Professional Documents
Culture Documents
ปลินดา ระมิงควงศ
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาสตรีศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม
เมษายน 2550
เรื่องเพศนอกการแตงงาน: การตอรองดานเพศวิถีของผูหญิงไทยชนชั้นกลาง
ปลินดา ระมิงควงศ
วิทยานิพนธนี้เสนอตอบัณฑิตวิทยาลัยเพื่อเปนสวนหนึ่ง
ของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญา
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาสตรีศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม
เมษายน 2550
ค
กิตติกรรมประกาศ
การเรียนในระดับปริญญาโทของผูเขียนคงไมมีวันสําเร็จ ถาปราศจากกลุมบุคคลอันเปน
ที่รักและเคารพเหลานี้
กลุ ม คนที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด และมี พ ระคุ ณ มากที่ สุ ด ในชี วิ ต พ อ แม อากุ ง อาผ อ ยายเจี ย น
ที่ เ ห็ น ความสํ า คั ญ ของการศึ ก ษาและคอยสนั บ สนุ น ผู เ ขี ย นในทุ ก ๆ ด า นมาโดยตลอด และ
ขอขอบคุณเปนอยางมากตอญาติพี่นองทุกคนในครอบครัวของผูเขียน โดยเฉพาะอาปกวี่ ปาเกศ
อากูสายทอง อากูสิ่น อาปกนอย ปาโบ นาปอก และพี่โปง กับความชวยเหลือทางดานกําลังใจและ
คอยอยูเคียงขาง ชวยแกปญหาในยามที่ผูเขียนเกิดอาการทอแทและพรอมจะยอมแพกับอุปสรรค
ที่เกิดขึ้นระหวางทางไดทุกเมื่อ สิ่งที่ดีที่สุดในชวงเวลานั้นก็คือการที่ผูเขียนไดตระหนักถึงความรัก
ความหวังดี และซาบซึ้งถึงคํากลาวที่วา “ไมวาจะเกิดอะไรขึ้น คนในครอบครัวก็จะอยูเคียงขางเรา
เสมอ และไมมีวันทอดทิ้งกัน” ไดเปนอยางดี
ขอขอบพระคุ ณ รองศาสตราจารย ดร.ชลิ ด าภรณ ส ง สั ม พั น ธ อาจารย ที่ ป รึ ก ษา
วิทยานิพนธ ผูจุดประกายความสนใจในประเด็น sexuality ใหกับผูเขียน และกรุณาสละเวลามาดูแล
ใหคําปรึกษา และขัดเกลาใหวิทยานิพนธเลมนี้เปนรูปเปนรางขึ้นมา อาจารยไดใหโอกาสผูเขียน
ทําในเรื่องที่เขาใจยากและซับซอน ซึ่งจริงๆ แลวเปนเรื่องที่เกินกําลัง ความสามารถของผูเขียน
แตอาจารยก็อดทน และใหอภัยกับความไมเอาไหนของผูเขียน พรอมทั้งพยายามผลักดันผูเขียน
มาโดยตลอด จนทําสําเร็จไดในที่สุด “ขอบพระคุณอาจารยมากคะ” ขอขอบพระคุณ ดร.รมเย็น
โกไศยกานนท อาจารยผูมีพระคุณอีกทาน ผูซึ่งเปนมากกวาอาจารย แตเปนทั้งพี่และเพื่อน ถาไมมี
อาจารยโม วิทยานิพนธเลมนี้คงไมมีวันเสร็จได “ขอบคุณมากๆ นะคะพี่โมที่อยูดวยกันมาตลอด”
และขอขอบพระคุณกรรมการสอบอีกทาน คือพี่ผึ้ง หรือคุณณัฐยา บุญภักดี จากมูลนิธิสรางเสริม
ความเขาใจเรื่องสุขภาพผูหญิง (สคส) ที่กรุณาสละเวลามาอาน และเปนกรรมการสอบวิทยานิพนธ
ใหแมในชวงที่มีภารกิจรัดตัว นอกจากนี้ ปุยยังรูสึกวาพี่ผึ้งไดทําอะไรใหปุย มากกวาที่กรรมการ
สอบคนหนึ่งจะพึงทําใหกับนักศึกษา “ขอบพระคุณมากๆ จริงๆ คะ”
ขอกราบขอบพระคุณอยางสูงตอ รองศาสตราจารยวิระดา สมสวัสดิ์ ประธานหลักสูตร
ปริญญาโทสตรีศึกษา ที่กรุณามาเปนประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธของผูเขียน และอาจารย
ฉลาดชาย รมิตานนท อาจารยผูแสนใจดีและมีเมตตา ที่คอยใหกําลังใจ ใหความรูและมุมมองทาง
วิชาการแกผูเขียนเสมอ รวมไปถึงคณาจารยทุกทานที่กรุณาสละเวลามาสอน และชวยหลอหลอม
ง
ปลินดา ระมิงควงศ
จ
บทคัดยอ
ในแต ละสังคมมีกรอบความเชื่อเกี่ยวกับรูปแบบของเรื่องเพศหรือ วิถีปฏิบัติทางเพศ
ของคนในสั ง คมที่ ถู ก ต อ งชอบธรรม ซึ่ ง เป น เรื่ อ งเพศที่ เ ชื่ อ ว า เป น ปกติ และสอดคล อ งกั บ
สภาพตามธรรมชาติของมนุษยที่ถูกแบงออกเปนสองเพศ เนื่องจากเรื่องเพศเปนกิจกรรมที่เกี่ยวของ
กั บ การผลิ ต ซ้ํ า และเลี้ ย งดู ค นรุ น ต อ ไปให กั บ สั ง คม จึ ง ต อ งมี ก ารกํ า หนดควบคุ ม เรื่ อ งเพศให
เปนไปตามกรอบของสังคม เพื่อใหเกิดความความเรียบรอยและเปนประโยชนตอสังคมโดยรวม
เรื่องเพศที่ไดรับการยอมรับวาถูกตองดีงามจึงอยูในรูปแบบของการมีเพศสัมพันธระหวางเพศชาย
กับเพศหญิง ที่มีรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว ภายใตสถาบันการแตงงาน เปนไปเพื่อการเจริญพันธุ และ
เป น เรื่ อ งเพศที่ เ กิ ด จากความรั ก โดยมี ก ารมองคนที่ มี พ ฤติ ก รรมทางเพศแตกต า งออกไปจาก
กรอบดังกลาววาเปนปญหา หรือเปนความเจ็บปวยที่ตองไดรับการแกไขเพื่อใหสังคมกลับมาสู
ความสงบสุข ดังนั้น พฤติกรรมทางเพศที่ปจเจกแสดงออกมา หรือแมแตในระดับความคิดจิตใจของ
แตละคนนั้น ก็ไดนําเอากรอบเรื่องเพศดังกลาวมาเปนมาตรวัดวาสิ่งที่ตัวเองหรือคนอื่นๆ ไดทํา
นั้ นถูกต อง หรือเป นไปตามกรอบแล วหรื อ ไม การศึ ก ษาในครั้ ง นี้ จึ งเป นการศึ กษาว า เรื่องเพศ
นอกการแต ง งานของผู ห ญิ ง ไทยชนชั้ น กลางสองคนได ส ะท อ นรู ป แบบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม
ของสั ง คมหรื อ ไม อย า งไร และพฤติ ก รรมทางเพศของพวกเธอที่ ดู เ หมื อ นกั บ เป น การขั ดแย ง
ต อ กรอบที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว เ ฉพาะภายใต ก ารแต ง งานนั้ น เป น การต อ รองกั บ
กรอบดังกลาวอยางไร
ผลการศึกษาพบวา เรื่อ งเพศนอกการแตงงานของพวกเธอสะทอนความเชื่อในเรื่อง
เพศวิถีของสังคมแบบชายเปนใหญ ที่กําหนดใหเรื่องเพศเปนเรื่องของการมีความสัมพันธทางเพศ
ระหว า งชายหญิ งเท า นั้ น และเป นเรื่ อ งเพศที่ ผู กติ ดกั บความรั ก ทํ า ให พวกเธอเกิด ความเชื่อ ว า
การมีเพศสัมพันธกับคนรักเทานั้นจึงจะนําไปสูการมีความสัมพันธที่มั่นคง อยางไรก็ตาม ถึงแมวา
ฉ
พวกเธอจะมีประสบการณทางเพศนอกการแตงงานมาแลว แตพวกเธอก็ยังยอมรับวาการแตงงานคือ
การรองรับการมีเพศสัมพันธที่ถูกตอง เพื่อจะไดทําใหพอแมเกิดความสบายใจ เนื่องจากพวกเธอ
ตระหนั ก ดี ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งานของพวกเธอไม ใ ช เ รื่ อ งที่ ถู ก ต อ ง นอกจากนี้
เรื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอยั ง ถู ก เชื่ อ มโยงเข า กั บ ความเชื่ อ ในความสั ม พั น ธ แ บบ
ผัวเดียวเมียเดียวอีกดวย โดยมีการพยายามรักษาความสัมพันธแตละครั้งระหวางตัวเองกับคนรัก
ใหอยูในรูปแบบดังกลาว
ถึง แม ว า เรื่ องเพศของพวกเธอจะไม ได เ ปน ไปตามองค ป ระกอบของกรอบเรื่อ งเพศ
ที่ชอบธรรมพรอมๆ กันทุกอยาง แตพวกเธอก็พยายามทําใหเรื่องเพศของตัวเองเปนไปตามกรอบ
ดังกลาวใหมากที่สุด ดวยการใชวิธีการตอรองตางๆ ไมวาจะเปนการแบงแยกอาณาบริเวณเรื่องเพศ
ของตัวเองออกจากมิติอื่นๆ ของชีวิต เพื่อทําใหเรื่องเพศของตัวเองเปนเรื่องที่ไมถูกพูดถึง และทําให
พอกับแมสบายใจวาพวกเธอยังคงเปนลูกสาวที่ดีของพวกทานอยู หรือแมแตการใชวิธีการตอรอง
ดวยการเลือกใหความสําคัญกับบางองคประกอบของกรอบเพศที่ชอบธรรมในชวงเวลาที่แตกตาง
กันของแตละความสัมพันธ เพื่อทําใหพวกเธอรูสึกวาเรื่องเพศนอกการแตงงานของพวกเธอนั้น
ไมไดเปนเรื่องเพศที่ผิดไปจากกรอบทุกอยางโดยสิ้นเชิง และยังมีความสอดคลองกับกรอบดังกลาว
อยูดวย เพราะที่สุดแลวพวกเธอก็ยังคงใหความสําคัญกับเรื่องเพศ และมองวาเรื่องเพศเปนเครื่องมือ
ที่จะทําใหไดมาซึ่งสิ่งที่พวกเธอตองการ แมวาในบางครั้งความรักและความสัมพันธของพวกเธอ
จะนํ า มาซึ่ ง ความเสี ย ใจ ความผิ ด หวั ง หรื อ ความรู สึ ก ขั ด แย ง ภายในใจของพวกเธอก็ ต าม
ซึ่งความรูสึกตางๆ เหลานี้ หรือแมแตการตอรองของพวกเธอก็ลวนเกิดขึ้นจากการผูกเรื่องเพศและ
ความสัมพันธของตัวเองเขากับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และยังเปนการสะทอนวา
กรอบดังกลาวนั้นทํางานกํากับใหผูคนในสังคมเชื่อ และพยายามปฏิบัติตามอยางทรงพลังเพียงใด
ช
ABSTRACT
In any society, there are always dominant beliefs about which types of sexual behavior
are to be considered legitimate, normal, and natural. The dominant beliefs are often justified by
saying that sex is related to the reproduction of the next generation, so society needs to control
sexual matters for the benefit and peace of the whole society. In Thai society, sex that is
considered good and proper is heterosexual and monogamous, performed only under the
institution of marriage and for the purpose of reproduction, and should also involve romantic
love. Those who practice different sexual behaviors are considered either troublesome or sick,
and need to be corrected or cured in order to keep society peaceful. Hence, individuals' sexual
behaviors and even desires are judged within this framework of legitimate sex. This study aims
to understand how individuals whose behavior seems to reject the dominant norms may still
negotiate their own sexual behavior within the framework of legitimacy. This study closely
examines two middle-classed women who engage in non-marital sex, and how they negotiate
their actions in a way that reflects dominant norms about legitimate sexual behavior.
