Professional Documents
Culture Documents
บทนํา
ดิฉันไดพูดถึงเรื่องการตอตัวตอในหนังสือเรื่องใบไมกํามือเดียว หากจะ
เปรียบเทียบกับเรื่องตัวตอของภาพชีวิตที่สมบูรณอันมีตัวเราเปนสวนหนึ่งที่กระจิดริดมาก
ของจักรวาลทั้งหมดแลว ไอนสไตนก็คือบุคคลหนึ่งที่สามารถตอตัวตอกระจุกเล็ก ๆ มุมหนึ่ง
อันเปนงานที่เขาสานตอจากนักวิทยาศาสตรที่มีชีวิตกอนหนาเขา เชน ไอแซก นิวตัน ไม
เคิล ฟาราเดย อังตวน ลาวาซิเอ เอิรนท มาค เปนตน ซึ่งไอนสไตนอาจจะตอตัวตอของภาพ
ชีวิตที่เนื่องกับจักรวาลในกระจุกใหญเพียงพอทีท ่ ําใหภาพของมุมนั้น ๆ ชัดเจนมากขึ้น คือ
สามารถไขกุญแจเขาไปสูความลึกลับของปรากฏการณธรรมชาติของเอกภพโดยเฉพาะเรื่อง
แสง การเคลื่อนของแสง ของอวกาศและเวลาไดมากขึ้นจนกอใหเกิดสูตรทางคณิตศาสตร
e=mc2 ที่ดูเรียบงายแตซับซอน รวมทั้งเปดเผยคุณภาพทั้งฝายดําสนิท (การผลิตระเบิดป
รมณู) และฝายขาวอยางขุนมัว (เทคโนโลยี่ทางวัตถุ)ของธรรมชาติ ซึ่งความรูเหลานี้ของ
ไอนสไตนไดเปดโอกาสใหนักฟสิกสรุนหลังตอยอดความรูของเขาไดอยางไมหยุดยั้งจน
กลายเปนความรูพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี่ของทุกวันนี้
แตแมไอนสไตนจะรูอะไรไดมากมาย อัจฉริยะบุคคลทานนี้ก็ยังไมสามารถตอ
ภาพทั้งหมดของชีวิตที่สัมพันกับจักรวาลไดหมด เพราะเขายังไมพบ “ตัวตอตัวสุดทาย The
missing link” ที่สามารถทําใหภาพทั้งหมดของชีวิตชัดเจนและสมบูรณได ความสามารถใน
การเห็นภาพรวมของชีวิตเพราะสามารถวางตัวตอตัวสุดทายลงไดเปนความสามารถของผูรู
จริงเทานั้นอันมีพระพุทธเจาเปนบุคคลทานแรกของโลกที่ตอภาพทั้งหมดของชีวิตที่
ประสานกับจักรวาลไดสําเร็จ
ฉะนั้น สิ่งที่ชาวโลกโดยเฉพาะผูคลั่งไคลบูชาความสําเร็จและความมหัศจรรย
ของวิทยาศาสตรตองตระหนักใหชัดเจนคือ ไอนสไตนก็ยังเปนมนุษยคนหนึ่งที่อยู ในขั้นตอน
ของการแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุดเหมือนมนุษยคนอื่น ๆ อีกมากมาย สัจธรรมอันสูงสุดนี้
ดิฉันไดพูดแลววาเปนสภาวะเดียวกับพระนิพพาน พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต หรือ ที่นี่
1
เดี๋ยวนี้ ดิฉันไดตั้งศัพทใหมที่รัดกุม และเหมาะกับยุคสมัยที่คนรุนใหมสามารถเขาใจได
งายขึ้นคือ สภาวะ “ผัสสะบริสุทธิ์ The innocent perception” นั่นเอง
ศาสนาในอนาคตจะเปนศาสนาที่เนื่องกับจักรวาล ควรอยูเหนือพระเจาสวนตัว
หลีกเลี่ยงลัทธิกฏเกณฑที่ไรขอพิสูจน ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ ควร
ตั้งอยูบนรากฐานของศาสนาที่เกิดจากประสบการณของทุกสิ่งที่สรางเอกภาพอันมี
ความหมาย ซึ่งพระพุทธศาสนาดูเหมือนจะมีสิ่งเหลานี้อยู ศาสนาพุทธนาจะเปนศาสนาที่
สามารถแกไขปญหาตาง ๆ ของยุคสมัยได
การคาดการณของไอนสไตนถูกตองทีเดียว นี่จึงเปนคําพูดของไอนสไตนที่ดิฉัน
พยายามจะชวยตอยอดประสานใหพบกับความรูของพระพุทธเจาใหจงได จุดคงที่ของ
จักรวาลที่ไอนสไตนตองการหากอนทฤษฎีสัมพัทธภาพรวมทั้งทฤษฎีเอกภาพที่เขาแสวงหา
อยูในชวง ๓๐ ปสุดทายของชีวิตนั้น ไมใชอะไรอื่น มันคือสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระ
นิพพานนั่นเอง ไอนสไตนหาไมพบ เพราะขาดป จัยสําคัญ คือ ไมไดพบผูรูจริง
ฉะนั้น ดิฉันจะพูดพาดพิงเพียงความคิดหลักอันเปนสวนของโครงสรางใหญ
เทานั้น ซึ่งถึงแมดิฉันจะเขาใจคลาดเคลื่อนไปบางนิดหนอย ก็ยังไมเปนไร ไมใชเรื่องคอ
ขาดบาดตาย เพราะสิ่งที่ดิฉันตองการใหคุณมองออกคือ วิธีการเดินสายความคิดของ
ไอนสไตนรวมทั้งปญญาชนโดยทั่วไปนั้น ลวนเปนเรื่องการเดินเขาไปในทอของความคิดอัน
เปนปญญาฝายโลก ที่ดิฉันเรียกวา ทอแหงความรูทางโลก The tube of intellect
ในสวนความคิดหลักอันเปนโครงสรางใหญของไอนสไตนนั้น ถาพูดอยางสรุปก็มี
เพียงนิดเดียวเทานั้น ซึ่งความรูสวนนี้ดิฉันก็ไดรับจากคุณครูที่สอนวิทยาศาสตรในสมัยเรียน
ชั้นมัธยมซึ่งสอนอยางสรุปยอ ๆ เทานั้นและยังมีหลงเหลืออยูบางในความทรงจําของดิฉัน
โดยเฉพาะเรื่องรถไฟสองขบวนวิ่งดวยความเร็วพรอมกัน นอกจากนั้น ดิฉันมักจะดึงความคิด
หลัก ๆ ออกมาจากหนังสือบรรณานุกรมของเยาวชน ซึ่งผูเขียนมักพูดสรุปความคิดในสวนที่
เปนโครงสรางอยางยอ ๆ ดวยภาษาที่เขาใจไดงาย ๆ ประโยคที่ดิฉันไดพบและนําออกมาใช
อยูหลายปแลวนั้นคือ อะไรคือจุดนิ่งที่สมบูรณและเปนอนันตกาลของจักรวาล What is the
absolute ruling point in nature? ซึ่งดิฉันเห็นวาเปนประโยคที่ชวยใหเขาใจความคิดหลัก
2
ของไอนสไตนไดงาย ๆ เมื่ออานพบก็รูทันทีวา นี่เปนประโยคที่ ดิฉันสามารถใชเชื่อมตอกับ
ความรูเรื่องนิพพานของพระพุทธเจาไดดวย จึงใชมาตลอด
นอกจากนั้น ดิฉันยังใหความสนใจดูสารคดีทางวิทยาศาสตรตาง ๆ โดยเฉพาะใน
ปนี้ โทรทัศนของอังกฤษไดรวมฉลองการครบรอบรอยปของผลงานอันยิ่งใหญของ
ไอนสไตน เปนปแหงฟสิกสโลก (World Year of Physics) จึงมีสารคดีตาง ๆ ที่เกี่ยวของ
กับผลงานทางดานฟสิกสของอัจฉริยะบุคคลทานนี้มาก ซึ่งเอื้ออํานวยใหดิฉันเขาใจงานของ
ไอนสไตนมากขึ้นอีกนิดหนอย จึงพยายามจับจุดสําคัญที่ชวยใหดิฉันสามารถเชื่อมโยง
ความคิดของนักฟสิกสผูโดงดังทานนี้กับความคิดของพระพุทธเจา นี่คือเปาหมายหลักที่
ดิฉันจะพยายามทําใหดีที่สุด นัน ่ คือ หยิบยื่นสัจธรรมใหคุณดวยการเขาถึงอยางเปนกลาง ๆ
ที่สุด หางจากกรอบประเพณีของศาสนาที่มักมีความขัดแยงซึ่งกันและกัน
การที่จะเขาใจหนังสือเลมนี้ไดอยางถองแทและถึงแกนของมันนั้น ผูอานควร
ตองเขาใจใหชัดเจนวา เนื้อหาของหนังสือเลมนี้เปนความรูที่ตอเนื่องจากหนังสือเลมกอน ๆ
ของดิฉัน คือ ใบไมกํามือเดียว คูมือชี วิตทั้งสองภาค และ อวดอุ ตริมนุสธรรมที่มีในตน
หนังสือทั้ง ๔ เลมรวมทั้งเลมนี้ลวนเปนผลผลิตจากการปฏิบัติธรรมของดิฉัน จนถึงจุดที่ดิฉัน
แนใจแลววา ประสบการณที่ดิฉันเรียกวา ผัสสะบริสุทธิ์ เปนสภาวะเดียวกับ พระนิพพาน
หรือ สัจธรรมอันสูงสุด
ฉะนั้น วิธีการนําเสนอเรื่องตาง ๆ ของทุกบทในหนังสือเลมนี้อาจจะเปนวิธีการ
ใหมสําหรับปญญาชนที่ยังไมชินกับงานเขียนของดิฉัน นั่นคือ ดิฉันเขียนจาก “ผลมาสูเหตุ”
ไมใชเขียนจาก “เหตุไปสูผล” ซึ่งเปนวิธีการทางวิทยาศาสตรที่ปญญาชนเคยชินมากกวา
การเขียนจาก “ผลมาสูเหตุ” นี้ ยังไมมีอยูในสารบบใด ๆ ของความรูทางโลก นี่เปนวิธีการ
เขียนและการสอนของผูรูสัจธรรมอันสูงสุดเทานั้น
ดิฉันไดอธิบายไวแลวในบทที่สองของหนังสือใบไมกํามือเดียววา การตรัสรูของ
พระพุทธเจาหมายความวา ทานไดพบสภาวะหนึ่งที่คนอื่นยังไมรูจัก นั่นคือ สภาวะพระ
นิพพาน และ ทานก็ทรงทราบอยางแนชัดวา สภาวะนี้คือ เปาหมายปลายทางของทุกชีวิต
เปนที่สุดของทุกอยาง เปนสภาวะที่ทุกคนตองไปใหถึง ฉะนั้น สภาวะพระนิพพานคือ ผล
(นิโรธ) ซึ่งดิฉันเปรียบเหมือนการพบสระน้ําอมฤตที่อยูในปา เมื่อใครไดดื่มแลว จะมีชีวิต
อมตะ เมื่อพระพุทธเจาพบสระน้ําอมฤต ทานจึงออกจากปาเพื่อมาบอกทางใหคนทั่วไปไดรู
ทางไปถึงสระน้ําอมฤตนั้น การบอกทางนี้จึงเปนเหตุ (มรรค) ที่สาวขึ้นไปสูผล แตเปนผลที่
พระพุทธเจารูกอนแลว ฉะนั้น การวางขั้นตอนของอริยสัจสี่นั้น ทานจึงทรงวาง นิโรธ มากอน
องคมรรค หรือ “ผลมาสูเหตุ” ดวยเหตุผลเชนนี้
ถาจะเปรียบเทียบกับการตอตัวตอที่พูดเมื่อสักครูนี้ก็หมายความวา พระพุทธเจา
เห็นภาพทั้งหมดของรูปสําเร็จแลว จึงสามารถสอนใหคนตอตัวตอที่ยังกระจัดกระจายอยู ดวย
วิธีการที่เร็วที่สุด เพราะรูวาชิ้นไหนตองวางตรงไหน จึงเปนการสอนการตอตัวตอแบบ “ผล
มาสูเหตุ” เชนกัน วิธีการสอนเชนนี้จึงเปนเรื่องใหมสําหรับปญญาชน เปนเรื่องที่ปญญาชน
ตองระวังมาก ไมควรรีบสรุปหรือตัดสินหนังสือเลมนี้อยางงาย ๆ และรวดเร็วเกินไป เพียง
เพราะสิ่งที่อานอาจจะดูขัดกับความรูสึกและความเขาใจของตนเอง
3
พระนิพพานหรือผัสสะบริสุทธิ์คือ “ผล” ที่ดิฉันไดเห็นแลว รูแลว แนใจแลววา
“ใชแน” จึงนําประเด็นหัวขอที่ทาทายของบทตาง ๆ ขึ้นมาพูด ประสาน และเทียบเคียง ซึ่ง
ประเด็นเหลานี้เปนเรื่องที่ดิฉันไดเขียนเปนภาษาอังกฤษไวกอนแลวในหนังสือเรื่อง Do You
Know What A Normal Mind Is? ซึ่งลวนเปนประเด็นที่เปนจุดออนของชาวตะวันตก เชน
การถามคําถามเรื่องการแสวงหาตัวจริงของเราซึ่งดิฉันเอาออกมาจากรายการสนทนาใน
โทรทัศน การตั้งคําถามเรื่อง “จิตใจที่ปกติ” เปนอยางไรเพราะไดนั่งรถไปกับลูกศิษยที่เปน
โรคจิต ตั้งคําถามวา “พรมแดนสุดทายของจักรวาล” อยูที่ไหนเพราะนี่เปนอิทธิพลของหนัง
โทรทัศนเรื่อง Star Trek ที่คนติดตามมารวม ๓๐ ป เปนวลีที่ชาวตะวันตกรูจักกันดี
ดิฉันจึงนําคําถามเหลานี้มาเชื่อมประสานกับเรื่องการแสวงหา “จุดคงที่ของ
จักรวาล” ซึ่งเปนเรื่องที่อยูตรงขามกับความคิดเรื่องสัมพัทธภาพของไอนสไตน ความคิด
เรือ
่ งสัมพัทธภาพของไอนสไตนเปนการเดินสายความคิดที่ใกลเคียงกับการถามเรื่องพระ
นิพพานของพระพุทธเจามากที่สุด เพราะถามวาจุดนิ่งของจักรวาลที่จะเอามาใชเปน
มาตรฐานการวัดของทุกสิ่ งอยูที่ไหน ซึ่งไอนสไตนเห็นวาไมมี เพราะจักรวาลเคลื่อน
ตลอดเวลา จึงกอใหเกิดผลคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับการยอมรับสภาวะ
อนิจจังของทุกสิ่ง เปนสภาวะที่ไอนสไตนไดเดินมาถึงสุดสายปานของ “การใชความคิด”
แลว ไปตอไมไดแลว
ดิฉันจึงชวยประสานโดยการชวยขีดเสนใตคําถามที่อาจจะยังไมชัดเจนใหเขา
เพราะเขายังคนไมพบ นั่นคือ จุดคงที่ของจักรวาลคืออะไร อยูที่ไหน What is the
absolute ruling point in nature? ถึงแมไอนสไตนไมไดใช คําพูดเชนนี้ ไมไดถามเชนนี้
คนรุนหลังสรุปใหเขาดังที่ดิฉันเอาออกมาจากหนังสือสารานุกรมภาษาอังกฤษ แตนี่เปน
คําถามที่จะพาผูถามไปสูเรื่องพระนิพพานซึ่งเปนนิจจัง เปนเรื่องคงที่ อันเปนสภาวะที่
ตรงกันขามกับอนิจจังหรือสัมพัทธภาพ
ฉะนั้น ประเด็นเหลานี้จึงเปนเรื่องที่ดิฉันตองการชวยผูอานชาวตะวันตกใหเขาใจ
เปาหมายปลายทางของชีวิตไดชัดเจนขึ้น คือ แทนที่จะพูดวา นิพพานเปนเปาหมาย
ปลายทางของชีวิต ดิฉันพูดใหมวา เปาหมายชีวิตอยูที่การหาตัวจริงของเราใหพบ หรือ
เปาหมายชีวิตอยูที่การสามารถเขาถึงจิตใจที่เปนปกติ หรือ เปาหมายชีวิตอยูที่การสามารถ
เขาถึงจุดปกติหรือจุดคงทีห ่ รือไปถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาล ซึ่งดิฉันเห็นวาการพูด
เชนนี้ อธิบายเชนนี้ จะชวยปญญาชนของยุคนี้เขาใจไดดีกวาการพูดวา “เปาหมายชีวิตอยูที่
การไปใหถึงพระนิพพาน” เพราะคําวา พระนิพพาน ไดถูกวัฒนธรรมทางศาสนาปกคลุม
บิดเบือนจนคนเขาใจผิดไปมากแลว มักคิดวาเปนเรื่องไกลเกินตัว เปนเรื่องของพระอริยะที่
ไมเกี่ยวของกับตนเองเลย หรือไมก็เปนเรื่องของคนตายแลว ไมเกี่ยวกับชีวิตของคน
ธรรมดาทั่วไปอยางเราทานทั้งหลายที่กําลังดิ้นรนทํามาหากินอยู ซึ่งเปนเรื่องเขาใจผิดหมด
นี่เปนสาเหตุใหญที่ดิฉันจําเปนตองสรางและจับประเด็นเหลานี้มาชนกัน ประสานกัน เพื่อ
ชวยใหผูอานเริ่มคิดในรองทางที่ถูกตองโดยใชภาษาของคนรวมสมัย และเพื่อพาพวกเขา
ไปพระนิพพาน เพราะพระนิพพานเปนจุดอันติมะที่ “ทุกเรื่อง” อันเกี่ยวของกับชีวิต โลก
และ จักรวาล จะตองไปลงที่จุดนั้นหมด
4
เพราะดิฉันรูวาพระนิพพานคืออะไร ดิฉันจึงสามารถพูดไดวา ตัวจริง ๆ ของเราคือ
อะไร อยูที่ไหน รูวาจิตใจที่ปกติเปนอยางไร พรมแดนสุดทายของจักรวาลอยูที่ไหน จุดคงที่
หรือจุดปกติของจักรวาลอยูที่ไหนและเปนอยางไร และปญญาชนกําลังติดอยูใน “กลอง
ความคิด” หรือ “กลองความรูทางโลก” อยางไร เพราะคําถามเหลานี้เปนคําถามเดียวกับ
คําถามวา พระนิพพานคืออะไร อยูที่ไหนนั่นเอง ซึ่งดิฉันอธิบายคําตอบเรื่องพระนิพพานดวย
คําใหมคือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ใครรูจักและสามารถเขาถึง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไดละก็ คนนั้นก็เขาถึง พระ
นิพพานแลว เพราะเปนสภาวะเดียวกัน ซึ่งคําวา ที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์ เปนคําวลีที่
เขาใจและเขาถึงไดงายกวาพระนิพพานมากทีเดียว
เพราะดิฉันรูแลววาพระนิพพานคืออะไร ดิฉันจึงสามารถนําคําเหลานี้มา
เทียบเคียงกับคําวา พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต เพื่อชวยเหลือศาสนิกอื่นใหเขาใจ
เปาหมายของชีวิตและชวยใหเขาเดินทางไปหาพระเจาของเขาไดดวยวิธีการของ
พระพุทธเจาคือ การปฏิบัติสติปฏฐานสี่ ซึ่งเปนเรื่องสากลที่มนุษยทุกคนทําได ดิฉันจึง
สามารถกระจายความรูออกมาไดเชนนี้
จุดออนของหนังสือเลมนี้คือ ความรูทางฟสิกสที่ดิฉันไมสามารถเขาใจไดหมด
และถองแท แตถึงแมความรูทางฟสิกสของหนังสือเลมนี้จะผิดหมด ก็ยังไมเปนไร ไมนาหวง
มากเทาการสรุปสภาวะพระนิพพานอยางผิด ๆ เพราะความรูทางโลกทุกอยางลวนเปน
ความรูที่เกิดใน “ทอความคิด” แมจะถูกตองอยางไรในสายตาของปญญาชน สําหรับคนที่รู
วาสัจธรรมคืออะไรแลว มันก็ยัง “คด” อยูนั่นเอง แมไอนสไตนมานั่งเบื้องหนาดิฉันและ
อธิบายใหดิฉันเขาใจความรูของเขาทั้งหมดจนดิฉันเขาใจแจมแจงก็ตาม ดิฉันก็ยังจะพูด
เหมือนเดิมวา ไอนสไตนยังไมใชผูรูเห็นสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลอยางแทจริง เพราะ
ผูรูสัจธรรมจริงจะพูดเพียงเรื่องเดียวเทานั้น คือ พูดชักชวนคนไปนิพพาน
นี่เปนประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งมาก ที่คุณอาจตองใชเวลาทั้งชีวิตปฏิบัติ
วิปสสนา จึงสามารถเขาใจความหมายของมันได หากคุณอานเฉย ๆ โดยไมปฏิบัติวิปสสนา
แลว คุณจะไมเขาใจวาทําไมดิฉันจึงกลา “อวดอุตริ” ทาทายอัจฉริยบุคคลอยางไอนสไตน
และกลาพูดวา เขายังไมใชผูรูจริง ฉะนั้น กอนที่ปญญาชนโดยเฉพาะผูเชี่ยวชาญดานฟสิกส
จะรวมตัวกัน “เหยียบ” ดิฉันเพราะเห็นจุดออนของหนังสือเลมนี้แลวละก็ อยางนอยที่สุด
คุณตองเขาใจความหมายของคําวา “ผัสสะบริสุทธิ”์ หรือ ไมก็ “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ในลักษณะของ
“ประสบการณ experience” หรือ “สภาวะที่แทจริง” ที่เกิดในตัวคุณเสียกอน คุณจึงสามารถ
วิจารณหนังสือเลมนี้ไดอยางถูกตอง ถาคุณไมมีสภาวะนั้นแลว และไมเห็นดวยกับสิ่งที่ดิฉัน
เขียน ดิฉันก็ไมเห็นหนทางที่คุณจะวิจารณหนังสือเลมนี้ไดอยางไร เพราะจะตกอยูใน
รูปลักษณะ “พูดกันคนละเรื่อง” คือ คุณพูดในขณะที่อยูในกลองความคิดหรือทอความรูทาง
โลกอันมืดมิด (บทที่ ๕) ในขณะที่ดิฉันกําลังพูดจากจุด ก อันเปนจุดคงที่หรือพรมแดน
สุดทายของจักรวาล (บทที่ ๔)
การใชคําศัพททางธรรมในหนังสือเลมนี้ก็เชนกัน คนที่ศึกษาพระอภิธรรมคง
อยากตําหนิดิฉันเชนกันวาใชคําวา “จิตใจ” อยางผิด ๆ คําวา จิต ในหนังสือเลมนี้ นาจะใชคํา
วา เจตสิก จึงจะถูกตอง เพราะดิฉันรูแนชัดวาพระนิพพานคืออะไรนี่เอง ดิฉันจึงกลาใชคําวา
จิตใจ ในความหมายที่แตกตางจากพุทธพจน ซึ่งดิฉันก็ตระหนักชัดแลว แตไมเห็นวาเปน
ความเสียหายแตอยางใดเชนกัน เพราะดิฉันมีเจตนาเพื่อชวยเหลือผูอานใหเขาใจเรื่องการ
ทํางานของจิตใจตนเองชัดขึ้น จึงใชคําที่ดิฉันเห็นวาคนอานจะเขาใจไดงายกวาคําศัพทที่
ยาก ๆ เชน เจตสิก ซึ่งคนสวนมากไมชินเทาคําวา จิตใจ การใชคําวา จิตใจ และแทนมัน
ดวยคําวา ทอมกับเจอรี่ เปนวิธีการใหมที่ดิฉันไดสรางขึ้นมาเพื่อชวยเหลือคนที่ไมถนัด
คําศัพทยาก ๆ ทางอภิธรรม และดิฉันก็ไดใชมาอยางตอเนื่องตั้งแตหนังสือเลมกอน ๆ ของ
ดิฉันแลว จึงจะใชตอไป
5
ขอใหเขาใจวา หากพระนิพพานเปนเปาหมายปลายทางที่ดิฉันพยายามจะชวย
ใหผูอานไปถึงแลวละก็ การเดินเรื่องตั้งแตการตั้งประเด็นจนถึงบทสรุปในแตละบทของ
หนังสือเลมนี้ เปรียบเทียบไดเหมือนวา ดิฉันกําลังวาดแผนที่หยาบ ๆ ใหผูอาน เหมือนดิฉัน
ควากระดาษมาแผนหนึ่งแลวก็ลากเสนแบบหยาบ ๆ พอใหคนอานแผนที่รูทางไปนิพพาน
หรือไป “ภูกระดึงทางธรรม”
แนนอน แผนที่หยาบ ๆ ที่ดิฉันลากนี้ยอมไมเหมือนแผนที่ฉบับดั้งเดิมของ
พระพุทธเจาหรือพระไตรปฎก แตตราบใดที่คนอานแผนที่หยาบ ๆ ของดิฉันสามารถเดิน
ตามการบอกทางของดิฉันและสามารถไปถึงภูกระดึงทางธรรมหรือพระนิพพานไดแลวละก็
ดิฉันเห็นวาหนังสือเลมนี้ก็ไดบรรลุเปาหมายของมันแลว หนทางเขาสูกรุงโรมยอมมีมากกวา
หนึ่งเสนทาง ใครจะเดินทางไหนก็ได ตราบใดที่ไมหลงทิศ ขอใหถึงกรุงโรมเปนใชได
หากผูอานเขาใจไดตามเนื้อหาที่ดิฉันนําเสนอนี้และยอมปฏิบัติสติปฏฐานสี่หรือ
พาตัวใจกลับบานแลวละก็ ดิฉันเห็นวาเพียงพอแลว หนังสือเลมนี้ไดบรรลุเปาหมายที่ดิฉัน
ตองการแลว แมจะสามารถชวยเหลือคนไทยเพียงคนเดียวใหยอมปฏิบัติสติปฏฐานสี่ ก็
คุมคาตอความพยายามของดิฉันมากแลว
ปญหาใหญจึงมีเรื่องเดียวเทานั้นวา คุณยอมรับในภูมิธรรมของดิฉันหรือไม คุณ
ยอมรับหรือไมวา ดิฉันรูจักสภาวะพระนิพพานและยินยอมใหดิฉันเปนผูนําทางคุณไป
นิพพาน ถาคุณยอมรับ คุณจะไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้ไมมากก็นอย แตหากคุณ
ยอมรับไมไดวาผูหญิงแมบานคนนี้จะรูจักพระนิพพานไดอยางไร และไมเชื่อวาดิฉันมีภูมิ
ธรรมดังกลาวแลว แมคุณจะพยายามอยางไร คุณก็คงอดไมไดที่จะมีอคติตอดิฉันอยูในใจ
และจะไมไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้
เพื่อใหความยุติธรรมทั้งกับดิฉันและตัวคุณเอง ดิฉันเห็นวา คุณควรอานเรื่อง
“อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” ดวย หรือไมก็มาเขาอบรมกับดิฉันจนสามารถเขาบานที่สี่
สามารถจับสภาวะของ ผัสสะบริสุทธิ์ หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ได ประสบการณอันเปน “ผล” ที่ดิฉัน
ไดพูดถึงนี้เทานั้น จึงจะชวยใหคุณเขาใจหนังสือเลมนี้ไดดีขึ้น
ดิฉันไดนําเรื่อง “พาตัวใจกลับบานกันเถิด” มาไวเปนภาคผนวกเพื่อทําใหหนังสือ
เลมนี้มีความสมบูรณมากขึ้น ประสบการณของดิฉันบอกวา ผูอานทานใดที่สามารถเขาใจ
เนื้อหาของหนังสือเลมนี้แลว ยอมมีความกระตือรือรนอยากเรงรีบปฏิบัติสติปฏฐานสีเ่ พื่อให
เห็นสภาวะของผัสสะบริสุทธิ์อยางรวดเร็วที่สุด ซึ่งเปนธรรมดาของผูที่มีบุญบารมีพรอม
ภาคผนวกของหนังสือเลมนี้จึงสามารถตอบสนองความตองการของผูอานไดทันที
ดิฉันไดกลับมาอบรมธรรมที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยในเดือนมกราคม ๒๕๔๙
คุณกฤษฎาพร ชุมสาย ณ อยุธยา คุณสานุพันธุ ตันติศิริวัฒน และคุณอิสวเรศ ตโนมุท แหง
สํานักพิมพฟรีมายดไดมารวมอบรมธรรมกับดิฉันดวย มีความซาบซึ้งในคําสอนมาก เมื่อ
ทราบถึงจุดประสงคของดิฉันที่ตองการเผยแผพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจาโดยผาน
แนวคิดของไอนสไตนเชนนี้แลว ทั้งสามทานจึงปวรณาที่จะชวยเหลือดิฉันอยางเต็มที่
ดิฉันจึงใครถือโอกาสนี้ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของบุคคลทั้งสาม
และทีมงามของสํานักพิมพฟรีมายดทุกทานที่เขามาเปนแขนขาชวยเหลือดิฉันในการกวาด
ตอนคนหมูมากใหออกจากถนนวงแหวนของสังสารวัฏ ซึ่งเปนการชวยจรรโลงและสืบทอด
พระพุทธศาสนาใหยืนนานตอไปตราบนานเทานาน
ดิฉันหวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเลมนี้คงชวยใหคุณเขาใจชีวิตไดชัดเจนมากขึ้น
ดวยความเมตตา
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ กรีน
6
๓๐ มกราคม ๒๕๔๙
7
ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
โดย
จุดเดนและจุดสําคัญยิ่งของหนังสือเลมนี้อยูที่ตัวผูเขียนที่กลายืนยันวา “สัจธรรมอัน
สูงสุดในธรรมชาติมีอยู” รวมทั้งกลาประกาศใหผูอานรูวา เธอรูแนชัดแลววาสัจธรรมอัน
สูงสุดหรือสภาวะพระนิพพานคืออะไร เปนอยางไร จึงทําใหเธอสามารถตั้งศัพทใหมเพื่อให
เหมาะสมกับยุคสมัยและเพื่อคนยุคใหมสามารถเขาถึงสัจธรรมไดงายขึ้น อันคือ ผัสสะ
บริสุทธิ์ และ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ การประกาศตนเปนผูรูสภาวะสัจธรรมของผูเขียนนี้เอง ตัวตอตัว
สุดทายที่ยังขาดอยูหรือเปน missing link ก็สามารถถูกวางลง กอใหเกิดภาพชัดเจนของ
ชีวิตที่เชื่อมโยงกับจักรวาลทั้งหมดได และกอใหเกิดการประสานเชื่อมตอระหวางภูมิปญญา
ทางโลก โดยเฉพาะวิทยาศาสตรกับภูมิปญญาทางศาสนาที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวของชีวิต
การเกิดแกเจ็บตาย (บทที่ ๑) เนื้อหาของหนังสือเลมนี้จึงตั้งอยูบนรากฐานที่ผูเขียนอางวา
เธอรูสัจธรรมอันสูงสุด ซึ่งเธอไดอธิบายสภาวะสัจธรรมในฐานะที่เปน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” (บทที่
๖) โดยใชขอเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนที่วิ่งพรอมกัน
จุดเดนอีกขอหนึ่งของหนังสือเลมนี้คือ ผูเขียนไดพยายามชวยเหลือปญญาชนที่บูชา
การใชความคิดใหรูจักจุดยืนของตนเองที่เนื่องกับจักรวาล โดยแยกแยะใหเห็นอยางชัดเจน
ถึงความแตกระหวางวิธีการหาความรูทางโลกที่ยังอิงกับความมืดบอดของอวิชชากับความรู
ทางธรรมที่จะชวยใหรูจักตนเองอยางแทจริงอันเปนเนื้อหาของบทที่ ๔ และ ๕
ความสมบูรณของหนังสือเลมนี้คงจะอยูที่การบอกทางออกของชีวิต อันคือวิธีการที่
จะชวยใหผูอานสามารถคนพบจุดนิ่งของจักรวาลหรือสัจธรรมอันสูงสุดดวยตนเอง ซึ่งเปน
เนื้อหาของบทที่ ๗ ผูเขียนเชื่อมั่นวา สติปฏฐานสี่หรือวิปสสนาเทานั้นที่จะเปน ทางออกให
ชาวโลกไดพบกับความสุขและสันติภาพที่แทจริง และเพื่อตอบสนองความตองการของ
ผูอานที่อยากเริ่มการเดินทางเพื่อแสวงหาตัวเองทันทีที่อานทั้ง ๗ บทจบ ผูเขียนจึงไดนํา
เรื่อง “การพาตัวใจกลับบาน” อันคือวิธีการฝกสติปฏฐานสี่ที่ไดประยุกตใหเหมาะสมกับคน
ยุคใหมมาไวที่ภาคผนวกซึ่งทําใหหนังสือเลมนี้สมบูรณอยางเต็มเปยม
บทที่หนึ่ง
ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
Einstein Questions, Buddha Answers
ความสําเร็จที่ยิ่งใหญอันทําใหอัลเบิรต ไอนสไตน กลายเปนอัจฉริยะบุคคลที่ ถูกจารึกลง
ในประวัติศาสตรของโลกเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งรอยปกอนในป ค.ศ. 1905 เมื่อผลงานของเขาไดรับการ
ตีพิมพพรอมกันถึง ๕ ชิ้น และชิ้นหนึ่งคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพจําเพาะอันมีสมการ e = mc2 ที่สราง
คุณอยางอเนกอนันตพอ ๆ กับการสรางโทษอยางมหันต
กอนหนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ดิฉันซาบซึ้งในบุญคุณของอัลเบรต ไอนสไตน ที่ไดตั้งคําถามที่สําคัญมากที่สุดแทน
มนุษยชาติ นั่นคือ อะไรคือจุดคงที่อันเปนอนันตยะที่สมบูรณของจักรวาล What is the absolute
ruling point in nature?
