You are on page 1of 85

ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ

บทนํา

ผูรูจริงยอมพูดเรื่องเดียวเทานั้น คือ เรื่องการพาคนไปใหถึงพระนิพพาน และผูรู


จริงเทานั้นจึงรูวา ความรูทางโลก เชน ความรูทางวิทยาศาสตรที่แมชาวโลกเห็นพอง
ตองกันวามีความสําคัญอยางยิ่งยวดตอการดํารงอยูของชีวต ิ นั้น ก็ยังไมมีความสําคัญมาก
เทากับความรูเรื่องการดับทุกขหรือการเขาถึงพระนิพพาน ฉะนั้น แมอัลเบิรต ไอนสไตน ได
ทิ้งมรดกทางปญญาใหชาวโลกไวอยางมากมายมหาศาลเพียงใด ดิฉันก็ไมไดมอง
ไอนสไตนในฐานะผูรูจริง เพราะไอนสไตนยังไมไดเปนผูรูจริง เขาเปนเพียงนักฟสิกสที่
ไดรับรางวัลโนเบล ความรูดานฟสิกสของไอนสไตนไดไขความลึกลับของธรรมชาติอัน
เนื่องกับสสารและพลังงานอันคือเนื้อหาของทฤษฎีสัมพัทธภาพ และกลศาสตรควอนตัม อัน
เปนความรูทางฟสิกสพื้นฐานที่ไดรับการตอยอดและพัฒนามาสูเทคโนโลยี่ในปจจุบันนี้
เทานั้น ซึ่งความรูเหลานี้ของไอนสไตนไมไดมีสวนเกี่ยวของกับการพาคนไปนิพพานเพื่อ
การหลุดพนจากความทุกขแตอยางใด

ดิฉันไดพูดถึงเรื่องการตอตัวตอในหนังสือเรื่องใบไมกํามือเดียว หากจะ
เปรียบเทียบกับเรื่องตัวตอของภาพชีวิตที่สมบูรณอันมีตัวเราเปนสวนหนึ่งที่กระจิดริดมาก
ของจักรวาลทั้งหมดแลว ไอนสไตนก็คือบุคคลหนึ่งที่สามารถตอตัวตอกระจุกเล็ก ๆ มุมหนึ่ง
อันเปนงานที่เขาสานตอจากนักวิทยาศาสตรที่มีชีวิตกอนหนาเขา เชน ไอแซก นิวตัน ไม
เคิล ฟาราเดย อังตวน ลาวาซิเอ เอิรนท มาค เปนตน ซึ่งไอนสไตนอาจจะตอตัวตอของภาพ
ชีวิตที่เนื่องกับจักรวาลในกระจุกใหญเพียงพอทีท ่ ําใหภาพของมุมนั้น ๆ ชัดเจนมากขึ้น คือ
สามารถไขกุญแจเขาไปสูความลึกลับของปรากฏการณธรรมชาติของเอกภพโดยเฉพาะเรื่อง
แสง การเคลื่อนของแสง ของอวกาศและเวลาไดมากขึ้นจนกอใหเกิดสูตรทางคณิตศาสตร
e=mc2 ที่ดูเรียบงายแตซับซอน รวมทั้งเปดเผยคุณภาพทั้งฝายดําสนิท (การผลิตระเบิดป
รมณู) และฝายขาวอยางขุนมัว (เทคโนโลยี่ทางวัตถุ)ของธรรมชาติ ซึ่งความรูเหลานี้ของ
ไอนสไตนไดเปดโอกาสใหนักฟสิกสรุนหลังตอยอดความรูของเขาไดอยางไมหยุดยั้งจน
กลายเปนความรูพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี่ของทุกวันนี้

แตแมไอนสไตนจะรูอะไรไดมากมาย อัจฉริยะบุคคลทานนี้ก็ยังไมสามารถตอ
ภาพทั้งหมดของชีวิตที่สัมพันกับจักรวาลไดหมด เพราะเขายังไมพบ “ตัวตอตัวสุดทาย The
missing link” ที่สามารถทําใหภาพทั้งหมดของชีวิตชัดเจนและสมบูรณได ความสามารถใน
การเห็นภาพรวมของชีวิตเพราะสามารถวางตัวตอตัวสุดทายลงไดเปนความสามารถของผูรู
จริงเทานั้นอันมีพระพุทธเจาเปนบุคคลทานแรกของโลกที่ตอภาพทั้งหมดของชีวิตที่
ประสานกับจักรวาลไดสําเร็จ

ฉะนั้น สิ่งที่ชาวโลกโดยเฉพาะผูคลั่งไคลบูชาความสําเร็จและความมหัศจรรย
ของวิทยาศาสตรตองตระหนักใหชัดเจนคือ ไอนสไตนก็ยังเปนมนุษยคนหนึ่งที่อยู ในขั้นตอน
ของการแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุดเหมือนมนุษยคนอื่น ๆ อีกมากมาย สัจธรรมอันสูงสุดนี้
ดิฉันไดพูดแลววาเปนสภาวะเดียวกับพระนิพพาน พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต หรือ ที่นี่

1
เดี๋ยวนี้ ดิฉันไดตั้งศัพทใหมที่รัดกุม และเหมาะกับยุคสมัยที่คนรุนใหมสามารถเขาใจได
งายขึ้นคือ สภาวะ “ผัสสะบริสุทธิ์ The innocent perception” นั่นเอง

ในป ค.ศ. 1954/๒๔๙๗ ไอนสไตนไดเขียนไวในหนังสือเรื่อง The Human


Side ยอมรับเองวา คําตอบที่เขาตองการนั้นอาจจะอยูในพุทธศาสนาแลวก็เปนได เขาพูดวา

ศาสนาในอนาคตจะเปนศาสนาที่เนื่องกับจักรวาล ควรอยูเหนือพระเจาสวนตัว
หลีกเลี่ยงลัทธิกฏเกณฑที่ไรขอพิสูจน ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ ควร
ตั้งอยูบนรากฐานของศาสนาที่เกิดจากประสบการณของทุกสิ่งที่สรางเอกภาพอันมี
ความหมาย ซึ่งพระพุทธศาสนาดูเหมือนจะมีสิ่งเหลานี้อยู ศาสนาพุทธนาจะเปนศาสนาที่
สามารถแกไขปญหาตาง ๆ ของยุคสมัยได

การคาดการณของไอนสไตนถูกตองทีเดียว นี่จึงเปนคําพูดของไอนสไตนที่ดิฉัน
พยายามจะชวยตอยอดประสานใหพบกับความรูของพระพุทธเจาใหจงได จุดคงที่ของ
จักรวาลที่ไอนสไตนตองการหากอนทฤษฎีสัมพัทธภาพรวมทั้งทฤษฎีเอกภาพที่เขาแสวงหา
อยูในชวง ๓๐ ปสุดทายของชีวิตนั้น ไมใชอะไรอื่น มันคือสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระ
นิพพานนั่นเอง ไอนสไตนหาไมพบ เพราะขาดป จัยสําคัญ คือ ไมไดพบผูรูจริง

ผูอานอาจจะสงสัยวา ดิฉันไมไดเปนนักฟสิกส แลวดิฉันจะเอาความรูทางฟสิกส


ที่ไหนมาตอยอดความรูของไอนสไตนได คําตอบคือ ดิฉันไมไดตองการหยิบยื่นความรูเรื่อง
ฟสิกสใหแกคุณ จึงไมจําเปนตองรูร ายละเอียดของฟสิกสทซ ี่ ับซอนเขาใจยาก การเห็น
ภาพทั้งหมดของชีวิต หรือ การรูสภาวะพระนิพพานคือ การรูทิศทางของชีวิตที่จะทําใหคน
หมดทุกข รูวาความรูไหนกําลังชวยใหคนเดินทางไปถูกทิศหรือผิดทิศ เขาใกลหรือหางไกล
จากพระนิพพานมากแคไหน ฉะนั้น สิ่งที่ดิฉันจะพูดอันเนื่องกับความคิดของไอนสไตนใน
หนังสือเลมนี้จึงไมใชเรื่องฟสิกสที่จะนํามาตอยอดใชพัฒนาเทคโนโลยี่ได แตเปนเรื่องการ
ปรับเข็มทิศชีวิตเทานั้น เปนเรื่องการเบนเข็มทิศชีวิตเพื่อชวยใหผูสนใจงานของไอนสไตน
มาสนใจเรื่องราวของการหมดทุกขหรือไปใหถึงพระนิพพานเทานั้น

ฉะนั้น ดิฉันจะพูดพาดพิงเพียงความคิดหลักอันเปนสวนของโครงสรางใหญ
เทานั้น ซึ่งถึงแมดิฉันจะเขาใจคลาดเคลื่อนไปบางนิดหนอย ก็ยังไมเปนไร ไมใชเรื่องคอ
ขาดบาดตาย เพราะสิ่งที่ดิฉันตองการใหคุณมองออกคือ วิธีการเดินสายความคิดของ
ไอนสไตนรวมทั้งปญญาชนโดยทั่วไปนั้น ลวนเปนเรื่องการเดินเขาไปในทอของความคิดอัน
เปนปญญาฝายโลก ที่ดิฉันเรียกวา ทอแหงความรูทางโลก The tube of intellect

ในสวนความคิดหลักอันเปนโครงสรางใหญของไอนสไตนนั้น ถาพูดอยางสรุปก็มี
เพียงนิดเดียวเทานั้น ซึ่งความรูสวนนี้ดิฉันก็ไดรับจากคุณครูที่สอนวิทยาศาสตรในสมัยเรียน
ชั้นมัธยมซึ่งสอนอยางสรุปยอ ๆ เทานั้นและยังมีหลงเหลืออยูบางในความทรงจําของดิฉัน
โดยเฉพาะเรื่องรถไฟสองขบวนวิ่งดวยความเร็วพรอมกัน นอกจากนั้น ดิฉันมักจะดึงความคิด
หลัก ๆ ออกมาจากหนังสือบรรณานุกรมของเยาวชน ซึ่งผูเขียนมักพูดสรุปความคิดในสวนที่
เปนโครงสรางอยางยอ ๆ ดวยภาษาที่เขาใจไดงาย ๆ ประโยคที่ดิฉันไดพบและนําออกมาใช
อยูหลายปแลวนั้นคือ อะไรคือจุดนิ่งที่สมบูรณและเปนอนันตกาลของจักรวาล What is the
absolute ruling point in nature? ซึ่งดิฉันเห็นวาเปนประโยคที่ชวยใหเขาใจความคิดหลัก

2
ของไอนสไตนไดงาย ๆ เมื่ออานพบก็รูทันทีวา นี่เปนประโยคที่ ดิฉันสามารถใชเชื่อมตอกับ
ความรูเรื่องนิพพานของพระพุทธเจาไดดวย จึงใชมาตลอด
นอกจากนั้น ดิฉันยังใหความสนใจดูสารคดีทางวิทยาศาสตรตาง ๆ โดยเฉพาะใน
ปนี้ โทรทัศนของอังกฤษไดรวมฉลองการครบรอบรอยปของผลงานอันยิ่งใหญของ
ไอนสไตน เปนปแหงฟสิกสโลก (World Year of Physics) จึงมีสารคดีตาง ๆ ที่เกี่ยวของ
กับผลงานทางดานฟสิกสของอัจฉริยะบุคคลทานนี้มาก ซึ่งเอื้ออํานวยใหดิฉันเขาใจงานของ
ไอนสไตนมากขึ้นอีกนิดหนอย จึงพยายามจับจุดสําคัญที่ชวยใหดิฉันสามารถเชื่อมโยง
ความคิดของนักฟสิกสผูโดงดังทานนี้กับความคิดของพระพุทธเจา นี่คือเปาหมายหลักที่
ดิฉันจะพยายามทําใหดีที่สุด นัน ่ คือ หยิบยื่นสัจธรรมใหคุณดวยการเขาถึงอยางเปนกลาง ๆ
ที่สุด หางจากกรอบประเพณีของศาสนาที่มักมีความขัดแยงซึ่งกันและกัน

การที่จะเขาใจหนังสือเลมนี้ไดอยางถองแทและถึงแกนของมันนั้น ผูอานควร
ตองเขาใจใหชัดเจนวา เนื้อหาของหนังสือเลมนี้เปนความรูที่ตอเนื่องจากหนังสือเลมกอน ๆ
ของดิฉัน คือ ใบไมกํามือเดียว คูมือชี วิตทั้งสองภาค และ อวดอุ ตริมนุสธรรมที่มีในตน
หนังสือทั้ง ๔ เลมรวมทั้งเลมนี้ลวนเปนผลผลิตจากการปฏิบัติธรรมของดิฉัน จนถึงจุดที่ดิฉัน
แนใจแลววา ประสบการณที่ดิฉันเรียกวา ผัสสะบริสุทธิ์ เปนสภาวะเดียวกับ พระนิพพาน
หรือ สัจธรรมอันสูงสุด
ฉะนั้น วิธีการนําเสนอเรื่องตาง ๆ ของทุกบทในหนังสือเลมนี้อาจจะเปนวิธีการ
ใหมสําหรับปญญาชนที่ยังไมชินกับงานเขียนของดิฉัน นั่นคือ ดิฉันเขียนจาก “ผลมาสูเหตุ”
ไมใชเขียนจาก “เหตุไปสูผล” ซึ่งเปนวิธีการทางวิทยาศาสตรที่ปญญาชนเคยชินมากกวา
การเขียนจาก “ผลมาสูเหตุ” นี้ ยังไมมีอยูในสารบบใด ๆ ของความรูทางโลก นี่เปนวิธีการ
เขียนและการสอนของผูรูสัจธรรมอันสูงสุดเทานั้น
ดิฉันไดอธิบายไวแลวในบทที่สองของหนังสือใบไมกํามือเดียววา การตรัสรูของ
พระพุทธเจาหมายความวา ทานไดพบสภาวะหนึ่งที่คนอื่นยังไมรูจัก นั่นคือ สภาวะพระ
นิพพาน และ ทานก็ทรงทราบอยางแนชัดวา สภาวะนี้คือ เปาหมายปลายทางของทุกชีวิต
เปนที่สุดของทุกอยาง เปนสภาวะที่ทุกคนตองไปใหถึง ฉะนั้น สภาวะพระนิพพานคือ ผล
(นิโรธ) ซึ่งดิฉันเปรียบเหมือนการพบสระน้ําอมฤตที่อยูในปา เมื่อใครไดดื่มแลว จะมีชีวิต
อมตะ เมื่อพระพุทธเจาพบสระน้ําอมฤต ทานจึงออกจากปาเพื่อมาบอกทางใหคนทั่วไปไดรู
ทางไปถึงสระน้ําอมฤตนั้น การบอกทางนี้จึงเปนเหตุ (มรรค) ที่สาวขึ้นไปสูผล แตเปนผลที่
พระพุทธเจารูกอนแลว ฉะนั้น การวางขั้นตอนของอริยสัจสี่นั้น ทานจึงทรงวาง นิโรธ มากอน
องคมรรค หรือ “ผลมาสูเหตุ” ดวยเหตุผลเชนนี้
ถาจะเปรียบเทียบกับการตอตัวตอที่พูดเมื่อสักครูนี้ก็หมายความวา พระพุทธเจา
เห็นภาพทั้งหมดของรูปสําเร็จแลว จึงสามารถสอนใหคนตอตัวตอที่ยังกระจัดกระจายอยู ดวย
วิธีการที่เร็วที่สุด เพราะรูวาชิ้นไหนตองวางตรงไหน จึงเปนการสอนการตอตัวตอแบบ “ผล
มาสูเหตุ” เชนกัน วิธีการสอนเชนนี้จึงเปนเรื่องใหมสําหรับปญญาชน เปนเรื่องที่ปญญาชน
ตองระวังมาก ไมควรรีบสรุปหรือตัดสินหนังสือเลมนี้อยางงาย ๆ และรวดเร็วเกินไป เพียง
เพราะสิ่งที่อานอาจจะดูขัดกับความรูสึกและความเขาใจของตนเอง

ในหนังสือเรื่อง “อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” นั้น ดิฉันจําเปนตองใชหนังสือทั้ง


เลมนี้อธิบายใหผูอานยอมรับเพียงเรื่องเดียวเทานั้นคือ ใหยอมรับวาดิฉันรูจักสภาวะพระ
นิพพาน เพราะดิฉันรูจักสภาวะพระนิพพานนี่เอง ดิฉันจึงสามารถตั้งชื่อพระนิพพานใหม
เพื่อใหเหมาะกับยุคสมัยคือ ผัสสะบริสุทธิ์ หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตรงนี้แหละ คือ จุดเริ่มตนของ
ความรูทั้งหลายที่ทําใหดิฉันสามารถเขียนหนังสือเลมนี้ไดดวยวิธีการสอนแบบ “ผลมาสู
เหตุ” และพระนิพพานอีกเปนจุดที่ทุกเรื่องตองมาจบที่ตรงนี้เช นกัน

3
พระนิพพานหรือผัสสะบริสุทธิ์คือ “ผล” ที่ดิฉันไดเห็นแลว รูแลว แนใจแลววา
“ใชแน” จึงนําประเด็นหัวขอที่ทาทายของบทตาง ๆ ขึ้นมาพูด ประสาน และเทียบเคียง ซึ่ง
ประเด็นเหลานี้เปนเรื่องที่ดิฉันไดเขียนเปนภาษาอังกฤษไวกอนแลวในหนังสือเรื่อง Do You
Know What A Normal Mind Is? ซึ่งลวนเปนประเด็นที่เปนจุดออนของชาวตะวันตก เชน
การถามคําถามเรื่องการแสวงหาตัวจริงของเราซึ่งดิฉันเอาออกมาจากรายการสนทนาใน
โทรทัศน การตั้งคําถามเรื่อง “จิตใจที่ปกติ” เปนอยางไรเพราะไดนั่งรถไปกับลูกศิษยที่เปน
โรคจิต ตั้งคําถามวา “พรมแดนสุดทายของจักรวาล” อยูที่ไหนเพราะนี่เปนอิทธิพลของหนัง
โทรทัศนเรื่อง Star Trek ที่คนติดตามมารวม ๓๐ ป เปนวลีที่ชาวตะวันตกรูจักกันดี
ดิฉันจึงนําคําถามเหลานี้มาเชื่อมประสานกับเรื่องการแสวงหา “จุดคงที่ของ
จักรวาล” ซึ่งเปนเรื่องที่อยูตรงขามกับความคิดเรื่องสัมพัทธภาพของไอนสไตน ความคิด
เรือ
่ งสัมพัทธภาพของไอนสไตนเปนการเดินสายความคิดที่ใกลเคียงกับการถามเรื่องพระ
นิพพานของพระพุทธเจามากที่สุด เพราะถามวาจุดนิ่งของจักรวาลที่จะเอามาใชเปน
มาตรฐานการวัดของทุกสิ่ งอยูที่ไหน ซึ่งไอนสไตนเห็นวาไมมี เพราะจักรวาลเคลื่อน
ตลอดเวลา จึงกอใหเกิดผลคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับการยอมรับสภาวะ
อนิจจังของทุกสิ่ง เปนสภาวะที่ไอนสไตนไดเดินมาถึงสุดสายปานของ “การใชความคิด”
แลว ไปตอไมไดแลว
ดิฉันจึงชวยประสานโดยการชวยขีดเสนใตคําถามที่อาจจะยังไมชัดเจนใหเขา
เพราะเขายังคนไมพบ นั่นคือ จุดคงที่ของจักรวาลคืออะไร อยูที่ไหน What is the
absolute ruling point in nature? ถึงแมไอนสไตนไมไดใช คําพูดเชนนี้ ไมไดถามเชนนี้
คนรุนหลังสรุปใหเขาดังที่ดิฉันเอาออกมาจากหนังสือสารานุกรมภาษาอังกฤษ แตนี่เปน
คําถามที่จะพาผูถามไปสูเรื่องพระนิพพานซึ่งเปนนิจจัง เปนเรื่องคงที่ อันเปนสภาวะที่
ตรงกันขามกับอนิจจังหรือสัมพัทธภาพ
ฉะนั้น ประเด็นเหลานี้จึงเปนเรื่องที่ดิฉันตองการชวยผูอานชาวตะวันตกใหเขาใจ
เปาหมายปลายทางของชีวิตไดชัดเจนขึ้น คือ แทนที่จะพูดวา นิพพานเปนเปาหมาย
ปลายทางของชีวิต ดิฉันพูดใหมวา เปาหมายชีวิตอยูที่การหาตัวจริงของเราใหพบ หรือ
เปาหมายชีวิตอยูที่การสามารถเขาถึงจิตใจที่เปนปกติ หรือ เปาหมายชีวิตอยูที่การสามารถ
เขาถึงจุดปกติหรือจุดคงทีห ่ รือไปถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาล ซึ่งดิฉันเห็นวาการพูด
เชนนี้ อธิบายเชนนี้ จะชวยปญญาชนของยุคนี้เขาใจไดดีกวาการพูดวา “เปาหมายชีวิตอยูที่
การไปใหถึงพระนิพพาน” เพราะคําวา พระนิพพาน ไดถูกวัฒนธรรมทางศาสนาปกคลุม
บิดเบือนจนคนเขาใจผิดไปมากแลว มักคิดวาเปนเรื่องไกลเกินตัว เปนเรื่องของพระอริยะที่
ไมเกี่ยวของกับตนเองเลย หรือไมก็เปนเรื่องของคนตายแลว ไมเกี่ยวกับชีวิตของคน
ธรรมดาทั่วไปอยางเราทานทั้งหลายที่กําลังดิ้นรนทํามาหากินอยู ซึ่งเปนเรื่องเขาใจผิดหมด
นี่เปนสาเหตุใหญที่ดิฉันจําเปนตองสรางและจับประเด็นเหลานี้มาชนกัน ประสานกัน เพื่อ
ชวยใหผูอานเริ่มคิดในรองทางที่ถูกตองโดยใชภาษาของคนรวมสมัย และเพื่อพาพวกเขา
ไปพระนิพพาน เพราะพระนิพพานเปนจุดอันติมะที่ “ทุกเรื่อง” อันเกี่ยวของกับชีวิต โลก
และ จักรวาล จะตองไปลงที่จุดนั้นหมด

ปญหาจึงอยูตรงที่วา หากผูอานไมยอมรับวา ดิฉันรูจักสภาวะพระนิพพานอยาง


แทจริงแลวไซร ยอมตองมองประเด็นเหลานั้น เปนเพียงสมมุติฐานที่ดิฉันตั้งขึ้นมาและพูด
เหมาเอาเอง สรุปเองโดยไมมีหลักฐาน ขอมูลมาสนับสนุนอยางเพียงพอ เหมือนจับแพะชน
แกะ จะทําใหคุณสับสนและไมไดรับประโยชนจากการอานหนังสือเลมนี้อยางเต็มที่ เพราะ
สิ่งที่คุณเห็นวาเปน “สมมุติฐาน hypothesis ” ของดิฉันนั้น สําหรับดิฉันแลวมันเปน
“ขอเท็จจริง fact” ที่ดิฉันไดรูแลว เห็นแลว ไมใชเรื่องการคิด จินตนาการอยางเพอฝนเลื่อน
ลอยแตอยางใด

4
เพราะดิฉันรูวาพระนิพพานคืออะไร ดิฉันจึงสามารถพูดไดวา ตัวจริง ๆ ของเราคือ
อะไร อยูที่ไหน รูวาจิตใจที่ปกติเปนอยางไร พรมแดนสุดทายของจักรวาลอยูที่ไหน จุดคงที่
หรือจุดปกติของจักรวาลอยูที่ไหนและเปนอยางไร และปญญาชนกําลังติดอยูใน “กลอง
ความคิด” หรือ “กลองความรูทางโลก” อยางไร เพราะคําถามเหลานี้เปนคําถามเดียวกับ
คําถามวา พระนิพพานคืออะไร อยูที่ไหนนั่นเอง ซึ่งดิฉันอธิบายคําตอบเรื่องพระนิพพานดวย
คําใหมคือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ใครรูจักและสามารถเขาถึง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไดละก็ คนนั้นก็เขาถึง พระ
นิพพานแลว เพราะเปนสภาวะเดียวกัน ซึ่งคําวา ที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์ เปนคําวลีที่
เขาใจและเขาถึงไดงายกวาพระนิพพานมากทีเดียว
เพราะดิฉันรูแลววาพระนิพพานคืออะไร ดิฉันจึงสามารถนําคําเหลานี้มา
เทียบเคียงกับคําวา พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต เพื่อชวยเหลือศาสนิกอื่นใหเขาใจ
เปาหมายของชีวิตและชวยใหเขาเดินทางไปหาพระเจาของเขาไดดวยวิธีการของ
พระพุทธเจาคือ การปฏิบัติสติปฏฐานสี่ ซึ่งเปนเรื่องสากลที่มนุษยทุกคนทําได ดิฉันจึง
สามารถกระจายความรูออกมาไดเชนนี้
จุดออนของหนังสือเลมนี้คือ ความรูทางฟสิกสที่ดิฉันไมสามารถเขาใจไดหมด
และถองแท แตถึงแมความรูทางฟสิกสของหนังสือเลมนี้จะผิดหมด ก็ยังไมเปนไร ไมนาหวง
มากเทาการสรุปสภาวะพระนิพพานอยางผิด ๆ เพราะความรูทางโลกทุกอยางลวนเปน
ความรูที่เกิดใน “ทอความคิด” แมจะถูกตองอยางไรในสายตาของปญญาชน สําหรับคนที่รู
วาสัจธรรมคืออะไรแลว มันก็ยัง “คด” อยูนั่นเอง แมไอนสไตนมานั่งเบื้องหนาดิฉันและ
อธิบายใหดิฉันเขาใจความรูของเขาทั้งหมดจนดิฉันเขาใจแจมแจงก็ตาม ดิฉันก็ยังจะพูด
เหมือนเดิมวา ไอนสไตนยังไมใชผูรูเห็นสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลอยางแทจริง เพราะ
ผูรูสัจธรรมจริงจะพูดเพียงเรื่องเดียวเทานั้น คือ พูดชักชวนคนไปนิพพาน
นี่เปนประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งมาก ที่คุณอาจตองใชเวลาทั้งชีวิตปฏิบัติ
วิปสสนา จึงสามารถเขาใจความหมายของมันได หากคุณอานเฉย ๆ โดยไมปฏิบัติวิปสสนา
แลว คุณจะไมเขาใจวาทําไมดิฉันจึงกลา “อวดอุตริ” ทาทายอัจฉริยบุคคลอยางไอนสไตน
และกลาพูดวา เขายังไมใชผูรูจริง ฉะนั้น กอนที่ปญญาชนโดยเฉพาะผูเชี่ยวชาญดานฟสิกส
จะรวมตัวกัน “เหยียบ” ดิฉันเพราะเห็นจุดออนของหนังสือเลมนี้แลวละก็ อยางนอยที่สุด
คุณตองเขาใจความหมายของคําวา “ผัสสะบริสุทธิ”์ หรือ ไมก็ “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ในลักษณะของ
“ประสบการณ experience” หรือ “สภาวะที่แทจริง” ที่เกิดในตัวคุณเสียกอน คุณจึงสามารถ
วิจารณหนังสือเลมนี้ไดอยางถูกตอง ถาคุณไมมีสภาวะนั้นแลว และไมเห็นดวยกับสิ่งที่ดิฉัน
เขียน ดิฉันก็ไมเห็นหนทางที่คุณจะวิจารณหนังสือเลมนี้ไดอยางไร เพราะจะตกอยูใน
รูปลักษณะ “พูดกันคนละเรื่อง” คือ คุณพูดในขณะที่อยูในกลองความคิดหรือทอความรูทาง
โลกอันมืดมิด (บทที่ ๕) ในขณะที่ดิฉันกําลังพูดจากจุด ก อันเปนจุดคงที่หรือพรมแดน
สุดทายของจักรวาล (บทที่ ๔)
การใชคําศัพททางธรรมในหนังสือเลมนี้ก็เชนกัน คนที่ศึกษาพระอภิธรรมคง
อยากตําหนิดิฉันเชนกันวาใชคําวา “จิตใจ” อยางผิด ๆ คําวา จิต ในหนังสือเลมนี้ นาจะใชคํา
วา เจตสิก จึงจะถูกตอง เพราะดิฉันรูแนชัดวาพระนิพพานคืออะไรนี่เอง ดิฉันจึงกลาใชคําวา
จิตใจ ในความหมายที่แตกตางจากพุทธพจน ซึ่งดิฉันก็ตระหนักชัดแลว แตไมเห็นวาเปน
ความเสียหายแตอยางใดเชนกัน เพราะดิฉันมีเจตนาเพื่อชวยเหลือผูอานใหเขาใจเรื่องการ
ทํางานของจิตใจตนเองชัดขึ้น จึงใชคําที่ดิฉันเห็นวาคนอานจะเขาใจไดงายกวาคําศัพทที่
ยาก ๆ เชน เจตสิก ซึ่งคนสวนมากไมชินเทาคําวา จิตใจ การใชคําวา จิตใจ และแทนมัน
ดวยคําวา ทอมกับเจอรี่ เปนวิธีการใหมที่ดิฉันไดสรางขึ้นมาเพื่อชวยเหลือคนที่ไมถนัด
คําศัพทยาก ๆ ทางอภิธรรม และดิฉันก็ไดใชมาอยางตอเนื่องตั้งแตหนังสือเลมกอน ๆ ของ
ดิฉันแลว จึงจะใชตอไป

5
ขอใหเขาใจวา หากพระนิพพานเปนเปาหมายปลายทางที่ดิฉันพยายามจะชวย
ใหผูอานไปถึงแลวละก็ การเดินเรื่องตั้งแตการตั้งประเด็นจนถึงบทสรุปในแตละบทของ
หนังสือเลมนี้ เปรียบเทียบไดเหมือนวา ดิฉันกําลังวาดแผนที่หยาบ ๆ ใหผูอาน เหมือนดิฉัน
ควากระดาษมาแผนหนึ่งแลวก็ลากเสนแบบหยาบ ๆ พอใหคนอานแผนที่รูทางไปนิพพาน
หรือไป “ภูกระดึงทางธรรม”
แนนอน แผนที่หยาบ ๆ ที่ดิฉันลากนี้ยอมไมเหมือนแผนที่ฉบับดั้งเดิมของ
พระพุทธเจาหรือพระไตรปฎก แตตราบใดที่คนอานแผนที่หยาบ ๆ ของดิฉันสามารถเดิน
ตามการบอกทางของดิฉันและสามารถไปถึงภูกระดึงทางธรรมหรือพระนิพพานไดแลวละก็
ดิฉันเห็นวาหนังสือเลมนี้ก็ไดบรรลุเปาหมายของมันแลว หนทางเขาสูกรุงโรมยอมมีมากกวา
หนึ่งเสนทาง ใครจะเดินทางไหนก็ได ตราบใดที่ไมหลงทิศ ขอใหถึงกรุงโรมเปนใชได
หากผูอานเขาใจไดตามเนื้อหาที่ดิฉันนําเสนอนี้และยอมปฏิบัติสติปฏฐานสี่หรือ
พาตัวใจกลับบานแลวละก็ ดิฉันเห็นวาเพียงพอแลว หนังสือเลมนี้ไดบรรลุเปาหมายที่ดิฉัน
ตองการแลว แมจะสามารถชวยเหลือคนไทยเพียงคนเดียวใหยอมปฏิบัติสติปฏฐานสี่ ก็
คุมคาตอความพยายามของดิฉันมากแลว
ปญหาใหญจึงมีเรื่องเดียวเทานั้นวา คุณยอมรับในภูมิธรรมของดิฉันหรือไม คุณ
ยอมรับหรือไมวา ดิฉันรูจักสภาวะพระนิพพานและยินยอมใหดิฉันเปนผูนําทางคุณไป
นิพพาน ถาคุณยอมรับ คุณจะไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้ไมมากก็นอย แตหากคุณ
ยอมรับไมไดวาผูหญิงแมบานคนนี้จะรูจักพระนิพพานไดอยางไร และไมเชื่อวาดิฉันมีภูมิ
ธรรมดังกลาวแลว แมคุณจะพยายามอยางไร คุณก็คงอดไมไดที่จะมีอคติตอดิฉันอยูในใจ
และจะไมไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้
เพื่อใหความยุติธรรมทั้งกับดิฉันและตัวคุณเอง ดิฉันเห็นวา คุณควรอานเรื่อง
“อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” ดวย หรือไมก็มาเขาอบรมกับดิฉันจนสามารถเขาบานที่สี่
สามารถจับสภาวะของ ผัสสะบริสุทธิ์ หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ได ประสบการณอันเปน “ผล” ที่ดิฉัน
ไดพูดถึงนี้เทานั้น จึงจะชวยใหคุณเขาใจหนังสือเลมนี้ไดดีขึ้น
ดิฉันไดนําเรื่อง “พาตัวใจกลับบานกันเถิด” มาไวเปนภาคผนวกเพื่อทําใหหนังสือ
เลมนี้มีความสมบูรณมากขึ้น ประสบการณของดิฉันบอกวา ผูอานทานใดที่สามารถเขาใจ
เนื้อหาของหนังสือเลมนี้แลว ยอมมีความกระตือรือรนอยากเรงรีบปฏิบัติสติปฏฐานสีเ่ พื่อให
เห็นสภาวะของผัสสะบริสุทธิ์อยางรวดเร็วที่สุด ซึ่งเปนธรรมดาของผูที่มีบุญบารมีพรอม
ภาคผนวกของหนังสือเลมนี้จึงสามารถตอบสนองความตองการของผูอานไดทันที

ดิฉันไดกลับมาอบรมธรรมที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยในเดือนมกราคม ๒๕๔๙
คุณกฤษฎาพร ชุมสาย ณ อยุธยา คุณสานุพันธุ ตันติศิริวัฒน และคุณอิสวเรศ ตโนมุท แหง
สํานักพิมพฟรีมายดไดมารวมอบรมธรรมกับดิฉันดวย มีความซาบซึ้งในคําสอนมาก เมื่อ
ทราบถึงจุดประสงคของดิฉันที่ตองการเผยแผพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจาโดยผาน
แนวคิดของไอนสไตนเชนนี้แลว ทั้งสามทานจึงปวรณาที่จะชวยเหลือดิฉันอยางเต็มที่
ดิฉันจึงใครถือโอกาสนี้ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของบุคคลทั้งสาม
และทีมงามของสํานักพิมพฟรีมายดทุกทานที่เขามาเปนแขนขาชวยเหลือดิฉันในการกวาด
ตอนคนหมูมากใหออกจากถนนวงแหวนของสังสารวัฏ ซึ่งเปนการชวยจรรโลงและสืบทอด
พระพุทธศาสนาใหยืนนานตอไปตราบนานเทานาน

ดิฉันหวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเลมนี้คงชวยใหคุณเขาใจชีวิตไดชัดเจนมากขึ้น

ดวยความเมตตา
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ กรีน

6
๓๐ มกราคม ๒๕๔๙

7
ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ

โดย

ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ กรีน


เนื้อหาของหนังสือเลมนี้เปนความพยายามของผูเขียนที่จะเชื่อมโยงความรูทาง
วิทยาศาสตรของไอนสไตนกับภูมิปญญาทางธรรมอันเปนผลจากการตรัสรูของพระพุทธเจา
ผูเขียนมีเหตุผลที่จะเชื่อวา ไมวาจะเปนคําถามเรื่องจุดคงที่ของจักรวาล (The absolute
ruling point in nature) ที่อัลเบริต ไอนสไตนไดถามเปนทานแรกและตองการคนใหพบอัน
เปนตนเหตุที่นําไปสูบทสรุปของทฤษฎีสัมพัทธภาพ (The Theory of Relativity) หรือ
ทฤษฎีสรรพสิ่ง (The Theory of Everything) ที่ไอนสไตนไดทุมเทชีวิตในชวง ๓๐ ป
สุดทายเพื่อหาคําตอบ, คําถามที่ครอบจักรวาลของไอนสไตนเหลานี้ลวนชี้ไปสูความหมาย
เดียวกันคือ ไอนสไตนตองการคนหาสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดที่มีอยูในธรรมชาตินั่นเอง ซึ่ง
คําตอบที่เปนอมตะนี้ พระพุทธเจาไดทรงคนพบแลวเมื่อ ๒๕๙๔ ปกอน ซึ่งทานใชคําวา
พระนิพพาน หรือ การหมดทุกขอยางสิ้นเชิง

จุดเดนและจุดสําคัญยิ่งของหนังสือเลมนี้อยูที่ตัวผูเขียนที่กลายืนยันวา “สัจธรรมอัน
สูงสุดในธรรมชาติมีอยู” รวมทั้งกลาประกาศใหผูอานรูวา เธอรูแนชัดแลววาสัจธรรมอัน
สูงสุดหรือสภาวะพระนิพพานคืออะไร เปนอยางไร จึงทําใหเธอสามารถตั้งศัพทใหมเพื่อให
เหมาะสมกับยุคสมัยและเพื่อคนยุคใหมสามารถเขาถึงสัจธรรมไดงายขึ้น อันคือ ผัสสะ
บริสุทธิ์ และ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ การประกาศตนเปนผูรูสภาวะสัจธรรมของผูเขียนนี้เอง ตัวตอตัว
สุดทายที่ยังขาดอยูหรือเปน missing link ก็สามารถถูกวางลง กอใหเกิดภาพชัดเจนของ
ชีวิตที่เชื่อมโยงกับจักรวาลทั้งหมดได และกอใหเกิดการประสานเชื่อมตอระหวางภูมิปญญา
ทางโลก โดยเฉพาะวิทยาศาสตรกับภูมิปญญาทางศาสนาที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวของชีวิต
การเกิดแกเจ็บตาย (บทที่ ๑) เนื้อหาของหนังสือเลมนี้จึงตั้งอยูบนรากฐานที่ผูเขียนอางวา
เธอรูสัจธรรมอันสูงสุด ซึ่งเธอไดอธิบายสภาวะสัจธรรมในฐานะที่เปน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” (บทที่
๖) โดยใชขอเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนที่วิ่งพรอมกัน

เนื้อหาในบทที่ ๒, ๓, ๔ ของหนังสือเลมนี้คือ การวิเคราะหหัวขอและคําถามที่มัก


ถามกันบอยอันเกี่ยวของกับเรื่องชีวิต และ จักรวาล เชน ตัวจริงของเราคืออะไร อยูที่ไหน
จิตใจที่เปนปกติคืออะไร และ พรมแดนสุดทายของจักรวาลอยูที่ไหน ซึ่งผูเขียนไดพยายาม
ประสานและขมวดหัวขอที่ดูเหมือนแตกตางกันมากเหลานี้เขาสูเรื่องสัจธรรมอันสูงสุด หรือ
พระนิพพาน ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับจุดคงที่ของจักรวาล อันเปนเนื้อหาสวนที่จะชวยใหผูอาน
สามารถมองพระพุทธศาสนาวาเปนเรื่องใกลตัวเองมากกวาเปนเรื่องไกลสุดกู และมองใหม
วา พระนิพพานไมใชเปนทางเลือก แตเปนเรื่องที่ทุกคนตองไปใหถึง เพราะ การไมรูจักพระ
นิพพานก็คือการไมรูจักตัวเอง คือการไมรูจักความปกติที่แทจริงของจิตใจตัวเอง และคือ
การไมรูวาที่จริงแลว มนุษยทุกคนลวนเปนศูนยกลางของจักรวาลของตนเอง

จุดเดนอีกขอหนึ่งของหนังสือเลมนี้คือ ผูเขียนไดพยายามชวยเหลือปญญาชนที่บูชา
การใชความคิดใหรูจักจุดยืนของตนเองที่เนื่องกับจักรวาล โดยแยกแยะใหเห็นอยางชัดเจน
ถึงความแตกระหวางวิธีการหาความรูทางโลกที่ยังอิงกับความมืดบอดของอวิชชากับความรู
ทางธรรมที่จะชวยใหรูจักตนเองอยางแทจริงอันเปนเนื้อหาของบทที่ ๔ และ ๕

ความสมบูรณของหนังสือเลมนี้คงจะอยูที่การบอกทางออกของชีวิต อันคือวิธีการที่
จะชวยใหผูอานสามารถคนพบจุดนิ่งของจักรวาลหรือสัจธรรมอันสูงสุดดวยตนเอง ซึ่งเปน
เนื้อหาของบทที่ ๗ ผูเขียนเชื่อมั่นวา สติปฏฐานสี่หรือวิปสสนาเทานั้นที่จะเปน ทางออกให
ชาวโลกไดพบกับความสุขและสันติภาพที่แทจริง และเพื่อตอบสนองความตองการของ
ผูอานที่อยากเริ่มการเดินทางเพื่อแสวงหาตัวเองทันทีที่อานทั้ง ๗ บทจบ ผูเขียนจึงไดนํา
เรื่อง “การพาตัวใจกลับบาน” อันคือวิธีการฝกสติปฏฐานสี่ที่ไดประยุกตใหเหมาะสมกับคน
ยุคใหมมาไวที่ภาคผนวกซึ่งทําใหหนังสือเลมนี้สมบูรณอยางเต็มเปยม
บทที่หนึ่ง
ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
Einstein Questions, Buddha Answers
ความสําเร็จที่ยิ่งใหญอันทําใหอัลเบิรต ไอนสไตน กลายเปนอัจฉริยะบุคคลที่ ถูกจารึกลง
ในประวัติศาสตรของโลกเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งรอยปกอนในป ค.ศ. 1905 เมื่อผลงานของเขาไดรับการ
ตีพิมพพรอมกันถึง ๕ ชิ้น และชิ้นหนึ่งคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพจําเพาะอันมีสมการ e = mc2 ที่สราง
คุณอยางอเนกอนันตพอ ๆ กับการสรางโทษอยางมหันต

กอนหนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ดิฉันซาบซึ้งในบุญคุณของอัลเบรต ไอนสไตน ที่ไดตั้งคําถามที่สําคัญมากที่สุดแทน
มนุษยชาติ นั่นคือ อะไรคือจุดคงที่อันเปนอนันตยะที่สมบูรณของจักรวาล What is the absolute
ruling point in nature?
ดิฉันไมไดเปนนักวิทยาศาสตรและไมคอยเขาใจรายละเอียดของทฤษฎีสัมพัทธภาพที่
ซับซอนมากนัก ซึ่งที่จริงแลวไมใชเรื่องงายที่จะเขาใจ ดังที่นักขาวมักขอรองใหไอนสไตนสรุปสั้น ๆ
เพื่อใหคนทั่วไปเขาใจไดงาย ๆ วาทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้คืออะไร ทําไมจึงสําคัญตอมนุษยชาติมาก
ไอนสไตนมักรูสึกลําบากใจเพราะนี่เปนความรูที่เขาปลุกปล้ําอยูถึง ๑๕ ป แลวจะใหมาสรุปใหคนฟง
อยางสั้น ๆ ไดอยางไร ไอนสไตนจึงเฉตอบนักขาวดวยเรื่องที่ขบขันวา
“คุณลองเอามือวางเหนือเตารอน ๆ สักหนึ่งนาทีสิ คุณจะรูสึกวามันนานเหมือนหนึ่งชั่วโมง
แตหากคุณไปนั่งอยูใกลหญิงสาวสวยสักหนึ่งชั่วโมง คุณจะรูสึกวามันนานเหมือนเพียงนาทีเดียว นั่น
แหละคือทฤษฎีสัมพัทธภาพของผมแหละ”
เรื่องการสรุปความคิดหลัก ๆ นี่แหละ เปนเรื่องสําคัญมากกวาการรูรายละเอียด เพราะเปน
เรื่องของการสรางกรอบ หรือ โครงสรางของความคิด ฉะนั้น สิ่งที่ดิฉันจะสรุปอันเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎี
สัมพัทธภาพของไอนสไตนจึงเปนความรูที่ยอนกลับไปในชั่วโมงวิทยาศาสตรสมัยที่ยังเรียนชั้นมัธยม
เพราะคุณครูยอมหยิบยื่นแตความคิดหลัก ๆ ที่พูดอยางสรุปยอ ๆ เทานั้น และดิฉันยังดึงความคิด
แบบสรุปเหลานี้ออกมาจากหนังสือสารานุกรมของเยาวชนรวมทั้งการดูสารคดีตาง ๆ ดวย บวกกับ
ความรูในเรื่องพระนิพพานของพระพุทธเจา ดิฉันจึงสามารถตอยอดแจกแจงความคิดเหลานี้ออกมา
ได

ทําไมไอนสไตนจึงอยากหาจุดคงที่
เพื่อความชัดเจนมากขึ้น ขอใหเขาใจวา “จุดคงที่” กับ “จุดปกติ” มีความหมาย
เหมือนกัน ซึ่งดิฉันจะใชทดแทนกันตั้งแตบัดนีเ้ พื่อใหเหมาะสมกับขอเปรียบเทียบ
สิ่งที่ดิฉันใหความสนใจเปนพิเศษคือ ทําไมไอนสไตนจึงตองการหาจุดคงที่อันถาวรของ
จักรวาลตั้งแตแรกเริ่ม เพื่ออะไร สิ่งที่ดิฉันทําความเขาใจไดคือ ถาหากไอนสไสตนสามารถหาจุดปกติ
ของจักรวาลที่อยูอยางคงทนถาวร มีคาสมบูรณ ไมเปลี่ยนแปลงไดแลว เขาจะสามารถใชจุดปกตินั้น
เปนมาตรฐานการวัดสิ่งตาง ๆ ได และยอมทําใหผลของการวัดอะไรตาง ๆ คงที่ ปกติ ไดผล
เหมือนกันหมด absolute value ไมวาจะวัดจากจุดไหนของจักรวาล
อยางไรก็ตาม ไอนสไตนไมสามารถหาจุดคงที่อันถาวรของจักรวาลได เพราะวา สิ่งตาง ๆ
ที่แมดูนิ่ง ๆ บนโลก ไมเคลื่อนไหวก็ตาม แตที่จริงแลว มันไมไดอยูนิ่งจริง เพราะโลกกําลังหมุนอยู
เมื่อดูในวงกวางออกไปจากนอกโลก ก็พบวาระบบสุริยะจักรวาลก็กําลังเคลื่อนอยู แกแลกซี่ของเรา
และอื่น ๆ ก็กําลังเคลื่อนอยู ตลอดจนถึงจักรวาลทั้งหมดก็กําลังเคลื่อนไปอยางไมหยุดยั้ง จึงทําให

1
ไอนสไตนสรุปวาไมมีจุดนิ่งหรือจุดปกติที่สามารถใหคุณคาที่เที่ยงแทถาวรอยางแทจริงในจักรวาล
เพราะทุกอยางเคลื่อนที่อยางไมหยุดยั้ง

สัมพันกับอนิจจังและนิพพาน
ความคิดหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้เปรียบเหมือนกับการพบสี่แยกหลักที่สามารถเดิน
เลี้ยวตอไปไดอีกมากมายหลายทางทีเดียว ในขณะที่ไอนสไตนเลี้ยวไปสูแยกที่เนนความรูทางดาน
ฟสิกสเพียงอยางเดียวจนกอใหเกิดการสรางระเบิดนิวเคลียร พลังงานปรมณูและเทคโนโลยี่อื่น ๆ อีก
มากมายนั้น ดิฉันจะพยายามพาคุณเลี้ยวไปสูแยกอื่น ๆ ที่เกี่ยวของกับสุขทุกขของชีวิตของเรา
โดยตรง ความคิดหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพเปนเรื่องครอบจักรวาล ครอบคลุมทุกเรื่องของชีวิต
เพราะความคิดทั้งหมดเหลานี้สัมพันกับเรื่องอนิจจังและพระนิพพานของพระพุทธเจาซึ่งเปนเรื่อง
ครอบจักรวาลเชนกัน จึงเปนสิ่งที่ดิฉันพยายามจะโยงใหคุณในหนังสือเลมนี้

เมื่อไมรูจุดคงที่ของจักรวาล
เมื่อไอนสไตนสรุปวาไมมีจุดคงที่ในจักรวาล ยอมหมายความวา การวัดอะไรตาง ๆ จะตอง
สมมุติจุดคงที่ขึ้นมากอน และวัดสิ่งตาง ๆ จากจุดสมมุตินั้น ซึ่งผลที่ไดจะมีคาสัมพัทธกับจุดปกติที่ถูก
สมมุติขึ้น เพื่อใหคุณเขาใจชัดเจนมากขึ้น ดิฉันจะเรียกแทนจุดคงที่นี้วา “พรมแดนสุดทาย the final
frontier” (บทที่ ๔) เพื่อใหสอดคลองกับการยกตัวอยางที่จะวัดความใกลไกลของสถานที่
เมื่อคุณไมรูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล ก็ความหมายวาคุณไมรูขอบเขตที่เปน
พรมแดนสุดทายของจักรวาลที่สามารถใชเปนเสาหลักมาตรฐานเพื่อวัดความใกลไกลของทุกสถานที่
ในจักรวาลนั่นเอง เชน หากคุณตองการทราบวา เชียงใหมอยูไกลแคไหน คุณจะถามลอย ๆ ไมได
คุณตองกําหนดลงไปใหแนชัดกอนวาคุณตองการวัดความใกลไกลของเมืองเชียงใหมจากจุดไหน
เสียกอน จึงจะพูดกันรูเรื่อง ไมเชนนั้น เถียงกันตาย
หากคุณเอากรุงเทพเปนหลัก นั่นคื อ สมมุติใหกรุงทพเป
เ นพรมแดนสุดทาย เชียงใหมก็จะ
อยูไกลจากกรุงเทพ ๖๐๐ กิโลเมตร หากคุณเอาสงขลาเปนหลัก เชียงใหมก็จะอยูหางจากสงขลา
๑๖๐๐ กิโลเมตร หากสมมุติใหกรุงลอนดอนเปนหลักหรือเปนพรมแดนสุดทาย เชียงใหมก็จะอยูหาง
จากลอนดอนถึง ๖๐๐๐ กิโลเมตร เปนตน ฉะนั้น คุณจะเห็นวา ๖๐๐, ๑๖๐๐, ๖๐๐๐ กิโลเมตรคือคา
สัมพัทธอันเปนผลของการสมมุติจุดนิ่งหรือจุดพรมแดนสุดทายขึ้นมาเพื่อวัดความใกลไกลของ
สถานที่ ฉะนั้น การตัดสินวาใครอยูใกลหรือไกลเชียงใหมจึงขึ้นอยูที่วา คุณอยูจุดไหน คนอยูลอนดอน
ก็ตองเห็นวาเชียงใหมไกลมาก ใครอยูสงขลาก็ยอมเห็นเชียงใหมไกลกวาคนอยูกรุงเทพ ใครอยู
ลําปางก็ยอมเห็นวาเชียงใหมอยูใกลนิดเดียว นี่คือ การพูดอยางสัมพัทธ relatively speaking อัน
เปนผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพ

เมื่อรูจุดคงที่
แตถาคุณรูจุดคงที่ จุดนิ่ง หรือจุดปกติของจักรวาล หรือ รูแนชัดวาพรมแดนสุดทายของ
จักรวาลอยูตรงไหนแลวละก็ ทีนี้ ไมวาคุณจะอยูซอก ซอย ไหนของจักรวาลก็ตาม คุณก็สามารถวัด
จากจุดที่คุณอยูและไปจรดที่เสาหลักสุดทายหรือพรมแดนสุดทาย หรือ จุดปกติของจักรวาล ทุกคน
จะสามารถทําไดเหมือนกันหมดเพราะรูเ สาหลักสุดทายของจักรวาลแลว ฉะนั้น ไมวาใครจะอยู ณ จุด
ไหนของจักรวาล ก็สามารถวัดจากจุดที่ตนเองอยูและไปจรดที่เสาหลักอันเปนพรมแดนสุดทายของ
จักรวาล การวัดนั้นก็จะเปนมาตรฐานสากลของจักรวาล ไดคาคงที่เหมือนกันหมด ฉะนั้น คนอยู
กรุงเทพ เชียงใหม สงขลา ลอนดอน หากจะวัดความใกลไกล ก็ตองวัดไปที่เสาหลักสุดทายของ
จักรวาลกอน ซึ่งอาจจะไดคาตามลําดับเชนนี้คือ ๑.๕ ลานปแสง ๑.๕๒ ลานปแสง ๑.๕๔ ลานปแสง
๒ ลานปแสง เปนตน นี่เปนการสมมุติวาหากเรารูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล ทุกคนจะรูแนชัดวา
ใครอยูใกลหรือไกลจากจุดคงที่หรือพรมแดนสุดทายของจักรวาลมากนอยแคไหน นี่คือ การพูดอยาง
แนนอน absolutely speaking เพราะรูจุดเที่ยงแทแนนอนของจักรวาล นี่คือเหตุผลที่ไอนสไตนอยาก