The study concludes that these women's practice of sex outside marriage reflects
patriarchal society’s sexuality, which only approves of heterosexuality, and sex tied to romantic
love. That is why these women believe that only sex with men that they love can lead to stable
and secure relationships. However, despite experiencing sex outside marriage, they accept that
marriage would legitimize their sexual relations, to their parents' relief, as the women are fully
aware that non-marital sex is not acceptable. The women continue to value the idea of
monogamy and try to enforce it within their relationships with boyfriends.
ซ
Even though their sexuality does not conform to every aspect of dominant sexual
norms, they try their best to follow society's expectations by negotiating their behavior in several
ways. For example, they keep the sexual sphere of their lives separate from other areas of life, so
that their sexuality is not visible and does not upset their parents’ belief that they are still good
daughters. They also select some other aspects of accepted sexual behavior at different times in
order to ensure themselves that their non-marital sex does not go completely against the
framework, but instead conforms in some ways. These women view their sexuality as important
and consider it a means to get what they want, even though some of their relationships bring with
them sadness, disappointment, and emotional conflicts. This study concludes that these
conflicting emotions are caused by the women's efforts to make their sexuality conform to social
norms about legitimate sex, which powerfully control people’s beliefs and behaviors.
ฌ
สารบัญ
หนา
กิตติกรรมประกาศ ค
บทคัดยอภาษาไทย จ
บทคัดยอภาษาอังกฤษ ช
บทที่ 1 บทนํา 1
ความสําคัญของปญหา 1
คําถามในการวิจัย 5
วัตถุประสงคในการวิจัย 6
นิยามศัพทเฉพาะ 6
ผลที่คาดวาจะไดรับ 7
สรุป 8
บทที่ 2 เรื่องเพศ: กรอบเพศที่ชอบธรรม 9
เพศวิถี: เรื่องธรรมชาติหรือการประกอบสรางจากสังคม 9
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม: รูปแบบของเรื่องเพศที่ไดรับการยอมรับ 11
การปลูกฝงแนวคิดหญิงดีในสังคมไทย 15
เรื่องเพศของผูหญิงและผลประโยชนของผูชาย 17
ผูหญิงในฐานะผูตอรอง 20
งานวิจัยที่เกี่ยวของ 23
กรอบคิดในการศึกษา 29
สรุป 30
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 32
แนวทางการวิจัย 32
กระบวนการวิจัย 33
วิธีการเก็บขอมูล 35
ผูใหขอมูล 37
จุดยืนและขอจํากัดของผูวิจัย 38
การวิเคราะหและนําเสนอขอมูล 40
ญ
สารบัญ (ตอ)
หนา
บทที่ 4 เรื่องเพศนอกการแตงงาน 42
เรื่องเลาของพิม 42
เรื่องเลาของจูน 67
สรุป 91
บทที่ 5 เรื่องเพศที่ชอบธรรมและการตอรอง 92
มุมมองตอเรื่องเพศกับกรอบเพศที่ชอบธรรม 93
การนิยามความหมายเรื่องเพศ 93
เรื่องเพศกับความรัก 94
เรื่องเพศและการแตงงาน 99
เรื่องเพศและความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว 102
การตอรองกับกรอบเพศที่ชอบธรรม 106
การใหความสําคัญกับการมีเพศสัมพันธ 108
การใหความสําคัญกับความพึงพอใจที่มีตอกัน 110
การใหความสําคัญกับความมั่นคงในความสัมพันธ 111
การใหความสําคัญกับความสัมพันธครั้งใหมที่คิดวาดีกวา 113
สรุป 115
บทที่ 6 สรุปและขอเสนอแนะ 117
ขอเสนอแนะ 121
บรรณานุกรม 122
ประวัติผูเขียน 126
บทที่ 1
บทนํา
ความสําคัญของปญหา
ผูใดเกิดเปนสตรีอันมีศักดิ์ บํารุงรักกายไวใหเปนผล
สงวนงามตามระบอบใหชอบกล จึงจะพนภัยพาลการนินทา
...
เปนสาวแสแรรวยสวยสะอาด ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีคา
แมนแตกราวรานรอยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง
สุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู (2380)
(อางใน เชื้อชื่น ศรียาภัย และ นล นรากร, 2520: 22)
เรื่ อ งเพศหรื อ sex ถู ก มองว า เป น เรื่ อ งที่ เ ป น ส ว นตั ว ของมนุ ษ ย และเกี่ ย วข อ งกั บ
ความต อ งการทางธรรมชาติ ห รื อ แรงกระตุ น ที่ ถู ก ฝ ง อยู ภ ายในแต ล ะบุ ค คล การมองเรื่ อ งเพศ
ในลักษณะดังกลาวทําใหเกิดการแบงแยกวา เรื่องเพศและพฤติกรรมทางเพศที่ถูกตองดีงามคือ
เรื่ องเพศที่มีลั กษณะสอดคลองกับ ธรรมชาติ ในขณะที่รูปแบบของเรื่อ งเพศที่แ ตกตา งออกไป
ถูกมองวาผิดปกติ เพราะไมสอดคลองกับธรรมชาติ อยางไรก็ตาม การมองเรื่องเพศในลักษณะนี้
ถูกทาทายโดยแนวคิดที่มองวา แทจริงแลววิถีและกฎเกณฑในเรื่องเพศเปนสิ่งถูกประกอบสรางจาก
สังคมมากกวา เพราะความตองการทางเพศอาจเปนความตองการทางธรรมชาติของมนุษยก็จริง
แต จ ะต อ งการแบบไหน หรื อ จะตอบสนองความต อ งการด ว ยวิ ธี ไหนนั้ นเป นผลมาจากระบบ
ความเชื่อความหมายของสังคม และความแตกตางระหวางบุคคล (Catherine A. Mackinnon, 1995
อางใน ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2549: 25) เรื่องเพศจึงไมใชเรื่องธรรมชาติทั้งหมดแตประกอบ
ไปดวยระบบการใหความหมายที่มนุษยสรางขึ้น สงผลใหความปรารถนาทางเพศและพฤติกรรม
ทางเพศที่ ถู ก จั ดว า เป นแง มุ ม ส ว นตั ว ของคนในสั ง คม กลั บ กลายเป น เรื่ อ งที่ ถู ก ควบคุ ม กํ า กั บ
อยางเขมงวดจากสังคม ศาสนาและรัฐ มีการใชมาตรฐานทางศีลธรรมหรือผลกระทบที่มีตอสังคม
โดยรวมมาเปนตัวกํากับควบคุมการแสดงออกและความสัมพันธทางเพศของคนในสังคม มากกวา
จะใชเรื่องของความพึงพอใจหรือผลกระทบตอคนที่เกี่ยวของมาเปนตัวตัดสิน (Gail Hawks, 1996
อางใน เรื่องเดียวกัน: 25-26) ในแตละสังคมมีชุดความเชื่อและมาตรฐานหลักเกี่ยวกับเรื่องเพศ
2
1
“เวลาอันควร” ในบริบทนี้หมายถึง การแตงงานที่ไดรับการยอมรับทั้งทางดานกฎหมายและทางสังคม
3
หรื อ ได รั บ การยิ น ยอมจากสั ง คม นอกจากนี้ คนในสั ง คมยั ง ใช ก รอบดั ง กล า วเป น แนวทาง
ในการจัดการผูหญิงที่ไมสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองไวได อยางเชนใชวิธีการติฉินนินทา
หรือตีตราวาผูหญิงที่ไมทําตามกรอบนี้เปนผูหญิงที่ไมมีคุณคา ซึ่งเทากับวานอกจากจะปลูกฝงให
ผู ห ญิ ง เชื่ อ และทํ า ตามกรอบนี้ แ ล ว กรอบดั ง กล า วยั ง เป น แนวทางให ผู ค นในสั ง คมเชื่ อ ตาม
และนํามาใชตัดสินการแสดงออกทางเพศของผูหญิงดวย กลายเปนรูปแบบของการควบคุมกํากับ
เรื่ อ งเพศของคน ให เ ป น ไปตามเรื่ อ งเพศที่ สั ง คมเชื่ อ ว า ถู ก ต อ งเหมาะสมหรื อ ดี ง าม
โดยกรอบดังกลาวจะทํางานกับผูคน ผานการขัดเกลาจากสถาบันตางๆ ของสังคมในรูปแบบที่
แตกตางกัน
การผูกคุณคาของผูหญิงไวกับการรักษาพรหมจรรยจนกวาจะแตงงาน เปนกรอบเรื่องเพศ
ที่สังคมไมไดนําไปใชกับผูชาย จึงเห็นไดชัดวาผูชายไดรับการผอนปรนในเรื่องทางเพศมากกวา
ซึ่งนักสตรีนิยมมองวาเปนเพราะระบบปตาธิปไตย (patriarchy) หรือระบบชายเปนใหญ ไดเขามา
ครอบงํ า สั ง คมในทุ ก ๆ ด า น รวมถึ ง เนื้ อ ตั ว ร า งกาย และการสื บ พั น ธุ ข องผู ห ญิ ง ด ว ย กล า วคื อ