ดิฉันไมไดเปนนักวิทยาศาสตรและไมคอยเขาใจรายละเอียดของทฤษฎีสัมพัทธภาพที่
ซับซอนมากนัก ซึ่งที่จริงแลวไมใชเรื่องงายที่จะเขาใจ ดังที่นักขาวมักขอรองใหไอนสไตนสรุปสั้น ๆ
เพื่อใหคนทั่วไปเขาใจไดงาย ๆ วาทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้คืออะไร ทําไมจึงสําคัญตอมนุษยชาติมาก
ไอนสไตนมักรูสึกลําบากใจเพราะนี่เปนความรูที่เขาปลุกปล้ําอยูถึง ๑๕ ป แลวจะใหมาสรุปใหคนฟง
อยางสั้น ๆ ไดอยางไร ไอนสไตนจึงเฉตอบนักขาวดวยเรื่องที่ขบขันวา
“คุณลองเอามือวางเหนือเตารอน ๆ สักหนึ่งนาทีสิ คุณจะรูสึกวามันนานเหมือนหนึ่งชั่วโมง
แตหากคุณไปนั่งอยูใกลหญิงสาวสวยสักหนึ่งชั่วโมง คุณจะรูสึกวามันนานเหมือนเพียงนาทีเดียว นั่น
แหละคือทฤษฎีสัมพัทธภาพของผมแหละ”
เรื่องการสรุปความคิดหลัก ๆ นี่แหละ เปนเรื่องสําคัญมากกวาการรูรายละเอียด เพราะเปน
เรื่องของการสรางกรอบ หรือ โครงสรางของความคิด ฉะนั้น สิ่งที่ดิฉันจะสรุปอันเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎี
สัมพัทธภาพของไอนสไตนจึงเปนความรูที่ยอนกลับไปในชั่วโมงวิทยาศาสตรสมัยที่ยังเรียนชั้นมัธยม
เพราะคุณครูยอมหยิบยื่นแตความคิดหลัก ๆ ที่พูดอยางสรุปยอ ๆ เทานั้น และดิฉันยังดึงความคิด
แบบสรุปเหลานี้ออกมาจากหนังสือสารานุกรมของเยาวชนรวมทั้งการดูสารคดีตาง ๆ ดวย บวกกับ
ความรูในเรื่องพระนิพพานของพระพุทธเจา ดิฉันจึงสามารถตอยอดแจกแจงความคิดเหลานี้ออกมา
ได
ทําไมไอนสไตนจึงอยากหาจุดคงที่
เพื่อความชัดเจนมากขึ้น ขอใหเขาใจวา “จุดคงที่” กับ “จุดปกติ” มีความหมาย
เหมือนกัน ซึ่งดิฉันจะใชทดแทนกันตั้งแตบัดนีเ้ พื่อใหเหมาะสมกับขอเปรียบเทียบ
สิ่งที่ดิฉันใหความสนใจเปนพิเศษคือ ทําไมไอนสไตนจึงตองการหาจุดคงที่อันถาวรของ
จักรวาลตั้งแตแรกเริ่ม เพื่ออะไร สิ่งที่ดิฉันทําความเขาใจไดคือ ถาหากไอนสไสตนสามารถหาจุดปกติ
ของจักรวาลที่อยูอยางคงทนถาวร มีคาสมบูรณ ไมเปลี่ยนแปลงไดแลว เขาจะสามารถใชจุดปกตินั้น
เปนมาตรฐานการวัดสิ่งตาง ๆ ได และยอมทําใหผลของการวัดอะไรตาง ๆ คงที่ ปกติ ไดผล
เหมือนกันหมด absolute value ไมวาจะวัดจากจุดไหนของจักรวาล
อยางไรก็ตาม ไอนสไตนไมสามารถหาจุดคงที่อันถาวรของจักรวาลได เพราะวา สิ่งตาง ๆ
ที่แมดูนิ่ง ๆ บนโลก ไมเคลื่อนไหวก็ตาม แตที่จริงแลว มันไมไดอยูนิ่งจริง เพราะโลกกําลังหมุนอยู
เมื่อดูในวงกวางออกไปจากนอกโลก ก็พบวาระบบสุริยะจักรวาลก็กําลังเคลื่อนอยู แกแลกซี่ของเรา
และอื่น ๆ ก็กําลังเคลื่อนอยู ตลอดจนถึงจักรวาลทั้งหมดก็กําลังเคลื่อนไปอยางไมหยุดยั้ง จึงทําให
1
ไอนสไตนสรุปวาไมมีจุดนิ่งหรือจุดปกติที่สามารถใหคุณคาที่เที่ยงแทถาวรอยางแทจริงในจักรวาล
เพราะทุกอยางเคลื่อนที่อยางไมหยุดยั้ง
สัมพันกับอนิจจังและนิพพาน
ความคิดหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้เปรียบเหมือนกับการพบสี่แยกหลักที่สามารถเดิน
เลี้ยวตอไปไดอีกมากมายหลายทางทีเดียว ในขณะที่ไอนสไตนเลี้ยวไปสูแยกที่เนนความรูทางดาน
ฟสิกสเพียงอยางเดียวจนกอใหเกิดการสรางระเบิดนิวเคลียร พลังงานปรมณูและเทคโนโลยี่อื่น ๆ อีก
มากมายนั้น ดิฉันจะพยายามพาคุณเลี้ยวไปสูแยกอื่น ๆ ที่เกี่ยวของกับสุขทุกขของชีวิตของเรา
โดยตรง ความคิดหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพเปนเรื่องครอบจักรวาล ครอบคลุมทุกเรื่องของชีวิต
เพราะความคิดทั้งหมดเหลานี้สัมพันกับเรื่องอนิจจังและพระนิพพานของพระพุทธเจาซึ่งเปนเรื่อง
ครอบจักรวาลเชนกัน จึงเปนสิ่งที่ดิฉันพยายามจะโยงใหคุณในหนังสือเลมนี้
เมื่อไมรูจุดคงที่ของจักรวาล
เมื่อไอนสไตนสรุปวาไมมีจุดคงที่ในจักรวาล ยอมหมายความวา การวัดอะไรตาง ๆ จะตอง
สมมุติจุดคงที่ขึ้นมากอน และวัดสิ่งตาง ๆ จากจุดสมมุตินั้น ซึ่งผลที่ไดจะมีคาสัมพัทธกับจุดปกติที่ถูก
สมมุติขึ้น เพื่อใหคุณเขาใจชัดเจนมากขึ้น ดิฉันจะเรียกแทนจุดคงที่นี้วา “พรมแดนสุดทาย the final
frontier” (บทที่ ๔) เพื่อใหสอดคลองกับการยกตัวอยางที่จะวัดความใกลไกลของสถานที่
เมื่อคุณไมรูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล ก็ความหมายวาคุณไมรูขอบเขตที่เปน
พรมแดนสุดทายของจักรวาลที่สามารถใชเปนเสาหลักมาตรฐานเพื่อวัดความใกลไกลของทุกสถานที่
ในจักรวาลนั่นเอง เชน หากคุณตองการทราบวา เชียงใหมอยูไกลแคไหน คุณจะถามลอย ๆ ไมได
คุณตองกําหนดลงไปใหแนชัดกอนวาคุณตองการวัดความใกลไกลของเมืองเชียงใหมจากจุดไหน
เสียกอน จึงจะพูดกันรูเรื่อง ไมเชนนั้น เถียงกันตาย
หากคุณเอากรุงเทพเปนหลัก นั่นคื อ สมมุติใหกรุงทพเป
เ นพรมแดนสุดทาย เชียงใหมก็จะ
อยูไกลจากกรุงเทพ ๖๐๐ กิโลเมตร หากคุณเอาสงขลาเปนหลัก เชียงใหมก็จะอยูหางจากสงขลา
๑๖๐๐ กิโลเมตร หากสมมุติใหกรุงลอนดอนเปนหลักหรือเปนพรมแดนสุดทาย เชียงใหมก็จะอยูหาง
จากลอนดอนถึง ๖๐๐๐ กิโลเมตร เปนตน ฉะนั้น คุณจะเห็นวา ๖๐๐, ๑๖๐๐, ๖๐๐๐ กิโลเมตรคือคา
สัมพัทธอันเปนผลของการสมมุติจุดนิ่งหรือจุดพรมแดนสุดทายขึ้นมาเพื่อวัดความใกลไกลของ
สถานที่ ฉะนั้น การตัดสินวาใครอยูใกลหรือไกลเชียงใหมจึงขึ้นอยูที่วา คุณอยูจุดไหน คนอยูลอนดอน
ก็ตองเห็นวาเชียงใหมไกลมาก ใครอยูสงขลาก็ยอมเห็นเชียงใหมไกลกวาคนอยูกรุงเทพ ใครอยู
ลําปางก็ยอมเห็นวาเชียงใหมอยูใกลนิดเดียว นี่คือ การพูดอยางสัมพัทธ relatively speaking อัน
เปนผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพ
เมื่อรูจุดคงที่
แตถาคุณรูจุดคงที่ จุดนิ่ง หรือจุดปกติของจักรวาล หรือ รูแนชัดวาพรมแดนสุดทายของ
จักรวาลอยูตรงไหนแลวละก็ ทีนี้ ไมวาคุณจะอยูซอก ซอย ไหนของจักรวาลก็ตาม คุณก็สามารถวัด
จากจุดที่คุณอยูและไปจรดที่เสาหลักสุดทายหรือพรมแดนสุดทาย หรือ จุดปกติของจักรวาล ทุกคน
จะสามารถทําไดเหมือนกันหมดเพราะรูเ สาหลักสุดทายของจักรวาลแลว ฉะนั้น ไมวาใครจะอยู ณ จุด
ไหนของจักรวาล ก็สามารถวัดจากจุดที่ตนเองอยูและไปจรดที่เสาหลักอันเปนพรมแดนสุดทายของ
จักรวาล การวัดนั้นก็จะเปนมาตรฐานสากลของจักรวาล ไดคาคงที่เหมือนกันหมด ฉะนั้น คนอยู
กรุงเทพ เชียงใหม สงขลา ลอนดอน หากจะวัดความใกลไกล ก็ตองวัดไปที่เสาหลักสุดทายของ
จักรวาลกอน ซึ่งอาจจะไดคาตามลําดับเชนนี้คือ ๑.๕ ลานปแสง ๑.๕๒ ลานปแสง ๑.๕๔ ลานปแสง
๒ ลานปแสง เปนตน นี่เปนการสมมุติวาหากเรารูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล ทุกคนจะรูแนชัดวา
ใครอยูใกลหรือไกลจากจุดคงที่หรือพรมแดนสุดทายของจักรวาลมากนอยแคไหน นี่คือ การพูดอยาง
แนนอน absolutely speaking เพราะรูจุดเที่ยงแทแนนอนของจักรวาล นี่คือเหตุผลที่ไอนสไตนอยาก
2
หาจุดคงที่ของจักรวาล เพื่อจะไดใชเปนมาตรฐานหลักของจักรวาล แตอยางที่พูดแลววา ความรูของ
ไอนสไตนเนนไปที่เรื่องฟสก
ิ สเพียงถายเดียวเทานั้น
แตสัมพัทธภาพครอบคลุมทุกเรื่อง
การวัดน้ําหนักของวัตถุสิ่งของก็เชนกัน น้ําหนักตัวของคนบนโลกมีคาสัมพัทธกับแรงโนม
ถวงของโลก พูดใหงงเลนก็คือ ทุกครั้งที่คุณชั่งน้ําหนักตัวเอง ที่จริงแลว คุณกําลังชั่งแรงถวงของ
โลกที่กดลงบนตัวคุณ หากไปชั่งน้ําหนักบนโลกพระจันทรซึ่งมีแรงโนมถวงนอยกวาโลก น้ําหนัก ที่กด
ลงตัวคุณบนโลกพระจันทรจะนอยกวาแรงที่กดบนโลก จึงทําใหน้ําหนักตัวของคุณนอยกวาน้ําหนักตัว
ที่ชั่งบนโลก การจะตัดสินวาใครอวน ใครผอม สวย ขี้เหร เหลานี้ก็ขึ้นอยูที่วาเราเอาใครและอะไรเปน
มาตรฐานของการวัด เราตองสมมุติคาปกติขึ้นมากอน เชน คนแขกชอบใหผูหญิงของเขามีเนื้อมีหนัง
มีพุงยอยอันเปนสัญลักษณของความร่ํารวย ซึ่งเขาเรียกหุนเชนนี้วาสวย แตในสายตาของหญิง
ชาวตะวันตกที่ชอบหุนเพรียว ๆ นั้นจะเห็นหญิงแขกอวน ในขณะที่หญิงแขกจะเห็นหญิงชาวตะวันตก
ผอมเกินไป ความรวย ความจน ก็ขึ้นอยูกับวาเราเอาใครและอะไรเปนมาตรฐานของการวัด กรรมกรที่
หาเชากินค่ําก็จะเห็นทุกคนรวยกวาตนหมดนอกจากขอทานเทานั้น (ขอทานบางคนอาจจะรวยกวา
กรรมกรก็เปนได) คนมีเงินเก็บจํานวนแสนก็จะเห็นคนมีเงินลานรวยกวาตน สวนคนรวยที่มีทรัพยสิน
สิบลาน ก็จะเห็นคนที่มีนอยกวานั้นจนกวาตนเองหมด แตเมื่อนําตนเองไปเปรียบเทียบกับคนมี
ทรัพยสินรอยลาน พันลาน ก็ยังคิดวาตัวเองจนอยู ถาเปรียบเทียบกับคนที่มีทรัพยสินหลายหมื่นลาน
ก็คงคิดวาตนเองยังจนมากอยู เปนตน
เพราะไมรูวาอะไรคือสิ่งสมบูรณ คงที่ และปติ อันจะใชเปนมาตรฐานของการวัดสิ่งตาง ๆ
ได ทุกสิ่งทุกอยางจึงตองวัดกันอยางเปรียบเทียบ หรือ สัมพัทธกันเชนนี้ จึงกอใหเกิดคําวลี
ภาษาอังกฤษวา relatively speaking หรือ พูดอยางสัมพัทธ ซึ่งเปนวลีที่ใชกันบอยมากใน
ชีวิตประจําวัน เพราะตองพูดใหรูเรื่องกอนวาเอาอะไรเปนหลัก มิเชนนั้น เถียงกันตาย แตถาหากเรารู
จุดคงที่ของจักรวาล วิถีชีวิตของเราจะตองเปลี่ยนไปเปนอีกลักษณะหนึ่ง
ไอนสไตนกับทฤษฎีเอกภาพ
หลังจากการคนพบทฤษฎีสัมพัทธภาพแลว ไอนสไตนก็ยังไดคนพบเรื่องกลศาสตร
ควอนตัม Quantum Mechanic ซึ่งความคิดหลักของทฤษฎีนี้คือ ทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลนี้เกิดขึ้น
และมีการทํางานเหมือนการโยนลูกเตา ผลของมันยอมตั้งอยูบนพื้นฐานของความอาจจะเปนไปได
probability เทานั้น ซึ่งเปนสิ่งที่ไอนสไตนยอมรับไมได เพราะคาของความอาจจะเปนไปไดเปรียบ
เหมือนกับการยืนอยูบนทาน้ําทีโ่ คลงเคลง เอนเอียง หากใชภาษาของชาวพุทธแลว การคนพบ
กลศาสตรควอนตัมก็คือ การคนพบเรื่องอนิจจังนั่นเอง สิ่งที่ไอนสไตนตองการนั้น เปรียบเทียบไดกับ
ความหนักแนนของพื้นดิน หรือ สิ่งหนึ่งที่ใหคาอันคงที่ ปกติ ถาวร ซึ่งเขาคิดวาคณิตศาสตรเทานั้นที่
สามารถหยิบยื่นสิ่งที่เที่ยงแท แนนอน ใหกับเขาได ฉะนั้น แมไอนสไตนเปนผูคนพบเรื่องกลศาสตร
ควอนตัมอันเปนความรูที่ไดรับการตอยอดพัฒนาไปอยางรวดเร็วจนกลายเปนหัวใจของการพัฒนา
เทคโนโลยี่ในปจจุบันก็ตาม ไอนสไตนกลับไมไดใหเยื่อใย ไมสนใจ แถมดูหมิ่นความรูที่เขาไดคนพบ
เอง หรือ ถาพูดใหมดวยภาษาของชาวพุทธวา ไอนสไตนยอมรับความเปนอนิจจังของทุกสิ่ง ทุกอยาง
ไมได จึงขวนขวายหาสิ่งที่เปนนิจจัง หรือ ความเที่ยงแท ถาวร
สิ่งที่รั้งไอนสไตนไวคือ ความเปนนักการศาสนาของเขา ความเชื่อ ในพระเจา และนิสัย
สวนตัวที่จําเปนตองรูและเขาใจสิ่งตาง ๆ อยางแนชัด ถึงแกน และสามารถแปรความเขาใจนั้น ๆ
ออกมาเปนสูตรสําเร็จทางคณิตศาสตรที่แนนอน ซึ่งคณิตศาสตรเปนวิธีการเดียวที่ไอนสไตนสามารถ
เขาใจและเขาถึงได หลังจากที่ประธานาธิบดีคนแรกของอิสราเอลเสียชีวิต ไอนสไตนไดถูกเสนอชื่อ
ใหเปนประธานาธิบดีของชาวยิวคนตอไป เพราะความเปนนักฟสิกสที่ไดรับรางวัลโนเบลและเปนผูรัก
3
สันติภาพมาก จึงไดมีสวนชวยเหลือชาวยิวจนกอใหเกิดประเทศอิสราเอลขึ้นมาในป 1948 แต
ไอนสไตนปฏิเสธตําแหนงผูนําประเทศโดยใหเหตุผลวา
“การเมืองอยูไดเพียงชั่วครูชั่วยามเทานั้น แตสมการทางคณิตศาสตรสามารถอยูไดอยาง
ชั่วนิรันดร”
อยางไรก็ตาม ความรัก ความคลั่งไคล และบูชาในพระเจากับคณิตศาสตรไปพรอม ๆ กัน
นี่เอง ไดกลายเปนเชื้อเพลิงที่กอใหเกิดปฏิกิริยาลูกโซในหัวสมองหรือจิตใจของอัจฉริยะบุคคลผูนี้อีก
นับตั้งแตตนป 1920 เปนตนไป ไอนสไตนไดเขาสูยุคของการคิดคนหาทฤษฎีเอกภาพ The Unified
Theory หรือ ทฤษฎีสรรพสิ่ง The Theory of Everything
พระเจาไมเลนลูกเตา
ไอนสไตนเชื่อมั่นเหลือเกินวา ความเถรตรงของคณิตศาสตรเทานัน ้ ที่สามารถอธิบายและ
ใหคําตอบแกทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลได จะสามารถรวมความรูทั้งหมดของจักรวาลเขาเปนหนึ่ง
เดียว รวมไปถึงการอธิบายวาพระเจาสรางจักรวาลนี้ไดอยางไร ดังที่ไอนสไตนพูดวา
“ขาพเจาตองการรูวาพระเจาสรางโลกนี้อยางไร ขาพเจาไมไดสนใจปรากฏการณนั้นนี้วา
มันเปนของธาตุนั้นหรือธาตุนี้ สิ่งเหลานี้เปนเพียงรายละเอียดเทานั้น ขาพเจาตองการรูความคิดของ
พระเจาตางหาก”
ทฤษฎีเอกภาพนี้จึงเปรียบเหมือนการหาสมการทางคณิตศาสตรที่สามารถอานจิตใจของพระ
เจาและงานศิลปะการสรางโลกและมนุษยของพระเจานั่นเอง ซึ่งเปนความคิดที่เต็มไปดวยความ
ทะเยอทะยานมาก ในเดือนเมษายน 1955 ไอนสไตนลมปวยและเขารับการรักษาในโรงพยาบาล
ปรินซตัน รัฐนิวเจอซี่ อันเปนเมืองที่เขาอยูในชวงบั้นปลายของชีวิต ไอนสไตนก็ยังไมลดละที่จะ
คิดคนสูตรทางคณิตศาสตรที่เขาหาอยูในชวงสามสิบปที่ผานมา เขามักมีกระดาษ ดินสอ อยูกับตัว
และขีดเขียนตัวเลข เครื่องหมาย และสมการทางคณิตศาสตรตาง ๆ อยูเสมอ ซึ่งพยาบาลคนหนึ่งที่
ดูแลเขาอยูไดหามาให จึงมีโอกาสไดเห็นพูดคุยสนทนากับไอนสไตน จึงรูวาไอนสไตนยังคงพยายาม
อานหัวสมองของพระเจาอยู พยาบาลรูสึกเห็นใจ อยากใหไอนสไตนพักผอนอยางเต็มที่ วันหนึ่ง
พยาบาลจึงพูดกับไอนสไตนอยางออนโยนและเปนหวงเปนใยวา
บางที พระเจาทานอาจจะไมอยากใหเราอานจิตใจของทานก็ไดนะ
Maybe God doesn’t want us to know his mind.
พระเจาไมเลนลูกเตาหรอก คุณพยาบาล!
God doesn’t play dice, nurse!
4
ปลอยใหฮิตเลอรและทหารนาซีฆาชาวยิวอยางลางเผาพันธุเชนนั้น ทําไมพระเจาจึงไมยุติสงครามที่
สรางความทุกขอยางมหันตใหกับมนุษย ที่พระเจาสรางและรักมากดังคําโฆษณา ทําไมพระเจาจึงไม
ชวยผูกรีดรองขอความชวยเหลือจากทานเมื่อเกิดเหตุการณวิกฤตเชน เด็กหญิงที่กําลังถูกขมขืน ถูก
ฆา หรือ กําลังหนีภัยธรรมชาติ เชน แผนดินไหว น้ําทวม และทําไมพระเจาจึงสรางโลกและสังคม
มนุษยที่เต็มไปดวยความเหลื่อมล้ําต่ําสูงและอยุติธรรมเชนนี้ ฯลฯ
ไอนสไตนยอมรับพระพุทธศาสนา
ถึงแมไอนสไตนไดจากโลกนี้ไปโดยไมพบคําตอบที่เขาตองการก็ตาม เขาไดทิ้งคําพูดที่
สําคัญมากใหกับมนุษยชาติซึ่งดิฉันรูสึกซาบซึ้งมาก ในบั้นปลายชีวิตของเขา ไอนสไตนเริ่มสงสัยแลว
วา ศาสนาพุทธอาจจะเปนศาสนาที่ใหคําตอบตอคําถามที่เขาอยากคนพบก็เปนได ในป ๑๙๕๔ หนึ่ง
ปกอนเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซตันไดตีพิมพงานเขียนชิ้นหนึ่งของไอนสไตนชื่อเรื่องวา “The
Human Side” ซึ่งนักฟสิกสผูไดรับรางวัลโนเบลผูนี้ไดพูดทิ้งไวนิดหนอยวา
ศาสนาในอนาคตจะเปนศาสนาที่เนื่องกับจักรวาล ควรอยูเหนือพระเจาสวนตัว หลีกเลี่ยง
ลัทธิกฏเกณฑที่ไรขอพิสูจน ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ ควรตั้งอยูบนรากฐาน
ของศาสนาที่เกิดจากประสบการณของทุกสิ่งที่สรางเอกภาพอันมีความหมาย ซึ่งพระพุ ทธศาสนาดู
เหมือนจะมีสิ่งเหลานี้อยู ศาสนาพุทธนาจะเปนศาสนาที่สามารถแกไขปญหาตาง ๆ ของยุคสมัยได
ไอนสไตนพูดถูกเผงทีเดียว ทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่เขาตองการคนหานั้น ที่
จริงพระพุทธเจาไดตอบใหเบ็ดเสร็จแลวกอนหนานั้นถึง ๒๕๐๐ ปเศษ
ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
ในความเห็นของดิฉัน ไมวาจะเปนเรื่องจุดคงที่อันแนนอนของจักรวาลหรือเรื่องการอาน
ความคิดของพระเจานั้น ที่จริง เปนเรื่องเดียวกัน พูดงาย ๆ คือ อัจฉริยะบุคคลของโลกผูนี้ตองการหา
สิ่ง ๆ หนึ่งที่พระพุทธเจาเรียกวาเปน อสังขตธรรม ซึ่งมีคุณลักษณะที่สมบูรณ แนนอน คงที่ ไม
เปลี่ยนแปลง เปนนิจจัง เปนอันติมะ คือไมมีสิ่งอื่นใดที่สามารถไปเหนือสิ่งนี้ไดอีกแลว สิ่งนี้เปน
พรมแดนสุดทายของจักรวาลแลว ซึ่งมีสิ่งเดียวในจักรวาลนี้เทานั้น คือ พระนิพพาน ซึ่งเปนเรื่อง
เดียวกับที่สุดแหงทุกข นั่นเอง
พระพุทธเจาไดบรรยายลักษณะพระนิพพานอันเปนจุดปกติของจักรวาลเชนนี้คือ
“ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู ในอายตนะนั้น ไมใชดิน น้ํา ลม ไฟ ไมใชอากาสานัญ
จายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไมใชโลกนี้ ไมใชโลก
หนา ไมใชพระจันทร ไมใชพระอาทิตย ไมใชการมา ไมใชการไป ไมใชการตั้งอยู ไมใชการจุติ ไมใช
การเกิดขึ้น ไมใชเปนที่ตั้ง ไมใชความเปนไป ไมใชอารมณ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นคือ ที่สุด
แหงทุกข”
พระนิ พพานนี แหละคื
่ อกรอบหลักการที่กวางขวาง มีคุณลักษณะสมบูรณ พึ่งพาได ไมมี
ความโคลงเคลงเหมือนกลศาสตรควอนตัมที่ไอนสไตนหมิ่นประมาทและยอมรับไมได จึงสามารถ
ครอบคลุมเรื่องทุกเรื่องของจักรวาลและสามารถใชเปนพื้นฐานของทุกทฤษฎีได คุณลักษณะเชนนี้
แหละคือ ทฤษฎีเอกภาพที่ไอนสไตนไดทุมเทชีวิตหามันอยูถึงสามสิบป
ฉะนั้น มนุษยชาติตองยอมรับวามีปรากฏการณหนึ่งในธรรมชาติ อันเปนที่สิ้นสุดของทุก ๆ
สิ่งในจักรวาล ซึ่งพระพุทธเจาไดคนพบแลวในคืนที่ทานตรัสรูเมื่อ ๒๕๙๓ ปกอน นับจากคืนนั้นเปน
ตนมา ในประวัติศาสตรของพระพุทธศาสนายอมมีผูรูตามพระพุทธเจาเสมอมา ที่สามารถออกมา
ประกาศย้ําตอมวลมนุษยวามีสัจธรรมอันสูงสุดหรือจุดปกติในจักรวาลอยางแนนอน ไมใชเรื่องเพอฝน
จินตนาการแตอยางใด ซึ่งเปนเหตุผลหนึ่งที่ทําใหพระพุทธศาสนายืนหยัดอยูไดถึงทุกวันนี้
5
สัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานนี้แหละคือ สิ่งที่ไอนสไตนตองการหาในชวงชีวิตแหง
การเปนนักคิดของเขาโดยผานวิธีการและกลไกทางคณิตศาสตร ซึ่งเปนวิธีการเขาถึงสัจธรรมที่
ผิดพลาด เพราะสัจธรรมนี้จะตองเขาถึงดวยวิธีการของ ปญญา ศีล สมาธิ เทานั้น หรือ จะพูดใหรัดกุม
คือ ตองใชวิธีการปฏิบัติสติปฏฐานสี่หรือวิปสสนาเทานั้นจึงจะเขาถึงสภาวะที่เปนอันติมะนี้ได
ที่นี่ เดี๋ยวนี้
หลังจากกรณีเหตุการณพิสดารทางใจของดิฉันในเดือนตุลาคมในป ๒๕๔๐ นั้น ดิฉันมี
ความมั่นใจเหลือเกินวา จุดนิ่งในจักรวาลและทฤษฎีเอกภาพที่ไอนสไตนเฝาหาอยูนั้นไดซอนอยูใน
การสังเกตการณของขอเปรียบเทียบที่ไอนสไตนพูดถึงรถไฟสองขบวนที่วิ่งดวยความเร็วพรอมกัน
นั่นเอง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ คําตอบที่อัจฉริยะบุคคลตองการหาอยูแตลมเหลว ทั้ง ๆ ที่ไอนสไตนก็เห็น
อยู แตเขาไมสามารถรูไดวาขอเปรียบเทียบนั้นสามารถอธิบายสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลได
ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ จุดคงที่ของจักรวาลที่สามารถใชเปนมาตรการพื้นฐานวัดสิ่งตาง ๆ ได ใน
บทที่สามของหนังสือเลมนี้ ดิฉันไดพูดอธิบายเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในฐานะที่เปนสัจธรรมอันสูงสุด ที่มี
ความเรียบงายและปกติธรรมดา การเขาถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปนเรื่องของการฝกทักษะทางใจเหมือนการ
สามารถยืนบนแผนกระดานโตคลื่น และสามารถฝกทักษะที่จะโตคลื่นลูกเล็กและลูกใหญไดโดยไม
ลม
สัจธรรมอยูแคปลายจมูกของคนทุกคน
เหมือนการมองขามคําตอบของปญหาเชาวนนั่นเอง เพราะหัวสมองของเขามัวคิดวุนอยูกับ
การหาคําตอบใหกับจักรวาลที่เปรียบเหมือนการหาคําตอบใหกับคําถามปริศนาของฝรั่งที่วา
What is it that has two in a week and one in a year?
อะไรเอยที่มีสองอยูในหนึ่งอาทิตยและมีเพียงหนึ่งในหนึ่งป
นี่เปนปญหาเชาวน ซึ่งเปนเรื่องตื้นที่ไมตองคิดลึกเพื่อหาคําตอบ เพราะคําตอบของปญหาเชาวนมัก
อยูเบื้องหนาของเราแลว คําตอบของปริศนานี้จึงไมตองไปคิดไกล และคิดลึก แตตองไปดูที่คําวา
week กับ year แทน ก็จะไดคําตอบที่งาย ๆ คือ ตัวอักษร e นั่นเอง ซึ่งเปนคําตอบที่อยูเบื้องหนา
แลว
การหาคําตอบใหกับทฤษฎีเอกภาพหรือการเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดก็เหมือนการหาคําตอบ
ใหกับปญหาเชาวนซึ่งไมตองอาศัยพลังสมองเพียงถายเดียวเทานั้น ปจจัยที่สําคัญคือ จะตองมีผูรูที่
ตรัสรูดวยตนเองมาชี้แนะใหเสียกอนซึ่งพระพุทธเจาเปนผูรูทานแรก ผูรูเหลานี้แหละจึงจะสามารถ
ชี้บอกไดวาสัจธรรมในขั้นอันติมะของจักรวาลเปนเรื่องพื้น ๆ ธรรมดา ๆ และงาย ๆ ที่อยูแคปลายจมูก
ของคนทุกคนแลว เหมือนคําตอบของปญหาเชาวนที่ไมจําเปนตองคิดมากแตอยางใด เพราะความที่
มีลักษณะเปนหญาปากคอกนี้เอง จึงทําใหพระนิพพานหรือการหาจุดปกติของชีวิตกลายเปนเรื่องยาก
ที่สุดในเหลาปญญาชนทั้งหลายที่ถนัดการคิดมากและคิดลึก เปรียบเสมือนการเดินเขาไปในทอ
ความคิดอันมีทางตันเปนที่สุด
เอาความจริงสัมพัทธเปนที่พึ่ง
คุณจะเห็นไดชัดเจนวา การไมรูสัจธรรมในฐานะที่เปนคาคงที่หรือปกตินี้ ก็เปรียบเหมือน
การยืนอยูทามกลางทุงกวางที่ไมมีวันตัดสินไดวา เรากําลังยืนอยูตรงกลาง ชิดซาย ชิดขวา ใกลบน
ใกลลาง หรือ เฉียงไปทางไหน นี่คือ สภาวะของการไมรูวาอะไรเปนอะไร และเปนเหตุผลหลักที่ทํา
ใหจิตใจของมนุษยสับสนวุนวายและทุกขมาก เมื่อหาจุดคงที่หรือปกติไมพบ จึงจําเปนตองหาที่พึ่งใน
ความเปนอนิจจัง คือตองยอมรับความจริงในระดับสมมุติที่ฝรั่งเรียก conventional truth หรือ ความ
จริงที่ตั้งอยูบนเงื่อนไข conditional truth หรือ ความจริงสัมพัทธ relative truth ซึ่งเปนความคิด
หลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ไอนสไตนเนนแตเรื่องทางฟสิกสเทานั้น แตที่จริงแลว ความคิดหลัก ๆ
6
ของทฤษฎีสัมพัทธภาพเปนเรื่องที่ครอบคลุมถึงเรื่องจิตใจและชีวิตทั้งหมดที่เนื่องกับจักรวาลที่เราอยู
ซึ่งดิฉันจะอธิบายใหคุณเห็นชัดเจนในบทที่หาและหกของหนังสือเลมนี้
การยอมรับทฤษฎีสัมพัทธภาพ ก็คือ การยอมรับความจริงในระดับสมมุติหรือสัมพัทธ จึง
ไดกอใหเกิดวัฒนธรรมแหงภาษาคือ การพูดตัดสินเรื่องตาง ๆ อยางเปรียบเทียบ relatively
speaking ซึ่งเปนวลีภาษาอังกฤษที่ใชกันบอยมากในระหวางการพูดคุยเรื่องราวตาง ๆ ของ
ชีวิตประจําวัน เพราะทุกคนลวนพูดจากกรอบความคิดที่แตกตางและหลากหลายของตนเองอัน
เนื่องจากไมมีเสาหลักที่มั่นคงเพราะไมรูสัจธรรมอันสูงสุด การพูดคุยในทุกเรื่องของชีวิตจึงหละหลวม
โคลงเคลง บางครั้งก็ไรแกนสารอยางสิ้นเชิง เหมือนยืนบนทาน้ําฉันใดก็ฉันนั้น
ศีลธรรมสัมพัทธ
สิ่งที่เสียหายมากกวานั้นคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพมีอิทธิพลตอวิธีการคิดของคนรุนใหมจน
กอใหเกิดศีลธรรมแบบสัมพัทธขึ้นมา เพราะไมรูสัจธรรมอันสูงสุด จึงไมรูวาอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ตาง
จากสิ่งชั่วที่สุดอยางไร คนจึงมักคิดวา ไมมีระบบศีลธรรมที่สมบูรณในตัวมันเอง There is no moral
absolute. ฉะนั้น คนเราจึงตัดสินการกระทําวาดีหรือชั่วในลักษณะของการเปรียบเทียบแบบสัมพัทธ
เชน นักขโมยเล็กขโมยนอยจะคิดเปรียบเทียบตนเองวาดีกวาโจรปลนธนาคารซึ่งคิดวาตนเองยังดีกวา
อาชญากรที่ขมขืนหญิงและฆาคนเปนครั้งแรกซึ่งคิดวาตนเองยังดีกวาอาชญากรที่ฆาคนหลายคนแลว
คนสูบบุหรี่จะคิดวาตนเองดีกวาคนกินเหลาดวยสูบบุหรี่ดวยซึ่งคิดวาตนเองยอมดีกวาคนติดยาเสพติด
การคิดอยางเปรียบเทียบเชนนี้ยอมเปรียบไปไดเรื่อย ๆ ในทั้งสองทางคือ ทั้งฝายดีและฝายชั่ว
ตอเมื่อรูวาอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดเทานั้น จึงจะมีมาตรฐานการวัดที่ถูกตองอยางแทจริง สัจธรรมอันสูงสุด
จึงจําเปนตองอยูเหนือทั้งความชั่วและความดีทั้งหลาย จึงเปนสิ่งที่ดีที่สุด ที่พึ่งพาได
ยุคของคนตาบอดจูงคนตาบอด
เมื่อผูนํารัฐเปนคนตาบอดทางใจเสียเองแลว ผลเสียหายยิ่งรายแรงมากขึ้น และมี
ผลกระทบตอคนหมูมากอยางนาใจหาย เชน รัฐบาลอังกฤษไดออกกฎหมายอนุญาตใหผับตาง ๆ เปด
ขายสุราไดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งเปนการสงเสริมใหคนดื่มสุรามากขึ้นโดยเฉพาะเด็กวัยรุน
นอกจากนั้น ยังยกเลิกกฎหมาย ไมจัดกัญชาวาเปนยาเสพติดที่รายแรงอีกตอไป ใครตอใครจึง
สามารถสูบกัญชาไดเหมือนสูบบุหรี่ ไมถูกจับมาลงโทษเหมือนสมัยกอน กฎหมายที่โงเขลาเบา
ปญญาเหลานี้จึงกลายเปนมาตรฐานสมมุติที่คนนํามาเปรียบเทียบความดีเลวของตนเอง และกลับ
กลายเปนกฎหมายที่สรางปญหาสังคมอยางไมจบไมสิ้น เปนการชวยสงเสริมทําลายสุขภาพทั้งทาง
กายและทางจิตใจของประชาชนของตนเองแทนที่จะชวยปกปองในฐานะผูปกครองที่ดี
ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคลแทนที่จะนําไปใชสรางสรรคสิ่งดี ๆ หรือใชในสิ่งที่จําเปนจริง
ๆ นั้นกลับตองมาทุมเทเพื่อแกปญหาปลายเหตุที่รัฐบาลเปนคนสรางขึ้นมาเสียเอง
ความออนแอของสถาบันศาสนาทั่วโลกก็เปนสาเหตุใหญที่ทําใหสังคมปนปวนมากขึ้น
เพราะไมมีผูนําทางจิตใจที่สามารถแสดงออกซึ่งภู มิปญญาทางธรรมอยางแทจริง จึงไมสามารถยับยั้ง
กฎหมายที่เปนโทษตอสังคม สังคมจึงขาดทิศทางของชีวิตที่ถูกตอง เกิดสภาวะที่ฝรั่งเรียกวา
massive misdirection of life เปนยุคของคนตาบอดจูงคนตาบอดอยางแทจริง
การนําคนหมูมากไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิตอันคือสัจธรรมอันสูงสุดนั้นควรเปน
หนาที่ของผูนําทางศาสนาที่ทํารวมกับผูนําทางการเมือง โดยที่ผูรูจริงตองเปนที่ปรึกษาให
นักการเมือง แตเมื่อผูนําทางศาสนาไมมีความรูเรื่องสัจธรรมอันสูงสุดแลว จึงไมสามารถเปนที่พึ่งให
นักการเมืองได การนําสังคมจึงตกเปนหนาที่ของนักการเมืองและสื่อมวลชนซึ่งลวนแตมีตาใจที่มืด
บอดและอดไมไดที่จะทําตามอํานาจของกิเลสทั้งสิ้น แถมผูนําศาสนาบางลัทธิกลับไปสอนใหคน
เกลียดชังซึ่งกันและกัน ถึงขนาดสอนใหพลีชีพตนเองเพื่อฆาคนหมูมากที่ไมเห็นดวยตอลัทธิของตน
เพื่อการไดไปสวรรคอยูกับพระเจา อันเปนการกระทําของคนมืดบอดอยางสนิท เพิ่มปญหาที่หนัก
หนวงใหสังคมโลกโดยไมจําเปน
7
รุงอรุณของยุคมิคสัญญี
ศีลธรรมสัมพัทธจึงกลายเปนสาเหตุใหญที่กอใหเกิดความลมเหลวทางศีลธรรมของทั่ว
โลก เพราะคนยุคนี้มักถนัดที่จะหาคนที่เลวกวาตนเองมาเปรียบเทียบดวยเสมอ เพื่อจะไดรูสึกวา
ตนเองก็ยังมีสวนดีอยู รวมทั้งคานิยมตาง ๆ ที่ทําใหศีลธรรมยอหยอนเชน “ทําดีไดดีมีที่ไหน ทําชั่วได
ดีมีถมไป” การบูชาคนที่มีเงิน มีอํานาจและมีชื่อเสียง การทําผิดศีลธรรมของคนมั่งมีและมีชื่อเสียง
กลับกลายเปนเรื่องยอมรับของสังคมโดยเฉพาะการผิดศีลขอสาม คนไมนอยของยุคนี้อาจจะร่ํารวย
และมีชื่อเสียงขึ้นมาไดเพราะการกระทําที่ทุจริตหรือทํามิจฉาอาชีพของตนเอง เชน ขายมนุษย ขาย
อาวุธ ขายสิ่งเสพติดทั้งหลาย การใหเกียรติและบูชาคนผิดศีลธรรมเพียงเพราะเขาร่ํารวยจึงไมตาง
จากการเอาหนังสือศีลธรรมมาเหยียบเลน ทําใหเรื่องผิดศีลธรรมกลายเปนเรื่องปกติของสังคมมากขึ้น
เพราะไมมีสิ่งดีที่สุดมาใชเปนมาตรฐานของการวัด
จากการชวยเหลือของฮอลลีวูดที่ผลิตภาพยนตรที่เนนการใชความรุนแรง ทําเรื่องการทํา
รายรางกาย ฆากัน ยิงกัน ใหเปนเรื่องเทห เก พรอมกับเกมสคอมพิวเตอรที่สวนมากเนนแตการทําราย
ซึ่งกันและกัน เด็ก ๆ จึงเห็นการกระทําผิดศีลธรรมเปนเรื่องปกติ ธรรมดาไป พฤติกรรมที่ไม
เอื้ออํานวยใหเขาใจชีวิตอยางถูกตองเหลานี้จะทําใหศีลธรรมกลายเปนเรื่องอดีตของมนุษยไปในที่สุด
การใชชีวิตอยางไรศีลธรรมจะกลายเปนเรื่องปกติธรรมดาของมนุษยไปในอนาคต ซึ่งเปนการปูทาง
ไปสูยุคมิคสัญญี คือ ยุคที่มนุษยสามารถฆากันดวยความเขาใจผิดวามนุษยเปนผักปลา อันเปนกลไก
หรือธรรมชาติธรรมดาของสังสารวัฏ นี่จึงเปนยุคที่ปจเจกบุคคลตองรีบเอาตัวเองใหรอดโดยรีบทํา
ความเขาใจเรื่องตาง ๆ ที่ดิฉันนําเสนอในหนังสือเลมนี้
จุดนิ่งของจักรวาลสามารถยุติศีลธรรมสัมพัทธ
จะยุติสภาวะที่สับสนและยุงเหยิงของสังคมไดก็ตองหยุดคิดเรื่องศีลธรรมอยางสัมพัทธ
หรือเปรียบเทียบ จะทําเชนนั้นได จําเปนตองรูเหตุผลที่อยูเบื้องหลังการมีศีลธรรมจรรยาเสียกอน คน
จะตองรูวาทําไมนักการศาสนาหรือนักบุญทุกทานที่ผานมาในโลกจะตองสอนคนใหทําแตความดีและ
มีศีลธรรมเสมอ เหตุผลหลักมีขอเดียวคือ มันเปนปจจัยสําคัญชวยใหผูรักษาศีลเขาถึงสัจธรรมอัน
สูงสุด หรือ เขาถึงพระเจา หรือ พระนิพพาน นั่นเอง
จุดนิ่งหรือจุดปกติของจักรวาลอันคงที่ถาวรเทานั้นที่สามารถใชเปนมาตรฐานการวัดทุกสิ่ง
ในจักรวาลได ผลที่ไดก็จะมีคาคงที่ สมบูรณ แนนอน ไมขึ้นอยูกับการตีความที่ออกจากกรอบ
ความคิดที่แตกตางหลากหลายเหมือนการใสแวนตางสีของปจเจกบุ คคล อีกตอไป จะเปนการพูดโดย
การเอาสัจธรรมเปนแกนหลักเสมอ จึงเปนคําพูดที่มีความหนักแนน คงทน ถาวร ฉะนั้น แทนที่จะยอม
กมหัวใหกับทฤษฎีสัมพัทธภาพโดยพูดวา “พูดอยางสัมพัทธ relatively speaking” เราควรสราง
วัฒนธรรมทางภาษาที่เนื่องกับการรูจุดคงที่ของจักรวาลขึ้นมาใหมโดยใชวลีเชน “พูดอยางเด็ดขาด
absolutely speaking” แทน เพื่อใหทุกเรื่องของชีวิตโยงกลับไปสูสัจธรรมอันสูงสุดไดเสมอ
ไอนสไตนพูดวา
วิทยาศาสตรนั้นไมมีอะไรมากไปกวาการคิดเรื่องราวของชีวิตประจําวัน
ฉะนั้น การรูจุดปกติของจักรวาลจึงเปนเรื่องที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของมนุษยอยาง
แนบแนน เปนเรื่องการสรางวิถีชีวิตที่ปกติอยางแทจริง นี่เปนเรื่องเดียวที่จะสามารถแกปญหาอัน
สับสนและสลับซับซอนที่เนื่องกับสังคมและศีลธรรมได เปรียบเหมือนการแกปมเชือกของเสนดาย
จากตนสุดหรือปลายสุด เพื่อปมอื่น ๆ จะสามารถหลุดออกเปนเปาะ ๆ จนกลายเปนเสนตรงได
ความรูทางโลกและทางธรรมตองเดินควบคูกัน
ปจจุบันนี้ งานวิจัยในวงการฟสิกสโดยสวนใหญมีเปาหมายเพื่อสานตอภารกิจของ
ไอนสไตน เพื่อแสวงหาคําตอบในปริศนาหรือทฤษฎีเอกภาพที่ไอนสไตนไดทุมเทชีวิตในชวง ๓๐ ป
สุดทายของเขา แตไมสําเร็จ บรรดานักฟสิกสยังเห็นพองตองกันวาควรตองมีกรอบหลักการที่
8
กวางขวางครอบคลุมและเปนพื้นฐานของทุกทฤษฎี จึงเปนเปาหมายที่ทาทายอยางยิ่งยวดและเปน
ความใฝฝนอันสูงสุดในวงการวิทยาศาสตร
ดิฉันมั่นใจเหลือเกินวา พระนิ พพาน ในฐานะที่เปนจุดปกติของจักรวาลนีแ
่ หละคือกรอบ
หลักการทีก ่ วางขวาง ที่สามารถครอบคลุมเรื่องทุกเรื่องของจักรวาลและสามารถใชเปนพื้นฐานของ
ทุกทฤษฎีได ความรูทางโลกโดยเฉพาะความรูทางวิทยาศาสตรจําเปนตองเดินเคียงขางกับความรู
เรื่องพระนิพพานเสมอจึงจะปลอดภัย จึงแนใจไดวาจะไมถูกใชไปในทางที่ผิด ๆ ถาหากขาดทฤษฎี
เอกภาพอันคือพระนิพพานแลวไซร ความรูทางโลกเหลานั้นแมจะเลิศเลอมหัศจรรยและมีคุณคาตอ
การสรางสรรคอารยธรรมทางวัตถุมากเพียงใดก็ตาม มันก็ยังเปนความรูในฝายมืดที่มักถูกนําไปใชเพื่อ
ปรนเปรอกิเลสของมนุษย จึงเปนความรูที่ยังหลงทิศอยู เปนเรื่องการพายเรืออยูใ นหนองน้ําที่กวาง
ใหญไพศาล เหมือนติดคุกใหญที่ไมมีทางออก เปนความรูที่มีคุณภาพเหมือนผาขาวสีขุนมัว ไมใส
แจวเหมือนความรูเรื่องพระนิพพาน อันเปนความรูเรื่องการออกจากคุกของชีวิตอยางแทจริง
สรุป
ถึงแมอัลเบิรต ไอนสไตนไดจากโลกนี้ไปแลวโดยที่เขายังไมไดพบสัจธรรมอันสูงสุดก็ตาม
เขาก็ยังไดทิ้งมรดกทางปญญาอยางมากมายใหแกมนุษยชาติที่ควรไดรับการยกยองและระลึกถึง
เสมอ แตสําหรับดิฉันแลว มรดกทีส ่ ําคัญที่สุดที่ไอนสไตนไดทิ้งใหแกมนุษยชาติคือ การตั้งคําถาม
ของเขาในเรื่องเกี่ยวกับจุดนิ่งหรือจุดปกติของจักรวาลและทฤษฎีเอกภาพ รวมทั้งการชี้ทางไปสูการ
หาคําตอบในพระพุทธศาสนา
ดิฉันอยากเชื่อวา ความคิดนี้ของไอนสไตนจะสามารถสรางความตื่นตัวในหมูปญญาชน
โดยเฉพาะปญญาชนไทยใหกลับมาเสาะแสวงหาภูมิปญญาของพระพุทธเจามากขึ้น ซึ่งภูมิปญญาใน
สวนพระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดที่ดิฉันนําเสนอในหนังสือเลมนี้ เปนการเรียนรูที่อยูเหนือกรอบ
แหงประเพณีและวัฒนธรรมทางศาสนาตาง ๆ จึงเปนเรื่องครอบจักรวาล เปนเรื่องสากลที่สามารถ
เขาถึงไดดวยเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตรอยางแทจริง ไมจําเปนตองแยกระหวางการเชื่อ
ศาสนาหรือเชื่อวิทยาศาสตรแตอยางใด จึงเปนเรื่องกลาง ๆ ที่ทุกคนเขาถึงได
ดิฉันเห็นวานี่เปนวิธีการเดียวที่จะสามารถรวมมนุษยชาติใหเปนเอกภาพไดในฐานะที่ทุก
คนเปนมนุษยของดาวนพพระเคราะหดวงนี้เทาเทียมกันหมด
9
บทที่สอง
ตัวจริง ๆ ของเราอยูที่ไหน
Finding Our True Self
ฝรั่งคุยเรื่อง “กลัวความชรา”
“ทุกครั้งทีด
่ ิฉันเห็นตัวเองในกระจก ดิฉันยอมรับกับตัวเองไดยากมากวาใบหนาที่
เหี่ยวยนในกระจกนี้คือตัวดิฉัน เพราะดิฉันไมไดรูสึกวาเปนคนนั้นเลย คนนั้นไมใชเปนตัวจริง
ของดิฉัน ในหัวใจของดิฉันนั้น รูสึกเปนอีกคนหนึ่งที่หนาตาไมเหมือนหญิงคนที่ดิฉันเห็นใน
กระจกเลย”
ในขณะที่เธอกําลังปลดเปลื้องเสื้อผาที่ ปกปค
ดวามรูสึกสวนลึกของตนเองออกให
ชาวโลกเห็นตัวใจที่เปลือยเปลานั้น ดิฉันจึงมองเห็นความรูสึกที่เจ็บปวดในจิตใจของหญิง
คนนี้ไดอยางชัดเจน เครื่องสําอางของเธออาจจะสามารถปกปดรอยเหี่ยวยนบนใบหนาได
บาง แตไมสามารถปกปดความกลัว ความไมมั่นคง และการขาดความมั่นใจในตัวเองที่แสดง
ออกมาทางสายตาและใบหนาไดเลย ในขณะนั้น ดิฉันรูสึกสงสารหญิงคนนี้อยางจับใจ
สงสัยวา หากเธอยังมีความกลัวภาพเหมือนในกระจกของตนเองอยูทุกวี่วันเชนนี้แลว เธอจะ
มีชีวิตอยูไดอยางไร เพราะเธอจะไมสาวขึ้น จะตองแกตัวลงมากกวานี้ สิ่งที่ทําใหดิฉันตอง
หยุดดูรายการนี้แทนการดูขาวในเชาวันนั้นคือ คําสนทนาที่ลวนวนเวียนอยูกับคําวลีที่วา “ตัว
จริงของฉัน” my true self, your real self
ตอสูกับความแกเฒาดวยศัลยกรรมตกแตง
ในขณะที่รายการสนทนานี้ดําเนินไปนั้น ดิฉันก็ไดเรียนรูขอเท็จจริงมากมายเกี่ยวกับ
ผูหญิงเราที่พยายามจะตอสูกับความแกเฒาที่หลีกเลี่ยงไมไดนี้ไดอยางไร จะไปอานหรือฟง
10
อะไรก็ไมนาสนใจเทากับการฟงประสบการณสวนตัวจริง ๆ บางรายฟงแลวก็อดสงสารไมได
สิ่งที่คนนิยมทํากันมากที่สุดคือ การทําศัลยกรรมตกแตงที่จะทําใหใบหนาดูเตงตึงและออน
กวาวัยอยูเสมอ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเปนวิธีการใหมคือ สิ่งที่ฝรั่งเรียก โบทอกซ ทรีทเม็นท Botox
treatment คือ การฉีดสารพิษจํานวนนอยนิดชนิดหนึ่งเขาไปในบริเวณผิวหนังที่เหี่ยวยน
สารพิษนั้นจะไปทําใหเนื้อที่เหี่ยวยนนั้นกลับนูนขึ้นมาอีก ทําใหดูสาวมากขึ้น ซึ่งการฉีดครั้ง
หนึ่ง จะอยูไดประมาณ ๔ – ๖ เดือน คาใชจายประมาณ ๒๐๐ ถึง ๓๐๐ ปอนด ตอครั้ง นี่คือ
สิ่งที่ดิฉันไดเรียนรูจากบรรดาสุภาพสตรีในรายการนี้ เพื่อทําใหตนเองดู ออนกวาวัย
หาภูมิปญญาเด็ด ๆ ไมได
ถกเถียงเรื่องการใชชีวิตอมตะ ไมงายเหมือนคิด
ถึงแมจะมีเพียง ๖๐ คนในรายการนี้ แตสิ่งที่คนเหลานี้นําขึ้นมาพูดถกเถียงกันนั้น
ไมไดไกลจากความเปนจริงของคนหมูมากในสังคมที่ร่ํารวยอยางสังคมตะวันตกเลย เพราะ
ความคิดเหลานี้แหละที่อยูเบื้องหลังอุตสาหกรรมเสริมสวย และผลิตภัณฑเครื่องสําอางที่ทํา
ใหดูออนกวาวัย ที่ทําเงินหลายพันลานปอนดตอป ซึ่งมีเปาหมายเพียงอยางเดียวเทานั้น คือ
การชะลอความแกเฒาของมนุษย พรอมกับการสรางเสริมอัตตาตัวตนของแตละคนให
มั่นคงมากขึ้น ซึ่งสังคมของคนยุคใหมโดยเฉพาะในสังคมที่ร่ํารวยเชนสังคมตะวันตกจะเรียก
อัตตาตัวตนวา “ความมั่นใจในตนเอง” หรือมี self confidence, self esteem ซึ่งฟงแลว
ดีกวาคําวา egoistic, egocentric หรือ self-centered ดวยความชวยเหลือของอุตสาหกรรม
โฆษณา advertising industry และกลไกของความคิดที่เปนมายา มนุษยจึงถูกหลอกให
เขาใจวาสามารถชะลอความแกเฒาและอยูเหนือความตายได
11
เรื่องการรักสวยรักงามและอยากจะใหมันอยูอยางคงทนถาวรอาจจะฟงเปนเรื่อง
เล็กนอย หรือไรสาระ trivial สําหรับคนที่ไมเห็นความสวยงามเปนเรื่องสําคัญ แตที่จริงแลว
พวกเขากําลังพูดถึงหัวขอตาง ๆ ที่มีความสําคัญตอชีวิตมากทีเดียว นั่นคือ การเผชิญหนา
กับความชรา ความตาย ทําอยางไรจึงจะมีชีวิตที่เปนหนุมเปนสาวอยูเสมอ ซึ่งเรื่องนี้คือ
เรื่องการใชชีวิตอยางเปนอมตะ eternity หรือ immortality ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับ “การเปน
ตัวของตัวเอง” หรือ ถาจะเรียบเรียงคําพูดใหมคือ การหา “ตัวจริง ๆ ของเรา” นั่นเอง
คนมักพูดถึงเรื่องการเปนตัวของตัวเอง หรือ เปนตัวจริง ๆ ของเราราวกับวาเปนเรื่อง
ทํากันงาย ๆ ที่จริงแลว เปนสิ่งที่ทําไดยากที่สุด เพราะเปนเรื่องการตอสูกับความคิด
ความรูสึกภายในของตนเอง ซึ่งเปนเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธและเปนรายละเอียดของเรื่อง
การปฏิบัติสติปฏฐานสี่โดยตรง
ถาไมรูจักตัวจริง ก็ไมรูวามีตัวปลอม
หากเอาความคิดของไอนสไตนในเรื่องการมองทุกอยางในลักษณะสัมพัทธเขามา
พูดแลวละก็ ถาเราไมรูจัก “ตัวจริง ๆ ของเรา” แลว เราก็จะไมรูจัก “ตัวปลอม” ของเรา
เชนกัน จะเขาใจผิดวาตัวปลอมของเราคือตัวจริง ตัวปลอมของเราในที่นี้คือ การมองตัวเอง
อยางเปรียบเทียบและสัมพัทธกับคนอื่นตลอดเวลาซึ่งเปนเนื้อหาของบทความนี้ เชน ทําไม
คนนั้นคนนี้สวยกวาเรา ทําไมเราไมสวยเทาเขา ทําไมฉันจึ งดูแกอยางนี้ เปนตน
ฉะนั้น จึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองรูจักตัวจริงของเราเสียกอน เพื่อวา เราจะไดแยก
ออกวานี่คือตัวปลอมของเรา เหมือนนักเลนพระที่ตองพกแวนขยายเพื่อแยกแยะใหออกวา
พระเครื่ององคไหนที่เปนของจริงหรือของปลอม คนดูพระจึงตองรูกอนวา พระจริงเปน
อยางไรเสียกอน จึงรูความแตกตางระหวางพระจริงกับพระปลอม
ดิฉันจึงจําเปนตองรูกอนวา “ตัวจริง ๆ” ของมนุษยเปนอยางไร และแตกตางจาก “ตัว
ปลอม” อยางไร หากไมรูขอเท็จจริงพื้นฐานนี้แลว จะเขียนเรื่องนี้ไมได จึงขอเชื่อมโยงให
คุณเห็นชัดเจนกอนวา “ตัวจริง ๆ” ที่ดิฉันจะพูดถึงในบทนี้ก็คือ สภาวะที่เจาของชีวิตสามารถ
เขาถึงสัจธรรมอันสูงสุด หรือเขาถึงพระนิพพาน หรือ เมื่อเจาของชีวิตสามารถรับผัสสะอยาง
บริสุทธิ์ไดนั่นเอง ฉะนั้น การแสวงหาทฤษฎีเอกภาพของไอนสไตนนั้น จะพูดใหมก็ไดวา นี่
เปนทฤษฎีของการแสวงหาตนเอง หรือ แสวงหาตัวจริง ๆ ของเรานั่นเอง
เปนที่นาตกใจมากวาความรูเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้ไมมีอยูในระบบการศึกษาของโลก
แตอยางใด เมื่อไมมีการสอน ความรูที่ถูกตองเกี่ยวกับการแสวงหาตนเองจึงไมเกิด จึงกอ
ผลใหคิดและทําสิ่งตาง ๆ อยางสะเปะสะปะและมืดมนอนธการ จนกอใหเกิดกลุมคนที่มี
ปญหาทางจิตใจเหลานี้
“ตัวจริงของเรา” อยูที่ไหน?
