Professional Documents
Culture Documents
เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
คำาว่า "เทคโนโลยี”(Technology) มาจากรากศัพท์ "Technic" หรือ "Techno"
ซึ่งมีความหมายว่า วิธีการ หรือการจัดแจงอย่างเป็ นระบบ รวมกับ "logy" ซึ่ง
แปลว่า “ศาสตร์” หรือ “วิทยาการ” ดังนั้น คำาว่า "เทคโนโลยี" ตามรากศัพท์จง ึ
หมายถึง ศาสตร์ว่าด้วยวิธีการหรือศาสตร์ท่ีว่าด้วยการจัดการ หรือการจัดแจงสิง ่
ต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็ นระบบ เพื่อให้เกิดระบบใหม่และเป็ นระบบที่สามารถนำา
ไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ท่ีต้ังใจไว้ได้ ซึ่งก็มค
ี วามหมายตรงกับความ
หมายที่ปรากฏในพจนานุกรม คือ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ดังนั้น เทคโนโลยีการ
ศึกษาจึงเป็ นการจัดแจงหรือการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพมาใช้
ในกระบวนการของการศึกษา ซึ่งเป็ นพฤติกรรมศาสตร์ โครงสร้างมโนมติของ
เทคโนโลยีการศึกษาจึงต้องประกอบด้วย มโนมติทางวิทยาศาสตร์กายภาพ มโน
มติทางพฤติกรรมศาสตร์ โดยการประสมประสานของมโนมติอ่ ืนที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น การประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพทางวิศวกรรมและ
ทางเคมีได้เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ สามารถผลิตหนังสือตำาราต่างๆ ได้ และจาก
การประยุกต์หลักพฤติกรรมศาสตร์ทางจิตวิทยา จิตวิทยาการเรียนร้้ ทฤษฎีการ
เรียนร้้และหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำาให้ได้เนื้ อหาในลักษณะเป็ น
โปรแกรมขั้น ย่อย ๆ จากง่ายไปหายาก เมื่อรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์กายภาพ
และพฤติกรรมศาสตร์ในตัวอย่างนี้ ทำาให้เกิดผลิตผลทางเทคโนโลยีการศึกษาขึ้น
คือ "ตำาราเรียนแบบโปรแกรม"
อีกตัวอย่างหนึ่ งการประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพเกี่ยวกับแสง เสียงและ
อิเล็กทรอนิ กส์บนพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ใช้ระบบเลขฐานสองทำาให้ได้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ เมื่อประสมประสานกับผลการประยุกต์ทาง พฤติกรรมศาสตร์ท่ี
เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเรียนร้้ ทฤษฎีการเรียนร้้ หลักความแตกต่างระหว่าง
บุคคล หลักการวิเคราะห์งาน และทฤษฎีส่ ือการเรียนการสอนแล้วทำาให้ได้ผลผลิต
ทางเทคโนโลยีการศึกษา คือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted
Instruction: CAI)
จากข้อพิจารณาดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
มีสองลักษณะที่เน้นหนักแตกต่างกัน คือ
1. เทคโนโลยีการศึกษา หมายถึง การประยุกต์หลักการวิทยาศาสตร์กายภาพ
และวิศวกรรมศาสตร์ให้เป็ นวัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถนำามาใช้
ในการเสนอ แสดง และถ่ายทอดเนื้ อหาทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความหมายนี้ พัฒนามาจากความคิดของกลุ่มนักโสต-ทัศนศึกษา
2. เทคโนโลยีการศึกษามีความหมายโดยตรงตามความหมายของเทคโนโลยี คือ
ศาสตร์แห่งวิธก ี าร หรือการประยุกต์วิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษา โดยคำา
ว่า”วิทยาศาสตร์”ในที่น้ี มง
ุ่ เน้นที่วิชาพฤติกรรมศาสตร์ เพราะถือว่าพฤติกรรม
ศาสตร์เป็ นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ งเช่นเดียวกับวิชาฟิ สิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็ นต้น
ที่มา http://www.nmc.ac.th/database/file_science/unit1.doc ขอขอบคุณ
ครับ
บทคัดย่อ
ความร้้ความสามารถของคร้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี ในการใช้คอมพิวเตอร์ของ
คร้ มีคร้ท่ีมีความสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในระดับพื้นฐาน คิดเป็ นร้อยละ 31.26