ความเปนแม (motherhood) รวมถึงรูปแบบเพศวิถีแบบรักตางเพศ (heterosexuality) ไดถูกทําให
กลายเป น สถาบั น ที่ ถู ก ทํ า ให เ ป น ที่ ย อมรั บ ทางสั ง คม หรื อ ถู ก ส ง ทอดมาเป น เวลานาน ดั ง นั้ น
ประสบการณ ต า งๆ ในความเป น แม ห รื อ เรื่ อ งเพศระหว า งชายหญิ ง จึ ง ได ถู ก สร า งขึ้ น เพื่ อ
รั บ ใช ผ ลประโยชน ข องผู ช าย ถ า หากมี พ ฤติ ก รรมที่ ไ ม ส อดคล อ งกั บ ทั้ ง สองสถาบั น นี้ เช น
การทองไมมีพอ การทําแทง หรือการเปนหญิงรักหญิง พฤติกรรมเหลานี้จะถูกมองวาเปนพฤติกรรม
ที่เบี่ยงเบนหรือเปนอาชญากรรม ทั้งนี้เพราะทั้งสถาบันความเปนแมและเพศวิถีแบบรักตางเพศ
ถือวาเป นสิ่ งสํา คัญของการอยูรอดของระบบชายเปนใหญ จึง ทํา ใหทั้งสองสถาบันนี้ถูกอา งวา
เปนสัจธรรมและเปนธรรมชาติในตัวของมันเอง (Adrienne Rich, 1986 อางใน วารุณี ภูริสินสิทธิ์,
2545: 97-98)
ดังนั้น เมื่อปรากฏรูปแบบพฤติกรรมทางเพศของผูหญิง ที่เปนการสั่นคลอนรูปแบบของ
เรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรมของสังคมขึ้น ปฏิบัติการรูปแบบตางๆ เชน การประณามหรือลงโทษ
ผูที่ทําผิดเพื่อไมใหเปนเยี่ยงอยาง หรือการรณรงคใหคนเห็นคลอยในแงมุมที่ดีงามของการปฏิบัติตัว
อยู ใ นกรอบ หรื อ ในระเบี ย บที่ ค วรปฏิ บั ติ จึ ง เกิ ด ขึ้ น พร อ มกั น โดยไม ไ ด นั ด หมายจากหลายๆ
ภาคส ว น ไม ว า จะเป น สถานศึ ก ษา หน ว ยงานของรั ฐ สื่ อ มวลชน หรื อ แม แ ต ส ว นที่ เ ล็ ก ที่ สุ ด
ของสังคมคือภายในครอบครัว โดยมีเปาหมายคือการชี้ชวนใหเห็นวาการกระทําที่ไมเปนไปตาม
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมเชนนี้กอใหเกิดผลเสียอยางไรบาง ทั้งตอตนเอง ครอบครัวและสังคม
โดยรวม ยกตัวอยางเชน การออกมาแสดงความวิตกกังวลตอปญหา “การสําสอนทางเพศ” และ
การมีเพศสัมพันธในวัยเรียนของวัยรุนวาจะนําไปสูปญหาอื่นๆ ตามมา เชนปญหาเรื่องโรคเอดส
4
คําถามในการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้มีคําถามที่ตองการทราบวา ผูหญิงไทยชนชั้นกลางมีมุมมองอยางไร
ต อ เรื่ อ งเพศของตั ว เอง และมุ ม มองของพวกเธอนั้ น สะท อ นกรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม
(legitimate sex) ของสั ง คมหรื อ ไม และพวกเธอมี วิ ธี ก ารต อ รอง/โต แ ย ง และให เ หตุ ผ ลกั บ
การตอรอง/โตแยงตอกรอบดังกลาวอยางไร
6
วัตถุประสงคในการวิจัย
1. เพื่อศึกษามุมมองของผูหญิงชนชั้นกลางที่มีตอกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม
2. เพื่อศึกษาวิธีการตอรองตลอดจนการใหเหตุผลที่พวกเธอใชในการตอรองกับกรอบ
ดังกลาว
3. เพื่อเป นการเปดพื้ นที่ใหกับสตรีศึ กษาไทยไดมี โอกาสสรา งความรู จากชีวิต และ
ประสบการณ ข องผู ห ญิ ง ที่ มี พ ฤติ ก รรมทางเพศในรู ป แบบที่ แ ตกต า งซึ่ ง มี ค วาม
ประสงคจะเปดเผยถึงความเปนตัวตนและความตองการของตนเองในมิติดังกลาว
ดวยการศึกษาจากมุมมองแบบสตรีนิยม (feminist perspective)
นิยามศัพทเฉพาะ
เรื่องเพศนอกการแตงงาน ในงานศึกษาชิ้นนี้หมายถึงการมีเพศสัมพันธที่ไมไดเกิดขึ้น
ภายใตเ งื่อนไขของการแต งงานในแงของพิ ธีกรรมและกฎหมาย ระหวา งตัวผู ใหขอมูลซึ่งเปน
ผูหญิงไทยชนชั้นกลางกับคูรักหรือคูนอนของเธอ
เพศวิถี (sexuality) หมายถึง ระบบความเชื่อ ความหมายเรื่องเพศ หรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับ
ความปรารถนาทางเพศของมนุษย ซึ่งเปนไดมากกวาพฤติกรรมทางธรรมชาติ
เรื่องเพศที่ชอบธรรม (legitimate sex) หมายถึง รูปแบบของความสัมพันธทางเพศซึ่งถูก
ประกอบสร า ง ถ า ยทอดและส ง ผ า นจากกลุ ม คนหรื อ องค ก รที่ มี อํ า นาจในสั ง คม เพื่ อ ให ค น
ในสังคมเขาใจวาเปนรูปแบบของเพศวิถีที่ถูกตองและชอบธรรม ผูใดประพฤติปฏิบัติในเรื่องเพศ
ตามกรอบนี้จะไดรับ การยอมรั บจากทั้ ง ระดับ บุคคล องค กรในสั ง คมและระดั บรัฐ กรอบหรื อ
รูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมไดแกเรื่องเพศที่เกิดขึ้นภายใตสถาบันการแตงงานในรูปแบบ
ผัวเดียวเมียเดียว เปนไปเพื่อการเจริญพันธุ และเปนเรื่องเพศที่เกิดจากความรัก ไมใชเรื่องเพศเพื่อ
การคา
การมีเพศสัมพันธ ในงานศึกษาชิ้นนี้หมายถึง การมีความสัมพันธทางเพศระหวางหญิง
ชายที่มีรูปแบบของการสอดใสอวัยวะเพศชายในอวัยวะเพศหญิง (vaginal intercourse)
ผู ห ญิ ง ชนชั้ น กลาง ในงานศึ ก ษาชิ้ น นี้ ห มายถึ ง ผู ห ญิ ง ไทยสองคนที่ จ บการศึ ก ษา
ในระดับอุดมศึกษา และมีหนาที่การงานที่ไดรับการยอมรับ กลาวคือเปนพนักงานรัฐวิสาหกิจและ
พนักงานโรงแรม ซึ่งเปนอาชีพที่ถูกจัดอยูในกลุมอาชีพที่มีพื้นฐานทางวัตถุ (รายไดและความมั่นคง
ในงาน) ใกล เ คี ย งกั น ตามเกณฑ ก ารจั ด ลํ า ดั บ การเป น ชนชั้ น กลางในสั ง คมทุ น นิ ย ม (วรวิ ท ย
เจริญเลิศ, 2536: 130)
7
การรักนวลสงวนตัว ในที่นี้จะขอตีความหมายตามความเขาใจของคนทั่วไปที่หมายถึง
การที่ผูหญิงรักษาความบริสุทธิ์ หรือพรหมจรรยของตัวเองไวจนกวาจะถึงวันแตงงานกับผูชายที่เธอ
และครอบครัวหรือเครือญาติเลือกแลววาจะใหมาเปนคูชีวิตเพียงคนเดียว
การตอรอง (contestation) ในการศึกษานี้ ผูเขียนขอใหคําจํากัดความวาคือปฏิบัติการ
ตางๆ ของผูใหขอมูลกับกรอบเรื่องเพศของสังคม ซึ่งเปนไดทั้งการสยบยอม ยอมตาม การตอตาน
ขัดขืนตอกรอบดังกลาว และเปนปฏิบัติการที่มีความเลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา
ผลที่คาดวาจะไดรับ
ผลจากการศึกษาในครั้งนี้ สามารถนํามาซึ่งการเพิ่มรายละเอียดใหกับสังคมในประเด็น
เรื่องเพศวิถีอีกชุดหนึ่ง ที่สรางผานจากมุมมองและประสบการณตรงของผูหญิงไทยชนชั้นกลาง
ทั้งสองคนนี้ เนื่องจากที่ผานมา ความรูเกี่ยวกับเรื่องเพศมักจะถูกนําเสนอผานมุมมองของผูที่อางตน
เปน “ผูรู” หรือผูมีอํานาจในการกําหนดมาโดยตลอด ซึ่งความรูอีกชุดที่จะไดมานี้อาจกอใหเกิด
ความเข า ใจในเรื่ อ งดั ง กล า วมากขึ้ น ในระดั บ ที่ เ ป น รายละเอี ย ดปลี ก ย อ ยที่ เ ฉพาะเจาะจงของ
แตละปจเจก ซึ่งอาจสงผลสะทอนถึงปรากฏการณภาพโดยรวม และอาจทําใหสังคมหันกลับมา
ทบทวนกรอบเรื่ อ งเพศดั ง กล า ว ว า ถึ ง เวลาที่ ค วรปรั บ เปลี่ ย นมุ ม มอง หรื อ ทั ศ นคติ ที่ มี ต อ ผู ที่ มี
พฤติกรรมทางเพศไมเปนไปตามกรอบของสังคมแลวหรือไม และนอกจากการปรับเปลี่ยนมุมมอง
เกี่ยวกับเรื่องทางเพศแลว วิธีการศึกษาจากประสบการณชีวิตจริงของบุคคลเชนนี้อาจจะนําไปสู
การปรั บ เปลี่ ย นมุ ม มอง หรื อ วิ ธี คิ ด ในประเด็ น อื่ น ๆ ของสั ง คมได อี ก ด ว ย แต ทั้ ง นี้ ผู เ ขี ย น
ก็ ไ ม ส ามารถอ า งได ว า ผลการศึ ก ษาที่ ไ ด ใ นครั้ ง นี้ จ ะสามารถนํ า มาเป น ตั ว แทนความคิ ด ของ
ผู ห ญิ ง ไทยชนชั้ น กลางทั้ ง หมดในสั ง คมไทยได แต อ าจจะเป น หนึ่ ง ในชุ ด ความรู เ รื่ อ งเพศวิ ถี
ที่จะปรากฏและอาจสงผลกระทบตอสังคมไทยโดยรวมไดบางเชนกัน
ผูเขียนเชื่อวา การมองเรื่องเพศและการตอรองอยางพินิจพิเคราะหจากแงมุมของผูหญิง
ที่ ไ ด รับ อิ ทธิ พ ลจากกรอบเพศวิ ถี ของสั งคม จะทํา ให เ ราสามารถทํ า ความเข า ใจความแตกต า ง