ทีนี้ เราจะเริ่มขบวนการหาตัวจริง ๆ ของเราแลว ลองมาเริ่มตนที่จุดนี้กันกอน มีใคร
สามารถใหคําตอบอยางตรงไปตรงมาไดหรือไมวารางกายและจิตใจของเรานี้ สวนไหนที่เรา
สามารถกําหนดลงไปไดอยางแนชัดวานั่นคือ ตัวจริง ๆ ของเรา ตัวคุณจริง ๆ หรือ ตัวฉันจริง
ๆ
เอาละ ดิฉันมั่นใจเหลือเกินวา คุณจะตองตอบวา ไมใชตัวกายของเราที่เปนตัวจริง
แตเปนสวนของจิตใจที่เปนตัวจริงของเราตางหาก ถาเชนนั้น เราก็ตองเลื่อนไปที่สวนของ
จิตใจ และถามตอวา จิตใจสวนไหนของเราหรือที่เปนตัวจริง ๆ ของเรา
ฝรั่งมักเชื่อวาจิตใจอยูที่สมอง
เมื่อกลาวถึงคําวา “จิตใจ” mind ขึ้นมาทีไร ความซับซอนและสับสนจะเกิดขึ้นทันที
จะบอกวาจิตใจในสวนที่เปนสมองอันเปนกอนเนื้อสีเทา ๆ ที่นอนขดอยูในกะโหลกศรีษะ ซึ่ง
12
เรามักจะ (ถูกนักวิทยาศาสตรบอกให)1 คิดวาเปนสวนที่ผลิตความคิดและความรูสึก หรือ
จิตใจ ในฐานะที่เปนสภาวะอันเปนนามธรรมและเปนหนวยงานอิสระซึ่งสามารถควบคุมและ
สั่งงานใหเราทําตามความคิดและความรูสึก
ถึงแมดิฉันจะไมมีสถิติอันเปนผลจากการวิจัยอยางเปนทางการ แตดิฉันก็เคยวิจัยกับ
นักศึกษาในชั้นไทเก็กของดิฉันแลว ดิฉันไดถามนักศึกษาทุกเทอมโดยทําติดตอกัน
ประมาณ ๓ ป ซึ่งตอนนั้นมีนักศึกษาประมาณ ๑๕-๒๐ คนตอชั้น และมี ๗ ชั้นตอหนึ่ง
อาทิตย และ ๓ เทอมตอป โดยบอกใหเขานํามือของเขาวางลงตรงจุดที่เขาคิดวา จิตใจ
mind ตั้งอยู ผลที่ออกมาปรากฏวามีนักศึกษาประมาณ ๘๐ เปอรเซ็นตที่เอามือวางบนศรีษะ
ซึ่งเปนที่ตั้งของสมอง อีก ๑๘ เปอรเซนตเอามือวางที่สวนอก อีก ๒ เปอรเซ็นตเอามือวาง
สวนอื่น ซึ่งพอจะสรุปไดวาปญญาชนชาวตะวันตกสวนมากจะเห็นพองกันวา จิตใจ คือ สวน
ที่เปนหัวสมองของมนุษยมากกวาสวนที่เปนนามธรรมอันเปนองคกรอิสระแนนอน
ฉะนั้น หากคุณคิดวาจิตใจคือสมองแลวละก็ ยอมหมายความวาคุณยังไมไดพูดอะไร
ที่หางไกลจากสวนของรางกายเลย จริงหรือไมเลา เพราะวา สมองก็คือสวนหนึ่งของ
รางกาย สวนจิตใจเปนสิ่งที่ไมมีรูปราง formless คุณเห็นหรือไมวา คุณกําลังพูดและทําใน
สิ่งที่ขัดแยงกันเอง คุณตองการเขาใจสิ่งที่ไมมีรูปรางเชนความคิดกับความรูสึก แตคุณ
กลับไปเรียนรูจากสิ่งที่เปนกอนเนื้อของรางกาย จุดนี้เองที่ดิฉันพูดวา นักสมองศาสตรกับ
นักจิตวิทยากําลังตอสูกับศัตรู (ความคิด กับ ความรูสึก) ผิดสนามรบ fighting in the
wrong battle field ศัตรูอยูส งขลา แตกลับสงทหารไปเชียงใหม ทํานองนั้น
จะตรึงความคิดใหอยูนาน ๆ ไดอยางไร
เอาละ ดิฉันจะแกลงเห็นดวยกับคุณกอน และยอมรับวาจิตใจอยูที่สมองและ
รับผิดชอบตอการทํางานของความคิดและความรูสึก ดิฉันจะขอถามตอวา สภาวะจิตใจชนิด
ไหน ความคิดไหน และ ความรูสึกไหนที่คุณสามารถเรียกไดวานี่เปน “ตัวจริง ๆ” ของคุณ
และการเปนตัวของตัวเอง หรือ เปนตัวจริง ๆ ของเรานั้น ถาจะทําจริง ๆ แลว เราจะตองทํา
ตัวอยางไร ทําจิตใจอยางไร มันเปนเรื่องที่เราจะตองตรึงความคิดหนึ่ง ตรึงความรูสึกหนึ่ง
หรือ จะตองตรึงความเชื่ออะไรอยางหนึ่ง ใชหรือไม เอานะ สมมุติวานั่นคือคําตอบ เรา
จะตองพยายามตรึงความคิดและความเชื่อชนิดหนึ่งใหคงอยูในหัวของเรา เชน เราจะตอง
คิดวา
เราตองเปนตัวของตัวเองสิ เราตองไมกลัวความแก เราจะตองสนุกและพอใจกับชีวิต
ตามที่มันเปนอยู เราจะตองมีชีวิตอยูกบ
ั วันนี้เทานั้น และเราตองไมกังวล หวงใยกับอนาคต
มากเกินไป ฯลฯ
1
ถึงแมวาการวิจัยเรื่องสมองของมนุษยยังคงเปนเรื่องที่กระทําอยูอยางตอเนื่องมานานนับรอยปแลว
และยังไมมีผลสรุปที่แนนอนแตอยางใด ชาวตะวันตกสวนมากก็ยังมีแนวโนมที่จะเชื่อวาจิตใจของมนุษยอยูที่สมอง
อยูนั่นเอง
13
พูดคุยพบปะกับผูคน ซึ่งก็ขึ้นอยูวาคนประเภทไหนที่คุณคุยดวย คุณอาจจะพยายามตรึง
ความคิดและความเชื่อของคุณไวในจิตใจคุณอยางดีที่สุด พยายามบอกกับตัวคุณเองวา
จะตองไมกลัวความแกเฒาชรา ตองไมกลัวตาย ตองไมใหความสนใจกับความสวยความ
งามมากจนเกินเลย ตองพยายามปลอยใหตนเองเดินเขาสูวัยชราอยางมีศักดิ์ศรี ฯลฯ และ
อะไรอื่นอีกจิปาถะที่คุณเชื่อและอยากบอกตัวเองใหเชื่อ
วงจรอันเลวราย
แตก็อีกนั่นแหละ มนุษยเปนสัตวสงั คม เราจําเปนตองพบปะผูคน และทุกครั้งที่คุณ
ไปพูดคุยกับคนที่มีความมั่นใจในตนเองมากกวาคุณแลว จิตใจของคุณยอมออนไหวงาย ลม
พัดลมเพ และอดไมไดที่จะคิดคลอยตามคนที่คุณพูดคุยดวย
ถาเพื่อนสนิทของคุณเชื่อวา ความรักสวยรักงามในเพศหญิงเปนสิ่งจําเปน ผูหญิงเรา
ควรจะตองทําตนเองใหดูดี สวย สงางาม โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อยางเขาสูวัยชราดวยแลว
ยิ่งจําเปนตองดูแลตัวเองใหดูสงางาม ไมใชปลอยตัวจนเกินไป ฉะนั้น หากการทําศัลยกรรม
ตกแตงใบหนา หรือ การฉีดสารพิษโบทอกซสามารถชวยใหผูหญิงในวัยยางชราดูดีขึ้นแลว
ก็ไมนาจะมีปญหาอะไรเลย ถาเพื่อนสนิทของคุณคิดเชนนั้นและมีความมั่นใจในสิ่งที่เขาคิด
เขาเชื่อแลวละก็ คุณคิดวา คุณจะยังคงสามารถตรึงความคิดเกา ๆ ของคุณไดหรือ หากคุณ
ตองคุยกับเพื่อนสนิทของคุณอยูทุกเมื่อเชื่อวันเชนนั้น คุณจะไมคิดคลอยตามเพื่อนบางหรือ
ถาคุณไมคิดคลอยตาม คุณก็ไมนามีปญหา แตที่คุณมีปญหาจนกระทั่งมานั่งถกเถียงกันใน
รายการโทรทัศนเชนนี้ก็เพราะคุณอดคิดคลอยตามเพื่อนไมได จริงหรือไม?
ถาเชนนั้น คุณก็วกกลับมาจุดเดิมของคุณอีก นั่นคือ การตะเกียกตะกายที่จะเปนตัว
ของตัวเอง เปนตัวจริง ๆ ของคุณ โดยการพยายามตรึงความคิดและความเชื่อหนึ่งใหอยูใน
หัวตนเอง ซึ่งคุณทําไมสําเร็จ อันเปนจุดเริ่มตนของการวิเคราะหเรื่องนี้ คุณเห็นแลวหรือยัง
วาคุณกําลังติดอยูในวงจรอันเลวราย the vicious circle ที่ไมมีทางออก
เอาชะตาชีวิตหอยไวกับคุณหมอและเภสัชกร
การที่จะทําลายวงจรแหงความเลวรายของคนในทุกวันนี้ มักหมายถึงการพึ่งยา
กลอมประสาทที่คุณหมอสั่งใหรับประทาน จนทําใหยาประเภทนี้ขายดีเปนเทน้ําเททา
เหตุผลสําคัญขอหนึ่งของการทานยากลอมประสาทเพราะ นักวิทยาศาสตรทางการแพทย
เชื่อวาความวาวุน กลุมใจ วิตก กังวล หงุดหงิด คิดมาก ฟุงซานจนตั้งตัวไมติดของเรานั้น
เกิดจากสารเคมีในรองของสมองไมสมดุลกัน ถาเปนหญิงโดยเฉพาะกลุมที่อยูในวัยใกล
หมดประจําเดือนหรือหมดแลว ความหงุดหงิดเกิดจากความไมสมดุลของระดับฮอรโมนใน
รางกาย ฉะนั้น จึงจําเปนตองใชยากลอมประสาทเพื่อปรับความสมดุลของสารเคมีในสมอง
หรือไมก็ปรับระดับฮอรโมน จึงตองรับประทานฮอรโมนเสริม เมื่อสารเคมีในสมองและระดับฮ
อรโมนของคุณสมดุลกันแลว จิตใจของคุณก็จะรูสึกดีขึ้น สงบขึ้น
ซึ่งถาเปนเชนนั้นจริง ๆ แลว ยอมหมายความวา ชีวิตของคุณ ความสุขของคุณไดตก
อยูในเงื้อมมือของคุณหมอและบริษัทผลิตยาไปแลวหรือ หมายความวาคุณไมมีอํานาจ
เหนือชีวิตจิตใจของคุณเลย เชนนั้นหรือ
คุณเห็นแลวหรือยังวา เมื่อเราคอย ๆ วิเคราะหเขาไปสูเรื่องการหา “ตัวจริง ๆ” ของ
เรานั้น มันไมใชเปนเรื่องงาย ๆ และตรงไปตรงมาอยางที่คิดเลย เปนเรื่องละเอียดออนที่ตอง
ใชเวลาทําความเขาใจอยางถองแท
ตองเปดประตูใจ ใหโอกาสพระพุทธเจา
14
ปญหาทั้งหมดนี้จึงวกกลับมาที่คําวา “จิตใจ” และการใหคํานิยามแกคํา ๆ นี้ ตราบ
ใดที่เรายังไมรูความหมายที่แทจริงของคําวา จิตใจ และไมรูวามันอยูตรงไหนแลวละก็ เรา
จะไมมีวันหา “ตัวจริง ๆ” ของเราไดพบเลย
ตรงนี้แหละ คือ เหตุผลหลักที่ดิฉันมักบอกใหนักศึกษาในชั้นไทเก็กของดิฉันให
เพิกเฉยและแกลงลืมความรูที่ไดเรียนมาเสียกอนโดยเฉพาะภาควิชาจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่อง
จิตใจในแงที่เชื่อมโยงกับสมองทั้งหมด เพราะเขาคิดวาจิตใจคือสมอง The mind is the
brain.
หากคุณไมแกลงลืมและเปดประตูใจของคุณใหกับความรูของพระพุทธเจาที่ดิฉันจะ
หยิบยื่นใหแลวละก็ คุณจะไมมีวันเขาใจสิ่งที่ดิฉันจะพูดและสอนคุณเลย เพราะดิฉันคิดวา
ความรูของพระพุทธเจาจะสามารถใหคําตอบเรื่องตําแหนงแหงหนของจิตใจแกคุณได
ชัดเจนมากกวาความรูทางวิทยาศาสตรอยางแนนอน
ใจเปนนาย กายเปนบาว
เรื่องที่ดิฉันจะวิเคราะหนี้ ขอใหเขาใจวามันตั้งอยูบนพื้นฐานที่ดิฉันยอมรับวา รางกาย
จิตใจนี้ยังมีเรื่องลึกลับซับซอนทีท ่ ั้งคุณและดิฉันก็เขาใจไดไมหมด จึงจําเปนตองพึ่งพา
ความรูของพระพุทธเจาเปนแนวทาง ซึ่งเปนความรูชนิด “ใบไมกํามือเดียว” คือรูในสวนที่
จําเปนตองรูจริง ๆ เทานั้น
หากเราวิเคราะหตามความรูของพระบรมศาสดาของชาวพุทธแลวละก็ จิตใจ เปน
สภาวะ (หรือองคกร) อิสระที่มีสวนเกี่ยวของกับรางกายอยูบาง แตไมทั้งหมด สวนที่
เกีย
่ วของกับรางกายนั้นคือ สวนที่คุณหมอสามารถใชยาสลบฉีดเขาไปในรางกาย ซึ่ง ยานั้นมี
สวนเขาไปบังคับใหสมองสวนหนึ่งหยุดทํางาน ไมรับรูความรูสึกของรางกายอีกตอไป
บางครั้งก็สามารถทําใหหมดสติไปเลย และเปดโอกาสใหคุณหมอทําศัลยกรรมผาตัดคนไข
ได และ คนไขที่เปนโรคเกี่ยวกับสมองที่เนื่องกับระบบประสาท ทําใหกระทบตอเรื่องการคิด
การจํา ซึ่งดิฉันยอมรับวาสมองมีสวนเกี่ยวของกับจิตใจจริง
แตมันยังมีสิ่งนอกเหนือจากนั้นที่นักการศึกษาทางโลกยังไมเขาใจ พระพุทธเจาทาน
กลับเห็นวา ใจเปนนาย กายเปนบาว งานทุกอยางจะสําเร็จไดก็เพราะมีจิตใจกอน จึงทําให
จิตใจมีระบบการทํางานที่เปนอิสระจากรางกายอยางสิ้นเชิง ไมไดอยูภายใตอิทธิพลของหัว
สมองเพียงถายเดียว นอกจากนั้น มันยังทํางานในลักษณะที่ตรงกันขามกับความเขาใจของ
วงการแพทยทั่วไป นั่นคือ จิตใจตางหากที่เปนปจจัยทําใหการทํางานของรางกายตลอดจน
สารเคมีในสมองปนปวน
ความรูสึกในใจกอใหเกิดการหลั่งสารเคมีในรางกาย
ความรูสึกทางอารมณที่ฉุนเฉียวของคนเราจะเปนปจจัยทําใหรางกายปนปวน ความ
โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา พยาบาท เคียดแคน จองลางจองผลาญ เปนอารมณทางใจที่มา
กอน เกิดกอนสภาวะความปนปวนของรางกาย เชน เพราะโกรธจัด หัวใจจึงเตนแรง ทองไส
จึงปนปวน ไมใชเพราะหัวใจเตนแรงกอน ทองไสปนปวนกอนแลวคอยเกิดความโกรธ เพราะ
กลัวจัดจึงทําใหความดันโลหิตสูง อุณหภูมิในรางกายสูงขึ้น รางกายจึงปลอยสารเคมีที่เรียก
เอ็นไซมหรือฮอรโมนบางชนิดออกมา
เอ็นไซมตัวที่รูจักกันดีคือ อะดรีนารีน สารตัวนี้จะถูกปลอยออกมาจากตอมหมวกไต
เมื่อมีอาการตื่นเตน ตกใจ กลัว และ โกรธจัด ทําใหหัวใจเตนแรง เพิ่มพลังงาน หรือมีแรง
มากขึ้น กอปฏิกิริยาใหรางกายสามารถทําในสิ่งที่ทําไมไดไดอยางรวดเร็วขึ้น ไมรูสึก
เจ็บปวด เชน เมื่อเกิดเหตุการณไฟไหม คนตกใจสามารถยกของหนักไดเหมือนเปนของเบา
ๆ เพราะสารอะดรีนาลินนี้
15
การรวมตัวของคนกลุมใหญเชนตามสนามฟุตบอลที่เต็มไปดวยคนมีอารมณสุดขีด
ไมตื่นเตนจัด ก็กลัวจัด หรือไมก็โกรธจัดเมื่อทีมฟุตบอลตัวเองแพ ชาวอังกฤษไมนอยที่นับ
ถือฟุตบอลเหมือนเปนศาสนา รักทีมฟุตบอลของตนเองมากกวารักพระเจา จึงมักมีปญหา
เรื่องการใชความรุนแรงตามสนามฟุตบอล ความคิด ความรูสึก ที่อยูในหัวในใจของคน
เหลานี้กําลังปนปวน สรางอารมณสารพัดนึก สารอะดรีนาลินในคนเหลานั้นจึงถูกหลั่งออกมา
พรอม ๆ กัน ทุกคนลวนรูสึกมีพลังมากขึ้น จึงมีเรื่องการใชความรุนแรงบอยมาก สามารถทุบ
ตี ชกเตะตอย โยนเกาอี้ใสกันไดโดยไมรูสึกเจ็บ เมื่อเหตุการณผานพนไป สารอะดรีนาลิน
ลดลงและหยุดหลั่งแลว รางกายจะเหนื่อยและออนเพลียมาก คนหนีไฟไหมไมสามารถยก
ของหนักกลับบาน คนชกตอยกันก็อาจตองหยอดน้ําขาวตม
ที่จริงแลว เรื่องการหลั่งสารเคมีในรางกายเหลานี้เปนเรื่องการชวยเหลือของ
ธรรมชาติที่สรางสิ่งทดแทนใหมนุษยในสถานการณฉุกเฉิน เปนเรื่องเฉพาะการ เชนกรณี
หนีไฟไหม ยุคคนอยูถ้ําที่ตองออกไปลาสัตวมาเลี้ยงชีวิตนั้น ธรรมชาติก็ชวยใหพลังเสริมแก
ชายที่ตองออกลาสัตว ซึ่งเปนเรื่องเฉพาะกาลเทานั้น
หมุนนาฬิกากลับไมไดแลว
แตสภาพของสังคมเปลี่ยนไปแลว ไมจําเปนตองลาสัตวกันแลว ถาคุณควบคุม
อารมณตนเองไมได ปลอยใหตื่นเตน กลัวและโกรธบอย ๆ แลวละก็ คนเราสามารถทําอะไร
ที่บาระห่ํา ทําสิ่งที่แมตนเองก็คาดไมถึง เชน สามีฆาภรรยา ภรรยาฆาสามี ลูกฆาพอแมได
เมื่อไมสามารถไดอะไรดังใจดังที่มีขาวออกมาเสมอ หลายรายที่เมื่อเหตุการณผานพนไป
และจําเลยถูกนําขึ้นศาลพิจารณาคดี ผูตองหามักตอบไมได หาเหตุผลไมไดวาทําไมจึงทํา
เชนนั้น หลายคนรูสึกเสียใจ อยากหมุนนาฬิกากลับ แตก็สายไปเสียแลว
ที่จริงพระพุทธเจาไดตรัสแลววา ความโกรธนั้นสามารถทําใหมนุษยกระทําในสิ่งที่
ทําไดยากหรือทําไมไดในยามที่จิตใจเปนปกติ ซึ่งชี้ใหเห็นวาทานเห็นการทํางานของจิตใจ
อยางทะลุปรุโปรงแลว
ในกรณีที่เล็กนอยกวานั้น เชน คนขี้โมโหแบบประเดี๋ยวประดาว ในขณะนั้น มักรูสึก
วาทองไสของตนเองปนปวนไปหมด คนที่ติดนิสัยขี้กังวล หวงโนนหวงนี่นั้น รางกายจะรูสึก
ไมสบายเชนกัน คนที่เครียดจากการทํางานและขบคิดปญหา ปลอยวางไมได ก็จะมีผลทํา
ใหกลามเนื้อสวนคอ ไหล ตนแขนเกร็ง แข็งไปหมด เลือดลมเดินไมคลองตัว กอใหเกิด
อาการปวดหัวถึงขนาดเปนไมเกรนได ถาไมควบคุมอารมณเหลานั้น ไมปรับจิตใจใหอยูใน
สภาวะปกติ ปลอยใหมีอารมณเชนนั้นอยางเรื้อรัง ยอมเปนผลเสียตอรางกายแนนอน เปน
การฆาตัวตายชนิดผอนสง
อยางไรก็ตาม การกระทําที่ผิดศีลธรรมอยางรายกาจเหลานี้จึงลวนเกิดจากตัวใจถูก
ความคิดและความรูสึกของเราหลอกเอากอน ทําใหอารมณทางใจปนปวนกอน รางกายจึง
ปนปวนตาม เปนผลใหรางกายหลั่งสารเคมีตาง ๆ ออกมา รวมทั้งทําใหสารเคมีในสมองไม
สมดุลซึ่งเปนเรื่องของปลายเหตุมากกวาที่จะเปนตนเหตุดังที่วงการแพทยวิเคราะหกัน
ความเห็นที่ขัดแยงกัน
จึงเห็นไดวา หากใชมุมมองของพระพุทธเจาแลว จิตใจตางหากที่เปนปจจัยตัว
สําคัญที่สรางเงื่อนไขทําใหสภาวะรางกายของคนเราสงบหรือปนปวน แข็งแรงหรือออนแอ
ได เปนการวิเคราะหปญหาจิตใจที่ตรงกันขามจากนักการศึกษาฝายโลกอยางสิ้นเชิง จึงขอ
สรุปใหเห็นงาย ๆ ดวยสมการขางลางนี้
พระพุทธเจาเห็นวา
จิตใจปนปวน ---> รางกายปนปวน ---> การกระทําผิดศีล
16
วิทยาศาสตรการแพทยเห็นวา
รางกายปนปวน ---> จิตใจปนปวน ---> การกระทําผิดศีล
ขันธ ๕
ฉะนั้น การที่จะคนหาตําแหนงแหงหนของจิตใจเพื่อเขาใจธรรมชาติการทํางานของ
มัน เพื่อแกปญหาจิตใจและเพื่อหาตัวจริง ๆ ของเรานั้น จําเปนอยางยิ่งที่จะตองใชวิธีการ
วิเคราะห “รางกาย-จิตใจ” โดยวิธีการของพระพุทธเจาเสียกอน นั่นคือ ทานบอกวา
รางกาย-จิตใจ ของมนุษยนี้ประกอบดวยสวนที่เปน “รูป” หนึ่งสวน และที่เปน “นาม” อีกสี่
สวน หรือ ที่ชาวพุทธเรียกวา ขันธ ๕ นั่นเอง ซึ่งมีดังนี้คือ
1. รูปขันธ คือ สวนของรางกายทั้งหมดรวมทั้งสมองดวย
2. เวทนาขันธ คือ สวนของความรูสึกของกาย เชนรูสึกไดวา นี่รอน เย็น แข็ง
ออน นุม สบาย ไมสบาย เจ็บ ปวด ระอุ ระบม เปนตน
3. สัญญาขันธ คือ ความทรงจํา อันคือ ความคิดทุกอยางที่เนื่องกับอดีต เชน
ความรูที่ไดจากการอานหนังสือ ภาษา ตลอดจนเหตุการณทุกอยางที่เกิดขึ้น
ในอดีต องคกรที่เปนนามนี้เปรียบเหมือนกลองเก็บขอมูลตาง ๆ ซึ่ง
ภาษาคอมพิวเตอรเรียก ดาตาเบส database ที่มีความสามารถเก็บ
เหตุการณทุกอยางที่เขามาในชีวิตเรา2
4. สังขารขันธ คือ ความคิดใหม ๆ สด ๆ ที่กําลังคิดอยูในขณะนี้ อันเนื่องกับ
จินตนาการของอนาคต หรือจะเรียกวาความคิดปรุงแตงก็ได มันทํางาน
รวมกับสัญญาขันธ คนที่มีความทรงจํามาก เชน มี ความรูมากเพราะไดอาน
มาก ฟงมาก หรือเก็บเหตุการณอดีตไวมาก ก็จะสามารถสรางความคิดใหม ๆ
สด ๆ ไดมากขึ้น และอดไมไดที่จะคิดพาดพิงจินตนาการตอไปถึงอนาคต
ความคิดที่สดใหมนี้เปรียบเหมือนเครื่องปรุงแตงความคิดเกาเพื่อทําใหเรื่อง
เกากลายเปนเรื่องใหมในหัวในใจเราอยูเสมอ และปรุงแตงใหเรื่องราวในใจมี
รสชาติเขมขนมากขึ้น แมจะเปนเหตุการณที่เกิดขึ้นนานหลายปแลวก็ตาม
สังขารขันธนี้สามารถนําความคิดเกามาใสเครื่องปรุงใหมและทําใหเปนเรื่อง
ใหมเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ไดอยูเสมอ ฉะนั้น คนที่เรารักมากเชน พอ แม
สามี ภรรยา หรือลูก แมไดตายไปแลวหลายป แตสังขารขันธของเราที่
ทํางานรวมกับสัญญาขันธนี้จะสามารถทําใหคนตายเหลานี้ฟนคืนชีพขึ้นมา
ในหัวเราบาง ในจิตใจเราบางไดอยูเสมอ
5. วิญญาณขันธ คือ ความรูสึกตัววาเรายังมีชีวิตอยู เปนคนเปน ๆ ที่เดินเหินได
และตางจากคนตายอยางลิบลับ รูไดวาเราไมไดนอนหลับสนิท ไมไดสลบ
หรือเปนลมหมดสติ ไมไดอยูในอาการโคมา และไมไดตาย รูแนชัดวามีตัว
2
ความทรงจําเปนธรรมชาติในสวนนามที่ตรงขามกับการลืม อะไรที่จําไมได แสดงวา “ลืมไป” การ
ลืมไมใชสิ่งไมดีเสมอไป เพราะหากเปนความทรงจําอันเนื่องกับเหตุการณที่เจ็บปวดของชีวิตแลว
การลืมก็เปนสิ่งที่ดี สามารถทําใหชีวิตเจ็บปวดนอยลง จนฮอลลีวูดนําความคิดนี้ไปสรางภาพยนตร
เชน เรื่อง Final Cut และเรื่องลาสุดคือ Eternal Sunshine of a Spotless Mind ที่มีคนคิดวิธีการลบ
ความทรงจําออกจากกลองความคิดของมนุษย เพื่อคนเหลานี้จะไดสามารถเริ่มตนชีวิตใหมโดยไมมี
ความทรงจําที่เจ็บปวดของอดีตเขามาเกี่ยวของดวย แตนั่นเปนทางออกของชีวิตหรือไมก็เปนอีก
เรื่องหนึ่ง
17
เราอยูแนนอน ไมใชเปนผีเปนสาง ความรูสึกที่รูวาตัวเรามีอยู เปนอยูนี้แหละ
คือ การทํางานของวิญญาณขันธนั่นเอง
ฝายนามมีทั้งตัวดูและตัวถูกดู
สิ่งที่คุณจะตองรูในขั้นตอไปคือ สวนที่เปนนามขันธทั้งสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ นี้เปรียบเหมือนกับของเหลวสี่ชนิดที่แตกตางกัน แตถูกเทรวมอยูในภาชนะ
เดียวกันหมด เมื่อมันรวมตัวกันเชนนั้นแลว เราจึงเรียกมันรวบเปนคํา ๆ เดียววา จิตใจ หรือ
mind คําศัพทไทยเรายังสามารถดูออกไดวาธรรมชาติสวนนามทั้ง ๔ ชนิดนี้มีสวนที่เปน จิต
และ สวนที่เปน ใจ แตเมื่อมันอยูคละเคลากัน จึงเกิดสภาวะที่เปน จิตใจ ขึ้นมา แตศัพท
ภาษาอังกฤษเชน mind นี้จะไมสามารถบอกใบอะไรไดเลย การเรียนรูเรื่องจิตใจของมนุษย
นี้ ภาษาไทยเราซึ่งมีอิทธิพลจากภาษาบาลี สันสกฤต อันเปนภาษาของพุทธศาสนาจึง
ไดเปรียบมากกวาภาษาอังกฤษ เพราะเปนภาษาที่มีสภาวะจิตใจรองรับอยู
ปญหาจึงอยูตรงที่วา ธรรมชาติในสวนนามทั้งสี่อยางนี้มี ๑ สวนที่เปนเครื่องมือใช
งาน หรือ เปนตัวดู observer อันเปนสวนของใจ และอีก ๓ สวนเปนสิ่งที่ถูกใชงาน หรือ
เปนตัวถูกดู observed ซึ่งเปนสวนของจิต นี่จึงเปนสิ่งที่ตองมาทําความเขาใจเสียหนอย
ทําความเขาใจอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกกอน
ขอขามมาสูเรื่องอายตนะที่จะพาคุณโยงกลับไปสูเรื่องจิตใจทีหลัง คุณตองรับทราบ
เสียกอนวา พระพุทธเจามองมนุษยที่อยูบนโลกนี้วาเปนสิ่งมีชีวิตที่รับรูได sentient being
และ สามารถรับรู รับผัสสะ หรือ รับสัมผัสได ๖ ทาง ไมใชเพียง ๕ ทางอยางที่ชาวโลก
เขาใจกัน
หากใครยังไมเขาใจภาษาทางธรรม ก็ขอใหเรียนรูเสียแตบัดนี้ สวนที่เรียกวา ตา หู
จมูก ลิ้น กาย นั้น ภาษาทางธรรมเรียกวา อายตนะภายใน ซึ่งสิ่งเหลานี้จะตองจับคูกับ รูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งภาษาทางธรรมเรียกวา อายตนะภายนอก
ตา หู จมูก ลิ้น กาย = อายตนะภายใน
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = อายตนะภายนอก
(สวนอายตนะภายในและภายนอก คูที่ ๖ จะอธิบายตอจากสวนนี้ ในหัวขออายตนะ
ที่ ๖ ขอใหทําความเขาใจตามนี้ไปกอน)
ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนังของกายของเรานั้นเปรียบเหมือนสะพานเชื่อมโลก
ภายนอกกายกับโลกภายในจิตใจของเราใหพบกัน โดยที่เรื่องราวของโลกภายนอกทั้งหมด
ที่เปนรูปเปนรางมีสีสันเหลี่ยมกลมทั้งหลายจะเดินเขามาทางสะพานตาเพื่อเขามาอยูในโลก
ภายในของเรา สิ่งที่เปนเสียงทั้งหมด จะเดินเขามาโดยผานสะพานหู กลิ่นทั้งหมดก็เขามา
ทางจมูก รสชาติทั้งหมดของอาหารเครื่องดื่มก็เดินเขามาทางสะพานลิ้น และความรูสึกทาง
กายทั้งหมดก็เขามาทางสะพานของผิวหนังเพื่อเดินทางเขาสูโลกภายในหรือจิตใจของเรา
18
ธรรมชาติฝายนามอันคือ ความคิด ความจํา ความรูสึก นั้น เปนเรื่องเดียวกัน ตางกันตรง
ที่วา กลุมหนึ่งเปนรูป อีกกลุมเปนนามเทานั้นเอง ถาจะเขียนเปนสมการใหเห็นงายขึ้น ก็คือ
รูป ตา
เสียง หู
สังขาร สัญญา เวทนา
กลิ่น จมูก
ความคิด ความจํา ความรูสึก
รส ลิ้น
สัมผัส กาย
(ลูกศร ขอใหคงไวเชนรูปนี้)
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = ความคิด ความจํา ความรูสึก
โลกภายนอก = โลกภายใน
ไอนสไตนพิสูจนใหพระพุทธเจา
19
เราแลว ก็กลายเปนธรรมชาติฝายนามของโลกภายใน หรือ “นามธรรม” คือ ทุกสิ่งทุกอยาง
ในสวนที่จับตองไมได ที่มีอยูในรูปกายของเรา ก็จะแยกรายละเอียดออกมาเปน ความคิด
ความจํา ความรูสึก ดังสมการดานบน เชนกัน
คูสรางคูสม
ฉะนั้น หาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เปนตัวที่ถูกรับรูโดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แลว
ละก็ ความคิด ความจํา ความรูสึก จําเปนตองเปนตัวที่ถูกรับรูโดยอีกอายตนะหนึ่งที่เปนคู
ของมันเทานั้น เหมือนเสียงจะไปเดินผานสะพานตาหรือจมูกไมได เสียงตองเดินเขาสะพาน
หูเทานั้น รสตองเดินเขาสะพานลิ้นเทานั้น คูของใครก็คูของมัน เปนคูสรางคูสมทีจ ่ ะสลับคู
กันไมได มันไมเขารองของมัน ฉะนั้น ความคิด ความจํา กับความรูสึกจะถูกรับรูโดย ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ไมได มันตองมีอีกสะพานหนึ่งที่จะจับคูกับความคิด ความจํา ความรูสึก หรือ
ตองมีอีกอายตนะหนึ่งทีส ่ ามารถรับรูความคิด ความจํา ความรูสึก ซึ่งอายตนะนี้มีอยูกับ
มนุษยแลวโดยธรรมชาติ ไมใชเรื่องของสวนเกินที่จะเอามาเสริมแตงเขาไป
อายตนะที่ ๖3
นี่เปนขอเท็จจริง fact ที่พระพุทธเจามองออกอยางทะลุปรุโปรง ทานจึงเปนมนุษย
คนแรกของโลกที่กลายืนขึ้นมาบอกวา มนุษยเปนสัตวที่มีอายตนะ ๖ ทาง ไมใช ๕ ทาง นี่
เปนความคิดที่ทาทายมาก เพราะสังคมอินเดียยุคนั้นเต็มไปดวยนักปราชญ พระพุทธเจา
กลายืนขึ้นมาพูดตางจากคนอื่น แมในยุคนี้ก็ยังเปนเรื่องทาทายไมนอย อาจจะมากขึ้นดวย
เพราะยังไมมีใครพูดเรื่องนี้อยางจริงจังและเปนระบบ
อยางไรก็ตาม อายตนะที่ ๖ นี้คือ วิญญาณขันธนั่นเอง ความรูสึกตัว หรือ วิญญาณ
ขันธนี้เปนอายตนะที่ ๖ อันเปนสะพานรับรูความคิด (สังขาร) ความจํา (สัญญา) กับ
ความรูสึก (เวทนา) วิญญาณขันธจึงเปนสวนของใจ ที่เปนฝายนาม ในขณะที่ เวทนา
สัญญา สังขาร เปนสวนของจิต ซึ่งก็เปนฝายนามเชนกัน คุณจะเห็นชัดขึ้นเมื่อเขียนเปน
สมการโดยใชทั้งภาษาธรรมดาและภาษาบาลี ดังนี้
จิตคูกับใจ ทอมคูกับเจอรี่
3
ขอใหคุณชวยสังเกตสักนิดหนอยวา ความหมายของอายตนะที่ ๖ ที่ชาวตะวันตกเรียกวา 6th sense นั้น ตางจากความหมายของ
พระพุทธเจาอยางสิ้นเชิง ไมใชเรื่องเดียวกัน เมื่อฝรั่งพูดถึง 6th sense นั้น เขาจะมีปฏิกิริยาแบบ ตื่นเตนมาก เพราะเขาพูดถึงคนบาง
คนเทานั้นที่มีความสามารถพิเศษ ไมเหมือนชาวบานทั้งหลาย คือ คนมี 6th sense จะสามารถอานใจคนไดบาง รูเรื่องราวที่อาจจะ
เกิดขึ้นในอนาคตก็ได ทํานายทายทักได หรือ สามารถพูดคุยกับคนที่ตายไปแลวได คนที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษยซึ่งมีนอย
คนเหลานี้แหละที่ชาวตะวันตกจัดใหพวกเขาอยูในประเภทที่มีอายตนะที่ ๖ หรือ มี 6th sense คนนอกเหนือจากนั้นมีเพียง ๕
อายตนะเทานั้น ซึ่งเปนความหมายที่แตกตางจากของพระพุทธเจามาก เพราะโดยความหมายของทานแลว มนุษยทุกคนไมเวน
แมแตคนเดียวลวนมี ๖ อายตนะเทากันหมด ความรูสึกตัวหรือวิญญาณขันธมีอยูแลวอยางเปนธรรมชาติ จึงไมมีใครพิเศษหรือแปลก
ประหลาดมากกวาใครเลย
20
เพื่อใหงายตอการเขาใจ สื่อสาร และใชคํานอยคํา ดิฉันจะรวบความคิด (สังขาร)
ความจํา (สัญญา) กับความรูสึก (เวทนา) เปนตัวการตูนของวอลท ดิสนียที่ชาวโลกรูจักกัน
ดีในนามของ หนูเจอรี่ หรือ หากเปนคําไทยก็จะใชคําวา จิต ซึ่งเปนกรรมหรือตัวถูกดู
ในขณะที่ ความรูสึกตัว หรือ วิญญาณขันธ เปนแมวทอม หรือ ใจ เปนประธาน หรือ ผูดู
คําวา ใจ นี้ ดิฉันจะใชคําวา ตัวใจ หรือ ตาใจ แทนเพื่อใหสอดคลองกับสิ่งที่ตองการ
เปรียบเทียบ จึงขอใหเขาใจวามันมีความหมายเดียวกับ ความรูสึกตัว หรือ วิญญาณขันธ
ตองอาศัยทอมเพื่อรูจักเจอรี่
ฉะนั้น คุณจะเห็นไดไมยากวา การเปนตัวของตัวเอง หรือ เปนตัวจริง ๆ ของเรานั้น
เปนเรื่องของจิต เปนธรรมชาติของเจอรี่ที่เราตองทําความเขาใจมันอยางเปนวิทยาศาสตร
ความคิดไหน ความทรงจําชนิดไหน ความรูสึกไหน และความเชื่อไหนที่เราควรตรึงมันไว
เพื่อความเปนตัวของตัวเอง และคงความเปนตัวจริง ๆ ของเรา
การเรียนรูอยางเปนวิทยาศาสตรก็คือ การเฝามอง การสังเกตการณ ที่ฝรั่งเรียกวา
making observations เปนวิธีการทางวิทยาศาสตรที่ปญญาชนทั่วโลกตองใชหากเขา
ตองการเรียนรูปรากฏการณอะไรสักอยาง ฉะนั้น การสังเกตปรากฏการณภายนอกกายที่
เกี่ยวของกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แลวละก็ นักวิทยาศาสตรจะตองใชเครื่องมือพื้นฐาน
อันคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อเฝามองและสังเกตการณปรากฏการณนั้น ๆ อยางซ้ําซาก
บางครั้งตองเฝามอง ทดลองไปมาอยูเชนนั้นนานหลายป จึงสามารถสรุปผลการวิ จัยออกมา
เปนความรู knowledge เปนขอเท็จจริง fact ที่เปนเรื่องเปนราวจนปญญาชนทั่วโลกยอมรับ
ไดอยางไมมีขอสงสัย ดังที่ไอนสไตนบอกวา
แหลงความรูที่แทจริงคือประสบการณ
Experience is the source of knowledge.
