You are on page 1of 6

หน่วยที่ 1

เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
คำาว่า "เทคโนโลยี”(Technology) มาจากรากศัพท์ "Technic" หรือ "Techno"
ซึ่งมีความหมายว่า วิธีการ หรือการจัดแจงอย่างเป็ นระบบ รวมกับ "logy" ซึ่ง
แปลว่า “ศาสตร์” หรือ “วิทยาการ” ดังนั้น คำาว่า "เทคโนโลยี" ตามรากศัพท์จง ึ
หมายถึง ศาสตร์ว่าด้วยวิธีการหรือศาสตร์ท่ีว่าด้วยการจัดการ หรือการจัดแจงสิง ่
ต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็ นระบบ เพื่อให้เกิดระบบใหม่และเป็ นระบบที่สามารถนำา
ไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ท่ีต้ังใจไว้ได้ ซึ่งก็มค
ี วามหมายตรงกับความ
หมายที่ปรากฏในพจนานุกรม คือ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ดังนั้น เทคโนโลยีการ
ศึกษาจึงเป็ นการจัดแจงหรือการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพมาใช้
ในกระบวนการของการศึกษา ซึ่งเป็ นพฤติกรรมศาสตร์ โครงสร้างมโนมติของ
เทคโนโลยีการศึกษาจึงต้องประกอบด้วย มโนมติทางวิทยาศาสตร์กายภาพ มโน
มติทางพฤติกรรมศาสตร์ โดยการประสมประสานของมโนมติอ่ ืนที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น การประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพทางวิศวกรรมและ
ทางเคมีได้เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ สามารถผลิตหนังสือตำาราต่างๆ ได้ และจาก
การประยุกต์หลักพฤติกรรมศาสตร์ทางจิตวิทยา จิตวิทยาการเรียนร้้ ทฤษฎีการ
เรียนร้้และหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำาให้ได้เนื้ อหาในลักษณะเป็ น
โปรแกรมขั้น ย่อย ๆ จากง่ายไปหายาก เมื่อรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์กายภาพ
และพฤติกรรมศาสตร์ในตัวอย่างนี้ ทำาให้เกิดผลิตผลทางเทคโนโลยีการศึกษาขึ้น
คือ "ตำาราเรียนแบบโปรแกรม"
อีกตัวอย่างหนึ่ งการประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพเกี่ยวกับแสง เสียงและ
อิเล็กทรอนิ กส์บนพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ใช้ระบบเลขฐานสองทำาให้ได้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ เมื่อประสมประสานกับผลการประยุกต์ทาง พฤติกรรมศาสตร์ท่ี
เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเรียนร้้ ทฤษฎีการเรียนร้้ หลักความแตกต่างระหว่าง
บุคคล หลักการวิเคราะห์งาน และทฤษฎีส่ ือการเรียนการสอนแล้วทำาให้ได้ผลผลิต
ทางเทคโนโลยีการศึกษา คือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted
Instruction: CAI)
จากข้อพิจารณาดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
มีสองลักษณะที่เน้นหนักแตกต่างกัน คือ
1. เทคโนโลยีการศึกษา หมายถึง การประยุกต์หลักการวิทยาศาสตร์กายภาพ
และวิศวกรรมศาสตร์ให้เป็ นวัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถนำามาใช้
ในการเสนอ แสดง และถ่ายทอดเนื้ อหาทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความหมายนี้ พัฒนามาจากความคิดของกลุ่มนักโสต-ทัศนศึกษา
2. เทคโนโลยีการศึกษามีความหมายโดยตรงตามความหมายของเทคโนโลยี คือ
ศาสตร์แห่งวิธก ี าร หรือการประยุกต์วิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษา โดยคำา
ว่า”วิทยาศาสตร์”ในที่น้ี มง
ุ่ เน้นที่วิชาพฤติกรรมศาสตร์ เพราะถือว่าพฤติกรรม
ศาสตร์เป็ นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ งเช่นเดียวกับวิชาฟิ สิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็ นต้น
ที่มา http://www.nmc.ac.th/database/file_science/unit1.doc ขอขอบคุณ
ครับ
บทคัดย่อ

เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (Technology in Education) หมายถึง การนำา


เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษา การ
จัดการเรียนการสอน เพื่อให้การศึกษาการสอนการเรียนมีคุณภาพ และมี
ประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีท่ีนำามาใช้ในการศึกษา ได้แก่เทคโนโลยีต่าง ๆ ดังนี้
1. เทคโนโลยีส่ ือสารโทรคมนาคม คือ เทคโนโลยีท่ีเกี่ยวกับการสื่อสารทางไกล
โดยผ่านระบบการสื่อสารคมนาคมต่าง ๆ
2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ในการรับข้อม้ล ประมวลผลข้อม้ล
และนำาเสนอข้อม้ลตามที่ผ้ใช้ต้องการ
3. เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งแบ่งเป็ นประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ เครือข่าย
เฉพาะที่ (Local Area Network-LAN) เป็ นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
ที่ต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ไม่มากนัก มักอย่้ในอาคารหลังเดียว เครือข่าย
บริเวณกว้าง (Wide Area Network-WAN) เป็ นระบบเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์
กระจายอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ช่วยให้สำานักงานในจังหวัดติดต่อสื่อสารและ
ทำางานร่วมกับสำานักงานใหญ่ท่ีอย่้ในเมืองหลวงได้
4. ระบบสำานักงานอัตโนมัติ เป็ นแนวคิดที่นำาระบบเครือข่ายมาใช้เชื่อมโยง
คอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์สำานักงาน
เช่น ระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิ กส์ ระบบประชุมทางไกล
5. เทคโนโลยีระบบสารสนเทศ เป็ นการประมวลผลข้อม้ลในลักษณะต่าง ๆ เพื่อ
ช่วยในการจัดการและบริหารงาน
6. ระบบมัลติมีเดีย เป็ นเทคโนโลยีท่ีผสมผสานภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และ
ข้อความเข้าด้วยกันโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการแสดงผล นำาไปประยุกต์
ใช้ในการสอน เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) กิจกรรมเพื่อการศึกษาที่ใช้
เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในปั จจุบันนี้ ได้แก่ วิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา วิทยุ
โรงเรียน โทรทัศน์เพื่อการศึกษา การสอนทางไกลผ่านดาวเทียม ระบบประชุม
ทางไกล ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในบทความผ้้
เขียนได้กล่าวถึงความสำาคัญของเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาที่มีในพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และประวัตก ิ ารนำาเทคโนโลยีมาใช้ในการ
ศึกษาของไทยไว้ด้วย

ที่มา : ชม ภ้มิภาค, เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา, เทคโนโลยีส่ ือสารการศึกษา, ปี ที่ 4


ฉบับที่ 1 หน้า 15-17 2543
ที่มา : http://www.school.net.th/library/create-
web/10000/technology/10000-4874.html ขอขอบคุณครับ
เขียนโดย คร้ชาย ที่ 2:15 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้สำาหรับคร้

ความร้้ความสามารถของคร้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี ในการใช้คอมพิวเตอร์ของ
คร้ มีคร้ท่ีมีความสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในระดับพื้นฐาน คิดเป็ นร้อยละ 31.26
ใช้ Internet ในระดับพื้นฐานคิดเป็ นร้อยละ 35.09 และการบ้รณาการเทคโนโลยี
กับวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนร้้ในระดับพื้นฐานคิดเป็ นร้อยละ 31.57 ใช้
เทคโนโลยีประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนร้้ในระดับพื้นฐาน คิดเป็ นร้อยละ
37.27 แสดงให้เห็นว่าคร้ยง ั มีความร้้ ความสารถด้านเทคโนโลยีเพียง ในระดับ
พื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีไม่เป็ น ทั้งนี้ อาจเป็ นเพราะว่าคร้ส่วนใหญ่มีอายุ
ค่อนข้างมากแล้วและไม่มีความร้้พ้ ืนฐานทางด้านเทคโนโลยีมาก่อนจึงทำาให้เกิด
การพัฒนาตนเองค่อนข้างช้ามาก โดยเฉพาะในเรื่องของการตั้งกลุ่มเพื่อการช่วย
เหลือซึ่งกันและกันเกือบจะไม่ได้ทำาเลย และคร้ส่วนมากก็ไม่นำาเทคโนโลยีไปบ้รณ
าการกับกลุ่มสาระการเรียนร้้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมการเรียนร้้ต่างๆ ส่วนใหญ่ก็
ไม่นำาเทคโนโลยีมาใช้ท้ง ั นี้ อาจจะเป็ นเพราะว่าคร้ไม่มีความร้้ด้านเทคโนโลยีตลอด
จนไม่สามารถติดตั้งและบำารุงรักษาเครื่องได้