2
หาจุดคงที่ของจักรวาล เพื่อจะไดใชเปนมาตรฐานหลักของจักรวาล แตอยางที่พูดแลววา ความรูของ
ไอนสไตนเนนไปที่เรื่องฟสก
ิ สเพียงถายเดียวเทานั้น

แตสัมพัทธภาพครอบคลุมทุกเรื่อง
การวัดน้ําหนักของวัตถุสิ่งของก็เชนกัน น้ําหนักตัวของคนบนโลกมีคาสัมพัทธกับแรงโนม
ถวงของโลก พูดใหงงเลนก็คือ ทุกครั้งที่คุณชั่งน้ําหนักตัวเอง ที่จริงแลว คุณกําลังชั่งแรงถวงของ
โลกที่กดลงบนตัวคุณ หากไปชั่งน้ําหนักบนโลกพระจันทรซึ่งมีแรงโนมถวงนอยกวาโลก น้ําหนัก ที่กด
ลงตัวคุณบนโลกพระจันทรจะนอยกวาแรงที่กดบนโลก จึงทําใหน้ําหนักตัวของคุณนอยกวาน้ําหนักตัว
ที่ชั่งบนโลก การจะตัดสินวาใครอวน ใครผอม สวย ขี้เหร เหลานี้ก็ขึ้นอยูที่วาเราเอาใครและอะไรเปน
มาตรฐานของการวัด เราตองสมมุติคาปกติขึ้นมากอน เชน คนแขกชอบใหผูหญิงของเขามีเนื้อมีหนัง
มีพุงยอยอันเปนสัญลักษณของความร่ํารวย ซึ่งเขาเรียกหุนเชนนี้วาสวย แตในสายตาของหญิง
ชาวตะวันตกที่ชอบหุนเพรียว ๆ นั้นจะเห็นหญิงแขกอวน ในขณะที่หญิงแขกจะเห็นหญิงชาวตะวันตก
ผอมเกินไป ความรวย ความจน ก็ขึ้นอยูกับวาเราเอาใครและอะไรเปนมาตรฐานของการวัด กรรมกรที่
หาเชากินค่ําก็จะเห็นทุกคนรวยกวาตนหมดนอกจากขอทานเทานั้น (ขอทานบางคนอาจจะรวยกวา
กรรมกรก็เปนได) คนมีเงินเก็บจํานวนแสนก็จะเห็นคนมีเงินลานรวยกวาตน สวนคนรวยที่มีทรัพยสิน
สิบลาน ก็จะเห็นคนที่มีนอยกวานั้นจนกวาตนเองหมด แตเมื่อนําตนเองไปเปรียบเทียบกับคนมี
ทรัพยสินรอยลาน พันลาน ก็ยังคิดวาตัวเองจนอยู ถาเปรียบเทียบกับคนที่มีทรัพยสินหลายหมื่นลาน
ก็คงคิดวาตนเองยังจนมากอยู เปนตน
เพราะไมรูวาอะไรคือสิ่งสมบูรณ คงที่ และปติ อันจะใชเปนมาตรฐานของการวัดสิ่งตาง ๆ
ได ทุกสิ่งทุกอยางจึงตองวัดกันอยางเปรียบเทียบ หรือ สัมพัทธกันเชนนี้ จึงกอใหเกิดคําวลี
ภาษาอังกฤษวา relatively speaking หรือ พูดอยางสัมพัทธ ซึ่งเปนวลีที่ใชกันบอยมากใน
ชีวิตประจําวัน เพราะตองพูดใหรูเรื่องกอนวาเอาอะไรเปนหลัก มิเชนนั้น เถียงกันตาย แตถาหากเรารู
จุดคงที่ของจักรวาล วิถีชีวิตของเราจะตองเปลี่ยนไปเปนอีกลักษณะหนึ่ง

ไอนสไตนกับทฤษฎีเอกภาพ
หลังจากการคนพบทฤษฎีสัมพัทธภาพแลว ไอนสไตนก็ยังไดคนพบเรื่องกลศาสตร
ควอนตัม Quantum Mechanic ซึ่งความคิดหลักของทฤษฎีนี้คือ ทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลนี้เกิดขึ้น
และมีการทํางานเหมือนการโยนลูกเตา ผลของมันยอมตั้งอยูบนพื้นฐานของความอาจจะเปนไปได
probability เทานั้น ซึ่งเปนสิ่งที่ไอนสไตนยอมรับไมได เพราะคาของความอาจจะเปนไปไดเปรียบ
เหมือนกับการยืนอยูบนทาน้ําทีโ่ คลงเคลง เอนเอียง หากใชภาษาของชาวพุทธแลว การคนพบ
กลศาสตรควอนตัมก็คือ การคนพบเรื่องอนิจจังนั่นเอง สิ่งที่ไอนสไตนตองการนั้น เปรียบเทียบไดกับ
ความหนักแนนของพื้นดิน หรือ สิ่งหนึ่งที่ใหคาอันคงที่ ปกติ ถาวร ซึ่งเขาคิดวาคณิตศาสตรเทานั้นที่
สามารถหยิบยื่นสิ่งที่เที่ยงแท แนนอน ใหกับเขาได ฉะนั้น แมไอนสไตนเปนผูคนพบเรื่องกลศาสตร
ควอนตัมอันเปนความรูที่ไดรับการตอยอดพัฒนาไปอยางรวดเร็วจนกลายเปนหัวใจของการพัฒนา
เทคโนโลยี่ในปจจุบันก็ตาม ไอนสไตนกลับไมไดใหเยื่อใย ไมสนใจ แถมดูหมิ่นความรูที่เขาไดคนพบ
เอง หรือ ถาพูดใหมดวยภาษาของชาวพุทธวา ไอนสไตนยอมรับความเปนอนิจจังของทุกสิ่ง ทุกอยาง
ไมได จึงขวนขวายหาสิ่งที่เปนนิจจัง หรือ ความเที่ยงแท ถาวร
สิ่งที่รั้งไอนสไตนไวคือ ความเปนนักการศาสนาของเขา ความเชื่อ ในพระเจา และนิสัย
สวนตัวที่จําเปนตองรูและเขาใจสิ่งตาง ๆ อยางแนชัด ถึงแกน และสามารถแปรความเขาใจนั้น ๆ
ออกมาเปนสูตรสําเร็จทางคณิตศาสตรที่แนนอน ซึ่งคณิตศาสตรเปนวิธีการเดียวที่ไอนสไตนสามารถ
เขาใจและเขาถึงได หลังจากที่ประธานาธิบดีคนแรกของอิสราเอลเสียชีวิต ไอนสไตนไดถูกเสนอชื่อ
ใหเปนประธานาธิบดีของชาวยิวคนตอไป เพราะความเปนนักฟสิกสที่ไดรับรางวัลโนเบลและเปนผูรัก

3
สันติภาพมาก จึงไดมีสวนชวยเหลือชาวยิวจนกอใหเกิดประเทศอิสราเอลขึ้นมาในป 1948 แต
ไอนสไตนปฏิเสธตําแหนงผูนําประเทศโดยใหเหตุผลวา
“การเมืองอยูไดเพียงชั่วครูชั่วยามเทานั้น แตสมการทางคณิตศาสตรสามารถอยูไดอยาง
ชั่วนิรันดร”
อยางไรก็ตาม ความรัก ความคลั่งไคล และบูชาในพระเจากับคณิตศาสตรไปพรอม ๆ กัน
นี่เอง ไดกลายเปนเชื้อเพลิงที่กอใหเกิดปฏิกิริยาลูกโซในหัวสมองหรือจิตใจของอัจฉริยะบุคคลผูนี้อีก
นับตั้งแตตนป 1920 เปนตนไป ไอนสไตนไดเขาสูยุคของการคิดคนหาทฤษฎีเอกภาพ The Unified
Theory หรือ ทฤษฎีสรรพสิ่ง The Theory of Everything

พระเจาไมเลนลูกเตา
ไอนสไตนเชื่อมั่นเหลือเกินวา ความเถรตรงของคณิตศาสตรเทานัน ้ ที่สามารถอธิบายและ
ใหคําตอบแกทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลได จะสามารถรวมความรูทั้งหมดของจักรวาลเขาเปนหนึ่ง
เดียว รวมไปถึงการอธิบายวาพระเจาสรางจักรวาลนี้ไดอยางไร ดังที่ไอนสไตนพูดวา
“ขาพเจาตองการรูวาพระเจาสรางโลกนี้อยางไร ขาพเจาไมไดสนใจปรากฏการณนั้นนี้วา
มันเปนของธาตุนั้นหรือธาตุนี้ สิ่งเหลานี้เปนเพียงรายละเอียดเทานั้น ขาพเจาตองการรูความคิดของ
พระเจาตางหาก”
ทฤษฎีเอกภาพนี้จึงเปรียบเหมือนการหาสมการทางคณิตศาสตรที่สามารถอานจิตใจของพระ
เจาและงานศิลปะการสรางโลกและมนุษยของพระเจานั่นเอง ซึ่งเปนความคิดที่เต็มไปดวยความ
ทะเยอทะยานมาก ในเดือนเมษายน 1955 ไอนสไตนลมปวยและเขารับการรักษาในโรงพยาบาล
ปรินซตัน รัฐนิวเจอซี่ อันเปนเมืองที่เขาอยูในชวงบั้นปลายของชีวิต ไอนสไตนก็ยังไมลดละที่จะ
คิดคนสูตรทางคณิตศาสตรที่เขาหาอยูในชวงสามสิบปที่ผานมา เขามักมีกระดาษ ดินสอ อยูกับตัว
และขีดเขียนตัวเลข เครื่องหมาย และสมการทางคณิตศาสตรตาง ๆ อยูเสมอ ซึ่งพยาบาลคนหนึ่งที่
ดูแลเขาอยูไดหามาให จึงมีโอกาสไดเห็นพูดคุยสนทนากับไอนสไตน จึงรูวาไอนสไตนยังคงพยายาม
อานหัวสมองของพระเจาอยู พยาบาลรูสึกเห็นใจ อยากใหไอนสไตนพักผอนอยางเต็มที่ วันหนึ่ง
พยาบาลจึงพูดกับไอนสไตนอยางออนโยนและเปนหวงเปนใยวา

บางที พระเจาทานอาจจะไมอยากใหเราอานจิตใจของทานก็ไดนะ
Maybe God doesn’t want us to know his mind.

ทั้ง ๆ ที่ยังเจ็บไขไดปวยอยู ไอนสไตนพูดสวนกลับทันทีอยางดื้อรั้นพรอมกับสั่นศรีษะไปมาวา

พระเจาไมเลนลูกเตาหรอก คุณพยาบาล!
God doesn’t play dice, nurse!

ซึ่งเปนการพูดพาดพิงอยางดูหมิ่นถึงเรื่องกลศาสตรควอนตัมที่มีผล “อาจจะเปนไปได” หรือ อนิจจัง


นั่นเอง
ประวัติศาสตรจึงไดจารึกเหตุการณในชวง ๓๐ ปสุดทายของไอนสไตนในฐานะบุคคลที่
ลมเหลว จมปรักอยูในโลกของวิทยาศาสตรที่ลาหลัง โดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะภายในแวดวง
นักวิทยาศาสตรชาวฟสิกสดวยกันแลว ตางรูวาทฤษฎีเอกภาพนี้เปนเรื่องเพอฝนของไอนสไตนเทา
นั้นเอง ไมมีทางจะเปนความจริงไดเลย การแสวงหาของไอนสไตนไรผลอยางสิ้นเชิง อัจฉริยะบุคคล
ผูนี้จึงไดจากโลกนี้ไปในวันที่ ๑๘ เมษายน ๑๙๕๕ ในขณะที่ในมือยังกําแผนกระดาษที่ขีดเขียน
สมการทางคณิตศาสตรอยู โดยที่ยังไมไดพบคําตอบที่เขาตองการหาแตอยางใด
ซึ่งเปนเรื่องนาเสียดายมาก หากไอนสไตนสามารถอานความคิดของพระเจาไดแลว เขา
อาจจะสามารถตอบคําถามมากมายที่ยาวเปนหางวาวที่ขึ้นตนดวยคําวา “ทําไม” เชน ทําไมพระเจาจึง

4
ปลอยใหฮิตเลอรและทหารนาซีฆาชาวยิวอยางลางเผาพันธุเชนนั้น ทําไมพระเจาจึงไมยุติสงครามที่
สรางความทุกขอยางมหันตใหกับมนุษย ที่พระเจาสรางและรักมากดังคําโฆษณา ทําไมพระเจาจึงไม
ชวยผูกรีดรองขอความชวยเหลือจากทานเมื่อเกิดเหตุการณวิกฤตเชน เด็กหญิงที่กําลังถูกขมขืน ถูก
ฆา หรือ กําลังหนีภัยธรรมชาติ เชน แผนดินไหว น้ําทวม และทําไมพระเจาจึงสรางโลกและสังคม
มนุษยที่เต็มไปดวยความเหลื่อมล้ําต่ําสูงและอยุติธรรมเชนนี้ ฯลฯ

ไอนสไตนยอมรับพระพุทธศาสนา
ถึงแมไอนสไตนไดจากโลกนี้ไปโดยไมพบคําตอบที่เขาตองการก็ตาม เขาไดทิ้งคําพูดที่
สําคัญมากใหกับมนุษยชาติซึ่งดิฉันรูสึกซาบซึ้งมาก ในบั้นปลายชีวิตของเขา ไอนสไตนเริ่มสงสัยแลว
วา ศาสนาพุทธอาจจะเปนศาสนาที่ใหคําตอบตอคําถามที่เขาอยากคนพบก็เปนได ในป ๑๙๕๔ หนึ่ง
ปกอนเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซตันไดตีพิมพงานเขียนชิ้นหนึ่งของไอนสไตนชื่อเรื่องวา “The
Human Side” ซึ่งนักฟสิกสผูไดรับรางวัลโนเบลผูนี้ไดพูดทิ้งไวนิดหนอยวา
ศาสนาในอนาคตจะเปนศาสนาที่เนื่องกับจักรวาล ควรอยูเหนือพระเจาสวนตัว หลีกเลี่ยง
ลัทธิกฏเกณฑที่ไรขอพิสูจน ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ ควรตั้งอยูบนรากฐาน
ของศาสนาที่เกิดจากประสบการณของทุกสิ่งที่สรางเอกภาพอันมีความหมาย ซึ่งพระพุ ทธศาสนาดู
เหมือนจะมีสิ่งเหลานี้อยู ศาสนาพุทธนาจะเปนศาสนาที่สามารถแกไขปญหาตาง ๆ ของยุคสมัยได
ไอนสไตนพูดถูกเผงทีเดียว ทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่เขาตองการคนหานั้น ที่
จริงพระพุทธเจาไดตอบใหเบ็ดเสร็จแลวกอนหนานั้นถึง ๒๕๐๐ ปเศษ

ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
ในความเห็นของดิฉัน ไมวาจะเปนเรื่องจุดคงที่อันแนนอนของจักรวาลหรือเรื่องการอาน
ความคิดของพระเจานั้น ที่จริง เปนเรื่องเดียวกัน พูดงาย ๆ คือ อัจฉริยะบุคคลของโลกผูนี้ตองการหา
สิ่ง ๆ หนึ่งที่พระพุทธเจาเรียกวาเปน อสังขตธรรม ซึ่งมีคุณลักษณะที่สมบูรณ แนนอน คงที่ ไม
เปลี่ยนแปลง เปนนิจจัง เปนอันติมะ คือไมมีสิ่งอื่นใดที่สามารถไปเหนือสิ่งนี้ไดอีกแลว สิ่งนี้เปน
พรมแดนสุดทายของจักรวาลแลว ซึ่งมีสิ่งเดียวในจักรวาลนี้เทานั้น คือ พระนิพพาน ซึ่งเปนเรื่อง
เดียวกับที่สุดแหงทุกข นั่นเอง
พระพุทธเจาไดบรรยายลักษณะพระนิพพานอันเปนจุดปกติของจักรวาลเชนนี้คือ
“ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู ในอายตนะนั้น ไมใชดิน น้ํา ลม ไฟ ไมใชอากาสานัญ
จายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไมใชโลกนี้ ไมใชโลก
หนา ไมใชพระจันทร ไมใชพระอาทิตย ไมใชการมา ไมใชการไป ไมใชการตั้งอยู ไมใชการจุติ ไมใช
การเกิดขึ้น ไมใชเปนที่ตั้ง ไมใชความเปนไป ไมใชอารมณ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นคือ ที่สุด
แหงทุกข”
พระนิ พพานนี แหละคื
่ อกรอบหลักการที่กวางขวาง มีคุณลักษณะสมบูรณ พึ่งพาได ไมมี
ความโคลงเคลงเหมือนกลศาสตรควอนตัมที่ไอนสไตนหมิ่นประมาทและยอมรับไมได จึงสามารถ
ครอบคลุมเรื่องทุกเรื่องของจักรวาลและสามารถใชเปนพื้นฐานของทุกทฤษฎีได คุณลักษณะเชนนี้
แหละคือ ทฤษฎีเอกภาพที่ไอนสไตนไดทุมเทชีวิตหามันอยูถึงสามสิบป
ฉะนั้น มนุษยชาติตองยอมรับวามีปรากฏการณหนึ่งในธรรมชาติ อันเปนที่สิ้นสุดของทุก ๆ
สิ่งในจักรวาล ซึ่งพระพุทธเจาไดคนพบแลวในคืนที่ทานตรัสรูเมื่อ ๒๕๙๓ ปกอน นับจากคืนนั้นเปน
ตนมา ในประวัติศาสตรของพระพุทธศาสนายอมมีผูรูตามพระพุทธเจาเสมอมา ที่สามารถออกมา
ประกาศย้ําตอมวลมนุษยวามีสัจธรรมอันสูงสุดหรือจุดปกติในจักรวาลอยางแนนอน ไมใชเรื่องเพอฝน
จินตนาการแตอยางใด ซึ่งเปนเหตุผลหนึ่งที่ทําใหพระพุทธศาสนายืนหยัดอยูไดถึงทุกวันนี้

5
สัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานนี้แหละคือ สิ่งที่ไอนสไตนตองการหาในชวงชีวิตแหง
การเปนนักคิดของเขาโดยผานวิธีการและกลไกทางคณิตศาสตร ซึ่งเปนวิธีการเขาถึงสัจธรรมที่
ผิดพลาด เพราะสัจธรรมนี้จะตองเขาถึงดวยวิธีการของ ปญญา ศีล สมาธิ เทานั้น หรือ จะพูดใหรัดกุม
คือ ตองใชวิธีการปฏิบัติสติปฏฐานสี่หรือวิปสสนาเทานั้นจึงจะเขาถึงสภาวะที่เปนอันติมะนี้ได

ที่นี่ เดี๋ยวนี้
หลังจากกรณีเหตุการณพิสดารทางใจของดิฉันในเดือนตุลาคมในป ๒๕๔๐ นั้น ดิฉันมี
ความมั่นใจเหลือเกินวา จุดนิ่งในจักรวาลและทฤษฎีเอกภาพที่ไอนสไตนเฝาหาอยูนั้นไดซอนอยูใน
การสังเกตการณของขอเปรียบเทียบที่ไอนสไตนพูดถึงรถไฟสองขบวนที่วิ่งดวยความเร็วพรอมกัน
นั่นเอง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ คําตอบที่อัจฉริยะบุคคลตองการหาอยูแตลมเหลว ทั้ง ๆ ที่ไอนสไตนก็เห็น
อยู แตเขาไมสามารถรูไดวาขอเปรียบเทียบนั้นสามารถอธิบายสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลได
ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ จุดคงที่ของจักรวาลที่สามารถใชเปนมาตรการพื้นฐานวัดสิ่งตาง ๆ ได ใน
บทที่สามของหนังสือเลมนี้ ดิฉันไดพูดอธิบายเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในฐานะที่เปนสัจธรรมอันสูงสุด ที่มี
ความเรียบงายและปกติธรรมดา การเขาถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปนเรื่องของการฝกทักษะทางใจเหมือนการ
สามารถยืนบนแผนกระดานโตคลื่น และสามารถฝกทักษะที่จะโตคลื่นลูกเล็กและลูกใหญไดโดยไม
ลม

สัจธรรมอยูแคปลายจมูกของคนทุกคน
เหมือนการมองขามคําตอบของปญหาเชาวนนั่นเอง เพราะหัวสมองของเขามัวคิดวุนอยูกับ
การหาคําตอบใหกับจักรวาลที่เปรียบเหมือนการหาคําตอบใหกับคําถามปริศนาของฝรั่งที่วา
What is it that has two in a week and one in a year?
อะไรเอยที่มีสองอยูในหนึ่งอาทิตยและมีเพียงหนึ่งในหนึ่งป
นี่เปนปญหาเชาวน ซึ่งเปนเรื่องตื้นที่ไมตองคิดลึกเพื่อหาคําตอบ เพราะคําตอบของปญหาเชาวนมัก
อยูเบื้องหนาของเราแลว คําตอบของปริศนานี้จึงไมตองไปคิดไกล และคิดลึก แตตองไปดูที่คําวา
week กับ year แทน ก็จะไดคําตอบที่งาย ๆ คือ ตัวอักษร e นั่นเอง ซึ่งเปนคําตอบที่อยูเบื้องหนา
แลว
การหาคําตอบใหกับทฤษฎีเอกภาพหรือการเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดก็เหมือนการหาคําตอบ
ใหกับปญหาเชาวนซึ่งไมตองอาศัยพลังสมองเพียงถายเดียวเทานั้น ปจจัยที่สําคัญคือ จะตองมีผูรูที่
ตรัสรูดวยตนเองมาชี้แนะใหเสียกอนซึ่งพระพุทธเจาเปนผูรูทานแรก ผูรูเหลานี้แหละจึงจะสามารถ
ชี้บอกไดวาสัจธรรมในขั้นอันติมะของจักรวาลเปนเรื่องพื้น ๆ ธรรมดา ๆ และงาย ๆ ที่อยูแคปลายจมูก
ของคนทุกคนแลว เหมือนคําตอบของปญหาเชาวนที่ไมจําเปนตองคิดมากแตอยางใด เพราะความที่
มีลักษณะเปนหญาปากคอกนี้เอง จึงทําใหพระนิพพานหรือการหาจุดปกติของชีวิตกลายเปนเรื่องยาก
ที่สุดในเหลาปญญาชนทั้งหลายที่ถนัดการคิดมากและคิดลึก เปรียบเสมือนการเดินเขาไปในทอ
ความคิดอันมีทางตันเปนที่สุด

เอาความจริงสัมพัทธเปนที่พึ่ง
คุณจะเห็นไดชัดเจนวา การไมรูสัจธรรมในฐานะที่เปนคาคงที่หรือปกตินี้ ก็เปรียบเหมือน
การยืนอยูทามกลางทุงกวางที่ไมมีวันตัดสินไดวา เรากําลังยืนอยูตรงกลาง ชิดซาย ชิดขวา ใกลบน
ใกลลาง หรือ เฉียงไปทางไหน นี่คือ สภาวะของการไมรูวาอะไรเปนอะไร และเปนเหตุผลหลักที่ทํา
ใหจิตใจของมนุษยสับสนวุนวายและทุกขมาก เมื่อหาจุดคงที่หรือปกติไมพบ จึงจําเปนตองหาที่พึ่งใน
ความเปนอนิจจัง คือตองยอมรับความจริงในระดับสมมุติที่ฝรั่งเรียก conventional truth หรือ ความ
จริงที่ตั้งอยูบนเงื่อนไข conditional truth หรือ ความจริงสัมพัทธ relative truth ซึ่งเปนความคิด
หลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ไอนสไตนเนนแตเรื่องทางฟสิกสเทานั้น แตที่จริงแลว ความคิดหลัก ๆ

6
ของทฤษฎีสัมพัทธภาพเปนเรื่องที่ครอบคลุมถึงเรื่องจิตใจและชีวิตทั้งหมดที่เนื่องกับจักรวาลที่เราอยู
ซึ่งดิฉันจะอธิบายใหคุณเห็นชัดเจนในบทที่หาและหกของหนังสือเลมนี้
การยอมรับทฤษฎีสัมพัทธภาพ ก็คือ การยอมรับความจริงในระดับสมมุติหรือสัมพัทธ จึง
ไดกอใหเกิดวัฒนธรรมแหงภาษาคือ การพูดตัดสินเรื่องตาง ๆ อยางเปรียบเทียบ relatively
speaking ซึ่งเปนวลีภาษาอังกฤษที่ใชกันบอยมากในระหวางการพูดคุยเรื่องราวตาง ๆ ของ
ชีวิตประจําวัน เพราะทุกคนลวนพูดจากกรอบความคิดที่แตกตางและหลากหลายของตนเองอัน
เนื่องจากไมมีเสาหลักที่มั่นคงเพราะไมรูสัจธรรมอันสูงสุด การพูดคุยในทุกเรื่องของชีวิตจึงหละหลวม
โคลงเคลง บางครั้งก็ไรแกนสารอยางสิ้นเชิง เหมือนยืนบนทาน้ําฉันใดก็ฉันนั้น

ศีลธรรมสัมพัทธ
สิ่งที่เสียหายมากกวานั้นคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพมีอิทธิพลตอวิธีการคิดของคนรุนใหมจน
กอใหเกิดศีลธรรมแบบสัมพัทธขึ้นมา เพราะไมรูสัจธรรมอันสูงสุด จึงไมรูวาอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ตาง
จากสิ่งชั่วที่สุดอยางไร คนจึงมักคิดวา ไมมีระบบศีลธรรมที่สมบูรณในตัวมันเอง There is no moral
absolute. ฉะนั้น คนเราจึงตัดสินการกระทําวาดีหรือชั่วในลักษณะของการเปรียบเทียบแบบสัมพัทธ
เชน นักขโมยเล็กขโมยนอยจะคิดเปรียบเทียบตนเองวาดีกวาโจรปลนธนาคารซึ่งคิดวาตนเองยังดีกวา
อาชญากรที่ขมขืนหญิงและฆาคนเปนครั้งแรกซึ่งคิดวาตนเองยังดีกวาอาชญากรที่ฆาคนหลายคนแลว
คนสูบบุหรี่จะคิดวาตนเองดีกวาคนกินเหลาดวยสูบบุหรี่ดวยซึ่งคิดวาตนเองยอมดีกวาคนติดยาเสพติด
การคิดอยางเปรียบเทียบเชนนี้ยอมเปรียบไปไดเรื่อย ๆ ในทั้งสองทางคือ ทั้งฝายดีและฝายชั่ว
ตอเมื่อรูวาอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดเทานั้น จึงจะมีมาตรฐานการวัดที่ถูกตองอยางแทจริง สัจธรรมอันสูงสุด
จึงจําเปนตองอยูเหนือทั้งความชั่วและความดีทั้งหลาย จึงเปนสิ่งที่ดีที่สุด ที่พึ่งพาได

ยุคของคนตาบอดจูงคนตาบอด
เมื่อผูนํารัฐเปนคนตาบอดทางใจเสียเองแลว ผลเสียหายยิ่งรายแรงมากขึ้น และมี
ผลกระทบตอคนหมูมากอยางนาใจหาย เชน รัฐบาลอังกฤษไดออกกฎหมายอนุญาตใหผับตาง ๆ เปด
ขายสุราไดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งเปนการสงเสริมใหคนดื่มสุรามากขึ้นโดยเฉพาะเด็กวัยรุน
นอกจากนั้น ยังยกเลิกกฎหมาย ไมจัดกัญชาวาเปนยาเสพติดที่รายแรงอีกตอไป ใครตอใครจึง
สามารถสูบกัญชาไดเหมือนสูบบุหรี่ ไมถูกจับมาลงโทษเหมือนสมัยกอน กฎหมายที่โงเขลาเบา
ปญญาเหลานี้จึงกลายเปนมาตรฐานสมมุติที่คนนํามาเปรียบเทียบความดีเลวของตนเอง และกลับ
กลายเปนกฎหมายที่สรางปญหาสังคมอยางไมจบไมสิ้น เปนการชวยสงเสริมทําลายสุขภาพทั้งทาง
กายและทางจิตใจของประชาชนของตนเองแทนที่จะชวยปกปองในฐานะผูปกครองที่ดี
ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคลแทนที่จะนําไปใชสรางสรรคสิ่งดี ๆ หรือใชในสิ่งที่จําเปนจริง
ๆ นั้นกลับตองมาทุมเทเพื่อแกปญหาปลายเหตุที่รัฐบาลเปนคนสรางขึ้นมาเสียเอง
ความออนแอของสถาบันศาสนาทั่วโลกก็เปนสาเหตุใหญที่ทําใหสังคมปนปวนมากขึ้น
เพราะไมมีผูนําทางจิตใจที่สามารถแสดงออกซึ่งภู มิปญญาทางธรรมอยางแทจริง จึงไมสามารถยับยั้ง
กฎหมายที่เปนโทษตอสังคม สังคมจึงขาดทิศทางของชีวิตที่ถูกตอง เกิดสภาวะที่ฝรั่งเรียกวา
massive misdirection of life เปนยุคของคนตาบอดจูงคนตาบอดอยางแทจริง
การนําคนหมูมากไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิตอันคือสัจธรรมอันสูงสุดนั้นควรเปน
หนาที่ของผูนําทางศาสนาที่ทํารวมกับผูนําทางการเมือง โดยที่ผูรูจริงตองเปนที่ปรึกษาให
นักการเมือง แตเมื่อผูนําทางศาสนาไมมีความรูเรื่องสัจธรรมอันสูงสุดแลว จึงไมสามารถเปนที่พึ่งให
นักการเมืองได การนําสังคมจึงตกเปนหนาที่ของนักการเมืองและสื่อมวลชนซึ่งลวนแตมีตาใจที่มืด
บอดและอดไมไดที่จะทําตามอํานาจของกิเลสทั้งสิ้น แถมผูนําศาสนาบางลัทธิกลับไปสอนใหคน
เกลียดชังซึ่งกันและกัน ถึงขนาดสอนใหพลีชีพตนเองเพื่อฆาคนหมูมากที่ไมเห็นดวยตอลัทธิของตน
เพื่อการไดไปสวรรคอยูกับพระเจา อันเปนการกระทําของคนมืดบอดอยางสนิท เพิ่มปญหาที่หนัก
หนวงใหสังคมโลกโดยไมจําเปน

7
รุงอรุณของยุคมิคสัญญี
ศีลธรรมสัมพัทธจึงกลายเปนสาเหตุใหญที่กอใหเกิดความลมเหลวทางศีลธรรมของทั่ว
โลก เพราะคนยุคนี้มักถนัดที่จะหาคนที่เลวกวาตนเองมาเปรียบเทียบดวยเสมอ เพื่อจะไดรูสึกวา
ตนเองก็ยังมีสวนดีอยู รวมทั้งคานิยมตาง ๆ ที่ทําใหศีลธรรมยอหยอนเชน “ทําดีไดดีมีที่ไหน ทําชั่วได
ดีมีถมไป” การบูชาคนที่มีเงิน มีอํานาจและมีชื่อเสียง การทําผิดศีลธรรมของคนมั่งมีและมีชื่อเสียง
กลับกลายเปนเรื่องยอมรับของสังคมโดยเฉพาะการผิดศีลขอสาม คนไมนอยของยุคนี้อาจจะร่ํารวย
และมีชื่อเสียงขึ้นมาไดเพราะการกระทําที่ทุจริตหรือทํามิจฉาอาชีพของตนเอง เชน ขายมนุษย ขาย
อาวุธ ขายสิ่งเสพติดทั้งหลาย การใหเกียรติและบูชาคนผิดศีลธรรมเพียงเพราะเขาร่ํารวยจึงไมตาง
จากการเอาหนังสือศีลธรรมมาเหยียบเลน ทําใหเรื่องผิดศีลธรรมกลายเปนเรื่องปกติของสังคมมากขึ้น
เพราะไมมีสิ่งดีที่สุดมาใชเปนมาตรฐานของการวัด
จากการชวยเหลือของฮอลลีวูดที่ผลิตภาพยนตรที่เนนการใชความรุนแรง ทําเรื่องการทํา
รายรางกาย ฆากัน ยิงกัน ใหเปนเรื่องเทห เก พรอมกับเกมสคอมพิวเตอรที่สวนมากเนนแตการทําราย
ซึ่งกันและกัน เด็ก ๆ จึงเห็นการกระทําผิดศีลธรรมเปนเรื่องปกติ ธรรมดาไป พฤติกรรมที่ไม
เอื้ออํานวยใหเขาใจชีวิตอยางถูกตองเหลานี้จะทําใหศีลธรรมกลายเปนเรื่องอดีตของมนุษยไปในที่สุด
การใชชีวิตอยางไรศีลธรรมจะกลายเปนเรื่องปกติธรรมดาของมนุษยไปในอนาคต ซึ่งเปนการปูทาง
ไปสูยุคมิคสัญญี คือ ยุคที่มนุษยสามารถฆากันดวยความเขาใจผิดวามนุษยเปนผักปลา อันเปนกลไก
หรือธรรมชาติธรรมดาของสังสารวัฏ นี่จึงเปนยุคที่ปจเจกบุคคลตองรีบเอาตัวเองใหรอดโดยรีบทํา
ความเขาใจเรื่องตาง ๆ ที่ดิฉันนําเสนอในหนังสือเลมนี้

จุดนิ่งของจักรวาลสามารถยุติศีลธรรมสัมพัทธ
จะยุติสภาวะที่สับสนและยุงเหยิงของสังคมไดก็ตองหยุดคิดเรื่องศีลธรรมอยางสัมพัทธ
หรือเปรียบเทียบ จะทําเชนนั้นได จําเปนตองรูเหตุผลที่อยูเบื้องหลังการมีศีลธรรมจรรยาเสียกอน คน
จะตองรูวาทําไมนักการศาสนาหรือนักบุญทุกทานที่ผานมาในโลกจะตองสอนคนใหทําแตความดีและ
มีศีลธรรมเสมอ เหตุผลหลักมีขอเดียวคือ มันเปนปจจัยสําคัญชวยใหผูรักษาศีลเขาถึงสัจธรรมอัน
สูงสุด หรือ เขาถึงพระเจา หรือ พระนิพพาน นั่นเอง
จุดนิ่งหรือจุดปกติของจักรวาลอันคงที่ถาวรเทานั้นที่สามารถใชเปนมาตรฐานการวัดทุกสิ่ง
ในจักรวาลได ผลที่ไดก็จะมีคาคงที่ สมบูรณ แนนอน ไมขึ้นอยูกับการตีความที่ออกจากกรอบ
ความคิดที่แตกตางหลากหลายเหมือนการใสแวนตางสีของปจเจกบุ คคล อีกตอไป จะเปนการพูดโดย
การเอาสัจธรรมเปนแกนหลักเสมอ จึงเปนคําพูดที่มีความหนักแนน คงทน ถาวร ฉะนั้น แทนที่จะยอม
กมหัวใหกับทฤษฎีสัมพัทธภาพโดยพูดวา “พูดอยางสัมพัทธ relatively speaking” เราควรสราง
วัฒนธรรมทางภาษาที่เนื่องกับการรูจุดคงที่ของจักรวาลขึ้นมาใหมโดยใชวลีเชน “พูดอยางเด็ดขาด
absolutely speaking” แทน เพื่อใหทุกเรื่องของชีวิตโยงกลับไปสูสัจธรรมอันสูงสุดไดเสมอ
ไอนสไตนพูดวา
วิทยาศาสตรนั้นไมมีอะไรมากไปกวาการคิดเรื่องราวของชีวิตประจําวัน
ฉะนั้น การรูจุดปกติของจักรวาลจึงเปนเรื่องที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของมนุษยอยาง
แนบแนน เปนเรื่องการสรางวิถีชีวิตที่ปกติอยางแทจริง นี่เปนเรื่องเดียวที่จะสามารถแกปญหาอัน
สับสนและสลับซับซอนที่เนื่องกับสังคมและศีลธรรมได เปรียบเหมือนการแกปมเชือกของเสนดาย
จากตนสุดหรือปลายสุด เพื่อปมอื่น ๆ จะสามารถหลุดออกเปนเปาะ ๆ จนกลายเปนเสนตรงได

ความรูทางโลกและทางธรรมตองเดินควบคูกัน
ปจจุบันนี้ งานวิจัยในวงการฟสิกสโดยสวนใหญมีเปาหมายเพื่อสานตอภารกิจของ
ไอนสไตน เพื่อแสวงหาคําตอบในปริศนาหรือทฤษฎีเอกภาพที่ไอนสไตนไดทุมเทชีวิตในชวง ๓๐ ป
สุดทายของเขา แตไมสําเร็จ บรรดานักฟสิกสยังเห็นพองตองกันวาควรตองมีกรอบหลักการที่

8
กวางขวางครอบคลุมและเปนพื้นฐานของทุกทฤษฎี จึงเปนเปาหมายที่ทาทายอยางยิ่งยวดและเปน
ความใฝฝนอันสูงสุดในวงการวิทยาศาสตร
ดิฉันมั่นใจเหลือเกินวา พระนิ พพาน ในฐานะที่เปนจุดปกติของจักรวาลนีแ
่ หละคือกรอบ
หลักการทีก ่ วางขวาง ที่สามารถครอบคลุมเรื่องทุกเรื่องของจักรวาลและสามารถใชเปนพื้นฐานของ
ทุกทฤษฎีได ความรูทางโลกโดยเฉพาะความรูทางวิทยาศาสตรจําเปนตองเดินเคียงขางกับความรู
เรื่องพระนิพพานเสมอจึงจะปลอดภัย จึงแนใจไดวาจะไมถูกใชไปในทางที่ผิด ๆ ถาหากขาดทฤษฎี
เอกภาพอันคือพระนิพพานแลวไซร ความรูทางโลกเหลานั้นแมจะเลิศเลอมหัศจรรยและมีคุณคาตอ
การสรางสรรคอารยธรรมทางวัตถุมากเพียงใดก็ตาม มันก็ยังเปนความรูในฝายมืดที่มักถูกนําไปใชเพื่อ
ปรนเปรอกิเลสของมนุษย จึงเปนความรูที่ยังหลงทิศอยู เปนเรื่องการพายเรืออยูใ นหนองน้ําที่กวาง
ใหญไพศาล เหมือนติดคุกใหญที่ไมมีทางออก เปนความรูที่มีคุณภาพเหมือนผาขาวสีขุนมัว ไมใส
แจวเหมือนความรูเรื่องพระนิพพาน อันเปนความรูเรื่องการออกจากคุกของชีวิตอยางแทจริง

สรุป
ถึงแมอัลเบิรต ไอนสไตนไดจากโลกนี้ไปแลวโดยที่เขายังไมไดพบสัจธรรมอันสูงสุดก็ตาม
เขาก็ยังไดทิ้งมรดกทางปญญาอยางมากมายใหแกมนุษยชาติที่ควรไดรับการยกยองและระลึกถึง
เสมอ แตสําหรับดิฉันแลว มรดกทีส ่ ําคัญที่สุดที่ไอนสไตนไดทิ้งใหแกมนุษยชาติคือ การตั้งคําถาม
ของเขาในเรื่องเกี่ยวกับจุดนิ่งหรือจุดปกติของจักรวาลและทฤษฎีเอกภาพ รวมทั้งการชี้ทางไปสูการ
หาคําตอบในพระพุทธศาสนา
ดิฉันอยากเชื่อวา ความคิดนี้ของไอนสไตนจะสามารถสรางความตื่นตัวในหมูปญญาชน
โดยเฉพาะปญญาชนไทยใหกลับมาเสาะแสวงหาภูมิปญญาของพระพุทธเจามากขึ้น ซึ่งภูมิปญญาใน
สวนพระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดที่ดิฉันนําเสนอในหนังสือเลมนี้ เปนการเรียนรูที่อยูเหนือกรอบ
แหงประเพณีและวัฒนธรรมทางศาสนาตาง ๆ จึงเปนเรื่องครอบจักรวาล เปนเรื่องสากลที่สามารถ
เขาถึงไดดวยเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตรอยางแทจริง ไมจําเปนตองแยกระหวางการเชื่อ
ศาสนาหรือเชื่อวิทยาศาสตรแตอยางใด จึงเปนเรื่องกลาง ๆ ที่ทุกคนเขาถึงได
ดิฉันเห็นวานี่เปนวิธีการเดียวที่จะสามารถรวมมนุษยชาติใหเปนเอกภาพไดในฐานะที่ทุก
คนเปนมนุษยของดาวนพพระเคราะหดวงนี้เทาเทียมกันหมด

9
บทที่สอง
ตัวจริง ๆ ของเราอยูที่ไหน
Finding Our True Self

ฝรั่งคุยเรื่อง “กลัวความชรา”

เชาวันหนึ่งเมื่อสองปกอน ในขณะที่ดิฉันกําลังทําโยคะอยู คิดวาควรจะติดตามขาว


เสียหนอยวามีเรื่องอะไรใหม ๆ เกิดขึ้นในโลกนี้บาง จึงคิดจะดูขาวของบีบีซีเสียหนอย ซึ่ง
ดิฉันมักถือเปนโอกาสฝกเรียนภาษาอังกฤษไปดวย ดิฉันเปดไมถึงชองของบีบีซีที่มีขาว ๒๔
ชั่วโมง แตมาติดที่รายการโทรทัศนอีกชองหนึ่งของบีบีซีเชนกัน จัดโดยนักจัดรายการชายผู
หนึ่งที่มีเสียงกํามะหยี่ที่เพศหญิงชื่นชมมาก ชื่อ คิลรอย ซิลค Kilroy Silk เขามีวิธีการพูด
และบุคคลิกที่มีเสนหมาก เปนรายการที่มีผูฟงประมาณ ๖๐ คน แตมีเพียงบางคนเทานั้นที่
ไดเลาประสบการณชี วิต ของตนเองในหองสงของสถานีโทรทัศนตามหัวขอที่ตั้งขึ้นมา คนที่
ยกมือแลวมีโอกาสไดพูดก็สามารถใหความคิดเห็นตาง ๆ ดวย หัวขอที่พูดสนทนาในวันนั้น
คือ “กลัวความชรา” Too scared to grow old.

ถึงแมดิฉันรูดีวารายกายเชนนี้เปนอยางไร และกําลังจะเปลี่ยนชองอยูนั้น ดิฉันก็ตอง


มาสะดุดที่คําพูดของหญิงวัย ๔๐ เศษคนหนึ่ง เธอแตงตัวสุภาพ เรียบรอย สวยงาม ดูเปน
ผูดีทุกกระเบียดนิ้ว เธอพูดวา

“ทุกครั้งทีด
่ ิฉันเห็นตัวเองในกระจก ดิฉันยอมรับกับตัวเองไดยากมากวาใบหนาที่
เหี่ยวยนในกระจกนี้คือตัวดิฉัน เพราะดิฉันไมไดรูสึกวาเปนคนนั้นเลย คนนั้นไมใชเปนตัวจริง
ของดิฉัน ในหัวใจของดิฉันนั้น รูสึกเปนอีกคนหนึ่งที่หนาตาไมเหมือนหญิงคนที่ดิฉันเห็นใน
กระจกเลย”

ในขณะที่เธอกําลังปลดเปลื้องเสื้อผาที่ ปกปค
ดวามรูสึกสวนลึกของตนเองออกให
ชาวโลกเห็นตัวใจที่เปลือยเปลานั้น ดิฉันจึงมองเห็นความรูสึกที่เจ็บปวดในจิตใจของหญิง
คนนี้ไดอยางชัดเจน เครื่องสําอางของเธออาจจะสามารถปกปดรอยเหี่ยวยนบนใบหนาได
บาง แตไมสามารถปกปดความกลัว ความไมมั่นคง และการขาดความมั่นใจในตัวเองที่แสดง
ออกมาทางสายตาและใบหนาไดเลย ในขณะนั้น ดิฉันรูสึกสงสารหญิงคนนี้อยางจับใจ
สงสัยวา หากเธอยังมีความกลัวภาพเหมือนในกระจกของตนเองอยูทุกวี่วันเชนนี้แลว เธอจะ
มีชีวิตอยูไดอยางไร เพราะเธอจะไมสาวขึ้น จะตองแกตัวลงมากกวานี้ สิ่งที่ทําใหดิฉันตอง
หยุดดูรายการนี้แทนการดูขาวในเชาวันนั้นคือ คําสนทนาที่ลวนวนเวียนอยูกับคําวลีที่วา “ตัว
จริงของฉัน” my true self, your real self

ตอสูกับความแกเฒาดวยศัลยกรรมตกแตง

ในขณะที่รายการสนทนานี้ดําเนินไปนั้น ดิฉันก็ไดเรียนรูขอเท็จจริงมากมายเกี่ยวกับ
ผูหญิงเราที่พยายามจะตอสูกับความแกเฒาที่หลีกเลี่ยงไมไดนี้ไดอยางไร จะไปอานหรือฟง

10
อะไรก็ไมนาสนใจเทากับการฟงประสบการณสวนตัวจริง ๆ บางรายฟงแลวก็อดสงสารไมได
สิ่งที่คนนิยมทํากันมากที่สุดคือ การทําศัลยกรรมตกแตงที่จะทําใหใบหนาดูเตงตึงและออน
กวาวัยอยูเสมอ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเปนวิธีการใหมคือ สิ่งที่ฝรั่งเรียก โบทอกซ ทรีทเม็นท Botox
treatment คือ การฉีดสารพิษจํานวนนอยนิดชนิดหนึ่งเขาไปในบริเวณผิวหนังที่เหี่ยวยน
สารพิษนั้นจะไปทําใหเนื้อที่เหี่ยวยนนั้นกลับนูนขึ้นมาอีก ทําใหดูสาวมากขึ้น ซึ่งการฉีดครั้ง
หนึ่ง จะอยูไดประมาณ ๔ – ๖ เดือน คาใชจายประมาณ ๒๐๐ ถึง ๓๐๐ ปอนด ตอครั้ง นี่คือ
สิ่งที่ดิฉันไดเรียนรูจากบรรดาสุภาพสตรีในรายการนี้ เพื่อทําใหตนเองดู ออนกวาวัย

หาภูมิปญญาเด็ด ๆ ไมได

เมื่อเขาไปสูชวงกลางของรายการนั้น การพูดคุยกันระหวางผูรวมรายการคอย ๆ เผ็ด


รอนมากขึ้น ฝายที่ไมเห็นดวยกับการทําสาวและชะลอความชราเชนนั้นจึงตอบโตดวยคําพูด
และอารมณที่คอนขางรุนแรง เชน
ทําไมคุณจึงเปนตัวของตัวเองไมได
Why can’t you be your true self?
ดิฉันฟงประโยคนั้นแลว ก็อยากจะฟงซิวาคนพูดไดรูจักตัวจริงของตนเองมากแค
ไหน อยากรูวาจะมีใครในรายการนี้ที่มีภูมิปญญารูเรื่องราวของชีวิตอยางแทจริงหรือไม ซึ่ง
นอกจากไมมีแลว ยังมีความคิดที่แสดงออกถึงความออนหัดตอชีวิตมากทีเดียว มีชายหนุม
คนหนึ่งพูดกับหญิงที่ไปทําศัลยกรรมยืดหนาคนหนึ่งวา
ทําไมคุณจึงกลัวความแกมากเชนนั้น ความแกเปนเรื่องผิดอะไรหรือ
หญิงวัยหาสิบเศษจึงรีบตอบสวนไปวา
คุณอยาลืมนะวา ความชราหมายถึงความตายดวย แลวคุณตองการตายหรือ?
หญิงวัย ๔๐ อีกคนหนึ่งพูดอยางภูมิใจวา เธอยังสามารถยั่วยวนชายอายุนอยกวาให
มาสนใจในตัวเธอได และชายหนุมคนนั้นก็ยังยอมอยูกับเธอแมทุกวันนี้ คําพูดของหญิงที่ดู
เหมือนหลงตัวเองนี้ไดทําใหคนหลายคนในรายการสั่นหนาและแสดงความขยะแขยงออกมา
อยางชัดเจน
คนหนุมสาวเหลานี้ลืมไปวาในอีกเพียง ๒๐ หรือ ๓๐ ปเทานั้น พวกเขาก็จะอยูในเรือ
รําเดียวกับคนสูงอายุที่เขากําลังวิจารณและดูหมิ่นอยู และเวลา ๒๐ ปนั้นก็จะผานไปเร็ว
เหมือนปกบิน และพวกเขาก็อาจจะตองมาเรียงคิวเขาสูขบวนการชะลอความแกเฒาโดยการ
ทําหนุมทําสาวเหมือนคนนาสงสารเหลานี้เชนกัน

ถกเถียงเรื่องการใชชีวิตอมตะ ไมงายเหมือนคิด
ถึงแมจะมีเพียง ๖๐ คนในรายการนี้ แตสิ่งที่คนเหลานี้นําขึ้นมาพูดถกเถียงกันนั้น
ไมไดไกลจากความเปนจริงของคนหมูมากในสังคมที่ร่ํารวยอยางสังคมตะวันตกเลย เพราะ
ความคิดเหลานี้แหละที่อยูเบื้องหลังอุตสาหกรรมเสริมสวย และผลิตภัณฑเครื่องสําอางที่ทํา
ใหดูออนกวาวัย ที่ทําเงินหลายพันลานปอนดตอป ซึ่งมีเปาหมายเพียงอยางเดียวเทานั้น คือ
การชะลอความแกเฒาของมนุษย พรอมกับการสรางเสริมอัตตาตัวตนของแตละคนให
มั่นคงมากขึ้น ซึ่งสังคมของคนยุคใหมโดยเฉพาะในสังคมที่ร่ํารวยเชนสังคมตะวันตกจะเรียก
อัตตาตัวตนวา “ความมั่นใจในตนเอง” หรือมี self confidence, self esteem ซึ่งฟงแลว
ดีกวาคําวา egoistic, egocentric หรือ self-centered ดวยความชวยเหลือของอุตสาหกรรม
โฆษณา advertising industry และกลไกของความคิดที่เปนมายา มนุษยจึงถูกหลอกให
เขาใจวาสามารถชะลอความแกเฒาและอยูเหนือความตายได

11
เรื่องการรักสวยรักงามและอยากจะใหมันอยูอยางคงทนถาวรอาจจะฟงเปนเรื่อง
เล็กนอย หรือไรสาระ trivial สําหรับคนที่ไมเห็นความสวยงามเปนเรื่องสําคัญ แตที่จริงแลว
พวกเขากําลังพูดถึงหัวขอตาง ๆ ที่มีความสําคัญตอชีวิตมากทีเดียว นั่นคือ การเผชิญหนา
กับความชรา ความตาย ทําอยางไรจึงจะมีชีวิตที่เปนหนุมเปนสาวอยูเสมอ ซึ่งเรื่องนี้คือ
เรื่องการใชชีวิตอยางเปนอมตะ eternity หรือ immortality ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับ “การเปน
ตัวของตัวเอง” หรือ ถาจะเรียบเรียงคําพูดใหมคือ การหา “ตัวจริง ๆ ของเรา” นั่นเอง
คนมักพูดถึงเรื่องการเปนตัวของตัวเอง หรือ เปนตัวจริง ๆ ของเราราวกับวาเปนเรื่อง
ทํากันงาย ๆ ที่จริงแลว เปนสิ่งที่ทําไดยากที่สุด เพราะเปนเรื่องการตอสูกับความคิด
ความรูสึกภายในของตนเอง ซึ่งเปนเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธและเปนรายละเอียดของเรื่อง
การปฏิบัติสติปฏฐานสี่โดยตรง