21
กาย” ที่มี “ตากาย หรือ ตาเนื้อ” ดิฉันจะเรียกวิญญาณขันธวาเปน “ตัวใจ” ที่มี “ตาใจ”
แทนที่จะใชคําวา “ใจ” เฉย ๆ เพื่อจะไดสอดคลองกับคําวา “มอง” และ “ดู” การที่จะมอง
หรือดูอะไรได ตองใชตามอง การเฝาสังเกตดูความคิด ความจํา ความรูสึก หรือ จิต นี้ ก็ไม
ตางจากการใชตาเนื้อดูรูป และดูสิ่งของตาง ๆ จิตก็คือ สิ่งของตาง ๆ ที่เปนฝายนาม (ไมมี
รูปราง) ฉะนั้น เมื่อใสคํา “ตา” ไวขางหนาคํา “ใจ” เปน “ตาใจ” แลวละก็ จะเกิดสภาวะที่
ชัดเจนวา ทุกคนลวนมีอายตนะที่ ๖ อันคือ “ตาใจ” ซึ่งมีไวเพื่อดู “จิต” (ความคิด
ความรูสึก)
ถาใชภาษาของทอมกับเจอรี่ก็คือ ตองใชแมวทอมเปนตัวสังเกตการณและเรียนรูการ
ทํางานของหนูเจอรี่นั่นเอง
เมื่อนําอายตนะภายในและภายนอกทั้ง ๖ มาเขียนรวมกันแลวก็จะไดเชนนี้คือ
อายตนะภายใน อายตนะภายนอก
Sense sense objects
ตาเนื้อ สังเกต รูป เปน มวล ฝาย รูป
หู “ เสียง เปน มวล ฝาย รูป
จมูก “ กลิ่น เปน มวล ฝาย รูป
ลิ้น “ รส เปน มวล ฝาย รูป
ผิวหนัง “ ความรูสึก เปน มวล ฝาย รูป
ตาใจ “ จิต เปน พลังงาน ฝาย นาม
จะใหถูกทั้งสองฝายไมได
เมื่อปญญาชนชาวตะวันตกไมไดเห็นวามนุษยมี ๖ อายตนะเหมือนที่พระพุทธเจา
เห็น การเรียนรูเรื่องราวของมนุษยและของโลก ของจักรวาลที่เราอยูนั้น จึงตั้งอยูบนพื้นฐาน
ของขอเท็จจริงที่วา มนุษยมี ๕ อายตนะเทานั้น ซึ่งจะใหถูกทั้งสองฝายยอมไมได
ดิฉันนั้นเลือกเชื่อพระพุทธเจาอยางไมมีขอสงสัยแนนอน และโดยเหตุผลที่พูดมา
ทั้งหมด มุมมองของพระพุทธเจามีเหตุผลมากกวาและพูดลงตัวไดอยางพอดิบพอดี ไมขาด
ไมเกิน ในขณะที่มุมมองของปญญาชนฝรั่งที่เห็นมนุษยมี ๕ อายตนะนั้น ไมสามารถหา
22
เหตุผลมาพูดใหลงตัวได หากไมพูดขัดแยงกันเองละก็ ยังมีแตเรื่องขาด ๆ เกิน ๆ สวนเกิน
คือ ความคิด ความจํา กับ ความรูสึก สวนขาดก็คือ อายตนะที่ ๖ หรือ ตัวใจ ตาใจ
และถาระบบการศึกษาของฝรั่งหรือของโลกไมยอมรับเรื่องอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ
แลว เขาจะเริ่มขบวนการเรียนรูเพื่อหาประสบการณภายในจิตใจอยางเปนวิทยาศาสตรได
อยางไร เมื่อไมมีประสบการณก็ไมมีความรูที่แนนอน ที่พึ่งพาได ปญหาจึงเริ่มวน
ตองฟงผูรูจริงตามพระพุทธเจา
การรูวามนุษยมีประสาทรับสัมผัสได ๖ ทางยอมไดเปรียบกวาการรูวารับไดเพียง ๕
ทางเทานั้น เพราะประสบการณที่ไดจากการเรียนรูทั้ง ๖ ทางยอมกวางขวางมากกวา
ประสบการณที่หาไดจาก ๕ ทางอยางเปรียบเทียบกันไมไดแนนอน
ขอใหนึกถึงคนตาบอดหนึ่งคน ประสบการณในเรื่องรูป แสง สี ขนาด รูปทรง ฯลฯ
ของคนตาบอดนั้นจะดับมืดลงทันที ซึ่งเปนการสูญเสียอยางมหันตแมของคนเพียงคนเดียว
ฉะนั้น คุณลองหลับตาและคํานวณดูเอาเองวา มนุษยชาติไดสูญเสียประสบการณและความรู
ตาง ๆ ที่สามารถรับไดจากการใชอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ ไปมากมายมหาศาลสักเพียงใด
คงจะหาภาษามนุษยมาบรรยายความเสียหายอยางมหันตนี้ไมไดแนนอน แมกระนั้น ความรู
เรื่องอายตนะที่ ๖ ในทุกวันนี้ก็ไมไดเปนที่ยอมรับอยางออกหนาออกตาของชาวโลก ชาว
พุทธเองก็ไมสามารถเขาใจเรื่อง ตาใจ ไดอยางถองแท
เรื่องอายตนะเกี่ยวของกับพระนิพพานโดยตรง
เมื่อตาใจถูกปด มนุษยจึงขาดประสบการณทั้งหมดที่ตาใจสามารถพาไปถึง การ
เรียนรูธรรมของชาวพุทธจึงมักเนนเรื่อง อายตนะภายนอกกับภายในเสมอ เพราะนี่เปน
เนื้อหาสําคัญของการหาความรูหรือขอเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเราผูเปนสวนหนึ่งของโลกและ
จักรวาล หรือหาตัวจริง ๆ ของเรานี่เอง แตเมื่อการอธิบายยังไมชัดเจน แมชาวพุทธสวนมาก
ก็ไมสามารถเขาใจไดอยางถองแทวาทําไมจึงตองมาเรียนรูเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ซึ่งชาวพุทธฟงจนชินหู จนกลายเปนเรื่อง
ธรรมดาที่ไมนาจะมีอะไรลึกซึ้ง ที่จริง เรื่องแสนจะธรรมดาเหลานี้เกี่ยวของกับพระนิพพาน
และการแสวงหา “ตัวจริง ๆ ของเรา” โดยตรง เพราะพระนิพพานหรือตัวจริง ๆ ของเราเปน
ปรากฏการณธรรมชาติที่เห็นไดดวย “ตาใจ” หรือ อายตนะที่ ๖ เทานั้น
ระบบการศึกษาที่มืดบอด
ระบบการศึกษาของโลกทุกวันนีย ้ ังคงตั้งอยูบนรากฐานที่เขาใจวามนุษยมีประสาทรับ
สัมผัสเพียง ๕ ทางเทานั้น ความรูและประสบการณที่ไดจากประสาทรับสัมผัสทั้ง ๕ นั้น แม
จะถูกตองอยางไร มีประโยชนตอชาวโลกมากมายเพียงใด มันก็ยังเปนความรูที่เจือดวย
อวิชชา เปนความรูที่มีความไมรูปะปนอยู จึงเปนระบบการศึกษาที่ผิดตั้งแตแรกแลว
ตาใจของมนุษยชาติที่มืดบอดอยางทั่วถึงกันหมดนี้ จึงทําใหอยูดวยกันได พูดภาษา
ของคนมืดบอดที่เขาใจซึ่งกันและกันได ซึ่งไมพนจากเรื่องการตามใจกิเลส การมุงหาเงิน
ทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง บูชาวัตถุ ใชชีวิตอยางไรแกนสาร แลวก็ตายไปอยางเสียชาติเกิด
โดยที่ตนเองก็ไมรูดวยซ้ําไปวาเสียชาติเกิดอยางไร จึงเปนเหตุผลใหญที่กอใหเกิดปญหา
ตาง ๆ ที่เริ่มจากจิตใจของคนหนึ่งคน ตลอดจนถึงปญหาในระดับโลก เชน สงคราม เปนตน
ตองเรียนรูโครงสรางของชีวิต
ฉะนั้น หากใครตองการเอาผาปดตาใจออกแลวละก็ ตองเริ่มการเรียนรูชีวิตอยางเปน
ระบบเสียกอน จุดเริ่มตนคือ ตองรูจักโครงสรางของชีวิตที่ชัดเจน ตองรูวาชีวิตของแตละคน
23
ลวนมีเปาหมายอันสูงสุดทั้งสิ้น นั่นคือ การคนพบสัจธรรมอันสูงสุด หรือ ไปใหถึงพระ
นิพพาน ซึ่งเปนเปาหมายเดียวที่จะทําใหคนเปนสุขไดอยางแทจริง พระพุทธเจาจึงตรัสวา
“สุขใดยิ่งกวาพระนิพพานไมมี”
คนรูจริงจะรูวา พระนิพพานไมไดเปนเรื่องไกลตัวเลย พระนิพพานในภาษาของดิฉัน
คือ ผัสสะบริสุทธิ์ เปนเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทําไดอยูแลว หากยอมเรียนรูอยางเปนระบบเทานั้น
เมื่อรูเปาหมายปลายทางของชีวิตแลว ตอไปก็ตองรูวิธีการเดินทางเพื่อใหถึง
เปาหมายปลายทางนั้น การเดินทางในขั้นตอนแรกคือการรักษาศีล นั่นคือ ทุกอยางที่ดี ๆ
ทําไปใหหมด อะไรที่ไมดี ไมตองทํา วิธีการเดินทางในขั้นตอนแรกนี้ ดิฉันไดเขียนแผนที่ให
แลวในหนังสือเรื่อง คูมือชีวิตภาคศีลธรรมและภาคกฎแหงกรรม หากใครทําตามสิ่งที่ดิฉัน
แนะนําในหนังสือสองเลมนี้ไดแลว ก็เทากับไดเริ่มเดินทางไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิต
แลว ไปไดครึ่งทางแลว
การเดินทางในขั้นตอไปที่จะไปใหถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตอยางรวดเร็วนั้น
ผูเดินทางตองฝกทักษะทางใจ ดังที่ชาวพุทธเรียกวา ฝกสมาธิวิปสสนา หรือ ฝกสติปฏฐาน
สี่ นั่นเอง ซึ่งเปนจุดเริ่มตนของการเรียนรู เรื่องจิตใจ
และการแสวงหาตัวจริง ๆ ของเราอยาง
ถูกตองและตรงไปตรงมา
ขอใหดูรูปโครงสรางของชีวิต
ชวยวาดรูปของโครงสรางชีวิตดวยคะ เอาตามที่เขียนไวในบทที่สี่?ของใบไมกํามือ
เดียว โดยวาดรูปสามเหลี่ยมดานเทา สวนบนเขียน พระนิพพาน สัจธรรมอันสูงสุด ผัสสะ
บริสุทธิ์ และ “พบตัวจริง ๆ ของเรา” สวนลางตรงกลางเขียน ปญญา ซายมือเขียน ศีล
ขวามือ เขียนสมาธิ และ สติปฏฐานสี่คะ ไดแนบแผนภาพมาใหดวย
วิปสสนา เครื่องมือแยกตัวปลอมออกจากตัวจริง
ครูบาอาจารยฝายวิปสสนาที่รูจริงนั้นจะชวยใหผูปฏิบัติกําหนดสภาวะของ “ตัวใจ” ที่
มี “ตาใจ” ใหไดเสียกอนเปนอันดับแรก นี่เปนสิ่งแรกที่ดิฉันทําในงานอบรมธรรมทุกครั้ง การ
ทําเชนนี้เทากับเปนการเอาผาปดตาใจออก หลังจากนั้น ผูฝกสติปฏฐานก็จะฝกทักษะเรื่อง
การพาตัวใจกลับมาสูฐานของสติ ซึ่งภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับบาน 4 อันเปนวลีที่
จะชวยใหผูปฏิบัติสติปฏฐานเขาใจวิธีการปฏิบัติไดชัดเจนมากขึ้น เพราะลวนตองเกี่ยวของ
กับสภาวะที่เปนนามอันไมมีรูปรางทั้งสิ้น การใชภาษารวมสมัยตลอดจนการเปรียบเทียบกับ
ตัวการตูนเชนทอมกับเจอรี่ของดิฉันนั้น จะสามารถทําใหแผนที่ ชีวิตนี้ชัดเจนมากขึ้น
เมื่อคนฝกสติปฏฐานใชตาใจเปนแลว เขาจะเขาสูขบวนการทางวิทยาศาสตร คือ ใช
ตาใจเฝาสังเกตุการณการทํางานของจิต เมื่อเฝาดูไปนาน ๆ แลว ผูดูจะคอย ๆ ฉลาดขึ้นและ
เห็นเองวา ความคิด ความจํา ความรูสึก (จิต หรือ เจอรี่) นี้ลวนมีคุณลักษณะเปนมายา
ความคิดกับความรูสึกที่เปนมายานี้แหละที่สราง “ตัวปลอม” ของเราขึ้นมา ทุกครั้งที่เราติด
อยูในความคิด เราก็ติดมายา หรือ ติดตัวปลอมของเรานี่เอง แตเมื่อหลุดจากความคิดและ
ความรูสึกไดเมื่อไร ตัวปลอมของเราก็หายไป กลับมาอยูกับ “ตัวจริง ๆ” หรือ “ตัวใจ” ของ
เราทันที จุดนี้เอง ผูปฏิบัติจะคอย ๆ สามารถแยกแยะระหวาง “ตัวจริง ๆ” กับ “ตัวปลอม ๆ”
ของตนเองไดแลว
สรุปวา ตัวปลอมคือตัวที่ถูกความคิดที่เปนมายาปลุกปนขึ้นมา ซึ่งเปนสภาวะเดียวกับ
การรับผัสสะที่ไมบริสุทธิ์ สวนตัวจริง คือ ตัวที่หลุดจากความคิด (จิต) หรือ ในขณะที่กําลัง
รับผัสสะอยางบริสุทธิ์นั่นเอง ดังรูปขางลางนี้
4
ขอใหอานเรื่อง พาตัวใจกลับบานกันเถิด ซึ่งอยูในภาคผนวกของหนังสือเลมนี้
24
ตั วใจ --------> ตัวกาย = ผัสสะบริสุทธิ์ = อยูกับตัวจริง = ตัวปกติ
สรางตัวปลอมซ้ําสอง
หากใครยังแสวงหาตัวจริง ๆ ของตนเองไมพบแลวละก็ ยอมหมายความวาคน ๆ นั้น
ตองอยูกับตัวปลอมและเอาตัวปลอมเปนที่พึ่งไปกอน ความซับซอนของชีวิตเริ่มเกิด
โดยเฉพาะสังคมในยุคนี้ อันเปนยุคที่คนมักใหความสําคัญกับความร่ํารวย ความมีอํานาจ
และชื่อเสียง จึงกอใหเกิดอาชีพใหม นั่นคือ ใครที่เกิดมีหนาตาเหมือนกับคนมีชื่อเสียง เชน
ดาราภาพยนต นักรอง นักกีฬา นักการเมือง เปนตน คนเหลานี้สามารถทํางานหาเงินได
อยางเปนล่ําเปนสันโดยการเปนตัว “เลียนแบบ” double ใหกับคนมีชื่อเสียงเหลานี้ งานที่
เขาตองทําคือ ตองพยายามทําตัวใหเหมือนกับคนจริง ๆ ที่เขาตองการเลียนแบบ เชน หญิง
ชาวอังกฤษคนหนึ่งมีหนาตาเหมือนราชินีอะลิซาเบทของอังกฤษมาก นอกจากการแตงตัว
ดวยเสื้อผาที่เหมือนของราชินี ตองใสมงกุฏแลว เธอยังตองเลียนแบบกิริยาอาการทุกอยาง
ใหเหมือนราชินีอังกฤษ เชน การเดิน การนั่ง การโบกมือใหผูคน การยิ้ม การพูด แมน้ําเสียง
ก็ยังตองพยายามดัดใหเหมือนราชินีตัวจริง ทุกครั้งที่เธอไปออกงานหรือแสดงตัวที่ไหนก็
ตาม ซึ่งพูดงาย ๆ วาไปทํางานหาเงินจากการเลียนแบบราชินีอังกฤษ แมเธอจะไมไดรับการ
ตอนรับเหมือนอยางราชินีอังกฤษก็ตาม แตเธอก็เปนจุดเดนของงานเสมอ จะมีคนมาขอ
ถายรูปมากมาย
คุณเห็นหรือไมวา หญิงคนนี้ไดสรางตัวปลอมสองชั้นขึ้นมาแทนที่จะเปนตัวปลอม
ชั้นเดียวเหมือนคนทั่วไปที่ไมมีอาชีพนี้ ตัวปลอมแรกคือ หญิงธรรมดาเหมือนคนทั่วไปที่
ไมไดรูจักตัวจริงของตนเอง ตัวปลอมที่สองคือ ทําตัวเปนราชินีทุกอยางทั้ง ๆ ที่ไมไดเปน
ราชินี ซึ่งอาชีพของนักแสดงลวนเปนเชนนี้ คือ อยูกับตัวปลอมสองชั้น
ปญหาจะนอยลงหากนักแสดงเหลานี้สามารถกลับไปสูตัวปลอมแรกของตนเองเมื่อ
จบการแสดง แตถาหากเขาทําไมได เพราะไปติดใจในบทบาทที่ตนเองไดสวมเขาไป เชน
บทของราชินีอังกฤษที่ไดแตงกายดวยเสื้อผาอาภรณเหมือนราชินีจริง ๆ แมไมใชเปนมงกุฎ
เพชรอยางแทจริง แตก็สวยเหมือนเพชร แถมมีคนมาถายรูปมากมาย ถาหญิงธรรมดาคนนี้
เกิดไปติดใจในบทบาทปลอม ๆ เหลานั้นแลวไมอยากออกมาละก็ ชีวิตของเขาจะซับซอน
มาก และจะทุกขมากตามไปดวย
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่วา ทําไมชีวิตของดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมักมีชีวิตสวนตัวที่
ลมเหลว เพราะ ชีวิตจริงของเขาไมไดสวยหรูและมีอํานาจมากเทากับบทบาทที่เขาไดสวม
เขาไปในภาพยนตร โดยเฉพาะนักแสดงชายที่สวมบทบาทของพระเอกที่เกงไปเสียทุก
อยาง ซึ่งชีวิตจริง ๆ ก็ไมไดเกงเชนนั้น เพียงแตเลนบทบาทไดเกงเทานั้น หลังเหตุการณที่
ผูกอการรายนําเครื่องบินชนตึกเวริลดเทรดนั้น หนังสือพิมพที่อังกฤษไดลงขาวของพระเอก
หนังที่แสดงบทบาทบู สามารถชวยแกไขสถานการณทุกอยางที่อยูเบื้องหนาไดเสมอ ซึ่งมี
ภาพยนตเรื่องหนึ่งที่เขากอบกูเครื่องบินจากการถูกยึดของผูกอการราย ปรากฏวาดาราชาย
คนนี้ไมกลาขึ้นเครื่องบินเลยในชวงนั้น เพราะกลัวมาก
คุณจึงเห็นไดวา วิถีชีวิตที่ซับซอนเหลานี้ลวนเปนผลของการไมรูจักตัวจริง ๆ ของ
ตนเอง ซึ่งเปนเรื่องเสียหายมาก เปนตนตอของปญหาสังคมมากมาย
25
ตัวจริง ๆ ของเรามีอยู
สิ่งที่หญิงชาวอังกฤษวัย ๔๐ พูดนั้นไมผิด ดังที่เธอบอกวา
ทุกครั้งที่ดิฉันเห็นตัวเองในกระจก ดิฉันยอมรับกับตัวเองไดยากมากวาใบหนาที่
เหี่ยวยนในกระจกนี้คือตัวดิฉัน เพราะดิฉันไมไดรูสึกวาเปนคนนั้นเลย คนนั้นไมใชเปนตัวจริง
ของดิฉัน ในหัวใจของดิฉันนั้น รูสึกเปนอีกคนหนึ่งที่หนาตาไมเหมือนหญิงคนที่ดิฉันเห็นใน
กระจกเลย
ประโยคสุดทายที่เธอพูดนั้นถูกเผงทีเดียว เธอรูสึกเปนอีกคนหนึ่งที่หนาตาไมเหมือน
หญิงคนที่เธอเห็นในกระจก ความรูสึกที่เปนอีกคนหนึ่งที่เธอพูดถึงนั้น ที่จริงแลว เธอกําลัง
พูดถึง ตัวใจ ในสวนที่เปนนามธรรมของเธอนั่นเอง ซึ่งเปนสวนที่ไมมีรูปราง จึงไมมีความแก
เฒา ชรา เหี่ยวยนในตัวมันเอง เธอจึงไมรูสึกวา ตัวใจ นั้นเปนคนเดียวกับตัวกายที่มีรอย
ตีนกาในกระจก ซึ่งเปนสภาวะที่อยูเหนือความแกเฒาและความตาย เปนสภาวะอมตะ นี่เปน
สภาวะที่หญิงวัยกลางคนนี้สามารถสัมผัสได และทุกคนสามารถเขาถึงได เพียงแตความรู
ของเธอไมชัดเจน เพราะยังถูกความคิดที่เปนมายาสรางตัวปลอมรบกวนอยู ดวยความที่ยัง
ไมไดเขาใจชีวิตตามหลักของศาสนาพุทธ จึงไมรูจักตาใจ หรือ อายตนะที่ ๖ จึงทําใหหาตัว
จริง ๆ ของตนเองไมพบ ซึ่งถาเขาใจไดและสามารถหาตัวใจที่แทจริงพบแลวละก็ จะ
สามารถแกปญหาเรื่องความกลัวความแกเฒาชรานี้ไดงายมาก ตลอดจนถึงปญหาเรื่องกลัว
ตายดวย
สรุป
คุณคงเขาใจแลววา ความคิดเรื่องสัมพัทธภาพของไอนสไตนไดเกี่ยวของกับชีวิตใน
สวนจิตใจของมนุษยอยางไร การไมรูจุดคงที่ของจักรวาลคือ การไมรูจักตัวจริงของเรา การ
ยอมรับความคิดเรื่องสัมพัทธภาพก็คือการยอมรับตัวปลอมของเรา ฉะนั้น ถาเราไมยอม
ศึกษาเรื่องการไปนิพพานแลวละก็ การแสวงหาตัวจริงจะไมเกิด และจะไมมีวันรูจักตัวจริง
ของเราไดเลย
ดิฉันหวังวาบทความนี้คงชวยใหคุณเขาใจเรื่องการแสวงหาตนเองมากขึ้น
โดยเฉพาะอยางยิ่งเรื่องอายตนะที่ ๖ และ การนําผาปดตาใจออกโดยวิธีการฝกสติปฏฐานสี่
นี่เปนเรื่องเดียวที่สําคัญมากที่สุดตอทุกชีวิตบนโลกนี้ จึงหวังเปนอยางยิ่งวาคุณคงจะ
แสวงหา “ตัวจริง ๆ” ของคุณพบไมวันใดก็วันหนึ่งในชาตินี้ เพื่อใหสมกับการไดเกิดมาเปน
มนุษยและพบพระพุทธศาสนา
26
27
บทที่สาม
จิตใจปกติเปนอยางไร?
Do you know what a normal mind is?