คร้ใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนร้้ จาก 8 กล่ม ุ


สาระการเรียนร้้ คร้จะนำาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการ
เรียนร้้ในวิชาคอมพิวเตอร์คิดเป็ นร้อยละ 26.12 ส่วนวิชาที่รองลงมาที่คร้นำาเอา
เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนร้้ได้แก่วิชาภาษาไทย
คิดเป็ นร้อยละ 14.61 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีโอกาสในการศึกษาหาความร้้
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ในวิชาคอมพิวเตอร์มากกว่าวิชาอื่น ๆ ส่วนในรายวิชาอื่น
ๆ ก็พอได้เรียนร้้บ้างแต่ไม่มากนัก ทั้งนี้ อาจจะเป็ นเพราะว่าคร้ท่ีสอนวิชา
คอมพิวเตอร์น้ันคงเป็ นผ้้ท่ีมีความร้้ความสามารถในระดับดีพร้อมที่จะดำาเนิ นการ
จัดกิจกรรมการเรียนร้้ให้กับผ้้เรียนได้
สภาพการใช้คอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ท่ีกำาหนดให้ของคร้รายการที่คร้ ใช้
มากได้แก่ ใช้พัฒนาทักษะวิชาชีพคร้ เตรียมการสอนและสร้างสื่อการสอน ค้น
สารสนเทศ ทางการศึกษา และค้นคว้าเรียนร้้สง ิ่ ใหม่ ๆ รายการที่คร้ไม่ได้ใช้เลย
ได้แก่ สอนทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ ใช้สำาหรับการนำาเสนองาน ใช้ส่ ือสารระหว่าง
นักเรียน คร้และผ้้เกี่ยวข้องและใช้ตรวจสอบผลงาน/ทำารายงานของนักเรียน
แสดงให้เห็นว่าสภาพการใช้คอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ท่ก ี ำาหนดให้คร้จะใช้
คอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพคร้ มากกว่าการเตรียมการสอนและสร้างสื่อ
การสอน แสดงให้เห็นว่าคร้ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาตนเอง เช่นจัดทำาผลงานเพื่อ
เลื่อนระดับให้กับตนเองมากกว่าที่จะค้นคว้าหาความร้้เพื่อเตรียมการสอนรวมทั้ง
การจัดกิจกรรมการเรียนร้้ให้กับนักเรียน