ถาไมรูจักตัวจริง ก็ไมรูวามีตัวปลอม
หากเอาความคิดของไอนสไตนในเรื่องการมองทุกอยางในลักษณะสัมพัทธเขามา
พูดแลวละก็ ถาเราไมรูจัก “ตัวจริง ๆ ของเรา” แลว เราก็จะไมรูจัก “ตัวปลอม” ของเรา
เชนกัน จะเขาใจผิดวาตัวปลอมของเราคือตัวจริง ตัวปลอมของเราในที่นี้คือ การมองตัวเอง
อยางเปรียบเทียบและสัมพัทธกับคนอื่นตลอดเวลาซึ่งเปนเนื้อหาของบทความนี้ เชน ทําไม
คนนั้นคนนี้สวยกวาเรา ทําไมเราไมสวยเทาเขา ทําไมฉันจึ งดูแกอยางนี้ เปนตน
ฉะนั้น จึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองรูจักตัวจริงของเราเสียกอน เพื่อวา เราจะไดแยก
ออกวานี่คือตัวปลอมของเรา เหมือนนักเลนพระที่ตองพกแวนขยายเพื่อแยกแยะใหออกวา
พระเครื่ององคไหนที่เปนของจริงหรือของปลอม คนดูพระจึงตองรูกอนวา พระจริงเปน
อยางไรเสียกอน จึงรูความแตกตางระหวางพระจริงกับพระปลอม
ดิฉันจึงจําเปนตองรูกอนวา “ตัวจริง ๆ” ของมนุษยเปนอยางไร และแตกตางจาก “ตัว
ปลอม” อยางไร หากไมรูขอเท็จจริงพื้นฐานนี้แลว จะเขียนเรื่องนี้ไมได จึงขอเชื่อมโยงให
คุณเห็นชัดเจนกอนวา “ตัวจริง ๆ” ที่ดิฉันจะพูดถึงในบทนี้ก็คือ สภาวะที่เจาของชีวิตสามารถ
เขาถึงสัจธรรมอันสูงสุด หรือเขาถึงพระนิพพาน หรือ เมื่อเจาของชีวิตสามารถรับผัสสะอยาง
บริสุทธิ์ไดนั่นเอง ฉะนั้น การแสวงหาทฤษฎีเอกภาพของไอนสไตนนั้น จะพูดใหมก็ไดวา นี่
เปนทฤษฎีของการแสวงหาตนเอง หรือ แสวงหาตัวจริง ๆ ของเรานั่นเอง
เปนที่นาตกใจมากวาความรูเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้ไมมีอยูในระบบการศึกษาของโลก
แตอยางใด เมื่อไมมีการสอน ความรูที่ถูกตองเกี่ยวกับการแสวงหาตนเองจึงไมเกิด จึงกอ
ผลใหคิดและทําสิ่งตาง ๆ อยางสะเปะสะปะและมืดมนอนธการ จนกอใหเกิดกลุมคนที่มี
ปญหาทางจิตใจเหลานี้

“ตัวจริงของเรา” อยูที่ไหน?
ทีนี้ เราจะเริ่มขบวนการหาตัวจริง ๆ ของเราแลว ลองมาเริ่มตนที่จุดนี้กันกอน มีใคร
สามารถใหคําตอบอยางตรงไปตรงมาไดหรือไมวารางกายและจิตใจของเรานี้ สวนไหนที่เรา
สามารถกําหนดลงไปไดอยางแนชัดวานั่นคือ ตัวจริง ๆ ของเรา ตัวคุณจริง ๆ หรือ ตัวฉันจริง

เอาละ ดิฉันมั่นใจเหลือเกินวา คุณจะตองตอบวา ไมใชตัวกายของเราที่เปนตัวจริง
แตเปนสวนของจิตใจที่เปนตัวจริงของเราตางหาก ถาเชนนั้น เราก็ตองเลื่อนไปที่สวนของ
จิตใจ และถามตอวา จิตใจสวนไหนของเราหรือที่เปนตัวจริง ๆ ของเรา

ฝรั่งมักเชื่อวาจิตใจอยูที่สมอง
เมื่อกลาวถึงคําวา “จิตใจ” mind ขึ้นมาทีไร ความซับซอนและสับสนจะเกิดขึ้นทันที
จะบอกวาจิตใจในสวนที่เปนสมองอันเปนกอนเนื้อสีเทา ๆ ที่นอนขดอยูในกะโหลกศรีษะ ซึ่ง

12
เรามักจะ (ถูกนักวิทยาศาสตรบอกให)1 คิดวาเปนสวนที่ผลิตความคิดและความรูสึก หรือ
จิตใจ ในฐานะที่เปนสภาวะอันเปนนามธรรมและเปนหนวยงานอิสระซึ่งสามารถควบคุมและ
สั่งงานใหเราทําตามความคิดและความรูสึก
ถึงแมดิฉันจะไมมีสถิติอันเปนผลจากการวิจัยอยางเปนทางการ แตดิฉันก็เคยวิจัยกับ
นักศึกษาในชั้นไทเก็กของดิฉันแลว ดิฉันไดถามนักศึกษาทุกเทอมโดยทําติดตอกัน
ประมาณ ๓ ป ซึ่งตอนนั้นมีนักศึกษาประมาณ ๑๕-๒๐ คนตอชั้น และมี ๗ ชั้นตอหนึ่ง
อาทิตย และ ๓ เทอมตอป โดยบอกใหเขานํามือของเขาวางลงตรงจุดที่เขาคิดวา จิตใจ
mind ตั้งอยู ผลที่ออกมาปรากฏวามีนักศึกษาประมาณ ๘๐ เปอรเซ็นตที่เอามือวางบนศรีษะ
ซึ่งเปนที่ตั้งของสมอง อีก ๑๘ เปอรเซนตเอามือวางที่สวนอก อีก ๒ เปอรเซ็นตเอามือวาง
สวนอื่น ซึ่งพอจะสรุปไดวาปญญาชนชาวตะวันตกสวนมากจะเห็นพองกันวา จิตใจ คือ สวน
ที่เปนหัวสมองของมนุษยมากกวาสวนที่เปนนามธรรมอันเปนองคกรอิสระแนนอน
ฉะนั้น หากคุณคิดวาจิตใจคือสมองแลวละก็ ยอมหมายความวาคุณยังไมไดพูดอะไร
ที่หางไกลจากสวนของรางกายเลย จริงหรือไมเลา เพราะวา สมองก็คือสวนหนึ่งของ
รางกาย สวนจิตใจเปนสิ่งที่ไมมีรูปราง formless คุณเห็นหรือไมวา คุณกําลังพูดและทําใน
สิ่งที่ขัดแยงกันเอง คุณตองการเขาใจสิ่งที่ไมมีรูปรางเชนความคิดกับความรูสึก แตคุณ
กลับไปเรียนรูจากสิ่งที่เปนกอนเนื้อของรางกาย จุดนี้เองที่ดิฉันพูดวา นักสมองศาสตรกับ
นักจิตวิทยากําลังตอสูกับศัตรู (ความคิด กับ ความรูสึก) ผิดสนามรบ fighting in the
wrong battle field ศัตรูอยูส  งขลา แตกลับสงทหารไปเชียงใหม ทํานองนั้น

จะตรึงความคิดใหอยูนาน ๆ ไดอยางไร
เอาละ ดิฉันจะแกลงเห็นดวยกับคุณกอน และยอมรับวาจิตใจอยูที่สมองและ
รับผิดชอบตอการทํางานของความคิดและความรูสึก ดิฉันจะขอถามตอวา สภาวะจิตใจชนิด
ไหน ความคิดไหน และ ความรูสึกไหนที่คุณสามารถเรียกไดวานี่เปน “ตัวจริง ๆ” ของคุณ
และการเปนตัวของตัวเอง หรือ เปนตัวจริง ๆ ของเรานั้น ถาจะทําจริง ๆ แลว เราจะตองทํา
ตัวอยางไร ทําจิตใจอยางไร มันเปนเรื่องที่เราจะตองตรึงความคิดหนึ่ง ตรึงความรูสึกหนึ่ง
หรือ จะตองตรึงความเชื่ออะไรอยางหนึ่ง ใชหรือไม เอานะ สมมุติวานั่นคือคําตอบ เรา
จะตองพยายามตรึงความคิดและความเชื่อชนิดหนึ่งใหคงอยูในหัวของเรา เชน เราจะตอง
คิดวา
เราตองเปนตัวของตัวเองสิ เราตองไมกลัวความแก เราจะตองสนุกและพอใจกับชีวิต
ตามที่มันเปนอยู เราจะตองมีชีวิตอยูกบ
ั วันนี้เทานั้น และเราตองไมกังวล หวงใยกับอนาคต
มากเกินไป ฯลฯ

คําถามตอไปคือวา แลวคุณจะสามารถตรึงความคิด ความเชื่อเหลานี้ใหอยูกับคุณ


ตลอดไปไดอยางไร เพราะขอเท็จจริงคือ ความคิด ความรูสึก ความเชื่อของคนเรา
เปลี่ยนแปลงไดงายมาก เพราะมันขึ้นอยูกับผัสสะของคุณวาขณะนี้ ๆ คุณเห็นอะไร ไดยิน
อะไร ไดกลิ่น ไดรส ไดสัมผัสกับอะไร จริงหรือไมเลาวาความคิด ความรูสึกของเรา
เปลี่ยนแปลงไปตามหนังสือที่เราอาน รายการโทรทัศนที่เราดู เว็บไซตที่เราเขาไปอาน และ
คําสนทนาตาง ๆ ที่เรามีกับผูคนที่อยูรอบขางเราตลอดจนคนในสังคม จากประสบการณของ
คุณ คุณตองทราบดีแลวละวา ความคิดของคุณสามารถเปลี่ยนไดงายมากหลังจากการ

1
ถึงแมวาการวิจัยเรื่องสมองของมนุษยยังคงเปนเรื่องที่กระทําอยูอยางตอเนื่องมานานนับรอยปแลว
และยังไมมีผลสรุปที่แนนอนแตอยางใด ชาวตะวันตกสวนมากก็ยังมีแนวโนมที่จะเชื่อวาจิตใจของมนุษยอยูที่สมอง
อยูนั่นเอง

13
พูดคุยพบปะกับผูคน ซึ่งก็ขึ้นอยูวาคนประเภทไหนที่คุณคุยดวย คุณอาจจะพยายามตรึง
ความคิดและความเชื่อของคุณไวในจิตใจคุณอยางดีที่สุด พยายามบอกกับตัวคุณเองวา
จะตองไมกลัวความแกเฒาชรา ตองไมกลัวตาย ตองไมใหความสนใจกับความสวยความ
งามมากจนเกินเลย ตองพยายามปลอยใหตนเองเดินเขาสูวัยชราอยางมีศักดิ์ศรี ฯลฯ และ
อะไรอื่นอีกจิปาถะที่คุณเชื่อและอยากบอกตัวเองใหเชื่อ

วงจรอันเลวราย
แตก็อีกนั่นแหละ มนุษยเปนสัตวสงั คม เราจําเปนตองพบปะผูคน และทุกครั้งที่คุณ
ไปพูดคุยกับคนที่มีความมั่นใจในตนเองมากกวาคุณแลว จิตใจของคุณยอมออนไหวงาย ลม
พัดลมเพ และอดไมไดที่จะคิดคลอยตามคนที่คุณพูดคุยดวย
ถาเพื่อนสนิทของคุณเชื่อวา ความรักสวยรักงามในเพศหญิงเปนสิ่งจําเปน ผูหญิงเรา
ควรจะตองทําตนเองใหดูดี สวย สงางาม โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อยางเขาสูวัยชราดวยแลว
ยิ่งจําเปนตองดูแลตัวเองใหดูสงางาม ไมใชปลอยตัวจนเกินไป ฉะนั้น หากการทําศัลยกรรม
ตกแตงใบหนา หรือ การฉีดสารพิษโบทอกซสามารถชวยใหผูหญิงในวัยยางชราดูดีขึ้นแลว
ก็ไมนาจะมีปญหาอะไรเลย ถาเพื่อนสนิทของคุณคิดเชนนั้นและมีความมั่นใจในสิ่งที่เขาคิด
เขาเชื่อแลวละก็ คุณคิดวา คุณจะยังคงสามารถตรึงความคิดเกา ๆ ของคุณไดหรือ หากคุณ
ตองคุยกับเพื่อนสนิทของคุณอยูทุกเมื่อเชื่อวันเชนนั้น คุณจะไมคิดคลอยตามเพื่อนบางหรือ
ถาคุณไมคิดคลอยตาม คุณก็ไมนามีปญหา แตที่คุณมีปญหาจนกระทั่งมานั่งถกเถียงกันใน
รายการโทรทัศนเชนนี้ก็เพราะคุณอดคิดคลอยตามเพื่อนไมได จริงหรือไม?
ถาเชนนั้น คุณก็วกกลับมาจุดเดิมของคุณอีก นั่นคือ การตะเกียกตะกายที่จะเปนตัว
ของตัวเอง เปนตัวจริง ๆ ของคุณ โดยการพยายามตรึงความคิดและความเชื่อหนึ่งใหอยูใน
หัวตนเอง ซึ่งคุณทําไมสําเร็จ อันเปนจุดเริ่มตนของการวิเคราะหเรื่องนี้ คุณเห็นแลวหรือยัง
วาคุณกําลังติดอยูในวงจรอันเลวราย the vicious circle ที่ไมมีทางออก

เอาชะตาชีวิตหอยไวกับคุณหมอและเภสัชกร
การที่จะทําลายวงจรแหงความเลวรายของคนในทุกวันนี้ มักหมายถึงการพึ่งยา
กลอมประสาทที่คุณหมอสั่งใหรับประทาน จนทําใหยาประเภทนี้ขายดีเปนเทน้ําเททา
เหตุผลสําคัญขอหนึ่งของการทานยากลอมประสาทเพราะ นักวิทยาศาสตรทางการแพทย
เชื่อวาความวาวุน กลุมใจ วิตก กังวล หงุดหงิด คิดมาก ฟุงซานจนตั้งตัวไมติดของเรานั้น
เกิดจากสารเคมีในรองของสมองไมสมดุลกัน ถาเปนหญิงโดยเฉพาะกลุมที่อยูในวัยใกล
หมดประจําเดือนหรือหมดแลว ความหงุดหงิดเกิดจากความไมสมดุลของระดับฮอรโมนใน
รางกาย ฉะนั้น จึงจําเปนตองใชยากลอมประสาทเพื่อปรับความสมดุลของสารเคมีในสมอง
หรือไมก็ปรับระดับฮอรโมน จึงตองรับประทานฮอรโมนเสริม เมื่อสารเคมีในสมองและระดับฮ
อรโมนของคุณสมดุลกันแลว จิตใจของคุณก็จะรูสึกดีขึ้น สงบขึ้น
ซึ่งถาเปนเชนนั้นจริง ๆ แลว ยอมหมายความวา ชีวิตของคุณ ความสุขของคุณไดตก
อยูในเงื้อมมือของคุณหมอและบริษัทผลิตยาไปแลวหรือ หมายความวาคุณไมมีอํานาจ
เหนือชีวิตจิตใจของคุณเลย เชนนั้นหรือ
คุณเห็นแลวหรือยังวา เมื่อเราคอย ๆ วิเคราะหเขาไปสูเรื่องการหา “ตัวจริง ๆ” ของ
เรานั้น มันไมใชเปนเรื่องงาย ๆ และตรงไปตรงมาอยางที่คิดเลย เปนเรื่องละเอียดออนที่ตอง
ใชเวลาทําความเขาใจอยางถองแท

ตองเปดประตูใจ ใหโอกาสพระพุทธเจา

14
ปญหาทั้งหมดนี้จึงวกกลับมาที่คําวา “จิตใจ” และการใหคํานิยามแกคํา ๆ นี้ ตราบ
ใดที่เรายังไมรูความหมายที่แทจริงของคําวา จิตใจ และไมรูวามันอยูตรงไหนแลวละก็ เรา
จะไมมีวันหา “ตัวจริง ๆ” ของเราไดพบเลย
ตรงนี้แหละ คือ เหตุผลหลักที่ดิฉันมักบอกใหนักศึกษาในชั้นไทเก็กของดิฉันให
เพิกเฉยและแกลงลืมความรูที่ไดเรียนมาเสียกอนโดยเฉพาะภาควิชาจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่อง
จิตใจในแงที่เชื่อมโยงกับสมองทั้งหมด เพราะเขาคิดวาจิตใจคือสมอง The mind is the
brain.
หากคุณไมแกลงลืมและเปดประตูใจของคุณใหกับความรูของพระพุทธเจาที่ดิฉันจะ
หยิบยื่นใหแลวละก็ คุณจะไมมีวันเขาใจสิ่งที่ดิฉันจะพูดและสอนคุณเลย เพราะดิฉันคิดวา
ความรูของพระพุทธเจาจะสามารถใหคําตอบเรื่องตําแหนงแหงหนของจิตใจแกคุณได
ชัดเจนมากกวาความรูทางวิทยาศาสตรอยางแนนอน

ใจเปนนาย กายเปนบาว
เรื่องที่ดิฉันจะวิเคราะหนี้ ขอใหเขาใจวามันตั้งอยูบนพื้นฐานที่ดิฉันยอมรับวา รางกาย
จิตใจนี้ยังมีเรื่องลึกลับซับซอนทีท ่ ั้งคุณและดิฉันก็เขาใจไดไมหมด จึงจําเปนตองพึ่งพา
ความรูของพระพุทธเจาเปนแนวทาง ซึ่งเปนความรูชนิด “ใบไมกํามือเดียว” คือรูในสวนที่
จําเปนตองรูจริง ๆ เทานั้น
หากเราวิเคราะหตามความรูของพระบรมศาสดาของชาวพุทธแลวละก็ จิตใจ เปน
สภาวะ (หรือองคกร) อิสระที่มีสวนเกี่ยวของกับรางกายอยูบาง แตไมทั้งหมด สวนที่
เกีย
่ วของกับรางกายนั้นคือ สวนที่คุณหมอสามารถใชยาสลบฉีดเขาไปในรางกาย ซึ่ง ยานั้นมี
สวนเขาไปบังคับใหสมองสวนหนึ่งหยุดทํางาน ไมรับรูความรูสึกของรางกายอีกตอไป
บางครั้งก็สามารถทําใหหมดสติไปเลย และเปดโอกาสใหคุณหมอทําศัลยกรรมผาตัดคนไข
ได และ คนไขที่เปนโรคเกี่ยวกับสมองที่เนื่องกับระบบประสาท ทําใหกระทบตอเรื่องการคิด
การจํา ซึ่งดิฉันยอมรับวาสมองมีสวนเกี่ยวของกับจิตใจจริง
แตมันยังมีสิ่งนอกเหนือจากนั้นที่นักการศึกษาทางโลกยังไมเขาใจ พระพุทธเจาทาน
กลับเห็นวา ใจเปนนาย กายเปนบาว งานทุกอยางจะสําเร็จไดก็เพราะมีจิตใจกอน จึงทําให
จิตใจมีระบบการทํางานที่เปนอิสระจากรางกายอยางสิ้นเชิง ไมไดอยูภายใตอิทธิพลของหัว
สมองเพียงถายเดียว นอกจากนั้น มันยังทํางานในลักษณะที่ตรงกันขามกับความเขาใจของ
วงการแพทยทั่วไป นั่นคือ จิตใจตางหากที่เปนปจจัยทําใหการทํางานของรางกายตลอดจน
สารเคมีในสมองปนปวน

ความรูสึกในใจกอใหเกิดการหลั่งสารเคมีในรางกาย
ความรูสึกทางอารมณที่ฉุนเฉียวของคนเราจะเปนปจจัยทําใหรางกายปนปวน ความ
โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา พยาบาท เคียดแคน จองลางจองผลาญ เปนอารมณทางใจที่มา
กอน เกิดกอนสภาวะความปนปวนของรางกาย เชน เพราะโกรธจัด หัวใจจึงเตนแรง ทองไส
จึงปนปวน ไมใชเพราะหัวใจเตนแรงกอน ทองไสปนปวนกอนแลวคอยเกิดความโกรธ เพราะ
กลัวจัดจึงทําใหความดันโลหิตสูง อุณหภูมิในรางกายสูงขึ้น รางกายจึงปลอยสารเคมีที่เรียก
เอ็นไซมหรือฮอรโมนบางชนิดออกมา
เอ็นไซมตัวที่รูจักกันดีคือ อะดรีนารีน สารตัวนี้จะถูกปลอยออกมาจากตอมหมวกไต
เมื่อมีอาการตื่นเตน ตกใจ กลัว และ โกรธจัด ทําใหหัวใจเตนแรง เพิ่มพลังงาน หรือมีแรง
มากขึ้น กอปฏิกิริยาใหรางกายสามารถทําในสิ่งที่ทําไมไดไดอยางรวดเร็วขึ้น ไมรูสึก
เจ็บปวด เชน เมื่อเกิดเหตุการณไฟไหม คนตกใจสามารถยกของหนักไดเหมือนเปนของเบา
ๆ เพราะสารอะดรีนาลินนี้

15
การรวมตัวของคนกลุมใหญเชนตามสนามฟุตบอลที่เต็มไปดวยคนมีอารมณสุดขีด
ไมตื่นเตนจัด ก็กลัวจัด หรือไมก็โกรธจัดเมื่อทีมฟุตบอลตัวเองแพ ชาวอังกฤษไมนอยที่นับ
ถือฟุตบอลเหมือนเปนศาสนา รักทีมฟุตบอลของตนเองมากกวารักพระเจา จึงมักมีปญหา
เรื่องการใชความรุนแรงตามสนามฟุตบอล ความคิด ความรูสึก ที่อยูในหัวในใจของคน
เหลานี้กําลังปนปวน สรางอารมณสารพัดนึก สารอะดรีนาลินในคนเหลานั้นจึงถูกหลั่งออกมา
พรอม ๆ กัน ทุกคนลวนรูสึกมีพลังมากขึ้น จึงมีเรื่องการใชความรุนแรงบอยมาก สามารถทุบ
ตี ชกเตะตอย โยนเกาอี้ใสกันไดโดยไมรูสึกเจ็บ เมื่อเหตุการณผานพนไป สารอะดรีนาลิน
ลดลงและหยุดหลั่งแลว รางกายจะเหนื่อยและออนเพลียมาก คนหนีไฟไหมไมสามารถยก
ของหนักกลับบาน คนชกตอยกันก็อาจตองหยอดน้ําขาวตม
ที่จริงแลว เรื่องการหลั่งสารเคมีในรางกายเหลานี้เปนเรื่องการชวยเหลือของ
ธรรมชาติที่สรางสิ่งทดแทนใหมนุษยในสถานการณฉุกเฉิน เปนเรื่องเฉพาะการ เชนกรณี
หนีไฟไหม ยุคคนอยูถ้ําที่ตองออกไปลาสัตวมาเลี้ยงชีวิตนั้น ธรรมชาติก็ชวยใหพลังเสริมแก
ชายที่ตองออกลาสัตว ซึ่งเปนเรื่องเฉพาะกาลเทานั้น

หมุนนาฬิกากลับไมไดแลว
แตสภาพของสังคมเปลี่ยนไปแลว ไมจําเปนตองลาสัตวกันแลว ถาคุณควบคุม
อารมณตนเองไมได ปลอยใหตื่นเตน กลัวและโกรธบอย ๆ แลวละก็ คนเราสามารถทําอะไร
ที่บาระห่ํา ทําสิ่งที่แมตนเองก็คาดไมถึง เชน สามีฆาภรรยา ภรรยาฆาสามี ลูกฆาพอแมได
เมื่อไมสามารถไดอะไรดังใจดังที่มีขาวออกมาเสมอ หลายรายที่เมื่อเหตุการณผานพนไป
และจําเลยถูกนําขึ้นศาลพิจารณาคดี ผูตองหามักตอบไมได หาเหตุผลไมไดวาทําไมจึงทํา
เชนนั้น หลายคนรูสึกเสียใจ อยากหมุนนาฬิกากลับ แตก็สายไปเสียแลว
ที่จริงพระพุทธเจาไดตรัสแลววา ความโกรธนั้นสามารถทําใหมนุษยกระทําในสิ่งที่
ทําไดยากหรือทําไมไดในยามที่จิตใจเปนปกติ ซึ่งชี้ใหเห็นวาทานเห็นการทํางานของจิตใจ
อยางทะลุปรุโปรงแลว
ในกรณีที่เล็กนอยกวานั้น เชน คนขี้โมโหแบบประเดี๋ยวประดาว ในขณะนั้น มักรูสึก
วาทองไสของตนเองปนปวนไปหมด คนที่ติดนิสัยขี้กังวล หวงโนนหวงนี่นั้น รางกายจะรูสึก
ไมสบายเชนกัน คนที่เครียดจากการทํางานและขบคิดปญหา ปลอยวางไมได ก็จะมีผลทํา
ใหกลามเนื้อสวนคอ ไหล ตนแขนเกร็ง แข็งไปหมด เลือดลมเดินไมคลองตัว กอใหเกิด
อาการปวดหัวถึงขนาดเปนไมเกรนได ถาไมควบคุมอารมณเหลานั้น ไมปรับจิตใจใหอยูใน
สภาวะปกติ ปลอยใหมีอารมณเชนนั้นอยางเรื้อรัง ยอมเปนผลเสียตอรางกายแนนอน เปน
การฆาตัวตายชนิดผอนสง
อยางไรก็ตาม การกระทําที่ผิดศีลธรรมอยางรายกาจเหลานี้จึงลวนเกิดจากตัวใจถูก
ความคิดและความรูสึกของเราหลอกเอากอน ทําใหอารมณทางใจปนปวนกอน รางกายจึง
ปนปวนตาม เปนผลใหรางกายหลั่งสารเคมีตาง ๆ ออกมา รวมทั้งทําใหสารเคมีในสมองไม
สมดุลซึ่งเปนเรื่องของปลายเหตุมากกวาที่จะเปนตนเหตุดังที่วงการแพทยวิเคราะหกัน

ความเห็นที่ขัดแยงกัน
จึงเห็นไดวา หากใชมุมมองของพระพุทธเจาแลว จิตใจตางหากที่เปนปจจัยตัว
สําคัญที่สรางเงื่อนไขทําใหสภาวะรางกายของคนเราสงบหรือปนปวน แข็งแรงหรือออนแอ
ได เปนการวิเคราะหปญหาจิตใจที่ตรงกันขามจากนักการศึกษาฝายโลกอยางสิ้นเชิง จึงขอ
สรุปใหเห็นงาย ๆ ดวยสมการขางลางนี้

พระพุทธเจาเห็นวา
จิตใจปนปวน ---> รางกายปนปวน ---> การกระทําผิดศีล

16
วิทยาศาสตรการแพทยเห็นวา
รางกายปนปวน ---> จิตใจปนปวน ---> การกระทําผิดศีล

ขันธ ๕
ฉะนั้น การที่จะคนหาตําแหนงแหงหนของจิตใจเพื่อเขาใจธรรมชาติการทํางานของ
มัน เพื่อแกปญหาจิตใจและเพื่อหาตัวจริง ๆ ของเรานั้น จําเปนอยางยิ่งที่จะตองใชวิธีการ
วิเคราะห “รางกาย-จิตใจ” โดยวิธีการของพระพุทธเจาเสียกอน นั่นคือ ทานบอกวา
รางกาย-จิตใจ ของมนุษยนี้ประกอบดวยสวนที่เปน “รูป” หนึ่งสวน และที่เปน “นาม” อีกสี่
สวน หรือ ที่ชาวพุทธเรียกวา ขันธ ๕ นั่นเอง ซึ่งมีดังนี้คือ
1. รูปขันธ คือ สวนของรางกายทั้งหมดรวมทั้งสมองดวย
2. เวทนาขันธ คือ สวนของความรูสึกของกาย เชนรูสึกไดวา นี่รอน เย็น แข็ง
ออน นุม สบาย ไมสบาย เจ็บ ปวด ระอุ ระบม เปนตน
3. สัญญาขันธ คือ ความทรงจํา อันคือ ความคิดทุกอยางที่เนื่องกับอดีต เชน
ความรูที่ไดจากการอานหนังสือ ภาษา ตลอดจนเหตุการณทุกอยางที่เกิดขึ้น
ในอดีต องคกรที่เปนนามนี้เปรียบเหมือนกลองเก็บขอมูลตาง ๆ ซึ่ง
ภาษาคอมพิวเตอรเรียก ดาตาเบส database ที่มีความสามารถเก็บ
เหตุการณทุกอยางที่เขามาในชีวิตเรา2
4. สังขารขันธ คือ ความคิดใหม ๆ สด ๆ ที่กําลังคิดอยูในขณะนี้ อันเนื่องกับ
จินตนาการของอนาคต หรือจะเรียกวาความคิดปรุงแตงก็ได มันทํางาน
รวมกับสัญญาขันธ คนที่มีความทรงจํามาก เชน มี ความรูมากเพราะไดอาน
มาก ฟงมาก หรือเก็บเหตุการณอดีตไวมาก ก็จะสามารถสรางความคิดใหม ๆ
สด ๆ ไดมากขึ้น และอดไมไดที่จะคิดพาดพิงจินตนาการตอไปถึงอนาคต
ความคิดที่สดใหมนี้เปรียบเหมือนเครื่องปรุงแตงความคิดเกาเพื่อทําใหเรื่อง
เกากลายเปนเรื่องใหมในหัวในใจเราอยูเสมอ และปรุงแตงใหเรื่องราวในใจมี
รสชาติเขมขนมากขึ้น แมจะเปนเหตุการณที่เกิดขึ้นนานหลายปแลวก็ตาม
สังขารขันธนี้สามารถนําความคิดเกามาใสเครื่องปรุงใหมและทําใหเปนเรื่อง
ใหมเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ไดอยูเสมอ ฉะนั้น คนที่เรารักมากเชน พอ แม
สามี ภรรยา หรือลูก แมไดตายไปแลวหลายป แตสังขารขันธของเราที่
ทํางานรวมกับสัญญาขันธนี้จะสามารถทําใหคนตายเหลานี้ฟนคืนชีพขึ้นมา
ในหัวเราบาง ในจิตใจเราบางไดอยูเสมอ
5. วิญญาณขันธ คือ ความรูสึกตัววาเรายังมีชีวิตอยู เปนคนเปน ๆ ที่เดินเหินได
และตางจากคนตายอยางลิบลับ รูไดวาเราไมไดนอนหลับสนิท ไมไดสลบ
หรือเปนลมหมดสติ ไมไดอยูในอาการโคมา และไมไดตาย รูแนชัดวามีตัว

2
ความทรงจําเปนธรรมชาติในสวนนามที่ตรงขามกับการลืม อะไรที่จําไมได แสดงวา “ลืมไป” การ
ลืมไมใชสิ่งไมดีเสมอไป เพราะหากเปนความทรงจําอันเนื่องกับเหตุการณที่เจ็บปวดของชีวิตแลว
การลืมก็เปนสิ่งที่ดี สามารถทําใหชีวิตเจ็บปวดนอยลง จนฮอลลีวูดนําความคิดนี้ไปสรางภาพยนตร
เชน เรื่อง Final Cut และเรื่องลาสุดคือ Eternal Sunshine of a Spotless Mind ที่มีคนคิดวิธีการลบ
ความทรงจําออกจากกลองความคิดของมนุษย เพื่อคนเหลานี้จะไดสามารถเริ่มตนชีวิตใหมโดยไมมี
ความทรงจําที่เจ็บปวดของอดีตเขามาเกี่ยวของดวย แตนั่นเปนทางออกของชีวิตหรือไมก็เปนอีก
เรื่องหนึ่ง

17
เราอยูแนนอน ไมใชเปนผีเปนสาง ความรูสึกที่รูวาตัวเรามีอยู เปนอยูนี้แหละ
คือ การทํางานของวิญญาณขันธนั่นเอง

ฝายนามมีทั้งตัวดูและตัวถูกดู
สิ่งที่คุณจะตองรูในขั้นตอไปคือ สวนที่เปนนามขันธทั้งสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ นี้เปรียบเหมือนกับของเหลวสี่ชนิดที่แตกตางกัน แตถูกเทรวมอยูในภาชนะ
เดียวกันหมด เมื่อมันรวมตัวกันเชนนั้นแลว เราจึงเรียกมันรวบเปนคํา ๆ เดียววา จิตใจ หรือ
mind คําศัพทไทยเรายังสามารถดูออกไดวาธรรมชาติสวนนามทั้ง ๔ ชนิดนี้มีสวนที่เปน จิต
และ สวนที่เปน ใจ แตเมื่อมันอยูคละเคลากัน จึงเกิดสภาวะที่เปน จิตใจ ขึ้นมา แตศัพท
ภาษาอังกฤษเชน mind นี้จะไมสามารถบอกใบอะไรไดเลย การเรียนรูเรื่องจิตใจของมนุษย
นี้ ภาษาไทยเราซึ่งมีอิทธิพลจากภาษาบาลี สันสกฤต อันเปนภาษาของพุทธศาสนาจึง
ไดเปรียบมากกวาภาษาอังกฤษ เพราะเปนภาษาที่มีสภาวะจิตใจรองรับอยู
ปญหาจึงอยูตรงที่วา ธรรมชาติในสวนนามทั้งสี่อยางนี้มี ๑ สวนที่เปนเครื่องมือใช
งาน หรือ เปนตัวดู observer อันเปนสวนของใจ และอีก ๓ สวนเปนสิ่งที่ถูกใชงาน หรือ
เปนตัวถูกดู observed ซึ่งเปนสวนของจิต นี่จึงเปนสิ่งที่ตองมาทําความเขาใจเสียหนอย

ทําความเขาใจอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกกอน
ขอขามมาสูเรื่องอายตนะที่จะพาคุณโยงกลับไปสูเรื่องจิตใจทีหลัง คุณตองรับทราบ
เสียกอนวา พระพุทธเจามองมนุษยที่อยูบนโลกนี้วาเปนสิ่งมีชีวิตที่รับรูได sentient being
และ สามารถรับรู รับผัสสะ หรือ รับสัมผัสได ๖ ทาง ไมใชเพียง ๕ ทางอยางที่ชาวโลก
เขาใจกัน
หากใครยังไมเขาใจภาษาทางธรรม ก็ขอใหเรียนรูเสียแตบัดนี้ สวนที่เรียกวา ตา หู
จมูก ลิ้น กาย นั้น ภาษาทางธรรมเรียกวา อายตนะภายใน ซึ่งสิ่งเหลานี้จะตองจับคูกับ รูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งภาษาทางธรรมเรียกวา อายตนะภายนอก
ตา หู จมูก ลิ้น กาย = อายตนะภายใน
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = อายตนะภายนอก
(สวนอายตนะภายในและภายนอก คูที่ ๖ จะอธิบายตอจากสวนนี้ ในหัวขออายตนะ
ที่ ๖ ขอใหทําความเขาใจตามนี้ไปกอน)
ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนังของกายของเรานั้นเปรียบเหมือนสะพานเชื่อมโลก
ภายนอกกายกับโลกภายในจิตใจของเราใหพบกัน โดยที่เรื่องราวของโลกภายนอกทั้งหมด
ที่เปนรูปเปนรางมีสีสันเหลี่ยมกลมทั้งหลายจะเดินเขามาทางสะพานตาเพื่อเขามาอยูในโลก
ภายในของเรา สิ่งที่เปนเสียงทั้งหมด จะเดินเขามาโดยผานสะพานหู กลิ่นทั้งหมดก็เขามา
ทางจมูก รสชาติทั้งหมดของอาหารเครื่องดื่มก็เดินเขามาทางสะพานลิ้น และความรูสึกทาง
กายทั้งหมดก็เขามาทางสะพานของผิวหนังเพื่อเดินทางเขาสูโลกภายในหรือจิตใจของเรา

เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เดินผานเขามาทางสะพานของตา หู จมูก ลิ้น กาย


ของเราแลว มันก็เขามารวมอยูในโลกของใจ และกลายเปนธรรมชาติฝายนามที่ไมมีรูปราง
อีกตอไป หรือ กลายเปน ความคิด (สังขาร) ความจํา (สัญญา) ความรูสึก (เวทนา) นั่นเอง
ฉะนั้น คุณจะเห็นวา รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเปนธรรมชาติฝายวัตถุหรือสสาร กับ

18
ธรรมชาติฝายนามอันคือ ความคิด ความจํา ความรูสึก นั้น เปนเรื่องเดียวกัน ตางกันตรง
ที่วา กลุมหนึ่งเปนรูป อีกกลุมเปนนามเทานั้นเอง ถาจะเขียนเปนสมการใหเห็นงายขึ้น ก็คือ

รูป ตา
เสียง หู
สังขาร สัญญา เวทนา
กลิ่น จมูก
ความคิด ความจํา ความรูสึก
รส ลิ้น

สัมผัส กาย

(ลูกศร ขอใหคงไวเชนรูปนี้)
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = ความคิด ความจํา ความรูสึก
โลกภายนอก = โลกภายใน

ไอนสไตนพิสูจนใหพระพุทธเจา

ที่จริงแลว หลักการของไอนสไตนในเรื่อง มวลกับพลังงาน ก็สามารถนํามาพูด


เทียบเคียงกับสมการดังกลาวขางตน ปญญาชนทุกคนลวนรูจัก e=mc2 ซึ่งเปนสูตรที่นํามา
สรางระเบิดปรมณู ดิฉันดูสารคดีที่อังกฤษเกี่ยวกับสมการนี้ของไอนสไตน นักฟสิกสชาว
อังกฤษทานหนึ่งพูดวา ไอนสไตนเปนคนแรกที่พูดออกมาอยางชัดเจนวา พลังงาน หรือ e
(energy) กับมวล หรือ m (mass) เปนสิ่งเดียวกัน แตตางรูปแบบเทานั้น ฉะนั้น ถาเราไม
พูดเรื่องการสรางพลังงานนิวเคลียรอันเปนผลจากปฏิกิริยาลูกโซ และเลือกพูดแตความคิด
หลัก ๆ ของไอนสไตนที่สามารถประสานกับความรูของพระพุทธเจาไดแลวละก็ เราสามารถ
เอาความเร็วของแสงยกกําลังสอง หรือ c2 ออกไป สมการที่เหลือจึงได
e=m
energy = mass
พลังงาน = มวล
นาม = รูป
ความคิด ความจํา ความรูสึก = ภาพ (รูป) เสียง กลิ่น รส สัมผัส
นามธรรม = รูปธรรม
โลกภายใน = โลกภายนอก

ฉะนั้น คุณจะเห็นวา สิ่งที่พระพุทธเจาไดอธิบายนั้นเปนเรื่องเดียวกับที่ไอนสไตน


คนพบภายหลังพระพุทธเจาถึง ๒๕๐๐ กวาป นั่นคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็คือ มวล ที่
มีคาเหมือนกับความคิด ความจํา ความรูสึก อันเปนสวนของพลังงาน คําวา รูป ที่เขียนคูกับ
นาม ของพระพุทธเจานั้น ตางจากความหมายของ รูป อันเปนสิ่งที่เห็นไดทางตา หรือ ภาพ
“รูป” คําใหญที่เขียนคูกับ “นาม” นั้น มีความหมายกวางมาก ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอยางใน
จักรวาลนี้ มีความหมายเหมือนกับคําวา “ธรรม” แตเปนทุกอยางของโลกภายนอกในเชิง
กายภาพ จึงมีคําใชที่เหมาะเจาะวา “รูปธรรม” คือทุกสิ่งทุกอยางในฝายกายภาพหรือฝาย
รูป ฉะนั้น ถาจะกระจายคําวา รูป ก็จะแยกรายละเอียดออกมาเปน ภาพ (รูป) เสียง กลิ่น
รส สัมผัส ซึ่งตรงกับสมการดานบนที่เขียนไปแลว เมื่อ “รูปธรรม” เหลานี้เขาไปในใจของ

19
เราแลว ก็กลายเปนธรรมชาติฝายนามของโลกภายใน หรือ “นามธรรม” คือ ทุกสิ่งทุกอยาง
ในสวนที่จับตองไมได ที่มีอยูในรูปกายของเรา ก็จะแยกรายละเอียดออกมาเปน ความคิด
ความจํา ความรูสึก ดังสมการดานบน เชนกัน

คูสรางคูสม
ฉะนั้น หาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เปนตัวที่ถูกรับรูโดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แลว
ละก็ ความคิด ความจํา ความรูสึก จําเปนตองเปนตัวที่ถูกรับรูโดยอีกอายตนะหนึ่งที่เปนคู
ของมันเทานั้น เหมือนเสียงจะไปเดินผานสะพานตาหรือจมูกไมได เสียงตองเดินเขาสะพาน
หูเทานั้น รสตองเดินเขาสะพานลิ้นเทานั้น คูของใครก็คูของมัน เปนคูสรางคูสมทีจ ่ ะสลับคู
กันไมได มันไมเขารองของมัน ฉะนั้น ความคิด ความจํา กับความรูสึกจะถูกรับรูโดย ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ไมได มันตองมีอีกสะพานหนึ่งที่จะจับคูกับความคิด ความจํา ความรูสึก หรือ
ตองมีอีกอายตนะหนึ่งทีส ่ ามารถรับรูความคิด ความจํา ความรูสึก ซึ่งอายตนะนี้มีอยูกับ
มนุษยแลวโดยธรรมชาติ ไมใชเรื่องของสวนเกินที่จะเอามาเสริมแตงเขาไป

อายตนะที่ ๖3
นี่เปนขอเท็จจริง fact ที่พระพุทธเจามองออกอยางทะลุปรุโปรง ทานจึงเปนมนุษย
คนแรกของโลกที่กลายืนขึ้นมาบอกวา มนุษยเปนสัตวที่มีอายตนะ ๖ ทาง ไมใช ๕ ทาง นี่
เปนความคิดที่ทาทายมาก เพราะสังคมอินเดียยุคนั้นเต็มไปดวยนักปราชญ พระพุทธเจา
กลายืนขึ้นมาพูดตางจากคนอื่น แมในยุคนี้ก็ยังเปนเรื่องทาทายไมนอย อาจจะมากขึ้นดวย
เพราะยังไมมีใครพูดเรื่องนี้อยางจริงจังและเปนระบบ
อยางไรก็ตาม อายตนะที่ ๖ นี้คือ วิญญาณขันธนั่นเอง ความรูสึกตัว หรือ วิญญาณ
ขันธนี้เปนอายตนะที่ ๖ อันเปนสะพานรับรูความคิด (สังขาร) ความจํา (สัญญา) กับ
ความรูสึก (เวทนา) วิญญาณขันธจึงเปนสวนของใจ ที่เปนฝายนาม ในขณะที่ เวทนา
สัญญา สังขาร เปนสวนของจิต ซึ่งก็เปนฝายนามเชนกัน คุณจะเห็นชัดขึ้นเมื่อเขียนเปน
สมการโดยใชทั้งภาษาธรรมดาและภาษาบาลี ดังนี้

ความคิด ความจํา ความรูสึก = จิต


ความรูสึกตัว หรือ อายตนะที่ ๖ = ใจ หรือ ตัวใจ

สังขารขันธ สัญญาขันธ เวทนาขันธ = จิต


วิญญาณขันธ หรืออายตนะที่ ๖ = ใจ หรือ ตัวใจ

จิตคูกับใจ ทอมคูกับเจอรี่
3
ขอใหคุณชวยสังเกตสักนิดหนอยวา ความหมายของอายตนะที่ ๖ ที่ชาวตะวันตกเรียกวา 6th sense นั้น ตางจากความหมายของ
พระพุทธเจาอยางสิ้นเชิง ไมใชเรื่องเดียวกัน เมื่อฝรั่งพูดถึง 6th sense นั้น เขาจะมีปฏิกิริยาแบบ ตื่นเตนมาก เพราะเขาพูดถึงคนบาง
คนเทานั้นที่มีความสามารถพิเศษ ไมเหมือนชาวบานทั้งหลาย คือ คนมี 6th sense จะสามารถอานใจคนไดบาง รูเรื่องราวที่อาจจะ
เกิดขึ้นในอนาคตก็ได ทํานายทายทักได หรือ สามารถพูดคุยกับคนที่ตายไปแลวได คนที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษยซึ่งมีนอย
คนเหลานี้แหละที่ชาวตะวันตกจัดใหพวกเขาอยูในประเภทที่มีอายตนะที่ ๖ หรือ มี 6th sense คนนอกเหนือจากนั้นมีเพียง ๕
อายตนะเทานั้น ซึ่งเปนความหมายที่แตกตางจากของพระพุทธเจามาก เพราะโดยความหมายของทานแลว มนุษยทุกคนไมเวน
แมแตคนเดียวลวนมี ๖ อายตนะเทากันหมด ความรูสึกตัวหรือวิญญาณขันธมีอยูแลวอยางเปนธรรมชาติ จึงไมมีใครพิเศษหรือแปลก
ประหลาดมากกวาใครเลย

20
เพื่อใหงายตอการเขาใจ สื่อสาร และใชคํานอยคํา ดิฉันจะรวบความคิด (สังขาร)
ความจํา (สัญญา) กับความรูสึก (เวทนา) เปนตัวการตูนของวอลท ดิสนียที่ชาวโลกรูจักกัน
ดีในนามของ หนูเจอรี่ หรือ หากเปนคําไทยก็จะใชคําวา จิต ซึ่งเปนกรรมหรือตัวถูกดู
ในขณะที่ ความรูสึกตัว หรือ วิญญาณขันธ เปนแมวทอม หรือ ใจ เปนประธาน หรือ ผูดู
คําวา ใจ นี้ ดิฉันจะใชคําวา ตัวใจ หรือ ตาใจ แทนเพื่อใหสอดคลองกับสิ่งที่ตองการ
เปรียบเทียบ จึงขอใหเขาใจวามันมีความหมายเดียวกับ ความรูสึกตัว หรือ วิญญาณขันธ

วิญญาณ = ตัวใจ = แมวทอม = ผูดู เปน ประธาน subject

เวทนา สัญญา สังขาร = จิต = หนูเจอรี่ = ผูถูกดู เปน กรรม object

ฉะนั้น คุณจะเห็นไดวา สภาวะฝายนามของมนุษยที่เรียกวา จิตใจ นั้น มีสวนที่เปน


ทั้งอายตนะภายนอกและอายตนะภายในปะปนกันอยู หรือ ฝายผูรับรู (ตัวใจ) ปนอยูกับสิ่งที่
ถูกรับรู (จิต) หรือ ตัวประธาน subject ปนอยูกับตัวกรรม object หรือจะสรางภาพของทอม
กับเจอรี่กําลังนั่งนอนกอดคอกันอยูก็ได ทั้งผูรู และ สิ่งที่ถูกรู หรือ จิตกับใจ หรือ ทอมกับ
เจอรี่ ลวนเปนนามหรือฝายพลังงานที่ติดอยูในรางกายที่มืดทึบนี้ดวย ตรงนี้แหละ ที่ทําให
การเรียนรูเรื่องจิตใจเปนเรื่องยากมากที่สุด เมื่อไมมีการเรียนรูอยางถูกตอง อยางถูกวิธีของ
มันแลว เราจึงเขาใจมันไมได เมื่อเขาใจเรื่องของจิตใจไมไดแลว คุณจึงไมสามารถรูไดวา
การเปนตัวของตัวเอง หรือ เปนตัวจริง ๆ ของเรานั้น เปนไดอยางไร ตองทําอยางไรจึงจะ
เขาถึง “ตัวจริง ๆ” ของเรา

ตองอาศัยทอมเพื่อรูจักเจอรี่
ฉะนั้น คุณจะเห็นไดไมยากวา การเปนตัวของตัวเอง หรือ เปนตัวจริง ๆ ของเรานั้น
เปนเรื่องของจิต เปนธรรมชาติของเจอรี่ที่เราตองทําความเขาใจมันอยางเปนวิทยาศาสตร
ความคิดไหน ความทรงจําชนิดไหน ความรูสึกไหน และความเชื่อไหนที่เราควรตรึงมันไว
เพื่อความเปนตัวของตัวเอง และคงความเปนตัวจริง ๆ ของเรา
การเรียนรูอยางเปนวิทยาศาสตรก็คือ การเฝามอง การสังเกตการณ ที่ฝรั่งเรียกวา
making observations เปนวิธีการทางวิทยาศาสตรที่ปญญาชนทั่วโลกตองใชหากเขา
ตองการเรียนรูปรากฏการณอะไรสักอยาง ฉะนั้น การสังเกตปรากฏการณภายนอกกายที่
เกี่ยวของกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แลวละก็ นักวิทยาศาสตรจะตองใชเครื่องมือพื้นฐาน
อันคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อเฝามองและสังเกตการณปรากฏการณนั้น ๆ อยางซ้ําซาก
บางครั้งตองเฝามอง ทดลองไปมาอยูเชนนั้นนานหลายป จึงสามารถสรุปผลการวิ จัยออกมา
เปนความรู knowledge เปนขอเท็จจริง fact ที่เปนเรื่องเปนราวจนปญญาชนทั่วโลกยอมรับ
ไดอยางไมมีขอสงสัย ดังที่ไอนสไตนบอกวา

แหลงความรูที่แทจริงคือประสบการณ
Experience is the source of knowledge.