นั่งรถกับคนเปนโรคจิต
ดิฉันไมไดรูสึกหวั่นไหว ถึงแมรูวากําลังนั่งรถไปกับคนที่จิตใจไมคอยปกติก็
ตาม รูสึกสงสาร จึงพยายามใหเขาพูดถึงปญหาสวนตัวที่ทําใหจิตใจของเขาไมปกติ ซึ่งดิฉัน
สรุปไดวาชายหนุมคนนี้ไดสูบกัญชาในชวงที่เขามาเรียนไทเก็กกับดิฉัน ในใจของเขาจึงสราง
เรื่องตาง ๆ ขึ้นมาซึ่งเขาคิดวาจริงไปหมด หลังจากที่ไดอานหนังสือของดิฉันครั้งแรกซึ่งดิฉัน
ไดพูดเรื่อง ใจวางจากจิต void และเรื่องการตรัสรู enlightenment นั้น เขาเชื่อวาเขาไดบรรลุ
ธรรมและตรัสรูแลว ดิฉันเดาวา คุณแมของเขาคงไดทําลายหนังสือเลมนั้นไปแลวเมื่อลูกชาย
มีความเจ็บปวยทางใจ จึงเปนสาเหตุที่ชายหนุมคนนี้ตองการไดหนังสือของดิฉันไปอีกเลม
หนึ่ง แตดิฉันก็ตัดสินใจไมใหหนังสือของดิฉันแกชายหนุมคนนี้ เพราะคิดวาจะไปทําใหจิตใจ
ของเขาสับสนมากกวาที่เปนอยู ควรใหคุณหมอโรคจิตรักษาจนกวาจิตใจของเขาจะเปนปกติ
เสียกอนดีกวา แตนี่แหละคือตัวปญหาที่แทจริง มีใครรูจริง ๆ หรือไมวา “จิตใจที่ปกติจริง ๆ”
นั้นเปนอยางไร
โรคจิตไมมีแผล
โรคจิตเปนโรคที่ซับซอน ยากที่จะรักษา เพราะไมมีแผลใหเห็นอยางชัดเจน
เหมือนโรคกายซึ่งเปนเรื่องตรงไปตรงมา ใครไมสบายกายก็ไปหาคุณหมอ ทานสํารวจโรค
และใหยามารับประทานเพื่อแกโรคนั้น ๆ แตแผลใจไมมีรอยช้ํา อักเสบ ขูด ขวน เปนหนอง
หรือ แตกหักใหเห็นอยางชัดเจน ความเจ็บปวยทางจิตใจเปนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ ความคิด
ความจํา ความรูสึก ซึ่งเปนสิ่งที่ไมมีรูปรางทั้งสิ้น แลวเราจะรูหรือตัดสินไดอยางไรวา ความ
เจ็บปวยของจิตใจเปนอยางไร
27
หนังสือชื่อ Consciousness ซึ่งแปลวา ความรูสึกตัว เขียนโดย Rita Carter ซึ่งพิมพใน
หนังสือพิมพ Daily Mail วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๐๐๒ เขาพูดวา
เราจึงจําเปนตองเจาะลึกเขาไปสูเรื่องของจิตใจ เพื่อทําความเขาใจเรื่องความ
เปนปกติของจิตใจ วามันคืออะไรกันแน และมนุษยเราจะเขาถึงความเปนปกตินั้นไดอยางไร
แกนของชีวิต
หากตองการเขาใจความปกติของจิตใจ ก็ตองมาเริ่มทําความรูจักกับธรรมชาติ
สวนนี้กอน เราตองยอมรับวา ความคิด thoughts ความจํา memories ความรูสึก feelings
และ ความรูสึกตัวทั่วพรอม consciousness มีอยูอยางแนนอน ถึงแมสิ่งเหลานี้ไมมีรูปรางก็
ตาม มันก็มีอยู และเปนสิ่งที่ใกลชิดแนบเนื่องกับชีวิตของเรามากที่สุด แทบจะรูสึกวา สิ่ง
เหลานี้คือ ตัวจริง ๆ ของเรามากกวากายเนื้อดวยซ้ําไป ที่สําคัญมากกวานั้น คือ สิ่งที่ไมมี
รูปรางเหลานี้ลวนเปนธาตุหรือธรรมชาติพื้นฐานที่กอใหเกิด “ชี วิต
” life และทําให “เรามีวิถี
ชีวิต” กอใหมีการเรียนรู การหาประสบการณจากโลกภายนอกตลอดจนจักรวาลที่เราอยู
28
นั่นเอง เด็กที่มีชีวิตสามารถรองไห ดิ้น และเคลื่อนไหวไปมา ในขณะที่เด็กตายนั้นจะอยูนิ่ง
ๆ ไมรองไห ไมดิ้น ไมมีอาการของ “ชีวิต” แตอยางใดเลย
เมื่อคนเราหลับสนิท หมดสติเองโดยไมไดใชยารวมทั้งผลของฤทธิ์ยาสลบ
ดวย คนไขที่อยูในอาการโคมา และคนตาย ในขณะนั้น รางกายของคนเหลานี้ก็ยั งเปนปกติ
ทุกอยาง แตมีบางสิ่งบางอยางที่เกิดขึ้นกับความรูสึกตัวทั่วพรอม consciousness ของพวก
เขา มันลวนหยุดทํางานไประยะหนึ่งในสามกรณีแรกทั้ง ๆ ที่หัวใจก็ยังเตนอยู เวนเสียแตใน
กรณีของคนตายที่ความรูสึกตัวไมกลับมาอีกเลย
หากคุณเขาใจในสิ่งที่ดิฉันพูดแลว เราลองมาใชเหตุผลและตรรกะเชื่อมโยง
ขอเท็จจริงบางอยางดู นี่ยอมหมายความวา ชี วิต ความรูสึกตัว กับ จักรวาล เปนเรื่องที่
เชื่อมโยงกันอยางแนบแนน ใกลชิด ถึงกับเปนเรื่องเดียวกันก็วาได มันจึงมีคาและ
ความสําคัญที่เทาเทียมกัน ยอมหมายความวา หากเราสามารถรูจัก “ความรูสึกตัว” ของ
คนเราไดแลว เรายอมเขาใจชีวิตและจักรวาล ในทางตรงกันขาม หากเราไมสามารถเขาใจ
“ความรูสึกตัว” ละก็ เราจะไมเขาใจชีวิตและจักรวาลเชนกัน จริงหรือไม ฉะนั้น หากเขียน
เปนรูปสมการใหเห็นงาย ๆ ก็จะเปนดังนี้คือ
สาเหตุของบทความนี้ก็เนื่องมาจาก ความเจ็บไขไดปวยทางจิตใจของคน ๆ
หนึ่งที่ดิฉันรูจัก ดิฉันจึงอยากใหคุณเห็นอยางชัดเจนวา ความเขาใจเรื่องจิตใจอยางถองแท
มีความสําคัญมากเพียงใด ไมเพียงแตตอปจเจกชนคนหนึ่ง ๆ ที่มีปญหาทางจิตใจเทานั้น
แตเรื่องจิตใจนี้ เปนเรื่องที่ครอบคลุมถึงโลกและจักรวาลทั้งหมดเลยทีเดียว ฉะนั้น หากเรา
ไมสามารถเขาใจธรรมชาติของจิตใจอันมีความรูสึกตัวเปนแกนของชีวิตแลวละก็ เราจะไมมี
วันเขาใจชีวิต โลก และ จักรวาลที่เราอยูนี้เลย โดยเฉพาะอยางยิ่ง เราจะไมสามารถเขาใจ
ปญหาตาง ๆ ที่เกิดในสังคมโลก เมื่อไมเขาใจปญหาสังคม เราก็แกไขมันไมได ปญหา
สังคมเหลานี้จึงกลับมาสรางปญหาใหกับจิตใจของปจเจกบุคคลตอไป และแลว ปญหาของ
มนุษยก็เริ่มวนไปเวียนมาเหมือนกําลังเดินอยูรอบถนนวงแหวนฉันใดก็ฉันนั้น คุณเห็นหรือยัง
29
วา การไมเขาใจเรื่อง จิตใจ และ ความรูสึกตัวทั่วพรอม อยางถองแทมีความเสียหาย
มากมายเพียงใดตอมนุษยชาติ
จิตใจที่ไมทุกขคือจิตใจที่เปนปกติ
บุคคลที่รูเรื่องจิตใจมากที่สุดคงไมเกินพระพุทธเจา ความรูของพระพุทธเจาคือ
การดับทุกขทางใจ จึงควรมาเริ่มตนที่ความรูของผูรูจริงเสียกอน
ทําไมไอนสไตนจึงตองหาจุดปกติของจักรวาล
เมื่อใชคําวา ปกติ ปญหาเริ่มเกิด เพราะจิตใจเปนเรื่องของนามที่ไมมีรูปราง
จับตองไมได เห็นไมได จึงไมมีแผลอักเสบใหเห็น แลวใครละ จะเปนคนตัดสินไดวา จิตใจ
ของใคร “ปกติ” หรือ “ไมปกติ” จะรูไดอยางไร
ตรงนี้แหละ คุณจะเริ่มเขาใจความคิดของไอนสไตนแลวหรือยังวาทําไมเขาจึง
ตองการหาจุดคงที่ของจักรวาล the absolute ruling point in nature ถาใชคําพูดใหม ก็
หมายความวา ไอนสไตนตองการหาจุดปกติของจักรวาลนั่นเอง เพื่อเขาจะไดใชจุดนั้นเปน
เกณฑหรือมาตรฐานวัดสิ่งอื่น ๆ ได จึงสามารถรูไดวา อะไรที่มันเคลื่อนจากความปกตินั้น
หรือไม เพราะถาไมมีจุดปกติที่ใชเปนมาตรฐานการวัดสิ่งตาง ๆ แลว เราจะไมมีวันรูไดวา
อะไรปกติ และ อะไรไมปกติ ความคิดของไอนสไตนในเรื่องนี้จึงรวมถึงการวัดความปกติ
ของจิตใจมนุษยดวย
ไอนสไตนหาจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาลไมพบ เพราะเขาคนพบวาทุก
อยางในจักรวาลเคลื่อนที่อยูตลอดเวลา ไมมีอะไรหยุดนิ่งและเปนปกติเลย แถมคนพบอีกวา
เวลาและเอกภพยืดหดไดดวย ไอนสไตนจึงสรุปวาไมมีจุดนิ่งหรือจุดปกติในจักรวาล อัน
เปนผลใหเกิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ ซึ่งหมายถึงการตองสมมุติจุดนิ่งหรือจุดปกติขึ้นมาเอง
และใชจุดสมมุตินั้นเปนมาตรฐานการวัดสิ่งตาง ๆ ซึ่งแนนอน คาที่ไดยอมเปนคาที่ไมปกติ
ไมนิ่ง เปนคาเปรียบเทียบซึ่งภาษาของไอนสไตนเรียกวา ค าสัมพัทธrelative value
นั่นเอง
หากคุณตองการเขาใจเรื่องความปกติของจิตใจอยางถึงแกนแลว คุณตอง
ยอมรับเสียกอนวา ไอนสไตนสรุปผิด เพราะจุดนิ่งหรือจุดปกติในจักรวาลมีอยู ซึ่ง
พระพุทธเจาบอกแลววา คือ สภาวะพระนิพพาน นั่นเอง
ตองฟงผูรู
ตรงนี้แหละ คุณไมมีทางเลือกอื่น นอกจากรับฟงผูตรัสรูเองไดอยาง
พระพุทธเจา ทานจึงรูวา จุดนิ่งหรือจุดที่เปนปกติของจักรวาลมีอยู แตมีอยูในลักษณะของ
รถไฟสองขบวนที่วิ่งดวยความเร็วในระดับเดียวกัน ดังที่ดิฉันจะอธิบายในบทที่ ๖ เมื่อรถไฟ
30
สองขบวนวิ่งขนานไดเมื่อไร ความนิ่ง หรือ ความปกติ จะเกิดทันทีซึ่งเปนสภาวะเดียวกับ
การรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ สภาวะนั้นเกิดไดเมื่อใจของเราวางจาก จิต หรือใจที่ไมมี
ความคิด ความจํา ความรูสึก นั่นเอง
ตองแยกจิตออกจากใจ
คุณจะเห็นไดวา ความสับสนในความรูเรื่องจิตใจของมนุษยในหมูปญญาชนทั้ง
ตะวันออกและตะวันตกเกิดเพราะไมสามารถเขาใจเรื่องขันธ ๕ ของพระพุทธเจาที่ดิฉันได
อธิบายไวแลวในบทที่สอง โดยเฉพาะอยางยิ่งสวนประกอบในสวนนามขันธทั้งสี่ คือ
1. ความคิด (สังขาร) = จิต
2. ความจํา (สัญญา) = จิต
3. ความรูสึก (เวทนา) = จิต
4. ความรูสึกตัวทั่วพรอม (วิญญาณ) = ใจ, ตัวใจ, ตาใจ
เมื่อใชตาใจไมเปน เหมือนเอาผามาปดตา
เมื่อปญญาชนชาวตะวันตกไมไดศึกษาพระพุทธศาสนา และไมไดฝกสติปฏ
ฐานสี่ หรือ ฝกการพาตัวใจกลับบานแลว จึงใชตาใจไมเปน ไมรูจักอายตนะที่ ๖ เครื่องมือ
สําคัญในการแสวงหาความรูเรื่องการทําใจใหเปนปกติ หรือ พระนิพพาน
31
บอกวา จิตใจ มีการทํางานอยางเปนองคกรอิสระและเปนสวนที่สรางเงื่อนไขใหสวนกาย
ดังที่ดิฉันไดอธิบายแลวในบทที่สอง
ทุกปญหามากับความคิด
การฝกวิปสสนาหรือพาตัวใจกลับบาน ก็คือ การฝกใชตาใจเพื่อใหมันดูการ
ทํางานของจิตหรือความคิด พอเริ่มดูความคิดไปสักหนอย ผูฝกจะมองออกวา ความคิดและ
ความรูสึก (จิต) ของคนเรานี่เองที่เปนตัวสรางความเจ็บปวยทางจิตใจ ตัวจิตนี่เองที่เปนสวน
ผิดปกติเพราะไปติดอยูกับความเปนมายาของความคิด คนที่ฝกวิปสสนาจึงฉลาดขึ้น
ถา จิต หรือ ความคิดเปนสวนที่ผิดปกติแลว การจะทําใหจิตใจเราเปนปกติ ก็
ตองเอาตัวที่เจ็บไขไดปวยออกไป นั่นคือ ตองเอา จิตที่ผิดปกติ ออกจาก ตัวใจ เพื่อวา ตัว
ใจของเราจะไดเปนปกติ
วิธีการของพระพุทธเจาจึงเปนเรื่องตรงไปตรงมา ความเจ็บไขไดปวยทางใจอยู
ที่ไหน ก็ควานมันออกไปตรงนั้นเลย การฝกวิปสสนาจึงเปนขบวนการแยกจิตออกจากใจ
แยกทอมออกจากเจอรี่ แยกผูดูออกจากสิ่งที่ถูกดู หรือ เอาความคิด ความจํา ความรูสึกออก
จากตัวใจของเรา เมื่อเอาความผิดปกติออกไดแลว ตัวใจก็จะเปนปกติ ตัวใจที่ปกติจึงเปน
สภาวะที่ “ตัวใจวางจากจิต” ความเจ็บปวยทางจิตใจ (โรคจิต) ของมนุษยจึงรักษาใหหาย
ไดดวยวิธีการเชนนี้ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับการหายกลุมใจ หมดทุกข หรือ การเขาถึงพระ
นิพพาน
32
ฉะนั้น เรื่องจิตใจของมนุษยจะนําไปวิเคราะหแบบวิธีการทางโลกโดยการ
ถกเถียงอภิปรายยอมไมได ถาทําเช นนั้นจะไมมีวันเขาใจเรื่องจิตใจไดเลย นี่เปนเรื่อง
สําคัญมากที่นักการศึกษาฝายโลกจําเปนตองรับฟงผูรูตามพระพุทธเจา การฝกวิปสสนา
หรือฝกทักษะเรือ
่ งการพาตัวใจกลับบานเทานั้นจะเปนทางลัดที่ชวยใหเขาใจเรื่องจิตใจได
อยางถองแท ชวยใหเขาถึงความเปนปกติของใจได เปนเรื่องเดียวกับการเขาถึงพระนิพพาน
นั่นเอง
สมมุติใหความไมปกติเปนความปกติ
หากไมมีใครบอกคุณวา พระนิพพานหรือ ผัสสะบริสุทธิ์ คือความปกติที่แทจริง
ของใจแลว ยอมไมมีมาตรฐานการวัดที่แนนอน เด็ดขาด ฉะนั้น จึงตองมีการสมมุติระดับ
ความปกติขึ้นมาแทน ตรงนี้เอง คุณจะเห็นความซับซอนที่นาใจหายของสังคมโลกอัน
เนื่องจากไมรูวาความปกติที่แทจริงคืออะไร เปนอยางไร
ขอใหคุณหาหนังยางมาเสนหนึ่ง ดึงใหตึงโดยตรึงมันอยูกับนิ้วหัวแมมือหรือ
นิ้วชี้ของมือทั้งสองขาง และเราเปรียบเทียบเสนขนานของหนังยางที่ไมมีการบิดเลยนี้เปน
ระดับความปกติของใจเรา คือ ในขณะที่ตาใจของเราสามารถรับผัสสะบริสุทธิ์โดยไมมี จิต
หรือ ความคิดเขามาเกี่ยวของ เมื่อนั้น ใจของเราจะเหมือนเสนยางตรง ๆ ที่ไมมีการบิด หรือ
เราสามารถสมมุติใหหนังยางที่ขนานกันทั้งสองเสนนี้ เหมือนกับ รถไฟสองขบวนที่วิ่งใน
ระดับเดียวกัน (บทที่ ๖) หรือจะมองใหเปน สภาวะที่ใจไดแยกหรือหลุดรอนออกจากจิตหรือ
ความคิดแลวก็ได ซึ่งเปนสภาวะของผูที่เขาถึงพระนิพพานแลว
ความเปนเสนตรงของหนังยางที่บิดอยูนี้จึงเปรียบเทียบไดกับการสมมุติคาของ
ความเปนปกติขึ้นมาจากความไมปกตินั่นเอง คาสมมุติวาปกตินั้นจึงเปนคาสัมพัทธ คา
เปรียบเทียบ คาไมจริง คาไมปกติ
คุณเห็นหรือยังวา ความสลับซับซอนเริ่มเกิดแลว ณ.จุดนี้เอง คนที่ไมไดฝก
วิปสสนา จิตกับใจของเขาจะอยูแนบชิดติดกัน ดูดเขาหากันเหมือนเปนแมเหล็กตางขั้ว
พัวพันกัน ซึ่งเปนความไมปกติของใจ แตเมื่อไมมีใครบอก และเปนเรื่องที่จับตองไมได คน
ก็หลงเขาใจผิดเอาความผิดปกตินั้นเปนความปกติ การไมรูขอเท็จจริงเรื่องความไมปกติของ
จิตใจ ภาษาธรรมะเรียกวา มีอวิชชา
เมื่อคนกลุมใหญผิดปกติเหมือนกันหมด จึงกลายเปนเรื่องปกติ
การบิดเสนหนังยาง ๔ ครั้งนั้นเปรียบเทียบไดกับสภาวะจิตใจของปุถุชนสวน
ใหญของโลกที่ยังไมไดรูเรื่องพระนิพพานอันเปนเปาหมายปลายทางของชีวิตและไมไดฝก
สติปฏฐานสี่แตอยางใด จึงมีอวิชชาเสมอเหมือนกันหมด
33
นี่คือกลุมคนทั่วไปที่ตื่นนอนทุกเชาแลวสามารถดําเนินชีวิตตามปกติธรรมดา
(แบบสมมุติ สัมพัทธ หรือ เปรียบเทียบ) คือ พูดคุยสนทนากันรูเรื่อง สามารถเรียนรู หา
ประสบการณ ศึกษาในสถาบันตาง ๆ รับผิดชอบตอหนาที่การงานที่หลากหลายของสังคม
ดูแลครอบครัวตนเองได รูเรื่องผิดชอบชั่วดีแบบสัมพัทธ มีความเคารพตอกฏเกณฑของ
สังคม และ กฎหมายซึ่งลวนเปนเรื่องสัมพัทธทั้งสิ้น เปนตน นี่คือกลุมคนที่จัดอยูในระดับ
ปกติแบบสัมพัทธ เหมือนหนังยางที่บิด ๔ รอบแลวยังดึงใหตรงได และทุกคนก็ดําเนินชีวิต
ไปตามความปกติที่สมมุติขึ้นมานั้น
ตราบใดที่ไมมีคนมาบอกเรื่องเปาหมายอันสูงสุดของชีวิตวาคือ การทําจิตใจ
ใหเปนปกติ หรือเขาถึงพระนิพพานแลวละก็ คนหมูมากเหลานี้ก็จะไมมีวันรูวา เรื่อง ลาภ ยศ
สรรเสริญ อันเปนคาสัมพัทธนี้ ไมใชเปนเรื่องสําคัญที่สุดของชีวิตมากเทากับการหา
อิสรภาพหรือความเปนปกติใหกับใจของตนเองอยางแทจริง
การรักษาคนไขโรคจิต
หากหนังยางที่บิด ๔ รอบคือ ระดับจิตใจที่ปกติแบบสัมพัทธ (สมมุติ) ที่คน
สวนมากของโลกเปนแลว คนที่มีความเจ็บปวยทางจิตใจมากกวาระดับปกติที่สมมุตินั้นจะ
เปรียบเทียบเหมือนหนังยางเสนนี้บิดมากกวา ๔ รอบ เชน สมมุติวาคนขี้หงุดหงิด หนังยาง
บิด ๕ รอบ คนกลุมใจ คิดมาก ฟุงซานมาก หนังยางบิด ๖ รอบ คนเปนโรคประสาท หนัง
ยางบิด ๗ รอบ คนสติแตกบิด ๘ รอบ คนเปนโรคจิต วิกลจริตบิด ๙ รอบ คนเปนบาสนิทกับ
คนฆาตัวตาย บิด ๑๐ รอบ
34
หากคุณเคยดูภาพยนตรเรื่อง The Beautiful Mind ก็จะรูเรื่องของนัก
คณิตศาสตรชาวอเมริกันชื่อ จอหน แนช เขาก็เปนโรคจิตเภท schizophrenia เห็นความคิด
เปนเรื่องจริงเหมือนเห็นคนจริง ๆ เขาก็รับการรักษาจนหายเปนปกติเชนกัน ตอมาถึงกับ
ไดรับรางวัลโนเบล โรคจิตเภทนี้อาจจะเปนกันในหมูนักบริหารก็ได ซึ่งถาใชยา ก็ควบคุมไว
อยู แตนั่นก็เปนการรักษาจนถึงระดับปกติสัมพัทธเทานั้น เหมือนหนังยางที่บิด ๔ รอบ ซึ่ง
เปนตัวแทนคนกลุมใหญของโลกที่รับผิดชอบตอตัวเองได พูดคุยสนทนากันรูเรื่อง รูวา
ความผิดตางจากความถูก ความชั่วตางจากความดีอยางไร จึงเคารพกฏเกณฑและกฎหมาย
ของสังคมได
แตคนที่มีระดับจิตใจที่ปกติอยางจริง ๆ รูมาตรฐานของความปกติที่แทจริง
ยอมมองออกวาคุณหมอยังไมไดรักษาคนไขโรคจิตใหหายขาดแตอยางใด นั่นเปนเพียงการ
รักษาคนไขโรคจิตใหกลับมาสูระดับปกติสมมุติของปุถุชนเทานั้น ยังไมจัดวาปกติอยาง
แทจริง หากคุณหมอที่รักษาคนไขโรคจิตไมมีความรูเรื่องสติปฏฐาน และหากคุณหมอเองมี
สภาพจิตใจที่มีความบิดเบี้ยวมากกวาระดับ ๔ รอบเสียเอง ปญหาจะยิ่งยุงยากซับซอนมาก
ขึ้นอยางนาใจหาย
ดิฉันมีลูกศิษยชาวยุโรปคนหนึ่งที่มีคุณพอเปนคุณหมอรักษาคนไขโรคจิต
psychiatrist เมื่อเธอมาเรียนไทเก็กและสติปฏฐานกับดิฉันแลว เธอเลาใหฟงวา คุณพอของ
เธอยอมรับเองวา ผูมีอาชีพนี้ไมนอยมีปญหาทางจิตใจที่ซับซอนเสียเอง ซึ่งการมาฝกสติปฏ
ฐานกับดิฉันทําใหเธอเริ่มเขาใจวาทําไมจึงเปนเชนนั้น ถาอธิบายดวยภาษาของดิฉันก็คือ
เพราะคุณหมอโรคจิตยังพาตัวใจกลับบานไมไดนั่นเอง เมื่อมารับรูและเกี่ยวของกับคนไข
โรคจิตซึ่งในบางกรณีอาจจะมีสภาวะจิตที่แข็งแกรงกวาคุณหมอเองก็เปนได การดูดซับ
ความคิดไปมาจึงเกิดขึ้น ฉะนั้น หากคุณหมอไมสามารถปกปองจิตใจของตนเองโดยพาตัว
ใจกลับบานหรือกลับสูฐานของสติที่มั่นคงแลวละก็ ปญหาจิตใจของตนเองจึงเกิด คนไทย
เราจึงมักเตือนวาอยาไปเขาใกลคนเมากับคนบา เพราะคนเหลานี้มีสภาวะจิตที่แข็งมาก เขา
สามารถพูดใหคนเชื่อตามเขาไดวา การเกิดมาเปนสุนัขอาจจะดีกวาเกิดเปนคนก็ได
การฆาตัวตาย พฤติกรรมที่ขัดแยง
สิ่งที่แสดงออกถึง ความปวยหนักหรืออาการผิดปกติอยางมหันตของจิตใจ
มนุษยคือ การฆาตัวตาย สถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกวา ในปหนึ่ง ๆ
มีคนฆาตัวตายสําเร็จทั่วโลกเปนจํานวน ๑ ลานคน ศ.น.พ.อุดมศิลป ศรีแสงนาม รอง
ประธานสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสรางเสริมสุขภาพ (สสส) กลาววา ในขณะที่
เทคโนโลยีไดเจริญขึ้นในชวง ๔๐ ปที่ผานมานี้ สถิติที่คนไทยฆาตัวตายกลับมีสูงขึ้นถึง ๖๐
เปอรเซ็นต โดยเฉลี่ยคือ ๑ คนตอทุก ๆ ๒ ชั่วโมง ศ.น.พ.อุดมศิลป กลาวในการสัมมนาวา
“ไมมีพฤติกรรมมนุษยหรือสัตวใดที่พิสดารเทากับการฆาตัวตาย เพราะทุกชีวิต
ยอมรักตัวกลัวตาย แตกลับเปนวามนุษยพยายามฆาตัวตาย ซึ่งเปนเรื่องสวนทางกัน ขณะที่
เทคโนโลยี่ของเราพยายามจะรักษาชีวิตคน แตกลับมีคน ๑ ลานคนทั่วโลกฆาตัวตาย ถือ
เปนปญหาสาธารณสุขที่รายแรงที่สุดในขณะนี้ ”1
เมื่อนักการศึกษาฝายโลกไมรูเรื่องความปกติของใจอยางแทจริงแลว จึงไป
วิเคราะหตัวปญหาเพื่อหาทางแกไขที่ปลายเหตุ ในกรณีการฆาตัวตายในเมืองไทยนั้น
นักวิชาการบางทานกลับไปตําหนิสื่อมวลชนวา เสนอขาวการฆาตัวตายที่ซ้ํา ๆ จึงกอใหเกิด
1
Today Express หนา ๑-๒ วันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน 48
35
การเลียนแบบ ซึ่งไมใชการแกปญหาแตอยางใดเลย คนที่อยากตาย แมไมมีแบบใหลอก
เลียน เขาก็ตองหาวิธีการของตนเองอยูวันยังค่ํา เพราะเปนเรื่องความเจ็บปวยทางใจที่สราง
ความทุกขใจที่เจาของชีวิตรับไมไหวแลว จึงเห็นความตายเปนทางออกทางเดียว และที่จริง
แลว สื่อมวลชนในอังกฤษไดเปดเผยแลววามีเว็บไซตจํานวนไมน อยที่ชวยสงเสริมใหคนฆา
ตัวตายไดสําเร็จ โดยบอกวิธีการตาง ๆ ให และยังมีใหเลือกระหวางการฆาตัวตายคนเดียว
หรือ ฆาตัวตายหมู ซึ่งทางเว็บไซตจะชวยใหผูอยากฆาตัวตายมาพบกัน เพื่อจะไดฆาตัวตาย
พรอมกัน โดยเฉพาะในกลุมเด็กวัยรุน ดังที่มีเรื่องใหอานในหนาหนังสือพิมพของอังกฤษอยู
บอยขึ้น เว็บไซตเหลานี้อาจจะเปนสาเหตุที่ทําใหสถิติการฆาตัวตายทั่วโลกสูงขึ้นก็เปนได
ทุกศาสนิกชนรักษาศีลไดเทาเทียมกันหมด
คนที่เริ่มรักษาศีลโดยการคิดดี พูดดี ทําดี นั้น สภาวะจิตใจที่บูดเบี้ยวผิดปกติ
จะเริ่มคลายตัวเพื่อกลับสูความเปนปกติ คือ จิตกับใจที่เคยอยูพันกันเหมือนเสนหนังยางที่
บิดนั้นจะเริ่มขบวนการคลายตัว หลุดรอนออกจากกัน เปนการเริ่มตนปฏิบัติเพื่อการหลุดพน
จากความทุกขในขั้นตอนแรก
ศาสนิกชนในศาสนาอื่นนั้น หากเขารักษาศีลตามคําสอนของพระศาสดาของ
เขาแลวละก็ จิตใจที่ผิดปกติของเขายอมคลายตัวเพื่อกลับสูความเปนปกติเชนกัน เพราะศีล
และความเกรงกลัวละอายตอการทําบาป conscience เปนจริยธรรมสากลที่อยูกับโลกมา
นานแลว เปนความรูสึกที่ธรรมชาติหรือพระเจาประทานใหมนุษยเพื่อใหอยูดวยกันไดอยาง
สันติสุข การรักษาศีล ที่จริงเปนเรื่องธรรมชาติมาก
36
หากศาสนิกอื่นที่ไมไดปฏิบัติวิปสสนาหรือสติปฏฐานสี่แลวละก็ การคลายตัว
ของจิตใจที่จะกลับสูความเปนปกติของจิตใจอยางสิ้นเชิงอาจจะมีขีดจํากัดอยู ดังที่พระบรม
ศาสดาตรัสวา เรื่อง มรรค ผล นิพพาน ไมมีอยูในศาสนาอื่นนอกจากคําสอนของทานเทานั้น
เพราะการทําใหจิตใจคลายตัวกลับสูระดับความเปนปกติอยางสิ้นเชิงจนหมดทุกขไดนั้น
จําเปนตองปฏิบัติสติปฏฐานสี่ หรือ พาตัวใจกลับบาน เมื่อทําไดแลว เกลียวของจิตใจจะเริ่ม
คลายตัว ปรับเขาสูความสมดุลที่เปนปกติไดในที่สุด เหมือนเสนหนังยางที่ไมมีการบิดเลย
จิตกับใจแยกออกจากกันอยางสิ้นเชิง หรือ เหมือนรถไฟสองขบวนที่วิ่งไดในระดับเดียวกัน
ฉะนั้น คนที่ไมไดฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานหรือฝกวิปสสนานั้น การปรับระดับ
จิตใจจนถึงระดับความหลุดพนนั้นอาจจะไมเกิด ถาเกิดก็คงเปนบุคคลที่ไดสรางบารมี
ทางดานปฏิบัติมาแลวแตชาติปางกอน ไดเขากระแสพระนิพพานแลว เดินถอยกลับไมได
แลว แมไมไดเกิดเปนชาวพุทธ การเดินทางยอมไปขางหนาอยางเดียว ซึ่งเปนเหตุผลที่ลง
ตัวอยู
อยางไรก็ตาม นี่จึงเปนเหตุผลที่ดิฉันพยายามนําอุดมคติเรื่องพระเจา ตนไม
แหงชีวิต และการใชชีวิตอมตะของชาวคริสตมาวางเทียบเคียงพระนิพพาน และปรับเรื่องสติ
ปฏฐานสี่ใหแกศาสนิกอื่นดวยวิธีการออกกําลังกายแบบไทเก็ก ชี่กงบาง เพื่อวา ศาสนิกอื่น
จะสามารถเดินทางไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิต ปรับระดับจิตใจใหเขาสูความเปนปกติ
อยางถาวรได
เมื่อชีวิตหลอมรวมกับจักรวาลทั้งหมด
ในตอนตนของบทความนี้ ดิฉันไดบอกแลววา หากเราสามารถเขาใจความ
รูสึกตัวไดละก็ เราจะสามารถเขาใจชีวิต และจักรวาลไดเชนกัน
37
สรุป
38
บทที่สี่
พรมแดนสุดทาย
The Final Frontier
ผูที่เปนแฟนของนิยายวิทยาศาสตร science fiction เชน เรื่อง สตาร เทร็ค Star
Trek อันเปนเรื่องราวของการทองจักรวาลนั้น มักจะไดยินคํา ๆ หนึ่งที่ใชกันบอย คือ
พรมแดนสุดทาย หรือ The final frontier ถึงแมนิยายวิทยาศาสตรเหลานี้จะเปนเพียงเรื่อง
เพอฝน จินตนาการของมนุษยก็ตาม มันก็แสดงใหเห็นถึงความคิดหนึ่งของมนุษยที่เชื่อวา มี
สิ่ง ๆ หนึ่ง หรือ สภาวะหนึ่ง ที่เปนที่สุดของพรมแดน เปนสภาวะที่ไมมีอะไรไปเหนือมันได
อีกแลว ฟงดูแลวก็ไมตางจากสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดนั้นเอง ซึ่งเปนสิ่งที่มนุษย
แสวงหาอยูเสมอในประวัติศาสตรของมนุษยชาติ ทั้งนี้อาจเปนเพราะ มนุษยทุกคนลวนรักตัว
กลัวตาย
เพราะกลัวการสาบสูญอยางสิ้นเชิง กลัวความไมแนนอนในสรรพสิ่งนี้เอง จึงเปน
สัญชาติญาณอยางหนึ่งของมนุษยที่จําเปนตองหาที่พึ่ง หาคําตอบใหแกชีวิต ตองการรูสิ่งที่
แนนอน มั่นคง ไมเปลี่ยนแปลง เปนอมตะ เพื่อมนุษยจะไดพึ่งพาสิ่งนั้น ๆ แมเพียงการ
แสวงหาสิ่งที่เปนอมตะนี้ ก็ทําใหมนุษยมีความหวังแลว
นี่เปนเหตุผลใหญที่อยูเบื้องหลังทฤษฎีสรรพสิ่งที่ไอนสไตนถึงกับทุมเทชีวิตชวง
ยาวนานของเขาแสวงหา การคนพบกลศาสตรควอนตัมของไอนสไตนเทากับยอมรับใน
ความไมแนนอนของสรรพสิ่งหรือยอมรับในความเปนอนิจจังของทุกสิ่งซึ่งเหมือนกับบทสรุป
ของไฮเซนเบิรกที่พูดวา
นี่เปนบทสรุปที่ไอนสไตนไมยอมรับและทําใหนักฟสิกสมากมายนอนไมหลับ แม
หลับก็ฝนราย เพราะความฝนอันสูงสุดของพวกเขาคือ การแสวงหาความจริงในธรรมชาติที่
มนุษยพึ่งพาไดนั่นเอง ไอนสไตนถึงยอมใชเวลา ๓๐ ปเพื่ออานความคิดในเรื่องการสราง
โลกและชีวิตของพระเจา เพื่อเขาจะไดเจาะเขาไปถึงแกนของสัจธรรม และสามารถแปรมัน
ออกมาในรูปของคณิตศาสตรที่เขาและเพื่อน ๆ ชาวฟสิกสของเขาเขาใจไดดีขึ้นนั่นเอง
ความจริงอยูขางนอกโนน
นักดาราศาสตรรวมทั้งนักจินตนาการนิยายทางวิทยาศาสตรมักคิดวา พรมแดน
สุดทายของจักรวาลนาจะอยูในอวกาศ อยูที่ขอบริมสุดอันเปนพรมแดนปลายสุดของ
จักรวาลจริง ๆ ดังที่ชอบพูดกันในนิยายทางวิทยาศาสตรวา
จึงเปนเหตุผลใหญที่มนุษยมีความปรารถนาและใฝฝนที่จะทองเที่ยวไปในอวกาศ
เพื่อหาประสบการณ ขอมูล และความจริงที่อยูนอกโลกดวยความหวังวา ขอมูลเหลานั้นจะ
ชวยใหเราสามารถเขาใจดาวเคราะหดวงที่สามในระบบสุริยะจักรวาลนี้ไดดีขึ้น หรือ พูดให
กระชับคือ ชวยใหเราสามารถเขาใจชีวิต หรือ ความรูสึกตัวทั่วพรอม consciousness ที่
ลึกลับนี้ รวมทั้งการพยากรณอนาคตของมนุษยและพื้นพิภพที่มนุษยกําลังอยูนี้ดวย
39
สัจธรรมคือตัวตอตัวสุดทาย
ไมวาจะนําหัวขออะไรขึ้นมาพูดวิเคราะหอยางเปนเหตุผล มักไมพนที่จะวกกลับมาสู
เรื่องสัจธรรมอันสูงสุดเสมอ เพราะนี่เปนตัวตอตัวสุดทาย the missing link ของทุกสิ่งทุก
อยางในจักรวาลนี้รวมทั้งจักรวาลอื่นถาหากมีอยู ภาพทั้งหมดของชีวิตและจักรวาลจะชัดเจน
ไดก็ตอเมื่อเราสามารถวางตัวตอตัวสุดทายลงเทานั้น หรือเมื่อพบสัจธรรมอันสูงสุด หรือเมื่อ
พบพรมแดนสุดทายของจักรวาลนั่นเอง
อยางไรก็ตาม คุณเห็นดวยหรือไมวา พรมแดนสุดทายของจักรวาลหรือของชีวิตอยู
ภายนอกโนน อยูที่การใชชีวิตทั้งหมดของคุณทองไปในอวกาศเพื่อหาสัจธรรมนี้ คุณ
จําเปนตองถามคําถามนี้อยางจริงจัง และใหความสนใจในสิ่งที่ดิฉันจะพูด เพราะนี่อาจจะ
เปนขอมูลที่ชวยประหยัดเวลาของคุณไดมากมายทีเดียว
ทุกคนเปนศูนยกลางจักรวาลของเขา
ในบทกอนดิฉันไดพูดวา กอนความรูสึกตัวที่กายเนื้อหอหุมมันมาเมื่อคลอดจากทอง
มารดานั้น เปนสิ่งเดียวกับจักรวาล จักรวาลมีอยูเพราะเรามีความรูสึกตัว consciousness
นั่นเอง สมมุติวา ดิฉันเกิดหมดสติไป ๗ วัน โลกภายนอกหรือจักรวาลของดิฉันก็ดับไป ๗
วันเชนกัน ในชวงนั้น จักรวาลจะไมมีอะไรเกี่ยวของกับดิฉันเลย แมมันจะยังมีอยู คงอยู
สําหรับคุณก็ตาม โลกและจักรวาลจึงไมมีอะไรเกี่ยวของกับคนหลับสนิท คนหมดสติ คนอยู
ในอาการโคมา และ คนตาย เพราะความรูสึกตัวของเขาหายไป
ฉะนั้น หากดิฉันจะสรุปวา ทุกคนลวนเปนศูนยกลางของจักรวาลก็ยอมไมผิดหลัก
เหตุผลแตอยางใด เพราะหากคุณไมมีความรูสึกตัวละก็ จักรวาลก็ไมมีอยูเชนกัน เพราะมี
40
ความรูสึกตัว หรือมีตัวใจ นี่เอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราจึงทํางานได มันกลายเปน
สะพานเปดโอกาสให รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เดินเขามาในใจของเรา มาให “ตัวใจ” หรือ
“ความรูสึกตัว” ของเราไดรับรู ชีวิต โลกและจักรวาลจึงเกิดขึ้น ตื่น มีอยู ณ จุดนั้นเอง 1
ใจ หรือ ความรูสึกตัวนี้ ภาษาทางธรรมเรียก วิญญาณขันธ ซึ่งเปนขันธสุดทายของ
ขันธ ๕ อันเปนสวนประกอบฝายที่ไมมีรูปราง (นาม) ของรางกายและจิตใจมนุษย ดิฉันได
เรียกขันธนี้วา ตัวใจ หรือ ตาใจ แทนคําวา ใจ เฉย ๆ เพื่อใหสอดคลองกับขอเปรียบเทียบ
ตาง ๆ ที่นําเขามาใชโดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อพูดถึงการปฏิบัติสติปฏฐาน ๔ ซึ่งภาษาของ
ดิฉันคือ “การพาตัวใจกลับบาน” เพื่อความเขาใจที่ชัดเจนมากขึ้น2
ขอใหดูรูปขางลางนี้ ซึ่งแสดงใหเห็นความแตกตางของขันธ ๕ หรือ รางกายจิตใจ
ระหวางคนที่ตัวใจทํางานกับตัวใจไมทํางาน
ภาพที่ ๑
ตัวใจ -- จิต -- ตัวกาย = มีชีวิต = มีจักรวาล
เขียนภายใตภาพวา ขันธ ๕ หรือ รางกายจิตใจ ของคนที่ไมไดนอนหลับสนิท ไมไดหมดสติ
ไมไดอยูในอาการโคมา และไมไดตายเปนเชนนี้ จึงรับรูโลกและจักรวาล จึงมีชีวิต
ภาพที่ ๒
ตัวกาย = ไมมีชีวิต = ไมมีจักรวาล
เขียนภายใตภาพวา คนหลับสนิ ท คนหมดสติ คนที่อยูในอาการโคมาและ คนตายนั้น ความ
รูสึกตัว หรือ ตัวใจ ไมทํางาน แมรางกายยังทํางานอยู(ยกเวนคนตาย) แตก็เหมือนไมมีชีวิต
ไมสามารถรับรูโลกและจักรวาล ถึงแมโลกและจักรวาลจะยังมีอยูสําหรับคนอื่น ๆ แตไมมี
อยูกับผูที่อยูใ นสี่อาการนี้
1
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คือความหมายของคําวา รูป ของพระพุทธเจา รูปที่มักใชควบคูไปกับนาม หรือ รูปที่
เปนสวนหนึ่งของขันธ ๕ นามในที่นี้คือ จิต ความคิด ความจํา ความรูสึก และ ใจ ความรูสึกตัว ซึ่งเปนนามขันธ
ทั้ง ๔ ขันธ ๕ จึงรวมเรื่องชีวิตและจักรวาลทั้งฝายรูปและนามไวทั้งหมด
2
ขอใหอานเรื่องขันธ ๕ หนา.........ในบทที่สองของหนังสือเลมนี้
41
ultimate ในอนาคต หากการเดินทางอวกาศทําไดงายขึ้นแลว มีเครื่องมือที่กาวหนาและ
ฉลาดมากกวายุคสมัยนี้ การคนพบปรากฏการณใหม ๆ ยอมมีมากขึ้น ฉะนั้น บทสรุปของนัก
ฟสิกสและนักดาราศาสตรเกี่ยวกับโลกและจักรวาลที่เราอยูนี้อาจจะตองเขียนใหมหมดก็
เปนไดเหมือนความรูและประวัติศาสตรอื่น ๆ ที่ตองแกไขกันอยูเสมอเมื่อวิทยาศาสตร
กาวหนามากขึ้น ฉะนั้น การวิเคราะหชีวิตที่เกี่ยวของกับโลกและจักรวาลในแนวนี้จึงควรเปน
แนวทางที่ไดรับการสนับสนุน เพราะทําใหความรูเรื่องจักรวาลกลายเปนเรื่องใกลตัวมาก
พรอมทั้งแกปญหาชีวิตไดดวย
เขาใจผัสสะ เขาใจจักรวาล
เพราะมีความรูสึกตัว หรือ มีตัวใจ อายตนะภายในทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จึง
ทํางาน จึงกอใหเกิดการรับผัสสะ ขอใหดูสมการขางลางนี้
แนะนําจุด ก, ข, ค
เพื่อใหคุณเห็นความสัมพันระหวางการรับผัสสะกับความคิดของมนุษย ดิฉันจะ
อธิบายดวยภาพประกอบ จึงขอแนะนําจุดตาง ๆ ที่เกี่ยวของเสียกอน
1. จุด ก คือ ตําแหนงที่คุณกําลังอยู จะเปนการนั่ง เดิน ยืน นอน ก็ได จึงเปน
ตําแหนงที่คุณกําลังใชตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ของคุณ เพื่อรับผัสสะ
perceiving sense objects
2. จุด ข จะสมมุติใหเปนกระดาษแข็งสีขาวกอน ซึ่งสามารถคงความเปน
กระดาษเปลา ๆ เมื่อมีการรับผัสสะบริสุทธิ์ หรือ สามารถกลายเปนประตูเปด
เขาไปสูทอแหงความคิดเมื่อการรับผัสสะไมบริสุทธิ์ จุด ข จึงเปนทุกสิ่งทุก
อยางที่คุณกําลังรับรู หรือ รับผัสสะอยู the objects of your perceptions
เชน คนรักที่กําลังยืนเบื้องหนาคุณ รูปที่ติดอยูฝาผนัง ตนไม ภาพของ
ดวงดาวระยิบระยับในทองฟา เสียงเพลงโปรดของคุณ กลิ่นกาแฟ กลิ่นปลา
เค็ม รสมะนาว หรือ ความรูสึกคมแหลมของเปลือกทุเรียน หรือ ความรูสึกที่
42
ออนนุมของผิวหนังเด็ก ซึ่งเมื่อพูดรวมกลุมแลว กระดาษแข็งสีขาวนี้ คือ รูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัสของคุณนั่นเอง
3. จุด ค สมมุติเปนทอกระดาษแข็งยาว ๑๐ นิ้ว จะสมมุติใหมันเปนการใช
ความคิดของมนุษยที่กอใหเกิดการแสวงหาและสะสมความรูทางโลก
intellectual knowledge ซึ่งขบวนการแสวงหาความรูทางโลกเริ่มตั้งแตการ
รับผัสสะ (perception) การเฝาสังเกตการณ observation การสํารวจ
exploration วิจัย research บันทึกเหตุการณ recording ขอมูล และ
วิเคราะหดวยวิธีการของการใชเหตุผล reasoning และ ตรรกะ logic
จนกระทั่งมีการสรุปออกมาเปน ขอเท็จจริง facts และ ความจริง truth พูด
งาย ๆ ก็คือ ทอกระดาษยาวสิบนิ้วนี้เปนตัวแทนของการหาวิชาความรูทาง
โลกโดยวิธีการทางวิทยาศาสตรที่ตั้งอยูบนพื้นฐานของการใชความคิดและ
การผลิตความคิดเปนแกนหลัก
เริ่มซับซอน
คุณอาจจะเริ่มคิดแลววา ประสบการณเอกเปนเรื่องที่เปนไมได มีหรือที่เวลาคุณเห็น
สิ่งของ หรือ ไดยินเสียงแลวจะไมมีการพูด การคิดในหัว คุณอาจคิดวาประสบการณเชนนี้คง
จะเกิดกับคนที่สมองฝอ ไมทํางานแลวเทานั้น ที่ฝรั่งเรียก brain dead ตรงนี้แหละ คุณ
อาจจะเปนฝายเขาใจผิดเสียเองก็ได ฉะนั้น อยาเพิ่งคิดวาดิฉันพูดอะไรเพอเจอ เพราะ
ประสบการณเอกเปนสิ่งที่เปนไปไดทีเดียว เกิดไดจริงหากมีการฝกสติปฏฐานสี่หรือฝก
ทักษะเรื่องพาตัวใจกลับบานที่ดิฉันพูดเสมอ นี่เปนภูมิปญญาลึกซึ้งที่คุณยังเขาไมถึง จึงไมรู
วาประสบการณเชนนี้มีอยู อาจารยสอนวิปสสนาจะสามารถสอนคุณไดวาประสบการณเอก
นั้นตองทําอยางไรและแตกตางจากประสบการณโทอยางไร คุณอาจจะลองทําเองก็ได แต
43
ดิฉันไมคิดวาคุณจะสามารถแยกแยะประสบการณทั้งสองนั้นไดโดยไมมีคําแนะนําของครูบา
อาจารย แมเห็น ๆ อยูก็ตาม
ลูกศิษยที่ไดมาเรียนรูเรื่องการพาตัวใจกลับบานกับดิฉันจนสามารถเขาบานที่สี่ได
แลวนั้นจะทราบวา ประสบการณเอกเปนเรื่องที่เปนไปได เปนขอเท็จจริงที่เขาทําได ซึ่งในป
หลัง ๆ นี้ดิฉันคอนขางมั่นใจวาประสบการณเอกจะตองเปนเรื่องที่สอนและถายทอดกันอยาง
เห็นหนากันเทานั้น จะดวยวิธีการอื่นไมได ฉะนั้น หากคุณยังไมไดเรียนรูกับดิฉันแลวละก็
คุณอาจจะไมอยากเห็นดวย ซึ่งดิฉันตองขอรองใหคุณชวยทําใจโดยแกลงเห็นดวยกับดิฉัน
ไปกอน มิเชนนั้นแลว ดิฉันจะอธิบายตอไมได
ถึงพรมแดนสุดทายทันที
เมื่อใดที่คุณยืนอยู ณ จุด ก และมองไปที่จุด ข ดวยประสบการณเอกแลวละก็ เมื่อ
นั้นผัสสะของคุณจะบริสุทธิ์ ฉะนั้น คุณไดถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลแลว เขาถึงสัจ
ธรรมแลว กําลังเคลื่อนไปกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถึงนิพพานแลว ถึงพระเจาแลว เรื่องจบทันที หมด
เรื่องพูด กรุณาดูรูปขางลาง
วาดรูปที่ ๔
ผูรูจริงทุกทานจะพูดตรงกันหมดวา ภู มิปญญาที่ลึกซึ้งที่สุดของจักรวาลมีความลึก
เทาผิวหนังคือ ไมมีความลึกแตอยางใดเลย เพราะสัจธรรมอันสูงสุดไดอยูเบื้องหนาของทุก
คนแลว เหมือนการหาคําตอบของปญหาเชาวน ซึ่งคนสวนมากมักมองขาม หากไมมีผูรูจริง
มาบอก นี่คือเหตุผลที่วาทําไมการคนหาสัจธรรมจึงกลายเปนเรื่องยากมากจนถึงกับตองใช
เวลาทั้งชีวิตหรือโดยหลักศาสนาพุทธก็ตองเดินทางมาหลายภพหลายชาติ กวาจะรู
ขอเท็จจริงนี้ได หากพระพุทธเจาดําริไมสอนหลังการตรัสรูละก็ คนก็มืดมน ไมมีทางรู
ขอเท็จจริงนี้แนนอน
ประสบการณโท
ทีนี้ เราลองมาดูความแตกตางที่เกิดกับชีวิตของเราเมื่อยืนอยู ณ จุด ก และมี
ประสบการณโท ทันที่ที่คุณรับผัสสะและมีความคิดในหัวโดยเรียกสิ่งนั้น ๆ ยอมหมายความ
วาผัสสะของคุณไมบริสุทธิ์แลว ผัสสะของคุณไดถูกทําใหดางพรอยแลวโดยความคิดของ
คุณซึ่งกําลังจะถูกแปลงออกมาเปนคําพูดในภาษาตาง ๆ ที่หลากหลาย
ทันทีที่ประสบการณโทเกิดขึ้น เปรียบเทียบไดวา กระดาษแข็งสีขาวนั้นได
กลายเปนประตูที่เปดได และประตูนั้นก็เปดออกมาเชื้อเชิญใหคุณเขาไปทันที คุณก็อด
ไมไดที่จะละทิ้งจุด ก ที่คุณยืนอยูและเดินเขาไปในทอกระดาษแข็งนั้นซึ่งตอไปนี้ดิฉันจะ
เรียกวาทอแหงความรูทางโลก the tube of intellect นี่เปนจุดหัวเลี้ยวหัวตอที่จะทําใหชีวิต
ของคุณเรียบงาย ซับซอน ยุงเหยิง ทุกขมากหรือนอย ก็อยูที่จุดหัวเลี้ยวหัวตอนี้เอง ความ
อยากรูอยากเห็น curiosity อยากหาความรูทางโลก จึงกลับกลายมาเปนความมืดมนเสียเอง
เพราะสวนปลายสุดของทอแหงความคิดนี้เปนทางตัน!