ใช้ Internet ในระดับพื้นฐานคิดเป็ นร้อยละ 35.09 และการบ้รณาการเทคโนโลยี
กับวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนร้้ในระดับพื้นฐานคิดเป็ นร้อยละ 31.57 ใช้
เทคโนโลยีประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนร้้ในระดับพื้นฐาน คิดเป็ นร้อยละ
37.27 แสดงให้เห็นว่าคร้ยง ั มีความร้้ ความสารถด้านเทคโนโลยีเพียง ในระดับ
พื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีไม่เป็ น ทั้งนี้ อาจเป็ นเพราะว่าคร้ส่วนใหญ่มีอายุ
ค่อนข้างมากแล้วและไม่มีความร้้พ้ ืนฐานทางด้านเทคโนโลยีมาก่อนจึงทำาให้เกิด
การพัฒนาตนเองค่อนข้างช้ามาก โดยเฉพาะในเรื่องของการตั้งกลุ่มเพื่อการช่วย
เหลือซึ่งกันและกันเกือบจะไม่ได้ทำาเลย และคร้ส่วนมากก็ไม่นำาเทคโนโลยีไปบ้รณ
าการกับกลุ่มสาระการเรียนร้้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมการเรียนร้้ต่างๆ ส่วนใหญ่ก็
ไม่นำาเทคโนโลยีมาใช้ท้ง ั นี้ อาจจะเป็ นเพราะว่าคร้ไม่มีความร้้ด้านเทคโนโลยีตลอด
จนไม่สามารถติดตั้งและบำารุงรักษาเครื่องได้
การพัฒนาบุคลากร
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และการแข่งขันการพัฒนาทางด้าน
ซอฟต์แวร์ ในปั จจุบัน ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ นำาคอมพิวเตอร์มาใช้ในด้านการ
ศึกษากันมาก การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer Assisted Instruction)
มีบทบาทและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็ นการพัฒนาผ้้
เรียนอีกทางหนึ่ ง โดยอาศัยประสบการณ์ ความร้้ ปรับประยุกต์ใช้ภายใต้บริบท
ของโรงเรียน
1. จัดการเรียนร้้ "ตลอดเวลา" (Anytime) เวลาใดก็สามารถเรียนร้้ได้ ระยะแรก
เริ่มให้นักเรียนสามารถใช้ Computer สืบค้นหาความร้้จากห้องสมุด ซึ่งมีเครื่อง
คอมพิวเตอร์ให้บริการระบบ Internet
2. เรียนร้้จากแหล่งเรียนร้้ "ทุกหนแห่ง" (Anywhere) นักเรียนสามารถเรียนร้้
ร่วมกันจากสื่อต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วีดิทัศน์ โทรทัศน์ CAI และอื่นๆ
3. การให้ทุกคน (Anyone) ได้เรียนร้้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพของตน
ตั้งแต่ระดับอนุบาลเป็ นต้นไป
การใช้ ICT เพื่อการเรียนร้้
การเรียนร้้ในปั จจุบันแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่า ผ้้เรียนมี
โอกาส มีอิสระในการเรียนร้้ด้วยตนเอง สร้างองค์ความร้้ สร้างทักษะด้วยตนเอง
คร้เปลี่ยนบทบาทจากผ้้สอนมาเป็ น ผ้้ให้คำาแนะนำา นอกจากนี้ ท้ังคร้และศิษย์
สามารถเรียนร้้ไปพร้อมกันได้ การจัดการเรียนที่โรงเรียนดำาเนิ นการได้ในขณะนี้
1. การสอนโดยใช้ส่ ือ CAI ช่วยสอนให้เกิดการเรียนร้้ตามความสนใจ เช่น วิชา
คณิตศาสตร์ วิชาภาษาไทย วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม หรือ สปช. วิชาภาษา
อังกฤษ
2. ส่งเสริมให้ผ้เรียนร้้จักสืบค้นวิทยาการใหม่ ๆ จากอินเทอร์เน็ต จาก E-book
จาก E-Library
3. ส่งเสริมการเรียนร้้และสร้างเจตคติท่ีดใี นการเรียนและการค้นคว้าหาความร้้
โดยกำาหนดให้ผ้เรียนได้เล่นเกมการศึกษา (Education Games ) ที่ผ่านการ
วิเคราะห์ของคร้ผ้รับผิดชอบว่าไม่เป็ นพิษภัยต่อผ้้เล่น และเป็ นการสร้างเสริม
ความคิดสร้างสรรค์ท่ีดีให้กับเด็ก
4. ใช้แผนการสอนแบบ ICT บ้รณาการเรียนร้้ในสาระวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และ คอมพิวเตอร์
5. จัดระบบข้อม้ลสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเรียนร้้
6. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดระบบและเผยแพร่ความร้้
7. จัดระบบข้อม้ลสารสนเทศแหล่งเรียนร้้ภายในโรงเรียน และภ้มิปัญญาชุมชน
ท้องถิ่น
8. พัฒนาเครือข่ายการเรียนร้้ในการจัดการเรียนร้้ของผ้้สอน
ที่มา http://www.eschool.su.ac.th/school31/web1.htm
บทสรุป