ประสบการณ experience ก็คือ การที่อายตนะภายนอกกับภายในไดพบกันจริง ๆ


หรือ ตาไดเห็นรูปจริง ๆ หูไดยินเสียงจริง ๆ จมูกไดกลิ่นจริง ๆ เปนตน การสังเกตการณ
เชนนี้เทานั้นจึงจะเกิดประสบการณอันเปนแหลงหรือตนตอของความรูทั้งหลายได

ฉะนั้น การจะเขาใจปรากฏการณของจิตได เราจําเปนตองใชเครื่องมือพื้นฐานอันคือ


ใจ เปนผูมอง หรือ เปนผูดู เพื่อชวยใหผูอานเห็นภาพพจนไดชัดเจนมากขึ้น เหมือน “ตัว

21
กาย” ที่มี “ตากาย หรือ ตาเนื้อ” ดิฉันจะเรียกวิญญาณขันธวาเปน “ตัวใจ” ที่มี “ตาใจ”
แทนที่จะใชคําวา “ใจ” เฉย ๆ เพื่อจะไดสอดคลองกับคําวา “มอง” และ “ดู” การที่จะมอง
หรือดูอะไรได ตองใชตามอง การเฝาสังเกตดูความคิด ความจํา ความรูสึก หรือ จิต นี้ ก็ไม
ตางจากการใชตาเนื้อดูรูป และดูสิ่งของตาง ๆ จิตก็คือ สิ่งของตาง ๆ ที่เปนฝายนาม (ไมมี
รูปราง) ฉะนั้น เมื่อใสคํา “ตา” ไวขางหนาคํา “ใจ” เปน “ตาใจ” แลวละก็ จะเกิดสภาวะที่
ชัดเจนวา ทุกคนลวนมีอายตนะที่ ๖ อันคือ “ตาใจ” ซึ่งมีไวเพื่อดู “จิต” (ความคิด
ความรูสึก)
ถาใชภาษาของทอมกับเจอรี่ก็คือ ตองใชแมวทอมเปนตัวสังเกตการณและเรียนรูการ
ทํางานของหนูเจอรี่นั่นเอง
เมื่อนําอายตนะภายในและภายนอกทั้ง ๖ มาเขียนรวมกันแลวก็จะไดเชนนี้คือ

อายตนะภายใน อายตนะภายนอก
Sense sense objects
ตาเนื้อ สังเกต รูป เปน มวล ฝาย รูป
หู “ เสียง เปน มวล ฝาย รูป
จมูก “ กลิ่น เปน มวล ฝาย รูป
ลิ้น “ รส เปน มวล ฝาย รูป
ผิวหนัง “ ความรูสึก เปน มวล ฝาย รูป
ตาใจ “ จิต เปน พลังงาน ฝาย นาม

ทําไมฝรั่งจึงสรุปวา “จิตใจ” อยูที่สมอง


ทีนี้ เราก็มาถึงจุดที่ปญญาชนฝรั่งตองเขาออนไปตาม ๆ กันแลว เพราะเมื่อคุณดูไ ป
ที่ ๕ คูแรกของการหาความรูนั้น ปญญาชนฝรั่งสามารถทําไดไมยาก เพราะมันไมซับซอน
แตพอมาถึงคูที่ ๖ ที่ตองใช ตาใจ ดูปรากฏการณของจิต หรือ ใชตาใจดูการทํางานของ
ความคิด ความจํา ความรูสึก แลวละก็ ความซับซอนจึงเกิด ปญญาชนฝรั่งไปตอไมได
เพราะ ทั้งตาใจและจิตลวนเปนนามธรรมที่ไมมีรูปราง จับตองไมไดทั้งคู เพราะอยูภายใน
รางกายของเรา
เมื่อขาด “ตาใจ” ที่เปนเครื่องมือสําคัญเพื่อการเรียนรูป
 รากฏการณของ “จิต” แลว
เขาจึงตองกวาดเอาส วนเกินเหลานั้น(ความคิด ความจํา ความรูสึก) ไปอัดลงในสมองซึ่ง
เปนสวนของรูป เพื่อวาเขาจะไดใช “ตาเนื้อ” ดูปรากฏการณของสมองได ซึ่งเปนการเรียนรู
ทางวิทยาศาสตรที่เขาบูชา นี่เองจึงเปนเหตุผลที่อยูเบื้องหลังบทสรุปที่วา ทําไมฝรั่งจึง
เขาใจวา เรื่องจิตใจ หรือ mind อยูที่สมอง
เมื่อปญญาชนฝรั่งหาความรูเรื่องจิตใจชนิดจับแพะชนแกะเชนนี้ การแกปญหาจิตใจ
เหลานี้จึงตองหันกลับมาแกปญหาที่สมอง และมาลงเอยที่ยากลอมประสาท ปญหาจึงเริ่ม
วน

จะใหถูกทั้งสองฝายไมได
เมื่อปญญาชนชาวตะวันตกไมไดเห็นวามนุษยมี ๖ อายตนะเหมือนที่พระพุทธเจา
เห็น การเรียนรูเรื่องราวของมนุษยและของโลก ของจักรวาลที่เราอยูนั้น จึงตั้งอยูบนพื้นฐาน
ของขอเท็จจริงที่วา มนุษยมี ๕ อายตนะเทานั้น ซึ่งจะใหถูกทั้งสองฝายยอมไมได
ดิฉันนั้นเลือกเชื่อพระพุทธเจาอยางไมมีขอสงสัยแนนอน และโดยเหตุผลที่พูดมา
ทั้งหมด มุมมองของพระพุทธเจามีเหตุผลมากกวาและพูดลงตัวไดอยางพอดิบพอดี ไมขาด
ไมเกิน ในขณะที่มุมมองของปญญาชนฝรั่งที่เห็นมนุษยมี ๕ อายตนะนั้น ไมสามารถหา

22
เหตุผลมาพูดใหลงตัวได หากไมพูดขัดแยงกันเองละก็ ยังมีแตเรื่องขาด ๆ เกิน ๆ สวนเกิน
คือ ความคิด ความจํา กับ ความรูสึก สวนขาดก็คือ อายตนะที่ ๖ หรือ ตัวใจ ตาใจ
และถาระบบการศึกษาของฝรั่งหรือของโลกไมยอมรับเรื่องอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ
แลว เขาจะเริ่มขบวนการเรียนรูเพื่อหาประสบการณภายในจิตใจอยางเปนวิทยาศาสตรได
อยางไร เมื่อไมมีประสบการณก็ไมมีความรูที่แนนอน ที่พึ่งพาได ปญหาจึงเริ่มวน

ตองฟงผูรูจริงตามพระพุทธเจา
การรูวามนุษยมีประสาทรับสัมผัสได ๖ ทางยอมไดเปรียบกวาการรูวารับไดเพียง ๕
ทางเทานั้น เพราะประสบการณที่ไดจากการเรียนรูทั้ง ๖ ทางยอมกวางขวางมากกวา
ประสบการณที่หาไดจาก ๕ ทางอยางเปรียบเทียบกันไมไดแนนอน
ขอใหนึกถึงคนตาบอดหนึ่งคน ประสบการณในเรื่องรูป แสง สี ขนาด รูปทรง ฯลฯ
ของคนตาบอดนั้นจะดับมืดลงทันที ซึ่งเปนการสูญเสียอยางมหันตแมของคนเพียงคนเดียว
ฉะนั้น คุณลองหลับตาและคํานวณดูเอาเองวา มนุษยชาติไดสูญเสียประสบการณและความรู
ตาง ๆ ที่สามารถรับไดจากการใชอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ ไปมากมายมหาศาลสักเพียงใด
คงจะหาภาษามนุษยมาบรรยายความเสียหายอยางมหันตนี้ไมไดแนนอน แมกระนั้น ความรู
เรื่องอายตนะที่ ๖ ในทุกวันนี้ก็ไมไดเปนที่ยอมรับอยางออกหนาออกตาของชาวโลก ชาว
พุทธเองก็ไมสามารถเขาใจเรื่อง ตาใจ ไดอยางถองแท

เรื่องอายตนะเกี่ยวของกับพระนิพพานโดยตรง
เมื่อตาใจถูกปด มนุษยจึงขาดประสบการณทั้งหมดที่ตาใจสามารถพาไปถึง การ
เรียนรูธรรมของชาวพุทธจึงมักเนนเรื่อง อายตนะภายนอกกับภายในเสมอ เพราะนี่เปน
เนื้อหาสําคัญของการหาความรูหรือขอเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเราผูเปนสวนหนึ่งของโลกและ
จักรวาล หรือหาตัวจริง ๆ ของเรานี่เอง แตเมื่อการอธิบายยังไมชัดเจน แมชาวพุทธสวนมาก
ก็ไมสามารถเขาใจไดอยางถองแทวาทําไมจึงตองมาเรียนรูเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ซึ่งชาวพุทธฟงจนชินหู จนกลายเปนเรื่อง
ธรรมดาที่ไมนาจะมีอะไรลึกซึ้ง ที่จริง เรื่องแสนจะธรรมดาเหลานี้เกี่ยวของกับพระนิพพาน
และการแสวงหา “ตัวจริง ๆ ของเรา” โดยตรง เพราะพระนิพพานหรือตัวจริง ๆ ของเราเปน
ปรากฏการณธรรมชาติที่เห็นไดดวย “ตาใจ” หรือ อายตนะที่ ๖ เทานั้น

ระบบการศึกษาที่มืดบอด
ระบบการศึกษาของโลกทุกวันนีย ้ ังคงตั้งอยูบนรากฐานที่เขาใจวามนุษยมีประสาทรับ
สัมผัสเพียง ๕ ทางเทานั้น ความรูและประสบการณที่ไดจากประสาทรับสัมผัสทั้ง ๕ นั้น แม
จะถูกตองอยางไร มีประโยชนตอชาวโลกมากมายเพียงใด มันก็ยังเปนความรูที่เจือดวย
อวิชชา เปนความรูที่มีความไมรูปะปนอยู จึงเปนระบบการศึกษาที่ผิดตั้งแตแรกแลว
ตาใจของมนุษยชาติที่มืดบอดอยางทั่วถึงกันหมดนี้ จึงทําใหอยูดวยกันได พูดภาษา
ของคนมืดบอดที่เขาใจซึ่งกันและกันได ซึ่งไมพนจากเรื่องการตามใจกิเลส การมุงหาเงิน
ทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง บูชาวัตถุ ใชชีวิตอยางไรแกนสาร แลวก็ตายไปอยางเสียชาติเกิด
โดยที่ตนเองก็ไมรูดวยซ้ําไปวาเสียชาติเกิดอยางไร จึงเปนเหตุผลใหญที่กอใหเกิดปญหา
ตาง ๆ ที่เริ่มจากจิตใจของคนหนึ่งคน ตลอดจนถึงปญหาในระดับโลก เชน สงคราม เปนตน

ตองเรียนรูโครงสรางของชีวิต
ฉะนั้น หากใครตองการเอาผาปดตาใจออกแลวละก็ ตองเริ่มการเรียนรูชีวิตอยางเปน
ระบบเสียกอน จุดเริ่มตนคือ ตองรูจักโครงสรางของชีวิตที่ชัดเจน ตองรูวาชีวิตของแตละคน

23
ลวนมีเปาหมายอันสูงสุดทั้งสิ้น นั่นคือ การคนพบสัจธรรมอันสูงสุด หรือ ไปใหถึงพระ
นิพพาน ซึ่งเปนเปาหมายเดียวที่จะทําใหคนเปนสุขไดอยางแทจริง พระพุทธเจาจึงตรัสวา
“สุขใดยิ่งกวาพระนิพพานไมมี”
คนรูจริงจะรูวา พระนิพพานไมไดเปนเรื่องไกลตัวเลย พระนิพพานในภาษาของดิฉัน
คือ ผัสสะบริสุทธิ์ เปนเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทําไดอยูแลว หากยอมเรียนรูอยางเปนระบบเทานั้น
เมื่อรูเปาหมายปลายทางของชีวิตแลว ตอไปก็ตองรูวิธีการเดินทางเพื่อใหถึง
เปาหมายปลายทางนั้น การเดินทางในขั้นตอนแรกคือการรักษาศีล นั่นคือ ทุกอยางที่ดี ๆ
ทําไปใหหมด อะไรที่ไมดี ไมตองทํา วิธีการเดินทางในขั้นตอนแรกนี้ ดิฉันไดเขียนแผนที่ให
แลวในหนังสือเรื่อง คูมือชีวิตภาคศีลธรรมและภาคกฎแหงกรรม หากใครทําตามสิ่งที่ดิฉัน
แนะนําในหนังสือสองเลมนี้ไดแลว ก็เทากับไดเริ่มเดินทางไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิต
แลว ไปไดครึ่งทางแลว
การเดินทางในขั้นตอไปที่จะไปใหถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตอยางรวดเร็วนั้น
ผูเดินทางตองฝกทักษะทางใจ ดังที่ชาวพุทธเรียกวา ฝกสมาธิวิปสสนา หรือ ฝกสติปฏฐาน
สี่ นั่นเอง ซึ่งเปนจุดเริ่มตนของการเรียนรู เรื่องจิตใจ
และการแสวงหาตัวจริง ๆ ของเราอยาง
ถูกตองและตรงไปตรงมา
ขอใหดูรูปโครงสรางของชีวิต
ชวยวาดรูปของโครงสรางชีวิตดวยคะ เอาตามที่เขียนไวในบทที่สี่?ของใบไมกํามือ
เดียว โดยวาดรูปสามเหลี่ยมดานเทา สวนบนเขียน พระนิพพาน สัจธรรมอันสูงสุด ผัสสะ
บริสุทธิ์ และ “พบตัวจริง ๆ ของเรา” สวนลางตรงกลางเขียน ปญญา ซายมือเขียน ศีล
ขวามือ เขียนสมาธิ และ สติปฏฐานสี่คะ ไดแนบแผนภาพมาใหดวย

วิปสสนา เครื่องมือแยกตัวปลอมออกจากตัวจริง
ครูบาอาจารยฝายวิปสสนาที่รูจริงนั้นจะชวยใหผูปฏิบัติกําหนดสภาวะของ “ตัวใจ” ที่
มี “ตาใจ” ใหไดเสียกอนเปนอันดับแรก นี่เปนสิ่งแรกที่ดิฉันทําในงานอบรมธรรมทุกครั้ง การ
ทําเชนนี้เทากับเปนการเอาผาปดตาใจออก หลังจากนั้น ผูฝกสติปฏฐานก็จะฝกทักษะเรื่อง
การพาตัวใจกลับมาสูฐานของสติ ซึ่งภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับบาน 4 อันเปนวลีที่
จะชวยใหผูปฏิบัติสติปฏฐานเขาใจวิธีการปฏิบัติไดชัดเจนมากขึ้น เพราะลวนตองเกี่ยวของ
กับสภาวะที่เปนนามอันไมมีรูปรางทั้งสิ้น การใชภาษารวมสมัยตลอดจนการเปรียบเทียบกับ
ตัวการตูนเชนทอมกับเจอรี่ของดิฉันนั้น จะสามารถทําใหแผนที่ ชีวิตนี้ชัดเจนมากขึ้น
เมื่อคนฝกสติปฏฐานใชตาใจเปนแลว เขาจะเขาสูขบวนการทางวิทยาศาสตร คือ ใช
ตาใจเฝาสังเกตุการณการทํางานของจิต เมื่อเฝาดูไปนาน ๆ แลว ผูดูจะคอย ๆ ฉลาดขึ้นและ
เห็นเองวา ความคิด ความจํา ความรูสึก (จิต หรือ เจอรี่) นี้ลวนมีคุณลักษณะเปนมายา
ความคิดกับความรูสึกที่เปนมายานี้แหละที่สราง “ตัวปลอม” ของเราขึ้นมา ทุกครั้งที่เราติด
อยูในความคิด เราก็ติดมายา หรือ ติดตัวปลอมของเรานี่เอง แตเมื่อหลุดจากความคิดและ
ความรูสึกไดเมื่อไร ตัวปลอมของเราก็หายไป กลับมาอยูกับ “ตัวจริง ๆ” หรือ “ตัวใจ” ของ
เราทันที จุดนี้เอง ผูปฏิบัติจะคอย ๆ สามารถแยกแยะระหวาง “ตัวจริง ๆ” กับ “ตัวปลอม ๆ”
ของตนเองไดแลว
สรุปวา ตัวปลอมคือตัวที่ถูกความคิดที่เปนมายาปลุกปนขึ้นมา ซึ่งเปนสภาวะเดียวกับ
การรับผัสสะที่ไมบริสุทธิ์ สวนตัวจริง คือ ตัวที่หลุดจากความคิด (จิต) หรือ ในขณะที่กําลัง
รับผัสสะอยางบริสุทธิ์นั่นเอง ดังรูปขางลางนี้

ตั วใจจิต--------> ตัวกาย = ผัสสะไมบริสุทธิ์ = อยูกับตัวปลอม = ตัวสัมพัทธ

4
ขอใหอานเรื่อง พาตัวใจกลับบานกันเถิด ซึ่งอยูในภาคผนวกของหนังสือเลมนี้

24
ตั วใจ --------> ตัวกาย = ผัสสะบริสุทธิ์ = อยูกับตัวจริง = ตัวปกติ

ฉะนั้น การตรึงความคิดหนึ่ง ความรูสึกหนึ่ง หรือ ความเชื่อหนึ่งใดใหอยูกับตนเอง


นาน ๆ จึงเปนเรื่องการยึดตัวปลอมของตนเอง เอาตัวปลอมเปนที่พึ่ง จึงอยูไมทนนาน ตอง
ประสบกับสภาวะลมพัดลมเพเสมอ แตหากใครฝกทักษะเรื่องพาตัวใจกลับบานเกงแลว จะ
คอย ๆ ถูกเจอรี่หลอกนอยลง สามารถดีดความคิดออกจากใจไดเกงขึ้น จึงสามารถอยูกับตัว
จริง ๆ ไดนานมากขึ้น ปญหาชีวิตจึงแกตกไปไดในลักษณะเชนนี้

สรางตัวปลอมซ้ําสอง
หากใครยังแสวงหาตัวจริง ๆ ของตนเองไมพบแลวละก็ ยอมหมายความวาคน ๆ นั้น
ตองอยูกับตัวปลอมและเอาตัวปลอมเปนที่พึ่งไปกอน ความซับซอนของชีวิตเริ่มเกิด
โดยเฉพาะสังคมในยุคนี้ อันเปนยุคที่คนมักใหความสําคัญกับความร่ํารวย ความมีอํานาจ
และชื่อเสียง จึงกอใหเกิดอาชีพใหม นั่นคือ ใครที่เกิดมีหนาตาเหมือนกับคนมีชื่อเสียง เชน
ดาราภาพยนต นักรอง นักกีฬา นักการเมือง เปนตน คนเหลานี้สามารถทํางานหาเงินได
อยางเปนล่ําเปนสันโดยการเปนตัว “เลียนแบบ” double ใหกับคนมีชื่อเสียงเหลานี้ งานที่
เขาตองทําคือ ตองพยายามทําตัวใหเหมือนกับคนจริง ๆ ที่เขาตองการเลียนแบบ เชน หญิง
ชาวอังกฤษคนหนึ่งมีหนาตาเหมือนราชินีอะลิซาเบทของอังกฤษมาก นอกจากการแตงตัว
ดวยเสื้อผาที่เหมือนของราชินี ตองใสมงกุฏแลว เธอยังตองเลียนแบบกิริยาอาการทุกอยาง
ใหเหมือนราชินีอังกฤษ เชน การเดิน การนั่ง การโบกมือใหผูคน การยิ้ม การพูด แมน้ําเสียง
ก็ยังตองพยายามดัดใหเหมือนราชินีตัวจริง ทุกครั้งที่เธอไปออกงานหรือแสดงตัวที่ไหนก็
ตาม ซึ่งพูดงาย ๆ วาไปทํางานหาเงินจากการเลียนแบบราชินีอังกฤษ แมเธอจะไมไดรับการ
ตอนรับเหมือนอยางราชินีอังกฤษก็ตาม แตเธอก็เปนจุดเดนของงานเสมอ จะมีคนมาขอ
ถายรูปมากมาย
คุณเห็นหรือไมวา หญิงคนนี้ไดสรางตัวปลอมสองชั้นขึ้นมาแทนที่จะเปนตัวปลอม
ชั้นเดียวเหมือนคนทั่วไปที่ไมมีอาชีพนี้ ตัวปลอมแรกคือ หญิงธรรมดาเหมือนคนทั่วไปที่
ไมไดรูจักตัวจริงของตนเอง ตัวปลอมที่สองคือ ทําตัวเปนราชินีทุกอยางทั้ง ๆ ที่ไมไดเปน
ราชินี ซึ่งอาชีพของนักแสดงลวนเปนเชนนี้ คือ อยูกับตัวปลอมสองชั้น
ปญหาจะนอยลงหากนักแสดงเหลานี้สามารถกลับไปสูตัวปลอมแรกของตนเองเมื่อ
จบการแสดง แตถาหากเขาทําไมได เพราะไปติดใจในบทบาทที่ตนเองไดสวมเขาไป เชน
บทของราชินีอังกฤษที่ไดแตงกายดวยเสื้อผาอาภรณเหมือนราชินีจริง ๆ แมไมใชเปนมงกุฎ
เพชรอยางแทจริง แตก็สวยเหมือนเพชร แถมมีคนมาถายรูปมากมาย ถาหญิงธรรมดาคนนี้
เกิดไปติดใจในบทบาทปลอม ๆ เหลานั้นแลวไมอยากออกมาละก็ ชีวิตของเขาจะซับซอน
มาก และจะทุกขมากตามไปดวย
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่วา ทําไมชีวิตของดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมักมีชีวิตสวนตัวที่
ลมเหลว เพราะ ชีวิตจริงของเขาไมไดสวยหรูและมีอํานาจมากเทากับบทบาทที่เขาไดสวม
เขาไปในภาพยนตร โดยเฉพาะนักแสดงชายที่สวมบทบาทของพระเอกที่เกงไปเสียทุก
อยาง ซึ่งชีวิตจริง ๆ ก็ไมไดเกงเชนนั้น เพียงแตเลนบทบาทไดเกงเทานั้น หลังเหตุการณที่
ผูกอการรายนําเครื่องบินชนตึกเวริลดเทรดนั้น หนังสือพิมพที่อังกฤษไดลงขาวของพระเอก
หนังที่แสดงบทบาทบู สามารถชวยแกไขสถานการณทุกอยางที่อยูเบื้องหนาไดเสมอ ซึ่งมี
ภาพยนตเรื่องหนึ่งที่เขากอบกูเครื่องบินจากการถูกยึดของผูกอการราย ปรากฏวาดาราชาย
คนนี้ไมกลาขึ้นเครื่องบินเลยในชวงนั้น เพราะกลัวมาก
คุณจึงเห็นไดวา วิถีชีวิตที่ซับซอนเหลานี้ลวนเปนผลของการไมรูจักตัวจริง ๆ ของ
ตนเอง ซึ่งเปนเรื่องเสียหายมาก เปนตนตอของปญหาสังคมมากมาย

25
ตัวจริง ๆ ของเรามีอยู
สิ่งที่หญิงชาวอังกฤษวัย ๔๐ พูดนั้นไมผิด ดังที่เธอบอกวา

ทุกครั้งที่ดิฉันเห็นตัวเองในกระจก ดิฉันยอมรับกับตัวเองไดยากมากวาใบหนาที่
เหี่ยวยนในกระจกนี้คือตัวดิฉัน เพราะดิฉันไมไดรูสึกวาเปนคนนั้นเลย คนนั้นไมใชเปนตัวจริง
ของดิฉัน ในหัวใจของดิฉันนั้น รูสึกเปนอีกคนหนึ่งที่หนาตาไมเหมือนหญิงคนที่ดิฉันเห็นใน
กระจกเลย

ประโยคสุดทายที่เธอพูดนั้นถูกเผงทีเดียว เธอรูสึกเปนอีกคนหนึ่งที่หนาตาไมเหมือน
หญิงคนที่เธอเห็นในกระจก ความรูสึกที่เปนอีกคนหนึ่งที่เธอพูดถึงนั้น ที่จริงแลว เธอกําลัง
พูดถึง ตัวใจ ในสวนที่เปนนามธรรมของเธอนั่นเอง ซึ่งเปนสวนที่ไมมีรูปราง จึงไมมีความแก
เฒา ชรา เหี่ยวยนในตัวมันเอง เธอจึงไมรูสึกวา ตัวใจ นั้นเปนคนเดียวกับตัวกายที่มีรอย
ตีนกาในกระจก ซึ่งเปนสภาวะที่อยูเหนือความแกเฒาและความตาย เปนสภาวะอมตะ นี่เปน
สภาวะที่หญิงวัยกลางคนนี้สามารถสัมผัสได และทุกคนสามารถเขาถึงได เพียงแตความรู
ของเธอไมชัดเจน เพราะยังถูกความคิดที่เปนมายาสรางตัวปลอมรบกวนอยู ดวยความที่ยัง
ไมไดเขาใจชีวิตตามหลักของศาสนาพุทธ จึงไมรูจักตาใจ หรือ อายตนะที่ ๖ จึงทําใหหาตัว
จริง ๆ ของตนเองไมพบ ซึ่งถาเขาใจไดและสามารถหาตัวใจที่แทจริงพบแลวละก็ จะ
สามารถแกปญหาเรื่องความกลัวความแกเฒาชรานี้ไดงายมาก ตลอดจนถึงปญหาเรื่องกลัว
ตายดวย

สรุป
คุณคงเขาใจแลววา ความคิดเรื่องสัมพัทธภาพของไอนสไตนไดเกี่ยวของกับชีวิตใน
สวนจิตใจของมนุษยอยางไร การไมรูจุดคงที่ของจักรวาลคือ การไมรูจักตัวจริงของเรา การ
ยอมรับความคิดเรื่องสัมพัทธภาพก็คือการยอมรับตัวปลอมของเรา ฉะนั้น ถาเราไมยอม
ศึกษาเรื่องการไปนิพพานแลวละก็ การแสวงหาตัวจริงจะไมเกิด และจะไมมีวันรูจักตัวจริง
ของเราไดเลย
ดิฉันหวังวาบทความนี้คงชวยใหคุณเขาใจเรื่องการแสวงหาตนเองมากขึ้น
โดยเฉพาะอยางยิ่งเรื่องอายตนะที่ ๖ และ การนําผาปดตาใจออกโดยวิธีการฝกสติปฏฐานสี่
นี่เปนเรื่องเดียวที่สําคัญมากที่สุดตอทุกชีวิตบนโลกนี้ จึงหวังเปนอยางยิ่งวาคุณคงจะ
แสวงหา “ตัวจริง ๆ” ของคุณพบไมวันใดก็วันหนึ่งในชาตินี้ เพื่อใหสมกับการไดเกิดมาเปน
มนุษยและพบพระพุทธศาสนา

26
27
บทที่สาม
จิตใจปกติเปนอยางไร?
Do you know what a normal mind is?

นั่งรถกับคนเปนโรคจิต

วันหนึ่ง ดิฉันไดรับโทรศัพทจากชายหนุมอายุ ๒๗ ปคนหนึ่ง ซึ่งเคยมาเรียน


ไทเก็กกับดิฉันประมาณ ๓ ปกอนหนานั้น เขามาเพียง ๓ หรือ ๔ ครั้ง แลวก็หายหนาไป วันนั้น
เขาโทรมาเพื่อขอหนังสือเรื่อง ใบไมกํามือเดียว จากดิฉัน ดิฉันจึงพูดกับเขาวา หากมีเวลา
ควรมาเรียนไทเก็กกับดิฉันอีก แลวดิฉันจะไดสอนเรื่องการฝกสติปฏฐานให เพื่อเขาจะ
สามารถเขาใจหนังสือของดิฉันไดดีขึ้น

พอดีชายหนุมคนนีอ ้ ยูใกลบาน ดิฉันจึงรับอาสาที่จะรับไปมหาวิทยาลัยในรถ


ของดิฉันดวย เมื่อชวนคุย ดิฉันจึงทราบวา เขาเพิ่งฟนตัวจากโรคจิตเภทชนิดหนึ่ง ยังอยูใน
การดูแลของคุณหมอโรคจิต รักษาดวยยาและทําจิตบําบัดอยู บอกวา สาเหตุที่เขาตองการ
หนังสือของดิฉันเพราะดิฉันไดพูดเรื่องการทําใจใหวางจากความคิด ซึ่งเปนเรื่องที่ดึงดูดความ
สนใจของเขาตั้งแตแรก

ดิฉันไมไดรูสึกหวั่นไหว ถึงแมรูวากําลังนั่งรถไปกับคนที่จิตใจไมคอยปกติก็
ตาม รูสึกสงสาร จึงพยายามใหเขาพูดถึงปญหาสวนตัวที่ทําใหจิตใจของเขาไมปกติ ซึ่งดิฉัน
สรุปไดวาชายหนุมคนนี้ไดสูบกัญชาในชวงที่เขามาเรียนไทเก็กกับดิฉัน ในใจของเขาจึงสราง
เรื่องตาง ๆ ขึ้นมาซึ่งเขาคิดวาจริงไปหมด หลังจากที่ไดอานหนังสือของดิฉันครั้งแรกซึ่งดิฉัน
ไดพูดเรื่อง ใจวางจากจิต void และเรื่องการตรัสรู enlightenment นั้น เขาเชื่อวาเขาไดบรรลุ
ธรรมและตรัสรูแลว ดิฉันเดาวา คุณแมของเขาคงไดทําลายหนังสือเลมนั้นไปแลวเมื่อลูกชาย
มีความเจ็บปวยทางใจ จึงเปนสาเหตุที่ชายหนุมคนนี้ตองการไดหนังสือของดิฉันไปอีกเลม
หนึ่ง แตดิฉันก็ตัดสินใจไมใหหนังสือของดิฉันแกชายหนุมคนนี้ เพราะคิดวาจะไปทําใหจิตใจ
ของเขาสับสนมากกวาที่เปนอยู ควรใหคุณหมอโรคจิตรักษาจนกวาจิตใจของเขาจะเปนปกติ
เสียกอนดีกวา แตนี่แหละคือตัวปญหาที่แทจริง มีใครรูจริง ๆ หรือไมวา “จิตใจที่ปกติจริง ๆ”
นั้นเปนอยางไร

โรคจิตไมมีแผล
โรคจิตเปนโรคที่ซับซอน ยากที่จะรักษา เพราะไมมีแผลใหเห็นอยางชัดเจน
เหมือนโรคกายซึ่งเปนเรื่องตรงไปตรงมา ใครไมสบายกายก็ไปหาคุณหมอ ทานสํารวจโรค
และใหยามารับประทานเพื่อแกโรคนั้น ๆ แตแผลใจไมมีรอยช้ํา อักเสบ ขูด ขวน เปนหนอง
หรือ แตกหักใหเห็นอยางชัดเจน ความเจ็บปวยทางจิตใจเปนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ ความคิด
ความจํา ความรูสึก ซึ่งเปนสิ่งที่ไมมีรูปรางทั้งสิ้น แลวเราจะรูหรือตัดสินไดอยางไรวา ความ
เจ็บปวยของจิตใจเปนอยางไร

ความรูทางการแพทยเชื่อวา จิตใจอยูที่สมอง ฉะนั้น การรักษาโรคทางจิตใจ คือ


การไปรักษาที่สมอง ฉะนั้น เรามาดูกันกอนวา ผูเชี่ยวชาญทางจิตใจ mind expert ไดถกเถียง
เรื่อง จิตใจ วาอยางไร ดิฉันอานบทความนี้จากผูวิจารณหนังสือ ชื่อ A.C. Grayling วิจารณ

27
หนังสือชื่อ Consciousness ซึ่งแปลวา ความรูสึกตัว เขียนโดย Rita Carter ซึ่งพิมพใน
หนังสือพิมพ Daily Mail วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๐๐๒ เขาพูดวา

โดยประเพณีแลว ปญหาของจิตใจ mind และความรูสึกตัว consciousness


อยูในเครือขายของปรัชญา แตในชวงทศวรรษที่ผานมา นักประสาทวิทยา neurologists
นักจิตวิทยา psychologists และนักวิทยาศาสตรคอมพิวเตอร โดยรวมมือกับนักปรัชญา ได
นําเสนอทฤษฎีและวิธีการใหม ๆ ที่จะชวยใหเขาใจเรื่องความรูสึกตัวของมนุษยซึ่งลวนมีพลัง
มาก แตถึงแมวาผูเชี่ยวชาญเหลานี้ไดเรียนรูเกี่ยวกับกิจกรรมบางสวนของสมองแลว เชน สวน
ที่เกี่ยวกับการเห็น การไดยิน การใชภาษา การเคลื่อนไหว และ สิ่งอื่น ๆ มันก็ยังมีความลึกลับ
และ ความคลุมเครืออยูอีกมากมายทีเดียว บางคนก็บอกวา ความรูสึกตัว consciousness เปน
องคกรที่อิสระจากสมองและวัตถุอยางอื่น บางคนก็บอกวา หัวสมองและจิตใจเปนเรื่อง
เดียวกัน บางคนก็บอกวาสมองเปนสิ่งที่ทําใหเกิดจิตใจ บางคนก็บอกวา ความรูสึกตัวทั่ว
พรอมเปนผลของกิจกรรมของสมอง บางคนก็พูดวา เราไมมีวันเขาใจไดวาความรูสึกตัวจะเกิด
จากสมองไดอยางไร และ ยังมีคนที่ปฏิเสธอยางสิ้นเชิงวามีสิ่งที่เรียกวา ความรูสึกตัว
consciousness นั้นไมมี

คุณเห็นไดวา บทสรุปสั้น ๆ ของคุณ A.C Graying ก็สามารถชวยใหเราเห็น


ภาพรวมของความคิดของผูเชี่ยวชาญเรื่องสมองและจิตใจของมนุษย เมื่อพิจารณาจากการ
ถกเถียงของผูเชี่ยวชาญทางดานจิตใจเหลานั้นแลว เห็นไดชัดวา พวกเขาก็ยังไมไดเขาใจ
เรื่องจิตใจอยางทะลุปรุโปรง วามันคืออะไรอยางแนนอน ซึ่งนาเปนหวงมาก เพราะหากผู
ชํานาญทางจิตใจ mind experts ยังไมสามารถเขาใจไดวาจิตใจคืออะไร และทํางาน
อยางไรแลว เขาจะรักษาคนไขที่เปนโรคจิตใหกลับคืนสูความปกติไดอยางไร และที่รักษา
กันอยูนี้ เขารักษากันอยางไร และตัดสินไดอยางไรวา จิตใจของคนไขนี้หายเปนปกติแลว
ซึ่งตางจาก คนที่จิตใจยังไมหายเป นปกติย อางไร เขาเอามาตรฐานอะไรมาวัดและตัดสิน
ความปกติที่แตกตางจากความผิดปกติ

เราจึงจําเปนตองเจาะลึกเขาไปสูเรื่องของจิตใจ เพื่อทําความเขาใจเรื่องความ
เปนปกติของจิตใจ วามันคืออะไรกันแน และมนุษยเราจะเขาถึงความเปนปกตินั้นไดอยางไร

แกนของชีวิต
หากตองการเขาใจความปกติของจิตใจ ก็ตองมาเริ่มทําความรูจักกับธรรมชาติ
สวนนี้กอน เราตองยอมรับวา ความคิด thoughts ความจํา memories ความรูสึก feelings
และ ความรูสึกตัวทั่วพรอม consciousness มีอยูอยางแนนอน ถึงแมสิ่งเหลานี้ไมมีรูปรางก็
ตาม มันก็มีอยู และเปนสิ่งที่ใกลชิดแนบเนื่องกับชีวิตของเรามากที่สุด แทบจะรูสึกวา สิ่ง
เหลานี้คือ ตัวจริง ๆ ของเรามากกวากายเนื้อดวยซ้ําไป ที่สําคัญมากกวานั้น คือ สิ่งที่ไมมี
รูปรางเหลานี้ลวนเปนธาตุหรือธรรมชาติพื้นฐานที่กอใหเกิด “ชี วิต
” life และทําให “เรามีวิถี
ชีวิต” กอใหมีการเรียนรู การหาประสบการณจากโลกภายนอกตลอดจนจักรวาลที่เราอยู

เมื่อคุณแมใหกําเนิดทารก ทารกนั้นก็คือ กอนเนื้อที่หอหุมความรูสึกตัวทั่ว


พรอม consciousness ซึ่งเปนแกนของชีวิต เพราะถาหากไมมีกอนความรูสึกตัวนั้นแลว
ถึงแมรางกายของทารกจะสมบูรณ มีอวัยวะทุกอยางครบถวนก็ตาม แตเมื่อแกนของชีวิตหรือ
ความรูสึกตัวไมมีแลว ทารกนั้นก็ไมมีความหมายอะไร เปนเพียงกอนเนื้อที่ไมมีชีวิตจิตใจ
ความแตกตางระหวางทารกที่คลอดออกมาแลวรอดและตาย คือ ความรูสึกตัวทั่วพรอม

28
นั่นเอง เด็กที่มีชีวิตสามารถรองไห ดิ้น และเคลื่อนไหวไปมา ในขณะที่เด็กตายนั้นจะอยูนิ่ง
ๆ ไมรองไห ไมดิ้น ไมมีอาการของ “ชีวิต” แตอยางใดเลย

เมื่อคนเราหลับสนิท หมดสติเองโดยไมไดใชยารวมทั้งผลของฤทธิ์ยาสลบ
ดวย คนไขที่อยูในอาการโคมา และคนตาย ในขณะนั้น รางกายของคนเหลานี้ก็ยั งเปนปกติ
ทุกอยาง แตมีบางสิ่งบางอยางที่เกิดขึ้นกับความรูสึกตัวทั่วพรอม consciousness ของพวก
เขา มันลวนหยุดทํางานไประยะหนึ่งในสามกรณีแรกทั้ง ๆ ที่หัวใจก็ยังเตนอยู เวนเสียแตใน
กรณีของคนตายที่ความรูสึกตัวไมกลับมาอีกเลย

ความรูสึกตัว ชีวิต และ จักรวาล


เมื่อเหตุการณทั้งสี่กรณีนั้นเกิดขึ้นกับบุคคลใดแลว คือ หลับสนิท หมดสติ
โคมา ตาย จักรวาลทั้งหมดก็ดับวูบลงทันทีสําหรับคนคนนั้น ถึงแมจักรวาลยังคงอยูกับคน
อื่น ๆ อยางเปนปกติก็ตาม จักรวาลนี้จะไมมีอะไรเกี่ยวของกับคนที่ “ไมมีความรูสึกตัว”
ขอใหคิดตามใหดีอยางถองแท นี่เปนเรื่องสําคัญมากที่จะชวยใหคุณเขาใจคําสอนของ
พระพุทธเจาไดอยางถึงแกนดวย

หากคุณเขาใจในสิ่งที่ดิฉันพูดแลว เราลองมาใชเหตุผลและตรรกะเชื่อมโยง
ขอเท็จจริงบางอยางดู นี่ยอมหมายความวา ชี วิต ความรูสึกตัว กับ จักรวาล เปนเรื่องที่
เชื่อมโยงกันอยางแนบแนน ใกลชิด ถึงกับเปนเรื่องเดียวกันก็วาได มันจึงมีคาและ
ความสําคัญที่เทาเทียมกัน ยอมหมายความวา หากเราสามารถรูจัก “ความรูสึกตัว” ของ
คนเราไดแลว เรายอมเขาใจชีวิตและจักรวาล ในทางตรงกันขาม หากเราไมสามารถเขาใจ
“ความรูสึกตัว” ละก็ เราจะไมเขาใจชีวิตและจักรวาลเชนกัน จริงหรือไม ฉะนั้น หากเขียน
เปนรูปสมการใหเห็นงาย ๆ ก็จะเปนดังนี้คือ

ความรูสึกตัว = ชีวิต = จักรวาล


Consciousness = life = universe

เพราะมีความรูสึกตัวนี่เอง จึงกอใหมี ความคิด ความจํา กับ ความรูสึก อันเปน


ธรรมชาติที่กอใหเกิดสิ่งที่เรียกวา “จิตใจ mind” ขึ้นมา และจากจิตใจนี้เองจึงมี “ทุกอยาง”
ที่เกี่ยวของกับชีวิตภายนอกของเรา เชน การกิน การอยู ทํามาหาเลี้ยงชีพ พบปะผูคน
ตลอดจนถึงการสรางสรรคและทําลาย จิตใจของมนุษยยังเปนสถานที่ที่เกิดความสุข ดีใจ
ตื่นเตน เสียใจ เจ็บปวด ทรมาน ตลอดจนความทุกขทั้งหลาย ลวนมีอิทธิพลตอโลก เช น
หากชาวโลกสวนมากมีจิตใจที่เปนสุขแลว สังคมโลกก็จะมีสันติภาพ หากชาวโลกสวนมากมี
ทุกขในใจละก็ สังคมโลกก็จะวุนวายมีสงครามอยูทุกหยอมหญา

สาเหตุของบทความนี้ก็เนื่องมาจาก ความเจ็บไขไดปวยทางจิตใจของคน ๆ
หนึ่งที่ดิฉันรูจัก ดิฉันจึงอยากใหคุณเห็นอยางชัดเจนวา ความเขาใจเรื่องจิตใจอยางถองแท
มีความสําคัญมากเพียงใด ไมเพียงแตตอปจเจกชนคนหนึ่ง ๆ ที่มีปญหาทางจิตใจเทานั้น
แตเรื่องจิตใจนี้ เปนเรื่องที่ครอบคลุมถึงโลกและจักรวาลทั้งหมดเลยทีเดียว ฉะนั้น หากเรา
ไมสามารถเขาใจธรรมชาติของจิตใจอันมีความรูสึกตัวเปนแกนของชีวิตแลวละก็ เราจะไมมี
วันเขาใจชีวิต โลก และ จักรวาลที่เราอยูนี้เลย โดยเฉพาะอยางยิ่ง เราจะไมสามารถเขาใจ
ปญหาตาง ๆ ที่เกิดในสังคมโลก เมื่อไมเขาใจปญหาสังคม เราก็แกไขมันไมได ปญหา
สังคมเหลานี้จึงกลับมาสรางปญหาใหกับจิตใจของปจเจกบุคคลตอไป และแลว ปญหาของ
มนุษยก็เริ่มวนไปเวียนมาเหมือนกําลังเดินอยูรอบถนนวงแหวนฉันใดก็ฉันนั้น คุณเห็นหรือยัง

29
วา การไมเขาใจเรื่อง จิตใจ และ ความรูสึกตัวทั่วพรอม อยางถองแทมีความเสียหาย
มากมายเพียงใดตอมนุษยชาติ

จิตใจที่ไมทุกขคือจิตใจที่เปนปกติ
บุคคลที่รูเรื่องจิตใจมากที่สุดคงไมเกินพระพุทธเจา ความรูของพระพุทธเจาคือ
การดับทุกขทางใจ จึงควรมาเริ่มตนที่ความรูของผูรูจริงเสียกอน

หากดิฉันจะพูดวาผูเปนโรคจิต คือ คนที่มีจิตใจไมปกติ จิตใจจึงเปนทุกข


จิตใจที่ยังเขาไมถึงพระนิพพาน ฉะนั้น การทําใหจิตใจหมดทุกขคือ การทําใหจิตใจเปนปกติ
ความปวยทางจิตใจก็จะหายไป จึงไดสมการเชนนี้กอน

จิตใจเจ็บปวย (โรคจิต) = จิตใจไมปกติ = จิตใจเปนทุกข = กลุมใจ


จิตใจไมเจ็บปวย = จิตใจปกติ = จิตใจหมดทุกข = หายกลุมใจ

ทําไมไอนสไตนจึงตองหาจุดปกติของจักรวาล
เมื่อใชคําวา ปกติ ปญหาเริ่มเกิด เพราะจิตใจเปนเรื่องของนามที่ไมมีรูปราง
จับตองไมได เห็นไมได จึงไมมีแผลอักเสบใหเห็น แลวใครละ จะเปนคนตัดสินไดวา จิตใจ
ของใคร “ปกติ” หรือ “ไมปกติ” จะรูไดอยางไร

ตรงนี้แหละ คุณจะเริ่มเขาใจความคิดของไอนสไตนแลวหรือยังวาทําไมเขาจึง
ตองการหาจุดคงที่ของจักรวาล the absolute ruling point in nature ถาใชคําพูดใหม ก็
หมายความวา ไอนสไตนตองการหาจุดปกติของจักรวาลนั่นเอง เพื่อเขาจะไดใชจุดนั้นเปน
เกณฑหรือมาตรฐานวัดสิ่งอื่น ๆ ได จึงสามารถรูไดวา อะไรที่มันเคลื่อนจากความปกตินั้น
หรือไม เพราะถาไมมีจุดปกติที่ใชเปนมาตรฐานการวัดสิ่งตาง ๆ แลว เราจะไมมีวันรูไดวา
อะไรปกติ และ อะไรไมปกติ ความคิดของไอนสไตนในเรื่องนี้จึงรวมถึงการวัดความปกติ
ของจิตใจมนุษยดวย

ไอนสไตนหาจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาลไมพบ เพราะเขาคนพบวาทุก
อยางในจักรวาลเคลื่อนที่อยูตลอดเวลา ไมมีอะไรหยุดนิ่งและเปนปกติเลย แถมคนพบอีกวา
เวลาและเอกภพยืดหดไดดวย ไอนสไตนจึงสรุปวาไมมีจุดนิ่งหรือจุดปกติในจักรวาล อัน
เปนผลใหเกิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ ซึ่งหมายถึงการตองสมมุติจุดนิ่งหรือจุดปกติขึ้นมาเอง
และใชจุดสมมุตินั้นเปนมาตรฐานการวัดสิ่งตาง ๆ ซึ่งแนนอน คาที่ไดยอมเปนคาที่ไมปกติ
ไมนิ่ง เปนคาเปรียบเทียบซึ่งภาษาของไอนสไตนเรียกวา ค าสัมพัทธrelative value
นั่นเอง

หากคุณตองการเขาใจเรื่องความปกติของจิตใจอยางถึงแกนแลว คุณตอง
ยอมรับเสียกอนวา ไอนสไตนสรุปผิด เพราะจุดนิ่งหรือจุดปกติในจักรวาลมีอยู ซึ่ง
พระพุทธเจาบอกแลววา คือ สภาวะพระนิพพาน นั่นเอง

ตองฟงผูรู
ตรงนี้แหละ คุณไมมีทางเลือกอื่น นอกจากรับฟงผูตรัสรูเองไดอยาง
พระพุทธเจา ทานจึงรูวา จุดนิ่งหรือจุดที่เปนปกติของจักรวาลมีอยู แตมีอยูในลักษณะของ
รถไฟสองขบวนที่วิ่งดวยความเร็วในระดับเดียวกัน ดังที่ดิฉันจะอธิบายในบทที่ ๖ เมื่อรถไฟ

30
สองขบวนวิ่งขนานไดเมื่อไร ความนิ่ง หรือ ความปกติ จะเกิดทันทีซึ่งเปนสภาวะเดียวกับ
การรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ สภาวะนั้นเกิดไดเมื่อใจของเราวางจาก จิต หรือใจที่ไมมี
ความคิด ความจํา ความรูสึก นั่นเอง

ตองแยกจิตออกจากใจ
คุณจะเห็นไดวา ความสับสนในความรูเรื่องจิตใจของมนุษยในหมูปญญาชนทั้ง
ตะวันออกและตะวันตกเกิดเพราะไมสามารถเขาใจเรื่องขันธ ๕ ของพระพุทธเจาที่ดิฉันได
อธิบายไวแลวในบทที่สอง โดยเฉพาะอยางยิ่งสวนประกอบในสวนนามขันธทั้งสี่ คือ
1. ความคิด (สังขาร) = จิต
2. ความจํา (สัญญา) = จิต
3. ความรูสึก (เวทนา) = จิต
4. ความรูสึกตัวทั่วพรอม (วิญญาณ) = ใจ, ตัวใจ, ตาใจ

ซึ่งมีทั้งสวนของอายตนะภายนอกกับภายใน ผูดูกับสิ่งที่ถูกดู ประธานกับกรรม


จิตกับใจ sense กับ sense objects หรือ ทอมกับเจอรี่ การใชภาษาของพวกเขาจึงไม
ชัดเจน เต็มไปดวยความคลุมเครือ

เพราะนักการศึกษาของโลกยังไมรูวา สิ่งที่เขาเรียกวา ความรูสึกตัว


consciousness อันเปนเรื่องลึกลับที่เขาถกเถียงกันมานับศตวรรษแลวนั้น ที่จริงคือ
อายตนะที่ ๖ หรือ (ตา)ใจ ซึ่งเปรียบเหมือนอวัยวะฝายนามที่ทํางานรับสัมผัส เหมือนตา หู
จมูก ลิ้น กาย จึงเปนสิ่งที่ตองใชงานมันทันที ในแงที่เอามันมาดู มารับประสบการณตาง ๆ
ที่จิตหรือเจอรี่ไดสรางขึ้นมาในหัวในใจของเรา ดิฉันจึงมักเรียก ใจ วา ตาใจ เพื่อใหคุณเห็น
ชัดเจนวามันตองถูกใชเปนตัวดูเหตุการณภายในใจของเรา ดังสมการนี้

ตาใจ ดู----- จิต, เจอรี่ (ความคิด ความจํา ความรูสึก)

เมื่อใชตาใจไมเปน เหมือนเอาผามาปดตา
เมื่อปญญาชนชาวตะวันตกไมไดศึกษาพระพุทธศาสนา และไมไดฝกสติปฏ
ฐานสี่ หรือ ฝกการพาตัวใจกลับบานแลว จึงใชตาใจไมเปน ไมรูจักอายตนะที่ ๖ เครื่องมือ
สําคัญในการแสวงหาความรูเรื่องการทําใจใหเปนปกติ หรือ พระนิพพาน

การใชตาใจเปนคือ ใชมันดูความคิด หรือ ดูจิต (ทอมเฝาดูเจอรี่) ซึ่งเปน


ขั้นตอนของการฝกวิปสสนา แตเมื่อใชตาใจไมเปนแลว ก็เหมือนเอาผามาปดตาใจไว ตาใจ
จึงมืดบอด แมวทอมที่ตาบอดจึงกลายเปนแมวที่หมดน้ํายาไปทันที กลายเปนเหยื่อของเจอ
รี่ แทนที่จะเปนนายมัน และนี่คือสิ่งที่เกิดกับปญญาชนทั่วโลกที่ไมยอมรับรูเรื่องอายตนะที่
๖ ของพระพุทธเจา

เรียนรู “ตาใจ” อยางเปนวิชาการไมได


ฉะนั้น วิธีการถกเถียงเรื่อง จิตใจ mind และ ความรูสึกตัวทั่วพรอม
consciousness ในหมูผูเชี่ยวชาญทางจิตใจของปญญาชนชาวตะวันตกที่ยกขึ้นมาใหอาน
เมื่อสักครูนั้น จึงเปนวิธีการเรียนรูเรื่องจิตใจอยางผิด ๆ มักเอาไปเกี่ยวของกับเรื่องของสมอง
ที่เปนกอนเนื้ออันเปนสวนหนึ่งของกาย ซึ่งศึกษาไดงายกวา และดิฉันก็ยอมรับวาสมองมี
สวนเกี่ยวของกับจิตใจจริง แตไมทั้งหมด เพราะการวิเคราะหเรื่องขันธ ๕ ของพระพุทธเจา

31
บอกวา จิตใจ มีการทํางานอยางเปนองคกรอิสระและเปนสวนที่สรางเงื่อนไขใหสวนกาย
ดังที่ดิฉันไดอธิบายแลวในบทที่สอง

ความรูสึกตัวทั่วพรอม วิญญาณขันธ หรือ ตาใจ นี้จะเปนหัวขอของการถกเถียง


อยางเปนวิชาการไมไดเด็ดขาด การทําเชนนี้เหมือนการพยายามมองใหเห็นตาของตนเอง
ซึ่งเปนไปไมได หากโลกนี้ไมมีกระจกหรือน้ําที่นิ่งสงบ จะไมมีใครเคยเห็นตาเนื้อของตนเอง
เลย เพราะกําลังใชมันอยู การถกเถียงเรื่องตาใจ ตัวใจ อยางเปนวิชาการจึงเหมือนการ
พยายามมองใหเห็นตาใจ ซึ่งจะเปนไปไดอยางไร แมตาเนื้อเรายังมองไมเห็น ตาใจเปนนาม
ยิ่งไมมีอะไรใหมองเห็นและเราก็ใชมันอยู ถาจะใหรูจักตาใจจริง ๆ แลว จําเปนตองใชงาน
มันทันที คือ ใชมันดูความคิด ความรูสึก โดยวิธีการฝกสติปฎฐานหรือพาตัวใจกลับบาน ทํา
เชนนี้เทานั้น คือ การทําความรูจักตาใจของตัวใจแลว ตรงนี้จําเปนตองฟงผูรู

ทุกปญหามากับความคิด
การฝกวิปสสนาหรือพาตัวใจกลับบาน ก็คือ การฝกใชตาใจเพื่อใหมันดูการ
ทํางานของจิตหรือความคิด พอเริ่มดูความคิดไปสักหนอย ผูฝกจะมองออกวา ความคิดและ
ความรูสึก (จิต) ของคนเรานี่เองที่เปนตัวสรางความเจ็บปวยทางจิตใจ ตัวจิตนี่เองที่เปนสวน
ผิดปกติเพราะไปติดอยูกับความเปนมายาของความคิด คนที่ฝกวิปสสนาจึงฉลาดขึ้น
ถา จิต หรือ ความคิดเปนสวนที่ผิดปกติแลว การจะทําใหจิตใจเราเปนปกติ ก็
ตองเอาตัวที่เจ็บไขไดปวยออกไป นั่นคือ ตองเอา จิตที่ผิดปกติ ออกจาก ตัวใจ เพื่อวา ตัว
ใจของเราจะไดเปนปกติ
วิธีการของพระพุทธเจาจึงเปนเรื่องตรงไปตรงมา ความเจ็บไขไดปวยทางใจอยู
ที่ไหน ก็ควานมันออกไปตรงนั้นเลย การฝกวิปสสนาจึงเปนขบวนการแยกจิตออกจากใจ
แยกทอมออกจากเจอรี่ แยกผูดูออกจากสิ่งที่ถูกดู หรือ เอาความคิด ความจํา ความรูสึกออก
จากตัวใจของเรา เมื่อเอาความผิดปกติออกไดแลว ตัวใจก็จะเปนปกติ ตัวใจที่ปกติจึงเปน
สภาวะที่ “ตัวใจวางจากจิต” ความเจ็บปวยทางจิตใจ (โรคจิต) ของมนุษยจึงรักษาใหหาย
ไดดวยวิธีการเชนนี้ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับการหายกลุมใจ หมดทุกข หรือ การเขาถึงพระ
นิพพาน

ความคิด ความจํา ความรูสึก = จิต = เจอรี่


ความรูสึกตัวทั่วพรอม = ตัวใจ, ตาใจ = ทอม

เมื่อไมไดฝกสติปฏฐานสี่ เอาจิตที่ผิดปกติออกจากตัวใจไมได ตัวใจจึงไมปกติ

ตัวใจจิต--- ตัวกาย--- ผัสสะไมบริสุทธิ์ =ตัวใจไมปกติ = เปนทุกข =ไมถึงนิพพาน

เมื่อฝกสติปฏฐานสี่ เอาจิตที่ผิดปกติออกจากตัวใจไดแลว ตัวใจก็จะเปนปกติ ไมทุกข

ตัวใจ--- ตัวกาย--- ผัสสะบริสุทธิ์ =ตัวใจปกติ=ไมทุกข=ถึงนิพพาน

จากสมการขางบน คุณจะเห็นไดชัดวา ความคิด ความจํา ความรูสึก ซึ่ง ดิฉัน


เรียกรวมวา จิต หรือ เจอรี่ เปนตัวที่สรางปญหาใหแกมนุษยมาตลอด เพราะความเปนมายา
ของมัน นี่เปนศัตรูที่แทจริงตัวเดียวของมนุษยชาติ จัดการกับเรื่องนี้ไดเทานั้น จิตใจของคน
ก็จะเปนปกติ ความปกติสุขก็จะกลับมาสูสังคมโลก

