You are on page 1of 19

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.

2542

พระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542

ภูมิพลอดุลยเดชป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2542
เป็นปีที่ 54 ในรัชกาลปั จจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่


เป็ นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ พระราชบัญญัติน้ี มีบทบัญญัติบางประการ เกี่ยวกับ
การจำากัดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำาได้ โดยอาศัยอำานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำาแนะนำาและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชบัญญัติน้ี เรียกว่า "พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542"


-
มาตรา 2 พระราชบัญญัติน้ี ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็ นต้นไป
-
มาตรา 3 บรรดาบทกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำาสั่งอื่น ในส่วนที่ได้บัญญัติไว้แล้วใน
พระราชบัญญัติน้ี หรือ ซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัติน้ี ให้ใช้พระราชบัญญัติน้ี แทน
-
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัติน้ี

"การศึกษา" หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงาม ของบุคคลและสังคม


โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึ ก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง
ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การ
เรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่ องตลอดชีวิต

"การศึกษาขั้นพื้นฐาน" หมายความว่า การศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา

"การศึกษาตลอดชีวิต" หมายความว่า การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสาน ระหว่างการศึกษาใน


ระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้
อย่างต่อเนื่ องตลอดชีวิต

"สถานศึกษา" หมายความว่า สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย


สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่ วยงานการศึกษา หรือหน่ วยงานอื่นของรัฐ หรือของเอกชน ที่มีอำานาจ
หน้าที่ หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา

"สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน" หมายความว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน


"มาตรฐานการศึกษา" หมายความว่า ข้อกำาหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพ ที่พึงประสงค์
และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็ นหลักในการเทียบเคียง
สำาหรับการส่งเสริมและ กำากับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพ
ทางการศึกษา

"การประกันคุณภาพภายใน" หมายความว่า การประเมินผลและการติดตาม ตรวจสอบคุณภาพ


และมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือ
โดยหน่ วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กำากับดูแลสถานศึกษานั้น

"การประกันคุณภาพภายนอก" หมายความว่า การประเมินผลและการติดตาม ตรวจสอบ


คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายนอก โดยสำานักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพการศึกษา หรือบุคคล หรือหน่ วยงานภายนอกที่สำานักงานดังกล่าวรับรอง
เพื่อเป็ นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถาน
ศึกษา

"ผู้สอน" หมายความว่า ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับต่างๆ

"ครู" หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพซึ่งทำาหน้าที่หลักทางด้านการเรียน การสอนและการส่ง


เสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ ในสถานศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน

"คณาจารย์" หมายความว่า บุคลากรซึ่งทำาหน้าที่หลักทางด้านการสอน และการวิจัยในสถาน


ศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาของรัฐและเอกชน

"ผู้บริหารสถานศึกษา" หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหาร สถานศึกษา


แต่ละแห่ง ทั้งของรัฐและเอกชน

"ผู้บริหารการศึกษา" หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหาร การศึกษานอก


สถานศึกษา ตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป

"บุคลากรทางการศึกษา" หมายความว่า ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา รวมทั้งผู้


สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็ นผู้ทำาหน้าที่ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่ องกับการจัด
กระบวนการเรียนการสอน การนิ เทศ และการบริหารการศึกษาในหน่ วยงานการศึกษาต่างๆ

"กระทรวง" หมายความว่า กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม

"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติน้ี


-
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รักษาการตามพระราชบัญญัติน้ี
และมีอำานาจออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติน้ี
กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

หมวด 1บททั่วไป ความมุ่งหมายและหลักการ


หมวด 2สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา
หมวด 3ระบบการศึกษา
หมวด 4แนวการจัดการศึกษา
หมวด 5การบริหารและการจัดการศึกษา
มาตรฐานและการประกันคุณภาพการ
หมวด 6
ศึกษา
หมวด 7 ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
หมวด 8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา
หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
บทเฉพาะกาล

https://www.myfirstbrain.com/law.aspx?Id=5610
หมวด 1
บททัว
่ ไป ความมุ่งหมายและหลักการ

มาตรา การจัดการศึกษาต้องเป็ นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็ นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา


6 ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ ืนได้อย่างมี
ความสุข
-
มาตรา ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำานึ กที่ถูกต้องเกี่ยวกับ การเมืองการปกครองในระบอบ
7 ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความ
เคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิศ ์ รีความเป็ นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็ นไทย ร้จ
ู ัก
รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ
การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็ นสากล ตลอดจนอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มีความริเริ่ม
สร้างสรรค์ ใฝ่ รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่ อง
-
มาตรา การจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังนี้
8
1. เป็ นการศึกษาตลอดชีวิตสำาหรับประชาชน
2. ให้สังคมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา

3. การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็ นไปอย่างต่อเนื่ อง
มาตรา การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักดังนี้
9
1. มีเอกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในการปฏิบัติ
2. มีการกระจายอำานาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น
3. มีการกำาหนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษา ทุกระดับและ
ประเภทการศึกษา
4. มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์ และบุคลากร ทางการศึกษา และการ
พัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่ อง
5. ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา

6. การมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบรัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เอกชน


องค์กรเอกชน องค์กร วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65044
หมวด 2
สิทธิและหน้าทีท
่ างการศึกษา

มาตรา การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกัน ในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่นอ