หลากหลาย ความสลับซับซอน และการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาของคนในสังคม
ไดมากขึ้น การพยายามศึกษาเรื่องเพศที่มีการนําเอาเรื่องเพศภาวะและชนชั้นมาศึกษาผานมุมมอง
แบบสตรีนิยม จะชวยใหเรามองเรื่องเพศในสังคมไดอยางเปดกวาง และสอดคลองกับปรากฏการณ
ที่เปนอยู ซึ่งนาจะมีประโยชนตอการกําหนด วาอะไรเปนปญหา อะไรไมใชปญหา หรือเรื่องที่เคย
คิ ดว า เป นป ญ หา อาจไม ใ ช ป ญหาเลยก็ ได หรื อ ถ า เป นป ญ หาก็ เ ป นแค ปญ หาของคนกลุ ม หนึ่ ง
แตไมใชปญหาในทัศนะของคนอีกกลุมหนึ่งก็เปนได ผลการศึกษาที่ไดในครั้งนี้อาจจะนําไปสู
8
สรุป
สังคมไทยมีลักษณะพหุนิยมทางจริยศาสตร ซึ่งหมายถึงสังคมที่มีการปะทะหรือตอรอง
ของมาตรฐาน หรือชุดความเชื่อตางๆ ของผูคน รูปแบบเพศวิถีของผูหญิงไทยกลับเปนประเด็นหนึ่ง
ที่ยังคงถูกตีกรอบใหเปนไปในรูปแบบที่สังคมกระแสหลักตองการ โดยมีการโจมตีหรือลงโทษ
ผูหญิงที่ไมไดอยูในกรอบดังกลาววาเปนตนเหตุที่ทําใหเกิดปญหาสังคมตางๆ ขึ้น ดังนั้น การสํารวจ
มุมมองในเรื่องเพศนอกการแตงงานของผูหญิง และเปดพื้นที่ใหพวกเธอ ผูที่ไดมีการตอรองกับ
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม ไดมีโอกาสออกมาพูดในประสบการณเรื่องเพศ ไดแสดง
ความคิดเห็น และสํารวจความรูสึกของตัวเองที่มีตอกรอบเรื่องเพศที่สังคมกําหนดจึงเปนสิ่งที่
ไมควรมองขาม รวมไปถึงการศึกษารูปแบบการตอรองกับกรอบดังกลาว และการใหเหตุผลตอการ
ต อ รองของผู ห ญิ ง แต ล ะคนนั้ น ล ว นเป น ประเด็ น สํ า คั ญ ที่ จ ะทํ า ให สั ง คมเกิ ด ความเข า ใจใน
เรื่ อ งกรอบเพศวิ ถี จ ากตั ว ตนของผู ห ญิ ง เอง และเป น วั ต ถุ ป ระสงค ห ลั ก ของการศึ ก ษาครั้ ง นี้
ในสวนของการนําเสนอเนื้อหาของการศึกษาครั้งนี้ ผูเขียนไดแบงออกเปนบทตางๆ ดังนี้
บทที่ 1 บทนํา
บทที่ 2 เปนการนําเสนอแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของ
บทที่ 3 นําเสนอเรื่องระเบียบวิธวี ิจัยที่ใชในการศึกษาครั้งนี้
บทที่ 4 เปนการถายทอด “เรื่องเลา” ของผูใหขอมูล
บทที่ 5 เปนการวิเคราะหมุมมองในเรื่องเพศของผูใหขอมูลและวิธีการตอรองกับกรอบ
เรื่องเพศที่ชอบธรรมจากเรื่องเลาของพวกเธอ
บทที่ 6 เปนบทสรุปผลการศึกษาและขอเสนอแนะ
บทที่ 2
เรื่องเพศ: กรอบเพศที่ชอบธรรม
ในบทนี้จะเปนการนําเสนอแนวคิดที่เกี่ยวของกับการศึกษามุมมองเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ของผู ห ญิ ง ไทยชนชั้ น กลางสองคน ที่ ดํ า เนิ น ชี วิ ต ทางเพศนอกการแต ง งาน และถู ก มองว า
เป นการกระทําที่ ผิดไปจากที่ สังคมยอมรั บ วา ไดสะทอ นความเชื่ อ ความหมายเกี่ ยวกับเพศวิถี
ของตั วเองและของสังคม โดยแนวคิดที่เ กี่ยวข องที่จ ะนํา มาใช ในงานศึกษาชิ้นนี้ ไดแ กแ นวคิด
เรื่องเพศวิถี (sexuality) แนวคิดเรื่องรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรม (legitimate sex) แนวคิด
เรื่ อ งหญิ ง ดี -หญิ ง เลว (good girl-bad girl) แนวคิ ด เรื่ อ งรู ป แบบของเพศวิ ถี ข องผู ห ญิ ง ในสั ง คม
ชายเป น ใหญ และสุ ด ท า ยคื อ แนวคิ ด เรื่ อ งการมองผู ห ญิ ง ในแง ข องการเป น ผู ก ระทํ า (agent)
ที่ แ สดงออกในรู ป แบบของการเป น ผู ต อ รอง (contest) กั บ กรอบเพศวิ ถี ใ นรู ป แบบต า งๆ ได
ซึ่งจะนํามาเปนแนวทางในการศึกษา และวิเคราะหเรื่องเลาของผูใหขอมูลทั้งสองคน และในสวนที่
ตามมาจะเปนเรื่องของการนําเสนองานวิจัยที่เกี่ยวของ ที่เคยมีผูศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของพฤติกรรม
การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานของคนในสังคม โดยจะเนนที่กลุมวัยรุนเนื่องจากเปนกลุมที่ถูกมอง
ว า ยั ง ไม ส มควรเกี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งเพศ และผู เ ขี ย นคิ ดว า เป น กลุ ม ที่ น า จะมี ป ฏิ กิ ริ ย าสนองตอบ
ตอกรอบที่ควบคุมเรื่องเพศของสังคมไดชัดเจนที่สุดกลุมหนึ่ง และสวนสุดทายของบทจะเปนการ
สรุปทายบท
เพศวิถี: เรื่องธรรมชาติหรือการประกอบสรางจากสังคม
ที่ ผ า นมามี ค วามพยายามให คํ า อธิ บ าย หรื อ ให ค วามหมายเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศ
ในสองแนวทางหลักใหญๆ ดวยกัน คือการมองเรื่องเพศในแนวทางสารัตถะนิยม (essentialism)
ที่มองวาเรื่องเพศคือแรงขับ หรือสัญชาตญาณทางธรรมชาติที่ตองการตอบสนองผานการมีกิจกรรม
ทางเพศ ซึ่ ง การมองแบบนี้ ทํ า ให ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ เพศตรงข า มกลายเป น เรื่ อ งปกติ ห รื อ
เรื่ อ งธรรมชาติ เพศวิ ถี เ ป นเรื่ อ งของการเจริ ญ พั น ธุ (reproduction) ด ว ยการมี เ พศสั ม พั น ธ แ บบ
สอดใส ท างช อ งคลอด (vaginal intercourse) เพศวิ ถี ใ นความหมายดั ง กล า วถู ก มองว า เป น
ปรากฏการณ ท างธรรมชาติ ที่ เ ป น สากล เปลี่ ย นแปลงไม ไ ด แ ละเป น ส ว นหนึ่ ง ของลั ก ษณะ
ทางชีววิทยาของแตละบุคคล (Diane Richardson, 1997: 155) ซึ่งลักษณะทางชีววิทยานั้นเกิดขึ้น
พรอมกับฮอรโมนและลักษณะทางกายและโครโมโซมบางอยางที่กําหนดวาเราเปนเพศชายหรือ
เพศหญิ ง ผูช ายนั้นเกิดมาพรอ มคุ ณลักษณะของความเป นเพศชายบางอยาง ไมว า จะเป นความ
10
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม: รูปแบบของเรื่องเพศที่ไดรับการยอมรับ
มนุษยในสังคมนั้นพยายามดําเนินชีวิตทางเพศไปภายใตอิทธิพลของการประกอบสราง
กฎเกณฑและกติกาของสถาบันทางสังคมตางๆ เพื่อใหเกิดประโยชนและความสงบเรียบรอยของ
สังคมโดยรวม (Geoff Danaher, et al., 2000: 137) ซึ่งปรากฏในรูปแบบของเรื่องเพศที่ยอมรับได
หรือถูกตองชอบธรรม โดยแตละสังคมตางก็มีชุดของความเชื่อและมาตรฐานเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ที่ ป กติ ที่ เ ชื่ อ กั นว า สะท อ นหรือ สอดคล องกั บธรรมชาติ ระบบความเชื่ อ นี้ ช ว ยให คนในสั ง คม
แยกแยะเรื่องเพศที่ถูกตองเหมาะสม ที่เปนวิถีที่คนสวนใหญถูกคาดหวังใหปฏิบัติตาม ออกจาก
เรื่ อ งเพศที่ ผิ ดปกติ ห รื อ ไม เ ป น ที่ ย อมรั บ พร อ มทั้ ง มี ก ลไกในการควบคุ ม ให ส มาชิ ก ของสั ง คม
ประพฤติอยูในแนวทางที่ถูกตองชอบธรรมนี้ ทั้งโดยการกํากับตนเองและกํากับผูอื่น (ชลิดาภรณ
สงสัมพันธ, 2549: 26)
12
พฤติกรรมนอกสมรสทุกรูปแบบนั้นสงผลกระทบตอความมั่นคงของประชากรและประเทศได
(ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2547 ก) รูปแบบของเพศสัมพันธและความสัมพันธของผูคนในสังคม
ที่ ถู ก ต อ งเหมาะสมตามแนวคิ ด ของรั ฐ ไทยที่ ส ะท อ นผ า นนโยบายหรื อ กฎหมายต า งๆ นั้ น
ตองมีลักษณะดังตอไปนี้
...เรื่องเพศที่เหมาะสมดีงาม ตองมีแงมุมของความผูกพันทางสังคมและความเกี่ยวพัน
ทางอารมณอยูดวย พฤติกรรมที่ถูกจัดวาเสี่ยงดูจะขาดแงมุมของการสรางความสัมพันธ
แต เ ป น เรื่ องเพศที่เ นน ความพึ ง พอใจทางกายแบบชั่ ว ครั้ งชั่ ว คราว ทํ า ให ถู กมองว า
มีคุณภาพต่ํากวาเรื่องเพศในกรอบ อันตรายของโรคเอดสกลายเปนเหตุผลสนับสนุน
สําคัญวาเรื่องเพศควรจะอยูในสถาบันการแตงงานและสถาบันครอบครัว และปฏิเสธ
ความถูกตองชอบธรรมของพฤติกรรมทางเพศของคนที่ไมไดอยูในสถาบันเหลานี้...
