญาตสอนหนังสือของครูจีน ต้องเทียบความรู้ชั้น ป.4 เพื่อ
เรียนรู้ภาษาไทย
หลังจีนเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 1949 ปีต่อมาจึงมีการกำาหนดโควตาการอพยพเข้าเมืองลด
เหลือปีละ 200 คน ทำาให้คนจีนไม่สามารถเข้ามาเติมความเป็นจีนในสังคมไทยได้อีก มาตรการ(นโยบาย)
ทั้งหมดนี้จึงทำาให้โครงสร้างเปลี่ยนไป มีความผสมกลมกลืนของวัฒนธรรมมากขึ้น ไทย+จีนปรับตัวเข้าหา
กัน และมีการยอมรับคนไทยเชื้อสายจีนมากขึ้น เห็นได้จากการเลือกตั้งที่พ่อค้า นักธุรกิจ(คนจีนเป็นส่วน
ใหญ่) ได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภามากขึ้นเรื่อยๆจนมากกว่าข้าราชการ
Bureaucracy Extra-Bureaucracy
สมัย Riggs พลังในระบบราชการ (Bureaucratic force) มีอิทธิพลมาก และมีการต่อสู้กันระหว่าง
ก๊ก ตามตัวแบบ Bureaucratic Polity Model ขณะที่พลังนอกระบบราชการ (Extra-
Bureaucratic force) ยังมีอิทธิพลน้อย แต่เมื่อมีการพัฒนาทางการเมือง
กลุ่มผลประโยชน์ ที่เป็นพลังนอกระบบราชการ มีการต่อสู้ถ่วงดุลอำานาจกันเอง รวมทั้งต่อสู้กับพลังในระบบ
ราชการ ทำาให้มีอิทธิพลมากขึ้นในการถ่วงดุลอำานาจ โดยทั้งสองฝ่ายไม่จำาเป็นต้องต่อสู้กันเสมอไป อาจมีการ
ร่วมมือ (2 วงทับซ้อนกัน)
บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในทางการเมือง
Kingship จะไม่มาแตะ 2 วงล่าง ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับ day-to-day politics แต่ยังจำาเป็น
ต่อการพัฒนาการเมืองไทย
เพราะ การเมืองยังไม่ได้ต่อสู้ด้วยหลักการ หรือนโยบาย (Policy Conflict) ยังคงใช้ความขัดแย้งส่วน
ตัว ผลประโยชน์
(Personalized Conflict) นำาไปสู่วิกฤตการณ์ ซึ่งต้องอาศัยบารมีของสถาบันกษัตริย์เข้ามาหยุดยั้ง
วิกฤตการณ์นั้น บทบาทจึงเป็น Stabilizing Influence & Balance พลังทีน่ ำามาซึ่งเสถียรภาพ
และการถ่วงดุลทางการเมือง
Prof. Tambiah : อำานาจบารมีของกษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับมีมากขึน้ เพราะทรง
แต่งตั้งผู้อื่นบริหารแทน
คำาถามที่เกิดขึน้ :