้ ย
10 กว่าสิบสองปี ที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย

การจัดการศึกษาสำาหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การ


สื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือบุคคล ซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้
หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เป็ นพิเศษ

การศึกษาสำาหรับคนพิการในวรรคสอง ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใด
ทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำาหนดในกฎกระทรวง

การจัดการศึกษาสำาหรับบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษ ต้องจัดด้วยรูปแบบ ที่เหมาะสมโดยคำานึ ง


ถึงความสามารถของบุคคลนั้น

มาตรา บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ใน ความดูแลได้รับการศึกษาภาค


11 บังคับตามมาตรา 17 และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องตลอดจนให้ได้รับการศึกษานอกเหนื อจากการ
ศึกษาภาคบังคับ ตามความพร้อมของครอบครัว

มาตรา นอกเหนื อจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน


12 องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น มีสิทธิใน
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ ดังต่อไปนี้


13

1. การสนับสนุนจากรัฐ ให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดู และการให้การศึกษา


แก่บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแล
2. เงินอุดหนุนจากรัฐสำาหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของบุตรหรือบุคคล ซึ่งอย่ใู นความ
ดูแลที่ครอบครัวจัดให้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายกำาหนด

3. การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสำาหรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฎหมาย กำาหนด
มาตรา บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบ
14 การ และสถาบันสังคมอื่น ซึ่งสนับสนุนหรือจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ตาม
ควรแก่กรณี ดังต่อไปนี้

1. การสนับสนุนจากรัฐให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูบุคคล ซึ่งอยู่ในความ
ดูแลรับผิดชอบ
2. เงินอุดหนุนจากรัฐสำาหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามที่กฎหมายกำาหนด

3. การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสำาหรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฎหมายกำาหนด

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65046
หมวด 3
ระบบการศึกษา

มาตรา การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตาม


15 อัธยาศัย

1. การศึกษาใน ระบบ เป็ นการศึกษาที่กำาหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของ


การศึกษาการวัดและประเมินผล ซึ่งเป็ นเงื่อนไขของการสำาเร็จการศึกษาที่แน่ นอน
2. การศึกษานอกระบบ เป็ นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำาหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธี
การจัดการศึกษาระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็ นเงื่อนไขสำาคัญของ
การสำาเร็จการศึกษา โดยเนื้ อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพ
ปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม

3. การศึกษาตามอัธยาศัย เป็ นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสนใจ


ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ระสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อ
หรือแหล่งความรู้อ่ ืนๆ
สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้

ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกัน หรือต่างรูปแบบได้ ไม่ว่าจะ


เป็ นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอัธยาศัย
การฝึ กอาชีพ หรือจากประสบการณ์การทำางาน

มาตรา การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน และการศึกษาระดับอุดมศึกษา


16
การศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่นอ
้ ยกว่าสิบสองปี ก่อนระดับอุดมศึกษา

การแบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

การศึกษาระดับอุดมศึกษาแบ่งเป็ นสองระดับ คือ ระดับตำ่ากว่าปริญญา และระดับปริญญา

การแบ่งระดับหรือการเทียบระดับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยให้เป็ นไปตามที่
กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ให้มีการศึกษาภาคบังคับจำานวนเก้าปี โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้า ปี ที่เจ็ด เข้าเรียนในสถานศึกษาขั้น


17 พื้นฐานจนอายุย่างเข้าปี ที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ช้ันปี ที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับหลักเกณฑ์และวิธี
การนับอายุให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐานให้จัดในสถานศึกษา ดังต่อไปนี้


18

1. สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนา เด็กก่อนเกณฑ์


ของสถาบันศาสนา ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของด็กพิการและเด็กซึ่งมีความต้องการ
พิเศษ หรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่เรียกชื่ออย่างอื่น
2. โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน และโรงเรียน ที่สังกัดสถาบันพุทธศาสนาหรือ
ศาสนาอื่น

3. ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่ วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว


ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา
สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่น
เป็ นผู้จัด
มาตรา การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัย หรือหน่ วยงานที่เรียกชื่อ
19 อย่างอื่น ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตามกฎหมายเกี่ยวกับสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง
สถานศึกษานั้นๆ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา การจัดการอาชีวศึกษา การฝึ กอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษา ของรัฐ สถานศึกษาของเอกชน สถาน


20 ประกอบการ หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตาม
กฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษา และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา กระทรวง ทบวง กรมรัฐวิสาหกิจ และหน่ วยงานอื่นของรัฐ อาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตามความ


21 ต้องการและความชำานาญ ของหน่ วยงานนั้นได้ โดยคำานึ งถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำาหนดในกฎกระทรวง

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65047
หมวด 4
แนวการจัดการศึกษา

มาตรา การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่า


22 ผู้เรียนมีความ สำาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม
ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
-
มาตรา การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้น
23 ความสำาคัญ ทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละ
ระดับการศึกษาในเรื่องต่อไปนี้

1. ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน


ชาติ และสังคมโลกรวมถึง ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็ นมาของสังคมไทย และ
ระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข
2. ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ ความเข้าใจและ
ประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำารุงรักษาและการใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้
ภูมิปัญญา
4. ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทย อย่างถูกต้อง