32
ฉะนั้น เรื่องจิตใจของมนุษยจะนําไปวิเคราะหแบบวิธีการทางโลกโดยการ
ถกเถียงอภิปรายยอมไมได ถาทําเช นนั้นจะไมมีวันเขาใจเรื่องจิตใจไดเลย นี่เปนเรื่อง
สําคัญมากที่นักการศึกษาฝายโลกจําเปนตองรับฟงผูรูตามพระพุทธเจา การฝกวิปสสนา
หรือฝกทักษะเรือ
่ งการพาตัวใจกลับบานเทานั้นจะเปนทางลัดที่ชวยใหเขาใจเรื่องจิตใจได
อยางถองแท ชวยใหเขาถึงความเปนปกติของใจได เปนเรื่องเดียวกับการเขาถึงพระนิพพาน
นั่นเอง

สมมุติใหความไมปกติเปนความปกติ
หากไมมีใครบอกคุณวา พระนิพพานหรือ ผัสสะบริสุทธิ์ คือความปกติที่แทจริง
ของใจแลว ยอมไมมีมาตรฐานการวัดที่แนนอน เด็ดขาด ฉะนั้น จึงตองมีการสมมุติระดับ
ความปกติขึ้นมาแทน ตรงนี้เอง คุณจะเห็นความซับซอนที่นาใจหายของสังคมโลกอัน
เนื่องจากไมรูวาความปกติที่แทจริงคืออะไร เปนอยางไร
ขอใหคุณหาหนังยางมาเสนหนึ่ง ดึงใหตึงโดยตรึงมันอยูกับนิ้วหัวแมมือหรือ
นิ้วชี้ของมือทั้งสองขาง และเราเปรียบเทียบเสนขนานของหนังยางที่ไมมีการบิดเลยนี้เปน
ระดับความปกติของใจเรา คือ ในขณะที่ตาใจของเราสามารถรับผัสสะบริสุทธิ์โดยไมมี จิต
หรือ ความคิดเขามาเกี่ยวของ เมื่อนั้น ใจของเราจะเหมือนเสนยางตรง ๆ ที่ไมมีการบิด หรือ
เราสามารถสมมุติใหหนังยางที่ขนานกันทั้งสองเสนนี้ เหมือนกับ รถไฟสองขบวนที่วิ่งใน
ระดับเดียวกัน (บทที่ ๖) หรือจะมองใหเปน สภาวะที่ใจไดแยกหรือหลุดรอนออกจากจิตหรือ
ความคิดแลวก็ได ซึ่งเปนสภาวะของผูที่เขาถึงพระนิพพานแลว

ที่นี้ ขอใหคุณบิดเสนยางนั้น ๔ ครั้ง ซึ่งแสดงใหเห็นถึงความผิดปกติของจิตใจ


ซึ่งเปนสภาวะที่จิตกับใจอยูติดพันกัน หรือเจอรี่กําลังขี่คอรังแกทอมอยู แลวขอใหดึงหนัง
ยางที่บิด ๔ ครั้งใหตึงเปนเสนตรงอีก ดูรูปขางลาง

วาดภาพของนิ้วที่ตรึงเสนหนังยางที่บิด ๔ ครั้ง และตรึงใหเปนเสนตรง

ความเปนเสนตรงของหนังยางที่บิดอยูนี้จึงเปรียบเทียบไดกับการสมมุติคาของ
ความเปนปกติขึ้นมาจากความไมปกตินั่นเอง คาสมมุติวาปกตินั้นจึงเปนคาสัมพัทธ คา
เปรียบเทียบ คาไมจริง คาไมปกติ
คุณเห็นหรือยังวา ความสลับซับซอนเริ่มเกิดแลว ณ.จุดนี้เอง คนที่ไมไดฝก
วิปสสนา จิตกับใจของเขาจะอยูแนบชิดติดกัน ดูดเขาหากันเหมือนเปนแมเหล็กตางขั้ว
พัวพันกัน ซึ่งเปนความไมปกติของใจ แตเมื่อไมมีใครบอก และเปนเรื่องที่จับตองไมได คน
ก็หลงเขาใจผิดเอาความผิดปกตินั้นเปนความปกติ การไมรูขอเท็จจริงเรื่องความไมปกติของ
จิตใจ ภาษาธรรมะเรียกวา มีอวิชชา

เมื่อคนกลุมใหญผิดปกติเหมือนกันหมด จึงกลายเปนเรื่องปกติ
การบิดเสนหนังยาง ๔ ครั้งนั้นเปรียบเทียบไดกับสภาวะจิตใจของปุถุชนสวน
ใหญของโลกที่ยังไมไดรูเรื่องพระนิพพานอันเปนเปาหมายปลายทางของชีวิตและไมไดฝก
สติปฏฐานสี่แตอยางใด จึงมีอวิชชาเสมอเหมือนกันหมด

33
นี่คือกลุมคนทั่วไปที่ตื่นนอนทุกเชาแลวสามารถดําเนินชีวิตตามปกติธรรมดา
(แบบสมมุติ สัมพัทธ หรือ เปรียบเทียบ) คือ พูดคุยสนทนากันรูเรื่อง สามารถเรียนรู หา
ประสบการณ ศึกษาในสถาบันตาง ๆ รับผิดชอบตอหนาที่การงานที่หลากหลายของสังคม
ดูแลครอบครัวตนเองได รูเรื่องผิดชอบชั่วดีแบบสัมพัทธ มีความเคารพตอกฏเกณฑของ
สังคม และ กฎหมายซึ่งลวนเปนเรื่องสัมพัทธทั้งสิ้น เปนตน นี่คือกลุมคนที่จัดอยูในระดับ
ปกติแบบสัมพัทธ เหมือนหนังยางที่บิด ๔ รอบแลวยังดึงใหตรงได และทุกคนก็ดําเนินชีวิต
ไปตามความปกติที่สมมุติขึ้นมานั้น

คนสวนมากของสังคมจึงเห็นเรื่องการไดลาภ ยศ สรรเสริญ เปนเรื่องดี ถูกตอง


ชอบเรื่องวัตถุ เปนสิ่งที่ใคร ๆ ก็ควรไขวควาหามาใหอยูกับตนเอง คนหมูมากพูดเรื่อง
เดียวกัน สิ่งเหลานี้จึงกลายเปนเปาหมายของชีวิตของคนหมูมาก ซึ่งเปนเปาหมายที่ถูก
สมมุติขึ้นมาวาเปนเรื่องสําคัญ

ตราบใดที่ไมมีคนมาบอกเรื่องเปาหมายอันสูงสุดของชีวิตวาคือ การทําจิตใจ
ใหเปนปกติ หรือเขาถึงพระนิพพานแลวละก็ คนหมูมากเหลานี้ก็จะไมมีวันรูวา เรื่อง ลาภ ยศ
สรรเสริญ อันเปนคาสัมพัทธนี้ ไมใชเปนเรื่องสําคัญที่สุดของชีวิตมากเทากับการหา
อิสรภาพหรือความเปนปกติใหกับใจของตนเองอยางแทจริง

หากคุณเขาใจเรื่อง ใจเปนนาย กายเปนบาว ดังที่ดิฉันไดอธิบายในบทที่สอง


แลว ยอมหมายความวา กลุมคนกลุมใหญที่มีจิตใจไมปกติเหลานี้จะสรางสังคมโลกให
เปนไปตามที่เขาเห็นวาถูกตองและปกติ นั่นคือ การดูแลสุขภาพรางกายของตนเองจนเกิน
ความจําเปน จนไมอยากแกเฒา ไมอยากตาย ซึ่งเขามองไม ออกวาเปนไปไมได เมื่อเห็น
การไดลาภเปนสิ่งสําคัญแลว จึงกอใหเกิดการแสวงหาวัตถุ ทําใหคนเห็นแกตัว แกงแยงกัน
ความโลภ ความโกรธ อิจฉา เคียดแคนพยาบาท ก็ตามมาเปนกระพรวน ศีลธรรมจึงยอยยับ
ผลสุดทายคือ ปญหาสังคมที่พันกันยุงเหมือนกลุมดายที่มีปมแนนมากมาย พันกันจนไมรูจะ
เริ่มแกที่จุดไหนกอน

การรักษาคนไขโรคจิต
หากหนังยางที่บิด ๔ รอบคือ ระดับจิตใจที่ปกติแบบสัมพัทธ (สมมุติ) ที่คน
สวนมากของโลกเปนแลว คนที่มีความเจ็บปวยทางจิตใจมากกวาระดับปกติที่สมมุตินั้นจะ
เปรียบเทียบเหมือนหนังยางเสนนี้บิดมากกวา ๔ รอบ เชน สมมุติวาคนขี้หงุดหงิด หนังยาง
บิด ๕ รอบ คนกลุมใจ คิดมาก ฟุงซานมาก หนังยางบิด ๖ รอบ คนเปนโรคประสาท หนัง
ยางบิด ๗ รอบ คนสติแตกบิด ๘ รอบ คนเปนโรคจิต วิกลจริตบิด ๙ รอบ คนเปนบาสนิทกับ
คนฆาตัวตาย บิด ๑๐ รอบ

ที่นี้ เราหันกลับมาดูเรื่องการรักษาคนไขโรคจิตของคุณหมอ เมื่อหมอโรคจิต


ไมรูสภาวะปกติที่แทจริงของจิตใจเสียเอง สิ่งที่เขาทําไดดีที่สุดคือ รักษาคนไขโรคจิตให
กลับมาสูระดับปกติสัมพัทธ ที่ชาวโลกสมมุติขึ้นมาเทานั้น ซึ่งอาจจะมีสวนที่เกี่ยวของกับ
ความผิดปกติของสมองจริง เชน คนไขโรคจิตเภท schizophrenia ซึ่งในหัวของเขาจะถูก
หลอกหลอนดวยความคิดตาง ๆ ที่เขาเห็นเปนจริงหมด อาชญากรรมไมนอยเปนผลจากการ
กระทําของคนไขประเภทนี้ เพราะระแวงคิดวามีคนจะมาทํารายตน จึงไปทํารายคนอื่น
เสียกอน คนไขโรคจิตเภทนี้ คุณหมอโรคจิตก็สามารถรักษาใหคนไขหายเปนปกติไดดวย
การใชยาเพื่อปรับสารเคมีบางสิ่งบางอยางในสมอง และการรักษาดวยจิตบําบัด

34
หากคุณเคยดูภาพยนตรเรื่อง The Beautiful Mind ก็จะรูเรื่องของนัก
คณิตศาสตรชาวอเมริกันชื่อ จอหน แนช เขาก็เปนโรคจิตเภท schizophrenia เห็นความคิด
เปนเรื่องจริงเหมือนเห็นคนจริง ๆ เขาก็รับการรักษาจนหายเปนปกติเชนกัน ตอมาถึงกับ
ไดรับรางวัลโนเบล โรคจิตเภทนี้อาจจะเปนกันในหมูนักบริหารก็ได ซึ่งถาใชยา ก็ควบคุมไว
อยู แตนั่นก็เปนการรักษาจนถึงระดับปกติสัมพัทธเทานั้น เหมือนหนังยางที่บิด ๔ รอบ ซึ่ง
เปนตัวแทนคนกลุมใหญของโลกที่รับผิดชอบตอตัวเองได พูดคุยสนทนากันรูเรื่อง รูวา
ความผิดตางจากความถูก ความชั่วตางจากความดีอยางไร จึงเคารพกฏเกณฑและกฎหมาย
ของสังคมได
แตคนที่มีระดับจิตใจที่ปกติอยางจริง ๆ รูมาตรฐานของความปกติที่แทจริง
ยอมมองออกวาคุณหมอยังไมไดรักษาคนไขโรคจิตใหหายขาดแตอยางใด นั่นเปนเพียงการ
รักษาคนไขโรคจิตใหกลับมาสูระดับปกติสมมุติของปุถุชนเทานั้น ยังไมจัดวาปกติอยาง
แทจริง หากคุณหมอที่รักษาคนไขโรคจิตไมมีความรูเรื่องสติปฏฐาน และหากคุณหมอเองมี
สภาพจิตใจที่มีความบิดเบี้ยวมากกวาระดับ ๔ รอบเสียเอง ปญหาจะยิ่งยุงยากซับซอนมาก
ขึ้นอยางนาใจหาย

ดิฉันมีลูกศิษยชาวยุโรปคนหนึ่งที่มีคุณพอเปนคุณหมอรักษาคนไขโรคจิต
psychiatrist เมื่อเธอมาเรียนไทเก็กและสติปฏฐานกับดิฉันแลว เธอเลาใหฟงวา คุณพอของ
เธอยอมรับเองวา ผูมีอาชีพนี้ไมนอยมีปญหาทางจิตใจที่ซับซอนเสียเอง ซึ่งการมาฝกสติปฏ
ฐานกับดิฉันทําใหเธอเริ่มเขาใจวาทําไมจึงเปนเชนนั้น ถาอธิบายดวยภาษาของดิฉันก็คือ
เพราะคุณหมอโรคจิตยังพาตัวใจกลับบานไมไดนั่นเอง เมื่อมารับรูและเกี่ยวของกับคนไข
โรคจิตซึ่งในบางกรณีอาจจะมีสภาวะจิตที่แข็งแกรงกวาคุณหมอเองก็เปนได การดูดซับ
ความคิดไปมาจึงเกิดขึ้น ฉะนั้น หากคุณหมอไมสามารถปกปองจิตใจของตนเองโดยพาตัว
ใจกลับบานหรือกลับสูฐานของสติที่มั่นคงแลวละก็ ปญหาจิตใจของตนเองจึงเกิด คนไทย
เราจึงมักเตือนวาอยาไปเขาใกลคนเมากับคนบา เพราะคนเหลานี้มีสภาวะจิตที่แข็งมาก เขา
สามารถพูดใหคนเชื่อตามเขาไดวา การเกิดมาเปนสุนัขอาจจะดีกวาเกิดเปนคนก็ได

การฆาตัวตาย พฤติกรรมที่ขัดแยง
สิ่งที่แสดงออกถึง ความปวยหนักหรืออาการผิดปกติอยางมหันตของจิตใจ
มนุษยคือ การฆาตัวตาย สถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกวา ในปหนึ่ง ๆ
มีคนฆาตัวตายสําเร็จทั่วโลกเปนจํานวน ๑ ลานคน ศ.น.พ.อุดมศิลป ศรีแสงนาม รอง
ประธานสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสรางเสริมสุขภาพ (สสส) กลาววา ในขณะที่
เทคโนโลยีไดเจริญขึ้นในชวง ๔๐ ปที่ผานมานี้ สถิติที่คนไทยฆาตัวตายกลับมีสูงขึ้นถึง ๖๐
เปอรเซ็นต โดยเฉลี่ยคือ ๑ คนตอทุก ๆ ๒ ชั่วโมง ศ.น.พ.อุดมศิลป กลาวในการสัมมนาวา

“ไมมีพฤติกรรมมนุษยหรือสัตวใดที่พิสดารเทากับการฆาตัวตาย เพราะทุกชีวิต
ยอมรักตัวกลัวตาย แตกลับเปนวามนุษยพยายามฆาตัวตาย ซึ่งเปนเรื่องสวนทางกัน ขณะที่
เทคโนโลยี่ของเราพยายามจะรักษาชีวิตคน แตกลับมีคน ๑ ลานคนทั่วโลกฆาตัวตาย ถือ
เปนปญหาสาธารณสุขที่รายแรงที่สุดในขณะนี้ ”1

เมื่อนักการศึกษาฝายโลกไมรูเรื่องความปกติของใจอยางแทจริงแลว จึงไป
วิเคราะหตัวปญหาเพื่อหาทางแกไขที่ปลายเหตุ ในกรณีการฆาตัวตายในเมืองไทยนั้น
นักวิชาการบางทานกลับไปตําหนิสื่อมวลชนวา เสนอขาวการฆาตัวตายที่ซ้ํา ๆ จึงกอใหเกิด

1
Today Express หนา ๑-๒ วันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน 48

35
การเลียนแบบ ซึ่งไมใชการแกปญหาแตอยางใดเลย คนที่อยากตาย แมไมมีแบบใหลอก
เลียน เขาก็ตองหาวิธีการของตนเองอยูวันยังค่ํา เพราะเปนเรื่องความเจ็บปวยทางใจที่สราง
ความทุกขใจที่เจาของชีวิตรับไมไหวแลว จึงเห็นความตายเปนทางออกทางเดียว และที่จริง
แลว สื่อมวลชนในอังกฤษไดเปดเผยแลววามีเว็บไซตจํานวนไมน อยที่ชวยสงเสริมใหคนฆา
ตัวตายไดสําเร็จ โดยบอกวิธีการตาง ๆ ให และยังมีใหเลือกระหวางการฆาตัวตายคนเดียว
หรือ ฆาตัวตายหมู ซึ่งทางเว็บไซตจะชวยใหผูอยากฆาตัวตายมาพบกัน เพื่อจะไดฆาตัวตาย
พรอมกัน โดยเฉพาะในกลุมเด็กวัยรุน ดังที่มีเรื่องใหอานในหนาหนังสือพิมพของอังกฤษอยู
บอยขึ้น เว็บไซตเหลานี้อาจจะเปนสาเหตุที่ทําใหสถิติการฆาตัวตายทั่วโลกสูงขึ้นก็เปนได

อยางไรก็ตาม ปญหาสังคมที่เกิดขึ้นอยูทุกหยอมหญาทั่วโลกนั้น ลวนเปนผล


ของความผิดปกติทางใจของมนุษยชาติ หรือ เปนอาการของการหลงทิศทางชีวิตของคน
หมูมากนั่นเอง การแกไขที่ตนเหตุจึงตองกลับมาสูเรื่องการทําความเขาใจเรื่องโครงสราง
ของชีวิต รูวาเปาหมายปลายทางของชีวิตคือ พระนิพพานซึ่งเปนสภาวะเดียวกับความเปน
ปกติของใจ เหมือนเสนหนังยางที่ไมมีการบิด เมื่อทราบเปาหมายปลายทางแลว ก็ตองรูว า
จะเดินทางไปถึงเปาหมายนั้นไดอยางไร ซึ่งวิธีการหลักก็คือ การรักษาศีล และ การฝกสมาธิ
วิปสสนา หรือ ฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบาน

วาดรูปโครงสรางชี วิตสามเหลี่ยมดานเทา สวนบนเขียน พระนิพพาน ใจเปนปกติ เสนหนัง


ยางไมบิด ผัสสะบริสุทธิ์ ดานลางตรงกลางเขียนปญญา ดานขวาเขียน สมาธิวิปสสนา
ดานซายเขียน ศีล

ทุกศาสนิกชนรักษาศีลไดเทาเทียมกันหมด
คนที่เริ่มรักษาศีลโดยการคิดดี พูดดี ทําดี นั้น สภาวะจิตใจที่บูดเบี้ยวผิดปกติ
จะเริ่มคลายตัวเพื่อกลับสูความเปนปกติ คือ จิตกับใจที่เคยอยูพันกันเหมือนเสนหนังยางที่
บิดนั้นจะเริ่มขบวนการคลายตัว หลุดรอนออกจากกัน เปนการเริ่มตนปฏิบัติเพื่อการหลุดพน
จากความทุกขในขั้นตอนแรก

ศาสนิกชนในศาสนาอื่นนั้น หากเขารักษาศีลตามคําสอนของพระศาสดาของ
เขาแลวละก็ จิตใจที่ผิดปกติของเขายอมคลายตัวเพื่อกลับสูความเปนปกติเชนกัน เพราะศีล
และความเกรงกลัวละอายตอการทําบาป conscience เปนจริยธรรมสากลที่อยูกับโลกมา
นานแลว เปนความรูสึกที่ธรรมชาติหรือพระเจาประทานใหมนุษยเพื่อใหอยูดวยกันไดอยาง
สันติสุข การรักษาศีล ที่จริงเปนเรื่องธรรมชาติมาก

ฉะนั้น แมชาวคริสต ชาวยิว ชาวฮินดู ซิกซ อิสลาม หากเขารักษาศีลไดอยาง


เครงครัดแลว คนเหลานี้ก็จะอยูในขั้นตอนที่จิตใจเริ่มปรับเขาสูระดับปกติ เปรียบเทียบไดวา
หนังยางเสนนี้ไดคลายการบิดเบี้ยวไปหนึ่งรอบ เหลือการบิดเบี้ยวเพียง ๓ รอบเทานั้น ซึ่ง
เปนสภาวะของกัลยาณปุถุชน คือ ปุถุชนที่ทําแตความดี เปนกลุมที่เริ่มหันเหจิตใจไปสู
ทิศทางของชีวิตที่ถูกตองแลว มุงหนาสูนิพพาน มุงแสวงหาพระเจาแลว เริ่มใชชีวิตอยาง
เปนอริยะแลว

มรรค ผล นิพพาน มีในพระพุทธศาสนาเทานั้น


ชาวพุทธอาจจะสงสัยวา หากศาสนิกอื่นที่ไมไดวิเคราะหเรื่องการไปนิพพาน
และไมไดฝกวิปสสนาแลว จิตใจที่ไมปกติของเขาจะคลายตัวกลับสูความเปนปกติอยาง
สิ้นเชิงไดหรือไม

36
หากศาสนิกอื่นที่ไมไดปฏิบัติวิปสสนาหรือสติปฏฐานสี่แลวละก็ การคลายตัว
ของจิตใจที่จะกลับสูความเปนปกติของจิตใจอยางสิ้นเชิงอาจจะมีขีดจํากัดอยู ดังที่พระบรม
ศาสดาตรัสวา เรื่อง มรรค ผล นิพพาน ไมมีอยูในศาสนาอื่นนอกจากคําสอนของทานเทานั้น
เพราะการทําใหจิตใจคลายตัวกลับสูระดับความเปนปกติอยางสิ้นเชิงจนหมดทุกขไดนั้น
จําเปนตองปฏิบัติสติปฏฐานสี่ หรือ พาตัวใจกลับบาน เมื่อทําไดแลว เกลียวของจิตใจจะเริ่ม
คลายตัว ปรับเขาสูความสมดุลที่เปนปกติไดในที่สุด เหมือนเสนหนังยางที่ไมมีการบิดเลย
จิตกับใจแยกออกจากกันอยางสิ้นเชิง หรือ เหมือนรถไฟสองขบวนที่วิ่งไดในระดับเดียวกัน
ฉะนั้น คนที่ไมไดฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานหรือฝกวิปสสนานั้น การปรับระดับ
จิตใจจนถึงระดับความหลุดพนนั้นอาจจะไมเกิด ถาเกิดก็คงเปนบุคคลที่ไดสรางบารมี
ทางดานปฏิบัติมาแลวแตชาติปางกอน ไดเขากระแสพระนิพพานแลว เดินถอยกลับไมได
แลว แมไมไดเกิดเปนชาวพุทธ การเดินทางยอมไปขางหนาอยางเดียว ซึ่งเปนเหตุผลที่ลง
ตัวอยู
อยางไรก็ตาม นี่จึงเปนเหตุผลที่ดิฉันพยายามนําอุดมคติเรื่องพระเจา ตนไม
แหงชีวิต และการใชชีวิตอมตะของชาวคริสตมาวางเทียบเคียงพระนิพพาน และปรับเรื่องสติ
ปฏฐานสี่ใหแกศาสนิกอื่นดวยวิธีการออกกําลังกายแบบไทเก็ก ชี่กงบาง เพื่อวา ศาสนิกอื่น
จะสามารถเดินทางไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิต ปรับระดับจิตใจใหเขาสูความเปนปกติ
อยางถาวรได

เมื่อชีวิตหลอมรวมกับจักรวาลทั้งหมด
ในตอนตนของบทความนี้ ดิฉันไดบอกแลววา หากเราสามารถเขาใจความ
รูสึกตัวไดละก็ เราจะสามารถเขาใจชีวิต และจักรวาลไดเชนกัน

ความรูสึกตัว = ชีวิต = จักรวาล

หมายความวา หากใครสามารถฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบาน (สติปฏ


ฐาน) ไดแลว ในขณะที่จิต (ความคิ ด ) หลุดออกจากใจในชวงขณะสั้น ๆ นั้นเอง (ผัสสะ
บริสุทธิ์) เจาของชีวิตที่หลงทิศจะกลับบานเดิมได ชีวิตทั้งหมดจึงหลอมรวมกับจักรวาล
ทั้งหมด และเคลื่อนไปกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ อยางไมหยุดยั้ง เปนชีวิตอมตะในขณะที่ยังรับผัสสะ
บริสุทธิ์ได แมเปนชวงสั้น ๆ ก็ตาม ความเขาใจชีวิตและจักรวาลอยางถึงแกนจึงเกิดใน
ขณะนั้น ๆ เชนกัน เปนการเขาใจชีวิตและจักรวาลอยางคนภายใน เพราะกลับบานเดิมได
แลว ไมใชเขาใจอยางคนภายนอกหรือคนหลงทางชีวิตอันคือ การวิเคราะหจิตใจตามวิธีการ
ของปญญาชนตามแบบอยางการศึกษาทางโลก

ถาเขาใจไดวา จักรวาลภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ฉะนั้น เมื่อใจ


ของเราวางจากจิตหรือความคิดที่เปนมายาไดแลว ใจ กาย และ จักรวาลภายนอกทั้งหมดก็
หลอมรวมเปนสิ่งเดียว และเคลื่อนไปอยางไมหยุดยั้ง

รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = จักรวาลภายนอก

ตัวใจ ----- กาย ----- รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่บริสุทธิ์

มีผัสสะบริสุทธิ์ = เขาถึงชีวิตอมตะ = เขาใจจักรวาลภายนอก = เขาใจแกนแทของชีวิต

37
สรุป

ดิฉันหวังวา คุณคงเขาใจไดแลววา ทําไมจึงเปนเรื่องสําคัญมากที่ชาวโลกตอง


รูวาสภาวะจิตใจที่ปกติอยางแทจริงเปนอยางไรเสียกอน มิเชนนั้น เราจะไมมีมาตรฐานการ
วัดที่พึ่งพาได จะรูแตคาสัมพัทธหรือสมมุติเทานั้น จึงไมรูวาอะไรเปนอะไร ซึ่งบทความนี้
ดิฉันก็ไดชวยโยงเขาสูความรูของพระพุทธเจาซึ่งเปนผูรูจริง ชวยใหคุณเขาใจอยางถูกตอง
วา ความปกติทางใจที่แทจริงคือการเขาถึงสภาวะพระนิพพาน หรือ การสามารถรับผัสสะ
อยางบริสุทธิ์นั่นเอง ซึ่งมิใชเรื่องไกลตัวเลย สวนจะทําใหใจของเราคงความปกติไดอยางไร
ก็ตองทําเรื่องเดียวเทานั้น คือ ทุกคนตองรีบฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบาน หรือ
ปฏิบัติสติปฏฐานสี่ ทําเพียงเทานี้ ผูปฏิบัติก็จะสามารถเขาใจชีวิตและจักรวาลไดอยางถึง
แกน จึงแกไขปญหาชีวิตใหลุลวงไดดวยวิธีนี้

38
บทที่สี่
พรมแดนสุดทาย
The Final Frontier
ผูที่เปนแฟนของนิยายวิทยาศาสตร science fiction เชน เรื่อง สตาร เทร็ค Star
Trek อันเปนเรื่องราวของการทองจักรวาลนั้น มักจะไดยินคํา ๆ หนึ่งที่ใชกันบอย คือ
พรมแดนสุดทาย หรือ The final frontier ถึงแมนิยายวิทยาศาสตรเหลานี้จะเปนเพียงเรื่อง
เพอฝน จินตนาการของมนุษยก็ตาม มันก็แสดงใหเห็นถึงความคิดหนึ่งของมนุษยที่เชื่อวา มี
สิ่ง ๆ หนึ่ง หรือ สภาวะหนึ่ง ที่เปนที่สุดของพรมแดน เปนสภาวะที่ไมมีอะไรไปเหนือมันได
อีกแลว ฟงดูแลวก็ไมตางจากสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดนั้นเอง ซึ่งเปนสิ่งที่มนุษย
แสวงหาอยูเสมอในประวัติศาสตรของมนุษยชาติ ทั้งนี้อาจเปนเพราะ มนุษยทุกคนลวนรักตัว
กลัวตาย
เพราะกลัวการสาบสูญอยางสิ้นเชิง กลัวความไมแนนอนในสรรพสิ่งนี้เอง จึงเปน
สัญชาติญาณอยางหนึ่งของมนุษยที่จําเปนตองหาที่พึ่ง หาคําตอบใหแกชีวิต ตองการรูสิ่งที่
แนนอน มั่นคง ไมเปลี่ยนแปลง เปนอมตะ เพื่อมนุษยจะไดพึ่งพาสิ่งนั้น ๆ แมเพียงการ
แสวงหาสิ่งที่เปนอมตะนี้ ก็ทําใหมนุษยมีความหวังแลว
นี่เปนเหตุผลใหญที่อยูเบื้องหลังทฤษฎีสรรพสิ่งที่ไอนสไตนถึงกับทุมเทชีวิตชวง
ยาวนานของเขาแสวงหา การคนพบกลศาสตรควอนตัมของไอนสไตนเทากับยอมรับใน
ความไมแนนอนของสรรพสิ่งหรือยอมรับในความเปนอนิจจังของทุกสิ่งซึ่งเหมือนกับบทสรุป
ของไฮเซนเบิรกที่พูดวา

ไมมีสิ่งเที่ยงแทถาวรอันติมะในธรรมชาติ There is no final certainty.

นี่เปนบทสรุปที่ไอนสไตนไมยอมรับและทําใหนักฟสิกสมากมายนอนไมหลับ แม
หลับก็ฝนราย เพราะความฝนอันสูงสุดของพวกเขาคือ การแสวงหาความจริงในธรรมชาติที่
มนุษยพึ่งพาไดนั่นเอง ไอนสไตนถึงยอมใชเวลา ๓๐ ปเพื่ออานความคิดในเรื่องการสราง
โลกและชีวิตของพระเจา เพื่อเขาจะไดเจาะเขาไปถึงแกนของสัจธรรม และสามารถแปรมัน
ออกมาในรูปของคณิตศาสตรที่เขาและเพื่อน ๆ ชาวฟสิกสของเขาเขาใจไดดีขึ้นนั่นเอง

ความจริงอยูขางนอกโนน
นักดาราศาสตรรวมทั้งนักจินตนาการนิยายทางวิทยาศาสตรมักคิดวา พรมแดน
สุดทายของจักรวาลนาจะอยูในอวกาศ อยูที่ขอบริมสุดอันเปนพรมแดนปลายสุดของ
จักรวาลจริง ๆ ดังที่ชอบพูดกันในนิยายทางวิทยาศาสตรวา

ความจริงอยูขางนอกโนน The truth is out there!

จึงเปนเหตุผลใหญที่มนุษยมีความปรารถนาและใฝฝนที่จะทองเที่ยวไปในอวกาศ
เพื่อหาประสบการณ ขอมูล และความจริงที่อยูนอกโลกดวยความหวังวา ขอมูลเหลานั้นจะ
ชวยใหเราสามารถเขาใจดาวเคราะหดวงที่สามในระบบสุริยะจักรวาลนี้ไดดีขึ้น หรือ พูดให
กระชับคือ ชวยใหเราสามารถเขาใจชีวิต หรือ ความรูสึกตัวทั่วพรอม consciousness ที่
ลึกลับนี้ รวมทั้งการพยากรณอนาคตของมนุษยและพื้นพิภพที่มนุษยกําลังอยูนี้ดวย

39
สัจธรรมคือตัวตอตัวสุดทาย
ไมวาจะนําหัวขออะไรขึ้นมาพูดวิเคราะหอยางเปนเหตุผล มักไมพนที่จะวกกลับมาสู
เรื่องสัจธรรมอันสูงสุดเสมอ เพราะนี่เปนตัวตอตัวสุดทาย the missing link ของทุกสิ่งทุก
อยางในจักรวาลนี้รวมทั้งจักรวาลอื่นถาหากมีอยู ภาพทั้งหมดของชีวิตและจักรวาลจะชัดเจน
ไดก็ตอเมื่อเราสามารถวางตัวตอตัวสุดทายลงเทานั้น หรือเมื่อพบสัจธรรมอันสูงสุด หรือเมื่อ
พบพรมแดนสุดทายของจักรวาลนั่นเอง
อยางไรก็ตาม คุณเห็นดวยหรือไมวา พรมแดนสุดทายของจักรวาลหรือของชีวิตอยู
ภายนอกโนน อยูที่การใชชีวิตทั้งหมดของคุณทองไปในอวกาศเพื่อหาสัจธรรมนี้ คุณ
จําเปนตองถามคําถามนี้อยางจริงจัง และใหความสนใจในสิ่งที่ดิฉันจะพูด เพราะนี่อาจจะ
เปนขอมูลที่ชวยประหยัดเวลาของคุณไดมากมายทีเดียว

ในความเห็นของดิฉันแลว สามัญสํานึก common sense บอกดิฉันวา หากคุณไม


สามารถหาสัจธรรม ณ ตรงที่คุณอยูนี้ละก็ คุณคิดวาคุณจะไปหาที่ไหนไดพบหรือ หากคุณ
นับถือพระเจา ก็ตองพูดวา ถาคุณไมสามารถเขาถึงพระเจาของคุณในขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้แลว
ละก็ คุณคิดวาคุณจะไปหาพระเจาไดที่ไหนหรือ
นี่ คือเหตุผลของการเขียนบทความนีด ้ ิฉันชอบวลี “พรมแดนสุดทาย” ที่สามารถใช
แทนคําวา สัจธรรมอันสูงสุด เพราะ เปนเรื่องที่ดิฉันสามารถใชอธิบายสิ่งตาง ๆ อยางเปน
เหตุเปนผล เพื่อชวยใหคุณสามารถเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระเจาได คุณจะเห็นชัดเจน
วา การแสวงหาสัจธรรมของนักวิทยาศาสตร ของนักดาราศาสตรไปเดินผิดพลาดที่ตรงไหน

ยอมรับวา สัจธรรม มีอยู


สิ่งแรกที่คุณตองยอมรับคือ สัจธรรมสูงสุดในธรรมชาติมีอยู ยอมรับวาพระพุทธเจา
ไดคนพบแลวในคืนที่ทานตรัสรู ซึ่งทานเรียกสภาวะอันติมะนี้วา พระนิพพาน ภาษาของนัก
ดาราศาสตร หรือ นักจินตนาการนิยายวิทยาศาสตร คือ พรมแดนสุดทายของจักรวาล พระ
นิพพานไมไดจํากัดอยูแตกลุมบุ คคลที่สนใจศาสนาเทานั้น แตเปนเรื่องโดยตรงของมนุษย
ทุกคน มนุษยจึงแสวงหาโดยที่ตนเองก็ไมรูดวยซ้ําไปวาสิ่งที่ตนตองการคนพบคือสัจธรรม
หรือพระนิพพาน หนาที่ของดิฉันคือ นําสิ่งเหลานีม
้ าเชื่อมโยงใหคุณรูวาอะไรเปนอะไร
ฉะนั้น เรื่องพระนิพพานจึงเปนสิ่งที่ทุกคนตองรู ไมใชเปนทางเลือกอยางที่คนชอบคิดหรือ
เปนเรื่องมักใหญใฝสูงแตอยางใดเลย เพราะถาไมรูเรื่องนี้แลว เราจะไมรูอะไรไดอยาง
แทจริงเลย แมมีความรูทวมหัวก็เอาตัวไมรอดดังที่เห็น ๆ กันอยู
ดังที่คุณทราบแลววาดิฉันไดใชคําและวลีหลากหลายเพื่อใชเรียกคําวา สัจธรรมอัน
สูงสุด สองวลีที่ดิฉันอยากนํามาเชื่อมโยงใหคุณเห็นชัดเจนในบทความนี้คือ ผัสสะบริสุทธิ์
กับ พรมแดนสุดทาย เพื่อคุณจะไดรูวา พระนิพพานหรือพระเจาในฐานะที่เปนสัจธรรมอัน
สูงสุดไมใชเรื่องไกลตัวถึงขนาดตองไปหาในอวกาศแตอยางใดเลย แตอยูที่นี่ เดี๋ยวนี้ นี่เอง

ทุกคนเปนศูนยกลางจักรวาลของเขา
ในบทกอนดิฉันไดพูดวา กอนความรูสึกตัวที่กายเนื้อหอหุมมันมาเมื่อคลอดจากทอง
มารดานั้น เปนสิ่งเดียวกับจักรวาล จักรวาลมีอยูเพราะเรามีความรูสึกตัว consciousness
นั่นเอง สมมุติวา ดิฉันเกิดหมดสติไป ๗ วัน โลกภายนอกหรือจักรวาลของดิฉันก็ดับไป ๗
วันเชนกัน ในชวงนั้น จักรวาลจะไมมีอะไรเกี่ยวของกับดิฉันเลย แมมันจะยังมีอยู คงอยู
สําหรับคุณก็ตาม โลกและจักรวาลจึงไมมีอะไรเกี่ยวของกับคนหลับสนิท คนหมดสติ คนอยู
ในอาการโคมา และ คนตาย เพราะความรูสึกตัวของเขาหายไป
ฉะนั้น หากดิฉันจะสรุปวา ทุกคนลวนเปนศูนยกลางของจักรวาลก็ยอมไมผิดหลัก
เหตุผลแตอยางใด เพราะหากคุณไมมีความรูสึกตัวละก็ จักรวาลก็ไมมีอยูเชนกัน เพราะมี

40
ความรูสึกตัว หรือมีตัวใจ นี่เอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราจึงทํางานได มันกลายเปน
สะพานเปดโอกาสให รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เดินเขามาในใจของเรา มาให “ตัวใจ” หรือ
“ความรูสึกตัว” ของเราไดรับรู ชีวิต โลกและจักรวาลจึงเกิดขึ้น ตื่น มีอยู ณ จุดนั้นเอง 1
ใจ หรือ ความรูสึกตัวนี้ ภาษาทางธรรมเรียก วิญญาณขันธ ซึ่งเปนขันธสุดทายของ
ขันธ ๕ อันเปนสวนประกอบฝายที่ไมมีรูปราง (นาม) ของรางกายและจิตใจมนุษย ดิฉันได
เรียกขันธนี้วา ตัวใจ หรือ ตาใจ แทนคําวา ใจ เฉย ๆ เพื่อใหสอดคลองกับขอเปรียบเทียบ
ตาง ๆ ที่นําเขามาใชโดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อพูดถึงการปฏิบัติสติปฏฐาน ๔ ซึ่งภาษาของ
ดิฉันคือ “การพาตัวใจกลับบาน” เพื่อความเขาใจที่ชัดเจนมากขึ้น2
ขอใหดูรูปขางลางนี้ ซึ่งแสดงใหเห็นความแตกตางของขันธ ๕ หรือ รางกายจิตใจ
ระหวางคนที่ตัวใจทํางานกับตัวใจไมทํางาน

ภาพที่ ๑
ตัวใจ -- จิต -- ตัวกาย = มีชีวิต = มีจักรวาล
เขียนภายใตภาพวา ขันธ ๕ หรือ รางกายจิตใจ ของคนที่ไมไดนอนหลับสนิท ไมไดหมดสติ
ไมไดอยูในอาการโคมา และไมไดตายเปนเชนนี้ จึงรับรูโลกและจักรวาล จึงมีชีวิต

ภาพที่ ๒
ตัวกาย = ไมมีชีวิต = ไมมีจักรวาล
เขียนภายใตภาพวา คนหลับสนิ ท คนหมดสติ คนที่อยูในอาการโคมาและ คนตายนั้น ความ
รูสึกตัว หรือ ตัวใจ ไมทํางาน แมรางกายยังทํางานอยู(ยกเวนคนตาย) แตก็เหมือนไมมีชีวิต
ไมสามารถรับรูโลกและจักรวาล ถึงแมโลกและจักรวาลจะยังมีอยูสําหรับคนอื่น ๆ แตไมมี
อยูกับผูที่อยูใ นสี่อาการนี้

จากการดูภาพขางบนนี้ คุณจะเห็นไดอยางชัดเจนวา ตัวใจหรือความรูสึกตัวของ


มนุษยนี้เปนตัวกําหนดให “มีชีวิต” หรือ “ไมมีชีวิต” การหายใจและการทํางานของรางกาย
ไมไดเปนตัวตัดสิน “การมีชีวิต” ที่แทจริง เพราะตัวใจทํางาน จึงกอใหเกิดหนวยงานของ
การรับผัสสะทั้งหมด the whole network of perceptions ชีวิตจึงเกิด และทําใหทารก
เปน ๆ ตางจากเด็กทารกที่ตายตั้งแตคลอด ถึงแมเด็กที่ตายตั้งแตคลอดลวนมีสะพานอันคือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย แตเมื่อไมมีตัวใจ หรือ ความรูสึกตัวแลวละก็ สะพานเหลานี้ก็เหมือน
สะพานหักที่ไมมีประโยชน ไมสามารถเชื่อมจักรวาลภายนอกกับจักรวาลภายในใหพบกันได
จึงไมมี “วิถีชีวิต” และ “การดํารงอยูของชีวิตประจําวัน” ฉะนั้นคุณจะเห็นไดวา ตราบใดที่ไม
มี “ตัวใจ” หรือ “ความรูสึกตัว” แลวละก็ การรับผัสสะจะไมมี จักรวาลจึงดับวูบลงทันที

คุณเห็นหรือยังวา การพูดวา มนุษยทุกคนลวนเปนศูนยกลางจักรวาลของตนเองนั้น


ไมใชเปนเรื่องผิดหลักเหตุผลแตอยางใดเลย ถึงแมจะเปนการสรุปที่โลกแหงวิทยาศาสตร
ไมยอมรับก็ตาม ดิฉันก็ไมคิดวาสําคัญ เพราะบทสรุปของนักดาราศาสตรที่เนื่องกับจักรวาล
ในบัดนี้ก็ยังเปนความจริงในระดับสัมพัทธเทานั้น ไมใชความจริงสุดยอดในระดับอันติมะ

1
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คือความหมายของคําวา รูป ของพระพุทธเจา รูปที่มักใชควบคูไปกับนาม หรือ รูปที่
เปนสวนหนึ่งของขันธ ๕ นามในที่นี้คือ จิต ความคิด ความจํา ความรูสึก และ ใจ ความรูสึกตัว ซึ่งเปนนามขันธ
ทั้ง ๔ ขันธ ๕ จึงรวมเรื่องชีวิตและจักรวาลทั้งฝายรูปและนามไวทั้งหมด
2
ขอใหอานเรื่องขันธ ๕ หนา.........ในบทที่สองของหนังสือเลมนี้

41
ultimate ในอนาคต หากการเดินทางอวกาศทําไดงายขึ้นแลว มีเครื่องมือที่กาวหนาและ
ฉลาดมากกวายุคสมัยนี้ การคนพบปรากฏการณใหม ๆ ยอมมีมากขึ้น ฉะนั้น บทสรุปของนัก
ฟสิกสและนักดาราศาสตรเกี่ยวกับโลกและจักรวาลที่เราอยูนี้อาจจะตองเขียนใหมหมดก็
เปนไดเหมือนความรูและประวัติศาสตรอื่น ๆ ที่ตองแกไขกันอยูเสมอเมื่อวิทยาศาสตร
กาวหนามากขึ้น ฉะนั้น การวิเคราะหชีวิตที่เกี่ยวของกับโลกและจักรวาลในแนวนี้จึงควรเปน
แนวทางที่ไดรับการสนับสนุน เพราะทําใหความรูเรื่องจักรวาลกลายเปนเรื่องใกลตัวมาก
พรอมทั้งแกปญหาชีวิตไดดวย

เขาใจผัสสะ เขาใจจักรวาล
เพราะมีความรูสึกตัว หรือ มีตัวใจ อายตนะภายในทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จึง
ทํางาน จึงกอใหเกิดการรับผัสสะ ขอใหดูสมการขางลางนี้

ความรูสึกตัว (ตัวใจ) = การรับผัสสะ = ชีวิต = โลกและจักรวาล

คุณจะเห็นไดวา หากเราสามารถเขาใจเรื่องการรับผัสสะ perceptions ของเราแลว


ละก็ เราจะสามารถเขาใจชีวิตและจักรวาล ฉะนั้น การที่จะหาพรมแดนสุดทายของจักรวาล
หรือ สัจธรรมอันสูงสุดพบหรือไมนั้นอาจจะขึ้นอยูที่ความเขาใจเรื่องการรับผัสสะของเราก็ได
The issue of finding the final frontier as the ultimate truth depends entirely on
the understanding of our perceptions.
สิ่งเหลานี้คือประเด็นที่ดิฉันอยากพูดในบทความนี้ ดิฉันจะเริ่มเชื่อมคําและวลีตาง ๆ
ที่คุณไดคุนเคยแลวในหนังสือเลมนี้เพื่อใหคุณเห็นวา ความรูสึกตัวของเรากับการรับผัสสะ
นั้นมีสวนเกี่ยวของกับการเดินทางไปถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลไดอยางไร สิ่งที่ดิฉัน
สรุปยอมตั้งอยูบนพื้นฐานของความรูของดิฉันในสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดที่ดิฉันไดเห็นแลว
จึงมีความมั่นใจที่จะสรุปเชนนี้ได

ความรูสึกตัวบริสุทธิ์ = ผัสสะบริสุทธิ์ = ถึงพรมแดนสุดทาย = ถึงสัจธรรมสูงสุด = กําลัง


เคลื่อนไปพรอมกับที่นี่ เดี๋ยวนี้

ความรูสึกตัวไมบริสุทธิ์ = ผัสสะไมบริสุทธิ์ = ไมถึงพรมแดนสุดทาย = ไมถึงสัจธรรม =


ติดอยูในกลองความคิดของอดีตและอนาคต

แนะนําจุด ก, ข, ค
เพื่อใหคุณเห็นความสัมพันระหวางการรับผัสสะกับความคิดของมนุษย ดิฉันจะ
อธิบายดวยภาพประกอบ จึงขอแนะนําจุดตาง ๆ ที่เกี่ยวของเสียกอน
1. จุด ก คือ ตําแหนงที่คุณกําลังอยู จะเปนการนั่ง เดิน ยืน นอน ก็ได จึงเปน
ตําแหนงที่คุณกําลังใชตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ของคุณ เพื่อรับผัสสะ
perceiving sense objects
2. จุด ข จะสมมุติใหเปนกระดาษแข็งสีขาวกอน ซึ่งสามารถคงความเปน
กระดาษเปลา ๆ เมื่อมีการรับผัสสะบริสุทธิ์ หรือ สามารถกลายเปนประตูเปด
เขาไปสูทอแหงความคิดเมื่อการรับผัสสะไมบริสุทธิ์ จุด ข จึงเปนทุกสิ่งทุก
อยางที่คุณกําลังรับรู หรือ รับผัสสะอยู the objects of your perceptions
เชน คนรักที่กําลังยืนเบื้องหนาคุณ รูปที่ติดอยูฝาผนัง ตนไม ภาพของ
ดวงดาวระยิบระยับในทองฟา เสียงเพลงโปรดของคุณ กลิ่นกาแฟ กลิ่นปลา
เค็ม รสมะนาว หรือ ความรูสึกคมแหลมของเปลือกทุเรียน หรือ ความรูสึกที่

42
ออนนุมของผิวหนังเด็ก ซึ่งเมื่อพูดรวมกลุมแลว กระดาษแข็งสีขาวนี้ คือ รูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัสของคุณนั่นเอง
3. จุด ค สมมุติเปนทอกระดาษแข็งยาว ๑๐ นิ้ว จะสมมุติใหมันเปนการใช
ความคิดของมนุษยที่กอใหเกิดการแสวงหาและสะสมความรูทางโลก
intellectual knowledge ซึ่งขบวนการแสวงหาความรูทางโลกเริ่มตั้งแตการ
รับผัสสะ (perception) การเฝาสังเกตการณ observation การสํารวจ
exploration วิจัย research บันทึกเหตุการณ recording ขอมูล และ
วิเคราะหดวยวิธีการของการใชเหตุผล reasoning และ ตรรกะ logic
จนกระทั่งมีการสรุปออกมาเปน ขอเท็จจริง facts และ ความจริง truth พูด
งาย ๆ ก็คือ ทอกระดาษยาวสิบนิ้วนี้เปนตัวแทนของการหาวิชาความรูทาง
โลกโดยวิธีการทางวิทยาศาสตรที่ตั้งอยูบนพื้นฐานของการใชความคิดและ
การผลิตความคิดเปนแกนหลัก

รูปขางลางนี้แสดงใหเห็นถึงตําแหนง ก,ข,ค ดังกลาว

วาดรูป ที่ ๓ ที่แนบมา

มีการรับผัสสะสองชนิด Two types of perceptions


ทีนี้ เรามาดูวิธีการรับผัสสะของมนุษย เมื่อคุณยืนอยู ณ จุด ก และมองไปที่จุด ข
หรือ แผนกระดาษสีขาว สิ่งที่คุณตองทําความเขาใจคือ คุณสามารถรับผัสสะไดสองวิธี คือ
๑. ประสบการณโท คือ ทันทีที่ตาเห็นลูกกลม ๆ ลูกหนึ่ง จะมีเสียงกองอยู
ในหัวของคุณทันทีวา ลูกบอล หรือ คุณไดยินเสียง คุณก็ไดยินเสียงใน
หัวพูดวา “เออ เพลงนี้เพราะดี” หรือ คุณไดกลิ่น คุณก็ไดยินเสียงในหัว
พูดวา “ใครทอดปลาเค็มอีกแลว” เปนตน เสียงพูดในหัวนั้นก็คือ
ความคิดนั่นเอง ดิฉันจะเรียกประสบการณรับผัสสะเชนนี้วา ผัสสะไม
บริสุทธิ์ หรือ ประสบการณโท
๒. ประสบการณเอก คือ ทันทีที่ตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกไดกลิ่น ลิ้นได
รส กายไดสัมผัส ในหัวจะไมมีเสียงพูด จะเงียบกริบ ไมมีแมแตคํา ๆ
เดียว ถาเห็นอะไร ก็เห็นเฉย ๆ เห็นสักแตวาเห็น ไดยินเฉย ๆ ไดกลิ่น
เฉย ๆ เปนตน ประสบการณเชนนี้เรียกวาการรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ ซึ่ง
ดิฉันจะเรียกวาประสบการณเอก

เริ่มซับซอน
คุณอาจจะเริ่มคิดแลววา ประสบการณเอกเปนเรื่องที่เปนไมได มีหรือที่เวลาคุณเห็น
สิ่งของ หรือ ไดยินเสียงแลวจะไมมีการพูด การคิดในหัว คุณอาจคิดวาประสบการณเชนนี้คง
จะเกิดกับคนที่สมองฝอ ไมทํางานแลวเทานั้น ที่ฝรั่งเรียก brain dead ตรงนี้แหละ คุณ
อาจจะเปนฝายเขาใจผิดเสียเองก็ได ฉะนั้น อยาเพิ่งคิดวาดิฉันพูดอะไรเพอเจอ เพราะ
ประสบการณเอกเปนสิ่งที่เปนไปไดทีเดียว เกิดไดจริงหากมีการฝกสติปฏฐานสี่หรือฝก
ทักษะเรื่องพาตัวใจกลับบานที่ดิฉันพูดเสมอ นี่เปนภูมิปญญาลึกซึ้งที่คุณยังเขาไมถึง จึงไมรู
วาประสบการณเชนนี้มีอยู อาจารยสอนวิปสสนาจะสามารถสอนคุณไดวาประสบการณเอก
นั้นตองทําอยางไรและแตกตางจากประสบการณโทอยางไร คุณอาจจะลองทําเองก็ได แต

43
ดิฉันไมคิดวาคุณจะสามารถแยกแยะประสบการณทั้งสองนั้นไดโดยไมมีคําแนะนําของครูบา
อาจารย แมเห็น ๆ อยูก็ตาม
ลูกศิษยที่ไดมาเรียนรูเรื่องการพาตัวใจกลับบานกับดิฉันจนสามารถเขาบานที่สี่ได
แลวนั้นจะทราบวา ประสบการณเอกเปนเรื่องที่เปนไปได เปนขอเท็จจริงที่เขาทําได ซึ่งในป
หลัง ๆ นี้ดิฉันคอนขางมั่นใจวาประสบการณเอกจะตองเปนเรื่องที่สอนและถายทอดกันอยาง
เห็นหนากันเทานั้น จะดวยวิธีการอื่นไมได ฉะนั้น หากคุณยังไมไดเรียนรูกับดิฉันแลวละก็
คุณอาจจะไมอยากเห็นดวย ซึ่งดิฉันตองขอรองใหคุณชวยทําใจโดยแกลงเห็นดวยกับดิฉัน
ไปกอน มิเชนนั้นแลว ดิฉันจะอธิบายตอไมได

ถึงพรมแดนสุดทายทันที
เมื่อใดที่คุณยืนอยู ณ จุด ก และมองไปที่จุด ข ดวยประสบการณเอกแลวละก็ เมื่อ
นั้นผัสสะของคุณจะบริสุทธิ์ ฉะนั้น คุณไดถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลแลว เขาถึงสัจ
ธรรมแลว กําลังเคลื่อนไปกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถึงนิพพานแลว ถึงพระเจาแลว เรื่องจบทันที หมด
เรื่องพูด กรุณาดูรูปขางลาง

วาดรูปที่ ๔

ผูรูจริงทุกทานจะพูดตรงกันหมดวา ภู มิปญญาที่ลึกซึ้งที่สุดของจักรวาลมีความลึก
เทาผิวหนังคือ ไมมีความลึกแตอยางใดเลย เพราะสัจธรรมอันสูงสุดไดอยูเบื้องหนาของทุก
คนแลว เหมือนการหาคําตอบของปญหาเชาวน ซึ่งคนสวนมากมักมองขาม หากไมมีผูรูจริง
มาบอก นี่คือเหตุผลที่วาทําไมการคนหาสัจธรรมจึงกลายเปนเรื่องยากมากจนถึงกับตองใช
เวลาทั้งชีวิตหรือโดยหลักศาสนาพุทธก็ตองเดินทางมาหลายภพหลายชาติ กวาจะรู
ขอเท็จจริงนี้ได หากพระพุทธเจาดําริไมสอนหลังการตรัสรูละก็ คนก็มืดมน ไมมีทางรู
ขอเท็จจริงนี้แนนอน

ประสบการณโท
ทีนี้ เราลองมาดูความแตกตางที่เกิดกับชีวิตของเราเมื่อยืนอยู ณ จุด ก และมี
ประสบการณโท ทันที่ที่คุณรับผัสสะและมีความคิดในหัวโดยเรียกสิ่งนั้น ๆ ยอมหมายความ
วาผัสสะของคุณไมบริสุทธิ์แลว ผัสสะของคุณไดถูกทําใหดางพรอยแลวโดยความคิดของ
คุณซึ่งกําลังจะถูกแปลงออกมาเปนคําพูดในภาษาตาง ๆ ที่หลากหลาย
ทันทีที่ประสบการณโทเกิดขึ้น เปรียบเทียบไดวา กระดาษแข็งสีขาวนั้นได
กลายเปนประตูที่เปดได และประตูนั้นก็เปดออกมาเชื้อเชิญใหคุณเขาไปทันที คุณก็อด
ไมไดที่จะละทิ้งจุด ก ที่คุณยืนอยูและเดินเขาไปในทอกระดาษแข็งนั้นซึ่งตอไปนี้ดิฉันจะ
เรียกวาทอแหงความรูทางโลก the tube of intellect นี่เปนจุดหัวเลี้ยวหัวตอที่จะทําใหชีวิต
ของคุณเรียบงาย ซับซอน ยุงเหยิง ทุกขมากหรือนอย ก็อยูที่จุดหัวเลี้ยวหัวตอนี้เอง ความ
อยากรูอยากเห็น curiosity อยากหาความรูทางโลก จึงกลับกลายมาเปนความมืดมนเสียเอง
เพราะสวนปลายสุดของทอแหงความคิดนี้เปนทางตัน!