การใช้ ICT ในการเรียนและบ้รณาการ


ความนำา

คอมพิวเตอร์ ถือเป็ นสื่อนวัตกรรมใหม่อย่างหนึ่ ง เพิง


่ แพร่หลายขึ้นมาประมาณ 40
ปี มานี้ เอง คอมพิวเตอร์เป็ นอุปกรณ์ท่ีใช้ในการจัดเก็บ คำานวณ ประมวลผล แสดง
ผล หรืองานอื่นใด ตามคำาสั่ง ที่จัดทำาขึ้น แล้วบันทึกเก็บไว้ในหน่ วยความจำาของ
อุปกรณ์น้ัน ปั จจุบันมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็วมาก จนเป็ นสื่อสำาคัญ
ยิง่ ในการนำาเข้าส่้ยุคข้อม้ลข่าวสาร ทุก ๆ วินาที สามารถรับร้้ความเป็ นไปในทุก
พื้นพิภพได้เกือบพร้อมกัน ทั้งที่อย่ก
้ ันคนละซีกโลก การรับร้้ข่าวสารที่รวดเร็วนำา
ประโยชน์ส่้ผ้ใช้ นำาประโยชน์ส่้ประเทศชาติได้อย่างมหาศาล เช่น สามารถติดต่อ
ค้าขายกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ผ้ซ้ ือและผ้้ขายไม่ต้องพบหน้ากัน ไม่มีข้อ
จำากัดของเวลา ไม่มีข้อจำากัดด้านพรมแดน สามารถใช้ระบบ E - Commerce
และใช้ในเรื่องการศึกษา การแสวงหาความร้้ การสื่อสาร รวมถึงกิจการอื่น ๆ
มากมาย หากผ้้ใช้สามารถใช้ประโยชน์เป็ นอย่างคุ้มค่า
หลายปี ที่ผ่านมาโรงเรียนที่มีความพร้อมเริ่มนำาคอมพิวเตอร์มาใช้ในโรงเรียนกัน
มากขึ้น โดยโรงเรียนดังกล่าวมักจะอย่้ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ท่ีมีเศรษฐกิจดี ผ้้
ปกครองมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคง ช่วงแรกเริ่มใช้เพื่อการบริหารจัดการก่อน
เรียกว่า Computer Assisted Management โปรแกรมนี้ ช่วยจัดการด้านงาน
ธุรการ เงินเดือน ห้องสมุด งานปกครอง และอื่น ๆ ระยะต่อมาคอมพิวเตอร์มีราคา
ถ้กลง โรงเรียนต่าง ๆ เริ่มนำามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึง ่ เรียกว่า
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า "
CAI " หมายถึง การใช้คอมพิวเตอร์เป็ นสื่อเสนอเนื้ อหา กระตุ้นเร้าให้ผ้เรียนเกิด
ความสนใจ ต้องการเรียนร้้ บทบาทของ CAI มีมากขึ้น ผลที่ได้ผ้เรียนได้เรียนใน
สิง ่ ที่ตนเองต้องการ ตรงตามความประสงค์ เป็ นการตอบสนองความเป็ น Child
Center ได้ประการหนึ่ ง ในกระบวนการจัดการเรียนร้้
ปั จจุบันรัฐบาลมีนโยบายให้โรงเรียนต่าง ๆ ใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนร้้อย่าง
กว้างขวาง สภาพการณ์ดังกล่าวทำาให้ผ้ปกครองเกิดความตื่นตัว ต้องการที่จะให้
บุตรหลานได้เรียนร้้จากคอมพิวเตอร์มากขึ้น จนกลายเป็ นกระแสของความทัน
สมัย โรงเรียนใดไม่สอนวิชาคอมพิวเตอร์ ผ้้ปกครองจะย้ายเด็กไปเรียนโรงเรียน
อื่นที่สอนคอมพิวเตอร์ เป้ าหมายสำาคัญที่นอกเหนื อไปจากภาระงานปกติของ
โรงเรียน คือการจัดการศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของชุมชน ผ้้บริหาร
คณะคร้ กรรมการสถานศึกษา

การพัฒนาบุคลากร

โรงเรียนประถมศึกษา โดยทั่วไปคร้จะมีคุณวุฒต ิ รงสาขาวิชาเอกน้อยและยังไม่


สามารถเลือกคร้ได้ตรงตามความต้องการของโรงเรียน จึงส่งผลถึงการจัดการ
เรียนการสอน หน้าที่ของโรงเรียนต้องดำาเนิ นการ คือ พัฒนาให้คร้มีศักยภาพ
สามารถทำางานสนองความต้องการของผ้้เรียน และสนองตอบพระราชบัญญัติการ
ศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ การพัฒนาคร้ เป็ นสิ่งจำาเป็ นโดยอาจดำาเนิ นการ
พัฒนาคร้ได้ ดังนี้
1. พัฒนาให้คร้ทุกคนมีความร้้พ้ ืนฐานในการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อเป็ นฐานในการ
เรียนร้้ และใช้คอมพิวเตอร์จัดการเรียนการสอนได้
2. กำาหนดมาตรฐานเบื้องต้นของคร้ท่ีจะเข้าทำาหน้าที่คร้คอมพิวเตอร์ ไว้ดังนี้
2.1 ต้องมีวสิ ัยทัศน์ มีความคิดกว้างไกล ทันเหตุการณ์ของโลก
2.2 พัฒนาตนเองอย่้เสมอ ให้รอบร้้และร้้รอบ ในเรื่องใหม่ ๆ อย่้เป็ นนิ จ
2.3 ขยัน ทันสมัย ใจรัก สละเวลา
คนที่มีใจรักในสิ่งใด มักจะทุ่มเท เสียสละ ขยัน มุ่งมั่นทำาในสิ่งที่ตนรัก งาน
คอมพิวเตอร์ เป็ นงานที่หนัก และมีความสำาคัญส้ง ด้วยคร้มีภาระหลากหลาย ด้วย
เหตุท่ีไม่มีเจ้าหน้าที่ส่วนอื่น ๆ เป็ นฝ่ ายบริการอำานวยความสะดวกได้ หลังจากที่
โรงเรียนให้ความร้้ ฝึ ก และพัฒนาคร้ให้มีความร้้พ้ ืนฐานทางคอมพิวเตอร์แล้ว