(เรื่องเดียวกัน: 47)
ถึ ง แม ว า เรื่ อ งเพศที่ ไ ด รั บ การยอมรั บ จากสั ง คม ที่ ถู ก สนั บ สนุ น และตอกย้ํ า โดยรั ฐ
ดังที่ไดกลาวมาแลว จะถูกจํากัดอยูในการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียว แตกรอบเรื่องเพศนี้กลับให
อิสระกับผูชายที่จะมีความสัมพันธทางเพศนอกการแตงงานในรูปแบบตางๆ ในขณะที่พฤติกรรม
ทางเพศของผูหญิงถูกจํากัดใหอยูในสถาบันการแตงงานอยางเครงครัด หากไปมีความสัมพันธ
ทางเพศนอกกรอบเรื่องเพศที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน จะทําใหผูหญิงเปนฝายสูญเสีย
มากกวา ซึ่งความดีงามของผูหญิงถูกตัดสินจากการประพฤติปฏิบัติในเรื่องเพศมากกวาแงมุมอื่นๆ
ในชีวิต ผูหญิงจึงไมควรสนใจ หรือมีประสบการณในเรื่องเพศมากนัก (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ,
2549: 31) ยกตัวอยางเชน เรื่องเพศนอกการแตงงานของผูหญิงในสังคมไทยนั้น ถูกใหความหมาย
วาเปนสิ่งที่เลวราย ผิดทั้งกรอบของระบบศีลธรรมและกรอบของสังคม ใน กฎหมายตราสามดวง
มีบทลงโทษสําหรับผูหญิงที่มี “ชู” ทั้งในเชิงสังคมและเชิงกฎหมาย ตั้งแตการเฆี่ยน การทัดดอกไม
ผูหญิงที่มีชูแลวแหประจานไปรอบๆ จนถึงการปรับไหม (ณัฐพร จาดยางโทน, 2542: 75-76)
โดยเครื่องมือสําคัญที่ใชในการควบคุมผูหญิงใหอยูในกรอบก็คือ การแบงผูหญิงออกเปน “หญิงดี”
“หญิ ง เลว” โดยตั ด สิ น จากพฤติ ก รรมทางเพศของผู ห ญิ ง หากใครมี ค วามสนใจฝ ก ใฝ หรื อ
มี ป ระสบการณ ท างเพศมาก ก็ จ ะถู ก มองว า เป น “หญิ ง เลว” ทํ า ให สู ญ เสี ย การยอมรั บ และ
ความเคารพนับถือจากคนอื่น พรอมทั้งถูกประณามและลงโทษจากสังคม (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ,
2547 ข: 70-76) ทั้งๆ ที่การที่ผูหญิงไปเกี่ยวของกับเรื่องเพศ หรือไปมีประสบการณทางเพศมากนั้น
นาจะเปนผลดีตอผูชายที่อยูในระบบความสัมพันธแบบรักตางเพศเปนใหญ แตระบบปตาธิปไตย
15
เรื่องเพศของผูหญิงและผลประโยชนของผูชาย
สตรี นิ ยมสายรากเหงา (radical feminism) มองว า ระบบเพศวิ ถีใ นสั งคมที่ กํา หนดให
ผูหญิงเปนฝายตอบสนองความตองการทางเพศของผูชายนั้น เปนการสะทอนความไมเทาเทียม
ทางเพศภาวะที่หมายถึงสังคมมีการจั ดลํา ดับขั้นสูง ต่ํา (social hierarchy) โดยใหคุณคา กับผูชาย
สูงกวาผูหญิงในทุกกรณี โดยไมสามารถมองไดวาเปนเพราะสภาพทางชีววิทยาของผูหญิงหรือ
เพราะเพศวิถีแบบผูหญิงแตกตางจากเพศวิถีแบบผูชาย แตเปนเพราะการประกอบสรางจากสังคม
ที่ผูชายมีอํานาจ ทําใหการนิยามความหมายโดยผูชายและใชบังคับกับผูหญิง กลายเปนความหมาย
ของเพศภาวะที่ทําใหคนเชื่อวา เรื่องเพศหมายถึงการที่ผูหญิงเปนฝายตกเปนรองผูชาย เปนเรื่องของ
การครอบงํา (dominance) และสยบยอม (submission) ซึ่งเปนการนิยามความหมายที่สําคัญและ
เปนพื้นฐานของการมองเรื่องเพศนี้ (Catherine A. MacKinnon, 1995: 135)
ความไมเทาเทียมกันทางเพศภาวะทําใหผูชายเปนฝายไดเปรียบในเรื่องเพศวิถี ผูชาย
อยู ใ นตํ า แหน ง ที่ เ ป นผู กํ า หนดบทบาทของการกระทํ า ทางเพศ และทํ า ให ทั้ ง ผู ห ญิ ง และผู ช าย
ตองแสดงไปตามบทบาทที่ถูกกําหนดมาแลวนั้น (ibid.: 136) การอธิบายเรื่องเพศวิถีของทฤษฎี
สตรี นิ ย มจึ ง อยู ใ นรู ป แบบของ “ความเป น การเมื อ งเรื่ อ งเพศ” (sexual politics) ที่ มี เ พศภาวะ
เปนรากฐานที่สําคัญ (ibid.: 137) การที่ผูชายเปนฝายมีอํานาจมากกวาในสังคมไดสราง และกําหนด
ความหมายของสิ่ งที่ ผูชายตองการในดา นเพศ โดยเฉพาะอย า งยิ่ งผู หญิงที่ถู กนิยามวา เปนสิ่ง ที่
สามารถกระตุนอารมณ และทําใหเกิดความพึงพอใจได ทําใหเพศวิถีของผูหญิงตองเปนไปเพื่อ
การนี้ ดังนั้น ในกระบวนทัศนทางเพศเชนนี้ แนวทางปฏิบัติของการแสดงความสนใจทางเพศและ
การแสดงออกทางเพศ ตางถูกหลอมรวมเขากับการกอตัวและการยืนยันอัตลักษณทางเพศที่ผูหญิง
เป น ฝ า ยถู ก กระทํ า เท า นั้ น ทํ า ให เ พศวิ ถี ก ลายเป น วิ ถี ป ฏิ บั ติ กั บ เพศตรงข า ม (heterosexuality)
ในรู ป แบบของการที่ ผู ช ายเป น ฝ า ยครอบงํ า และผู ห ญิ ง เป น ฝ า ยสยบยอม นอกจากนี้ เพศวิ ถี
ยั ง ถู ก เชื่ อ มโยงเข า กั บ เรื่ อ งของการเจริ ญ พั นธุ ที่ จ ะต อ งมี ก ารสอดใส อ วั ย วะเพศชายเข า ไปใน
18
ความใคร ข องตั ว เองนั้ น จะทํ า ได ก็ เ พี ย งผ า นการมี เ พศสั ม พั น ธ เ ท า นั้ น ดั ง นั้ น เรื่ อ งกามารมณ
จึงกลายเปนศูนยกลางของเพศวิถี (ibid.: 149)
การครอบงํ า เชิ ง กามารมณ ถู ก นิ ย ามว า เป น ข อ บั ง คั บ ของความเป น ชาย ในขณะที่
การสยบยอมถูกนิยามวาคือความเปนหญิง ทําใหภาพของผูหญิงที่สังคมกําหนดอยูในสถานะของ
การเปนชนชั้นรอง (women’s status as second class) ดวยการกําหนด การบังคับ และการบิดเบือน
ลดทอนตัวตนของผูหญิงใหกลายเปนแคสิ่งสวยงาม เรื่องเพศของผูหญิงจึงหมายถึงสถานภาพ
ของการตกเปนรอง และการถูกลบหลูดูแคลนเพื่อใชประโยชนในทางเพศ ซึ่งไดกลายเปนรากฐาน
ของระบบเพศวิถีนี้ (Catherine A. MacKinnon, 1995: 139) สําหรับนักสตรีนิยมสายรากเหงาแลว
เพศวิ ถี ไ ม ไ ด ถู ก สร า งขึ้ น ภายใต เ งื่ อ นไขของความไม เ ท า เที ย มทางเพศภาวะ แต เ ป น พลวั ต
ของความไมเทาเทียมทางเพศโดยตัวของมันเอง ที่พยายามจะลดทอนคนใหเปนเพียงวัตถุสิ่งของ
ลดทอนความเปนมนุษยใหเปนไปตามที่สังคมกําหนด และบังคับใหเปนไปตามนั้น ความแตกตาง
ทางเพศกลายเปนฐานของการครอบงําทางเพศที่ผูชายเปนผูที่มีอํานาจมากกวา และทําใหเพศวิถี
กลายเป นการครอบงํ า ทางเพศของผูช ายในเกื อบทุ กหนแหง (Catherine A. MacKinnon, 1995:
139) การนิยามเชนนี้นําไปสูขอสรุปในตอนทายวา เพศวิถีคืออะไรก็ไดที่ทําใหผูชายสําเร็จความใคร
เปนพื้นที่ของการแสดงอํานาจของผูชายเหนือผูหญิง และผลิตซ้ําใหระบบปตาธิปไตยคงอยูตอไป
(Diane Richardson, 1997: 152)
เมื่อเรื่องเพศวิถีจากการวิเคราะหในลักษณะดังกลาวกลายเปนศูนยกลางของการกดขี่
ผูหญิง สตรีนิยมสายรากเหงาจึงเสนอใหผูหญิงแยกตัวออกจากการเกี่ยวของกับระบบรักตางเพศ
และหั น มาพั ฒ นาความสั ม พั น ธ กั บ ผู ห ญิ ง ด ว ยกั น ทั้ ง ในเชิ ง อารมณ ความรู สึ ก และในแง ข อง
การเมือง โดยที่ไมไดเปนแคเรื่องของความสัมพันธทางกายกับผูหญิงแตเพียงอยางเดียว (Adrienne
Rich, 1980: 657 cited in Valerie Bryson, 1992: 213) แต ข อ เสนอดั ง กล า วก็ ถู ก โจมตี จ าก
นักสตรีนิยมที่มีความเห็นตางออกไป ไมวาจะเปนการมองวาวิธีการแยกตัวเปนแนวคิดที่คับแคบ
และมองขามรูปแบบของการกดขี่อื่นๆ ไมวาจะเปนการกดขี่ขูดรีดทางเศรษฐกิจ และทางชนชั้น
เพราะการที่ ผู ห ญิ ง จะสามารถแยกตั ว ออกจากความสั ม พั น ธ ใ นระบบรั ก ต า งเพศ และการมี
ความสัม พันธ ใ นด า นต า งๆ กั บผู ช ายไดนั้ น ตอ งอาศัย ความเป นอิส ระทางการเงิ น และความรู
ความสามารถ ที่ผูหญิงซึ่งอยูในชนชั้นแรงงานไมสามารถทําได และถึงแมจะมีการแยกตัวออกจาก
ความสั ม พั น ธ แ บบต า งเพศแล ว แต ก็ ไ ม ไ ด ห มายความว า ผู ห ญิ ง จะสามารถเป น อิ ส ระ
จากความสัมพันธเชิงอํานาจที่ยังคงปรากฏอยูในความสัมพันธระหวางผูหญิงดวยกันได รวมไปถึง
เรื่องของความอิจฉาริษยา ความเจ็บปวด และการครอบงําระหวางผูหญิงดวยกันอยู นอกจากนี้
การเสนอให ผู ห ญิ ง แยกตั ว ออกจากการมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศกั บ ผู ช าย และหั น มาพั ฒ นา
20
ผูหญิงในฐานะผูตอรอง
เรื่องเพศวิถีซึ่งเปนเรื่องที่มีมาตรฐาน หรือมีแบบแผนแนวทางที่ควรปฏิบัติในรูปแบบ
ที่เฉพาะเจาะจงที่คนในสังคมยอมรับได โดยมีกลไกในการกํากับควบคุมใหคนทําตาม รวมทั้งมีการ
ลงโทษคนที่ไมยอมตามแนวทางดังกลาวดวยวิธีการตางๆ ทั้งในทางกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและ
ในเรื่ อ งของความรู สึ ก ภายในจิ ต ใจของแต ล ะคนอย า งที่ ไ ด ก ล า วมาแล ว ในข า งต น นั้ น
ซึ่งโดยหลักการแลวก็นาจะทําใหผูคนยอมทําตามกรอบเพศวิถีของสังคมไดโดยดุษณี โดยเฉพาะ
กับผูหญิงที่ถูกมองวาเปนฝายที่ตกเปนรองในเรื่องเพศ เปนฝายตองสยบยอมตามความตองการ
ของผูชาย หรือเปนฝายที่ตองถูกควบคุมในเรื่องเพศใหเปนไปตามกรอบที่สังคมกําหนดมากกวา
21