วาดรูปที่ ๕

เมื่อคุณโทกับคุณเอกมองทองฟาในคืนเดือนมืด
ทีนี้ ดิฉันจะยกตัวอยางโดยสมมุติใหมีนักศึกษาระดับปริญญาเอกสองคนชื่อคุณเอก
และคุณโท ซึ่งทั้งสองคนกําลังทําปริญญาเอกสาขาดาราศาสตร และกําลังยืนอยูที่จุด ก ทั้ง

44
คู จะสมมุติตอวาคุณโทไมเคยศึกษาพระพุทธศาสนาและไมเคยปฏิบัติสติปฏฐานมากอน
ในขณะที่คุณเอกศึกษาพระพุทธศาสนาและปฏิบัติวิปสสนามาหลายปแลว สามารถฝก
ทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานจนสามารถเขาบานที่สี่ไดนานสักระยะหนึ่งแลว คือสามารถ
รับผัสสะบริสุทธิ์ไดแลว รูจักสภาวะของประสบการณเอกเปนอยางดีแมทําไมไดตลอดเวลาก็
ตาม สวนคุณโทยังไมรูดวยซ้ําไปวาผัสสะบริสุทธิ์คืออะไร ตองทําอยางไร ยังเปนทารกใน
โลกแหงธรรม

สมมุติตอวา ทีจ
่ ุด ก คุณเอกกับคุณโทกําลังยืนอยูกลางทุงกวางที่ถูกครอบดวย
ทองฟาที่มีดาวสวางระยิบระยับในคืนเดือนมืด ทันทีที่คุณโทหงายหนาขึ้นมองทองฟา เขาก็
ทําเหมือนกับนักดาราศาสตรทั่วไปที่กําลังทําปริญญาเอกอยู นั่นคือ ขบวนการใชความคิด
เริ่มตนอยางเปนธรรมชาติของมันเอง เพราะคุณโทมีความทรงจํามากมายในความรูดานดารา
ศาสตรของเขา จึงเริ่มเรียกชื่อของดาวเคราะหที่เดน ๆ เชน ดาวศุกร ดาวพุธ ดาวอังคาร
รวมไปถึงชื่อของดาวฤกษและกลุมดาวฤกษตาง ๆ ที่เขารูจัก คุณโทจะสามารถพูด วิเคราะห
วิจารณ เรื่องเกี่ยวกับดวงดาวในทองฟาไดมากมาย การทําเชนนี้ของคุณโทจึงเปรียบไดวา
แมคุณโทไดยืนที่จุด ก แตเพราะเขาดูไปที่แผนกระดาษสีขาว (จุด ข) ดวยประสบการณโท
กระดาษแผนสีขาวนั้นจึงกลายเปนประตูเปดออกทันที ซึ่งเชื้อเชิญใหคุณโทละจากจุด ก
เดินเขาไปในทอแหงความรูทางโลก หรือ จุด ค นั้นทันที และเขาก็ยืนอยู ณ จุด ๆ หนึ่งใน
ทอแหงความรูนี้

วาดรูปที่ ๖
แสดงภาพของคุณโทกําลังยืนอยูชวงกลาง ๆ ของทอแหงความคิด

ทางเลือกสองทางกับหนึ่งทาง
สวนคุณเอกนั้น ถึงแมวา เขาจะเปนนักศึกษาปริญญาเอกสาขาดาราศาสตรเหมือน
คุณโทก็ตาม แตเปนเพราะเขาไดฝกวิปสสนา ฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานจน
สามารถรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ไดแลวแมจะเปนเพียงชวงสั้น ๆ ก็ตาม อยางนอย คุณเอกมี
ทางเลือกไดสองทาง ณ ตําแหนง ก คุณเอกสามารถมองไปที่แผนกระดาษสีขาวดวย
ประสบการณเอกก็ได หรือ ประสบการณโทก็ได คือคุณเอกสามารถมองไปยังทองฟาที่
ประดับดวยแสงดาวระยิบระยับ และมองมันอยางไมตองใชความคิดเลย คือ มองเฉย ๆ เห็น
ก็สักแตวาเห็น หรือมีผัสสะที่บริสุทธิ์นั่นเอง ในกรณีนี้ เปรียบเทียบไดวา แผนกระดาษสีขาว
นี้ไมไดถูกเปลี่ยนเปนประตูแตอยางใด คุณเอกยังสามารถยืนอยูที่จุด ก โดยไมตองเขาไป
ในทอแหงความรูทางโลก
ในขณะเดียวกัน คุณเอกก็ยังมีทางเลือกที่จะใชความคิดของเขาไดหากเขาตองการ
นั่นคือ เขาสามารถละจากจุด ก และเดินเขาไปในทอแหงความรู ยืนเคียงขางคุณโท คุย
เรื่องเกี่ยวกับดวงดาวบนทองฟาตามประสาคนเรียนปริญญาเอกในสาขาดาราศาสตรดวยกัน
หากถึงจุดหนึ่งที่คุณเอกรูสึกพอแลว ไมอยากใชความคิดมาก พูดมากอีกตอไป คุณเอกก็
สามารถพาตัวใจของเขากลับบานไดเชนกัน ในขณะนั้นเอง คุณเอกก็สามารถกลับมาอยูที่
จุด ก อีกตามเดิม สามารถกลับมารับผัสสะอยางบริสุทธ โดยมองทองฟาอยางผอนคลาย
มองเฉย ๆ ไมมีเสียงพูดในหัวแมแตคําเดียว

วาดรูปที่ ๗ แสดงคุณเอกกําลังรับประสบการณเอก หรือ รับผัสสะบริสุทธิ์อยูที่จุด ก

45
วาดรูปที่ ๘ แสดงคุณเอกรับประสบการณโท และ กําลังยืนเคียงขางกับคุณโทในทอ
แหงความคิด หรือ จุด ค

คุณจะเห็นไดวาในขณะที่คุณโทมีทางเลือกเพียงทางเดียวคือ การใชสมอง ใช


ความคิดนั้น คุณเอกมีทางเลือกถึงสองทาง คือ จะใชสมอง ใชความคิดก็ได หรือ จะไมคิดก็
ได ซึ่งประการหลังเปนสิ่งฟุมเฟอยที่คุณโทไมมี เพราะคุณโทไมรูจะหยุดความคิดได
อยางไร เนื่องจากเขายังไมเคยรูเรื่องเปาหมายของชีวิตและยังไมเคยฝกวิปสสนา จึงไมรูวา
การดูทองฟาเฉย ๆ โดยไมตองใชความคิดเปนประสบการณที่มีอยู

ปญหาที่ปญญาชนรูดี
ปญญาชนลวนรูดีวา การใชความคิดและปลอยใหตนเองคิดมากนั้นงายกวาการไมคิด
หรือหยุดคิด ปญญาชนบางคนอาจจะคิดวา คงไมมีประสบการณที่เรี ยกวา ทําใจใหนิ่ง ๆ
เงียบ ๆ เสียดวยซ้ําไป เพราะระบบการศึกษาทางโลกลวนกระตุนใหคนคิดมาก คิดเกง ซึ่ง
เห็นเปนเรื่องดี แตไมไดสอนเรื่องการหยุดความคิดเมื่อตองการจะหยุด ความทุกขของคน
สวนมากเกิดเพราะคิดมากและหยุดคิดไมไดมากกวาคิดนอยและคิดไมเปน คนคิดนอยจะ
ทุกขนอยกวาคนคิดมาก ปญหาสังคมจึงเกิดเมื่อคนคิดมากในเรื่องที่เจ็บปวด เปนทุกข แลว
หยุดคิดไมได ทําไมเปน เพราะระบบการศึกษาของโลกไมไดสอนวิชาที่ชวยใหคนหยุดคิด
ซึ่งเปนเรื่องที่ผิดพลาดมาก เรื่องการคิดมาก คิดนอย หยุดคิด เปนเรื่องการฝกนิสัยของใจ
คือเรื่องการฝกสติปฏฐานสี่หรือการพาตัวใจกลับบาน ที่จําเปนตองเรียนรูกันอยางเปนระบบ
จึงจะแกปญหาชีวิตและสังคมได3

ถึงพรมแดนสุดทายดวยการมองเฉย ๆ
คุณจะเห็นไดวาที่จุด ก นั้น คุณเอกกับคุณโทกําลังหงายหนาขึ้นมองทองฟา
เหมือนกัน แตคุณเอกมองทองฟาในฐานะที่เปน “รูป” ที่เขามาทางตาเหมือนกับรูปมากมาย
ที่เขาเห็นในขณะที่เขาลืมตาอยู จึงเปนการมองทองฟาที่ไมตางจากการมองขวดน้ํา สุนัข
ตนไม ดอกไม ใบหนาของคุณโท รวมทั้งสิ่งอื่น ๆ มากมายอันเปน “รูป” ทั้งหลายที่ลวนเดิน
ผานเขามายังสะพานตา แมรูปรางหนาตารายละเอียดของสิ่งที่เขามองมีลักษณะที่
หลากหลาย แตสิ่งเหลานั้นก็ถูกรวบลงมาเหลือเพียงสิ่งเดียวคือ “รูป” ที่สามารถเดินผานเขา
มาทางสะพาน “ตา” ไดเทานั้น และก็เชนเดียวกับ “เสียง” ที่เขามาทางสะพาน “หู” “กลิ่น”
ที่เขามาทางสะพาน “จมูก” เปนตน การรับผัสสะเชนนี้ของคุณเอกคือ การรับผัสสะอยาง
บริสุทธิ์ รับรู “รูป” เฉย ๆ รับรู “เสียง” เฉย ๆ โดยไมตองคิด หรือ พูดอะไรในหัว ทําใหเขา
สามารถยืนอยูที่จุด ก โดยไมไดเปลี่ยนกระดาษสีขาวนั้นเปนประตูแตอยางใด ซึ่ง
หมายความวา คุณเอกไดเดินทางถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลแลวโดยไมตองเดินทาง
ไปไหนเลย เขากําลังเผชิญหนากับสัจธรรมอันสูงสุดแลว เปรียบเหมือนคุณเอกสามารถกลับ
บานเดิมหรือบานของพระธรรมชาติเจาไดแลว กําลังใชชีวิตอมตะอยูในแผนดินของพระเจา
กลายเปน “คนภายใน” แลว ไมใชคนเรรอนที่หาบานตัวเองไมเจอเหมือนคุณโท จักรวาล
ทั้งหมดไดหลอมรวมเปนหนึ่ง จักรวาลทั้งหมดจึงเคลื่อนไปกลายเปน ที่นี่ เดี๋ยวนี้

ใจ ไมมีความคิด (ไมมีจิต) กาย ---- ผัสสะบริสุทธิ์ = ถึงพรมแดนสุดทาย = ถึงสัจธรรม

3
ดิฉันจะเขียนเรื่องการปฏิบัติสติปฏฐานสี่อยางเปนระบบซึ่งจะเปนหนังสือเรื่อง คูมือชีวิต ภาควิปสสนา แตในขณะนี้ คุณสามารถอานเรื่องการปฏิบัติไดจาก หนังสือ
เรื่อง ใบไมกํามือเดียว อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน และบทสรุปจากการอบรมธรรมของดิฉันเรื่อง มาพาตัวใจกลับบานกันเถิด รวมทั้งบทความอื่น ๆ ที่ยังไมไดพิมพ
เปนเลมแตอยูในเว็บไซตของดิฉันแลว www.supawangreen.in.th

46
คุณโทเอง ก็อยากรูเรื่องพรมแดนสุดทายของจักรวาลหรือสัจธรรมเยี่ยงคุณเอก แต
ดวยความที่ไมมีความรูเรื่องวิปสสนา ทันทีที่เขามองทองฟาที่หมดวยผาดาวระยิบระยับผืน
นั้น คุณโทไมสามารถมองทองฟาในลักษณะที่เปน “รูป” ที่ไมมีอะไรแตกตางจาก “รูป” อื่น
ๆ เชน ตนไม ตู เกาอี้ หนังสือ แมว ใบหนาของคนรัก ฯลฯ เขาไมสามารถมองเฉย ๆ โดยไม
คิด ผัสสะของคุณโทจึงไมบริสุทธิ์

ใจ มีความคิด (จิต) กาย ---- ผัสสะไมบริสุทธิ์ = ไมถึงพรมแดนสุดทาย =ไมถึงสัจธรรม

เมื่อผัสสะไมบริสุทธิ์แลว คุณโทจึงมุดเขาไปหาพรมแดนสุดทายหรือสัจธรรมในทอ
แหงความรูทางโลกเสีย ซึ่งปญญาชนสวนมากคิดวาอยูในนั้น อยูในความรูที่กองเปนภูเขา
โดยที่ไมรูวาอวกาศที่กวางใหญไพศาลของจักรวาลนี้จะเปนทางตันไดอยางไร คุณคงเห็น
แลววา สิ่งที่มาขวางกั้นภูมิปญญาทางธรรมนั้น ไมใชอะไรอื่นเลย คือ ความรูทางโลกอันมี
รากเหงามาจากการคิดมากนั่นเอง

พบทางตัน
สาเหตุที่ดิฉันอยากแทนคําวา สัจธรรม ดวย พรมแดนสุดทาย เพราะดิฉันตองการให
คุณเห็นวา ที่ปลายสุดของทอแหงความรูทางโลกนี้เปนทางตัน มิใชที่โลง ๆ ที่เราคิดวามี
คําตอบหลากหลายยืนรอเราอยู โลกนี้จะมีคําถามมากกวาคําตอบอยูเสมอ There are more
questions than answers. การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดมิใชหมายความวา ผูรูนั้นสามารถตอบ
คําถามทุกเรื่องที่มนุษยตั้งขึ้นมาได แมพระพุทธเจาก็ยังปฏิเสธที่จะตอบปญหาบางอยางที่
ทานเรียกวา อจินไตย คือ คําถามที่ไมมีคําตอบ และไมไดชวยใหชีวิตดีขึ้น เชน จุดเริ่มตน
ของจักรวาลมาอยางไร ใครสรางโลกมนุษย จิตใจของพระพุทธเจาเปนอยางไร เปนตน
ผูที่หมดคําถามในตัวเองแลวหรือกลับบานเดิมอยางถาวรแลวเทานั้นจึงรูวาการไม
คิดถึงคําถามเปนคําตอบอยูในตัวมันเองแลว แตคนที่ยังถามในเรื่องที่ไมควรถาม ไมควรรู
(เพราะไมไดเกี่ยวของกับเรื่องของการดับทุกข) ยังอยากรูคําตอบของทุกเรื่องอยูละก็ จะ
ยอมรับคําตอบในรูปลักษณะของความเงียบ ของการไมถาม ของการรับผัสสะอยางบริสุทธิ์
นั้นยอมไมได ไมยอมเชื่อ
วันหนึ่ง หลังจากที่ดิฉันไดสอนพาใหลูกศิษยในชั้นไทเก็กเขาบานที่สี่ซึ่งเปนการรับ
ผัสสะอยางบริสุทธิ์แลว ดิฉันจึงสรุปใหพวกเขาวา หากเขาสามารถรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ได
เชนนี้ เขาไดเขาถึงพระเจาแลว ไดพบสัจธรรมอันสูงสุดแลว นักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่มักถาม
คําถามเสมอ มีใบหนาที่แสดงออกถึงความสับสน และถามดิฉันวา
เทานั้นหรือ Is that it?!
ดิฉันจึงตอบไปวา เทานั้นแหละ That is it!
ดิฉันจึงมักพูดย้ําใหนักศึกษาชาวตะวันตกของดิฉันเสมอดวยประโยคเหลานี้วา

หากสัจธรรมอันสูงสุดไมไดอยูตอหนาของคุณแลว คุณคิดวาคุณจะไปหามันไดที่
ไหนหรือ If you cannot find the truth right where you are, where do you think
you can find it?
ภูมิปญญาที่ลึกซึ้งที่สุดของจักรวาลมีความลึกเทาผิวหนัง คือไมมีความลึกเลย The
most profound wisdom in the universe is skin deep.

47
นี่เปนคําพูดที่ซ้ําซากของผูรูจริงของทุกยุคทุกสมัย ใครที่เห็นสัจธรรมจริง ๆ แลว จะ
พูดเชนนี้เหมือนกันหมด และไมใชเปนการพูดตาม ๆ เขา คนรูจริงจะมีวิธีการพูดประโยคเกา
ๆ ใหเปนประโยคใหม ๆ ของตนเอง เปนคุณสมบัติที่คนไมรูจริงจะทําไมได

รวบไมเปน ความรูจึงแตกซาน
การใชความคิดของปญญาชนนั้น ไมวาจะคิดไดเกงกาจอยางไร คิดไดลึกซึ้งหรือ
ซับซอนมากเพียงใด หากรูจักรวบมันลงมาแลว มันก็เปนเพียง “ความคิด” เทานั้น
เหมือนกับรูปที่มีมากหลากหลาย ก็คือ “รูปที่ผานเขามาทางตา” เทานั้น หรือ เสียง
หลากหลายก็คือ “เสียงที่ผานเขามาทางหู” เทานั้น แตนักคิดทั้งหลายก็มองไมออกเพราะ
ขาดความรูทางธรรมนั่นเอง จึงเห็นความคิดในกลุมความรูทางโลกเปนเรื่องตื่นเตน นาสนใจ
นาแสวงหา อยากรูอยากเห็นอยูร่ําไป

โดยธรรมชาติของความคิดมีลักษณะเปนมายา คือหลอกคนได หลอกใหเราเห็นวานี่


เปนเรื่องสําคัญ เรื่องจริง แตมันไมจริง เปนเพียง “ความคิด” เทานั้น ที่ตกอยูภายใตกฏแหง
ความไมแนนอนของธรรมชาติ จึงเปลี่ยนแปลง พลิกไปพลิกมาไดเสมอ ไมวาจะคิดเรื่อง
อะไรก็แลวแต ลวนถูกมายาหลอกเอาทั้งสิ้น ฉะนั้น การแสวงหาคําตอบเรื่องชีวิตและ
จักรวาลจึงไมสามารถพบไดดวยวิธีการคิดเทานั้น แตเปนเรื่องที่ตองเริ่มตนจากการรับฟงผูรู
จริงเสียกอน
ดิฉันจึงรวบความคิด ความจํา ความรูสึก ทั้งหมดใหลงมาเหลือเพียงคํา ๆ เดียวคือ
จิต และแทนมันดวยตัวการตูนที่ชื่อ เจอรี่ เทานั้น หากคุณรวบไดเชนนี้ คุณจะพบสัจธรรมเร็ว
ขึ้นมาก

ภาพถายเหลานี้มีความหมายตอมนุษยชาติอยางไร
ไมกี่ปกอน มีรายงานขาววา ดาวเทียมเล็ก ๆ ที่เขาเรียกวา probe ที่สงออกจาก
องคการนาสาไปราวสองหรือสามทศวรรษกอนนั้นไดเดินทางไปถึงดาวพฤหัส Jupiter แลว
และไดสงภาพถายดานหลังของดาวพฤหัสกลับมา ซึ่งเปนครั้งแรกที่นักดาราศาสตรเห็นภาพ
ดานหลังของดาวเคราะหยักษดวงนี้ ทันทีที่นักดาราศาสตรเหลานี้เห็นภาพถายเท านั้น ตางก็
ตื่นเตน ดีใจมากจนบางคนถึงกับน้ําตาไหล คนหนึ่งบอกนักขาววา

“คุณรูไมวา ภาพถายเหลานี้มีความหมายตอมนุษยชาติอยางไร”
Do you know what these pictures mean to humanity?

ดิฉันฟงแลวก็รูสึกงง ไมเขาใจวาภาพถายเหลานั้นจะมีความสําคัญตอมนุษยชาติได
อยางไร เพราะหากเอารูปเหลานี้ไปใหคนจนที่หาเชากินค่ําหรืออดมื้อกินมื้อดู และถามเขา
วาจะเอารูปถายหรืออาหาร คุณตองรูวาเขาจะเลือกอะไร ในขณะที่โลกกําลังวุนวายดวย
ปญหาที่ทําใหคนเปนทุกขมากอยูทุกหยอมหญาเชนนี้ ภาพถายดานหลังของดาวพฤหัสจะมี
ความหมายอะไรตอมนุษยชาติ ดิฉันก็นึกไมออก คุณละ นึกออกไม
นอกจากนั้น ปญญาชนที่กําลังติดอยูในทอแหงความรูทางโลกนั้นจะสรางอัตตา
ตัวตน ego ใหตนเองอยางไมรูตัว เพราะถูกความคิดของตนเองหลอกเอา ในขณะที่เขาคิด
เหมาเอาวา เขารูมาก รูกวาง รูเรื่องสําคัญเพียงเพราะมีปริญญายาวเปนหางวาวนั้น คนที่รู
จริงเพราะมีภูมิปญญาทางธรรมจะมองออกวา ที่จริงแลว คนเหลานี้กําลังติดอยูในโลกแคบ
ๆ ของความรูของตนเอง แตละคนกําลังใสแวนตางสีและกําลังมองโลกผานสีแวนของ
ตนเอง จึงทะเลาะถกเถียงกันมากวาฉันถูก เธอผิด ซึ่งทุกคนถูกหมด เพราะนั่นคือสิ่งที่เขา
เห็นจริงโดยผานสีแวน ซึ่งเปนความจริงแบบสัมพัทธเทานั้น จึงทําใหทุกคนเห็นผิดหมด

48
เพราะตราบใดที่ยังไมยอมถอดแวนตางสีและหัดมองโลกตามที่มันเปนจริงแลวละก็ จะไมมี
วันเห็นของจริง ๆ เด็ดขาด
ทอแหงความรูทางโลกจึงมีขอบเขตที่จํากัดมาก ตราบใดที่เปนเรื่องการใชความคิด
แลว จะตองถูกหลอกไมทางใดก็ทางหนึ่งแนนอน ความรูทางโลกจึงเปนทอตันที่ไมมี
ทางออกหากไมยอมรับฟงผูรูนําทางให

สรุป
คุณคงจะเห็นแลววา การรับผัสสะและความคิดของมนุษยเรามีความเกี่ยวของกับ
การรูสัจธรรมอันสูงสุดหรือการไปถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลไดอยางไร บทความนี้ยอม
ชี้ใหคุณเห็นอยางชัดเจนวา ความคิดของมนุษยนี้เองเปนตัวแปรที่จะทําใหผูแสวงหาไปถึง
พรมแดนสุดทายของจักรวาลไดหรือไม ซึ่งในที่สุด ก็รวบลงมาเหลือเพียงเรื่องเดียวเทานั้น
คือ การฝกสติปฏฐานสี่ หากใครสามารถฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานไดเทานั้น
ผูปฎิบัติก็จะถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลทันทีโดยไมตองเดินทางเลย

ผูรูจริงสามารถกระโดดไดเหมือนเสือในขณะที่กําลังนั่งอยู
The enlightened one can leap like a tiger while still sitting.

49
บทที่หา
ทอแหงความรูทางโลก
The Tube of Intellect
ในบทกอน ดิฉันไดพูดถึงคุณเอกกับคุณโทยืนอยู ณ จุดเอ ในขณะที่คุณเอกสามารถ
รับผัสสะอยางบริสุทธิ์ไดนั้น คุณโทกลับทําใหแผนกระดาษสีขาวนั้นกลายเปนประตู และเขา
ก็เดินเขาไปในทอแหงความรูทางโลกนั้น ยืนอยูในทามกลางความคิดและความรูมากมาย
วันนี้ ดิฉันจะเนนเรื่องทอแหงความรูทางโลก

ความสัมพันธระหวางความคิด คําพูด และภาษา


กอนเขาเรื่อง คุณตองทราบกอนวา ความคิด คําพูด และภาษาเปนเรื่องเดียวกัน
หมด แตตางขั้นตอนเทานั้น คําพูดและภาษาเปนผลของความคิด หรือ จะพูดวา ความคิดก็
คือ คําพูดที่อยูในหัวนั่นเอง เมื่อตองการสื่อสารเสียงที่อยูในหัว มันจึงออกมาเปนคําพูด ซึ่งก็
คือภาษาตาง ๆ นั่นเอง เชน วัตถุลูกกลม ๆ ที่คนไทยเรียกวา ลูกบอล นั้น สามารถเรียกมัน
ไดถึงรอยกวาภาษา ขึ้นอยูที่วัฒนธรรมภาษาที่คุณอยู แตรอยกวาภาษาที่พูดออกมานั้นก็
ลวนเปนสื่อแทนความคิดหนึ่งเดียวในหัวอันเปนผลของการเห็น “ลูกบอล” หนึ่งลูกที่เห็นอยู
เบื้องหนาเทานั้น

คุณคงอยากรูวา แลวความคิดของลูกบอลมาไดอยางไร มันก็มาจากผัสสะนั่นเอง


ทุกครั้งที่คุณเห็นรูป ไดยินเสียง ไดกลิ่น รส และสัมผัส ซึ่งเรียกใหมวา “โลกภายนอกหรือ
จักรวาลภายนอก” สิ่งเหลานั้นก็เดินผานสะพานที่เปนคูสรางคูสมของมัน ทําใหโลก
ภายนอกเขาถึงโลกภายในของเราได โลกภายนอกเหลานั้นจึงถูกลดลงเหลือสิ่งที่ไมมี
รูปราง (นาม) คือ กลายเปนความจํา ความคิด ความรูสึก ที่เนื่องกับลูกกลม ๆ ที่เห็นนั้น ใน
บทที่หนึ่ง ดิฉันไดพูดแลววา ไอนสไตนเปนนักฟสิกสคนแรกที่ยืนขึ้นมาพูดอยางสงาผาเผย
วา มวลกับพลังงานเปนสิ่งเดียวกันแตตางรูปแบบเทานั้น
e=m
energy = mass
ซึ่งเปนหัวใจหลักของสูตร e=mc2 ที่นํามาสรางพลังงานมหาศาล การคนพบเรื่องความ
เหมือนกันของพลังงานกับมวลสารนี้สามารถนํามาอธิบายความรูเรื่อง “รูปนาม” ของ
พระพุทธเจาไดอยางเหมาะเจาะ ราวกับวาพระพุทธเจาเขาใจเรื่องนี้กอนไอนสไตนเสียดวย
ซ้ําไป ดิฉันจะนําคําตาง ๆ ที่เกี่ยวของมาเรียงใหคุณเห็นอยางชัดเจน ดังนี้

รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = รูปธรรม = โลกภายนอก = จักรวาลภายนอก = รูป = m


ความคิด ความจํา ความรูสึก = นามธรรม = โลกภายใน = จักรวาลภายใน = นาม = e

ฉะนั้น การเห็นลูกบอลจนกอใหเกิดความคิดเรื่องลูกบอลจึงเปนสิ่งเดียวกัน เมื่อคุณ


แมเห็นใบหนาของลูกนอย ไดยินเสียงลูกรองไหหรือหัวเราะ ไดกลิ่นแปงเด็กบนตัวลูก ได
สัมผัสความออนนุมนวลเนียนของผิวหนังลูก จึงมีความคิด ความจํา ความรูสึกที่เกีย ่ วกับลูก
นอยที่ไรเดียงสาของคุณ คุณจะเห็นไดวา ผัสสะและความคิดจึงเปนสิ่งเดียวกัน แตตาง
รูปแบบกันเทานั้น ฉะนั้น คําพูดและภาษาของคุณแมที่เกี่ยวของกับลูกจึงเปนเรื่องเดียวกัน
ดวย จะไดสมการดังนี้

50
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (ผัสสะ) = ความคิด ความจํา ความรูสึก
คําพูด ภาษา = ความคิด ความจํา ความรูสึก

โลกภายนอก, จักรวาลภายนอก = โลกภายใน, จักรวาลภายใน


รูปธรรม = นามธรรม
รูป = นาม
Mass = energy

การรูวารูปกับนามเปนสิ่งเดียวกันเชนนี้ คุณสามารถเรียนรูโลกภายในของมนุษยที่จับ
ตองไมไดโดยผานสิ่งที่คุณจับตองได นั่นคือ รูป หรือ มวล เชน หากคุณตองการรูวา คน ๆ
นี้เขาคิดและรูสึกอะไร อยางไร คุณตองไปดูที่คําพูด และ ภาษาของเขา เหมือนชายหนุมที่
เปนโรคจิตที่นั่งรถไปกับดิฉัน หากเขาไมยอมพูดอะไรเลยแลว ดิฉันจะอานสภาวะจิตใจของ
เขาไมไดวา จิตใจของเขาอยูใกลไกลจุดปกติมากแคไหน แตถาเขาไดพูดแลว และถาพูด
มากดวย ดิฉันจะอานความคิด ความจํา ความรูสึกของเขาไดดีมากขึ้น เราจึงมักพูดว า
สายตาของมนุษยเปนหนาตางของจิตใจ จริงมากทีเดียว สายตาคนเปนเรื่องของรูป mass
เราสามารถอานความคิด ความรูสึก ซึ่งเปนเรื่องนาม energy โดยผานสายตาของคนที่เรา
พูดดวยวาเขามีความจริงใจกับเรามากแคไหน ฉะนั้น คนที่ไมพูด หรือ พูดนอย เราจะอาน
จิตใจของเขาไดยาก
จึงสรุปไดวา เราสามารถตัดสินความซับซอนของความคิดและความรูสึก หรือ จิตใจ
ของคนไดโดยการดูที่ภาษาและคําพูดของเขา การคิดคนทางเทคโนโลยีใหม ๆ ซึ่งเปนเรื่อง
ของความคิดใหม ๆ ที่ซับซอนนั้นยอมทําใหคําพูดและภาษามีความซับซอนมากขึ้น

จิตใจไมซับซอนอยูหลักนิ้วที่ ๔1
เมื่อคุณเห็นวัตถุกลม ๆ และตองการสื่อสารบอกใครสักคน คุณก็คนหาในกลอง
ความจําของคุณ คุณจําไดวาสิ่งกลม ๆ นี้เขาเรียกอะไร คุณจึงออกเสียงเรียกสิ่งกลม ๆ นั้น
วา “ลูกบอล” ทันทีที่คุณเรียกสิ่งที่คุณเห็นดวยการเรียกชื่อเทานั้น คุณก็ไดเขามายืนอยูที่
หลักนิ้วที่ ๔ ของทอแหงความรูนี้แลว
หลักนิ้วที่ ๔ จะเปนตัวแทนของกลุมบุคคลที่มีจิตใจเรียบงาย ไมซับซอน อาจเปน
กลุมคนที่ไมเคยรับการศึกษาในระบบการศึกษาใด ๆ มากอน อาจจะยังเขียนไมออก อาน
ไมได เชน จิตใจของเด็ก ๆ คนอยูชนบทที่ทําอาชีพพื้นฐาน เชน ชาวไร ชาวนา กรรมกร
รวมทั้งคนที่อยูกับปาเขาลําเนาไพร อยูใกลชิดธรรมชาติ คนเหลานี้จิตใจของเขาไมซับซอน
เพราะ ไมไดอานมาก จึงไมมีความทรงจํามาก เมื่อรับผัสสะอะไรแลว ในหัวจึงไมมีการปรุง
แตงวิเคราะหมาก รูเทาที่จําเปนตองรูอันเนื่องกับการดํารงอยูรอดของชีวิตประจําวัน การ
สื่อสารของเขาจะทําดวยภาษาที่งาย ๆ
เมื่อลูกชายคนกลางของดิฉันที่ชื่อ เอ็นดู อายุไดสามขวบนั้น วันหนึ่งดิฉันซื้อแปรงสี
ฟน ๕ อันเพื่อใหสมาชิกทั้ง ๕ ของครอบครัว เห็นลูกตื่นเตน ดิฉันจึงหยิบแปรงสีฟนทั้งหมด
ใหลูกเอ็นดูไปเลนกอน ลูกชายเอาไปเรียงไวบนพื้นโดยใหอยูแนวเดียวกันหมด และแลว
เธอก็เอานิ้วชี้เล็ก ๆ ชี้ไปที่แปรงสีฟนแตละอัน ในขณะที่ชี้นั้น ลูกก็พูดตามไปวา
“แปรงสีฟน แปรงสีฟน แปรงสีฟน แปรงสีฟน แปรงสีฟน ”
การพูดเชนนั้นของลูกเอ็นดูเปนผลจากกลองความทรงจําที่เล็กนั่นเอง ภาษาของเขา
จึงงาย ๆ ในขณะที่ลูกชายอายุ ๕ ขวบของดิฉัน จะพูดวา
“แมซื้อแปรงสีฟน ๕ อัน”

1
ในบทที่แลว ดิฉันไดเปรียบเทียบใหจุด ค เปนทอกระดาษแข็งสีขาวยาว ๑๐ นิ้ว เปรียบเหมือนทอแหงความรูทางโลก

51
ซึ่งเปนภาษาที่ซับซอนมากขึ้น คําวา ๕ อันนี้จะตองเกิดจากการคิดและการบวกเลข
คุณจะเห็นความแตกตางระหวางภาษาของเด็ก ๆ ที่ยังเรียนอนุบาลอยู กับเด็กที่เรียนชั้น
ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย คุณโตมากขึ้นเทาไร ภาษาของคุณก็ยิ่งซับซอนมากขึ้นอัน
เนื่องจากจิตใจที่ซับซอนนั่นเอง คุณจึงสามารถสังเกตความซับซอนของจิตใจคนในสังคม
ไดโดยการดูภาษาของสังคมนั้น หากภาษาซับซอนมาก จิตใจของคนก็ซับซอนตามไปดวย

ใครยืนอยูที่ไหน
ฉะนั้น เราจะมาใชระดับการศึกษาและอาชีพของคน ซึ่งเปนฝายรูป mass เปนตัว
แปรตัดสินความซับซอนของจิตใจคนซึ่งเปนฝายนาม energy โดยสมมุติกันอยางคราว ๆ วา
ใครยืนอยูที่ไหนในทอแหงความรูนี้ จึงสมมุติวา
 หลักนิ้วที่ ๔ แทนคนที่ไมไดจบการศึกษาภาคบังคับ
 หลักนิ้วที่ ๕ แทนคนที่จบการศึกษาภาคบังคับในชั้นมัธยมปลาย
 หลักนิ้วที่ ๖ แทนคนที่เรียนปริญญาตรีที่เริ่มจับความรูเฉพาะอยาง
 หลักนิ้วที่ ๗ แทนคนเรียนปริญญาโท ที่เนนความรูเฉพาะอยางมากขึ้น
 หลักนิ้วที่ ๘ แทนคนเรียนปริญญาเอก ที่เนนความรูเฉพาะอยางมากขึ้นไปอีก
 หลักนิ้วที่ ๙ แทนกลุมปญญาชนผูเปนชนชั้นกลางที่ทํางานในตําแหนงผูนําไมวา
ระดับใดระดับหนึ่งที่ตองใชความคิดมาก แมกลับบานแลว ควรจะหยุดคิดเรื่องงาน
และพักผอนกับครอบครัวได แตก็ไมสามารถทําไดดี ยังคงคิดติดพันอยู เชน
นักการเมือง ครู ผูบริหาร ผูพิพากษา ทนาย อัยการ หมอ นักวิทยาศาสตร เปนตน
 หลักนิ้วที่ ๑๐ แทนจิตใจของนักคิด นักเขียน นักประพันธ ผูมีอาชีพอยูบนตัวหนังสือ
รวมทั้งจิตใจของอัจฉริยะทั้งหลายทีต ่ องคิดมาก คิดซับซอนและคิดลึก
นักวิทยาศาสตรรวมทั้งนักประดิษฐคิดคนทั้งหลายที่มีชื่อเสียงของโลก เชน อัลเบิรต
ไอนสไตน ก็จัดอยูในกลุมคนที่ยืนอยู ณ หลักนิ้วนี้

ขอใหคุณเขาใจวานี่เปนเพียงการจัดกลุมแบบคราว ๆ เพียงใหคุณมองเห็นภาพเทานั้น
ชาวนาในประเทศที่เจริญแลวอยางยุโรปและอเมริกา สภาวะจิตใจของเขาคงจะไมไดอยู
หลักนิ้วที่ ๔ แนนอน เพราะสวนมากมักจบปริญญาในสาขาเกษตรกรรม ฉะนั้น จึงจัดอยูใน
ระดับ ๗ ถึง ๙ ก็ยังได วัยรุนที่เรียนชั้นมัธยมอาจจะสามารถคิดไดซับซอนลึกซึ้งเหมือน
ระดับอัจฉริยะ ฉะนั้น จึงจัดอยูในระดับหลักนิ้วที่ ๑๐ ได

สาเหตุของการจัดกลุม
ถึงแมไดพูดมาแลวทุกบท ก็ยังขอเนนอีกวาขณะนี้สังคมมนุษยกําลังหลงทางเปน
อยางมาก massive misdirection of life ไมรูวาตนเองตองการเดินไปทิศทางไหน เหนือ
ใต ออก ตก กําลังกาวหนาหรือถอยหลัง เจริญหรือตกต่ํา รุงเรืองหรือใกลจะลมจม จึงเกิด
ความสับสนวุนวายในจิตใจของคนหมูมากจนกอใหเกิดปญหาสังคมที่ซับซอนและกลับมา
สรางความทุกขใหแกคนมากขึ้นไปอีก สรางวงจรอันเลวรายที่ออกไดยากยิ่ง
นี่จึงเปนสาเหตุสําคัญที่วาทําไมเราจําเปนตองรูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล
ตามที่ไอนสไตนพูดถึง หากไมมีจุดปกติอยางแทจริงใชเปนมาตรฐานการวัดแลว เราจะไม
สามารถรูไดวาอะไรที่ไมปกติ ถาไมรูคาสมบูรณ เราจะไมรูคาที่ไมสมบูรณ เด็กที่เกิดมาใน
ยุคนี้ที่เห็นแตปญหาวุนวายในสังคมและศีลธรรมที่เสื่อมโทรมอยูเปนอาจิณ เมื่อพวกเขาโต
เปนผูใหญและไมเคยเห็นอะไรที่ดีกวานี้ใหเปรียบเทียบแลว เขาจะตองคิดวา ความสับสน

52
วุนวายและความทุกขของสังคมเปนเรื่องปกติธรรมดาของโลก ซึ่งไมใชเชนนั้น เพราะสังคม
ที่ปกติมากกวานี้เคยมีอยู วัฒนธรรมสติปฏฐานคือ สังคมที่ใกลเคียงความปกติจริง ๆ 2
ฉะนั้น การรูเรื่องจุดปกติหรือสัจธรรมหรือพรมแดนสุดทายของจักรวาลจึงเปนเรื่อง
สําคัญมาก ซึ่งในบทกอน ดิฉันก็ไดสมมุติจุด ก และการรับผัสสะอยางประสบการณเอกหรือ
ผัสสะบริสุทธิ์ใหเปนพรมแดนสุดทายหรือจุดปกติของชีวิต บทนี้จึงเปนเรื่องตอเนื่องจากบท
ที่แลว การเห็นกลุมบุคคลที่ติดอยูในทอแหงความรูทางโลกเชนนี้จะชวยใหคุณเห็นภาพ
ชัดเจนวาใครอยูที่ไหน ณ จุดไหนและหางไกลจากจุด ก หรือจุดปกติของชีวิตมากแคไหน
หากตองการเดินทางกลับสูสภาวะปกติแลว จะตองเดินไกลแคไหน อยางไร คุณจึงสามารถ
ตัดสินตนเองไดจากการเปรียบเทียบในบทนี้
จึงขอใหเขาใจวาการจัดกลุมคราว ๆ ดังกลาวขางตน เปนการแยกแยะสภาวะที่
ซับซอนของจิตใจมนุษยที่ไมจํากัดแตความรูทางโลกอยางเดียว คนที่คิดมาก โดยเฉพาะ
คิดเรื่องกําไร ขาดทุน เรื่องได เรื่องเสีย ก็เปนตัวแปรที่สามารถวัดสภาวะจิตใจที่ขึ้นลงจาก
นอยไปหามาก ก็เปรียบเหมือนการยิ่งมุดลึกเขาไปในทอที่มืดมิดนีเ้ ชนกัน เชน เมื่อไดเงิน
มาก ๆ ก็ดีใจอยางสุดขีด เมื่อตองสูญเสียเงินทองจํานวนมากดวยสาเหตุใดก็ตาม จิตใจก็จะ
ตกฮวบอยางสุดขีดเชนกันจนบางคนตองฆาตัวตาย คุณเทานั้นที่รูจักจิตใจตนเองดีกวาคน
อื่นวามีความยุงยากซับซอนและทุกขมากแคไหน ฉะนั้นคุณก็สามารถจัดตนเองใหอยูใน
ระดับที่คุณคิดวาเหมาะสมได
ขอใหเขาใจอีกดวยวา กลุมคนที่อยูตั้งแตหลักนิ้วที่ ๔ ถึง ๑๐ นี้ เหมือนกับขอ
เปรียบเทียบของเสนหนังยางที่บิด ๔ รอบถึง ๑๐ รอบในบทที่สามที่ดิฉันพูดเรื่องจิตใจปกติ
กลุมคนเหลานี้คือ ผูย  ังไมรูเรื่องพรมแดนสุดทายของชีวิต ไมรูเปาหมายของชีวิตในแงที่ตอง
หาจุดปกติวามันคืออะไร ตองไปถึงไดอยางไร เปาหมายชีวิตของคนเหลานี้จึงถูกตัดทอนลง
เหลือเรื่องการแสวงหาความรูทางโลกใหมากที่สุด เพื่อใชความรูนั้นเปนเครื่องมือในการ
แสวงหาความสําเร็จใหแกชีวิตในเรื่องการงาน การเงิน เกียรติยศ ชื่อเสียง และอํานาจ ซึ่ง
เปรียบเหมือนการเดินลึกเขาไปในทอแหงความรูนี้ อันมีทางตันเปนที่สุด ซึ่งเปนเรื่อง
ผิดปกติที่ถูกทําใหเปนเรื่องปกติ เพราะคนหมูมากเห็นและทําเหมือนกันหมด ยกเวนคนกลุม
นอยกลุมหนึ่งของสังคมที่ทําตางออกไป เพราะรูวาคานิยมเหลานั้นไมปกติ จึงตองการ
แสวงหาความปกติที่แทจริง อันเปนเนื้อหาหลักของหนังสือเลมนี้

การเลี้ยวกลับ
ทีนี้ลองหันกลับมาดูที่หลักของสามนิ้วแรกวามันเปนตัวแทนของคนกลุมไหน ใน
ทามกลางคนจํานวนมากมายที่ติดอยูในทอแหงความรูนี้ จะมีคนอยูกลุมหนึ่งไมจํากัดวาเปน
เพศหญิงหรือชาย หนุมสาวหรือแกเฒา ฉลาดหรือไมคอยฉลาด รวยหรือจน มีสถานะสูงสง
หรือต่ําตอย มีอํานาจหรือไมมีอํานาจ ไมเปนปญหาเลย กลุมคนเหลานี้ แทนที่ตองการเดิน
ลึกเขาไปในทอแหงความรูเหมือนคนหมูมากของสังคม เขากลับไมทําเชนนั้น
สาเหตุเปนเพราะนี่เปนกลุมคนที่ไดเรียนรูจากการอานหนังสือของคนรูจริง เชน
พระพุทธเจา และสาวกผูรูตามของทานอยางแทจริง จึงตระหนักชัดวา การไขวควาหา
ความสําเร็จทางโลกนั้นมิใชหนทางที่จะชวยใหดับทุกขและเปนสุขมากขึ้น กลับจะพบทาง
ตันของชีวิตตางหาก เมื่อรูแลว กลุมคนเหลานี้จึงไมยอมเดินลึกเขาไปในทอแหงความรูนี้
จึงเลี้ยวกลับเพื่อตองการเดินทางออกจากทอแหงความมืดมนนี้และกลับออกมาที่จุด ก อัน
เปนพรมแดนสุดทายหรือจุดปกติของชีวิตตามที่ผูรูจริงไดแนะนําไว
ฉะนั้น จากการศึกษาหาความรูจากผูรูจริงในเรื่องชีวิต โลก และจักรวาล การศึกษา
ในแนวทางของศีล สมาธิ ปญญา เพื่อเดินทางไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิตจึงเกิด คน

2
อานบทที่ ........วัฒนธรรมสติปฏฐาน ในหนังสือเรื่อง ใบไมกํามือเดียว เขียนโดย ศุภวรรณ กรีน

53
ที่สามารถวกกลับมายืนอยูที่หลักนิ้วที่ ๓ คือ กลุม
 บุคคลที่สามารถทําสิ่งตาง ๆ ที่ดิฉันได
แนะนําไวในคูมือชีวิตภาคศีลธรรมและกฎแหงกรรม นั่นคือ
๑. พยายามรักษาศีล ๕ อยางดีที่สุด
๒. ฝกหัดการใหและเสียสละในทุกรูปแบบ
๓. ทําตัวเรียบงาย ไมยุงยาก
๔. ไมกลัวตาย
๕. เชื่อกฎแหงกรรม และ การเวียนวายตายเกิด

ใครทําสิ่งตาง ๆ เหลานี้ได ไมวากอนหนานั้นจะยืนอยูที่หลักนิ้วที่ไหนก็ตาม ลวน


สามารถเดินวกกลับมาถึงหลักนิ้วที่ ๓ แลวทั้งสิ้น หากเปรียบเทียบกับการบิดของเสนหนัง
ยาง จากที่เคยบิด ๔ รอบหรือมากกวานั้น หนังยางก็ถูกบิดกลับเหลือการบิดเพียง ๓ รอบ
เทานั้น ทุกคนที่ไดอานเรื่องนี้จึงสามารถตัดสินตนเองไดวาจะตองเดินทางไกลแคไหน
เพียงใดเพื่อกลับมาสูหลักนิ้วที่ ๓ นี้

หลักนิ้วที่ ๒ ตองฝกวิปสสนา
การเดินทางตอไปยังหลักนิ้วที่ ๒ หรือคลายเสนหนังยางใหเหลือเพียง ๒ บิดนั้น ผู
เดินทางจําเปนตองมีความรูเรื่องการฝกสติปฏฐานสี่หรือการพาตัวใจกลับบาน โดยเริ่มตนที่
เครื่องมือพื้นฐานของชีวิตกอน ตองยอมรับวามนุษยมีอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจเทาเทียมกัน
หมด และรูจักใชเครื่องมือพื้นฐานหรือตาใจมองจุดกําหนดตาง ๆ ที่ครูบาอาจารยทาง
วิปสสนาไดสอนไว เชน ใชตาใจดูลมหายใจ ดูการเคลื่อนไหวของกายซึ่งเปรียบเหมือนการ
พาตัวใจกลับบานที่หนึ่ง และการใชตาใจดูความรูสึกของกาย เชน เย็น อุน รอน ออน แข็ง
นุม เจ็บ ระบม เปนตน ซึ่งเปนการพาตัวใจกลับบานที่สอง ใครที่สามารถทําไดเชนนี้ใน
ชีวิตประจําวันก็เทากับกําลังเดินทางจากหลักนิ้วที่ ๓ มาสูหลักนิ้วที่ ๒ แลว จิตใจของคน
เหลานี้จะมีความคิดที่เปนขยะนอยลง ความคิดฟุงซานจะมีนอยลง ความทุกขในใจก็จะนอย
ตามไปดวย จะสามารถมีสติอยูกับงานที่ตนเองกําลังทําอยูที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถาใชขอเปรียบเทียบ
ของการขับรถไฟชีวิตที่จะพูดถึงในบทตอไปแลว ก็หมายความวา การเดินจากหลักนิ้วที่สาม
ไปสูหลักนิ้วที่สองเปนขั้นตอนที่คนขับรถไฟขบวนชีวิต พยายามจะขับรถไฟของตนใหได
ระดับเดียวกับรถไฟขบวนแรก หรือ ขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ จะเรียกวา รถไฟขบวนสงบสุขก็ได ผล
ที่ไดคือ คนที่เดินทางอยูในขั้นตอนนี้ จิตใจจะสงบมากขึ้น อันเปนผลจากการฝกทักษะเรื่อง
การพาตัวใจกลับบานนั่นเอง