วาดรูปที่ ๕
เมื่อคุณโทกับคุณเอกมองทองฟาในคืนเดือนมืด
ทีนี้ ดิฉันจะยกตัวอยางโดยสมมุติใหมีนักศึกษาระดับปริญญาเอกสองคนชื่อคุณเอก
และคุณโท ซึ่งทั้งสองคนกําลังทําปริญญาเอกสาขาดาราศาสตร และกําลังยืนอยูที่จุด ก ทั้ง
44
คู จะสมมุติตอวาคุณโทไมเคยศึกษาพระพุทธศาสนาและไมเคยปฏิบัติสติปฏฐานมากอน
ในขณะที่คุณเอกศึกษาพระพุทธศาสนาและปฏิบัติวิปสสนามาหลายปแลว สามารถฝก
ทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานจนสามารถเขาบานที่สี่ไดนานสักระยะหนึ่งแลว คือสามารถ
รับผัสสะบริสุทธิ์ไดแลว รูจักสภาวะของประสบการณเอกเปนอยางดีแมทําไมไดตลอดเวลาก็
ตาม สวนคุณโทยังไมรูดวยซ้ําไปวาผัสสะบริสุทธิ์คืออะไร ตองทําอยางไร ยังเปนทารกใน
โลกแหงธรรม
สมมุติตอวา ทีจ
่ ุด ก คุณเอกกับคุณโทกําลังยืนอยูกลางทุงกวางที่ถูกครอบดวย
ทองฟาที่มีดาวสวางระยิบระยับในคืนเดือนมืด ทันทีที่คุณโทหงายหนาขึ้นมองทองฟา เขาก็
ทําเหมือนกับนักดาราศาสตรทั่วไปที่กําลังทําปริญญาเอกอยู นั่นคือ ขบวนการใชความคิด
เริ่มตนอยางเปนธรรมชาติของมันเอง เพราะคุณโทมีความทรงจํามากมายในความรูดานดารา
ศาสตรของเขา จึงเริ่มเรียกชื่อของดาวเคราะหที่เดน ๆ เชน ดาวศุกร ดาวพุธ ดาวอังคาร
รวมไปถึงชื่อของดาวฤกษและกลุมดาวฤกษตาง ๆ ที่เขารูจัก คุณโทจะสามารถพูด วิเคราะห
วิจารณ เรื่องเกี่ยวกับดวงดาวในทองฟาไดมากมาย การทําเชนนี้ของคุณโทจึงเปรียบไดวา
แมคุณโทไดยืนที่จุด ก แตเพราะเขาดูไปที่แผนกระดาษสีขาว (จุด ข) ดวยประสบการณโท
กระดาษแผนสีขาวนั้นจึงกลายเปนประตูเปดออกทันที ซึ่งเชื้อเชิญใหคุณโทละจากจุด ก
เดินเขาไปในทอแหงความรูทางโลก หรือ จุด ค นั้นทันที และเขาก็ยืนอยู ณ จุด ๆ หนึ่งใน
ทอแหงความรูนี้
วาดรูปที่ ๖
แสดงภาพของคุณโทกําลังยืนอยูชวงกลาง ๆ ของทอแหงความคิด
ทางเลือกสองทางกับหนึ่งทาง
สวนคุณเอกนั้น ถึงแมวา เขาจะเปนนักศึกษาปริญญาเอกสาขาดาราศาสตรเหมือน
คุณโทก็ตาม แตเปนเพราะเขาไดฝกวิปสสนา ฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานจน
สามารถรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ไดแลวแมจะเปนเพียงชวงสั้น ๆ ก็ตาม อยางนอย คุณเอกมี
ทางเลือกไดสองทาง ณ ตําแหนง ก คุณเอกสามารถมองไปที่แผนกระดาษสีขาวดวย
ประสบการณเอกก็ได หรือ ประสบการณโทก็ได คือคุณเอกสามารถมองไปยังทองฟาที่
ประดับดวยแสงดาวระยิบระยับ และมองมันอยางไมตองใชความคิดเลย คือ มองเฉย ๆ เห็น
ก็สักแตวาเห็น หรือมีผัสสะที่บริสุทธิ์นั่นเอง ในกรณีนี้ เปรียบเทียบไดวา แผนกระดาษสีขาว
นี้ไมไดถูกเปลี่ยนเปนประตูแตอยางใด คุณเอกยังสามารถยืนอยูที่จุด ก โดยไมตองเขาไป
ในทอแหงความรูทางโลก
ในขณะเดียวกัน คุณเอกก็ยังมีทางเลือกที่จะใชความคิดของเขาไดหากเขาตองการ
นั่นคือ เขาสามารถละจากจุด ก และเดินเขาไปในทอแหงความรู ยืนเคียงขางคุณโท คุย
เรื่องเกี่ยวกับดวงดาวบนทองฟาตามประสาคนเรียนปริญญาเอกในสาขาดาราศาสตรดวยกัน
หากถึงจุดหนึ่งที่คุณเอกรูสึกพอแลว ไมอยากใชความคิดมาก พูดมากอีกตอไป คุณเอกก็
สามารถพาตัวใจของเขากลับบานไดเชนกัน ในขณะนั้นเอง คุณเอกก็สามารถกลับมาอยูที่
จุด ก อีกตามเดิม สามารถกลับมารับผัสสะอยางบริสุทธ โดยมองทองฟาอยางผอนคลาย
มองเฉย ๆ ไมมีเสียงพูดในหัวแมแตคําเดียว
45
วาดรูปที่ ๘ แสดงคุณเอกรับประสบการณโท และ กําลังยืนเคียงขางกับคุณโทในทอ
แหงความคิด หรือ จุด ค
ปญหาที่ปญญาชนรูดี
ปญญาชนลวนรูดีวา การใชความคิดและปลอยใหตนเองคิดมากนั้นงายกวาการไมคิด
หรือหยุดคิด ปญญาชนบางคนอาจจะคิดวา คงไมมีประสบการณที่เรี ยกวา ทําใจใหนิ่ง ๆ
เงียบ ๆ เสียดวยซ้ําไป เพราะระบบการศึกษาทางโลกลวนกระตุนใหคนคิดมาก คิดเกง ซึ่ง
เห็นเปนเรื่องดี แตไมไดสอนเรื่องการหยุดความคิดเมื่อตองการจะหยุด ความทุกขของคน
สวนมากเกิดเพราะคิดมากและหยุดคิดไมไดมากกวาคิดนอยและคิดไมเปน คนคิดนอยจะ
ทุกขนอยกวาคนคิดมาก ปญหาสังคมจึงเกิดเมื่อคนคิดมากในเรื่องที่เจ็บปวด เปนทุกข แลว
หยุดคิดไมได ทําไมเปน เพราะระบบการศึกษาของโลกไมไดสอนวิชาที่ชวยใหคนหยุดคิด
ซึ่งเปนเรื่องที่ผิดพลาดมาก เรื่องการคิดมาก คิดนอย หยุดคิด เปนเรื่องการฝกนิสัยของใจ
คือเรื่องการฝกสติปฏฐานสี่หรือการพาตัวใจกลับบาน ที่จําเปนตองเรียนรูกันอยางเปนระบบ
จึงจะแกปญหาชีวิตและสังคมได3
ถึงพรมแดนสุดทายดวยการมองเฉย ๆ
คุณจะเห็นไดวาที่จุด ก นั้น คุณเอกกับคุณโทกําลังหงายหนาขึ้นมองทองฟา
เหมือนกัน แตคุณเอกมองทองฟาในฐานะที่เปน “รูป” ที่เขามาทางตาเหมือนกับรูปมากมาย
ที่เขาเห็นในขณะที่เขาลืมตาอยู จึงเปนการมองทองฟาที่ไมตางจากการมองขวดน้ํา สุนัข
ตนไม ดอกไม ใบหนาของคุณโท รวมทั้งสิ่งอื่น ๆ มากมายอันเปน “รูป” ทั้งหลายที่ลวนเดิน
ผานเขามายังสะพานตา แมรูปรางหนาตารายละเอียดของสิ่งที่เขามองมีลักษณะที่
หลากหลาย แตสิ่งเหลานั้นก็ถูกรวบลงมาเหลือเพียงสิ่งเดียวคือ “รูป” ที่สามารถเดินผานเขา
มาทางสะพาน “ตา” ไดเทานั้น และก็เชนเดียวกับ “เสียง” ที่เขามาทางสะพาน “หู” “กลิ่น”
ที่เขามาทางสะพาน “จมูก” เปนตน การรับผัสสะเชนนี้ของคุณเอกคือ การรับผัสสะอยาง
บริสุทธิ์ รับรู “รูป” เฉย ๆ รับรู “เสียง” เฉย ๆ โดยไมตองคิด หรือ พูดอะไรในหัว ทําใหเขา
สามารถยืนอยูที่จุด ก โดยไมไดเปลี่ยนกระดาษสีขาวนั้นเปนประตูแตอยางใด ซึ่ง
หมายความวา คุณเอกไดเดินทางถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลแลวโดยไมตองเดินทาง
ไปไหนเลย เขากําลังเผชิญหนากับสัจธรรมอันสูงสุดแลว เปรียบเหมือนคุณเอกสามารถกลับ
บานเดิมหรือบานของพระธรรมชาติเจาไดแลว กําลังใชชีวิตอมตะอยูในแผนดินของพระเจา
กลายเปน “คนภายใน” แลว ไมใชคนเรรอนที่หาบานตัวเองไมเจอเหมือนคุณโท จักรวาล
ทั้งหมดไดหลอมรวมเปนหนึ่ง จักรวาลทั้งหมดจึงเคลื่อนไปกลายเปน ที่นี่ เดี๋ยวนี้
3
ดิฉันจะเขียนเรื่องการปฏิบัติสติปฏฐานสี่อยางเปนระบบซึ่งจะเปนหนังสือเรื่อง คูมือชีวิต ภาควิปสสนา แตในขณะนี้ คุณสามารถอานเรื่องการปฏิบัติไดจาก หนังสือ
เรื่อง ใบไมกํามือเดียว อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน และบทสรุปจากการอบรมธรรมของดิฉันเรื่อง มาพาตัวใจกลับบานกันเถิด รวมทั้งบทความอื่น ๆ ที่ยังไมไดพิมพ
เปนเลมแตอยูในเว็บไซตของดิฉันแลว www.supawangreen.in.th
46
คุณโทเอง ก็อยากรูเรื่องพรมแดนสุดทายของจักรวาลหรือสัจธรรมเยี่ยงคุณเอก แต
ดวยความที่ไมมีความรูเรื่องวิปสสนา ทันทีที่เขามองทองฟาที่หมดวยผาดาวระยิบระยับผืน
นั้น คุณโทไมสามารถมองทองฟาในลักษณะที่เปน “รูป” ที่ไมมีอะไรแตกตางจาก “รูป” อื่น
ๆ เชน ตนไม ตู เกาอี้ หนังสือ แมว ใบหนาของคนรัก ฯลฯ เขาไมสามารถมองเฉย ๆ โดยไม
คิด ผัสสะของคุณโทจึงไมบริสุทธิ์
เมื่อผัสสะไมบริสุทธิ์แลว คุณโทจึงมุดเขาไปหาพรมแดนสุดทายหรือสัจธรรมในทอ
แหงความรูทางโลกเสีย ซึ่งปญญาชนสวนมากคิดวาอยูในนั้น อยูในความรูที่กองเปนภูเขา
โดยที่ไมรูวาอวกาศที่กวางใหญไพศาลของจักรวาลนี้จะเปนทางตันไดอยางไร คุณคงเห็น
แลววา สิ่งที่มาขวางกั้นภูมิปญญาทางธรรมนั้น ไมใชอะไรอื่นเลย คือ ความรูทางโลกอันมี
รากเหงามาจากการคิดมากนั่นเอง
พบทางตัน
สาเหตุที่ดิฉันอยากแทนคําวา สัจธรรม ดวย พรมแดนสุดทาย เพราะดิฉันตองการให
คุณเห็นวา ที่ปลายสุดของทอแหงความรูทางโลกนี้เปนทางตัน มิใชที่โลง ๆ ที่เราคิดวามี
คําตอบหลากหลายยืนรอเราอยู โลกนี้จะมีคําถามมากกวาคําตอบอยูเสมอ There are more
questions than answers. การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดมิใชหมายความวา ผูรูนั้นสามารถตอบ
คําถามทุกเรื่องที่มนุษยตั้งขึ้นมาได แมพระพุทธเจาก็ยังปฏิเสธที่จะตอบปญหาบางอยางที่
ทานเรียกวา อจินไตย คือ คําถามที่ไมมีคําตอบ และไมไดชวยใหชีวิตดีขึ้น เชน จุดเริ่มตน
ของจักรวาลมาอยางไร ใครสรางโลกมนุษย จิตใจของพระพุทธเจาเปนอยางไร เปนตน
ผูที่หมดคําถามในตัวเองแลวหรือกลับบานเดิมอยางถาวรแลวเทานั้นจึงรูวาการไม
คิดถึงคําถามเปนคําตอบอยูในตัวมันเองแลว แตคนที่ยังถามในเรื่องที่ไมควรถาม ไมควรรู
(เพราะไมไดเกี่ยวของกับเรื่องของการดับทุกข) ยังอยากรูคําตอบของทุกเรื่องอยูละก็ จะ
ยอมรับคําตอบในรูปลักษณะของความเงียบ ของการไมถาม ของการรับผัสสะอยางบริสุทธิ์
นั้นยอมไมได ไมยอมเชื่อ
วันหนึ่ง หลังจากที่ดิฉันไดสอนพาใหลูกศิษยในชั้นไทเก็กเขาบานที่สี่ซึ่งเปนการรับ
ผัสสะอยางบริสุทธิ์แลว ดิฉันจึงสรุปใหพวกเขาวา หากเขาสามารถรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ได
เชนนี้ เขาไดเขาถึงพระเจาแลว ไดพบสัจธรรมอันสูงสุดแลว นักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่มักถาม
คําถามเสมอ มีใบหนาที่แสดงออกถึงความสับสน และถามดิฉันวา
เทานั้นหรือ Is that it?!
ดิฉันจึงตอบไปวา เทานั้นแหละ That is it!
ดิฉันจึงมักพูดย้ําใหนักศึกษาชาวตะวันตกของดิฉันเสมอดวยประโยคเหลานี้วา
หากสัจธรรมอันสูงสุดไมไดอยูตอหนาของคุณแลว คุณคิดวาคุณจะไปหามันไดที่
ไหนหรือ If you cannot find the truth right where you are, where do you think
you can find it?
ภูมิปญญาที่ลึกซึ้งที่สุดของจักรวาลมีความลึกเทาผิวหนัง คือไมมีความลึกเลย The
most profound wisdom in the universe is skin deep.
47
นี่เปนคําพูดที่ซ้ําซากของผูรูจริงของทุกยุคทุกสมัย ใครที่เห็นสัจธรรมจริง ๆ แลว จะ
พูดเชนนี้เหมือนกันหมด และไมใชเปนการพูดตาม ๆ เขา คนรูจริงจะมีวิธีการพูดประโยคเกา
ๆ ใหเปนประโยคใหม ๆ ของตนเอง เปนคุณสมบัติที่คนไมรูจริงจะทําไมได
รวบไมเปน ความรูจึงแตกซาน
การใชความคิดของปญญาชนนั้น ไมวาจะคิดไดเกงกาจอยางไร คิดไดลึกซึ้งหรือ
ซับซอนมากเพียงใด หากรูจักรวบมันลงมาแลว มันก็เปนเพียง “ความคิด” เทานั้น
เหมือนกับรูปที่มีมากหลากหลาย ก็คือ “รูปที่ผานเขามาทางตา” เทานั้น หรือ เสียง
หลากหลายก็คือ “เสียงที่ผานเขามาทางหู” เทานั้น แตนักคิดทั้งหลายก็มองไมออกเพราะ
ขาดความรูทางธรรมนั่นเอง จึงเห็นความคิดในกลุมความรูทางโลกเปนเรื่องตื่นเตน นาสนใจ
นาแสวงหา อยากรูอยากเห็นอยูร่ําไป
ภาพถายเหลานี้มีความหมายตอมนุษยชาติอยางไร
ไมกี่ปกอน มีรายงานขาววา ดาวเทียมเล็ก ๆ ที่เขาเรียกวา probe ที่สงออกจาก
องคการนาสาไปราวสองหรือสามทศวรรษกอนนั้นไดเดินทางไปถึงดาวพฤหัส Jupiter แลว
และไดสงภาพถายดานหลังของดาวพฤหัสกลับมา ซึ่งเปนครั้งแรกที่นักดาราศาสตรเห็นภาพ
ดานหลังของดาวเคราะหยักษดวงนี้ ทันทีที่นักดาราศาสตรเหลานี้เห็นภาพถายเท านั้น ตางก็
ตื่นเตน ดีใจมากจนบางคนถึงกับน้ําตาไหล คนหนึ่งบอกนักขาววา
“คุณรูไมวา ภาพถายเหลานี้มีความหมายตอมนุษยชาติอยางไร”
Do you know what these pictures mean to humanity?
ดิฉันฟงแลวก็รูสึกงง ไมเขาใจวาภาพถายเหลานั้นจะมีความสําคัญตอมนุษยชาติได
อยางไร เพราะหากเอารูปเหลานี้ไปใหคนจนที่หาเชากินค่ําหรืออดมื้อกินมื้อดู และถามเขา
วาจะเอารูปถายหรืออาหาร คุณตองรูวาเขาจะเลือกอะไร ในขณะที่โลกกําลังวุนวายดวย
ปญหาที่ทําใหคนเปนทุกขมากอยูทุกหยอมหญาเชนนี้ ภาพถายดานหลังของดาวพฤหัสจะมี
ความหมายอะไรตอมนุษยชาติ ดิฉันก็นึกไมออก คุณละ นึกออกไม
นอกจากนั้น ปญญาชนที่กําลังติดอยูในทอแหงความรูทางโลกนั้นจะสรางอัตตา
ตัวตน ego ใหตนเองอยางไมรูตัว เพราะถูกความคิดของตนเองหลอกเอา ในขณะที่เขาคิด
เหมาเอาวา เขารูมาก รูกวาง รูเรื่องสําคัญเพียงเพราะมีปริญญายาวเปนหางวาวนั้น คนที่รู
จริงเพราะมีภูมิปญญาทางธรรมจะมองออกวา ที่จริงแลว คนเหลานี้กําลังติดอยูในโลกแคบ
ๆ ของความรูของตนเอง แตละคนกําลังใสแวนตางสีและกําลังมองโลกผานสีแวนของ
ตนเอง จึงทะเลาะถกเถียงกันมากวาฉันถูก เธอผิด ซึ่งทุกคนถูกหมด เพราะนั่นคือสิ่งที่เขา
เห็นจริงโดยผานสีแวน ซึ่งเปนความจริงแบบสัมพัทธเทานั้น จึงทําใหทุกคนเห็นผิดหมด
48
เพราะตราบใดที่ยังไมยอมถอดแวนตางสีและหัดมองโลกตามที่มันเปนจริงแลวละก็ จะไมมี
วันเห็นของจริง ๆ เด็ดขาด
ทอแหงความรูทางโลกจึงมีขอบเขตที่จํากัดมาก ตราบใดที่เปนเรื่องการใชความคิด
แลว จะตองถูกหลอกไมทางใดก็ทางหนึ่งแนนอน ความรูทางโลกจึงเปนทอตันที่ไมมี
ทางออกหากไมยอมรับฟงผูรูนําทางให
สรุป
คุณคงจะเห็นแลววา การรับผัสสะและความคิดของมนุษยเรามีความเกี่ยวของกับ
การรูสัจธรรมอันสูงสุดหรือการไปถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลไดอยางไร บทความนี้ยอม
ชี้ใหคุณเห็นอยางชัดเจนวา ความคิดของมนุษยนี้เองเปนตัวแปรที่จะทําใหผูแสวงหาไปถึง
พรมแดนสุดทายของจักรวาลไดหรือไม ซึ่งในที่สุด ก็รวบลงมาเหลือเพียงเรื่องเดียวเทานั้น
คือ การฝกสติปฏฐานสี่ หากใครสามารถฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานไดเทานั้น
ผูปฎิบัติก็จะถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาลทันทีโดยไมตองเดินทางเลย
ผูรูจริงสามารถกระโดดไดเหมือนเสือในขณะที่กําลังนั่งอยู
The enlightened one can leap like a tiger while still sitting.
49
บทที่หา
ทอแหงความรูทางโลก
The Tube of Intellect
ในบทกอน ดิฉันไดพูดถึงคุณเอกกับคุณโทยืนอยู ณ จุดเอ ในขณะที่คุณเอกสามารถ
รับผัสสะอยางบริสุทธิ์ไดนั้น คุณโทกลับทําใหแผนกระดาษสีขาวนั้นกลายเปนประตู และเขา
ก็เดินเขาไปในทอแหงความรูทางโลกนั้น ยืนอยูในทามกลางความคิดและความรูมากมาย
วันนี้ ดิฉันจะเนนเรื่องทอแหงความรูทางโลก
50
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (ผัสสะ) = ความคิด ความจํา ความรูสึก
คําพูด ภาษา = ความคิด ความจํา ความรูสึก
การรูวารูปกับนามเปนสิ่งเดียวกันเชนนี้ คุณสามารถเรียนรูโลกภายในของมนุษยที่จับ
ตองไมไดโดยผานสิ่งที่คุณจับตองได นั่นคือ รูป หรือ มวล เชน หากคุณตองการรูวา คน ๆ
นี้เขาคิดและรูสึกอะไร อยางไร คุณตองไปดูที่คําพูด และ ภาษาของเขา เหมือนชายหนุมที่
เปนโรคจิตที่นั่งรถไปกับดิฉัน หากเขาไมยอมพูดอะไรเลยแลว ดิฉันจะอานสภาวะจิตใจของ
เขาไมไดวา จิตใจของเขาอยูใกลไกลจุดปกติมากแคไหน แตถาเขาไดพูดแลว และถาพูด
มากดวย ดิฉันจะอานความคิด ความจํา ความรูสึกของเขาไดดีมากขึ้น เราจึงมักพูดว า
สายตาของมนุษยเปนหนาตางของจิตใจ จริงมากทีเดียว สายตาคนเปนเรื่องของรูป mass
เราสามารถอานความคิด ความรูสึก ซึ่งเปนเรื่องนาม energy โดยผานสายตาของคนที่เรา
พูดดวยวาเขามีความจริงใจกับเรามากแคไหน ฉะนั้น คนที่ไมพูด หรือ พูดนอย เราจะอาน
จิตใจของเขาไดยาก
จึงสรุปไดวา เราสามารถตัดสินความซับซอนของความคิดและความรูสึก หรือ จิตใจ
ของคนไดโดยการดูที่ภาษาและคําพูดของเขา การคิดคนทางเทคโนโลยีใหม ๆ ซึ่งเปนเรื่อง
ของความคิดใหม ๆ ที่ซับซอนนั้นยอมทําใหคําพูดและภาษามีความซับซอนมากขึ้น
จิตใจไมซับซอนอยูหลักนิ้วที่ ๔1
เมื่อคุณเห็นวัตถุกลม ๆ และตองการสื่อสารบอกใครสักคน คุณก็คนหาในกลอง
ความจําของคุณ คุณจําไดวาสิ่งกลม ๆ นี้เขาเรียกอะไร คุณจึงออกเสียงเรียกสิ่งกลม ๆ นั้น
วา “ลูกบอล” ทันทีที่คุณเรียกสิ่งที่คุณเห็นดวยการเรียกชื่อเทานั้น คุณก็ไดเขามายืนอยูที่
หลักนิ้วที่ ๔ ของทอแหงความรูนี้แลว
หลักนิ้วที่ ๔ จะเปนตัวแทนของกลุมบุคคลที่มีจิตใจเรียบงาย ไมซับซอน อาจเปน
กลุมคนที่ไมเคยรับการศึกษาในระบบการศึกษาใด ๆ มากอน อาจจะยังเขียนไมออก อาน
ไมได เชน จิตใจของเด็ก ๆ คนอยูชนบทที่ทําอาชีพพื้นฐาน เชน ชาวไร ชาวนา กรรมกร
รวมทั้งคนที่อยูกับปาเขาลําเนาไพร อยูใกลชิดธรรมชาติ คนเหลานี้จิตใจของเขาไมซับซอน
เพราะ ไมไดอานมาก จึงไมมีความทรงจํามาก เมื่อรับผัสสะอะไรแลว ในหัวจึงไมมีการปรุง
แตงวิเคราะหมาก รูเทาที่จําเปนตองรูอันเนื่องกับการดํารงอยูรอดของชีวิตประจําวัน การ
สื่อสารของเขาจะทําดวยภาษาที่งาย ๆ
เมื่อลูกชายคนกลางของดิฉันที่ชื่อ เอ็นดู อายุไดสามขวบนั้น วันหนึ่งดิฉันซื้อแปรงสี
ฟน ๕ อันเพื่อใหสมาชิกทั้ง ๕ ของครอบครัว เห็นลูกตื่นเตน ดิฉันจึงหยิบแปรงสีฟนทั้งหมด
ใหลูกเอ็นดูไปเลนกอน ลูกชายเอาไปเรียงไวบนพื้นโดยใหอยูแนวเดียวกันหมด และแลว
เธอก็เอานิ้วชี้เล็ก ๆ ชี้ไปที่แปรงสีฟนแตละอัน ในขณะที่ชี้นั้น ลูกก็พูดตามไปวา
“แปรงสีฟน แปรงสีฟน แปรงสีฟน แปรงสีฟน แปรงสีฟน ”
การพูดเชนนั้นของลูกเอ็นดูเปนผลจากกลองความทรงจําที่เล็กนั่นเอง ภาษาของเขา
จึงงาย ๆ ในขณะที่ลูกชายอายุ ๕ ขวบของดิฉัน จะพูดวา
“แมซื้อแปรงสีฟน ๕ อัน”
1
ในบทที่แลว ดิฉันไดเปรียบเทียบใหจุด ค เปนทอกระดาษแข็งสีขาวยาว ๑๐ นิ้ว เปรียบเหมือนทอแหงความรูทางโลก
51
ซึ่งเปนภาษาที่ซับซอนมากขึ้น คําวา ๕ อันนี้จะตองเกิดจากการคิดและการบวกเลข
คุณจะเห็นความแตกตางระหวางภาษาของเด็ก ๆ ที่ยังเรียนอนุบาลอยู กับเด็กที่เรียนชั้น
ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย คุณโตมากขึ้นเทาไร ภาษาของคุณก็ยิ่งซับซอนมากขึ้นอัน
เนื่องจากจิตใจที่ซับซอนนั่นเอง คุณจึงสามารถสังเกตความซับซอนของจิตใจคนในสังคม
ไดโดยการดูภาษาของสังคมนั้น หากภาษาซับซอนมาก จิตใจของคนก็ซับซอนตามไปดวย
ใครยืนอยูที่ไหน
ฉะนั้น เราจะมาใชระดับการศึกษาและอาชีพของคน ซึ่งเปนฝายรูป mass เปนตัว
แปรตัดสินความซับซอนของจิตใจคนซึ่งเปนฝายนาม energy โดยสมมุติกันอยางคราว ๆ วา
ใครยืนอยูที่ไหนในทอแหงความรูนี้ จึงสมมุติวา
หลักนิ้วที่ ๔ แทนคนที่ไมไดจบการศึกษาภาคบังคับ
หลักนิ้วที่ ๕ แทนคนที่จบการศึกษาภาคบังคับในชั้นมัธยมปลาย
หลักนิ้วที่ ๖ แทนคนที่เรียนปริญญาตรีที่เริ่มจับความรูเฉพาะอยาง
หลักนิ้วที่ ๗ แทนคนเรียนปริญญาโท ที่เนนความรูเฉพาะอยางมากขึ้น
หลักนิ้วที่ ๘ แทนคนเรียนปริญญาเอก ที่เนนความรูเฉพาะอยางมากขึ้นไปอีก
หลักนิ้วที่ ๙ แทนกลุมปญญาชนผูเปนชนชั้นกลางที่ทํางานในตําแหนงผูนําไมวา
ระดับใดระดับหนึ่งที่ตองใชความคิดมาก แมกลับบานแลว ควรจะหยุดคิดเรื่องงาน
และพักผอนกับครอบครัวได แตก็ไมสามารถทําไดดี ยังคงคิดติดพันอยู เชน
นักการเมือง ครู ผูบริหาร ผูพิพากษา ทนาย อัยการ หมอ นักวิทยาศาสตร เปนตน
หลักนิ้วที่ ๑๐ แทนจิตใจของนักคิด นักเขียน นักประพันธ ผูมีอาชีพอยูบนตัวหนังสือ
รวมทั้งจิตใจของอัจฉริยะทั้งหลายทีต ่ องคิดมาก คิดซับซอนและคิดลึก
นักวิทยาศาสตรรวมทั้งนักประดิษฐคิดคนทั้งหลายที่มีชื่อเสียงของโลก เชน อัลเบิรต
ไอนสไตน ก็จัดอยูในกลุมคนที่ยืนอยู ณ หลักนิ้วนี้
ขอใหคุณเขาใจวานี่เปนเพียงการจัดกลุมแบบคราว ๆ เพียงใหคุณมองเห็นภาพเทานั้น
ชาวนาในประเทศที่เจริญแลวอยางยุโรปและอเมริกา สภาวะจิตใจของเขาคงจะไมไดอยู
หลักนิ้วที่ ๔ แนนอน เพราะสวนมากมักจบปริญญาในสาขาเกษตรกรรม ฉะนั้น จึงจัดอยูใน
ระดับ ๗ ถึง ๙ ก็ยังได วัยรุนที่เรียนชั้นมัธยมอาจจะสามารถคิดไดซับซอนลึกซึ้งเหมือน
ระดับอัจฉริยะ ฉะนั้น จึงจัดอยูในระดับหลักนิ้วที่ ๑๐ ได
สาเหตุของการจัดกลุม
ถึงแมไดพูดมาแลวทุกบท ก็ยังขอเนนอีกวาขณะนี้สังคมมนุษยกําลังหลงทางเปน
อยางมาก massive misdirection of life ไมรูวาตนเองตองการเดินไปทิศทางไหน เหนือ
ใต ออก ตก กําลังกาวหนาหรือถอยหลัง เจริญหรือตกต่ํา รุงเรืองหรือใกลจะลมจม จึงเกิด
ความสับสนวุนวายในจิตใจของคนหมูมากจนกอใหเกิดปญหาสังคมที่ซับซอนและกลับมา
สรางความทุกขใหแกคนมากขึ้นไปอีก สรางวงจรอันเลวรายที่ออกไดยากยิ่ง
นี่จึงเปนสาเหตุสําคัญที่วาทําไมเราจําเปนตองรูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล
ตามที่ไอนสไตนพูดถึง หากไมมีจุดปกติอยางแทจริงใชเปนมาตรฐานการวัดแลว เราจะไม
สามารถรูไดวาอะไรที่ไมปกติ ถาไมรูคาสมบูรณ เราจะไมรูคาที่ไมสมบูรณ เด็กที่เกิดมาใน
ยุคนี้ที่เห็นแตปญหาวุนวายในสังคมและศีลธรรมที่เสื่อมโทรมอยูเปนอาจิณ เมื่อพวกเขาโต
เปนผูใหญและไมเคยเห็นอะไรที่ดีกวานี้ใหเปรียบเทียบแลว เขาจะตองคิดวา ความสับสน
52
วุนวายและความทุกขของสังคมเปนเรื่องปกติธรรมดาของโลก ซึ่งไมใชเชนนั้น เพราะสังคม
ที่ปกติมากกวานี้เคยมีอยู วัฒนธรรมสติปฏฐานคือ สังคมที่ใกลเคียงความปกติจริง ๆ 2
ฉะนั้น การรูเรื่องจุดปกติหรือสัจธรรมหรือพรมแดนสุดทายของจักรวาลจึงเปนเรื่อง
สําคัญมาก ซึ่งในบทกอน ดิฉันก็ไดสมมุติจุด ก และการรับผัสสะอยางประสบการณเอกหรือ
ผัสสะบริสุทธิ์ใหเปนพรมแดนสุดทายหรือจุดปกติของชีวิต บทนี้จึงเปนเรื่องตอเนื่องจากบท
ที่แลว การเห็นกลุมบุคคลที่ติดอยูในทอแหงความรูทางโลกเชนนี้จะชวยใหคุณเห็นภาพ
ชัดเจนวาใครอยูที่ไหน ณ จุดไหนและหางไกลจากจุด ก หรือจุดปกติของชีวิตมากแคไหน
หากตองการเดินทางกลับสูสภาวะปกติแลว จะตองเดินไกลแคไหน อยางไร คุณจึงสามารถ
ตัดสินตนเองไดจากการเปรียบเทียบในบทนี้
จึงขอใหเขาใจวาการจัดกลุมคราว ๆ ดังกลาวขางตน เปนการแยกแยะสภาวะที่
ซับซอนของจิตใจมนุษยที่ไมจํากัดแตความรูทางโลกอยางเดียว คนที่คิดมาก โดยเฉพาะ
คิดเรื่องกําไร ขาดทุน เรื่องได เรื่องเสีย ก็เปนตัวแปรที่สามารถวัดสภาวะจิตใจที่ขึ้นลงจาก
นอยไปหามาก ก็เปรียบเหมือนการยิ่งมุดลึกเขาไปในทอที่มืดมิดนีเ้ ชนกัน เชน เมื่อไดเงิน
มาก ๆ ก็ดีใจอยางสุดขีด เมื่อตองสูญเสียเงินทองจํานวนมากดวยสาเหตุใดก็ตาม จิตใจก็จะ
ตกฮวบอยางสุดขีดเชนกันจนบางคนตองฆาตัวตาย คุณเทานั้นที่รูจักจิตใจตนเองดีกวาคน
อื่นวามีความยุงยากซับซอนและทุกขมากแคไหน ฉะนั้นคุณก็สามารถจัดตนเองใหอยูใน
ระดับที่คุณคิดวาเหมาะสมได
ขอใหเขาใจอีกดวยวา กลุมคนที่อยูตั้งแตหลักนิ้วที่ ๔ ถึง ๑๐ นี้ เหมือนกับขอ
เปรียบเทียบของเสนหนังยางที่บิด ๔ รอบถึง ๑๐ รอบในบทที่สามที่ดิฉันพูดเรื่องจิตใจปกติ
กลุมคนเหลานี้คือ ผูย ังไมรูเรื่องพรมแดนสุดทายของชีวิต ไมรูเปาหมายของชีวิตในแงที่ตอง
หาจุดปกติวามันคืออะไร ตองไปถึงไดอยางไร เปาหมายชีวิตของคนเหลานี้จึงถูกตัดทอนลง
เหลือเรื่องการแสวงหาความรูทางโลกใหมากที่สุด เพื่อใชความรูนั้นเปนเครื่องมือในการ
แสวงหาความสําเร็จใหแกชีวิตในเรื่องการงาน การเงิน เกียรติยศ ชื่อเสียง และอํานาจ ซึ่ง
เปรียบเหมือนการเดินลึกเขาไปในทอแหงความรูนี้ อันมีทางตันเปนที่สุด ซึ่งเปนเรื่อง
ผิดปกติที่ถูกทําใหเปนเรื่องปกติ เพราะคนหมูมากเห็นและทําเหมือนกันหมด ยกเวนคนกลุม
นอยกลุมหนึ่งของสังคมที่ทําตางออกไป เพราะรูวาคานิยมเหลานั้นไมปกติ จึงตองการ
แสวงหาความปกติที่แทจริง อันเปนเนื้อหาหลักของหนังสือเลมนี้
การเลี้ยวกลับ
ทีนี้ลองหันกลับมาดูที่หลักของสามนิ้วแรกวามันเปนตัวแทนของคนกลุมไหน ใน
ทามกลางคนจํานวนมากมายที่ติดอยูในทอแหงความรูนี้ จะมีคนอยูกลุมหนึ่งไมจํากัดวาเปน
เพศหญิงหรือชาย หนุมสาวหรือแกเฒา ฉลาดหรือไมคอยฉลาด รวยหรือจน มีสถานะสูงสง
หรือต่ําตอย มีอํานาจหรือไมมีอํานาจ ไมเปนปญหาเลย กลุมคนเหลานี้ แทนที่ตองการเดิน
ลึกเขาไปในทอแหงความรูเหมือนคนหมูมากของสังคม เขากลับไมทําเชนนั้น
สาเหตุเปนเพราะนี่เปนกลุมคนที่ไดเรียนรูจากการอานหนังสือของคนรูจริง เชน
พระพุทธเจา และสาวกผูรูตามของทานอยางแทจริง จึงตระหนักชัดวา การไขวควาหา
ความสําเร็จทางโลกนั้นมิใชหนทางที่จะชวยใหดับทุกขและเปนสุขมากขึ้น กลับจะพบทาง
ตันของชีวิตตางหาก เมื่อรูแลว กลุมคนเหลานี้จึงไมยอมเดินลึกเขาไปในทอแหงความรูนี้
จึงเลี้ยวกลับเพื่อตองการเดินทางออกจากทอแหงความมืดมนนี้และกลับออกมาที่จุด ก อัน
เปนพรมแดนสุดทายหรือจุดปกติของชีวิตตามที่ผูรูจริงไดแนะนําไว
ฉะนั้น จากการศึกษาหาความรูจากผูรูจริงในเรื่องชีวิต โลก และจักรวาล การศึกษา
ในแนวทางของศีล สมาธิ ปญญา เพื่อเดินทางไปสูเปาหมายปลายทางของชีวิตจึงเกิด คน
2
อานบทที่ ........วัฒนธรรมสติปฏฐาน ในหนังสือเรื่อง ใบไมกํามือเดียว เขียนโดย ศุภวรรณ กรีน
53
ที่สามารถวกกลับมายืนอยูที่หลักนิ้วที่ ๓ คือ กลุม
บุคคลที่สามารถทําสิ่งตาง ๆ ที่ดิฉันได
แนะนําไวในคูมือชีวิตภาคศีลธรรมและกฎแหงกรรม นั่นคือ
๑. พยายามรักษาศีล ๕ อยางดีที่สุด
๒. ฝกหัดการใหและเสียสละในทุกรูปแบบ
๓. ทําตัวเรียบงาย ไมยุงยาก
๔. ไมกลัวตาย
๕. เชื่อกฎแหงกรรม และ การเวียนวายตายเกิด
หลักนิ้วที่ ๒ ตองฝกวิปสสนา
การเดินทางตอไปยังหลักนิ้วที่ ๒ หรือคลายเสนหนังยางใหเหลือเพียง ๒ บิดนั้น ผู
เดินทางจําเปนตองมีความรูเรื่องการฝกสติปฏฐานสี่หรือการพาตัวใจกลับบาน โดยเริ่มตนที่
เครื่องมือพื้นฐานของชีวิตกอน ตองยอมรับวามนุษยมีอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจเทาเทียมกัน
หมด และรูจักใชเครื่องมือพื้นฐานหรือตาใจมองจุดกําหนดตาง ๆ ที่ครูบาอาจารยทาง
วิปสสนาไดสอนไว เชน ใชตาใจดูลมหายใจ ดูการเคลื่อนไหวของกายซึ่งเปรียบเหมือนการ
พาตัวใจกลับบานที่หนึ่ง และการใชตาใจดูความรูสึกของกาย เชน เย็น อุน รอน ออน แข็ง
นุม เจ็บ ระบม เปนตน ซึ่งเปนการพาตัวใจกลับบานที่สอง ใครที่สามารถทําไดเชนนี้ใน
ชีวิตประจําวันก็เทากับกําลังเดินทางจากหลักนิ้วที่ ๓ มาสูหลักนิ้วที่ ๒ แลว จิตใจของคน
เหลานี้จะมีความคิดที่เปนขยะนอยลง ความคิดฟุงซานจะมีนอยลง ความทุกขในใจก็จะนอย
ตามไปดวย จะสามารถมีสติอยูกับงานที่ตนเองกําลังทําอยูที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถาใชขอเปรียบเทียบ
ของการขับรถไฟชีวิตที่จะพูดถึงในบทตอไปแลว ก็หมายความวา การเดินจากหลักนิ้วที่สาม
ไปสูหลักนิ้วที่สองเปนขั้นตอนที่คนขับรถไฟขบวนชีวิต พยายามจะขับรถไฟของตนใหได
ระดับเดียวกับรถไฟขบวนแรก หรือ ขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ จะเรียกวา รถไฟขบวนสงบสุขก็ได ผล
ที่ไดคือ คนที่เดินทางอยูในขั้นตอนนี้ จิตใจจะสงบมากขึ้น อันเปนผลจากการฝกทักษะเรื่อง
การพาตัวใจกลับบานนั่นเอง
เริ่มเรียนรูโลกภายในของตนเอง
หลังจากที่ผูปฏิบัติวิปสสนารูจักใชตาใจของตนเอง ซึ่งเปนระหวางการเดินทางจาก
หลักนิ้วที่สามเพื่อมุงสูหนาประตูของทอทีม ่ ืดมนและกลับสูบานเดิมที่จุด ก นั้น การเรียนรู