ร้ปแบบการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนร้้

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และการแข่งขันการพัฒนาทางด้าน
ซอฟต์แวร์ ในปั จจุบัน ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ นำาคอมพิวเตอร์มาใช้ในด้านการ
ศึกษากันมาก การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer Assisted Instruction)
มีบทบาทและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็ นการพัฒนาผ้้
เรียนอีกทางหนึ่ ง โดยอาศัยประสบการณ์ ความร้้ ปรับประยุกต์ใช้ภายใต้บริบท
ของโรงเรียน
1. จัดการเรียนร้้ "ตลอดเวลา" (Anytime) เวลาใดก็สามารถเรียนร้้ได้ ระยะแรก
เริ่มให้นักเรียนสามารถใช้ Computer สืบค้นหาความร้้จากห้องสมุด ซึ่งมีเครื่อง
คอมพิวเตอร์ให้บริการระบบ Internet
2. เรียนร้้จากแหล่งเรียนร้้ "ทุกหนแห่ง" (Anywhere) นักเรียนสามารถเรียนร้้
ร่วมกันจากสื่อต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วีดิทัศน์ โทรทัศน์ CAI และอื่นๆ
3. การให้ทุกคน (Anyone) ได้เรียนร้้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพของตน
ตั้งแต่ระดับอนุบาลเป็ นต้นไป
การใช้ ICT เพื่อการเรียนร้้
การเรียนร้้ในปั จจุบันแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่า ผ้้เรียนมี
โอกาส มีอิสระในการเรียนร้้ด้วยตนเอง สร้างองค์ความร้้ สร้างทักษะด้วยตนเอง
คร้เปลี่ยนบทบาทจากผ้้สอนมาเป็ น ผ้้ให้คำาแนะนำา นอกจากนี้ ท้ังคร้และศิษย์
สามารถเรียนร้้ไปพร้อมกันได้ การจัดการเรียนที่โรงเรียนดำาเนิ นการได้ในขณะนี้
1. การสอนโดยใช้ส่ ือ CAI ช่วยสอนให้เกิดการเรียนร้้ตามความสนใจ เช่น วิชา
คณิตศาสตร์ วิชาภาษาไทย วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม หรือ สปช. วิชาภาษา
อังกฤษ
2. ส่งเสริมให้ผ้เรียนร้้จักสืบค้นวิทยาการใหม่ ๆ จากอินเทอร์เน็ต จาก E-book
จาก E-Library
3. ส่งเสริมการเรียนร้้และสร้างเจตคติท่ีดใี นการเรียนและการค้นคว้าหาความร้้
โดยกำาหนดให้ผ้เรียนได้เล่นเกมการศึกษา (Education Games ) ที่ผ่านการ
วิเคราะห์ของคร้ผ้รับผิดชอบว่าไม่เป็ นพิษภัยต่อผ้้เล่น และเป็ นการสร้างเสริม
ความคิดสร้างสรรค์ท่ีดีให้กับเด็ก
4. ใช้แผนการสอนแบบ ICT บ้รณาการเรียนร้้ในสาระวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และ คอมพิวเตอร์
5. จัดระบบข้อม้ลสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเรียนร้้
6. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดระบบและเผยแพร่ความร้้
7. จัดระบบข้อม้ลสารสนเทศแหล่งเรียนร้้ภายในโรงเรียน และภ้มิปัญญาชุมชน
ท้องถิ่น
8. พัฒนาเครือข่ายการเรียนร้้ในการจัดการเรียนร้้ของผ้้สอน
ที่มา http://www.eschool.su.ac.th/school31/web1.htm

บทสรุป

การนำาเอาเทคโนโลยี เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน เป็ นการ


เพิ่มพ้น ประสิทธิภาพทางการเรียนร้้แก่ผ้เรียน และในสภาพปั จจุบน ั การเรียนการ
สอนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ ได้ คร้จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนของตนเอง
ต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้น จึงต้องเรียนร้้เทคโนโลยีต่าง ๆ แล้ว
วิเคราะห์ความเป็ นไปได้ ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพส้งสุด ให้เหมาะสมกับสภาพของ
โรงเรียน ที่มีความพร้อมในระดับหนึ่ ง คร้ควรต้องพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาผ้้เรียน
ได้อย่างเหมาะสม และยึดผ้้เรียนเป็ นศ้นย์กลาง เพื่อนำาพาผ้้เรียนให้สามารถเรียน
ร้้ ดำารงตนอย่้ได้อย่างมีความสุข

ที่มา http://learners.in.th/blog/sukuman18-2/271769 ขอขอบค้ณมากครับ

You might also like