มโนทั ศ น เ รื่ อ งอํ า นาจดั ง กล า วทํ า ให ส ามารถทํ า ความเข า ใจการต อ รองของผู ห ญิ ง
ในเรื่องเพศวิถีของตัวเอง โดยมองจากแงมุมที่ผูหญิงเปนผูกระทํา หรือใหความสําคัญกับการที่
1
เชน ความเชื่อในพระผูเปนเจา หรือ God
22
ผูเขียนจะนําเอามุมมองดังกลาวมาใชในการมองการตอรองในเรื่องเพศของผูใหขอมูล
ทั้ งสองคน เนื่ องจากพวกเธอทั้ง คูตา งก็ไมได ดํา เนิ นชีวิต ทางเพศไปตามกรอบที่สั งคมกํ า หนด
ทั้งหมด แตไดมีการตอรองกับกรอบดังกลาวดวย จึงมีความนาสนใจวาการตอรองในเรื่องเพศของ
พวกเธอมีความหมายวาอยางไร และเพราะเหตุใดพวกเธอในฐานะที่เปนผูหญิง และเปนลูกสาว
ที่ ถู ก คาดหวั ง ว า ควรจะทํ า ตามกรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คม จึ ง มี ก ารต อ รองกั บ
กรอบดังกลาว ซึ่งอาจจะทําใหไดเห็นถึงการนิยามความหมายของเรื่องเพศและเพศวิถีที่แตกตาง
ออกไป หรือมีรายละเอียดที่มากขึ้นก็เปนได
งานวิจัยที่เกี่ยวของ
การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานของคนในสังคมไทยถูกมองวาเปนปญหา หรือกลายเปน
พฤติกรรมที่ตองมีการศึกษา วาอะไรคือปจจัยที่ทําใหคนเกี่ยวของกับพฤติกรรมดังกลาว เนื่องจาก
สังคมมีแ นวคิดชุดหนึ่งที่มองวา การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานหรือกอนวัยอันควรนั้น ถือเปน
พฤติกรรมที่แตกตางออกไปจากจารีตประเพณีหรือแนวทางปฏิบัติ และกลายเปนปญหาทั้งในระดับ
บุ ค คลและในระดั บ สั ง คม เพราะมี ค วามเชื่ อ ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งานนั้ น นอกจาก
จะสะทอนถึงคานิยมหรือความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศแลว ยังอาจกอใหเกิดปญหาสังคมตางๆ
ไมวาจะเปนการตั้งครรภไมพึงประสงค การทําแทง หรือการติดโรคติดตอทางเพศสัมพันธ (ภาวัน
ภูวจรูญกุล, 2546: 2) และพฤติกรรมดังกลาวยังถูกมองวาเปนตัวการทําใหวัฒนธรรมที่ดีงามของ
ไทยเสื่อมถอยอีกดวย งานวิจัยในสังคมไทยที่ผานมาจึงเปนงานที่พยายามศึกษาหาปจจัยที่สงเสริม
หรือทําใหคนมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน รวมไปถึงการสํารวจคานิยมหรือทัศนคติของกลุมตัวอยาง
โดยเฉพาะกลุมวัยรุนในสังคมไทยที่มีตอประเด็นดังกลาว เพื่อจะไดเปนประโยชนตอการแสวงหา
วิธีการแกไขปญหาตอไป โดยงานวิจัยในกลุมแรกที่ผูเขียนจะนําเสนอเปนงานวิจัยที่ใชระเบียบวิจัย
แบบการแจกแบบสอบถาม และวิเคราะหหาผลการวิจัยจากโปรแกรมคอมพิวเตอร เพื่อใหไดมาซึ่ง
ขอมูลที่ตองการ ตัวอยางงานวิจัยเหลานี้ไดแก
วิทยานิพนธเรื่อง “การยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสของนักศึกษามหาวิทยาลัย:
การศึกษาเบื้องตน” ของพรทิพย วงศเพชรสงา (2529) พบวา นักศึกษากลุมตัวอยางจํานวน 568 คน
สวนใหญยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสอยูในระดับปานกลาง แตนักศึกษาหญิงสวนใหญ
ยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสในระดับต่ํา ขณะที่นักศึกษาชายมีความยินยอมในระดับที่สูงกวา
ซึ่งสะทอนถึงความแตกตางของคานิยมทางเพศในสังคมไทยระหวางชาย-หญิง สวนการยินยอม
จะอยูในระดับใดนั้นขึ้นอยูกับการยินยอมของบุคคลที่นักศึกษายึดถือเปนกลุมอางอิงที่สําคัญ เชน
ความยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสของเพื่อนสนิทและของบิดามารดา มาใชเปนเกณฑในการ
24
ประเมินการยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสของตนเอง ซึ่งถานักศึกษาเห็นวาความสัมพันธ
ทางเพศสามารถใหคุณประโยชนตอนักศึกษาแลว นักศึกษาจะมีแนวโนมยินยอมใหมีเพศสัมพันธ
กอนสมรสสูงดวย
วิ ท ยานิ พ นธ เ รื่ อ ง “เหตุ ผ ลในการตั ด สิ น ใจเกี่ ย วกั บ พฤติ ก รรมทางเพศของนั ก เรี ย น
ชั้นมัธ ยมศึกษาปที่ 6 ในเขตเมืองเชียงใหม” ของศรีเกษ ธัญญาวินิ ชกุล (2536) ที่มุ งศึ กษาและ
เปรียบเทียบการใชเหตุผลในการตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนจํานวน 460 คน
แบ ง เป น ผู ช าย 199 คนและผู ห ญิ ง 261 คน ผลการศึ ก ษาพบว า นั ก เรี ย นกลุ ม ที่ ตั ด สิ น ใจ
จะมี เ พศสั มพั น ธ ก อ นแต ง งานนั้ นมองว า การมี เ พศสั ม พั นธ เ ป นเรื่ อ งธรรมดาที่ อ าจจะเกิ ด ขึ้ น
ไมวันใดก็วันหนึ่ง จึงไมใชเรื่องแปลกที่จะมีเพศสัมพันธเมื่อมีโอกาส ทั้งผูหญิงและผูชายสามารถ
มี เ พศสั ม พั น ธ กั บ คนที่ พ อใจได โดยไม ห วั ง ว า จะต อ งแต ง งานกั น นั ก เรี ย นในกลุ ม นี้ ม องว า
การมีเพศสัมพันธเปนพฤติกรรมของคนรุนใหมซึ่งเปนที่ยอมรับโดยทั่วไป เปนการแสดงออกถึง
ความรักที่มีตอกัน และถาหากรูจักปองกันก็ไมตองกลัวการทองหรือติดโรค ในขณะที่นักเรียน
กลุมที่ตัดสินใจจะไมมีเพศสัมพันธนั้นมองวา การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานไมเปนที่ยอมรับของ
สั ง คมไทย พรหมจรรย ข องผู ห ญิ ง ถื อ เป น สิ่ ง สํ า คั ญ ของการแต ง งาน และการมี เ พศสั ม พั น ธ
กอนแตงงานนั้นสังคมจะยอมรับไดมากกวาในกรณีของผูชาย อยางไรก็ตาม ทั้งผูชายและผูหญิง
ไมควรชิงสุกกอนหาม เพราะจะทําใหเกิดปญหาตางๆ ตามมาได เชนการถูกไลออกจากโรงเรียน
ทําใหเสียอนาคต การตั้งครรภ การติดโรคติดตอทางเพศตางๆ หรือเปนปญหาในระดับสุขภาพจิต
เช น ทํ า ให เ กิ ด ความรู สึ ก ผิ ด ในระดั บ จิ ต ใต สํ า นึ ก เป น ที่ รั ง เกี ย จของกลุ ม เพื่ อ น และการกลั ว
อีกฝายหนึ่งจะทอดทิ้ง ซึ่งนักเรียนหญิงในกลุมนี้จะกังวลถึงผลเสียที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ
กอนแตงงานมากกวา
วิ ท ยานิ พ นธ เ รื่ อ ง “ความคิ ด เห็ น ของนิ สิ ต มหาวิ ท ยาลั ย เกษตรศาสตร ที่ มี ต อ
การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นสมรส” ของภาวั น ภู ว จรู ญ กุ ล (2546) ที่ ศึ ก ษาความคิ ด เห็ น ของนิ สิ ต
คณะสังคมศาสตรจํานวน 300 คนพบวา นิสิตเห็นดวยกับการมีเพศสัมพันธกอนสมรสอยูในระดับ
ปานกลาง สวนปจจัยที่มีผลตอความคิดเห็นของนิสิตคือ เพศ การรับรูเรื่องเพศจากสื่อตางๆ และ
การอบรมเลี้ ยงดู จ ากบิ ดามารดาหรื อ ผู ป กครอง โดยเพศหญิ งจะเห็ นดว ยกั บการมีเ พศสั มพั นธ
กอนสมรสอยูในระดับปานกลาง ในขณะที่เพศชายจะเห็นดวยกับการมีเพศสัมพันธกอนสมรส
มากกวา ซึ่งก็เปนไปตามคานิยม จารีตประเพณีของสังคมไทยในเรื่องนี้ และกลุมตัวอยางยังคง
ยึดติดอยูกับความเชื่อที่วา ผูหญิงมักเปนฝายเสียหายมากกวาถาหากไปไดเสียกับผูชายที่ตนยังไมได
แตงงานดวย และพอกับแมคงจะเสียใจถาหากรูวาลูกสาวเสียตัวใหกับผูชายโดยที่ยังไมไดแตงงาน
กัน ดังนั้น คําสอนของพอแมที่วา “ไมควรชิงสุกกอนหาม” “การปฏิบัติตัวเกี่ยวกับเรื่องเพศระหวาง
25
ระดั บ การศึ ก ษา อาชี พ ของบิ ด ามารดา ตลอดจนการเรี ย นรู เ รื่ อ งเพศจากสื่ อ ต า งๆ ก็ เ ป นป จ จั ย
ที่มีความสําคัญเชนเดียวกัน โดยเฉพาะวิธีการอบรมเลี้ยงดูที่เหมาะสม และการมีความรูเรื่องเพศ
ที่ดีนั้น จะนําไปสูการมีคานิยมทางเพศที่เหมาะสม
จากตัวอยางงานวิจัยที่ผูเขียนไดหยิบยกมานั้น สวนใหญจะมีผลการวิจัยที่ใกลเคียงกัน
กลาวคือ ผลการวิจัยจะชี้วาปจจัยที่ทําใหคนมีเพศสัมพันธกอนแตงงานนั้นเปนปจจัยจากภายนอก
ไมวาจะเปนการยอมรับของกลุมเพื่อน การอบรมเลี้ยงดูของพอแม หรือการเปดรับสิ่งกระตุนเรา
จากสื่ อ ต า งๆ ทํ า ให เ กิ ด ทั ศ นคติ หรื อ ความเชื่ อ ที่ ย อมรั บ ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งาน
ไม ใชเรื่ องผิ ด และสามารถกระทํ า ได และกลุมตั วอย า งยอมรับ การมีเพศสัมพันธก อนแตง งาน
ของเพศชายไดมากกวาเพศหญิง เพราะยังคงยึดติดอยูกับความเชื่อและคานิยมในเรื่องเพศของสังคม
ที่มองวาผูชายเปนฝายไดเปรียบ และผูหญิงเปนฝายเสียเปรียบ จึงทําใหมีการเสนอะแนะขอคิดเห็น
ที่ เ ป น ไปในแนวทางของการส ง เสริ ม ให ห น ว ยงานต า งๆ ที่ เ กี่ ย วข อ ง เข า มากํ า กั บ ดู แ ลวั ย รุ น
อย า งใกล ชิ ด พร อ มทั้ ง ให ค วามรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศสั ม พั น ธ และชี้ ใ ห เ ห็ น ป ญ หาที่ เ กิ ด จาก
การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งาน รวมถึ ง วิ ธี ก ารป อ งกั น ที่ ถู ก ต อ ง โดยมี ท า ที ข องการเสนอแนะ