เริ่มเรียนรูโลกภายในของตนเอง
หลังจากที่ผูปฏิบัติวิปสสนารูจักใชตาใจของตนเอง ซึ่งเปนระหวางการเดินทางจาก
หลักนิ้วที่สามเพื่อมุงสูหนาประตูของทอทีม ่ ืดมนและกลับสูบานเดิมที่จุด ก นั้น การเรียนรู
ปรากฏการณตาง ๆ ในจิตใจของตนเองจึงเกิดขึ้นอยางมโหฬาร และเปนวิธีการเรียนรูอยาง
เปนวิทยาศาสตรดวย เพราะมีการใชอายตนะพื้นฐานคือ ตาใจ เปนผูดู หรือ ผูสังเกตการณ
เหมือนการใชตาเนื้อดูปรากฏการณตาง ๆ ของโลกภายนอก ซึ่งคนอยูหลักนิ้วที่ ๔ ถึง ๑๐
จะใชตาใจไมเปน แมมีอยูก็ไมรูวามันคืออะไร ตาใจจึงเหมือนถูกปดไว

ผูใชตาใจเปนจึงเริ่มรูจักปรากฏการณในสวนที่ไมมีรูปราง (นาม) อันคือ ความคิด


(สังขาร) ความจํา (สัญญา) และ ความรูสึก (เวทนา) ซึ่งดิฉันไดรวบใหมันเปนคําเดียวคือ
จิต หรือ เจอรี่

ความคิด ความจํา ความรูสึก = จิต = เจอรี่ = ผาปดตาใจ

54
ความรูสึกตัว (วิญญาณขันธ) = ตัวใจ หรือ ตาใจ = ทอม

สภาวะจิตใจ
กอนหนาการเรียนรูอยางเปนวิทยาศาสตรเชนนี้ ทุกคนจะใชตาใจมองโลกภายนอก
โดยผานกรอบของความคิดและความรูสึกของตนเองหรือจิตซึ่งเหมือนผาปดตาใจ ดังในรูป

ใจจิต--- กาย --- เห็นโลกภายนอกตามกรอบความคิดของตน = มองอยางคนตาบอด

การมองโลกโดยผานความคิดเชนนี้จึงเปรียบเหมือนการเดินไปสูทางตันของอุโมงค
ที่มืดมิดนี้ คนที่ไมเคยฝกวิปสสนา เขาจะไมมีทางเลือกอื่นในการมองโลกภายนอก คือ ไม
สามารถที่จะไมมองโลกโดยผานความคิด จําเปนตองมองโลกภายนอกโดยผานความคิด
เพียงถายเดียว เพราะ จิตกับใจเหมือนเปนแมเหล็กตางขั้วที่ดูดเขาหากัน สภาวะของจิตกับ
ใจจึงติดกันเหมือนเปนสภาวะเดียวเทานั้น การเขียนคําวา “จิตใจ” ติดกันในภาษาไทยเราจึง
เปนผลของสภาวะ “จิตใจ” อยางแทจริง แตอยางนอยภาษาไทยเรายังใชสองคํามาควบ
ติดกัน จึงพอรูบางวา มันเปนคนละธาตุ คนละขันธกัน แตปญญาชนฝรั่งจะดูไมออกเลย
เพราะเขาใชคําวา mind เพียงคําเดียว และยังมีคําอยางเชน consciousness, soul ซึ่งถา
ไมมีการแยกแยะอยางเปนระบบตามที่พระพุทธเจาแยกในเรื่อง ขันธ ๕ แลวละก็ การเรียนรู
เรื่องจิตใจอันเปนธรรมชาติฝายนามอยางถูกตองจะไมเกิด นี่จึงเปนเหตุผลใหญที่นักการ
ศึกษาฝายตะวันตกจําเปนตองกวาดเรื่องจิตใจใหไปรวมกับรูปที่สมอง เขาจึงเริ่มศึกษาจิตใจ
ได แตจะไดความรูที่ถูกตองหรือไมนี่เปนอีกเรื่องหนึ่งตางหาก

วิปสสนาเหมือนการควานกอนมะเร็ง
เมื่อมีการฝกวิปสสนาแลว จิตกับใจของผูปฏิบัติจะเริ่มหลุดรอนออกจากกัน ซึ่งเปน
ขั้นตอนของการเดินตามผูรูจริงอยางพระพุทธเจาที่สอนเรื่องการหลุดพนจากความทุกข การ
ดับทุกขที่แทจริงก็คือ การพยายามทําใหจิตกับใจหลุดและพนออกจากกัน เพราะจิตคือตัวที่
แบกทุกข จิตคือตัวที่เปนแผล ตัวเจ็บปวย หรือ ตัวผิดปกติ จึงตองควานเอาสวนที่เปน
ปญหาออกไปเหมือนหมอผาตัดควานเอาเนื้อรายที่เปนมะเร็งออกจากรางกาย การฝก
วิปสสนาจึงเหมือนการทําลายพลังสนามแมเหล็กที่มีอยูร ะหวางจิตกับใจ เปนการปฏิบัติเพื่อ
การหลุดพนจากความทุกขอยางแทจริง

กอนฝกวิปสสนา รางกายจิตใจหรือขันธ ๕ ของมนุษยเปนเชนนี้

ตัวใจจิต --------- ตัวกาย --------- ผัสสะไมบริสุทธิ์, ชีวิตไมปกติ

เมื่อมีการฝกวิปสสนา จิตกับใจจะเริ่มหลุดรอนออกจากกัน เมื่อมีสติพาตัวใจกลับ


บานได จิตกับใจก็หลุดออกจากกัน แตเมื่อตัวใจไมอยูติดบาน ไปติดความคิด จิตกับใจก็ดูด
เขาหากันอีก จึงอยูคาบเกี่ยวกันระหวางผัสสะบริสุทธิ์กับไมบริสุทธิ์ จึงใชชีวิตที่ปกติบาง
หรือไมปกติบาง

ตัวใจ <----- จิต --- ตัวกาย ---- ผัสสะ (ไม) บริสุทธิ์, ชีวิต(ไม) ปกติ

อยูอยาง ๕ ขันธก็ได อยูอยาง ๒ ขันธก็ได


ผูหลุดพนจากความทุกขแลวเชนพระพุทธเจาและพระอรหันตสาวก จิตกับใจจะหลุด
รอนออกจากกันอยางสิ้นเชิง ถาไมจําเปนตองใชความคิดแลวละก็ ขันธ ๕ จะเหลือเพียง ๒

55
ขันธ คือ กาย (รูปขันธ) กับ ใจ หรือ ความรูสึกตัวทั่วพรอม (วิญาณขันธ) ขอใหเขาใจวา
ความคิด (สังขารขันธ) ความจํา (สัญญาขันธ) ความรูสึก (เวทนาขันธ) มีธรรมชาติของการ
เกิดขึ้น ตั้งอยู หายไปเหมือนการเกิดของรุงกินน้ํา พยับแดด กับภาพเหมือนในกระจก ปจจัย
มี มันก็เกิด ปจจัยเปลี่ยนมันก็หายไป ผูหลุดพนแลวจึงมีปจจัยที่สามารถทําให ๓ ขันธนี้
หายไปไดเหมือนการหายของรุงกินน้ําโดยการรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ ถาไมจําเปนตองใช
ความคิด ก็เขาสูโลกที่บริสุทธิ์หรือโลกนิพพานทําให ๓ ขันธนั้นรองหนไปกอน จึงเหลือ
เพียง ๒ ขันธเชนนี้

ตัวใจ ---- ตัวกาย --- ผัสสะบริสุทธิ์, ใชชีวิตที่ปกติธรรมดา, ถึงนิพพาน

แตถาจําเปนตองใชความคิด เชน ตองสื่อสารเพราะยังอยูรวมกับสังคม ตองสอนให


คนพนทุกข ตองเขียนหนังสือ ก็สามารถสรางปจจัยเพื่อเรียก ๓ ขันธนั้นกลับคืนมาได ใช
เสร็จก็สรางปจจัยใหมันรองหนหายไปอีก ผูหมดปญหาชีวิตจึงสามารถใชความคิดอยางเปน
อิสระ เปนการใชความคิดอยางไมมีพลังสนามแมเหล็กเหลืออีกแลว เพราะไดถูกทําลาย
หมดแลว สามารถรับผัสสะบริสุทธิ์ไดแมใชความคิดอยู จะใชความคิดก็ได ไมใชก็ได
เหมือนทอมเอาหนูเจอรี่มาใชงาน เมื่อใชงานเสร็จ ก็ปลอยหนูเจอรี่ออกจากบานไปอยางวา
งาย บานของใจจึงวางจากความคิดไดงาย ๆ หรือ จะเปรียบเทียบวา ตัวใจออกจากบานไป
ทําธุระ เสร็จธุระแลวก็พาตัวใจกลับบาน กลับมาเปนตัวของตัวเอง กลับเขาบานนิพพานอีก
จึงไดรูปเชนนี้

ตัวใจ -- จิต -- ตัวกาย --- ผัสสะบริสุทธิ์, ยังคงใชชีวิตที่ปกติธรรมดา, ถึงนิพพาน

เริ่มรูจักการถูกครอบงํา
ผลจากการฝกทักษะเรื่องพาตัวใจกลับบานนี้เอง ผูเดินทางจะเริ่มเห็นพลังของจิต
หรือเจอรี่วามันมีมากมายมหาศาลเพียงใดในแงที่เปนนายเหนือตัวใจหรือแมวทอม ผูปฏิบัติ
จะเห็นสภาวะมืดมิดหรือหมดอิสรภาพเมื่อ “ตัวใจ” ถูก “จิต” ครอบงํา เหมือนเอาแวนตาดํา
ติดกาวหนา ใสแลวดึงไมออกทั้ง ๆ ที่รูสึกรําคาญสายตามาก อยากเอาเจาแว นตาดําออก
เสีย จะไดเห็นอะไรชัด ๆ ตามสีที่มันเปนจริงสักหนอย ก็ทําไมได จิตที่ครอบงําใจยัง
สามารถเปรียบเหมือนแมวทอมถูกหนูเจอรี่ที่ถือฆอนใหญ ๆ มาทุบตีเอา ทอมที่ออนแอจึง
เปนทาสรับใชของเจอรี่ที่แข็งแรงกวาไปทั้งชาติ ผูฝกจะเห็นไดชัดวา เจอรี่สามารถสั่งงาน
แมวทอมเหมือนตัวเองเปนเจาของบานใจเรา ซึ่งที่จริง ไมควรเปนเชนนั้นถารูจักวิธีใหอาหาร
ชีวจิตและวิตามินแกแมวทอม เมื่อทอมแข็งแรงมากกวาหนูอันธพาลเจอรี่แลว เจอรี่จะถอย
ทัพเอง

จิตมีธรรมชาติเปนมายา
อีกสิ่งหนึ่งที่ผูเดินทางหรือผูปฏิบัติวิปสสนาจะเริ่มมองออกคือ รูวาความคิดและ
ความรูสึกของมนุษยมีลักษณะเปนมายา เกิดขึ้น ตั้งอยู หายไป เหมือนการเกิดขึ้นของรุงกิน
น้ํา พยับแดด และภาพเหมือนในกระจก เหตุผลที่เจอรี่สามารถบังคับใหแมวทอมผูเปน
เจาของบานใจนี้ทําในสิ่งที่ตนเองสั่งโดยเฉพาะเรื่องตามใจกิเลส เปนเพราะเจอรี่มี
ความสามารถในการหลอกลวงแมวทอมนั่นเอง เพราะถูกหลอกจึงยอมทําตาม
ทุกครั้งที่เจอรี่หลอกและสั่งงานแมวทอมไดสําเร็จ จิตกับใจจะถูกดูดติดกันเสมอ
เพราะมีการคิด จึงเกิดผลเปนคําพูดและการกระทําทั้งฝายดีและฝายชั่ว แตเจอรี่อันธพาลมัก
ครอบงําตัวใจของมนุษยมากกวาเจอรี่ที่เปนมิตร เพราะปญหาสังคมลวนเปนผลของความคิด

56
ฝายดําหรือเจอรี่อันธพาลที่เกิดในใจกอน จึงเกิดการกระทําที่สรางความทุกขใหคนหมูมาก
ไดเชนนี้

สิ่งเหลานี้คือสิ่งที่ผูเดินทางกลับบานเดิมไมสามารถเขาใจไดกอนการปฏิบัติสติปฏ
ฐานสี่ แตเมื่อใชตาใจเปน จึงเห็นหมด จึงเขาใจไดถูกตองวา คนหมูมากของสังคมลวนถูก
ความคิดของตนเองหลอกลวงเอาและสูญเสียอิสรภาพทางจิตใจไมทางใดก็ทางหนึ่งทั้งสิ้น
จึงเขาใจตัวเอง เริ่มเห็นตัวจริงของตนเอง เริ่มเขาใจปญหาสังคม เขาใจโลก เขาใจจักรวาล
ที่เราอยู

เดินไปสูทางออก
เมื่อตระหนักชัดถึงผลเสียของสิ่ งที่จิตหรือเจอรี่สามารถทํากับตนเอง(ตัวใจ) แลว ผู
ปฏิบัติก็จะมุงมั่นพาตัวใจกลับบานเสมอ ซึ่งเปนการตอสูกับศัตรูในสนามรบที่ถูกตอง
fighting in the right battlefield เมื่อมีการตอสูห้ําหั่นกับศัตรูหรือเจอรี่ในบานของใจแลว
การเดินทางไปขางหนายอมเกิด ตราบใดที่มีการฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานอยาง
สม่ําเสมอ ทําดวยความอดทน ไมทอถอยแลว ความกาวหนาของการปฏิบัติจะเกิดเองอยาง
เปนธรรมชาติโดยที่เจาตัวอาจจะไมรู เพราะยังมีความทุกขอยู
ผูปฏิบัติจะเริ่มเห็นการกอตัวของความคิดไดชัดเจนขึ้น สามารถหยุดความคิดไมให
หลอกหลอนตนเองไดเร็วขึ้น การควบคุมจิตใจตนเองจึงทําไดดีขึ้น ตอนไหนที่ทําไมไดก็
จะเปนทุกข
การเขาสนามรบห้ําหั่นกับกองทัพของหนูเจอรี่ก็จะเปนไปเชนนี้นานนับป เจอรี่จะเริ่ม
ออนกําลังลง เจอรี่ซึ่งเคยเปนคนบงการใหทอมทํางานรับใชตนอยางหัวปกหัวปานั้นกลับ
กลายเปนสิ่งตรงกันขามเสียแลว ทอมกลับมาเปนผูใชงานเจอรี่แทน ทําใหผูเดินทางมีจิตใจ
มั่นคง มีความสุข สงบ มากขึ้น จิตใจไมขึ้นลงมากเหมือนที่เคยเปน เริ่มรูสึกเปนตัวของ
ตัวเอง สามารถกอบกู “ตัวจริง ๆ ของเรา” หรือ “ความเปนปกติ” ของชีวิต กลับคืนมา เริ่มมี
ความหวังตอชีวิตมากขึ้น

รายละเอียดของหลักนิ้วที่ ๑
เมื่อมีการพาตัวใจกลับบานอยางสม่ําเสมอนานนับป ผูเดินทางก็จะคอย ๆ เดินทาง
มาถึงชวงแรกของหลักนิ้วที่ ๑ ถึงตอนนี้ ตาใจของนักปฏิบัติจะมีความคมชัดมากขึ้นจน
สามารถเห็นปรากฏการณที่เกิดในโลกภายในไดอยางชัดเจน จะเห็นการกอตัวของความ
เปนมายาของความคิดไดชัดมากขึ้น และสามารถทําลายภาพมายาของความคิดไดอยาง
ทันทวงที การทําศึกสงครามกับกองทัพของเจอรี่ก็ยังมีอยู แตอยูในลักษณะที่ไดเปรียบเจอรี่
แลว
เพราะเห็นพิษสงและฤทธิ์เดชของเจอรี่ ผูปฏิบัติจะมีความรูสึกวาอยากจะเอาชนะ
กองทัพของเจอรี่ใหรูแลวรูรอดไปเสียที จะไดยุติสงครามภายในสักที ถึงจุดหนึ่ง ผูปฏิบัติสติ
ปฏฐานสี่จะมีความรูสึกวาอยากหลุดพนใหหมดเรื่องหมดราว จะไดหมดทุกขกันเสียที เพราะ
เบื่อการตอสูเต็มทีแลว อยากเปนฝายชนะสงครามภายในใหรูแลวรูรอด
การปฏิบัติที่ถูกทางในพระพุทธศาสนา ยอมประกอบดวย การมี มรรค ผล นิพพาน ผู
ปฏิบัติถึงจุดนี้จะมีทั้งมรรคและผล มรรคคือการเฝาดูความคิด การพาตัวใจกลับบาน ผลคือ
ความรูสึกที่สุข สงบ เพราะการคลายตัวของความคิดเมื่อตัวใจอยูติดบานหรือฐานของสติ
เชนลมหายใจ การเคลื่อนไหวของกาย แตสิ่งหนึ่งที่ผูปฏิบัติยังรูสึกขาดแคลนอยูคือ พระ
นิพพาน ยังไมรูวาพระนิพพานคืออะไร อยูที่ไหน
ประสบการณภายในเหลานี้คือ สิ่งที่อาจจะเกิดกับบุคคลที่ปฏิบัติสติปฎฐานสี่และ
เดินทางมาถึงชวงแรกของหลักนิ้วที่ ๑

57
เริ่มเดินลงเขา
การเดินทางในชวงหลังของหลักนิ้วที่ ๑ นี้จะเปนการเดินลงเขาแลว หลังจากที่ได
ตอสูกับกองทัพหนูมานานหลายปนั้น เจอรี่เปนฝายพายแพแลว ทอมไดกลายเปนแมทัพผู
ยิ่งใหญ ทําใหกองทัพหนูพายแพอยางยับเยิน หนูเจอรี่เริ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนทันทีที่เห็น
ทอม นี่เปนชวงเวลาที่การปฏิบัติจะเปนอัตโนมัติ สติของผูปฏิบัติจะไวมาก สามารถเห็นการ
เกิดขึ้นตั้งอยูและดับไปของความคิดไดเสมอ สามารถดีดความคิดออกจากใจโดยไมตอง
ตอสูมากนัก เปรียบเหมือนแมวทอมนั่งอยูที่มุมหอง เมื่อเห็นเจอรี่วิ่งเขามาในบานคราใด ก็
ไมตองลุกขึ้นวิ่งใหเหนื่อยเพื่อไปตะปบเจอรี่เหมือนที่ตองทําในอดีตแลว บัดนี้ มี
ความสามารถใหม ๆ คือ สามารถยืดเทาไปตะปบเจอรี่อยางงายดายทั้ง ๆ ที่ยังนั่งเกยคาง
นอนอยูมุมหองอยางผอนคลาย ผูปฏิบัติจะมีสติอยางเปนธรรมชาติ ไมวากําลังทําอะไรอยูใน
ยามตื่น ตัวใจจะมีสติเฝาดูการทํางานของความคิดตลอดเวลา และจะสามารถแยกแยะออก
วา ความคิดไหนควรใชมันและความคิดไหนไมควรเสียเวลากับมันเลย
การเดินทางในชวงหลังนี้จึงเหมือนกับไมมีอะไรตองทํามากแลว เพราะไดทําทุก
อยางที่ตองทํา คือ มีสติอยูกับฐานเสมอ ฉะนั้น จึงเหลือแตการนั่งคอยวันที่จะออกจากทอ
แหงความมืดมนนี้อยางถาวรเทานั้น แตเปนการคอยแบบไมตองคอย ใครที่ทําไดเชนนี้ ก็
เทากับไดมายืนอยูที่สวนหลังสุดของหลักนิ้วที่ ๑ แลว กําลังจะรอออกประตูหนาเพื่อกลับมา
ยืนอยูที่จุด ก อันเปนพรมแดนสุดทายของจักรวาลอยางถาวรเทานั้น

“ยูริกา!”
ในที่สุด เวลาของการรอคอยก็จะมาถึง เมื่อมีการกาวเดินไปขางหนาอยางสม่ําเสมอ
แมจะเชื่องชาเพียงใด ไมเปนไร การถึงจุดหมายปลายทางยอมเกิดเองอยางเปนธรรมชาติ
เหมือนน้ํายอมไหลจากที่สูงลงที่ต่ํา ตะวันยอมเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ผู
ปฏิบัติวิปสสนาจะมีขณะหนึ่งของชีวิตที่คาดไมถึง จู ๆ ตัวใจของผูเดินทางจะหลุดและพน
จากจิตอยางสิ้นเชิง เห็นตนเองถูกดีดกลับออกมายืนที่จุด ก อันเปนพรมแดนสุดทายของ
จักรวาลอยางทันทีทันใด จึงสามารถเห็นทุงโลงที่กวางใหญไพศาล เห็นทองฟาที่ถูกปูดวย
พรมปกดวยกลุมดาวระยิบระยับ จึงรูทันทีวาโลกใหมที่เห็นนี้แตกตางจากโลกเกาที่เพิ่งละ
จากมาอยางเปรียบเทียบกันไมไดเลย โลกเกามืดมิดดวยอวิชชา โลกใหมสวางจาเฉิดฉาย
ดวยแสงแหงปญญา
จากการอานประสบการณของผูมีประสบการณเชนนี้ ทุกคนจะมีปฏิกิริยาที่ เหมือนกัน
คือ ไมเชื่อวาในจักรวาลจะมีสภาวะนี้อยู จึงลวนรองออกมาอยางงงงันเหมือนอารคีมีดีสรอง
วา “ยูริกา” หรือ “ฉันรูแลว” คือ รูวา
๑. สภาวะนี้คือ สัจธรรมอันสูงสุดที่ไมมีอะไรไปเหนือไดอีกแลว
๒. ตัวใจไดเดินทางมาถึงพรมแดนสุดทายของชีวิตแลว ไดพบตัวจริง ๆ ของตนเอง
ที่มีแตความเปนปกติธรรมดา ไมมีอะไรนาตื่นเตน แปลกประหลาด พิสดาร
เหมือนที่เคยคิดไว จึงรูวา คนอื่นคาดการณสภาวะนี้ไวผิดหมดดวยความที่ยัง
ไมไดเดินทางถึงพรมแดนสุดทายของชี วิตดวยตนเอง เหมือนคนที่มีเล็บติดเนื้อ
อยูตลอดชีวิต จะไมมีวันรูจักสภาวะของเล็บที่อยูแยกจากเนื้อ เหมือนคนที่ไม
เคยไปภูกระดึง จะไมสามารถบรรยายความสวยงามของภูกระดึงได ฉันใดก็ฉัน
นั้น
๓. ตนเองไดกลายเปนผูรูตามพระบรมศาสดาแลว

ตองใหปริญญาตัวเอง

58
สัจธรรมอันสูงสุดจะตองเปนความรูที่เด็ดขาดและเบ็ดเสร็จอยูในตัว เปนสภาวะที่มี
คําตอบอยูในตัวมันเอง จึงเปนสัจธรรมสูงสุดได เพราะ เจาของความรูนี้จะถามคนอื่นไมได
แลววาความรูนี้ใชสัจธรรมหรือไม ไมมีคนใหถามแลวนอกจากพระบรมศาสดาซึ่งทานก็ไมได
อยูใหถามได สิ่งที่เหลือใหถามคือ ตัวสัจธรรมเอง ความรูในระดับยูริกานี้จึงตองมีความ
เด็ดขาดและใหคําตอบในตัวมันเองได จึงเปนความรูที่ผูเขาถึงแลวตองออกใบปริญญาให
ตนเอง ตองสามารถรับประกันตัวเองได ไมมีทางอื่น ใครที่เห็นจริงก็จะรูจริงจากสภาวะที่ตน
เห็นอยู ใครที่ยังไมเห็นก็ไมมีคําตอบจากสภาวะที่เด็ดขาด จึงยังรูไมจริงแมจะมีความรูเรื่อง
อื่น ๆ มากมายก็ตาม
คนที่สามารถเดินทางมายืนอยูที่จุด ก ไดอยางถาวรนี้ จําเปนตองรูขอมูลที่สําคัญ
อันยิ่งยวดเหลานี้ จึงจะสามารถเปนผูนําทางใหแกคนเดินทางที่หลงทิศชีวิตทั้งหลายได
เพื่อพาพวกเขากลับบานเดิม หรือ พาคนที่ติดอยูในอุโมงคอันมืดมิดออกมาสูท  ุงโลงที่มีแสง
สวางอันเจิดจาของปญญา

ทําไมอัจฉริยบุคคลจึงชอบงานเรียบงาย
หลายปกอน ดิฉันไดมีโอกาสดูสรรคดีเรื่องหนึ่ง เปนการติดตามชีวิตของชายสาม
สี่คน ทุกคนลวนจัดอยูในกลุมที่มีไอคิวระดับสูงมากในวัยเด็ก จึงลวนมีความสามารถพิเศษ
ไมทางใดก็ทางหนึ่ง ในขณะที่สังคมคิดวาเด็ก ๆ ที่ชาญฉลาดในระดับอัจฉริยะเหลานี้จะ
เติบโตขึ้นมาและมีงานที่อยูแวดวงของปญญาชนในสถาบันการศึกษาที่สูงสงนั้น ขอเท็จจริง
กลับกลายเปนวา คนฉลาดมากเหลานี้กลับมายึดอาชีพของชางไมบาง ชางซอมทอประปา
บาง เปนชาวนาที่ใชชีวิตอยางเรียบงายในชนบทบาง หรือเปนพอครัวทําอาหารบาง
ที่จริงแลว นี่มิใชเปนเรื่องแปลกแตอยางใดเลย ขอเปรียบเทียบของทอความคิด
อันเปนภูมิปญญาฝายโลกนี้ จะสามารถอธิบายถึงสาเหตุที่วาทําไมคนในระดับอัจฉริยะ
เหลานี้จึงเลือกที่จะทํางานเรียบงายที่สังคมมักจะใหคุณคาวาเปนงานต่ํา เพราะคนที่มีไอคิว
สูงเหลานี้รูขอเท็จจริงวา เมื่อประตูแหงความรูหนึ่งเปดออกนั้น มันเพียงเปดใหเรากาวไปสู
อีกประตูหนึ่งที่อยูถัดไปเทานั้นเอง และก็เปนเชนนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เปนเรื่องการขบคิด
แกปญหาดวยวิธีการของสมองแลวไซร การแกปญหาที่แทจริงจะไมเกิด ไอนสไตนพูดเอง
วา
“เราตองไมบูชาภูมิปญญาฝายโลกเหมือนมันเปนพระเจา เพราะมันเหมือน
กลามเนื้อที่แข็งแรง แตขาดบุคลิกที่ดี”

คนที่มีไอคิวยิ่งสูงจนถึงระดับอัจฉริยะนั้นจึงเปรียบเหมือนเขาไดเดินเขาไปถึงสุด
ทอของความคิดและเห็นกําแพงกอนคนอื่น เมื่อไดพบทางตันของความคิดแลว ยอมเปน
ธรรมชาติอยูเองที่จะตองเดินเลี้ยวกลับมาตามทอเพื่อออกมายืน ณ จุด ก อีก จึงเลือกใช
ชีวิตที่เรียบงาย ไมตองคิดซับซอนมาก ซึ่งมีความเอร็ดอรอยมากกวาการใชพลังอํานาจของ
สมอง ไอนสไตนเปนคนพูดเองวา
“ถาผมสามารถเลือกใชชีวิตไดอีก คราวนี้ผมจะเลือกเปนนายชางซอมทอประปา”
“โตะหนึ่งตัว เกาอี้หนึ่งตัว ผลไมหนึ่งถาด และไวโอลินหนึ่งตัว จะมีอะไรอีกเลาที่จะ
สามารถทําใหชายคนหนึ่งมีความสุขมากกวานี้ ”
คนที่เปนอัจฉริยะเทานั้นจึงจะเขาใจผูที่เปนอัจฉริยะดวยกันได It takes a
genius to understand a genius. นี่แหละคือ เหตุผลที่วาทําไม คนที่มีไอคิวสูงมากเหลานี้
จึงกลับมายึดอาชีพธรรมดา ๆ ที่ไมมีอะไรตื่นเตนเชนนั้น

สรุป

59
คุณคงเห็นแลววา หากไมมีความรูในขั้นแตกหักที่บอกชัดเจนวานี่คือ พรมแดน
สุดทาย หรือ สัจธรรมอันสูงสุด แลว การนําทางที่ถูกตองยอมไมมี การเดินทางเพื่อใหถึง
เปาหมายปลายทางของชีวิตที่แทจริงยอมไมเกิด ความรูทุกอยางจะเปนการรูอยางสัมพัทธ
เปนความรูที่เดินกลับไปมาอยูในอุโมงคเทานั้น ไมมีการรูอะไรที่จริงแทเลย
แลวคุณละ พรอมที่จะเดินวกกลับออกจากทอความคิดอันตีบตันเพื่อคนหาความปกติ
ของชีวิตดวยตนเองแลวหรือยัง

60
บทที่หก
ที่นี่ เดี๋ยวนี้
Here and Now
ในหาบทแรก ดิฉันไดพยายามบอกคุณวา จุดคงที่ของจักรวาลหรือสัจธรรมอันสูงสุด
ในธรรมชาตินั้นมีอยูอยางแนนอน ในบทนี้ ดิฉันจะโยงสัจธรรมอันสูงสุดใหเขาหาเรื่องเวลา
เพื่อใหคุณเห็นอยางชัดเจนวา การที่ใครสักคนหนึ่งตองการเขาถึงสัจธรรมนั้นจะตองทําอะไร
อยางไร ซึ่งเปนมุมมองที่ดิฉันสามารถอธิบายอุดมคติที่สูงสุดของศาสนาเชน พระนิพพาน
พระเจา ใหเปนวิทยาศาสตรมากที่สุด เพราะเรื่องเวลา เชน อดีต อนาคต ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปน
เรื่องกลาง ๆ ที่เปนสากล นี่เปนมุมมองที่ปญญาชนผูไมสนใจศาสนธรรมเลย ก็สามารถ
เขาใจและเห็นตามไดไมยากนัก พรอมกันนั้น คุณก็จะไดเห็นความสําคัญของการปฏิบัติสติ
ปฏฐานสี่วา มันจะชวยใหคุณเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดนี้ไดอยางไร ซึ่งเรื่องการพาตัวใจกลับ
บานนี้ เปนเรื่องที่ดิฉันไดเนนมาตลอดในหนังสือเลมนี้
เนื่องจากดิฉันไดเขียนบทนี้ในรูปของจดหมายที่ดิฉันตอบใหแกลูกศิษยชาวคามารู
นคนหนึ่งและมอบใหลูกศิษยทุกคนเปนของขวัญปใหม ดิฉันจึงยังอยากคงรูปแบบของ
จดหมายไวเชนเดิม

เมืองยาอุนเด
ประเทศคามารูน

1 มกราคม 2004

สวัสดีครับอาจารยศุภวรรณ

สวัสดีปใหมครับ ไมวาผมจะอานจดหมายของอาจารยหรือเขียนถึงอาจารย ผมรูสึก


เปนสุขเสมอครับ ผมไมทราบจริง ๆ วา อาจารยหาเวลาที่ไหนมาใหพวกเราแตละคนและทุก
คนไดเสมอเชนนี้

ผมไดรับอีเมลของอาจารยทุกฉบับ และแนนอน ผมอานทุกฉบับเลยครับ จริงไมครับ


วา เวลาที่เราไมไดอยูในเหตุการณนั้น ๆ แลว เราไมมีวันรูวาหากไดอยูในเหตุการณนั้นจริง
ๆ แลว เราจะรูสึกอยางไร วันนี้ ผมตัดสินใจที่จะอานอีเมลของอาจารยทุกฉบับอีก ที่จริงแลว
ผมจะทําเชนนี้เปนระยะ ๆ เพื่อใหแนใจวาผมไมไดพลาดเมลฉบับไหนของอาจารยเลย

สองสามวันที่ผานมานี้ ผมคอนขางเครียดครับเพราะมีงานมากเหลือเกิน และผมก็


เกรงวาผมจะทํางานเหลานี้ใหหมดไดอยางไรดวยเวลาที่นอยนิดและเงินทองที่จํากัดจําเขี่ย
เชนนี้ และแลว ผมก็ไปอานพบจดหมายของอาจารยฉบับหนึ่งที่ใหคําตอบที่เรียบงายและ
สมบูรณที่สุดใหกับผม อาจารยบอกวา

61
“มีสิ่งเดียวเทานั้นที่เราตองทําใหกับตัวเองเสมอ นั่นคือ การพาตัวใจของเรา
กลับบานที่หนึ่งโดยการเฝาดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้”

ผมอานเพียงเทานั้นแหละ ใจของผมโลงขึ้นมาทันทีครับ อาจารย ทําใหผมมี


ความสุขมากทั้งวัน และผมสงสัยตัวเองเหลือเกินวาทําไมผมจึงชอบใชเวลาคิดถึงวันพรุงนี้
มากเหลือเกิน
ชวงเวลานี้ของปกอน ผมกําลังตกนรกอยู แตปนี้ผมไมตองเปนบาเชนนั้นอีก
แลว ชีวิตคงตองเปนไปตามสิ่งที่ผมเลือกใหมันเปนตราบใดที่ผมสามารถมีสติและพาตัวใจ
กลับบานได จริงไมครับ อาจารย

ผมรูสึกวาผมไดพัฒนาความสามารถที่จะอานเรื่องราวของอนาคตไดบางซึ่งชวยผม
ไดมากทีเดียว การรับผัสสะของผมชัดเจนมากขึ้น และผมรูสึกวาผมสามารถรูวาบางสิ่ง
บางอยางกําลังจะเกิดขึ้น ซึ่งบางอยางก็เกิดขึ้นจริงอันมีผลกระทบถึงผมไมทางใดก็ทางหนึ่ง
ครับ

ผมไดพยายามทําใจของผมเปนปกติโดยการพาตัวใจกลับบานเสมอ แตผมตอง
ยอมรับครับวาเจอรี่แข็งแรงและมีเลหเหลี่ยมมากเหลือเกิน จนผมสงสัยวาเมื่อไหรเจอรี่จึงจะ
เลิกราและปลอยใหทอมอยูอยางเปนสุขเสียบาง (ยิ้ม)
ขอใหอาจารยมีความสุขในวันปใหมครับ กรุณาสงความระลึกถึงใหครอบครัวของ
อาจารยดวยครับ

ดวยความเคารพอยางสูง
มาซง

2 มกราคม 2004
สวัสดีปใหมคะ มาซง

ขอบคุณมากคะสําหรับจดหมายของคุณ ดิฉันรูสึกดีใจมากคะที่คุณสามารถจับ
หลักการปฏิบัติสติปฏฐานสี่ไดดีทีเดียว สิ่งที่คุณไดอธิบายในอีเมลของคุณนั้ นคือเปาหมายที่
ดิฉันตองการใหลก ู ศิษยของดิฉันทุกคนทําได คุณคงเห็นดวยตนเองแลววา คราใดที่คุณพา
ตัวใจกลับบานไดนั้น คุณก็เห็นผลของมันทันที คุณมีความสุขทันที โดยไมตองรอนานเลย
จริงไม
ที่จริงแลว ขบวนการปฏิบัติสติปฏฐานตั้งแตการปลอยวางความคิดและพาตัวใจ
กลับมาอยูกับของจริง ๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั้นเปนเรื่องยากมากสําหรับทุกคน แตก็เปนเพียงชวง
ตน ๆ ของการฝกทักษะเทานั้น คนที่มีความเพียร พยายาม ขยันฝกแลวละก็ ทักษะของเขา
จะเกงขึ้น และจะไดนิสัยที่ดีที่สุดไปอยางหนึ่ง คือ นิสัยแหงใจที่ยอมอยูติดบาน (มีสติอยูกับ
ฐาน) เมื่อนั้น เจาของชีวิตก็จะไดรับการคุมครองจากนิสัยใหมหรือทักษะใหมของตนเอง จึง
กลายเปนคนโชคดีที่สุดในโลกไปอีกคนหนึ่ง พูดโดยเปรียบเทียบแลว ใครที่พาตัวใจกลับ
บานได ในชวงขณะนั้น ก็เปรียบเหมือนคน ๆ นั้นไดกาวยางเขาไปในดินแดนของพระเจา
แลว ถึงแมจะเปนชวงเวลาสั้น ๆ มันก็ยังดีกวาไมไดทําเลย นี่คือความโชคดีและร่ํารวยอยาง
มากมายมหาศาล ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได การอยูในหองที่สวางแมเพียงชั่วอึดใจ
เดียวก็ยังดีกวาการอยูในหองมืดถึงลานป ดิฉันเชื่อเชนนั้นนะ

62
ดิฉันอยากจะถือโอกาสนี้อธิบายใหคุณทราบวา ทําไมคุณจึงรูสึกเปนสุขมากเมื่อมี
โอกาสพาตัวใจกลับมาอยูกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ คุณจําเรื่องรถไฟสองขบวนที่วิ่งดวยความเร็ว
เทากัน ที่ไอนสไตนพูดถึงเมื่อเขาพยายามอธิบายเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพไดหรือไม เรื่อง
รถไฟสองขบวนวิ่งในระดับเดียวกันนี้ เปนเรื่องที่ดิฉันเรียนจากคุณครูสอนวิทยาศาสตรตั้งแต
สมัยที่ดิฉันเรียนอยูชั้นมัธยมปลายแลว ซึ่งดิฉันก็ไมเคยคิดถึงมันอีกเลยจนกระทั่งในชวงสี่
ห าปใหหลังนี้ ดิฉันเริ่มคิดถึงมัน
บอยขึ้น ตอนนั้นก็ไมรูวาทําไม รูแตวาอยากจะนําเรื่องนี้มา
เชื่อมโยงกับงานเขียนของดิฉันไมทางใดก็ทางหนึ่ง แตก็ไมสามารถทําไดสักที

จนกระทั่งเทอมฤดูใบไมรวงที่ดิฉันเพิ่งสอนเสร็จกอนคริสมาสนี้เอง มีวันหนึ่ง ดิฉันต


องรอง “ยูริกา” ออกมาอีกอยางดีใจ เพราะสามารถคิดเรื่องนี้ออกไดอยางฉับพลันทันใด
เหมือนการตรัสรู simultaneous enlightenment เล็ก ๆ นอย ๆ อยางคุณอาคีมีดีสนี่แหละ
มาบัดนี้ ดิฉันจึงสามารถนําความคิดเรื่องรถไฟสองขบวนมาพูดและทําใหมันเปนขอ
เปรียบเทียบของดิฉันเองเพื่อชวยใหลูกศิษยเขาใจเรื่องการฝกปฏิบัติสติปฏฐานสี่ไดดีขึ้น

นี่จึงเปนครั้งแรกที่ดิฉันจะอธิบายเรื่องนี้ดวยการเขียน กรุณาติดตามใหดีนะคะ เพราะ


ถาคุณสามารถเขาใจไดแลวละก็ คุณจะมีเหตุผลที่ดีที่จะใหกําลังใจและชวยกระตุนใหคุณ
ปฏิบัติสติปฏฐานมากขึ้น1

คําใหญ ๆ
หากคุณไดอานหนังสือของดิฉันทุกเลมแลวละก็ คุณคงตองทราบแลววา สิ่งที่ดิฉัน
เรียกวา “คําใหญ ๆ” นั้น ดิฉันหมายถึง พระนิพพาน พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต ชีวิตอมตะ
สัจธรรมอันสูงสุด ซึ่งดิฉันไดตั้งคําศัพทของตนเองขึ้นใหมวา ผัสสะบริสุทธิ์ ซึ่งคําเหลานี้
ลวนเปนสภาวะเดียวกับ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ดิฉันมักจะเลี่ยงคําใหญ ๆ ที่อิงศาสนาเหลานั้นเสมอ
และใชคําวา ผัสสะบริสุทธิ์ แทน แตดวยขอเปรียบเทียบที่จะนําเสนอนี้ ดิฉันจะสามารถนําคํา
ใหญ ๆ เหลานี้มาพูดประสานกันไดอยางสอดคลองกับ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งไมไดเปนคําที่เนื่อง
กับศาสนาแตอยางใด เปนคําที่มนุษยทุกคนบนโลกนี้สามารถเชื่อมโยงไดงาย ๆ

ผูรู องคประกอบที่ขาดไมได
เพื่อชวยใหคุณสามารถไปถึงเปาหมายปลายทางของชีวิตไดเร็วขึ้น ดิฉันจะเริ่มตน
ดวยการอธิบายเรื่อง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ วามันมีหนาตาอยางไรเสียกอน
คุณอาจจะคิดวานั่นเปนคําพูดที่แสนประหลาดและเปนสิ่งที่คุณไมเคยคิดมากอน
ทําไมจึงตองรูจักหนาตาของที่นี่ เดี๋ยวนี้ ดวย และจะรูจักมันไดหรือ เพราะมันเกี่ยวของกับ
เรื่องเวลาซึ่งไมนาจะมีรูปรางหนาตา ตรงนี้ละคะ คือเหตุผลที่คนไมรูจักพระเจากับพระ
นิพพาน เพราะเขาไมรูจักหนาตาของ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปรียบเหมือนวา คุณตองการมาหาบาน
หลังหนึ่ง แตคุณกลับไม รูวาบานหลังนั้นมีหนาตาอยางไรบานเลขที่เทาไร ถนนไหน เมือง
ไหน ประเทศไหน เมื่อคุณไมมีขอมูลพื้นฐานเหลานี้ แลวคุณจะไปหาบานหลังนั้นพบได
อยางไร ยอมเปนไปไมไดแนนอน โดยเฉพาะอยางยิ่ง นี่เปนเรื่องนามธรรม เรื่องของชีวิต
จิตใจ จึงยากมากขึ้นหลายเทาตัว จําเปนอยางยิ่งที่ตองมีผูรูนําทาง เพราะผูรูจริงจะรูจัก
หนาตาของพระนิพพานหรือพระเจา จึงสามารถบอกทางคุณได หรือ บอกใหคุณมองหาบาน
ที่มีลักษณะเชนนี้ ๆ
1
หลังจากที่คิดเรื่องนี้ออกครั้งแรกในชวงเวลานั้นแลว ดิฉันก็ไดพยายามพัฒนาความคิดนี้มาโดยตลอดเพื่อทําใหมันชัดเจนมากขึ้นเสมอ การมาเขียนบทนี้เปน
ภาษาไทยโดยคิดวาจะแปลจากฉบับภาษาอังกฤษนั้น ดิฉันก็พบวา ความคิดของดิฉันไดเปลี่ยนไปอีก สามารถพูดใหชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น การอธิบายเรื่องรถไฟ
สองขบวนเพื่อใหคนเขาถึงพระนิพพานจึงมีรายละเอียดมากกวาภาษาอังกฤษฉบับดั้งเดิม คุณสามารถอานการอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมไดในหนังสืออวดอุตริมนุสธรรมที่
มีในตน หนา ๔๓๖-๔๓๘

63
ในกรณีของคุณซึ่งเปนชาวคริสต และ รักพระเจามาก หากคุณตองการไปใหถึง
ดินแดนของพระเจาละก็ แนนอน คุณจําเปนตองมีขอมูลหลัก ๆ วา อาณาจักรของพระเจาอยู
ที่ไหนเสียกอน มีหนาตาอยางไร นี่ก็เปนสิ่งที่ชาวพุทธอยางดิฉันตองทราบเชนกันวาพระ
นิพพานอยูที่ไหนและมีหนาตาอยางไรเสียกอน จึงไปหาถูก มิเชนนั้นแลว คุณในฐานะผู
เดินทางจะเริ่มตนไมถูกเลย ซึ่งคุณยอมเห็นแลววา ผูนําทางที่รูทางจริง ๆ หรือ ผูรู หรือ ไกด
ของชีวิตนี่เปนองคประกอบที่สําคัญมากที่สุดที่จะชวยใหผูเดินทางชีวิตทั้งหลายไปถึง
เปาหมายปลายทางของชีวิตได หากไมมีบุคคลเหลานี้มาชวยนําทางใหเราแลว การเดินทาง
ยอมไมเกิด ชาวคริสตก็มีพระคริสตเปนผูนําทางชีวิต ชาวพุทธก็มีพระพุทธเจาเปนผูนําทาง
ชาวอิสลามก็มีพระอัลเลาะหเปนผูนําทาง เปนตน

ปจจุบันจริง ๆ คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้


ดิฉันจึงขอสรุปกอนวา หากคุณตองการรูจักพระเจาของคุณละก็ คุณตองพยายามทํา
ความเขาใจเรื่อง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ใหไดเสียกอน
ชาวพุทธที่ฝกวิปสนาหรือสติปฏฐานสี่นั้น ครูบาอาจารยมักเตือนเสมอวาขอใหจับ
“ปจจุบันขณะ” ใหทัน ซึ่งคนสวนมากจะรูสึกเหมือนกันหมดวา การจับปจจุบันนี้ไมใชเรื่อง
งายเลย ไมรูจะจับอยางไร มันจึงจะอยูมือ จับ ๆ อยู เดี๋ยวมันก็หลุดมือไปแลว คิดฟุงซานอีก
แลว ตรงนี้แหละ เราจึงตองมาทําความรูจักกับตัวปจจุบันจริง ๆ นี้เสียกอน รูจักหนาตามัน
เสียกอน จะไดจับใหมันติดคามือเราได
ตัวปจจุบันจริง ๆ ก็คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง ขอใหคุณหานาฬิกามาเรือนหนึ่งซึ่งมีเข็ม
วินาทีที่ไมไดหยุดเปนทอน ๆ แตเปนเข็มวินาทีที่กวาดไปตลอดเวลาอยางไมหยุดยั้ง อยา
เอานาฬิกาดิจิตอลนะคะ มันไมมีประโยชนสําหรับงานนี้คะ นาฬิกาบางยี่หอจะมีเข็มวินาที
ชนิดกวาดไปตามหนาปดคะ ไมตองไปซื้อนะคะ ขอใหนึกภาพเทานั้น ธรรมชาติของที่นี่
เดี๋ยวนี้ มีการเคลื่อนที่เหมือนกับเข็มวินาทีที่กวาดไปตลอดเวลา อยางไรก็อยางนัน ้ ละคะ ที่นี่
เดี๋ยวนี้ เคลื่อนไปในลักษณะคงที่ สม่ําเสมอ และแนนอน ตั้งแตเมื่อไรและจะไปจบที่เมื่อไร
ไมตองถามนะคะ มันไมสําคัญ ไมจําเปนตองรู2

เขาถึงสัจธรรมในฐานะที่เปนที่นี่ เดี๋ยวนี้3
ถาคุณเคยนั่งรถไฟแลว คุณจะรูวาหากรถไฟสองขบวนสามารถวิ่งดวยความเร็ว
พรอมกันแลว คนที่นั่งอยูริมหนาตางของรถไฟที่หันหนาเขาหากันนั้นจะไมรูวาตนเองกําลัง
เคลื่อนที่อยู หากไมมองไปที่เสาไฟฟาขางทาง ตองสมมุติตอเสียหนอยวา รถไฟคันที่เรานั่ง
อยูนั้นสามารถวิ่งไดราบเรียบโดยไมมีการสั่นสะเทือนใด ๆ เลย แมน้ําในแกวก็ไมกระเพื่อม
แมแตนอยนิด เมื่อดิฉันเปนเด็ก ๆ ดิฉันมักตองขึ้นรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลําโพงไปหา
คุณพอที่ลพบุรเี มื่อปดเทอม จึงสังเกตเห็นขอเท็จจริงนี้ เมื่อมาเรียนเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพ
อยางยอ ๆ คุณครูชั้นมัธยมพูดเรื่องรถไฟสองขบวน จึงเขาใจไดทันทีเพราะมีประสบการณ
มากอน

2
ความคิดเรื่องเวลา และการเคลื่อนไปอยางคงที่ สม่ําเสมอ ไมเปลี่ยนแปลง ที่จริงแลว เปนความคิดของ ไอแซค นิวตัน เอกภพในสํานัก
นิวตันนั้นเห็นวา เวลาเคลื่อนไหลไปในอัตราคงที่ ไมผันแปร และจะเปนเชนนี้ ตลอดกาล ซึ่งเขาใจไดงายกวาการมองเอกภพและเวลาของ
ไอนสไตนที่เห็นอวกาศและเวลายืดหดได หลักการเรื่องเวลาของนิวตันจึงเปนสิ่งที่ดิฉันพูดถึงในบทนี้ สวนเรื่องจุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุด
ของเวลาเปนคําถามประเภทอจินไตย ไมจําเปนตองรู
3
อานบทที่สาม เรื่อง พระนิพพานอยูที่ไหน และ บทที่สี่ เรื่อง สัจธรรมอันสูงสุดอยูที่ไหน ในหนังสือเรื่อง ใบไมกํามือเดียว เขียนโดย ศุภวรรณ กรีน

64
สิ่งที่ดิฉันตองการเปรียบเทียบคือ จะสมมุติใหรถไฟขบวนแรกเปนเวลาปจจุบันจริง ๆ
หรือ “รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้” สวนรถไฟขบวนที่สองที่จะเดินขนานกับรถไฟขบวนแรกคือตัว
เรา ตัวมนุษยแตละคนที่มีจิตใจ หรือ มีความคิด ความจํา ความรูสึก รถไฟขบวนที่สองนี้
ดิฉันจะเรียกมันวา “รถไฟขบวนชีวิต” เพราะเปนสิ่งเปรียบเทียบกับชีวิตของมนุษยทุกคน
เปาหมายที่เราตองการบรรลุคือ เราในฐานะที่เปนรถไฟขบวนชีวิตนี้ จะตองสามารถ
ขับรถไฟของเราเพื่อวิ่งใหไดระดับเดียวกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ที่วิ่งดวยความเร็วคงที่
อยางสม่ําเสมอ วิ่งไปเรื่อย ๆ ของมันอยูเชนนั้นอยางไมเคยหยุดยั้งเหมือนเข็มวินาทีของ
นาฬิกาที่กวาดไปเรื่อย เมื่อรถไฟสองขบวนนี้สามารถวิ่งไดระดับเดียวกันแลวละก็ คาคงที่
ระหวางขบวนจะเกิดขึ้นทันที โดยที่ตัวเราจะสามารถประกบ เดินเคียงขางกับที่นี่ เดี๋ยวนีไ้ ด
ทันที หรือสามารถอธิบายไดเชนกันวา ในขณะนั้น ๆ ตัวเราไดกลายเปนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตัวเรา
ไดกลายเปนปจจุบันขณะแลว และหากที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ สัจธรรมอันสูงสุด ยอมหมายความวา
ตัวเราไดเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดในลักษณะเชนนี้

วาดภาพที่ ๑ วาดรูปของรถไฟสองขบวนเดินขนานกัน (ในลักษณะขวางหรือตั้งก็ได) ขบวน


ซายมือเขียนวา รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ขบวนขวามือเขียน รถไฟขบวนชีวิต ในระหวางรถไฟ
สองขบวนทําลูกศรขวาง <------ และเขียนใตภาพวา
“เมื่อรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ กับรถไฟขบวนชีวิตวิ่งไดระดับเดียวกันแลว จะเกิดคาคงที่หรือ
คาปกติของจักรวาล มนุษยเขาถึงสัจธรรมไดดวยวิธีนี้”

ถาแทนรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปนคําใหญ ๆ ของศาสนา


คุณจะเห็นไดชัดเจนมากขึ้น หากดิฉันจะเรียกรถไฟขบวนแรกวา ขบวนพระเจา
แทนที่จะเรียกขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ เมื่อใดที่คุณผูขับ
รถไฟชีวิตสามารถวิ่งไดระดับเดียวกับ
รถไฟขบวนพระเจาแลวละก็ เมื่อนั้น คุณก็สามารถเดินเคียงขางไปกับพระเจาของคุณทันที
คุณจะสามารถเห็นใบหนาของพระเจาไดชัดเจน การเขาถึงดินแดนของพระเจาคือ การ
เขาถึงไดดวยวิธีนี้

วาดภาพที่ ๒ ใหเหมือนภาพแรก แตใหมีคนหนึ่งคนนั่งอยูริมหนาตางบนรถไฟทั้งสองขบวน


มองหนาเขาหากัน เขียนภายใตภาพวา “เมื่อรถไฟขบวนชีวิตวิ่งไดระดับเดียวกับรถไฟขบวน
พระเจาหรือพระนิพพานแลว เจาของชีวิตก็จะเห็นหนาพระเจาหรือพระนิพพานไดอยาง
ชัดเจน”