ปรากฏการณตาง ๆ ในจิตใจของตนเองจึงเกิดขึ้นอยางมโหฬาร และเปนวิธีการเรียนรูอยาง
เปนวิทยาศาสตรดวย เพราะมีการใชอายตนะพื้นฐานคือ ตาใจ เปนผูดู หรือ ผูสังเกตการณ
เหมือนการใชตาเนื้อดูปรากฏการณตาง ๆ ของโลกภายนอก ซึ่งคนอยูหลักนิ้วที่ ๔ ถึง ๑๐
จะใชตาใจไมเปน แมมีอยูก็ไมรูวามันคืออะไร ตาใจจึงเหมือนถูกปดไว
54
ความรูสึกตัว (วิญญาณขันธ) = ตัวใจ หรือ ตาใจ = ทอม
สภาวะจิตใจ
กอนหนาการเรียนรูอยางเปนวิทยาศาสตรเชนนี้ ทุกคนจะใชตาใจมองโลกภายนอก
โดยผานกรอบของความคิดและความรูสึกของตนเองหรือจิตซึ่งเหมือนผาปดตาใจ ดังในรูป
การมองโลกโดยผานความคิดเชนนี้จึงเปรียบเหมือนการเดินไปสูทางตันของอุโมงค
ที่มืดมิดนี้ คนที่ไมเคยฝกวิปสสนา เขาจะไมมีทางเลือกอื่นในการมองโลกภายนอก คือ ไม
สามารถที่จะไมมองโลกโดยผานความคิด จําเปนตองมองโลกภายนอกโดยผานความคิด
เพียงถายเดียว เพราะ จิตกับใจเหมือนเปนแมเหล็กตางขั้วที่ดูดเขาหากัน สภาวะของจิตกับ
ใจจึงติดกันเหมือนเปนสภาวะเดียวเทานั้น การเขียนคําวา “จิตใจ” ติดกันในภาษาไทยเราจึง
เปนผลของสภาวะ “จิตใจ” อยางแทจริง แตอยางนอยภาษาไทยเรายังใชสองคํามาควบ
ติดกัน จึงพอรูบางวา มันเปนคนละธาตุ คนละขันธกัน แตปญญาชนฝรั่งจะดูไมออกเลย
เพราะเขาใชคําวา mind เพียงคําเดียว และยังมีคําอยางเชน consciousness, soul ซึ่งถา
ไมมีการแยกแยะอยางเปนระบบตามที่พระพุทธเจาแยกในเรื่อง ขันธ ๕ แลวละก็ การเรียนรู
เรื่องจิตใจอันเปนธรรมชาติฝายนามอยางถูกตองจะไมเกิด นี่จึงเปนเหตุผลใหญที่นักการ
ศึกษาฝายตะวันตกจําเปนตองกวาดเรื่องจิตใจใหไปรวมกับรูปที่สมอง เขาจึงเริ่มศึกษาจิตใจ
ได แตจะไดความรูที่ถูกตองหรือไมนี่เปนอีกเรื่องหนึ่งตางหาก
วิปสสนาเหมือนการควานกอนมะเร็ง
เมื่อมีการฝกวิปสสนาแลว จิตกับใจของผูปฏิบัติจะเริ่มหลุดรอนออกจากกัน ซึ่งเปน
ขั้นตอนของการเดินตามผูรูจริงอยางพระพุทธเจาที่สอนเรื่องการหลุดพนจากความทุกข การ
ดับทุกขที่แทจริงก็คือ การพยายามทําใหจิตกับใจหลุดและพนออกจากกัน เพราะจิตคือตัวที่
แบกทุกข จิตคือตัวที่เปนแผล ตัวเจ็บปวย หรือ ตัวผิดปกติ จึงตองควานเอาสวนที่เปน
ปญหาออกไปเหมือนหมอผาตัดควานเอาเนื้อรายที่เปนมะเร็งออกจากรางกาย การฝก
วิปสสนาจึงเหมือนการทําลายพลังสนามแมเหล็กที่มีอยูร ะหวางจิตกับใจ เปนการปฏิบัติเพื่อ
การหลุดพนจากความทุกขอยางแทจริง
ตัวใจ <----- จิต --- ตัวกาย ---- ผัสสะ (ไม) บริสุทธิ์, ชีวิต(ไม) ปกติ
55
ขันธ คือ กาย (รูปขันธ) กับ ใจ หรือ ความรูสึกตัวทั่วพรอม (วิญาณขันธ) ขอใหเขาใจวา
ความคิด (สังขารขันธ) ความจํา (สัญญาขันธ) ความรูสึก (เวทนาขันธ) มีธรรมชาติของการ
เกิดขึ้น ตั้งอยู หายไปเหมือนการเกิดของรุงกินน้ํา พยับแดด กับภาพเหมือนในกระจก ปจจัย
มี มันก็เกิด ปจจัยเปลี่ยนมันก็หายไป ผูหลุดพนแลวจึงมีปจจัยที่สามารถทําให ๓ ขันธนี้
หายไปไดเหมือนการหายของรุงกินน้ําโดยการรับผัสสะอยางบริสุทธิ์ ถาไมจําเปนตองใช
ความคิด ก็เขาสูโลกที่บริสุทธิ์หรือโลกนิพพานทําให ๓ ขันธนั้นรองหนไปกอน จึงเหลือ
เพียง ๒ ขันธเชนนี้
เริ่มรูจักการถูกครอบงํา
ผลจากการฝกทักษะเรื่องพาตัวใจกลับบานนี้เอง ผูเดินทางจะเริ่มเห็นพลังของจิต
หรือเจอรี่วามันมีมากมายมหาศาลเพียงใดในแงที่เปนนายเหนือตัวใจหรือแมวทอม ผูปฏิบัติ
จะเห็นสภาวะมืดมิดหรือหมดอิสรภาพเมื่อ “ตัวใจ” ถูก “จิต” ครอบงํา เหมือนเอาแวนตาดํา
ติดกาวหนา ใสแลวดึงไมออกทั้ง ๆ ที่รูสึกรําคาญสายตามาก อยากเอาเจาแว นตาดําออก
เสีย จะไดเห็นอะไรชัด ๆ ตามสีที่มันเปนจริงสักหนอย ก็ทําไมได จิตที่ครอบงําใจยัง
สามารถเปรียบเหมือนแมวทอมถูกหนูเจอรี่ที่ถือฆอนใหญ ๆ มาทุบตีเอา ทอมที่ออนแอจึง
เปนทาสรับใชของเจอรี่ที่แข็งแรงกวาไปทั้งชาติ ผูฝกจะเห็นไดชัดวา เจอรี่สามารถสั่งงาน
แมวทอมเหมือนตัวเองเปนเจาของบานใจเรา ซึ่งที่จริง ไมควรเปนเชนนั้นถารูจักวิธีใหอาหาร
ชีวจิตและวิตามินแกแมวทอม เมื่อทอมแข็งแรงมากกวาหนูอันธพาลเจอรี่แลว เจอรี่จะถอย
ทัพเอง
จิตมีธรรมชาติเปนมายา
อีกสิ่งหนึ่งที่ผูเดินทางหรือผูปฏิบัติวิปสสนาจะเริ่มมองออกคือ รูวาความคิดและ
ความรูสึกของมนุษยมีลักษณะเปนมายา เกิดขึ้น ตั้งอยู หายไป เหมือนการเกิดขึ้นของรุงกิน
น้ํา พยับแดด และภาพเหมือนในกระจก เหตุผลที่เจอรี่สามารถบังคับใหแมวทอมผูเปน
เจาของบานใจนี้ทําในสิ่งที่ตนเองสั่งโดยเฉพาะเรื่องตามใจกิเลส เปนเพราะเจอรี่มี
ความสามารถในการหลอกลวงแมวทอมนั่นเอง เพราะถูกหลอกจึงยอมทําตาม
ทุกครั้งที่เจอรี่หลอกและสั่งงานแมวทอมไดสําเร็จ จิตกับใจจะถูกดูดติดกันเสมอ
เพราะมีการคิด จึงเกิดผลเปนคําพูดและการกระทําทั้งฝายดีและฝายชั่ว แตเจอรี่อันธพาลมัก
ครอบงําตัวใจของมนุษยมากกวาเจอรี่ที่เปนมิตร เพราะปญหาสังคมลวนเปนผลของความคิด
56
ฝายดําหรือเจอรี่อันธพาลที่เกิดในใจกอน จึงเกิดการกระทําที่สรางความทุกขใหคนหมูมาก
ไดเชนนี้
สิ่งเหลานี้คือสิ่งที่ผูเดินทางกลับบานเดิมไมสามารถเขาใจไดกอนการปฏิบัติสติปฏ
ฐานสี่ แตเมื่อใชตาใจเปน จึงเห็นหมด จึงเขาใจไดถูกตองวา คนหมูมากของสังคมลวนถูก
ความคิดของตนเองหลอกลวงเอาและสูญเสียอิสรภาพทางจิตใจไมทางใดก็ทางหนึ่งทั้งสิ้น
จึงเขาใจตัวเอง เริ่มเห็นตัวจริงของตนเอง เริ่มเขาใจปญหาสังคม เขาใจโลก เขาใจจักรวาล
ที่เราอยู
เดินไปสูทางออก
เมื่อตระหนักชัดถึงผลเสียของสิ่ งที่จิตหรือเจอรี่สามารถทํากับตนเอง(ตัวใจ) แลว ผู
ปฏิบัติก็จะมุงมั่นพาตัวใจกลับบานเสมอ ซึ่งเปนการตอสูกับศัตรูในสนามรบที่ถูกตอง
fighting in the right battlefield เมื่อมีการตอสูห้ําหั่นกับศัตรูหรือเจอรี่ในบานของใจแลว
การเดินทางไปขางหนายอมเกิด ตราบใดที่มีการฝกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบานอยาง
สม่ําเสมอ ทําดวยความอดทน ไมทอถอยแลว ความกาวหนาของการปฏิบัติจะเกิดเองอยาง
เปนธรรมชาติโดยที่เจาตัวอาจจะไมรู เพราะยังมีความทุกขอยู
ผูปฏิบัติจะเริ่มเห็นการกอตัวของความคิดไดชัดเจนขึ้น สามารถหยุดความคิดไมให
หลอกหลอนตนเองไดเร็วขึ้น การควบคุมจิตใจตนเองจึงทําไดดีขึ้น ตอนไหนที่ทําไมไดก็
จะเปนทุกข
การเขาสนามรบห้ําหั่นกับกองทัพของหนูเจอรี่ก็จะเปนไปเชนนี้นานนับป เจอรี่จะเริ่ม
ออนกําลังลง เจอรี่ซึ่งเคยเปนคนบงการใหทอมทํางานรับใชตนอยางหัวปกหัวปานั้นกลับ
กลายเปนสิ่งตรงกันขามเสียแลว ทอมกลับมาเปนผูใชงานเจอรี่แทน ทําใหผูเดินทางมีจิตใจ
มั่นคง มีความสุข สงบ มากขึ้น จิตใจไมขึ้นลงมากเหมือนที่เคยเปน เริ่มรูสึกเปนตัวของ
ตัวเอง สามารถกอบกู “ตัวจริง ๆ ของเรา” หรือ “ความเปนปกติ” ของชีวิต กลับคืนมา เริ่มมี
ความหวังตอชีวิตมากขึ้น
รายละเอียดของหลักนิ้วที่ ๑
เมื่อมีการพาตัวใจกลับบานอยางสม่ําเสมอนานนับป ผูเดินทางก็จะคอย ๆ เดินทาง
มาถึงชวงแรกของหลักนิ้วที่ ๑ ถึงตอนนี้ ตาใจของนักปฏิบัติจะมีความคมชัดมากขึ้นจน
สามารถเห็นปรากฏการณที่เกิดในโลกภายในไดอยางชัดเจน จะเห็นการกอตัวของความ
เปนมายาของความคิดไดชัดมากขึ้น และสามารถทําลายภาพมายาของความคิดไดอยาง
ทันทวงที การทําศึกสงครามกับกองทัพของเจอรี่ก็ยังมีอยู แตอยูในลักษณะที่ไดเปรียบเจอรี่
แลว
เพราะเห็นพิษสงและฤทธิ์เดชของเจอรี่ ผูปฏิบัติจะมีความรูสึกวาอยากจะเอาชนะ
กองทัพของเจอรี่ใหรูแลวรูรอดไปเสียที จะไดยุติสงครามภายในสักที ถึงจุดหนึ่ง ผูปฏิบัติสติ
ปฏฐานสี่จะมีความรูสึกวาอยากหลุดพนใหหมดเรื่องหมดราว จะไดหมดทุกขกันเสียที เพราะ
เบื่อการตอสูเต็มทีแลว อยากเปนฝายชนะสงครามภายในใหรูแลวรูรอด
การปฏิบัติที่ถูกทางในพระพุทธศาสนา ยอมประกอบดวย การมี มรรค ผล นิพพาน ผู
ปฏิบัติถึงจุดนี้จะมีทั้งมรรคและผล มรรคคือการเฝาดูความคิด การพาตัวใจกลับบาน ผลคือ
ความรูสึกที่สุข สงบ เพราะการคลายตัวของความคิดเมื่อตัวใจอยูติดบานหรือฐานของสติ
เชนลมหายใจ การเคลื่อนไหวของกาย แตสิ่งหนึ่งที่ผูปฏิบัติยังรูสึกขาดแคลนอยูคือ พระ
นิพพาน ยังไมรูวาพระนิพพานคืออะไร อยูที่ไหน
ประสบการณภายในเหลานี้คือ สิ่งที่อาจจะเกิดกับบุคคลที่ปฏิบัติสติปฎฐานสี่และ
เดินทางมาถึงชวงแรกของหลักนิ้วที่ ๑
57
เริ่มเดินลงเขา
การเดินทางในชวงหลังของหลักนิ้วที่ ๑ นี้จะเปนการเดินลงเขาแลว หลังจากที่ได
ตอสูกับกองทัพหนูมานานหลายปนั้น เจอรี่เปนฝายพายแพแลว ทอมไดกลายเปนแมทัพผู
ยิ่งใหญ ทําใหกองทัพหนูพายแพอยางยับเยิน หนูเจอรี่เริ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนทันทีที่เห็น
ทอม นี่เปนชวงเวลาที่การปฏิบัติจะเปนอัตโนมัติ สติของผูปฏิบัติจะไวมาก สามารถเห็นการ
เกิดขึ้นตั้งอยูและดับไปของความคิดไดเสมอ สามารถดีดความคิดออกจากใจโดยไมตอง
ตอสูมากนัก เปรียบเหมือนแมวทอมนั่งอยูที่มุมหอง เมื่อเห็นเจอรี่วิ่งเขามาในบานคราใด ก็
ไมตองลุกขึ้นวิ่งใหเหนื่อยเพื่อไปตะปบเจอรี่เหมือนที่ตองทําในอดีตแลว บัดนี้ มี
ความสามารถใหม ๆ คือ สามารถยืดเทาไปตะปบเจอรี่อยางงายดายทั้ง ๆ ที่ยังนั่งเกยคาง
นอนอยูมุมหองอยางผอนคลาย ผูปฏิบัติจะมีสติอยางเปนธรรมชาติ ไมวากําลังทําอะไรอยูใน
ยามตื่น ตัวใจจะมีสติเฝาดูการทํางานของความคิดตลอดเวลา และจะสามารถแยกแยะออก
วา ความคิดไหนควรใชมันและความคิดไหนไมควรเสียเวลากับมันเลย
การเดินทางในชวงหลังนี้จึงเหมือนกับไมมีอะไรตองทํามากแลว เพราะไดทําทุก
อยางที่ตองทํา คือ มีสติอยูกับฐานเสมอ ฉะนั้น จึงเหลือแตการนั่งคอยวันที่จะออกจากทอ
แหงความมืดมนนี้อยางถาวรเทานั้น แตเปนการคอยแบบไมตองคอย ใครที่ทําไดเชนนี้ ก็
เทากับไดมายืนอยูที่สวนหลังสุดของหลักนิ้วที่ ๑ แลว กําลังจะรอออกประตูหนาเพื่อกลับมา
ยืนอยูที่จุด ก อันเปนพรมแดนสุดทายของจักรวาลอยางถาวรเทานั้น
“ยูริกา!”
ในที่สุด เวลาของการรอคอยก็จะมาถึง เมื่อมีการกาวเดินไปขางหนาอยางสม่ําเสมอ
แมจะเชื่องชาเพียงใด ไมเปนไร การถึงจุดหมายปลายทางยอมเกิดเองอยางเปนธรรมชาติ
เหมือนน้ํายอมไหลจากที่สูงลงที่ต่ํา ตะวันยอมเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ผู
ปฏิบัติวิปสสนาจะมีขณะหนึ่งของชีวิตที่คาดไมถึง จู ๆ ตัวใจของผูเดินทางจะหลุดและพน
จากจิตอยางสิ้นเชิง เห็นตนเองถูกดีดกลับออกมายืนที่จุด ก อันเปนพรมแดนสุดทายของ
จักรวาลอยางทันทีทันใด จึงสามารถเห็นทุงโลงที่กวางใหญไพศาล เห็นทองฟาที่ถูกปูดวย
พรมปกดวยกลุมดาวระยิบระยับ จึงรูทันทีวาโลกใหมที่เห็นนี้แตกตางจากโลกเกาที่เพิ่งละ
จากมาอยางเปรียบเทียบกันไมไดเลย โลกเกามืดมิดดวยอวิชชา โลกใหมสวางจาเฉิดฉาย
ดวยแสงแหงปญญา
จากการอานประสบการณของผูมีประสบการณเชนนี้ ทุกคนจะมีปฏิกิริยาที่ เหมือนกัน
คือ ไมเชื่อวาในจักรวาลจะมีสภาวะนี้อยู จึงลวนรองออกมาอยางงงงันเหมือนอารคีมีดีสรอง
วา “ยูริกา” หรือ “ฉันรูแลว” คือ รูวา
๑. สภาวะนี้คือ สัจธรรมอันสูงสุดที่ไมมีอะไรไปเหนือไดอีกแลว
๒. ตัวใจไดเดินทางมาถึงพรมแดนสุดทายของชีวิตแลว ไดพบตัวจริง ๆ ของตนเอง
ที่มีแตความเปนปกติธรรมดา ไมมีอะไรนาตื่นเตน แปลกประหลาด พิสดาร
เหมือนที่เคยคิดไว จึงรูวา คนอื่นคาดการณสภาวะนี้ไวผิดหมดดวยความที่ยัง
ไมไดเดินทางถึงพรมแดนสุดทายของชี วิตดวยตนเอง เหมือนคนที่มีเล็บติดเนื้อ
อยูตลอดชีวิต จะไมมีวันรูจักสภาวะของเล็บที่อยูแยกจากเนื้อ เหมือนคนที่ไม
เคยไปภูกระดึง จะไมสามารถบรรยายความสวยงามของภูกระดึงได ฉันใดก็ฉัน
นั้น
๓. ตนเองไดกลายเปนผูรูตามพระบรมศาสดาแลว
ตองใหปริญญาตัวเอง
58
สัจธรรมอันสูงสุดจะตองเปนความรูที่เด็ดขาดและเบ็ดเสร็จอยูในตัว เปนสภาวะที่มี
คําตอบอยูในตัวมันเอง จึงเปนสัจธรรมสูงสุดได เพราะ เจาของความรูนี้จะถามคนอื่นไมได
แลววาความรูนี้ใชสัจธรรมหรือไม ไมมีคนใหถามแลวนอกจากพระบรมศาสดาซึ่งทานก็ไมได
อยูใหถามได สิ่งที่เหลือใหถามคือ ตัวสัจธรรมเอง ความรูในระดับยูริกานี้จึงตองมีความ
เด็ดขาดและใหคําตอบในตัวมันเองได จึงเปนความรูที่ผูเขาถึงแลวตองออกใบปริญญาให
ตนเอง ตองสามารถรับประกันตัวเองได ไมมีทางอื่น ใครที่เห็นจริงก็จะรูจริงจากสภาวะที่ตน
เห็นอยู ใครที่ยังไมเห็นก็ไมมีคําตอบจากสภาวะที่เด็ดขาด จึงยังรูไมจริงแมจะมีความรูเรื่อง
อื่น ๆ มากมายก็ตาม
คนที่สามารถเดินทางมายืนอยูที่จุด ก ไดอยางถาวรนี้ จําเปนตองรูขอมูลที่สําคัญ
อันยิ่งยวดเหลานี้ จึงจะสามารถเปนผูนําทางใหแกคนเดินทางที่หลงทิศชีวิตทั้งหลายได
เพื่อพาพวกเขากลับบานเดิม หรือ พาคนที่ติดอยูในอุโมงคอันมืดมิดออกมาสูท ุงโลงที่มีแสง
สวางอันเจิดจาของปญญา
ทําไมอัจฉริยบุคคลจึงชอบงานเรียบงาย
หลายปกอน ดิฉันไดมีโอกาสดูสรรคดีเรื่องหนึ่ง เปนการติดตามชีวิตของชายสาม
สี่คน ทุกคนลวนจัดอยูในกลุมที่มีไอคิวระดับสูงมากในวัยเด็ก จึงลวนมีความสามารถพิเศษ
ไมทางใดก็ทางหนึ่ง ในขณะที่สังคมคิดวาเด็ก ๆ ที่ชาญฉลาดในระดับอัจฉริยะเหลานี้จะ
เติบโตขึ้นมาและมีงานที่อยูแวดวงของปญญาชนในสถาบันการศึกษาที่สูงสงนั้น ขอเท็จจริง
กลับกลายเปนวา คนฉลาดมากเหลานี้กลับมายึดอาชีพของชางไมบาง ชางซอมทอประปา
บาง เปนชาวนาที่ใชชีวิตอยางเรียบงายในชนบทบาง หรือเปนพอครัวทําอาหารบาง
ที่จริงแลว นี่มิใชเปนเรื่องแปลกแตอยางใดเลย ขอเปรียบเทียบของทอความคิด
อันเปนภูมิปญญาฝายโลกนี้ จะสามารถอธิบายถึงสาเหตุที่วาทําไมคนในระดับอัจฉริยะ
เหลานี้จึงเลือกที่จะทํางานเรียบงายที่สังคมมักจะใหคุณคาวาเปนงานต่ํา เพราะคนที่มีไอคิว
สูงเหลานี้รูขอเท็จจริงวา เมื่อประตูแหงความรูหนึ่งเปดออกนั้น มันเพียงเปดใหเรากาวไปสู
อีกประตูหนึ่งที่อยูถัดไปเทานั้นเอง และก็เปนเชนนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เปนเรื่องการขบคิด
แกปญหาดวยวิธีการของสมองแลวไซร การแกปญหาที่แทจริงจะไมเกิด ไอนสไตนพูดเอง
วา
“เราตองไมบูชาภูมิปญญาฝายโลกเหมือนมันเปนพระเจา เพราะมันเหมือน
กลามเนื้อที่แข็งแรง แตขาดบุคลิกที่ดี”
คนที่มีไอคิวยิ่งสูงจนถึงระดับอัจฉริยะนั้นจึงเปรียบเหมือนเขาไดเดินเขาไปถึงสุด
ทอของความคิดและเห็นกําแพงกอนคนอื่น เมื่อไดพบทางตันของความคิดแลว ยอมเปน
ธรรมชาติอยูเองที่จะตองเดินเลี้ยวกลับมาตามทอเพื่อออกมายืน ณ จุด ก อีก จึงเลือกใช
ชีวิตที่เรียบงาย ไมตองคิดซับซอนมาก ซึ่งมีความเอร็ดอรอยมากกวาการใชพลังอํานาจของ
สมอง ไอนสไตนเปนคนพูดเองวา
“ถาผมสามารถเลือกใชชีวิตไดอีก คราวนี้ผมจะเลือกเปนนายชางซอมทอประปา”
“โตะหนึ่งตัว เกาอี้หนึ่งตัว ผลไมหนึ่งถาด และไวโอลินหนึ่งตัว จะมีอะไรอีกเลาที่จะ
สามารถทําใหชายคนหนึ่งมีความสุขมากกวานี้ ”
คนที่เปนอัจฉริยะเทานั้นจึงจะเขาใจผูที่เปนอัจฉริยะดวยกันได It takes a
genius to understand a genius. นี่แหละคือ เหตุผลที่วาทําไม คนที่มีไอคิวสูงมากเหลานี้
จึงกลับมายึดอาชีพธรรมดา ๆ ที่ไมมีอะไรตื่นเตนเชนนั้น
สรุป
59
คุณคงเห็นแลววา หากไมมีความรูในขั้นแตกหักที่บอกชัดเจนวานี่คือ พรมแดน
สุดทาย หรือ สัจธรรมอันสูงสุด แลว การนําทางที่ถูกตองยอมไมมี การเดินทางเพื่อใหถึง
เปาหมายปลายทางของชีวิตที่แทจริงยอมไมเกิด ความรูทุกอยางจะเปนการรูอยางสัมพัทธ
เปนความรูที่เดินกลับไปมาอยูในอุโมงคเทานั้น ไมมีการรูอะไรที่จริงแทเลย
แลวคุณละ พรอมที่จะเดินวกกลับออกจากทอความคิดอันตีบตันเพื่อคนหาความปกติ
ของชีวิตดวยตนเองแลวหรือยัง
60
บทที่หก
ที่นี่ เดี๋ยวนี้
Here and Now
ในหาบทแรก ดิฉันไดพยายามบอกคุณวา จุดคงที่ของจักรวาลหรือสัจธรรมอันสูงสุด
ในธรรมชาตินั้นมีอยูอยางแนนอน ในบทนี้ ดิฉันจะโยงสัจธรรมอันสูงสุดใหเขาหาเรื่องเวลา
เพื่อใหคุณเห็นอยางชัดเจนวา การที่ใครสักคนหนึ่งตองการเขาถึงสัจธรรมนั้นจะตองทําอะไร
อยางไร ซึ่งเปนมุมมองที่ดิฉันสามารถอธิบายอุดมคติที่สูงสุดของศาสนาเชน พระนิพพาน
พระเจา ใหเปนวิทยาศาสตรมากที่สุด เพราะเรื่องเวลา เชน อดีต อนาคต ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปน
เรื่องกลาง ๆ ที่เปนสากล นี่เปนมุมมองที่ปญญาชนผูไมสนใจศาสนธรรมเลย ก็สามารถ
เขาใจและเห็นตามไดไมยากนัก พรอมกันนั้น คุณก็จะไดเห็นความสําคัญของการปฏิบัติสติ
ปฏฐานสี่วา มันจะชวยใหคุณเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดนี้ไดอยางไร ซึ่งเรื่องการพาตัวใจกลับ
บานนี้ เปนเรื่องที่ดิฉันไดเนนมาตลอดในหนังสือเลมนี้
เนื่องจากดิฉันไดเขียนบทนี้ในรูปของจดหมายที่ดิฉันตอบใหแกลูกศิษยชาวคามารู
นคนหนึ่งและมอบใหลูกศิษยทุกคนเปนของขวัญปใหม ดิฉันจึงยังอยากคงรูปแบบของ
จดหมายไวเชนเดิม
เมืองยาอุนเด
ประเทศคามารูน
1 มกราคม 2004
สวัสดีครับอาจารยศุภวรรณ
61
“มีสิ่งเดียวเทานั้นที่เราตองทําใหกับตัวเองเสมอ นั่นคือ การพาตัวใจของเรา
กลับบานที่หนึ่งโดยการเฝาดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้”
ผมรูสึกวาผมไดพัฒนาความสามารถที่จะอานเรื่องราวของอนาคตไดบางซึ่งชวยผม
ไดมากทีเดียว การรับผัสสะของผมชัดเจนมากขึ้น และผมรูสึกวาผมสามารถรูวาบางสิ่ง
บางอยางกําลังจะเกิดขึ้น ซึ่งบางอยางก็เกิดขึ้นจริงอันมีผลกระทบถึงผมไมทางใดก็ทางหนึ่ง
ครับ
ผมไดพยายามทําใจของผมเปนปกติโดยการพาตัวใจกลับบานเสมอ แตผมตอง
ยอมรับครับวาเจอรี่แข็งแรงและมีเลหเหลี่ยมมากเหลือเกิน จนผมสงสัยวาเมื่อไหรเจอรี่จึงจะ
เลิกราและปลอยใหทอมอยูอยางเปนสุขเสียบาง (ยิ้ม)
ขอใหอาจารยมีความสุขในวันปใหมครับ กรุณาสงความระลึกถึงใหครอบครัวของ
อาจารยดวยครับ
ดวยความเคารพอยางสูง
มาซง
2 มกราคม 2004
สวัสดีปใหมคะ มาซง
ขอบคุณมากคะสําหรับจดหมายของคุณ ดิฉันรูสึกดีใจมากคะที่คุณสามารถจับ
หลักการปฏิบัติสติปฏฐานสี่ไดดีทีเดียว สิ่งที่คุณไดอธิบายในอีเมลของคุณนั้ นคือเปาหมายที่
ดิฉันตองการใหลก ู ศิษยของดิฉันทุกคนทําได คุณคงเห็นดวยตนเองแลววา คราใดที่คุณพา
ตัวใจกลับบานไดนั้น คุณก็เห็นผลของมันทันที คุณมีความสุขทันที โดยไมตองรอนานเลย
จริงไม
ที่จริงแลว ขบวนการปฏิบัติสติปฏฐานตั้งแตการปลอยวางความคิดและพาตัวใจ
กลับมาอยูกับของจริง ๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั้นเปนเรื่องยากมากสําหรับทุกคน แตก็เปนเพียงชวง
ตน ๆ ของการฝกทักษะเทานั้น คนที่มีความเพียร พยายาม ขยันฝกแลวละก็ ทักษะของเขา
จะเกงขึ้น และจะไดนิสัยที่ดีที่สุดไปอยางหนึ่ง คือ นิสัยแหงใจที่ยอมอยูติดบาน (มีสติอยูกับ
ฐาน) เมื่อนั้น เจาของชีวิตก็จะไดรับการคุมครองจากนิสัยใหมหรือทักษะใหมของตนเอง จึง
กลายเปนคนโชคดีที่สุดในโลกไปอีกคนหนึ่ง พูดโดยเปรียบเทียบแลว ใครที่พาตัวใจกลับ
บานได ในชวงขณะนั้น ก็เปรียบเหมือนคน ๆ นั้นไดกาวยางเขาไปในดินแดนของพระเจา
แลว ถึงแมจะเปนชวงเวลาสั้น ๆ มันก็ยังดีกวาไมไดทําเลย นี่คือความโชคดีและร่ํารวยอยาง
มากมายมหาศาล ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได การอยูในหองที่สวางแมเพียงชั่วอึดใจ
เดียวก็ยังดีกวาการอยูในหองมืดถึงลานป ดิฉันเชื่อเชนนั้นนะ
62
ดิฉันอยากจะถือโอกาสนี้อธิบายใหคุณทราบวา ทําไมคุณจึงรูสึกเปนสุขมากเมื่อมี
โอกาสพาตัวใจกลับมาอยูกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ คุณจําเรื่องรถไฟสองขบวนที่วิ่งดวยความเร็ว
เทากัน ที่ไอนสไตนพูดถึงเมื่อเขาพยายามอธิบายเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพไดหรือไม เรื่อง
รถไฟสองขบวนวิ่งในระดับเดียวกันนี้ เปนเรื่องที่ดิฉันเรียนจากคุณครูสอนวิทยาศาสตรตั้งแต
สมัยที่ดิฉันเรียนอยูชั้นมัธยมปลายแลว ซึ่งดิฉันก็ไมเคยคิดถึงมันอีกเลยจนกระทั่งในชวงสี่
ห าปใหหลังนี้ ดิฉันเริ่มคิดถึงมัน
บอยขึ้น ตอนนั้นก็ไมรูวาทําไม รูแตวาอยากจะนําเรื่องนี้มา
เชื่อมโยงกับงานเขียนของดิฉันไมทางใดก็ทางหนึ่ง แตก็ไมสามารถทําไดสักที
คําใหญ ๆ
หากคุณไดอานหนังสือของดิฉันทุกเลมแลวละก็ คุณคงตองทราบแลววา สิ่งที่ดิฉัน
เรียกวา “คําใหญ ๆ” นั้น ดิฉันหมายถึง พระนิพพาน พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต ชีวิตอมตะ
สัจธรรมอันสูงสุด ซึ่งดิฉันไดตั้งคําศัพทของตนเองขึ้นใหมวา ผัสสะบริสุทธิ์ ซึ่งคําเหลานี้
ลวนเปนสภาวะเดียวกับ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ดิฉันมักจะเลี่ยงคําใหญ ๆ ที่อิงศาสนาเหลานั้นเสมอ
และใชคําวา ผัสสะบริสุทธิ์ แทน แตดวยขอเปรียบเทียบที่จะนําเสนอนี้ ดิฉันจะสามารถนําคํา
ใหญ ๆ เหลานี้มาพูดประสานกันไดอยางสอดคลองกับ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งไมไดเปนคําที่เนื่อง
กับศาสนาแตอยางใด เปนคําที่มนุษยทุกคนบนโลกนี้สามารถเชื่อมโยงไดงาย ๆ
ผูรู องคประกอบที่ขาดไมได
เพื่อชวยใหคุณสามารถไปถึงเปาหมายปลายทางของชีวิตไดเร็วขึ้น ดิฉันจะเริ่มตน
ดวยการอธิบายเรื่อง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ วามันมีหนาตาอยางไรเสียกอน
คุณอาจจะคิดวานั่นเปนคําพูดที่แสนประหลาดและเปนสิ่งที่คุณไมเคยคิดมากอน
ทําไมจึงตองรูจักหนาตาของที่นี่ เดี๋ยวนี้ ดวย และจะรูจักมันไดหรือ เพราะมันเกี่ยวของกับ
เรื่องเวลาซึ่งไมนาจะมีรูปรางหนาตา ตรงนี้ละคะ คือเหตุผลที่คนไมรูจักพระเจากับพระ
นิพพาน เพราะเขาไมรูจักหนาตาของ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปรียบเหมือนวา คุณตองการมาหาบาน
หลังหนึ่ง แตคุณกลับไม รูวาบานหลังนั้นมีหนาตาอยางไรบานเลขที่เทาไร ถนนไหน เมือง
ไหน ประเทศไหน เมื่อคุณไมมีขอมูลพื้นฐานเหลานี้ แลวคุณจะไปหาบานหลังนั้นพบได
อยางไร ยอมเปนไปไมไดแนนอน โดยเฉพาะอยางยิ่ง นี่เปนเรื่องนามธรรม เรื่องของชีวิต
จิตใจ จึงยากมากขึ้นหลายเทาตัว จําเปนอยางยิ่งที่ตองมีผูรูนําทาง เพราะผูรูจริงจะรูจัก
หนาตาของพระนิพพานหรือพระเจา จึงสามารถบอกทางคุณได หรือ บอกใหคุณมองหาบาน
ที่มีลักษณะเชนนี้ ๆ
1
หลังจากที่คิดเรื่องนี้ออกครั้งแรกในชวงเวลานั้นแลว ดิฉันก็ไดพยายามพัฒนาความคิดนี้มาโดยตลอดเพื่อทําใหมันชัดเจนมากขึ้นเสมอ การมาเขียนบทนี้เปน
ภาษาไทยโดยคิดวาจะแปลจากฉบับภาษาอังกฤษนั้น ดิฉันก็พบวา ความคิดของดิฉันไดเปลี่ยนไปอีก สามารถพูดใหชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น การอธิบายเรื่องรถไฟ
สองขบวนเพื่อใหคนเขาถึงพระนิพพานจึงมีรายละเอียดมากกวาภาษาอังกฤษฉบับดั้งเดิม คุณสามารถอานการอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมไดในหนังสืออวดอุตริมนุสธรรมที่
มีในตน หนา ๔๓๖-๔๓๘
63
ในกรณีของคุณซึ่งเปนชาวคริสต และ รักพระเจามาก หากคุณตองการไปใหถึง
ดินแดนของพระเจาละก็ แนนอน คุณจําเปนตองมีขอมูลหลัก ๆ วา อาณาจักรของพระเจาอยู
ที่ไหนเสียกอน มีหนาตาอยางไร นี่ก็เปนสิ่งที่ชาวพุทธอยางดิฉันตองทราบเชนกันวาพระ
นิพพานอยูที่ไหนและมีหนาตาอยางไรเสียกอน จึงไปหาถูก มิเชนนั้นแลว คุณในฐานะผู
เดินทางจะเริ่มตนไมถูกเลย ซึ่งคุณยอมเห็นแลววา ผูนําทางที่รูทางจริง ๆ หรือ ผูรู หรือ ไกด
ของชีวิตนี่เปนองคประกอบที่สําคัญมากที่สุดที่จะชวยใหผูเดินทางชีวิตทั้งหลายไปถึง
เปาหมายปลายทางของชีวิตได หากไมมีบุคคลเหลานี้มาชวยนําทางใหเราแลว การเดินทาง
ยอมไมเกิด ชาวคริสตก็มีพระคริสตเปนผูนําทางชีวิต ชาวพุทธก็มีพระพุทธเจาเปนผูนําทาง
ชาวอิสลามก็มีพระอัลเลาะหเปนผูนําทาง เปนตน
เขาถึงสัจธรรมในฐานะที่เปนที่นี่ เดี๋ยวนี้3
ถาคุณเคยนั่งรถไฟแลว คุณจะรูวาหากรถไฟสองขบวนสามารถวิ่งดวยความเร็ว
พรอมกันแลว คนที่นั่งอยูริมหนาตางของรถไฟที่หันหนาเขาหากันนั้นจะไมรูวาตนเองกําลัง
เคลื่อนที่อยู หากไมมองไปที่เสาไฟฟาขางทาง ตองสมมุติตอเสียหนอยวา รถไฟคันที่เรานั่ง
อยูนั้นสามารถวิ่งไดราบเรียบโดยไมมีการสั่นสะเทือนใด ๆ เลย แมน้ําในแกวก็ไมกระเพื่อม
แมแตนอยนิด เมื่อดิฉันเปนเด็ก ๆ ดิฉันมักตองขึ้นรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลําโพงไปหา
คุณพอที่ลพบุรเี มื่อปดเทอม จึงสังเกตเห็นขอเท็จจริงนี้ เมื่อมาเรียนเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพ
อยางยอ ๆ คุณครูชั้นมัธยมพูดเรื่องรถไฟสองขบวน จึงเขาใจไดทันทีเพราะมีประสบการณ
มากอน
2
ความคิดเรื่องเวลา และการเคลื่อนไปอยางคงที่ สม่ําเสมอ ไมเปลี่ยนแปลง ที่จริงแลว เปนความคิดของ ไอแซค นิวตัน เอกภพในสํานัก
นิวตันนั้นเห็นวา เวลาเคลื่อนไหลไปในอัตราคงที่ ไมผันแปร และจะเปนเชนนี้ ตลอดกาล ซึ่งเขาใจไดงายกวาการมองเอกภพและเวลาของ
ไอนสไตนที่เห็นอวกาศและเวลายืดหดได หลักการเรื่องเวลาของนิวตันจึงเปนสิ่งที่ดิฉันพูดถึงในบทนี้ สวนเรื่องจุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุด
ของเวลาเปนคําถามประเภทอจินไตย ไมจําเปนตองรู
3
อานบทที่สาม เรื่อง พระนิพพานอยูที่ไหน และ บทที่สี่ เรื่อง สัจธรรมอันสูงสุดอยูที่ไหน ในหนังสือเรื่อง ใบไมกํามือเดียว เขียนโดย ศุภวรรณ กรีน
64
สิ่งที่ดิฉันตองการเปรียบเทียบคือ จะสมมุติใหรถไฟขบวนแรกเปนเวลาปจจุบันจริง ๆ
หรือ “รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้” สวนรถไฟขบวนที่สองที่จะเดินขนานกับรถไฟขบวนแรกคือตัว
เรา ตัวมนุษยแตละคนที่มีจิตใจ หรือ มีความคิด ความจํา ความรูสึก รถไฟขบวนที่สองนี้
ดิฉันจะเรียกมันวา “รถไฟขบวนชีวิต” เพราะเปนสิ่งเปรียบเทียบกับชีวิตของมนุษยทุกคน
เปาหมายที่เราตองการบรรลุคือ เราในฐานะที่เปนรถไฟขบวนชีวิตนี้ จะตองสามารถ
ขับรถไฟของเราเพื่อวิ่งใหไดระดับเดียวกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ที่วิ่งดวยความเร็วคงที่
อยางสม่ําเสมอ วิ่งไปเรื่อย ๆ ของมันอยูเชนนั้นอยางไมเคยหยุดยั้งเหมือนเข็มวินาทีของ
นาฬิกาที่กวาดไปเรื่อย เมื่อรถไฟสองขบวนนี้สามารถวิ่งไดระดับเดียวกันแลวละก็ คาคงที่
ระหวางขบวนจะเกิดขึ้นทันที โดยที่ตัวเราจะสามารถประกบ เดินเคียงขางกับที่นี่ เดี๋ยวนีไ้ ด
ทันที หรือสามารถอธิบายไดเชนกันวา ในขณะนั้น ๆ ตัวเราไดกลายเปนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตัวเรา
ไดกลายเปนปจจุบันขณะแลว และหากที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ สัจธรรมอันสูงสุด ยอมหมายความวา
ตัวเราไดเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดในลักษณะเชนนี้
วาดภาพใหผูอานเห็นพระเจากําลังหยิบยื่นผลไมแหงชีวิตใหกับคน ๆ หนึ่งในรถไฟขบวน
ชีวิต
65
หากรถไฟขบวนแรกเปนการใชชีวิตอยางเปนอมตะ หรือ การเขาถึงสภาวะของ เตา
การสามารถขับรถไฟขบวนชีวิตใหขนานกับขบวนแรกได เมื่อนั้น คุณก็กําลังใชชีวิตอยาง
เปนอมตะแลว หรือ เขาถึงสภาวะของเตาแลว
โดยใชการเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนที่วิ่งขนานกันเชนนี้ คุณจะเห็นภาพพจน
ไดชัดเจนมากขึ้นวา สภาวะสัจธรรมอันสูงสุดไมไดเปนสภาวะที่อยูนิ่ง ๆ ไมเดินเหินแตอยาง
ใด เพราะอยางที่ไอนสไตนไดพูดแลววา ทุกสิ่งทุกอยางในเอกภพทั้งหมดนี้กําลังเคลื่อนอยู
อยางไมหยุดยั้ง รวมทั้งเวลา นี่จึงเปนความยากของการเขาถึงสัจธรรมในขั้นสูงสุด เพราะ
มันไมไดอยูนิ่ง ๆ ใหเราจับจองได แตะตองไดเหมือนวัตถุที่จับมาวางใหมันอยูนิ่งเฉยได
ฉะนั้น การเขาถึงสัจธรรมสูงสุด เขาถึงพระเจา เขาถึงนิพพาน เขาถึงชีวิตอมตะ จําเปนตอง
ทําใหมันเกิดขึ้นดวยวิธีการของการขับรถไฟชีวิตใหวิ่งทันกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไมใช
ทันเทานั้น ตองอยูในลักษณะที่มีความเร็วเทากันอยางสนิท ไมเหลื่อมล้ํา หรือตางระดับกัน
แมแตนอยนิด เพราะหากพระเจากําลังหยิบยื่นผลไมแหงชีวิตใหคุณละก็ คุณขับรถไฟ
เหลื่อมล้ําไปเพียงนิดเดียวเทานั้น คุณก็ควาผลไมนั้นไมไดแลว จึงตองใหพอดิบพอดีจริง ๆ
พอทําไดแลวละก็ เมื่อนั้น เราในฐานะปจเจกชนจะเขาถึงสัจธรรม เขาถึงพระเจา พระ
นิพพาน ที่นําความสุขอันเปนอมตะใหเราไดทันที
ความคิดเปนตัวแปร
หากเรากําลังพูดถึงรถไฟสองขบวนจริง ๆ แลว ยอมไมมีปญหา เพราะไมใชเรื่องยาก
ที่จะทําใหรถไฟสองขบวนวิ่งในระดับเดียวกัน ปญหาอยูตรงที่วา เรื่ องรถไฟนี้เปนเพียงสิ่ง
เปรียบเทียบเทานั้น รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไมมีปญหา เพราะมันวิ่งของมันเองอยูเชนนั้น
อยางสม่ําเสมอ ไมชา ไมเร็ว รักษาระดับอยางคงที่มาโดยตลอด ตั้งแตเมื่อไรจนถึงเมื่อไร
ไมตองถาม จึงเปนปจจัยคงที่ ไมเปลี่ยนแปลง เปนอนันตกาล ปญหาอยูที่รถไฟขบวนชีวิต
คือ มนุษยปจเจกชนคนหนึ่ง ๆ ที่มีความคิด ความจํา กับความรูสึก หรื อ มีเจอรี่อยูในหัวในใจ
ทั้งสิ้น เจอรี่นี้แหละที่จะสรางปญหาทําใหรถไฟชีวิตวิ่งชาหรือเร็วกวาขบวนแรกเสมอ และ
อยางที่คุณบอกนั่นแหละ คุณไดรูฤทธิ์ของเจอรี่แลววามันมีเลหเหลี่ยมแพรวพราวมากแค
ไหน
ความคิดคือกลองเวลาของอดีตและอนาคต
66
เพื่อการเขาใจอยางรวบรัด ดิฉันอยากใหคุณเขาใจวา ทุกครั้งที่คุณคิด แมคุณจะ
กําลังคิดเรื่องกลาง ๆ ของปจจุบันอยูแท ๆ ก็ตาม ขอใหคุณเชื่อดิฉันวา ในขณะนั้น ๆ คุณ
กําลังติดอยูในกลองเวลาของอดีตและอนาคตแลวโดยไมมีทางเลือก เชน คุณมองไปที่
กําแพงขางหนาคุณที่ทาสีเขียว และคุณก็คิดโดยการพูดดัง ๆ ในหัววา “กําแพงสีเขียว”
เทานั้นแหละ ฟงดูแลว ไมเห็นนาจะเปนอดีตหรืออนาคต แตที่จริง เปนแลวคะ คุณ ไดติดอยู
ในกลองเวลาของอดีตแลว เพราะอะไร เพราะคําวา กําแพง กับ สีเขียว ลวนเปนความรูที่
คุณไดจํามาจากอดีต จริงหรือไม คุณมองสิ่งกอสรางสี่เหลี่ยมที่อยูเบื้องหนา คุณจําไดวา
ของหนาตาอยางนี้เรียกวา กําแพง เมื่อคุณเห็นสี คุณก็จําไดวา สีเชนนี้เขาเรียก สีเขียว4
ความคิดทําใหรถไฟสองขบวนวิ่งตางระดับกัน
เมื่อนําเรื่องกลองเวลาของอดีตและอนาคตมาเปรียบเทียบกับรถไฟสองขบวนนี้แลว
ยอมหมายความวา ทุกครั้งที่คุณกําลังคิดถึงอดีตนั้น รถไฟชีวิตจะเดินชากวารถไฟขบวนที่นี่
เดี๋ยวนี้ และเมื่อใดที่คุณกําลังคิดถึงเรื่องราวของอนาคตแลวละก็ คุณก็กําลังนั่งอยูในกลอง
เวลาของอนาคต จึงทําใหรถไฟชีวิตวิ่งขึ้นหนา เร็วกวารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไปทันที
ฉะนั้น จึงขอใหเขาใจเชนนี้วา ทุกครั้งที่คุณคิดเทานั้นแหละ คุณก็ไดเขาไปนั่งใน
กลองของเวลาที่เปนอดีตหรืออนาคตแลวทันที คุณจึงไมสามารถขับรถไฟชีวิตใหไดระดับ
เดียวกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ รถไฟของคุณถาไมวิ่งชาเกินไป ก็วิ่งเร็วเกินไป จึงใชไมได
หากใหรถไฟขบวนแรกเปนพระเจาหรือพระนิพพาน คุณก็พลาดที่จะเห็นหนาพระเจา
หรือพระนิพพานอยางเต็มที่ พลาดโอกาสที่จะอยูกับพระเจาหรือพระนิพพาน เพราะคุณวิ่ง
ไมไดระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจาหรือขบวนพระนิพพาน
4
ในบทที่สองของหนังสือเลมนี้ ดิฉันเคยบอกคุณ แลววา ความจํา หรือ สัญญาขันธ คือ ความคิดทุกอยางที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตทั้งสิ้น
67
วาดรูปรถไฟขบวนที่นี่เดี๋ยวนี้ใหอยูซายมือ สวนขบวนชีวิตที่ อยูขวามือนั้นใหวาดเหลื่อมไป
ดานหลัง มีคนหนึ่งคนนั่งอยูที่ริมหนาตางทั้งสองขบวน เขียนลูกศรขวาง <------ ที่อยู
ระหวางกลาง เขียนใตภาพวา “เมื่อเจาของชีวิตติดอยูในความคิดของอดีต รถไฟขบวนชีวิต
จะเดินชากวารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทําใหคาคงที่ของจักรวาลหายไป จึงไมไดใชชีวิตอยู
กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ จึงไมเห็นหนาพระเจา จึงไมรูจักพระนิพพาน”
หากใหรถไฟขบวนแรกเปนพระเจาผูกําลังหยิบยื่นผลไมแหงชีวิตใหคุณ และคุณติด
ความคิดของอดีตอยู คุณก็ไมสามารถรับผลไมชีวิตจากพระหัตถของทานได เพราะวิ่งไมทัน
ทาน จึงพลาดโอกาสรับประทานผลไมแหงชีวิต
วาดรูปของพระเจาหยิบยื่นผลไมชีวิตใหในรถไฟขบวนหนึ่ง และรถไฟชีวิตอยูเยื้อง
ไปดานหลัง เขียนใตภาพวา เมื่อติดความคิดของอดีต ก็ไมสามารถรับผลไมแหงชีวิตจาก
พระหัตถของพระเจาได
68
ฉะนั้น ดิฉันจะสรุปใหคุณเห็นอยางชัดเจนในรูปของสมการ ดังนี้
สัจธรรมไมสามารถเขาถึงไดดวยการคิด
การเปรียบเทียบดวยรถไฟสองขบวนเชนนี้จะสามารถทําใหคุณเห็นไดชัดเจนวา
ประสบการณของพระเจาและพระนิพพานนั้นไมใชเปนเรื่องของการจินตนาการดวยความคิ ด
นึกแตอยางใด แตเปนเรื่องการมีประสบการณ เปนเรื่องการใชอายตนะของเราเขาไปสัมผัส
ไปดู ฟง ดมกลิ่น ลิ้นชิมรส และสัมผัสกับตัวพระเจา ตัวพระนิพพาน หรือตัวสัจธรรมอยาง
แทจริง ซึ่งเปรียบเทียบไดกับลักษณะของการขับรถไฟขบวนหนึ่งใหไดระดับขนานกับรถไฟ
อีกขบวนหนึ่ง จึงจะเห็นหนาซึ่งกันและกันไดอยางชัดเจนเหมือนเปนคน ๆ เดียวกันดวยซ้ํา
นี่จึงเปนวิธีการเขาถึงปรากฏการณหนึ่งในธรรมชาติที่เปนสัจธรรม เปนความจริงในขั้น
อันติมะที่ไมมีอะไรอื่นไปเหนือมันไดอีกแลว
สัจธรรมเปรียบเทียบไดกับการเกิดขึ้นของ “ตัก”
ขอเปรียบเทียบอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถอธิบายการเกิดขึ้นของสภาวะสัจธรรม คือ
เหมือนการทําใหเกิดสภาวะของ “ตัก” ที่เกิดไดเมื่อนั่งลง และสามารถเอาของมาวางลง
หรือใหลูกหลานตัวเล็ก ๆ ไดนั่งเลน สภาวะตักนี้จะไมเกิด หากคนไมยอมนั่ง แตพอนั่งลงปุบ
ตักเกิดทันที การเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดจึงเหมือนการเกิดขึ้นของตัก ไมใชเปนเรื่องของการ
อานหนังสือใหรูวามีสภาวะตักเมื่อนั่งลง แตเปนเรื่องการทําสภาวะตักใหเกิดขึ้น ซึ่งแตกตาง
กันมาก ตอใหคุณรูวาตักเปนอยางไร เกิดไดอยางไรจากตํารับตํารา แตหากคุณไมยอมนั่ง
ตักก็จะไมมีวันเกิดขึ้นกับคุณ หากคุณเอาแตอานหนังสือที่เกี่ยวกับพระเจาหรือพระนิพพาน
แตไมยอมทําใหมันเกิดเปนจริงขึ้นมา คุณก็ไดแตตัวหนังสือ ไมมีวันไดของจริงแนนอน
จําเปนตองขอความชวยเหลือจากพระพุทธเจา
ฉะนั้น คุณจะเห็นไดวา ตัวปญหาใหญในที่นี้คือ ความคิด ที่ทําใหผูขับรถไฟชีวิตติด
อยูในกลองเวลาของอดีตและอนาคต จึงทําใหรถไฟชีวิตวิ่งไมไดระดับเดียวกับรถไฟพระเจา
หรือพระนิพพาน ตรงนี้แหละ มนุษยทุกคนจําเปนตองพึ่งพาความรูของพระพุทธเจา แลว
เพราะจู ๆ จะบอกใหคนไมคิด ไมจํา ไมรูสึก นั้น ยอมเปนไปไมได จําเปนตองทําอยางมี
หลักการ จําเปนตองมีผูรูจริงมาบอกให และพระพุทธเจาก็เปนมนุษยผูรูจริงทานแรกในโลก
69
ที่สามารถบอกเพื่อนมนุษยดวยกันไดวา จะทําอยางไรจึงจะทําใหความคิดหลุดออกและวาง
จากหัวของเราได เพื่อวาในขณะนั้น ๆ เราจะไดนํารถไฟชีวิตวิ่งไปใหไดระดับเดียวกับรถไฟ
ขบวนพระเจาหรือพระนิพพาน
สติปฏฐานสี่คือคําตอบ
วิธีการที่จะทําใจของเราใหวางจากความคิด ความจํา และความรูสึก ก็โดยการฝกสติ
ปฏฐานสี่ หรือ วิปสสนา ซึ่งภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับบาน Bringing your
mental self back home. ทุกครั้งที่ผูฝกสติปฏฐานสามารถพาตัวใจกลับบานหลังใดหลัง
หนึ่งในสี่บาน (สี่ฐาน) ไดแลว เมื่อนั้น ความคิด ความจํา ความรูสึก ซึ่งเปนกลองเวลาของ
อดีตและอนาคตก็จะหลุดลุยออกจากหัวของเรา ทําใหตัวใจของเราวางจากจิตหรือความคิด
หรือเจอรี่ จึงทําใหเราสามารถมายืนอยูตอหนาพระนิพพาน หรือ พระเจา หรือ สัจธรรมอัน
สูงสุดไดทันที รถไฟทั้งสองขบวนจึงสามารถวิ่งไดในระดับเดียวกันดวยวิธีการฝกวิปสสนา
หรือพาตัวใจกลับบานนี่เอง
โดยเฉพาะอยางยิ่ง หากผูปฏิบัติสามารถเขาบานที่สี่ไดแลว บานทั้งสี่หลังจะถูกทํา
ใหทะลุเปนบานหลังใหญมากหลังเดียวเทานั้น แตหลังเดียวนี้จะมีความใหญโต
ครอบจักรวาลเลยทีเดียว ผูปฏิบัติจะเกิดปญญาเขาใจชีวิตของตนเองอันเนื่องกับจักรวาลที่
ตนอยู การจะเขาบานหลังใหญหลังเดียวนี้ได คือ การปฏิบัติสติปฏฐานจนสามารถเขาบาน
ที่สี่หรือรับ “ผัสสะอยางบริสุทธิ์” ไดนั่นเอง
ใคร ๆ ก็คิดออกได
ดิฉันมีลูกศิษยชายคนหนึ่งชื่อจามาล เปนลูกครึ่งอังกฤษกับอิหรานและนับถือ
ศาสนาอิสลาม เปนชายหนุมหนาตาหลอเหลามีลักษณะของความเปนปญญาชนเต็มตัว
เรียนคณะวิศวกรรมศาสตร คุณพอเปนนักการเมือง จึงไมเชื่ออะไรงาย ๆ วันหนึ่งดิฉันได
อธิบายเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในลักษณะที่ดิฉันอธิบายในจดหมายนี้แหละ ดิฉันสังเกตไดวา หนุม
จามาลฟงอยางตั้งอกตั้งใจมากกวาใคร มีการพยักหนาแบบเห็นดวยอยูบอยครั้ง พอจบ
ชั่วโมง จามาลเขามาหาดิฉันและพูดอยางตื่นเตนวา
“คุณซูครับ ผมขออนุญาตคุยกับคุณสักครูไดไหมครับ ผมตองการใหคุณดูอะไรสัก
อยางหนึ่ง ผมตื่นเตนและดีใจมากที่สุดในสิ่งที่คุณไดพูดไปในชั่วโมงนี้ คุณไดใหคําตอบใน
สิ่งที่ผมตองการรูมานานแลว ผมตื่นเตนจนบอกไมถูกแลวครับนี่”
จามาลไดนํากระดาษขาวแผนหนึ่งออกจากกระเปาของเขา เมื่อคลี่ออก ก็เปนแผน
ใหญพอสมควร มีการขีดเขียนอะไรมากมาย ในทามกลางตัวหนังสือและภาพเหลานั้นก็มี
หนังสือตัวใหญ ๆ อยูตรงกลางแผนกระดาษที่ถูกขีดเสนใตสองเสนและกํากับดวยดาวใหญ
ๆ ทั้งสองดาน คํา ๆ นั้นคือ Here and Now หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้
และแลว จามาลก็เลาอยางตื่นเตนวา เมื่อสุดสัปดาหที่ผานมานี่เอง เขาไปเที่ยวที่
เวลสซึ่งมีภูเขามากมาย ไปคนเดียว วันที่เขาขีดเขียนสิ่งเหลานี้คือวันที่เขามานั่งอยูบนยอด
เขาลูกหนึ่ง จึงใชเวลาคิดถึงเรื่องราวอันเปนแกนสารของชีวิต นั่นเปนเทอมแรกที่จามาลมา
เรียนกับดิฉันและชั่วโมงนั้นคงจะเปนชั่วโมงที่ ๗ หรือ ๘ ของเทอมแลว คงจะไดรับอิทธิพล
จากสิ่งที่ดิฉันพูดไปแลวบาง
จามาลบอกวา เขาคิดไดถึงจุดที่เขาสรุปกับตัวเองวา แกนสารของชีวิตนาจะอยูที่
ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เขาจึ งขีดเสนใต กากบาทไวชัดเจนเชนนั้น แตเขาไมสามารถคิดตอไดวามันคือ
อะไร อยางไร จนกระทั่งดิฉันมาพูดเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในชั่วโมงนั้น เขาจึงตื่นเตนมาก บอกวา
อกแทบจะระเบิด และกลาวขอบคุณดิฉัน บอกวา ไมเคยคิดฝนเลยวาจะมีใครที่สามารถให
คําตอบในเรื่องที่เขาตองการไดชัดเจนเชนนี้ ดิฉันมีนักศึกษาชาวมุสลิมอยูหลายคน แตจา
70
มาลเปนนักศึกษามุสลิมคนแรกที่เขามาคุยอยางสนิทสนมนับจากวันนั้นเปนตนมา และได
5
เขียนเสียงสะทอน feedback ใหแกดิฉันถึงสองครั้ง
ดิฉันเลาเรื่องของจามาลใหคุณรับรู เพราะตองการใหคุณเห็นวาแมคนไมไดสนใจ
พระพุทธศาสนาเลย ก็สามารถคิดถึงเรื่องสัจธรรมได เพราะนี่เปนเรื่องสากล universal หาก
ตั้งใจคิดใหถี่ถวนและลึกซึ้งสักหนอย อยางทฤษฎีเอกภาพของไอนสไตนก็คือการคิดเรื่อง
สัจธรรมนั่นเอง ความคิดของจามาลก็เชนกัน เด็กหนุมคนนี้คิดไดไกลและลึกซึ้งมากถึง
ขนาดรูแลววา ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไดซอนคําตอบบางอยางของชีวิตไว เพียงแตยังจับตนชนปลาย
ไมถูกเทานั้น คนที่คิดลึกและคิดอยางรอบคอบถี่ถวนแลว จะมองออกไดไมยากเลยวา
นอกจากที่นี่ เดี๋ยวนี้แลว ไมมีอะไรจริงสักอยางเดียว
สิ่งที่จริงที่สุด ที่มีอะไรเปนตัวเปนตน เปนเนื้อเปนหนังจริง ๆ คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เทานั้น
ฉะนั้น ตัวสัจธรรม หรือ ตัวความจริงที่มันจริง ๆ ก็คือ ทุกอยางที่เราเห็นได สัมผัสไดใน
ขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง ก็คือ รูป รส กลิ่น เสิ ยง สัมผัส ของที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์
นั่นเอง ไมเชื่อ คุณก็ลองคิดตามดิฉันสิ
ไป ๆ มา ๆ การคิดที่ดิฉันเรียกวาลึกซึ้งนั้นกลับมาอยูในสิ่งที่ไมมีความลึกอะไรเลย
สัจธรรมในฐานะที่เปนผัสสะบริสุทธิ์ที่กําลังเกิดที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปนความจริงที่ไมมีความลึกซึ้ง
อะไรแมแตนิดเดียว เปนเรื่องตื้นที่สุดจนไมรูจะตื้นอยางไร ดังที่นักศึกษาหญิงของดิฉันคน
หนึ่งเคยรําพึงออกมาอยางไมเชื่อวา Is that it? เทานั้นหรือ จึงกลายเปนเรื่องยากที่สุด
เพราะคนสวนมากมองขามไปอยางสนิท แตถึงแมจะมองออกบางแลวอยางจามาล ถาไมมี
การอธิบายอยางที่ดิฉันกําลังทําในบทนี้ และไมนําเรื่องการพาตัวใจกลับบานเขามาแลว ก็
คงไมพนเรื่องการคิดอยางปรัชญา คือ มีแตความคิด แตไมรูวาจะเขาถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้ได
อยางไร
ตองฝกทักษะของการขับรถไฟ
ฉะนั้น คุณจะเห็นไดวา การเขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดนั้นถูกตีวงแคบมาสูเรื่องเดียว
เทานั้น คือ ทําอยางไรเราจึงสามารถขับรถไฟชีวิตใหไดระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจา
หรือพระนิพพาน จะทําไดก็โดยการฝกสติปฏฐานหรือภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับสู
บานทั้งสี่นั่นเอง ไมวาผูฝกกําลังพาตัวใจกลับมาสูบานหลังใดหลังหนึ่งในสี่บานนี้ เมื่อนั้น ผู
ปฏิบัติก็จะปลอดจากความคิด หรือ มีตัวใจที่วางจากจิตทันที ในชวงขณะที่สั้น ๆ นั้นเอง
รถไฟสองขบวนไดวิ่งขนานกันแลว ฉะนั้น สิ่งที่ผูปฏิบัติจะตองทําคือ ฝกทักษะของการพา
ตัวใจกลับบานบอย ๆ เมื่อทักษะของเราดีขึ้นแลว เวลาที่เราสามารถเดินเคียงขางกับพระเจา
พระนิพพาน หรือ สัจธรรมอันสูงสุด ยอมยืดออกไป นานขึ้นเรื่อย ๆ ในลักษณะเชนนี้ จนใน
ที่สุด ทักษะของการขับรถไฟชีวิตขนานกับรถไฟขบวนสัจธรรมจะกลายเปนธรรมชาติของเรา
เอง จะสามารถใชชีวิตของทุกลมหายใจไดอยางรูตัวทั่วพรอม เปนธรรมชาติของมันเอง
เหมือนคนขับรถเกงเกงแลว พอนั่งหลังพวงมาลัยก็ขับไดอยางเปนธรรมชาติ เหมือนคนฝก
พูดภาษาอังกฤษเปนภาษาที่สอง เมื่อพูดไดเกงแลว ก็พูดไดอยางเปนธรรมชาติ ไมตองฝน
อีกแลว
ไอนสไตนขาดเครื่องมือ
ความคิดของไอนสไตนไมวาจะเปนเรื่องจุดนิ่งของจักรวาล The absolute ruling
point in nature หรือ ทฤษฎีสรรพสิ่งที่เขาปลุกปล้ําอยู ๓๐ ปนั้น ที่จริงแลว ลึกซึ้งมาก เขา
รูวาตองมีสิ่งหนึ่งที่สามารถใหคําตอบแกทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลได ซึ่งที่จริงมีอยู ดังที่
พระพุทธเจาตรัสวา “อายตนะนั้นมีอยู” อายตนะ ในที่นี้ ทานหมายถึงพระนิพพาน ถึงแมสัจ
5
คุณสามารถอานเสียงสะทอนของจามาลจากเว็บไซตของดิฉันภายใต Feedback from Supawan’s students
71
ธรรมของทุกสิ่งมีอยู แตไอนสไตนก็คนไมพบเพราะขาดเครื่องมือคือ ครูบาอาจารยที่
สามารถถายทอดความรูเรื่องวิปสสนา หรือ สติปฏฐานสี่ให นาเสียดายที่ไอนสไตนไมไดเกิด
ในเมืองพุทธ มิเชนนั้น อัจฉริยะบุคคลผูนี้อาจจะสามารถเปลี่ยนโฉมหนาของโลกยุคใหมให
เปนโลกที่นาอยูมากกวานี้ก็เปนได ความเปนอัจฉริยบุคคลของเขาบวกกับความรูเรื่องสติปฏ
ฐานสี่ยอมสามารถกอใหเกิดปฏิกิริยาลูกโซในแงของการสรางสรรคอารยธรรมที่เอื้ออํานวย
ใหมนุษยหันเขาหาสัจธรรมไดอยางแทจริง ดิฉันกําลังฝนอยูหรือเปลานี่?
สรุป
มาซง จากที่อธิบายมาโดยใชขอเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนนี้แลว คุณ คงจะ
เขาใจไดชัดเจนแลววาทําไมคุณจึงรูสึกเปนสุขมากขึ้นมาอยางฉับพลันทันใดเมื่อคุณ
สามารถพาตัวใจกลับบาน และมาอยูกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ เพราะในขณะนั้น คุณไดเขาถึงสัจธรรม
อันสูงสุดแลว ในฐานะที่คุณเปนชาวคริสต ก็เทากับวาคุณได ยางเขาไปในอาณาจักรของ
พระเจาแลว ไดกลับสูสวนอีเดนของทานแลว คุณจึงมีความสุขมาก เมื่อคุณกลับมาสูฐาน
ของสติเชนลมหายใจเทานั้น ปญหาในใจที่มากับความคิดจะหายไปเหมือนปลิดทิ้ง เจอรี่จะ
ปลอยทอมใหอยูสบายหนอย แตก็แนนอนแหละ คุณอาจจะอยูในดินแดนของพระเจาไมได
นาน เพราะทักษะในการขับรถไฟชีวิตของคุณยังไมเกง คือ คุณยังติดการคิด ยังปลอยวาง
ความคิดไมไดอยางทันทวงที จึงยังไมสามารถขับรถไฟชีวิตใหไดระดับเดียวกับรถไฟพระ
เจาตลอดเวลา
ก็ไมเปนไรนะ คอย ๆ ฝกไปนะคะ คุณโชคดีมากแลวที่เกิดมาเปนมนุษยและไดพบ
พระพุทธศาสนาทั้ง ๆ ที่อยูประเทศคามารูน ในทวีปอาฟริกาแท ๆ คุณไอนสไตนยังไมโชคดี
เทาคุณนะ ชาวพุทธไทยจะมองคุณในลักษณะที่มีบุญบารมีมากเลยคะ คนมีบารมีในทาง
ธรรม แมอยูไกลเพียงใด ก็ยังหาครูบาอาจารยพบจนได บางคนที่อยูแสนจะใกลชิดครูบา
อาจารยแท ๆ แตกลับไมไดความรูอะไรไปเลย นาเสียดายมาก เรื่องของบุญบารมีนี่ ไมเขา
ใครออกใคร ของใครก็ของเขาจริง ๆ เอานะคะ ฝกไปเรื่อย ๆ แลวคุณจะเกงขึ้นเอง อีก
หนอยก็จะสามารถอยูในดินแดนของพระเจาไดนานขึ้น
ดวยความเมตตา
ศุภวรรณ
72
บทที่เจ็ด
วิปสสนา: สูตรสําเร็จของสันติภาพของโลก
Vipassana: The Formula For World Peace
การคิดไดอยางกวางขวางของไอนสไตนจนทําใหเขาอยูในระดับอัจริยะบุคคล
แหงความเปนนักคิดนั้นไมมีอะไรซับซอนมากไปกวาการเดินลึกเขาไปในทอแหงความคิด
อันมีทางตันเปนที่สุด สิ่งที่มนุษยพยายามไขวควาหาอยูดวยความหวังวาจะสามารถมีชีวิต
อยูไดอยางเปนสุขจริง ๆ นั้นจึงเปนประสบการณที่ไมสามารถคิดคนและเขาถึงไดดวย
ความคิดและการคิดเพียงอยางเดียว จําเปนตองฟงผูรูตามพระพุทธเจาเทานั้น
ในทามกลางพระศาสดาทั้งหลายของโลก สิ่งที่ทําใหพระพุทธเจาเดนขึ้นมา
เพราะ หลังจากที่ทานไดคนพบสัจธรรมอันสูงสุดแลว ทานยังสามารถชี้แนวทางที่ชัดเจน
ใหกับผูแสวงหาทั้งหลายที่ตองการเดินตามรอยเทาของทาน เพื่อชวยใหคนเหลานี้สามารถ
เขาถึงสัจธรรมอันสูงสุดเหมือนกับที่ทานไดเขาถึงแลว แนวทางของทานคือ มรรคมีองค
แปดที่ประกอบดวยศีล สมาธิ ปญญา แตหากพูดใหรัดกุมมากขึ้นก็คือ เรื่องมหาสติปฏฐานสี่
เปนเรื่องการทําความรูจักกับความคิดและเขาใจความเปนมายาของความคิดเพื่อมนุษยจะได
ไมถูกความคิดหลอกเอา
ความรูทางโลกกับทางธรรมตองไปพรอมกัน
แมความรูทางโลกจะสรางปญหา ก็ไมไดหมายความวา เราตองปฏิเสธความรู
ทางโลกอยางเด็ดขาดหากตองการมุงเอาความรูทางธรรม ไมใชเชนนั้น สิ่งที่ควรทําคือ
ระบบการศึกษาทางโลกจําเปนตองมีเปาหมายเพื่อชวยเหลือเพื่อนมนุษยใหบรรลุ
จุดประสงคทางธรรมไวกอน คือ กอบกูเอกราชที่แทจริงใหแกมนุษยชาติ หรือ ชวยพามนุษย
เดินกลับมาสูหลักนิ้วที่สามเพื่อทุกคนจะไดเดินทางออกจากอุโมงคชีวิตและกลับมาสูทุง
กวางที่จุด ก อันเปนพรมแดนสุดทายของชีวิต หากระบบการศึกษาของโลกตั้งอยูบน
หลักการของปญญา ศีล สมาธิ แลว การเรียนรูวิชาการทางโลกจะเปนไปอยางไมหลง
ทิศทางของชีวิต และจะสามารถเดินขนานกับความรูทางธรรมได
ในภาคปฏิบัติยอมหมายความวา วิปสสนาจะตองกลายเปนสวนหนึ่งของหลักสูตร
การศึกษา จะตองเปนหลักสูตรบังคับ เด็ก ๆ อนุบาลจนถึงนักศึกษาปริญญาเอกจะตองรูจัก
การใชตาใจ และรูวาจะพาตัวใจกลับบานไดอยางไร นี่เปนจุดเริ่มตนของการสรางวัฒนธรรม
สติปฏฐาน เมื่อปจเจกชนสามารถจัดการกับปญหาตาง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวในใจของตนเอง
โดยการพาตัวใจกลับบานแลว คนเหลานี้จะไมสรางปญหาใหแกสังคม สามารถอยูติดบาน
ใชชีวิตที่เรียบงาย ธรรมดา ๆ ปญหาสังคมก็จะนอยลง จากความสุขสงบในจิตใจของปจเจก
ชนแตละคน เมื่อนํามารวมกันเขา ก็จะกลายเปนความปกติสุขหรือสันติภาพของชาวโลกโดย
สวนรวม
ทานเหลาจื้อไดพูดวา ระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้น ชาวบานจะไมรูดวยซ้ําไปวา
มีผูปกครองอยู เพราะทุกคนลวนทํามาหาเลี้ยงชีพ รับผิดชอบตอครอบครัวของตน ใชชีวิต
อยางปกติธรรมดาซึ่งเปนการรักษาศีลอยางเปนธรรมชาติโดยไมรูวานั่นคือศีล สังคมเชนนี้
ฟงเหมือนอุดมคติที่เปนไปไมได แตที่จริงแลว เปนไปไดทีเดียว ถาระบบการศึกษาของโลก
มีเปาหมายอยู ที่การแสวงหาตนเองโดยมีวิป สสนาเป
นหลักสูตรบังคับ
วิปสสนาคือสูตรสําเร็จของสันติภาพของโลก
72
นาเสียดายวาไอนสไตนไมมีโอกาสไดพบอาจารยสอนวิปสสนาในชวงชีวิตของ
เขา มิเชนนั้นแลว โลกนี้อาจจะมีอะไรที่ดีขึ้นกวานี้ก็เปนได หากไอนสไตนรูเรื่องและไดฝก
วิปสสนาแลว มันอาจจะหมายความวา คนทั่วโลกอาจจะยอมรับวิปสสนาในฐานะที่เปน
วิธีการทางวิทยาศาสตรที่สามารถชวยปรับสภาวะจิตใจของคนใหอยูในระดับปกติได การ
ยอมรับของไอนสไตนในเรื่องวิปสสนานี้ยอมเปนสิ่งที่กระตุนใหวงการวิทยาศาสตรวิจัยเรื่อง
จิตใจของมนุษยอยางถูกทาง ไมเปนไปอยางสะเปะสะปะเหมือนที่กําลังเปนอยู โดยการ
พยายามเอาผาปดตาออกจากอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ แทนที่จะไปผูกมัดใหมันแนนมากขึ้น
การวิจัยเรื่องจิตใจของมนุษยอยางถูกทางนี้อาจจะสามารถชวยมนุษยชาติจากวัฒนธรรมยา
เสพติดทั้งหลายที่สังคมมนุษยกําลังติดกับดักมันอยู นี่อาจจะเปนขาวรายตอผูหารายไดกับ
การผลิตและขายยาเสพติด แตยอมเปนขาวดีตอมนุษยชาติโดยสวนรวม
วิปสสนาจึงเปนสูตรสําเร็จของสันติภาพของโลก ซึ่งสันติภาพของโลกเปนสิ่งที่
ไอนสไตนตองการเห็นในตลอดชีวิตของเขา
หาก A มีคาเทากับความสําเร็จแลวละก็ สูตรสําเร็จควรเปนเชนนี้คือ A=X+Y+Z
X คือ การทํางาน Y คือ การเลน Z คือ การปดปากใหแนน
นั่นคือคําพูดของไอนสไตนโดยที่ไมเคยฝกวิปสสนา หากไอนสไตนมีโอกาสได
ฝกฝนวิปสสนาแลวไซร เขาอาจจะพูดเชนนี้ก็ได คือ
หาก A มีคาเทากับสันติภาพของโลกแลวละก็ สูตรสําเร็จควรเปนเชนนี้คือ
A=X+Y+Z X คือ การฝกวิปสสนาของชายทุกคน Y คือ การฝกวิปสสนาของหญิงทุกคน
Z คือ การปดปากใหแนน
หากชาวโลกสามารถทําตามสูตรสําเร็จนี้ไดแลวละก็ สันติภาพของโลกยอมเปน
สิ่งที่รับประกันไดอยางแนนอน
กอบกูวัฒนธรรมสติปฏฐาน1
วัฒนธรรมสติปฏฐานเคยมีอยูแลวในสังคมโลก ดังปรากฏการณที่เกิดในสังคม
อินเดีย ยุคหลังพุทธกาล ที่เมืองปาฏลีบุตร คนในสังคมของยุคนั้นมักทักทายซึ่งกันและกัน
โดยถามวา
“ขณะนี้ เธอกําลังกําหนดสติอยูกับฐานใดหรือ?”
ถาพูดภาษาของดิฉันก็จะเปนวา
“ตอนนี้ตัวใจของเธอกําลังอยูบานไหนหรือ?”
คนถูกถามก็จะตอบไปตามที่ตนเองกําลังทําอยู แตหากใครบอกวา ฉันไมไดทํา
ไมไดอยูบานไหนทั้งสิ้น คนก็จะเดินหนี เห็นคนเหลานั้นเปนตัวนําโชคราย และเรื่อง
อัปมงคลมาสูตน อยางไรก็ตาม ปรากฏการณทางสังคมเชนนั้นตองนับวาเปนวัฒนธรรมสติ
ปฏฐานที่ร่ํารวยมหาศาลมาก เปนสิ่งที่เกื้อกูลใหชาวโลกสามารถเดินทางเขาสูแผนดินของ
พระเจา หรือ พระนิพพานไดเปนหมูมาก Exodus
ชี้ใหเห็นดวยวา เรื่องการฝกทักษะของการพาตัวใจกลับบานนี้ เปนเรื่องงาย ๆ
ธรรมดา ๆ ที่ชาวมนุษยลวนทํากันไดทั้งสิ้นแมแตคุณที่กําลังอานประโยคนี้อยู จึงเกิด
ปรากฏการณเชนนั้นขึ้นในสังคม เนื้อหาที่แทจริงของการฝกสติปฏฐานหรือการพาตัวใจกลับ
บาน ก็ไมมีอะไรมากไปกวา การรับรูลมหายใจของเราอยางชัดเจน (เขาบานที่หนึ่ง) รับรูการ
เคลื่อนไหวของกายอยางทั่วพรอม (เขาบานที่หนึ่ง) รวมทั้งการรับรูความรูสึกของกายอยาง
ทั่วพรอมดวย (เขาบานที่สอง) ซึ่งเปนเรื่องงาย ๆ พื้น ๆ ธรรมดามาก ทุกคนที่ ไมไดนอน
หลับ ไมไดสลบ ไมไดอยูในอาการโคมา และยังไมตาย ลวนทําได ตราบใดที่ยังหายใจอยู
1
อานเรื่อง วัฒนธรรมสติปฏฐาน ในหนังสือเรื่อง ใบไมกํามือเดียว เขียนโดย ศุภวรรณ กรีน
73
และเคลื่อนไหวไดยอมทําไดทั้งสิ้น แมเปนเปนคนตาบอด เปนอัมพาต นอนเฉย ๆ หรือนั่ง
รถเข็นก็ยังทําได เพราะลมหายใจยังมีอยู
นาเสียดายมากวาวัฒนธรรมสติปฏฐานอยางเชนที่เมืองปาฏลีบุตรไดหายไปจาก
สังคมโลกเสียแลว ยุคนี้ใครฝกสติปฏฐาน พูดเรื่องการไปนิพพาน กลับถูกคนตาบอดทางใจ
เหลานั้นมองเปนคนที่มีปญหาชีวิต เปนคนเพี้ยนไปเสียอีก ยุคนี้จึงเปนสังคมที่กลับหัวกลับ
หาง คนหมูมากเห็นดอกบัวเปนกงจักร และเห็นกงจักรเปนดอกบัว นาสงสาร สังคมจึงยุง
มาก
สรุป
หากการกอบกูวัฒนธรรมสติปฏฐานเปนเรื่องอุดมคติมากเกินไป ไมสามารถทําให
เปนจริงไดละก็ ทางออกที่เหลือจึงมีเพียงทางเดียวเทานั้น คือ ตองพยายามเอาตัวเองให
รอดไวกอน โดยการเรงรีบทําความเขาใจในสิ่งที่ดิฉันนําเสนอคุณในหนังสือเลมนี้ และรีบ
เดินทางออกจากอุโมงคของชีวิตเสียโดยการฝกวิปสสนาหรือพาตัวใจกลับบาน เพื่อจะได
ชื่อวา โชคดีที่เกิดมาเปนมนุษยและไดพบพระพุทธศาสนา ไมเสียชาติเกิดแลว หากสามารถ
ชวยคนอีกหนึ่งคนใหรูเรื่องเหลานี้ได ก็ควรพอใจมากแลว แตถาทําไมได ก็ตองรีบชวย
ตัวเอง
ดิฉันหวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเลมนี้ไดชวยใหคุณเขาใจเรื่องราวของชีวิตอยาง
ถูกตอง ขอใหมีความอดทน มีความเพียร อยาทอถอย และทําใหดีที่สุดเทานั้น
ดิฉันขออวยพรใหคุณประสบความสําเร็จในการทําหนาที่ของมนุษย สามารถหลุดพน
ออกจากถนนวงแหวนของสังสารวัฏและเขาถึงพระนิพพานไดในชาตินี้ดวยเทอญ
74