เพื่อตองการใหคนกลับไปอยูในกรอบความเชื่อของสังคมที่คิดวาดีและถูกตองสมควรมากกวา
อยางไรก็ตาม ยังมีงานวิจัยอีกรูปแบบหนึ่งที่ศึกษาความคิด ความเชื่อ และการใหความหมายของ
บุคคลที่มีตอประเด็นการมีเพศสัมพันธนอกการแตงงาน โดยใชวิธีการสัมภาษณอยางเจาะลึกหรือ
เขาไปมีสวนรวมกับผูถูกศึกษา โดยเปนความพยายามนําเสนอใหเห็นแงมุมที่หลากหลายออกไป
มากกวาการตัดสินวาพฤติกรรมดังกลาวเปนปญหา ดวยการเปดพื้นที่ใหผูคนไดอธิบายมุมมอง
ที่มีตอพฤติกรรมในเรื่องเพศของตัวเอง ซึ่งไมเปนไปตามความคาดหวังของสังคม มากกวาที่จะ
เปนการตอบคํา ถามตามชุ ดของคํา ตอบกลุมตา งๆ ที่ผู วิจัยกํ าหนดไว ในแบบสอบถาม ตัว อยา ง
ของงานวิจัยเหลานี้ไดแก
วิทยานิพนธเรื่อง “ความสัมพันธระหวางเพศและเพศสัมพันธกอนแตงงานในวัยรุน”
ของนิมิ ตร มั่ง มี ทรัพย (2541) เปนการศึกษาเพื่อ หาคํา อธิบ ายกระบวนการสรา งความสัมพั นธ
ระหวางเพศ และเงื่อนไขที่จะนําไปสูการมีเพศสัมพันธกอนแต งงานในวัยรุนชายหญิง โดยใช
วิธีการสัมภาษณระดับลึกวัยรุนจํานวน 20 คน แบงเปนชาย 8 คนและหญิง 12 คน และคนพบวา
ป จ จั ย ด า นค า นิ ย มและบรรทั ด ฐานสั ง คมที่ ดํ า รงความไม เ สมอภาคในความสั ม พั น ธ ช ายหญิ ง
โดยเฉพาะบรรทัดฐานที่สังคมกําหนดใหผูหญิงมีความสัมพันธดวยความรัก ความจริงใจ และ
การขั ด เกลาให ผู ช ายมี อิ ส ระในเรื่ อ งเพศ ส ง ผลให วั ย รุ น ชายและหญิ ง ขาดความรู ค วามเข า ใจ
โดยสมบูรณเกี่ยวกับเรื่องเพศ และความสัมพันธระหวางเพศยังทําใหวัยรุนผูหญิงมีโอกาสเสี่ยงตอ
การมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ คู รั ก ก อ นแต ง งานด ว ยความรั ก ความรู เ ท า ไม ถึ ง การณ และนํ า ไปสู
27
การเอารัดเอาเปรียบระหวางเพศโดยไมรับผิดชอบ ซึ่งนิมิตรมองวากระบวนการสรางความสัมพันธ
ระหว า งเพศที่ นํ า ไปสู ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งาน ล ว นเป น ผลมาจากสภาพความกดดั น
หลายปจจัย ทั้งดานความคิด ความรูสึกทางเพศ สภาพเศรษฐกิจและสังคม การศึกษา ประสบการณ
สวนตัวที่หลอหลอม ขัดเกลา และกดดันใหเกิดการเลือกคูสัมพันธ การติดตอสัมพันธ และการสราง
สัมพันธกับเพศตรงขาม โดยเฉพาะบรรทัดฐานทางเพศที่กําหนดเงื่อนไขของความสัมพันธระหวาง
ชายหญิง ทําใหผูหญิงตองตกเปนฝายตองตัดสินใจเลือกที่จะยอมหรือไมยินยอมมีเพศสัมพันธ
กอนแตงงานกับคูรักเพื่อดํารงความสัมพันธไว
การค น คว า อิ ส ระเรื่ อ ง “ป จ จั ย ที่ ทํ า ให นั ก เรี ย นนั ก ศึ ก ษาหญิ ง มี เ พศสั ม พั น ธ ก อ น
วั ย อั น ควร” ของณั ฐ กานต อมาตยกุ ล (2548) ที่ ต อ งการศึ ก ษาถึ ง สาเหตุ ที่ ทํ า ให นั ก เรี ย น
นักศึกษาหญิงมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร ดวยการใชวิธีการสัมภาษณแบบลึกตอกลุมตัวอยาง
จํ า นวนห า คน และพบว า สาเหตุ ที่ ทํ า ให นั ก ศึ ก ษาหญิ ง มี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นวั ย อั น ควรคื อ
ความไว เ นื้ อ เชื่ อ ใจที่มี ใ ห กั บ เพศตรงขา ม รวมถึ งป จ จั ยอื่นๆ ไดแ ก ป จ จัยด า นครอบครั ว ป จ จั ย
ดานสวนตัว ปจจัยดานเพื่อน ปจจัยดานสื่อและปจจัยอื่นๆ ซึ่งณัฐกานตมองวาการมีเพศสัมพันธ
กอนวัยอันควรเปนปรากฏการณที่สามารถเกิดขึ้นไดกับทุกคนในทุกสังคม แมวาจะมีคานิยมและ
บรรทั ด ฐานสั ง คมกํ า หนดกฎเกณฑ เ ป น กรอบบั ง คั บ เรื่ อ งเพศอย า งเข ม งวดเพี ย งใดก็ ต าม
กลุ ม ตั ว อย า งบางคนอาจรู สึ ก ว า เป น สิ่ ง ที่ ผิ ด อย า งร า ยแรงที่ ชิ ง สุ ก ก อ นห า ม แต บ างคนเห็ น ว า
การยินยอมใหเกิดเพศสัมพันธสามารถผูกมัดคนรักไวได และเรื่องเพศเปนเรื่องที่ควรเปดใจรับ
ในวงกว า ง แม ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ จ ะทํ า ให รู สึ ก ว า ตั ว เองไม ไ ด เ ป น สาวบริ สุ ท ธิ์ อี ก ต อ ไป
แต ก ารมี เ พศสั ม พั นธ ก็ ไ ม ใ ช เ รื่ อ งผิ ด มหั นต แต เ ป น เพราะสั ง คมไม ย อมรั บ พฤติ ก รรมดั ง กล า ว
จึงทําใหคนถูกตําหนิ ซึ่งแทที่จริงแลวการตัดสินใจที่จะมีเพศสัมพันธของวัยรุนหากรูจักรับผิดชอบ
ในการกระทํ า ของตน และไม ส ร า งความเดื อ ดร อ นให กั บ ตนเองและผู ค นรอบข า ง เรื่ อ งเพศ
ก อ นการแต ง งานก็ ส ามารถเกิ ด ขึ้ น ได กั บ ทุ ก ๆ คน ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู กั บ สติ แ ละความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจ
ซึ่ ง กลุ ม ตั ว อย า งทั้ ง ห า คนสามารถจั ด การกั บ ชี วิ ต อารมณ ความรู สึ ก ของตนเองได สามารถ
ประคับประคองการดําเนินชีวิตของตนไมใหตกต่ํา เลือกที่จะมีความสุขในการใชชีวิตในวิถีทาง
ที่ตนเลือกและตองการ
วิ ท ยานิ พ นธ เ รื่ อ ง “อยู ก อ นแต ง : การอยู ร ว มกั น โดยไม แ ต ง งานของนั ก ศึ ก ษา
มหาวิทยาลัย” ของ โสพิน หมูแกว (2545) ที่ศึกษาเรื่องการใหความหมายแกลักษณะการใชชีวิต
อยูรวมกันโดยที่ไมไดแตงงานของนักศึกษามหาวิทยาลัยแหงหนึ่งทั้งชายและหญิง ซึ่งจัดวาเปน
รูปแบบทางเลือกของวิถีการดําเนินชีวิต (alternative lifestyles) ที่แตกตางจากนักศึกษากลุมอื่นๆ
จากการศึกษาพบวา นักศึกษาหญิงสวนใหญที่เลือกใชชีวิตแบบนี้จะรับรูถึงการไมยอมรับจากสังคม
28
โดยเฉพาะจากบุคคลใกลชิด แตพวกเธอก็เลือกที่จะมีวิถีชีวิตแบบนี้โดยรับผิดชอบถึงการกระทํา
ของตัวเอง ทั้งในเรื่องเรียน หรือการปองกันการตั้งครรภ โสพินมองปรากฏการณการใชชีวิตคู
ของนักศึกษาในฐานะที่เปน “กระบวนการทางสังคม” รูปแบบหนึ่ง และการจะเลือกดําเนินชีวิต
แบบใดนั้ น ก็ อ ยู ภ ายใต ก ระบวนการในการตั ด สิ น ใจด ว ยเหตุ ผ ลของแต ล ะบุ ค คล ที่ ผ า นการ
ไตรตรองดวยตนเองแลววาพวกเขาจะไดรับผลกระทบอยางไรบาง ทั้งตอตนเองและตอคนใกลชิด
โดยไมได มองวา เปนป ญหาสังคมเหมื อนที่สื่อมวลชนมอง โสพินวิเคราะหว า การเลือ กใชชีวิต
อยู ร ว มกั น ของนั ก ศึ ก ษานั้ น เป น รู ป แบบของ “ความสั ม พั น ธ เ ชิ ง การแลกเปลี่ ย น” (exchange
relationship) ระหวางชายหญิงที่มาอยูรวมกัน โดยตางฝายตางก็ตองการในสิ่งที่อีกฝายมีใหแกตน
ซึ่ ง ถ า ตราบใดที่ สิ่ ง ที่ ไ ด ม ากั บ สิ่ ง ที่ ต อ งเสี ย ไปยั ง อยู ใ นระดั บ ที่ ทั้ ง สองฝ า ยยั ง รู สึ ก พึ ง พอใจ
ความสัมพันธก็ดําเนินตอไป แตถาเกิดความรูสึกวารางวัลที่ไดมาไมนาพอใจ หรือรูสึกสูญเสีย
เกินกวาจะยอมรับได ก็อาจจะยุติความสัมพันธโดยเลิกราจากกันหรือหาทางออกดวยวิธีการอื่นๆ
แทน
นอกจากงานวิ จั ย ที่ ศึ ก ษาวิ ธี ก ารต อ รองของผู ห ญิ ง ไทยในประเด็ น เกี่ ย วกั บ
การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานแลว ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ศึกษารูปแบบของเพศวิถีที่ถูกจัดวา
อยูนอกกรอบที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน นั่นคือการศึกษารูปแบบของการตอรองดาน
เพศวิถีของผูหญิงที่อยูภายใตการคาประเวณี งานวิจัยดังกลาวคือวิทยานิพนธเรื่อง “การนําเสนอ
ความเป น ตั ว ตนของผู ห ญิ ง บริ ก ารในสถานบั น เทิ ง บาร เ บี ย ร จั ง หวั ด เชี ย งใหม ” ของโสภิ ด า
วีรกุลเทวัญ (2543) ที่พยายามจะทําความเขาใจการคาประเวณีที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง ดวยการ
เป ดพื้นที่ทางสั งคมให ผูหญิงได อธิ บายและใหความหมายกับตัว เอง แทนการประทับตราหรือ
ตัดสินวาผูหญิงเหลานี้เปนมนุษยที่ไรศักดิ์ศรีของความเปนมนุษย โดยศึกษาผูหญิงที่คาประเวณี
ในพื้นที่ที่เรียกวาบารเบียร เพื่อทําความเขาใจแงมุมชีวิตของผูหญิงผานสายตาของพวกเธอเอง และ
สะท อ นให เ ห็ น กระบวนการดิ้ น รนต อ สู กั บ กฎเกณฑ ท างสั ง คมต า งๆ ที่ ม าเบี ย ดขั บ ให ผู ห ญิ ง
เปนคนชายขอบทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ผลการศึกษาพบวาในสถานการณที่สังคม
มองว า ผู ห ญิ ง ถู ก ลดทอนความเปน มนุ ษ ย ด ว ยการที่ ต อ งมาขายเนื้ อ ตั ว ร า งกายนั้ น ผู ห ญิ ง สร า ง
“ความเปนตัวตนใหม” ในการทํางาน ขณะเดียวกันก็ยังสามารถรักษา “ตัวตน” ดานอื่นๆ โดยการ
เลือกตีความและใหคุณคากับความเปนผูหญิงในบทบาทอื่นๆ ไมวาจะเปนผูรองรับทางอารมณ
ผู ข ายอารมณ หรื อ ผู รั ก ษาระยะห า งทางอารมณ หรื อ แม แ ต การเป น เมี ย เป น แม และลู ก สาวที่