หากรถไฟขบวนแรกเปนตนไมแหงชีวิต The Tree of Life ขอใหคุณนึกภาพที่


สนุกสนานเชนนี้วา เมื่อคุณสามารถนํารถไฟชีวิตมาวิ่งขนานกันแลวละก็ เมื่อนั้น พระเจา
กําลังหยิบยื่นผลไมแหงชีวิตจากรถไฟขบวนของทานใหกับคุณอยู คุณก็สามารถรับผลไมนั้น
จากมือของพระเจาไดอยางงายดาย ไมหลุดจากมือ เพราะคุณสามารถขับรถไฟขบวนชีวิต
ของคุณไดระดับเดียวกับขบวนของพระเจา คุณจึงสามารถรับประทานผลไมจากตนไมแหง
ชีวิตที่พระเจาไดประทานใหคุณในลักษณะเชนนี้

วาดภาพใหผูอานเห็นพระเจากําลังหยิบยื่นผลไมแหงชีวิตใหกับคน ๆ หนึ่งในรถไฟขบวน
ชีวิต

หากรถไฟขบวนแรกเปนขบวนพระนิพพาน เมื่อนั้น คุณก็ไดเขาถึงพระนิพพานแลว


เห็นหนาตาของพระนิพพานวาเปนอยางไรแลว เพราะกําลังเดินขนานกับพระนิพพาน

65
หากรถไฟขบวนแรกเปนการใชชีวิตอยางเปนอมตะ หรือ การเขาถึงสภาวะของ เตา
การสามารถขับรถไฟขบวนชีวิตใหขนานกับขบวนแรกได เมื่อนั้น คุณก็กําลังใชชีวิตอยาง
เปนอมตะแลว หรือ เขาถึงสภาวะของเตาแลว

โดยใชการเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนที่วิ่งขนานกันเชนนี้ คุณจะเห็นภาพพจน
ไดชัดเจนมากขึ้นวา สภาวะสัจธรรมอันสูงสุดไมไดเปนสภาวะที่อยูนิ่ง ๆ ไมเดินเหินแตอยาง
ใด เพราะอยางที่ไอนสไตนไดพูดแลววา ทุกสิ่งทุกอยางในเอกภพทั้งหมดนี้กําลังเคลื่อนอยู
อยางไมหยุดยั้ง รวมทั้งเวลา นี่จึงเปนความยากของการเขาถึงสัจธรรมในขั้นสูงสุด เพราะ
มันไมไดอยูนิ่ง ๆ ใหเราจับจองได แตะตองไดเหมือนวัตถุที่จับมาวางใหมันอยูนิ่งเฉยได
ฉะนั้น การเขาถึงสัจธรรมสูงสุด เขาถึงพระเจา เขาถึงนิพพาน เขาถึงชีวิตอมตะ จําเปนตอง
ทําใหมันเกิดขึ้นดวยวิธีการของการขับรถไฟชีวิตใหวิ่งทันกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไมใช
ทันเทานั้น ตองอยูในลักษณะที่มีความเร็วเทากันอยางสนิท ไมเหลื่อมล้ํา หรือตางระดับกัน
แมแตนอยนิด เพราะหากพระเจากําลังหยิบยื่นผลไมแหงชีวิตใหคุณละก็ คุณขับรถไฟ
เหลื่อมล้ําไปเพียงนิดเดียวเทานั้น คุณก็ควาผลไมนั้นไมไดแลว จึงตองใหพอดิบพอดีจริง ๆ
พอทําไดแลวละก็ เมื่อนั้น เราในฐานะปจเจกชนจะเขาถึงสัจธรรม เขาถึงพระเจา พระ
นิพพาน ที่นําความสุขอันเปนอมตะใหเราไดทันที

ความคิดเปนตัวแปร
หากเรากําลังพูดถึงรถไฟสองขบวนจริง ๆ แลว ยอมไมมีปญหา เพราะไมใชเรื่องยาก
ที่จะทําใหรถไฟสองขบวนวิ่งในระดับเดียวกัน ปญหาอยูตรงที่วา เรื่ องรถไฟนี้เปนเพียงสิ่ง
เปรียบเทียบเทานั้น รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไมมีปญหา เพราะมันวิ่งของมันเองอยูเชนนั้น
อยางสม่ําเสมอ ไมชา ไมเร็ว รักษาระดับอยางคงที่มาโดยตลอด ตั้งแตเมื่อไรจนถึงเมื่อไร
ไมตองถาม จึงเปนปจจัยคงที่ ไมเปลี่ยนแปลง เปนอนันตกาล ปญหาอยูที่รถไฟขบวนชีวิต
คือ มนุษยปจเจกชนคนหนึ่ง ๆ ที่มีความคิด ความจํา กับความรูสึก หรื อ มีเจอรี่อยูในหัวในใจ
ทั้งสิ้น เจอรี่นี้แหละที่จะสรางปญหาทําใหรถไฟชีวิตวิ่งชาหรือเร็วกวาขบวนแรกเสมอ และ
อยางที่คุณบอกนั่นแหละ คุณไดรูฤทธิ์ของเจอรี่แลววามันมีเลหเหลี่ยมแพรวพราวมากแค
ไหน

ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มีพื้นที่เล็กและบางมาก


หากคุณเขาใจธรรมชาติของปจจุบันขณะหรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไดอยางถองแทจนถึงแกน
ของมันแลวละก็ คุณจะเห็นวา ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปนเหมือนหมอนอิงที่อยูระหวาง “อดีตหมาด ๆ”
กับ “อนาคตจวนเจียน” เสมอ เพราะที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไมไดอยูนิ่ง ๆ มันเคลื่อนตลอดเวลา ฉะนั้น
ในขณะที่ ปจจุบันขณะกําลังเคลื่อนไปในอัตราคงที่นั้น มันจะสรางอดีตหมาด ๆ กับอนาคต
จวนเจียนเสมอ ไมเชื่อ คุณก็ลองหันกลับไปดูที่หนาปดนาฬิกาอีกครั้ง พื้นที่เล็ก ๆ ที่เข็ม
วินาทีกวาดไปนั้นคือ ปจจุบันขณะที่แทจริง หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งมีเพียงนิดเดียวเทานั้น และ
มันก็ไมไดจับจองที่ไวถาวรเลย มันเคลื่อนไปเรื่อย จึงมีอดีตและอนาคตที่สด ๆ รอน ๆ เสมอ
เชนกัน อดีต กับ อนาคต จะกินพื้นที่ของชีวิตมากกวาปจจุบันขณะหรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งกินที่
นิดเดียว คุณดูหนาปดนาฬิกาอีกสิ เข็มวินาทีกินที่นิดเดียวเสมอ พื้นที่นอกเหนือจากนั้น
ตั้งแตเลข ๑๒ จนจดเลข ๑๒ อีก ลวนเปนอดีตและอนาคตทั้งสิ้น ขอใหคุณอยาลืมวา เรา
ไมไดพูดถึงเวลาเพียง ๒๔ ชั่วโมงเทานั้นนะ เพราะทุกอยางที่ผานพนจากที่นี่ เดี๋ยวนี้ แลว
ลวนเปนอดีตหมด อะไรที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ยังเลียไมถึงจึงจัดเปนอนาคตหมด

ความคิดคือกลองเวลาของอดีตและอนาคต

66
เพื่อการเขาใจอยางรวบรัด ดิฉันอยากใหคุณเขาใจวา ทุกครั้งที่คุณคิด แมคุณจะ
กําลังคิดเรื่องกลาง ๆ ของปจจุบันอยูแท ๆ ก็ตาม ขอใหคุณเชื่อดิฉันวา ในขณะนั้น ๆ คุณ
กําลังติดอยูในกลองเวลาของอดีตและอนาคตแลวโดยไมมีทางเลือก เชน คุณมองไปที่
กําแพงขางหนาคุณที่ทาสีเขียว และคุณก็คิดโดยการพูดดัง ๆ ในหัววา “กําแพงสีเขียว”
เทานั้นแหละ ฟงดูแลว ไมเห็นนาจะเปนอดีตหรืออนาคต แตที่จริง เปนแลวคะ คุณ ไดติดอยู
ในกลองเวลาของอดีตแลว เพราะอะไร เพราะคําวา กําแพง กับ สีเขียว ลวนเปนความรูที่
คุณไดจํามาจากอดีต จริงหรือไม คุณมองสิ่งกอสรางสี่เหลี่ยมที่อยูเบื้องหนา คุณจําไดวา
ของหนาตาอยางนี้เรียกวา กําแพง เมื่อคุณเห็นสี คุณก็จําไดวา สีเชนนี้เขาเรียก สีเขียว4

ฉะนั้น คุณเห็นแลวหรือยังวา แมความคิดที่คุณคิดวาเนื่องกับปจจุบันแท ๆ เชน


กําแพงสีเขียว นี้ก็ยังกลายเปนเรื่องของอดีตไปได แมลมหายใจเขาออกของคุณที่กําลังเกิด
เดี๋ยวนี้ก็ยังเต็มไปดวยอดีตหมาด ๆ และอนาคตจวนเจียน ตลอดเวลา แลวคุณจะเอาอะไร
กับความคิดกลุมที่คุณคิดถึงเรื่องราวของอดีตจริง ๆ เชน เรื่องราวที่เกิดเมื่อนาทีกอน ชั่วโมง
กอน เมื่อเชานี้ เมื่อคืนนี้ เมื่อวานนี้ เมื่อวานซืน เมื่ออาทิตยกอน เดือนกอน ปกอน สิบปกอน
หาสิบปกอน รอยปกอน พันปกอน หาพันปกอน หรือ ลาน ๆ ปกอน ทุกครั้งที่คุณคิดเรื่อง
ของอดีตเหลานี้ ก็เทากับคุณกําลังนั่งแชอยูในกลองเวลาของอดีต หากคุณกําลังคิดเรื่อง
ของอนาคต คุณก็กําลังนั่งแชอยูในกลองเวลาของอนาคต และคุณก็นั่งแชอยูเชนนั้น ไมได
เคลื่อนไปไหนอยางแทจริงเลย ในขณะที่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เดินไปขางหนาอยางไมหยุดยั้ง การ
ติดในความคิดนี้แหละเปนเรื่องการเดินทางไปกับยานพาหนะเวลา time machine ใน
ความหมายที่ลึกซึ้งกวาเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตรมากมายนัก
อยาเพิ่งตกใจนะคะ หากดิฉันพูดวา ความรูทางโลกทั้งหมดที่คุณกําลังไขวควาดวย
ความเครียดเพื่อใหไดปริญญามาอยางยากลําบากนั้น ลวนเปนเรื่องของการศึกษาที่ติดอยู
ในกลองเวลาทั้งสิ้น ยังไมไดเขาใกลสัจธรรมเลยแมหลายสาขาอางวากําลังแสวงหาอยูก็
ตาม โดยเฉพาะดาราศาสตร กวาแสงของดาวบางดวงเดินทางมาถึงโลก ดาวดวงนั้นก็
สาบสูญไปนานมากแลว แตไมตองตกใจ ละทิ้งการเรียนนะคะ ความรูทางโลกก็สําคัญและ
ยังจําเปนอยูอยางแนนอน เพียงแตวา ถาจะใหดีที่สุดแลว ควรเรียนเคียงคูไปกับความรูของ
พระพุทธเจาดวยเทานั้น ก็จะสมบูรณ ไมแตกซาน ไมสรางปญหา ไมเปนความรูเหมือนดาบ
สองคม

ความคิดทําใหรถไฟสองขบวนวิ่งตางระดับกัน
เมื่อนําเรื่องกลองเวลาของอดีตและอนาคตมาเปรียบเทียบกับรถไฟสองขบวนนี้แลว
ยอมหมายความวา ทุกครั้งที่คุณกําลังคิดถึงอดีตนั้น รถไฟชีวิตจะเดินชากวารถไฟขบวนที่นี่
เดี๋ยวนี้ และเมื่อใดที่คุณกําลังคิดถึงเรื่องราวของอนาคตแลวละก็ คุณก็กําลังนั่งอยูในกลอง
เวลาของอนาคต จึงทําใหรถไฟชีวิตวิ่งขึ้นหนา เร็วกวารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไปทันที
ฉะนั้น จึงขอใหเขาใจเชนนี้วา ทุกครั้งที่คุณคิดเทานั้นแหละ คุณก็ไดเขาไปนั่งใน
กลองของเวลาที่เปนอดีตหรืออนาคตแลวทันที คุณจึงไมสามารถขับรถไฟชีวิตใหไดระดับ
เดียวกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ รถไฟของคุณถาไมวิ่งชาเกินไป ก็วิ่งเร็วเกินไป จึงใชไมได
หากใหรถไฟขบวนแรกเปนพระเจาหรือพระนิพพาน คุณก็พลาดที่จะเห็นหนาพระเจา
หรือพระนิพพานอยางเต็มที่ พลาดโอกาสที่จะอยูกับพระเจาหรือพระนิพพาน เพราะคุณวิ่ง
ไมไดระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจาหรือขบวนพระนิพพาน

4
ในบทที่สองของหนังสือเลมนี้ ดิฉันเคยบอกคุณ แลววา ความจํา หรือ สัญญาขันธ คือ ความคิดทุกอยางที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตทั้งสิ้น

67
วาดรูปรถไฟขบวนที่นี่เดี๋ยวนี้ใหอยูซายมือ สวนขบวนชีวิตที่ อยูขวามือนั้นใหวาดเหลื่อมไป
ดานหลัง มีคนหนึ่งคนนั่งอยูที่ริมหนาตางทั้งสองขบวน เขียนลูกศรขวาง <------ ที่อยู
ระหวางกลาง เขียนใตภาพวา “เมื่อเจาของชีวิตติดอยูในความคิดของอดีต รถไฟขบวนชีวิต
จะเดินชากวารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทําใหคาคงที่ของจักรวาลหายไป จึงไมไดใชชีวิตอยู
กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ จึงไมเห็นหนาพระเจา จึงไมรูจักพระนิพพาน”

หากใหรถไฟขบวนแรกเปนพระเจาผูกําลังหยิบยื่นผลไมแหงชีวิตใหคุณ และคุณติด
ความคิดของอดีตอยู คุณก็ไมสามารถรับผลไมชีวิตจากพระหัตถของทานได เพราะวิ่งไมทัน
ทาน จึงพลาดโอกาสรับประทานผลไมแหงชีวิต
วาดรูปของพระเจาหยิบยื่นผลไมชีวิตใหในรถไฟขบวนหนึ่ง และรถไฟชีวิตอยูเยื้อง
ไปดานหลัง เขียนใตภาพวา เมื่อติดความคิดของอดีต ก็ไมสามารถรับผลไมแหงชีวิตจาก
พระหัตถของพระเจาได

ในทํานองเดียวกัน หากใหรถไฟขบวนแรกเปนสัจธรรมอันสูงสุด หรือเปนการใชชีวิต


อยางเปนอมตะ Eternal life คุณก็พลาดโอกาสเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุด หรือพลาดการใช
ชีวิตอยางเปนอมตะ เพราะคุณไมสามารถขับรถไฟของคุณใหไดระดับเดียวกับขบวนที่นี่
เดี๋ยวนี้ นั่นเอง

ในทางตรงกันขาม หากคุณติดอยูกับความคิดของอนาคต รถไฟขบวนชีวิตของคุณก็


จะวิ่งเร็วกวารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ขบวนพระเจา พระนิพพาน สัจธรรมอันสูงสุด หรือ ขบวน
ชีวิตอมตะ คาคงที่ของจักรวาลจึงหายไป ทําใหคุณมองไมเห็นพระนิพพานหรือพระเจา

วาดรูปรถไฟขบวนที่นี่เดี๋ยวนี้ใหอยูซายมือ สวนขบวนชีวิตที่ อยูขวามือนั้นใหวาดเหลื่อมไป


ดานหนา มีคนหนึ่งคนนั่งอยูที่ริมหนาตางทั้งสองขบวน เขียนลูกศรขวาง <------ ที่อยู
ระหวางกลาง เขียนใตภาพวา “เมื่อเจาของชีวิตติดอยูในความคิดของอนาคต รถไฟขบวน
ชีวิตจะเดินเร็วกวารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทําใหคาคงที่ของจักรวาลหายไปเชนกัน จึงไม
เห็นพระเจาหรือพระนิพพาน”

ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไมตองอาศัยความคิด


เมื่อความคิดทุกความคิดเปนเรื่องของอดีตและอนาคตแลวละก็ ยอมหมายความวา
ในขณะที่ผูขับรถไฟขบวนชีวิตสามารถทําใจใหอยูกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ปจจุบันขณะไดจริง ๆ
ในชวงเวลาสั้น ๆ บาง ๆ นั้นแหละ ภายในใจของผูขับรถไฟจะตองไมมีความคิดเลย ทันทีที่
ใจของเราปลอดจากความคิด (จิต) หรือ ทอมหลุดจากการถูกรบกวนของเจอรี่แลวละก็
ชวงเวลานั้นเองที่ผูขับรถไฟจะสามารถนํารถไฟขบวนชีวิตมาเดินขนานกับรถไฟขบวนที่นี่
เดี๋ยวนี้ไดทันที จึงสามารถเห็นใบหนาของพระเจา สามารถรับประทานผลไมจากตนไมแหง
ชีวิตที่พระเจาประทานให เห็นพระนิพพาน เห็นสัจธรรมอันสูงสุด และกําลังใชชีวิตอมตะอยู
ในภาคปฏิบัติจริง ๆ หากคุณตองการอยูกับปจจุบันขณะใหไดจริง ๆ ละก็ ไม
จําเปนตองไป “จับตัวปจจุบัน” ใหยุงยาก ทําอยางเดียวเทานั้น คือ พาตัวใจกลับบานที่หนึ่ง
กับสองโดยไมตองมีเสียงในหัว ขอใหรูลมหายใจ การเคลื่อนไหว และความรูสึกของกาย
อยางเงียบกริบในหัวจริง ๆ ทําเพียงเทานี้ก็คือ การจับตัวปจจุบันไดแลว อยูกับปจจุบันขณะ
แลว ทําเพียงเทานั้นก็ไดชนบานที่สี่แลว สามารถรับผัสสะอยางบริสุทธิ์แลว บานทั้งสี่หลัง
ทะลุกันเปนบานใหญหลังเดียวแลว คุณก็ไดขับรถไฟขบวนชีวิตของคุณขนานกับรถไฟ
ขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้แลว

68
ฉะนั้น ดิฉันจะสรุปใหคุณเห็นอยางชัดเจนในรูปของสมการ ดังนี้

อดีต อนาคต = ความคิด ความจํา ความรูสึก = ผัสสะไมบริสุทธิ์


ที่นี่ เดี๋ยวนี้ = ไมคิด ไมจํา ไมรูสึก (เฉย ๆ) = ผัสสะบริสุทธิ์

วาดรูปที่ ๕ รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้อยูซายมือ และขบวนชีวิตอยูขวามือ มีรูปของคน


ๆ หนึ่งนั่งริมหนาตางของทั้งสองขบวน เขียนลูกศร <------ ระหวางรถไฟสองขบวน และ
เขียนภายใตภาพวา “เมื่อเจาของชีวิตสามารถรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ รถไฟสองขบวนจะวิ่ง
ขนานกันทันที เขาถึงพระเจาและพระนิพพานทันที”

สัจธรรมไมสามารถเขาถึงไดดวยการคิด
การเปรียบเทียบดวยรถไฟสองขบวนเชนนี้จะสามารถทําใหคุณเห็นไดชัดเจนวา
ประสบการณของพระเจาและพระนิพพานนั้นไมใชเปนเรื่องของการจินตนาการดวยความคิ ด
นึกแตอยางใด แตเปนเรื่องการมีประสบการณ เปนเรื่องการใชอายตนะของเราเขาไปสัมผัส
ไปดู ฟง ดมกลิ่น ลิ้นชิมรส และสัมผัสกับตัวพระเจา ตัวพระนิพพาน หรือตัวสัจธรรมอยาง
แทจริง ซึ่งเปรียบเทียบไดกับลักษณะของการขับรถไฟขบวนหนึ่งใหไดระดับขนานกับรถไฟ
อีกขบวนหนึ่ง จึงจะเห็นหนาซึ่งกันและกันไดอยางชัดเจนเหมือนเปนคน ๆ เดียวกันดวยซ้ํา
นี่จึงเปนวิธีการเขาถึงปรากฏการณหนึ่งในธรรมชาติที่เปนสัจธรรม เปนความจริงในขั้น
อันติมะที่ไมมีอะไรอื่นไปเหนือมันไดอีกแลว

สัจธรรมเปรียบเทียบไดกับการเกิดขึ้นของ “ตัก”
ขอเปรียบเทียบอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถอธิบายการเกิดขึ้นของสภาวะสัจธรรม คือ
เหมือนการทําใหเกิดสภาวะของ “ตัก” ที่เกิดไดเมื่อนั่งลง และสามารถเอาของมาวางลง
หรือใหลูกหลานตัวเล็ก ๆ ไดนั่งเลน สภาวะตักนี้จะไมเกิด หากคนไมยอมนั่ง แตพอนั่งลงปุบ
ตักเกิดทันที การเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดจึงเหมือนการเกิดขึ้นของตัก ไมใชเปนเรื่องของการ
อานหนังสือใหรูวามีสภาวะตักเมื่อนั่งลง แตเปนเรื่องการทําสภาวะตักใหเกิดขึ้น ซึ่งแตกตาง
กันมาก ตอใหคุณรูวาตักเปนอยางไร เกิดไดอยางไรจากตํารับตํารา แตหากคุณไมยอมนั่ง
ตักก็จะไมมีวันเกิดขึ้นกับคุณ หากคุณเอาแตอานหนังสือที่เกี่ยวกับพระเจาหรือพระนิพพาน
แตไมยอมทําใหมันเกิดเปนจริงขึ้นมา คุณก็ไดแตตัวหนังสือ ไมมีวันไดของจริงแนนอน

วาดรูปที่ ๖ วาดภาพของคน ๓ คนที่กําลังยืน เดิน และนอน เขียนภายใตภาพวา


“สภาวะตักไมเกิดกับคนยืน เดิน และนอน เหมือนคนเขาไมถึงพระนิพพานเมื่อยังติดอยูใน
กลองความคิดของอดีตและอนาคต”

วาดรูปที่ ๗ วาดภาพของคนนั่งบนเกาอี้ และเขียนภายใตภาพวา “สภาวะตักจะเกิด


กับคนที่ยอมนั่งลงเทานั้น เมื่อตัวใจหลุดจากความคิดโดยการฝกพาตัวใจกลับบานแลว
เจาของชีวิตจะเขาถึงพระนิพพานไดทันทีในขณะนั้น ๆ”

จําเปนตองขอความชวยเหลือจากพระพุทธเจา
ฉะนั้น คุณจะเห็นไดวา ตัวปญหาใหญในที่นี้คือ ความคิด ที่ทําใหผูขับรถไฟชีวิตติด
อยูในกลองเวลาของอดีตและอนาคต จึงทําใหรถไฟชีวิตวิ่งไมไดระดับเดียวกับรถไฟพระเจา
หรือพระนิพพาน ตรงนี้แหละ มนุษยทุกคนจําเปนตองพึ่งพาความรูของพระพุทธเจา แลว
เพราะจู ๆ จะบอกใหคนไมคิด ไมจํา ไมรูสึก นั้น ยอมเปนไปไมได จําเปนตองทําอยางมี
หลักการ จําเปนตองมีผูรูจริงมาบอกให และพระพุทธเจาก็เปนมนุษยผูรูจริงทานแรกในโลก

69
ที่สามารถบอกเพื่อนมนุษยดวยกันไดวา จะทําอยางไรจึงจะทําใหความคิดหลุดออกและวาง
จากหัวของเราได เพื่อวาในขณะนั้น ๆ เราจะไดนํารถไฟชีวิตวิ่งไปใหไดระดับเดียวกับรถไฟ
ขบวนพระเจาหรือพระนิพพาน

สติปฏฐานสี่คือคําตอบ
วิธีการที่จะทําใจของเราใหวางจากความคิด ความจํา และความรูสึก ก็โดยการฝกสติ
ปฏฐานสี่ หรือ วิปสสนา ซึ่งภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับบาน Bringing your
mental self back home. ทุกครั้งที่ผูฝกสติปฏฐานสามารถพาตัวใจกลับบานหลังใดหลัง
หนึ่งในสี่บาน (สี่ฐาน) ไดแลว เมื่อนั้น ความคิด ความจํา ความรูสึก ซึ่งเปนกลองเวลาของ
อดีตและอนาคตก็จะหลุดลุยออกจากหัวของเรา ทําใหตัวใจของเราวางจากจิตหรือความคิด
หรือเจอรี่ จึงทําใหเราสามารถมายืนอยูตอหนาพระนิพพาน หรือ พระเจา หรือ สัจธรรมอัน
สูงสุดไดทันที รถไฟทั้งสองขบวนจึงสามารถวิ่งไดในระดับเดียวกันดวยวิธีการฝกวิปสสนา
หรือพาตัวใจกลับบานนี่เอง
โดยเฉพาะอยางยิ่ง หากผูปฏิบัติสามารถเขาบานที่สี่ไดแลว บานทั้งสี่หลังจะถูกทํา
ใหทะลุเปนบานหลังใหญมากหลังเดียวเทานั้น แตหลังเดียวนี้จะมีความใหญโต
ครอบจักรวาลเลยทีเดียว ผูปฏิบัติจะเกิดปญญาเขาใจชีวิตของตนเองอันเนื่องกับจักรวาลที่
ตนอยู การจะเขาบานหลังใหญหลังเดียวนี้ได คือ การปฏิบัติสติปฏฐานจนสามารถเขาบาน
ที่สี่หรือรับ “ผัสสะอยางบริสุทธิ์” ไดนั่นเอง

ใคร ๆ ก็คิดออกได
ดิฉันมีลูกศิษยชายคนหนึ่งชื่อจามาล เปนลูกครึ่งอังกฤษกับอิหรานและนับถือ
ศาสนาอิสลาม เปนชายหนุมหนาตาหลอเหลามีลักษณะของความเปนปญญาชนเต็มตัว
เรียนคณะวิศวกรรมศาสตร คุณพอเปนนักการเมือง จึงไมเชื่ออะไรงาย ๆ วันหนึ่งดิฉันได
อธิบายเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในลักษณะที่ดิฉันอธิบายในจดหมายนี้แหละ ดิฉันสังเกตไดวา หนุม
จามาลฟงอยางตั้งอกตั้งใจมากกวาใคร มีการพยักหนาแบบเห็นดวยอยูบอยครั้ง พอจบ
ชั่วโมง จามาลเขามาหาดิฉันและพูดอยางตื่นเตนวา
“คุณซูครับ ผมขออนุญาตคุยกับคุณสักครูไดไหมครับ ผมตองการใหคุณดูอะไรสัก
อยางหนึ่ง ผมตื่นเตนและดีใจมากที่สุดในสิ่งที่คุณไดพูดไปในชั่วโมงนี้ คุณไดใหคําตอบใน
สิ่งที่ผมตองการรูมานานแลว ผมตื่นเตนจนบอกไมถูกแลวครับนี่”
จามาลไดนํากระดาษขาวแผนหนึ่งออกจากกระเปาของเขา เมื่อคลี่ออก ก็เปนแผน
ใหญพอสมควร มีการขีดเขียนอะไรมากมาย ในทามกลางตัวหนังสือและภาพเหลานั้นก็มี
หนังสือตัวใหญ ๆ อยูตรงกลางแผนกระดาษที่ถูกขีดเสนใตสองเสนและกํากับดวยดาวใหญ
ๆ ทั้งสองดาน คํา ๆ นั้นคือ Here and Now หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้
และแลว จามาลก็เลาอยางตื่นเตนวา เมื่อสุดสัปดาหที่ผานมานี่เอง เขาไปเที่ยวที่
เวลสซึ่งมีภูเขามากมาย ไปคนเดียว วันที่เขาขีดเขียนสิ่งเหลานี้คือวันที่เขามานั่งอยูบนยอด
เขาลูกหนึ่ง จึงใชเวลาคิดถึงเรื่องราวอันเปนแกนสารของชีวิต นั่นเปนเทอมแรกที่จามาลมา
เรียนกับดิฉันและชั่วโมงนั้นคงจะเปนชั่วโมงที่ ๗ หรือ ๘ ของเทอมแลว คงจะไดรับอิทธิพล
จากสิ่งที่ดิฉันพูดไปแลวบาง
จามาลบอกวา เขาคิดไดถึงจุดที่เขาสรุปกับตัวเองวา แกนสารของชีวิตนาจะอยูที่
ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เขาจึ งขีดเสนใต กากบาทไวชัดเจนเชนนั้น แตเขาไมสามารถคิดตอไดวามันคือ
อะไร อยางไร จนกระทั่งดิฉันมาพูดเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในชั่วโมงนั้น เขาจึงตื่นเตนมาก บอกวา
อกแทบจะระเบิด และกลาวขอบคุณดิฉัน บอกวา ไมเคยคิดฝนเลยวาจะมีใครที่สามารถให
คําตอบในเรื่องที่เขาตองการไดชัดเจนเชนนี้ ดิฉันมีนักศึกษาชาวมุสลิมอยูหลายคน แตจา

70
มาลเปนนักศึกษามุสลิมคนแรกที่เขามาคุยอยางสนิทสนมนับจากวันนั้นเปนตนมา และได
5
เขียนเสียงสะทอน feedback ใหแกดิฉันถึงสองครั้ง
ดิฉันเลาเรื่องของจามาลใหคุณรับรู เพราะตองการใหคุณเห็นวาแมคนไมไดสนใจ
พระพุทธศาสนาเลย ก็สามารถคิดถึงเรื่องสัจธรรมได เพราะนี่เปนเรื่องสากล universal หาก
ตั้งใจคิดใหถี่ถวนและลึกซึ้งสักหนอย อยางทฤษฎีเอกภาพของไอนสไตนก็คือการคิดเรื่อง
สัจธรรมนั่นเอง ความคิดของจามาลก็เชนกัน เด็กหนุมคนนี้คิดไดไกลและลึกซึ้งมากถึง
ขนาดรูแลววา ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไดซอนคําตอบบางอยางของชีวิตไว เพียงแตยังจับตนชนปลาย
ไมถูกเทานั้น คนที่คิดลึกและคิดอยางรอบคอบถี่ถวนแลว จะมองออกไดไมยากเลยวา
นอกจากที่นี่ เดี๋ยวนี้แลว ไมมีอะไรจริงสักอยางเดียว
สิ่งที่จริงที่สุด ที่มีอะไรเปนตัวเปนตน เปนเนื้อเปนหนังจริง ๆ คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เทานั้น
ฉะนั้น ตัวสัจธรรม หรือ ตัวความจริงที่มันจริง ๆ ก็คือ ทุกอยางที่เราเห็นได สัมผัสไดใน
ขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง ก็คือ รูป รส กลิ่น เสิ ยง สัมผัส ของที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์
นั่นเอง ไมเชื่อ คุณก็ลองคิดตามดิฉันสิ
ไป ๆ มา ๆ การคิดที่ดิฉันเรียกวาลึกซึ้งนั้นกลับมาอยูในสิ่งที่ไมมีความลึกอะไรเลย
สัจธรรมในฐานะที่เปนผัสสะบริสุทธิ์ที่กําลังเกิดที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปนความจริงที่ไมมีความลึกซึ้ง
อะไรแมแตนิดเดียว เปนเรื่องตื้นที่สุดจนไมรูจะตื้นอยางไร ดังที่นักศึกษาหญิงของดิฉันคน
หนึ่งเคยรําพึงออกมาอยางไมเชื่อวา Is that it? เทานั้นหรือ จึงกลายเปนเรื่องยากที่สุด
เพราะคนสวนมากมองขามไปอยางสนิท แตถึงแมจะมองออกบางแลวอยางจามาล ถาไมมี
การอธิบายอยางที่ดิฉันกําลังทําในบทนี้ และไมนําเรื่องการพาตัวใจกลับบานเขามาแลว ก็
คงไมพนเรื่องการคิดอยางปรัชญา คือ มีแตความคิด แตไมรูวาจะเขาถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้ได
อยางไร

ตองฝกทักษะของการขับรถไฟ
ฉะนั้น คุณจะเห็นไดวา การเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดนั้นถูกตีวงแคบมาสูเรื่องเดียว
เทานั้น คือ ทําอยางไรเราจึงสามารถขับรถไฟชีวิตใหไดระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจา
หรือพระนิพพาน จะทําไดก็โดยการฝกสติปฏฐานหรือภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับสู
บานทั้งสี่นั่นเอง ไมวาผูฝกกําลังพาตัวใจกลับมาสูบานหลังใดหลังหนึ่งในสี่บานนี้ เมื่อนั้น ผู
ปฏิบัติก็จะปลอดจากความคิด หรือ มีตัวใจที่วางจากจิตทันที ในชวงขณะที่สั้น ๆ นั้นเอง
รถไฟสองขบวนไดวิ่งขนานกันแลว ฉะนั้น สิ่งที่ผูปฏิบัติจะตองทําคือ ฝกทักษะของการพา
ตัวใจกลับบานบอย ๆ เมื่อทักษะของเราดีขึ้นแลว เวลาที่เราสามารถเดินเคียงขางกับพระเจา
พระนิพพาน หรือ สัจธรรมอันสูงสุด ยอมยืดออกไป นานขึ้นเรื่อย ๆ ในลักษณะเชนนี้ จนใน
ที่สุด ทักษะของการขับรถไฟชีวิตขนานกับรถไฟขบวนสัจธรรมจะกลายเปนธรรมชาติของเรา
เอง จะสามารถใชชีวิตของทุกลมหายใจไดอยางรูตัวทั่วพรอม เปนธรรมชาติของมันเอง
เหมือนคนขับรถเกงเกงแลว พอนั่งหลังพวงมาลัยก็ขับไดอยางเปนธรรมชาติ เหมือนคนฝก
พูดภาษาอังกฤษเปนภาษาที่สอง เมื่อพูดไดเกงแลว ก็พูดไดอยางเปนธรรมชาติ ไมตองฝน
อีกแลว

ไอนสไตนขาดเครื่องมือ
ความคิดของไอนสไตนไมวาจะเปนเรื่องจุดนิ่งของจักรวาล The absolute ruling
point in nature หรือ ทฤษฎีสรรพสิ่งที่เขาปลุกปล้ําอยู ๓๐ ปนั้น ที่จริงแลว ลึกซึ้งมาก เขา
รูวาตองมีสิ่งหนึ่งที่สามารถใหคําตอบแกทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลได ซึ่งที่จริงมีอยู ดังที่
พระพุทธเจาตรัสวา “อายตนะนั้นมีอยู” อายตนะ ในที่นี้ ทานหมายถึงพระนิพพาน ถึงแมสัจ

5
คุณสามารถอานเสียงสะทอนของจามาลจากเว็บไซตของดิฉันภายใต Feedback from Supawan’s students

71
ธรรมของทุกสิ่งมีอยู แตไอนสไตนก็คนไมพบเพราะขาดเครื่องมือคือ ครูบาอาจารยที่
สามารถถายทอดความรูเรื่องวิปสสนา หรือ สติปฏฐานสี่ให นาเสียดายที่ไอนสไตนไมไดเกิด
ในเมืองพุทธ มิเชนนั้น อัจฉริยะบุคคลผูนี้อาจจะสามารถเปลี่ยนโฉมหนาของโลกยุคใหมให
เปนโลกที่นาอยูมากกวานี้ก็เปนได ความเปนอัจฉริยบุคคลของเขาบวกกับความรูเรื่องสติปฏ
ฐานสี่ยอมสามารถกอใหเกิดปฏิกิริยาลูกโซในแงของการสรางสรรคอารยธรรมที่เอื้ออํานวย
ใหมนุษยหันเขาหาสัจธรรมไดอยางแทจริง ดิฉันกําลังฝนอยูหรือเปลานี่?

สรุป
มาซง จากที่อธิบายมาโดยใชขอเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนนี้แลว คุณ คงจะ
เขาใจไดชัดเจนแลววาทําไมคุณจึงรูสึกเปนสุขมากขึ้นมาอยางฉับพลันทันใดเมื่อคุณ
สามารถพาตัวใจกลับบาน และมาอยูกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ เพราะในขณะนั้น คุณไดเขาถึงสัจธรรม
อันสูงสุดแลว ในฐานะที่คุณเปนชาวคริสต ก็เทากับวาคุณได ยางเขาไปในอาณาจักรของ
พระเจาแลว ไดกลับสูสวนอีเดนของทานแลว คุณจึงมีความสุขมาก เมื่อคุณกลับมาสูฐาน
ของสติเชนลมหายใจเทานั้น ปญหาในใจที่มากับความคิดจะหายไปเหมือนปลิดทิ้ง เจอรี่จะ
ปลอยทอมใหอยูสบายหนอย แตก็แนนอนแหละ คุณอาจจะอยูในดินแดนของพระเจาไมได
นาน เพราะทักษะในการขับรถไฟชีวิตของคุณยังไมเกง คือ คุณยังติดการคิด ยังปลอยวาง
ความคิดไมไดอยางทันทวงที จึงยังไมสามารถขับรถไฟชีวิตใหไดระดับเดียวกับรถไฟพระ
เจาตลอดเวลา
ก็ไมเปนไรนะ คอย ๆ ฝกไปนะคะ คุณโชคดีมากแลวที่เกิดมาเปนมนุษยและไดพบ
พระพุทธศาสนาทั้ง ๆ ที่อยูประเทศคามารูน ในทวีปอาฟริกาแท ๆ คุณไอนสไตนยังไมโชคดี
เทาคุณนะ ชาวพุทธไทยจะมองคุณในลักษณะที่มีบุญบารมีมากเลยคะ คนมีบารมีในทาง
ธรรม แมอยูไกลเพียงใด ก็ยังหาครูบาอาจารยพบจนได บางคนที่อยูแสนจะใกลชิดครูบา
อาจารยแท ๆ แตกลับไมไดความรูอะไรไปเลย นาเสียดายมาก เรื่องของบุญบารมีนี่ ไมเขา
ใครออกใคร ของใครก็ของเขาจริง ๆ เอานะคะ ฝกไปเรื่อย ๆ แลวคุณจะเกงขึ้นเอง อีก
หนอยก็จะสามารถอยูในดินแดนของพระเจาไดนานขึ้น

มาซง เนื่องจากวันนี้เปนวันที่สองของปใหม ดิฉันจึงขอถือโอกาสมอบจดหมายฉบับ


นี้เปนของขวัญวันปใหมใหคุณและลูกศิษยของดิฉน ั ทุกคนที่อาศัยอยูทั่วทุกมุมโลก โดยที่
ดิฉันจะสงเปนอีเมลใหพวกเขาไดอานกันเหมือนกับจดหมายฉบับกอน ๆ ที่ดิฉันเขียนใหลูก
ศิษยคนอื่น แตคุณก็ยังไดอานเชนกัน นี่ก็เปนวิธีการของดิฉันที่พยายามจะชวยกอบกู
วัฒนธรรมสติปฏฐานใหกลับมาสูสังคมโลกอีก อาจเปนเรื่องเพอฝนก็จริงอยู แตที่จริงแลว
หากคุณเปนเพียงคนเดียวในโลกที่พาตัวใจกลับบานได ดิฉันก็ พอใจแลวคะ
ขออวยพรใหคุณมีความสามารถขับขี่รถไฟของชีวิตไดเกง ๆ นะคะ ขอใหมีความ
อดทนตอสถานการณทุกอยางของชีวิต อยาทอถอย และกมหนากมตาฝกทักษะเรื่องการพา
ตัวใจกลับบานเสมอ ชีวิตของคุณจะเปนสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไมตกต่ําอีกแลวคะ

ดวยความเมตตา
ศุภวรรณ

72
บทที่เจ็ด
วิปสสนา: สูตรสําเร็จของสันติภาพของโลก
Vipassana: The Formula For World Peace

การคิดไดอยางกวางขวางของไอนสไตนจนทําใหเขาอยูในระดับอัจริยะบุคคล
แหงความเปนนักคิดนั้นไมมีอะไรซับซอนมากไปกวาการเดินลึกเขาไปในทอแหงความคิด
อันมีทางตันเปนที่สุด สิ่งที่มนุษยพยายามไขวควาหาอยูดวยความหวังวาจะสามารถมีชีวิต
อยูไดอยางเปนสุขจริง ๆ นั้นจึงเปนประสบการณที่ไมสามารถคิดคนและเขาถึงไดดวย
ความคิดและการคิดเพียงอยางเดียว จําเปนตองฟงผูรูตามพระพุทธเจาเทานั้น
ในทามกลางพระศาสดาทั้งหลายของโลก สิ่งที่ทําใหพระพุทธเจาเดนขึ้นมา
เพราะ หลังจากที่ทานไดคนพบสัจธรรมอันสูงสุดแลว ทานยังสามารถชี้แนวทางที่ชัดเจน
ใหกับผูแสวงหาทั้งหลายที่ตองการเดินตามรอยเทาของทาน เพื่อชวยใหคนเหลานี้สามารถ
เขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดเหมือนกับที่ทานไดเขาถึงแลว แนวทางของทานคือ มรรคมีองค
แปดที่ประกอบดวยศีล สมาธิ ปญญา แตหากพูดใหรัดกุมมากขึ้นก็คือ เรื่องมหาสติปฏฐานสี่
เปนเรื่องการทําความรูจักกับความคิดและเขาใจความเปนมายาของความคิดเพื่อมนุษยจะได
ไมถูกความคิดหลอกเอา

ความรูทางโลกกับทางธรรมตองไปพรอมกัน
แมความรูทางโลกจะสรางปญหา ก็ไมไดหมายความวา เราตองปฏิเสธความรู
ทางโลกอยางเด็ดขาดหากตองการมุงเอาความรูทางธรรม ไมใชเชนนั้น สิ่งที่ควรทําคือ
ระบบการศึกษาทางโลกจําเปนตองมีเปาหมายเพื่อชวยเหลือเพื่อนมนุษยใหบรรลุ
จุดประสงคทางธรรมไวกอน คือ กอบกูเอกราชที่แทจริงใหแกมนุษยชาติ หรือ ชวยพามนุษย
เดินกลับมาสูหลักนิ้วที่สามเพื่อทุกคนจะไดเดินทางออกจากอุโมงคชีวิตและกลับมาสูทุง
กวางที่จุด ก อันเปนพรมแดนสุดทายของชีวิต หากระบบการศึกษาของโลกตั้งอยูบน
หลักการของปญญา ศีล สมาธิ แลว การเรียนรูวิชาการทางโลกจะเปนไปอยางไมหลง
ทิศทางของชีวิต และจะสามารถเดินขนานกับความรูทางธรรมได
ในภาคปฏิบัติยอมหมายความวา วิปสสนาจะตองกลายเปนสวนหนึ่งของหลักสูตร
การศึกษา จะตองเปนหลักสูตรบังคับ เด็ก ๆ อนุบาลจนถึงนักศึกษาปริญญาเอกจะตองรูจัก
การใชตาใจ และรูวาจะพาตัวใจกลับบานไดอยางไร นี่เปนจุดเริ่มตนของการสรางวัฒนธรรม
สติปฏฐาน เมื่อปจเจกชนสามารถจัดการกับปญหาตาง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวในใจของตนเอง
โดยการพาตัวใจกลับบานแลว คนเหลานี้จะไมสรางปญหาใหแกสังคม สามารถอยูติดบาน
ใชชีวิตที่เรียบงาย ธรรมดา ๆ ปญหาสังคมก็จะนอยลง จากความสุขสงบในจิตใจของปจเจก
ชนแตละคน เมื่อนํามารวมกันเขา ก็จะกลายเปนความปกติสุขหรือสันติภาพของชาวโลกโดย
สวนรวม
ทานเหลาจื้อไดพูดวา ระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้น ชาวบานจะไมรูดวยซ้ําไปวา
มีผูปกครองอยู เพราะทุกคนลวนทํามาหาเลี้ยงชีพ รับผิดชอบตอครอบครัวของตน ใชชีวิต
อยางปกติธรรมดาซึ่งเปนการรักษาศีลอยางเปนธรรมชาติโดยไมรูวานั่นคือศีล สังคมเชนนี้
ฟงเหมือนอุดมคติที่เปนไปไมได แตที่จริงแลว เปนไปไดทีเดียว ถาระบบการศึกษาของโลก
มีเปาหมายอยู ที่การแสวงหาตนเองโดยมีวิป สสนาเป
 นหลักสูตรบังคับ

วิปสสนาคือสูตรสําเร็จของสันติภาพของโลก

72
นาเสียดายวาไอนสไตนไมมีโอกาสไดพบอาจารยสอนวิปสสนาในชวงชีวิตของ
เขา มิเชนนั้นแลว โลกนี้อาจจะมีอะไรที่ดีขึ้นกวานี้ก็เปนได หากไอนสไตนรูเรื่องและไดฝก
วิปสสนาแลว มันอาจจะหมายความวา คนทั่วโลกอาจจะยอมรับวิปสสนาในฐานะที่เปน
วิธีการทางวิทยาศาสตรที่สามารถชวยปรับสภาวะจิตใจของคนใหอยูในระดับปกติได การ
ยอมรับของไอนสไตนในเรื่องวิปสสนานี้ยอมเปนสิ่งที่กระตุนใหวงการวิทยาศาสตรวิจัยเรื่อง
จิตใจของมนุษยอยางถูกทาง ไมเปนไปอยางสะเปะสะปะเหมือนที่กําลังเปนอยู โดยการ
พยายามเอาผาปดตาออกจากอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ แทนที่จะไปผูกมัดใหมันแนนมากขึ้น
การวิจัยเรื่องจิตใจของมนุษยอยางถูกทางนี้อาจจะสามารถชวยมนุษยชาติจากวัฒนธรรมยา
เสพติดทั้งหลายที่สังคมมนุษยกําลังติดกับดักมันอยู นี่อาจจะเปนขาวรายตอผูหารายไดกับ
การผลิตและขายยาเสพติด แตยอมเปนขาวดีตอมนุษยชาติโดยสวนรวม
วิปสสนาจึงเปนสูตรสําเร็จของสันติภาพของโลก ซึ่งสันติภาพของโลกเปนสิ่งที่
ไอนสไตนตองการเห็นในตลอดชีวิตของเขา
หาก A มีคาเทากับความสําเร็จแลวละก็ สูตรสําเร็จควรเปนเชนนี้คือ A=X+Y+Z
X คือ การทํางาน Y คือ การเลน Z คือ การปดปากใหแนน
นั่นคือคําพูดของไอนสไตนโดยที่ไมเคยฝกวิปสสนา หากไอนสไตนมีโอกาสได
ฝกฝนวิปสสนาแลวไซร เขาอาจจะพูดเชนนี้ก็ได คือ
หาก A มีคาเทากับสันติภาพของโลกแลวละก็ สูตรสําเร็จควรเปนเชนนี้คือ
A=X+Y+Z X คือ การฝกวิปสสนาของชายทุกคน Y คือ การฝกวิปสสนาของหญิงทุกคน
Z คือ การปดปากใหแนน
หากชาวโลกสามารถทําตามสูตรสําเร็จนี้ไดแลวละก็ สันติภาพของโลกยอมเปน
สิ่งที่รับประกันไดอยางแนนอน

กอบกูวัฒนธรรมสติปฏฐาน1
วัฒนธรรมสติปฏฐานเคยมีอยูแลวในสังคมโลก ดังปรากฏการณที่เกิดในสังคม
อินเดีย ยุคหลังพุทธกาล ที่เมืองปาฏลีบุตร คนในสังคมของยุคนั้นมักทักทายซึ่งกันและกัน
โดยถามวา
“ขณะนี้ เธอกําลังกําหนดสติอยูกับฐานใดหรือ?”
ถาพูดภาษาของดิฉันก็จะเปนวา
“ตอนนี้ตัวใจของเธอกําลังอยูบานไหนหรือ?”
คนถูกถามก็จะตอบไปตามที่ตนเองกําลังทําอยู แตหากใครบอกวา ฉันไมไดทํา
ไมไดอยูบานไหนทั้งสิ้น คนก็จะเดินหนี เห็นคนเหลานั้นเปนตัวนําโชคราย และเรื่อง
อัปมงคลมาสูตน อยางไรก็ตาม ปรากฏการณทางสังคมเชนนั้นตองนับวาเปนวัฒนธรรมสติ
ปฏฐานที่ร่ํารวยมหาศาลมาก เปนสิ่งที่เกื้อกูลใหชาวโลกสามารถเดินทางเขาสูแผนดินของ
พระเจา หรือ พระนิพพานไดเปนหมูมาก Exodus
ชี้ใหเห็นดวยวา เรื่องการฝกทักษะของการพาตัวใจกลับบานนี้ เปนเรื่องงาย ๆ
ธรรมดา ๆ ที่ชาวมนุษยลวนทํากันไดทั้งสิ้นแมแตคุณที่กําลังอานประโยคนี้อยู จึงเกิด
ปรากฏการณเชนนั้นขึ้นในสังคม เนื้อหาที่แทจริงของการฝกสติปฏฐานหรือการพาตัวใจกลับ
บาน ก็ไมมีอะไรมากไปกวา การรับรูลมหายใจของเราอยางชัดเจน (เขาบานที่หนึ่ง) รับรูการ
เคลื่อนไหวของกายอยางทั่วพรอม (เขาบานที่หนึ่ง) รวมทั้งการรับรูความรูสึกของกายอยาง
ทั่วพรอมดวย (เขาบานที่สอง) ซึ่งเปนเรื่องงาย ๆ พื้น ๆ ธรรมดามาก ทุกคนที่ ไมไดนอน
หลับ ไมไดสลบ ไมไดอยูในอาการโคมา และยังไมตาย ลวนทําได ตราบใดที่ยังหายใจอยู

1
อานเรื่อง วัฒนธรรมสติปฏฐาน ในหนังสือเรื่อง ใบไมกํามือเดียว เขียนโดย ศุภวรรณ กรีน

73
และเคลื่อนไหวไดยอมทําไดทั้งสิ้น แมเปนเปนคนตาบอด เปนอัมพาต นอนเฉย ๆ หรือนั่ง
รถเข็นก็ยังทําได เพราะลมหายใจยังมีอยู
นาเสียดายมากวาวัฒนธรรมสติปฏฐานอยางเชนที่เมืองปาฏลีบุตรไดหายไปจาก
สังคมโลกเสียแลว ยุคนี้ใครฝกสติปฏฐาน พูดเรื่องการไปนิพพาน กลับถูกคนตาบอดทางใจ
เหลานั้นมองเปนคนที่มีปญหาชีวิต เปนคนเพี้ยนไปเสียอีก ยุคนี้จึงเปนสังคมที่กลับหัวกลับ
หาง คนหมูมากเห็นดอกบัวเปนกงจักร และเห็นกงจักรเปนดอกบัว นาสงสาร สังคมจึงยุง
มาก

สรุป
หากการกอบกูวัฒนธรรมสติปฏฐานเปนเรื่องอุดมคติมากเกินไป ไมสามารถทําให
เปนจริงไดละก็ ทางออกที่เหลือจึงมีเพียงทางเดียวเทานั้น คือ ตองพยายามเอาตัวเองให
รอดไวกอน โดยการเรงรีบทําความเขาใจในสิ่งที่ดิฉันนําเสนอคุณในหนังสือเลมนี้ และรีบ
เดินทางออกจากอุโมงคของชีวิตเสียโดยการฝกวิปสสนาหรือพาตัวใจกลับบาน เพื่อจะได
ชื่อวา โชคดีที่เกิดมาเปนมนุษยและไดพบพระพุทธศาสนา ไมเสียชาติเกิดแลว หากสามารถ
ชวยคนอีกหนึ่งคนใหรูเรื่องเหลานี้ได ก็ควรพอใจมากแลว แตถาทําไมได ก็ตองรีบชวย
ตัวเอง
ดิฉันหวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเลมนี้ไดชวยใหคุณเขาใจเรื่องราวของชีวิตอยาง
ถูกตอง ขอใหมีความอดทน มีความเพียร อยาทอถอย และทําใหดีที่สุดเทานั้น
ดิฉันขออวยพรใหคุณประสบความสําเร็จในการทําหนาที่ของมนุษย สามารถหลุดพน
ออกจากถนนวงแหวนของสังสารวัฏและเขาถึงพระนิพพานไดในชาตินี้ดวยเทอญ

74

You might also like