5. ความรู้ และทักษะในการประกอบอาชีพและการดำารงชีวิตอย่างมีความสุข
มาตรา การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่ วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำาเนิ นการดังต่อไปนี้
24

1. จัดเนื้ อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด ของผู้เรียน โดย


คำานึ งถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล
2. ฝึ กทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มา
ใช้เพื่อป้ องกันและแก้ไขปัญหา
3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึ กการปฏิบัติ ให้ทำาได้ คิดเป็ น ทำา
เป็ น รักการอ่านและเกิดการใฝ่ รู้อย่างต่อเนื่ อง
4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้ สัดส่วนสมดุลกัน รวม
ทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิ ยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์์ไว้ในทุกวิชา
5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและอำานวย
ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็ น
ส่วนหนึ่ งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียน อาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการ
เรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ

6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือ กับบิดามารดา ผู้


ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่ าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
มาตรา รัฐต้องส่งเสริมการดำาเนิ นงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุด
25 ประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่ง การเรียนรู้อ่ ืนอย่างพอเพียงและมี
ประสิทธิภาพ
-
มาตรา ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการ ของผู้เรียน ความประพฤติ การ
26 สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วม กิจกรรม และการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการ
สอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ และรูปแบบการศึกษา ให้สถาน ศึกษาใช้วิธีการที่หลาก
หลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ และให้นำาผลการประเมินผู้เรียนตามวรรคหนึ่ ง มาใช้
ประกอบการ พิจารณาด้วย
-
มาตรา ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำาหนดหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อความ
27 เป็ นไทย ความเป็ นพลเมือง ที่ดีของชาติ การดำารงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการ
ศึกษาต่อ

ให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทำาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ ในวรรคหนึ่ งในส่วนที่


เกี่ยวกับสภาพปัญหาใน ชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็ น
สมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และ ประเทศชาติ
-
มาตรา หลักสูตรการศึกษาระดับต่างๆ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาสำาหรับ บุคคลตามมาตรา 10 วรรคสอง
28 วรรคสาม และวรรคสี่ ต้องมีลักษณะหลากหลาย ทั้งนี้ ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับโดย
มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัย และศักยภาพ

สาระของหลักสูตร ทั้งที่เป็ นวิชาการ และวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุลทั้งด้านความรู้


ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม

สำาหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา นอกจากคุณลักษณะในวรรคหนึ่ ง และวรรคสองแล้ว ยัง


มีความมุ่งหมายเฉพาะที่จะพัฒนา วิชาการ วิชาชีพชั้นสูง และการค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความ
รู้และพัฒนาสังคม
-
มาตรา ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน
29 องค์กรเอกชน องค์กร วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ส่งเสริม
ความเข้มแข็งของชุมชน โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีการจัดการศึกษา
อบรม มีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร และรู้จักเลือกสรร ภูมิปัญญาและ วิทยาการต่างๆ เพื่อ
พัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ รวมทั้งหาวิธีการ สนับสนุนให้มีการ
แลกเปลี่ยน ประสบการณ์การพัฒนาระหว่างชุมชน
-
มาตรา ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอน
30 สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับผู้เรียน ในแต่ละระดับการศึกษา

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65048
หมวด 5
การบริหารและการจัดการศึกษา

ส่วนที่ 1
การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ

มาตรา ให้กระทรวงมีอำานาจหน้าที่กำากับดูแลการศึกษาทุกระดับและ ทุกประเภท การศาสนา ศิลปะและ


31 วัฒนธรรม กำาหนดนโยบายแผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา ศาสนา
ศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งการติดตามตรวจสอบ และประเมินผล การจัดการศึกษา ศาสนา ศิลปะ
และวัฒนธรรม

มาตรา ให้กระทรวงมีองค์กรหลักที่เป็ นคณะบุคคลในรูปสภา หรือในรูปคณะกรรมการจำานวนสี่องค์กร ได้แก่


32 สภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการ
การอุดมศึกษา และคณะกรรมการการศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือให้คำา
แนะนำาแก่รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี และมีอำานาจหน้าที่อ่ ืนตามที่กฎหมายกำาหนด

มาตรา สภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณา เสนอนโยบาย แผน และมาตรฐาน


33 การศึกษาของชาติ นโยบาย และแผนด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การสนับสนุนทรัพยากร การ
ประเมินผลการจัดการศึกษา การดำาเนิ นการด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม รวมทั้งการพิจารณา
กลั่นกรองกฎหมาย และกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ี

ให้คณะกรรมการสภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย รัฐมนตรีเป็ นประธาน


กรรมการโดยตำาแหน่ ง จากหน่ วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผ้แ ู ทนองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ และกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่ง มีจำานวนไม่นอ้ ยกว่าจำานวนกรรมการ
ประเภทอื่นรวมกัน

ให้สำานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติเป็ น นิ ติบุคคล และให้


เลขาธิการสภาเป็ นกรรมการ และ เลขานุการ

จำานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกกรรมการ วาระการดำารงตำาแหน่ ง


และการพ้นจากตำาแหน่ ง ให้เป็ นไปตามที่กฎหมายกำาหนด

มาตรา องค์ประกอบของคณะกรรมการตามมาตรา ๓๔ ประกอบด้วย กรรมการโดยตำาแหน่ งจากหน่ วยงานที่


34 เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กร เอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ และผู้ทรง
คุณวุฒิซึ่งมีจำานวนไม่นอ
้ ยกว่าจำานวนกรรมการ ประเภทอื่นรวมกัน

จำานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธาน กรรมการและกรรมการ


วาระการดำารงตำาแหน่ ง และการพ้นจากตำาแหน่ งของคณะกรรมการแต่ละคณะ ให้เป็ นไปตามที่
กฎหมายกำาหนด ทั้งนี้ ให้คำานึ งถึงความแตกต่างของกิจการในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ
แต่ละคณะด้วย

ให้สำานักงานคณะกรรมการตามมาตรา 34 เป็ นนิ ติบุคคล และให้เลขาธิการ ของแต่ละสำานักงานเป็ น


กรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ
มาตรา ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาเป็ นนิ ติบุคคล และอาจจัดเป็ นส่วนราชการหรือเป็ น
35 หน่ วยงานในกำากับของรัฐ ยกเว้นสถานศึกษาเฉพาะทางตามมาตรา 21

มาตรา ให้สถานศึกษาดังกล่าวดำาเนิ นกิจการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหาร และการจัดการที่เป็ น


36 ของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำากับดูแลของสภาสถานศึกษา
ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษานั้นๆ

มาตรา การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาระดับ ตำ่ากว่าปริญญาให้ยึดเขตพื้นที่การ


37 ศึกษา โดยคำานึ งถึงปริมาณ สถานศึกษา จำานวนประชากรป็ นหลัก และความเหมาะสมด้านอื่นด้วย

ให้รัฐมนตรีโดยคำาแนะนำาของสภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติ มีอำานาจประกาศในราช


กิจจานุเบกษากำาหนดเขตพื้นที่การศึกษา

มาตรา ในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา ให้มีคณะกรรมการและสำานักงานการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขต


38 พื้นที่การศึกษา มีอำานาจหน้าที่ในการกำากับดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาระดับ
อุดมศึกษาระดับตำ่ากว่าปริญญา รวมทั้งพิจารณาการจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษา ประสาน ส่ง
เสริมและสนับสนุนสถานศึกษาเอกชน ในเขตพื้นที่การศึกษา ประสานและส่งเสริมองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น ให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบายและมาตรฐานการศึกษา ส่งเสริมและสนับ
สนุนการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน
ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบัน สังคมอื่นที่จัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย รวมทั้งการ
กำากับดูแลหน่ วยงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ในเขตพื้นที่การศึกษา

คณะกรรมการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขตพื้นที่การศึกษาประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรชุมชน


ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสมาคม ผู้ประกอบ วิชาชีพครู ผู้แทน
สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพบริหารการศึกษา ผู้แทนสมาคมผู้ปกครอง และครู ผู้นำาทางศาสนา และ
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม

จำานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธาน กรรมการและกรรมการ


วาระการดำารงตำาแหน่ ง และการพ้นจากตำาแหน่ ง ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

ให้ผู้อำานวยการสำานักงานการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขตพื้นที่การศึกษา เป็ นกรรมการและ


เลขานุการของคณะกรรมการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขตพื้นที่การศึกษา

มาตรา ให้กระทรวงกระจายอำานาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การ


39 บริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ไปยังคณะกรรมการและ สำานักงานการศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรมเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง

หลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำานาจดังกล่าว ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และสถานศึกษาระดับ อุดมศึกษาระดับตำ่ากว่าปริญญาของ


40 แต่ละสถานศึกษา เพื่อทำาหน้าที่ กำากับ และส่งเสริมสนับสนุน กิจการของสถานศึกษา ประกอบด้วยผู้
แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครู ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนศิษย์เก่าของ
สถานศึกษา และผู้ทรงคุณวุฒิ

จำานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธาน กรรมการและกรรมการ


วาระการดำารงตำาแหน่ ง และการพ้นจากตำาแหน่ ง ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

ให้ผู้บริหารสถานศึกษาเป็ นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการสถานศึกษา

ความในมาตรานี้ ไม่ใช้บังคับแก่สถานศึกษาตามมาตรา 18 (1) และ (3)


ส่วนที่ 2
การบริหารและการจัดการศึกษา ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน

มาตรา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิจัดการศึกษา ในระดับใดระดับหนึ่ งหรือทุกระดับตามความพร้อม


41 ความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่น

มาตรา ให้กระทรวงกำาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อม ในการจัดการศึกษาขององค์กร


42 ปกครองส่วนท้องถิ่น และมีหน้าที่ในการประสานและส่งเสริม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้
สามารถจัดการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา รวมทั้งการเสนอแนะการ
จัดสรรงบประมาณอุดหนุนการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ส่วนที่ 3
การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชน

มาตรา การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชนให้มีความเป็ นอิสระ โดยมีการกำากับ ติดตามการ


43 ประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากรัฐ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมิน
คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเช่นเดียวกับสถานศึกษาของรัฐ

มาตรา ให้สถานศึกษาเอกชนตามมาตรา 18 (2) เป็ นนิ ติบุคคล และมีคณะกรรมการบริหารประกอบด้วย ผู้


44 บริหารสถานศึกษาเอกชน ผู้รับใบอนุญาต ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนครู ผู้แทน
ศิษย์เก่า และผู้ทรงคุณวุฒิ

จำานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธาน กรรมการและกรรมการ


วาระการดำารงตำาแหน่ ง และการพ้นจากตำาแหน่ ง ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ให้สถานศึกษาเอกชนจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภท การศึกษาตามที่กฎหมายกำาหนด


45 โดยรัฐต้องกำาหนดนโยบาย และมาตรการที่ชัดเจน เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเอกชนในด้านการ
ศึกษา

การกำาหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษาของรัฐ ของเขตพื้นที่การศึกษา หรือขององค์กร


ปกครองส่วนท้องถิ่น ให้คำานึ งถึงผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของเอกชน โดยให้รัฐมนตรีหรือ
คณะกรรมการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้อง
ถิ่นรับฟั งความคิดเห็นของเอกชนและประชาชนประกอบการพิจารณาด้วย

ให้สถานศึกษาของเอกชนที่จัดการศึกษาระดับปริญญาดำาเนิ นกิจการได้ โดยอิสระ สามารถพัฒนา


ระบบบริหารและการจัดการที่เป็ นของ ตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภาย
ใต้การกำากับดูแลของสภาสถานศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

มาตรา รัฐต้องให้การสนับสนุนด้านเงินอุดหนุน การลดหย่อนหรือ การยกเว้นภาษี และสิทธิประโยชน์อย่าง


46 อื่นที่เป็ นประโยชน์ในทางการศึกษาแก่สถานศึกษาเอกชนตามความเหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมและ
สนับสนุนด้านวิชาการให้สถานศึกษาเอกชนมีมาตรฐานและสามารถพึ่งตนเองได้
https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65049
หมวด 6
มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา

มาตรา ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาทุกระดับ


47 ประกอบด้วย ระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการประกันคุณภาพภายนอก

ระบบหลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ให้หน่ วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกัน คุณภาพภายในสถานศึกษาและให้


48 ถือว่าการประกันคุณภาพ ภายในเป็ นส่วนหนึ่ งของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้องดำาเนิ นการ
อย่างต่อเนื่ อง โดยมีการจัดทำารายงานประจำาปี เสนอต่อหน่ วยงานต้นสังกัด หน่ วยงานที่เกี่ยวข้อง
และเปิ ดเผยต่อสาธารณชน เพื่อนำาไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพื่อรองรับ
การประกันคุณภาพภายนอก

มาตรา ให้มีสำานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็ นองค์การมหาชนทำา


49 หน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทำาการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อ
ให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำานึ งถึงความมุ่งหมายและหลักการ และแนวการ
จัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำาหนดไว้ในพระราชบัญญัติน้ี

ให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่ งครั้งใน ทุกห้าปี นับตั้งแต่


การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่ วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

มาตรา ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมเอกสารหลักฐาน ต่างๆ ที่มีขอ ้ มูลเกี่ยวข้องกับสถาน


50 ศึกษา ตลอดจนให้บุคลากร คณะกรรมการของสถานศึกษา รวมทั้งผู้ปกครองและผู้ท่ีมีส่วน
เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา ให้ขอ
้ มูลเพิ่มเติมในส่วนที่พิจารณาเห็นว่า เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจ
ของสถานศึกษา ตามคำาร้องขอของสำานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา หรือ
บุคคล หรือหน่ วยงานภายนอก ที่สำานักงานดังกล่าวรับรองที่ทำาการประเมินคุณภาพภายนอกของ
สถานศึกษานั้น

มาตรา ในกรณีท่ีผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้ ตามมาตรฐานที่กำาหนด ให้สำานักงาน


51 รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา จัดทำาข้อเสนอแนะการปรับปรุงแก้ไขต่อหน่ วยงาน
ต้นสังกัด เพื่อให้สถานศึกษาปรับปรุง แก้ไขภายในระยะเวลาที่กำาหนด หากมิได้ดำาเนิ นการดังกล่าว
ให้สำานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา รายงานต่อคณะกรรมการ การศึกษา
ขั้นพื้นฐานหรือคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อดำาเนิ นการให้มีการปรับปรุงแก้ไข

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65050
หมวด 7
ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา

มาตรา ให้กระทรวง ส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการ


52 ศึกษาให้มีคุณภาพ และมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็ นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกำากับและประสาน ให้
สถาบันที่ทำาหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความพร้อมและมี
ความเข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่ และการพัฒนาบุคลากร ประจำาการอย่างต่อเนื่ อง รัฐพึง
จัดสรรงบประมาณและจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากร ทางการศึกษาอย่างเพียงพอ

มาตรา ให้มอ
ี งค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา มีฐานะเป็ นองค์กรอิสระภายใต้
53 การบริหารของสภาวิชาชีพในกำากับของกระทรวง มีอำานาจหน้าที่กำาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและ
เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำากับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา

ให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผ้บ


ู ริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของรัฐและเอกชน
ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามที่กฎหมายกำาหนด

การจัดให้มอ
ี งค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาอื่น
คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้เป็ นไปตามที่
กฎหมายกำาหนด

ความในวรรคสองไม่ใช้บังคับแก่บุคลากรทางการศึกษาที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัย สถานศึกษาตาม
มาตรา 18 (3) ผู้บริหารการศึกษาระดับเหนื อเขตพื้นที่การศึกษาและวิทยากรพิเศษทางการศึกษา

ความในมาตรานี้ ไม่ใช้บังคับแก่คณาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาในระดับ


อุดมศึกษาระดับปริญญา

มาตรา ให้มอี งค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งของ


54 หน่ วยงานทางการศึกษาในระดับสถานศึกษาของรัฐ และระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็ นข้าราชการใน
สังกัดองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยยึดหลักการกระจายอำานาจการบริหารงาน
บุคคลสู่เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตามที่กฎหมายกำาหนด

มาตรา ให้มีกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิ ประโยชน์เกื้อกูลอื่น สำาหรับ


55 ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้มีรายได้ท่ีเพียงพอและเหมาะสมกับฐานะทางสังคม
และวิชาชีพ ให้มีกองทุนส่งเสริมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อจัดสรรเป็ นเงินอุดหนุน
งานริเริ่มสร้างสรรค์ ผลงานดีเด่น และเป็ นรางวัลเชิดชูเกียรติครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการ
ศึกษา ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา การผลิตและพัฒนาคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา การพัฒนามาตรฐานและจรรยาบรรณของ


56 วิชาชีพ และการบริหารงานบุคคลของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐในสถานศึกษาระดับปริญญาที่
เป็ นนิ ติบุคคล ให้เป็ นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษาแต่ละแห่งและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ให้หน่ วยงานทางการศึกษาระดมทรัพยากรบุคคลในชุมชนให้มี ส่วนร่วมในการจัดการศึกษาโดยนำา


57 ประสบการณ์ ความรอบรู้ ความชำานาญ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของบุคคลดังกล่าวมาใช้ เพื่อให้เกิด
ประโยชน์ทางการศึกษา และยกย่องเชิดชูผู้ท่ีส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษา

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65051
หมวด 8
ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา

มาตร ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน ทั้งจากรัฐ องค์กร


า 58 ปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชนเอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ
สถาบันศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่นและต่างประเทศมาใช้จัดการศึกษาดังนี้

1. ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยอาจจัดเก็บภาษีเพื่อ
การศึกษาได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตามที่กฎหมายกำาหนด

2. ให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน


องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นระดมทรัพยากรเพื่อ
การศึกษา โดยเป็ นผู้จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สิน และทรัพยากรอื่น
ให้แก่สถานศึกษา และมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและ
ความจำาเป็ น
ทั้งนี้ ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมและให้แรงจูงใจในการระดมทรัพยากรดังกล่าว โดย
การสนับสนุน การอุดหนุนและใช้มาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีตามความเหมาะสมและความ
จำาเป็ น ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตามที่กฎหมายกำาหนด

มาตร ให้สถานศึกษาของรัฐที่เป็ นนิ ติบุคคล มีอำานาจในการปกครอง ดูแล บำารุงรักษา ใช้ และจัดหาผล


า 59 ประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา ทั้งที่เป็ นที่ราชพัสดุตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ และที่เป็ น
ทรัพย์สินอื่น รวมทั้งจัดหารายได้จาก บริการของสถานศึกษา และเก็บค่าธรรมเนี ยมการศึกษาที่ไม่ขัด
หรือแย้งกับนโยบาย วัตถุประสงค์ และภารกิจหลักของสถานศึกษา

บรรดาอสังหาริมทรัพย์ท่ีสถานศึกษาของรัฐที่เป็ นนิ ติบุคคลได้มาโดยมีผู้อุทิศให้ หรือโดยการซื้อหรือ


แลกเปลี่ยนจากรายได้ของสถานศึกษา ไม่ถือเป็ นที่ราชพัสดุ และให้เป็ นกรรมสิทธิข ์ องสถานศึกษา

บรรดารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐที่เป็ นนิ ติบุคคล รวมทั้ง ผลประโยชน์ท่ีเกิดจากที่


ราชพัสดุ เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา และเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาการซื้อ
ทรัพย์สินหรือจ้างทำาของที่ดำาเนิ นการโดยใช้เงินงบประมาณ ไม่เป็ นรายได้ท่ีต้องนำาส่งกระทรวงการคลัง
ตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

บรรดารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐที่ไม่เป็ นนิ ติบุคคล รวมทั้งผลประโยชน์ท่ีเกิดจาก


ที่ราชพัสดุ เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา และเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาการซื้อ
ทรัพย์สินหรือจ้างทำาของที่ดำาเนิ นการโดยใช้เงินงบประมาณ ให้สถานศึกษาสามารถจัดสรรเป็ นค่าใช้
จ่ายในการจัดการศึกษาของสถานศึกษานั้นๆ ได้ตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำาหนด

มาตร ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาในฐานะที่มี ความสำาคัญสูงสุดต่อการพัฒนาที่ย่ังยืน


า 60 ของประเทศ โดยจัดสรรเป็ นเงินงบประมาณเพื่อการศึกษา ดังนี้

1. จัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็ นค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่เหมาะสมแก่ผู้เรียน การศึกษาภาคบังคับ


และการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดโดยรัฐและเอกชนให้เท่าเทียมกัน
2. จัดสรรทุนการศึกษาในรูปของกองทุนกู้ยืมให้แก่ผู้เรียนที่มาจากครอบครัว ที่มีรายได้นอ
้ ย ตาม
ความเหมาะสมและความจำาเป็ น
3. จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็ นพิเศษให้เหมาะสม และสอดคล้องกับ
ความจำาเป็ นในการจัดการศึกษาสำาหรับผู้เรียนที่มีความต้องการเป็ นพิเศษแต่ละกลุ่มตาม
มาตรา 10 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ โดยคำานึ งถึงความเสมอภาคในโอกาสทางการ
ศึกษาและความเป็ นธรรม ทั้งนี้ ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำาหนดในกฎกระทรวง
4. จัดสรรงบประมาณเป็ นค่าใช้จ่ายดำาเนิ นการ และงบลงทุนให้สถานศึกษา ของรัฐตามนโยบาย
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ และภารกิจของสถานศึกษา โดยให้มีอิสระในการบริหารงบ
ประมาณและทรัพยากรทางการศึกษา ทั้งนี้ ให้คำานึ งถึงคุณภาพและความเสมอภาคในโอกาส
ทางการศึกษา
5. จัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไปให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐที่เป็ น
นิ ติบุคคล และเป็ นสถานศึกษาในกำากับของรัฐหรือองค์การมหาชน
6. จัดสรรกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยตำ่าให้สถานศึกษาเอกชน เพื่อให้พึ่งตนเองได้

7. จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการศึกษาของรัฐและเอกชน

มาตร ให้รัฐจัดสรรเงินอุดหนุนการศึกษาที่จัดโดยบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กร


า 61 วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ตามความเหมาะสมและความจำาเป็ น

มาตร ให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตามและประเมินประสิทธิภาพ และประสิทธิผล การใช้จ่ายงบประมาณการ


า 62 จัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับหลักการศึกษา แนวการจัดการศึกษาและคุณภาพมาตรฐานการศึกษา
โดยหน่ วยงานภายใน และหน่ วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบภายนอก

หลักเกณฑ์ และวิธีการในการตรวจสอบ ติดตามและการประเมิน ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎ


กระทรวง

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65052
หมวด 9
เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

มาตรา รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำาและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ที่จำาเป็ นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง


63 วิทยุ โทรทัศน์ วิทยุ โทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำาหรับการศึกษาใน
ระบบการศึกษา นอกระบบการศึกษา ตามอัธยาศัย การทะนุบำารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตาม
ความจำาเป็ น

มาตรา รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพัฒนาแบบเรียน ตำารา หนังสือทางวิชาการ สื่อสิ่ง


64 พิมพ์อ่ ืน วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยเร่งรัดพัฒนาขีดความสามารถในการผลิต
จัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิต และมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
ทั้งนี้ โดยเปิ ดให้มีการแข่งขัน โดยเสรีอย่างเป็ นธรรม

มาตรา ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยี เพื่อการศึกษา เพื่อให้มีความรู้ ความ


65 สามารถ และทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้ เทคโนโลยีท่ีเหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ

มาตรา ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่


66 ทำาได้ เพื่อให้มีความรู้ และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยี เพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ด้วย
ตนเองได้อย่างต่อเนื่ องตลอดชีวิต

มาตรา รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งการ


67 ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ท่ีคุ้มค่าและ
เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย

มาตรา ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา จากเงินอุดหนุนของรัฐ ค่า


68 สัมปทาน และผลกำาไรที่ได้จากการดำาเนิ นกิจการด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และ
โทรคมนาคมจากทุกฝ่ ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรประชาชน รวมทั้งให้มีการลด
อัตราค่าบริการเป็ นพิเศษในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อการพัฒนาคนและสังคม

หลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อการผลิต การวิจัยและการพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการ


ศึกษา ให้เป็ นไปตามที่กำาหนดในกฎกระทรวง

มาตรา รัฐต้องจัดให้มีหน่ วยงานกลางทำาหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบาย แผน ส่งเสริม และประสานการวิจัย


69 การพัฒนาและการใช้ รวมทั้งการประเมินคุณภาพ และประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้
เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65053
บทเฉพาะกาล

มาตร บรรดาบทกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำาสั่ง เกี่ยวกับการศึกษา ศาสนา ศิลปะและ


า 70 วัฒนธรรม ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติน้ี ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปจนกว่าจะได้มีการ
ดำาเนิ นการปรับปรุง แก้ไข ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติน้ี ซึ่งต้องไม่เกินห้าปี นับแต่วันที่พระราช
บัญญัติน้ี ใช้บังคับ

มาตร ให้กระทรวง ทบวง กรม หน่ วยงานการศึกษา และสถานศึกษา ที่มีอย่ใู นวันที่พระราชบัญญัติน้ี ใช้บังคับ
า 71 ยังคงมีฐานะ และอำานาจหน้าที่เช่นเดิม จนกว่าจะได้มีการจัดระบบการบริหารและการจัดการศึกษา
ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติน้ี ซึ่งต้องไม่เกินสามปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติน้ี ใช้บังคับ

มาตร ในวาระเริ่มแรก มิให้นำาบทบัญญัติ มาตรา 10 วรรคหนึ่ ง และมาตรา 17 มาใช้บังคับ จนกว่าจะมีการ


า 72 ดำาเนิ นการให้เป็ นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งต้องไม่เกินห้าปี นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจักรไทยใช้บังคับ

ภายในหนึ่ งปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติน้ี ใช้บังคับ ให้ดำาเนิ นการออกกฎกระทรวง ตามมาตรา 16


วรรคสอง และวรรคสี่ ให้แล้วเสร็จ

ภายในหกปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติน้ี ใช้บังคับ ให้กระทรวงจัดให้มีการ ประเมินผลภายนอกครั้งแรก


ของสถานศึกษาทุกแห่ง

มาตร ในวาระเริ่มแรก มิให้นำาบทบัญญัติในหมวด 5 การบริหาร และการจัดการศึกษา และหมวด 7 ครู


า 73 คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา มาใช้บังคับจนกว่าจะได้มีการดำาเนิ นการให้เป็ นไปตาม
บทบัญญัติในหมวดดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 และพระ
ราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ.2543 ซึ่งต้องไม่เกินสามปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติน้ี ใช้บังคับ

มาตร ในวาระเริ่มแรกที่การจัดตั้งกระทรวงยังไม่แล้วเสร็จ ให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง


า 74 ศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย รักษาการตามพระราชบัญญัติน้ี และให้มอ ี ำานาจ
ออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติน้ี ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับ
อำานาจหน้าที่ของตน

เพื่อให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติน้ี ในส่วนที่ต้องดำาเนิ นการก่อนที่การจัดระบบบริหารการศึกษา


ตามหมวด 5 ของพระราชบัญญัติน้ี จะแล้วเสร็จ ให้กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย และคณะ
กรรมการการศึกษาแห่งชาติ ทำาหน้าที่กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตามพระราชบัญญัติ
นี้ โดยให้ทำาหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี

มาตร ให้จัดตั้งสำานักงานปฏิรูปการศึกษา ซึง ่ เป็ นองค์การมหาชน เฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาที่


า 75 ออกตามความ ในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อทำาหน้าที่ ดังต่อไปนี้
1. เสนอการจัดโครงสร้าง องค์กร การแบ่งส่วนงานตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 5 ของพระราช
บัญญัติน้ี
2. เสนอการจัดระบบครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 7 ของ
พระราชบัญญัติน้ี
3. เสนอการจัดระบบทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษาตามที่บัญญัติไว้ใน หมวด 8 ของพระ
ราชบัญญัติน้ี
4. เสนอแนะเกี่ยวกับการร่างกฎหมายเพื่อรองรับการดำาเนิ นการตาม (1) (2) และ (3) ต่อคณะ
รัฐมนตรี
5. เสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ และคำาสั่งที่บังคับใช้อยู่ใน
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำาเนิ นการตาม (1) (2) และ (3) เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติน้ี
ต่อคณะรัฐมนตรี
6. อำานาจหน้าที่อ่ ืนตามที่กำาหนดในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน

ทั้งนี้ ให้คำานึ งถึงความคิดเห็นของประชาชนประกอบด้วย

มาตรา ให้มีคณะกรรมการบริหารสำานักงานปฏิรูปการศึกษา จำานวนเก้าคน ประกอบด้วย ประธานกรรมการ


76 และกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และมีความ
เชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา การบริหาร รัฐกิจการบริหารงานบุคคล การงบประมาณการเงิน
และการคลัง กฎหมายมหาชน และกฎหมายการศึกษา ทั้งนี้ จะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมิใช่ข้าราชการ
หรือผู้ปฎิบัติงานในหน่ วยงานของรัฐรวมอยู่ด้วย ไม่นอ
้ ยกว่าสามคน

ให้คณะกรรมการบริหารมีอำานาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็ นที่ปรึกษา และแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการเพื่อ


ปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการบริหารมอบหมายได้

ให้เลขาธิการสำานักงานปฏิรูปการศึกษา เป็ นกรรมการและเลขานุการของ คณะกรรมการบริหาร และ


บริหารกิจการของสำานักงานปฏิรูปการศึกษาภายใต้การกำากับดูแลของคณะกรรมการบริหาร

คณะกรรมการบริหารและเลขาธิการมีวาระการดำารงตำาแหน่ งวาระเดียว เป็ นเวลาสามปี เมื่อครบวาระ


แล้วให้ยุบเลิก ตำาแหน่ งและสำานักงานปฏิรูปการศึกษา

มาตร ให้นายกรัฐมนตรีเป็ นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สำานักงานปฏิรูปการศึกษา และมีอำานาจ


า 78 กำากับดูแลกิจการของสำานักงานตามที่กำาหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน

นอกจากที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติน้ี พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำานักงานปฏิรูปการศึกษา อย่าง


น้อยต้องมีสาระสำาคัญ ดังต่อไปนี้
1. องค์ประกอบ อำานาจหน้าที่ และวาระการดำารงตำาแหน่ งของคณะรรมการ บริหาร ตามมาตรา
75 และมาตรา 76
2. องค์ประกอบ อำานาจหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา หลักเกณฑ์ วิธีการ สรรหา และการเสนอ
แต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร ตามมาตรา 77
3. คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามรวมทั้งการพ้นจากตำาแหน่ งของคณะกรรมการบริหาร
เลขาธิการ และเจ้าหน้าที่
4. ทุน รายได้ งบประมาณ และทรัพย์สิน
5. การบริหารงานบุคคล สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อ่ ืน
6. การกำากับดูแล การตรวจสอบ และการประเมินผลงาน
7. การยุบเลิก

8. ข้อกำาหนดอื่นๆ อันจำาเป็ นเพื่อให้กิจการดำาเนิ นไปได้โดยเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ

https://www.myfirstbrain.com/ThaiAll_view.aspx?Id=65054

You might also like