ไมเปนไปตามนิยามความเปนผูหญิงโดยทั่วไปของสังคมไทย ที่ตัดสินความดีความเลวของผูหญิง
จากการนิยามความสัมพันธของผูหญิงภายใตบริบทของครอบครัว เพราะพวกเธอสามารถสราง
ตั ว ตนที่ ห ลากหลายและผู ก โยงกั บ บทบาทอื่ น ๆ ของความเป น ผู ห ญิ ง ภายใต ก ระบวนการ
29
ให ค วามหมายที่ ไ ม ไ ด ห ยุ ด นิ่ ง อยู แ ค ฐ านะของ “ผู ถู ก กํ า หนด” กล า วคื อ พวกเธอสามารถ
สรางความเปนตัวตนของความเปนผูหญิง ผานกระบวนการของการใหคุณคาภายใตบทบาทเดิม
ตีคาคุณคาเดิมในบทบาทใหม ตลอดจนนิยามความสัมพันธแบบใหม โสภิดาสรุปงานวิจัยชิ้นนี้วา
แมแตในโลกการคาประเวณี ที่ถูกสังคมมองวาลดคุณคาความเปนมนุษยของผูหญิง ผูหญิงก็ไมได
สยบยอมตอการเปนเพียงวัตถุทางเพศอยางไมมีเงื่อนไข แตผูหญิงกลับใชเงื่อนไขของบารเบียร
ที่มีความแตกตางทางวัฒนธรรมระหวางผูหญิงและลูกคา มาสรางความสัมพันธเชิงอํานาจแบบใหม
ที่ เ ต็ ม ไปด ว ยการต อ รองเรื่ อ งอารมณ และยั ง สามารถรั ก ษาพื้ น ที่ ใ นการเป น ผู ที่ มี สิ ท ธิ แ สดง
ความพอใจหรือไมพอใจในฐานะที่เปนมนุษยไดอีกดวย
ตัวอยางของงานวิจัยเหลานี้ เปนความพยายามอธิบายปรากฏการณโดยใหความสําคัญกับ
โลกทัศนหรือมุมมองของผูหญิง ที่ถูกมองวามีพฤติกรรมทางเพศที่ไมเปนไปตามที่สังคมยอมรับ
วาพวกเธอคิดเห็นตอประเด็นดังกลาวอยางไร และการตอรองในแงของการไมทําตามรูปแบบ
ของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของพวกเธอสะทอนใหเห็นถึงอะไรบาง โดยเปนงานวิจัยที่ไมไดมุงเนน
หรื อ ต อ งการจะตั ด สิ น ว า พฤติ ก รรมทางเพศดั ง กล า วเป น สิ่ ง ที่ ผิ ด หรื อ เป น ป ญ หา แต เ ป น งาน
ที่ตองการทําใหเห็นแงมุม หรือมิติของการที่ผูหญิงเปนผูกระทําในเรื่องเพศมากกวา วาการกระทํา
ที่ขัดแยงกับความคาดหวังของสังคมของพวกเธอนั้นมีความหมายวาอยางไร ซึ่งผูเขียนจะนําเอา
แนวทางการศึกษาแบบดังกลาวมาใชในงานนี้เชนกัน
กรอบคิดในการศึกษา
การศึ ก ษานี้ ดํ า เนิ น ไปภายใต ก รอบคิ ด ที่ ว า สั ง คมมี รู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ถู ก ต อ ง
ชอบธรรมคอยกํ า กั บพฤติ กรรมทางเพศของคนในสั งคม ไม วา จะเป น การกํ า หนดใหเ รื่อ งเพศ
ตองเปนเรื่องระหวางหญิงกับชาย ที่เกิดขึ้นภายใตสถาบันการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียว เพื่อให
เกิดการเจริญพันธุ และสังคมก็มีกลไกกํากับใหคนเชื่อและทําตามรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรม
นี้ คนที่ยอมตามก็จะไดรับรางวัลในรูปแบบตางๆ เชนไดรับการยอมรับนับถือ รวมไปถึงไดรับสิทธิ
ประโยชนทางกฎหมายตางๆ ในขณะที่คนที่ไมยอมตามก็จะถูกประณามทางสังคม หรือถูกลงโทษ
อย า งไรก็ ต าม กรอบคิ ด ในเรื่ อ งเพศนี้ ไ ด ส ะท อนความไม เ ท า เที ย มกั น ระหว า งผู ห ญิ ง กั บ ผู ช าย
อย า งชั ด เจน เพราะในขณะที่ ผู ห ญิ ง ถู ก จํ า กั ด การแสดงออกทางเพศให อ ยู ภ ายใต ก ารแต ง งาน
โดยใชวิธีการแบงแยก “หญิงดี” “หญิงเลว” ออกจากกัน โดยดูจากพฤติกรรมทางเพศของแตละคน
เป น เกณฑ แต ผู ช ายกลั บ เป น ฝ า ยที่ มี อิ ส ระในการแสดงออกในเรื่ อ งเพศ และการแสวงหา
ประสบการณ ท างเพศนอกการแต ง งานได ม ากกว า อย า งไรก็ ต าม ระบบเพศวิ ถี ข องสั ง คม
ที่กําหนดใหผูหญิงตองเปนฝายตอบสนองความตองการของผูชาย โดยใชอุดมการณความรักมาเปน
30
สรุป
ในบทนี้ เ ป น การทบทวนแนวคิ ด และงานวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การศึ ก ษาในครั้ ง นี้
โดยแนวคิ ดที่ผู เ ขี ย นจะนํ า มาช ว ยในการพิ จ ารณาและวิ เ คราะห เ รื่ อ งเล า ประสบการณท างเพศ
นอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคนไดแก แนวคิดเรื่องเพศวิถี ซึ่งผูเขียนเชื่อวาเพศวิถี หรือ
ระบบความเชื่อความหมายเรื่องเพศนั้นคือการประกอบสรางจากสังคม เพราะถึงแมวาความตองการ
ทางเพศจะเปนสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แตการที่จะตอบสนองความตองการนั้นโดยวิธีการใด
หรือกับใครเปนสิ่งที่สังคมกําหนดขึ้น โดยสังคมจะมีแนวทางหรือรูปแบบของเรื่องเพศที่ถูกตอง
ชอบธรรม ซึ่งจํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน การเจริญพันธุและความรัก ที่สอดคลองกับ
การนิ ย ามว า เรื่ อ งเพศและเพศสั ม พั น ธ นั้ น เป น เรื่ อ งที่ ต อ งเกิ ด ขึ้ น กั บ เพศตรงข า มเท า นั้ น
ทําใหเพศสัมพันธที่อยูนอกเหนือไปจากรูปแบบดังกลาวกลายเปนเรื่องเพศที่ผิดหรือไมถูกยอมรับ
นอกจากนี้ นักสตรีนิยมมองวาสังคมแบบปตาธิปไตยไดคาดหวังใหผูหญิงเปนฝายที่ตองถูกควบคุม
และตองควบคุมตัวเองในเรื่องเพศ มากกวาผูชายที่ถูกมองวามีความเปนอิสระในเรื่องเพศมากกวา
โดยโยงความคิดที่ผูหญิงเปนฝายตองถูกควบคุมเขากับเรื่องของเพศสรีระ ที่ผูหญิงสามารถตั้งครรภ
ได และเปนฝายที่ถูกคาดหวังใหเปนผูเลี้ยงดู ดูแลสมาชิกใหมของสังคม โดยมีการปลูกฝงความเชื่อ
ว า คุ ณ ค า ของผู ห ญิ ง อยู ที่ เ รื่ อ งเพศ ถ า ผู ห ญิ ง คนไหนมี ป ระสบการณ ห รื อ มี ก ารฝ ก ใฝ ใ นเรื่ อ ง
ทางเพศมาก ก็จะกลายเปนผูหญิงไมดีทั้งจากการมองตัวเองของผูหญิงและจากภายนอก ทําใหสังคม
ตองมีกลไกในการควบคุมเรื่องเพศของผูหญิงในรูปแบบตางๆ อยางเชนการปลูกฝงอุดมการณ
การรักนวลสงวนตัว เปนตน อยางไรก็ตาม ในสังคมที่ประกอบสรางเพศวิถีใหเปนเรื่องที่ผูหญิง
ตองเปนฝายยอมตามความตองการของผูชาย ในรูปแบบของเพศสัมพันธที่สอดใสอวัยวะเพศชาย
31
เขาไปในชองคลอดเทานั้น รวมไปถึงการทําใหผูชายเชื่อวาการมีเพศสัมพันธกับผูหญิงหมายถึง
การยื น ยั น ความเป น ชายนั้ น ทํ า ให ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ ก ลายเป น ศู น ย ก ลางของเพศวิ ถี ระบบ
ป ต าธิ ป ไตยจึ ง ได ส ร า งอุ ด มการณ ค วามรั ก แบบโรแมนติ ก ขึ้ น มา เพื่ อ ทํ า ให ผู ห ญิ ง เชื่ อ ว า
การมีเพศสัมพันธคือสิ่งที่นํามาซึ่งความรัก ความมั่นคง และความอบอุนในความสัมพันธ เพื่อทําให
ผูหญิงยินยอมมีเพศสัมพันธกับผูชาย ซึ่งอุดมการณดังกลาวทํางานอยางขัดแยงกับกรอบความเชื่อ
ของสังคมที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน ทําใหผูหญิงเปนฝายเลือกหรือจําตองเลือกวาจะ
แสดงออกในเรื่องเพศในสังคมอยางไร
นอกจากผู เ ขี ย นจะดู ว า เรื่ อ งเล า ของผู ใ ห ข อ มู ล ทั้ ง สองคนนั้ น ได ส ะท อ นความคิ ด
ความเชื่อในเรื่องเพศตามแนวคิดดังกลาวหรือไมแลว ผูเขียนยังตองการดูตอไปถึงรูปแบบของ
การต อ รองกั บ กรอบความเชื่ อ ในเรื่ อ งเพศของสั ง คม ที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว ภ ายใต
การแต ง งานภายหลั ง จากผ า นการมี เ พศสั ม พั น ธ แ ล ว อี ก ด ว ย โดยแนวคิ ด ที่ ผู เ ขี ย นจะนํ า มาใช
มองการตอรองกับกรอบเรื่องเพศดังกลาวก็คือ แนวคิดที่มองพวกเธอในฐานะที่เปนผูตอรองหรือ
ผูใหความหมายวาเรื่องเพศของพวกเธอนั้นมีความหมาย หรือความสําคัญอยางไรตอตัวของพวกเธอ
และพวกเธอมีการตอรองในเรื่องเพศนอกการแตงงานอยางไร
บทที่ 3
ระเบียบวิธีวิจัย
การศึ ก ษาเรื่ อ ง “เรื่ อ งเพศนอกการแต ง งาน: การต อ รองด า นเพศวิ ถี ข องผู ห ญิ ง ไทย
ชนชั้ น กลาง” เป น การศึ ก ษาเรื่ อ งราวประสบการณ ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งานของ
ผูหญิงไทยชนชั้นกลางสองคน ซึ่งเปนการสะทอนรูปแบบของการใชชีวิตทางเพศที่แตกตางไปจาก
แนวทางที่สังคมยอมรับ ผานการเลาเรื่องและการตีความประสบการณโดยตัวผูหญิงเอง โดยมี
วิธีวิทยา (methodology) ในการศึกษาดังนี้
แนวทางการวิจัย
การศึกษาครั้งนี้เปนงานวิจัยแบบสตรีนิยมที่พยายามทําความเขาใจ “ประสบการณของ
ผู ห ญิ ง ” (women’s experiences) และมองว า ประสบการณ ข องผู ห ญิ ง เป น สิ่ ง ที่ มี ค วามสํ า คั ญ
เนื่องจากสังคมศาสตรกระแสหลักมักจะใหความสนใจแตประสบการณของผูชาย และกลาวอางวา
นั่นคือตัวแทนประสบการณของมนุษยทั้งหมด นักสตรีนิยมจึงมองวาแทที่จริงแลว ผูหญิงควรจะ
ไดมีสวนรวมเชนเดียวกับผูชาย ในการออกแบบและจัดการภายในสถาบันที่ผลิตสรางความรูตางๆ
ซึ่งถูกนํามาใชเปนเหตุผลของความยุติธรรมในสังคม เพราะมันเปนความไมยุติธรรมที่จะกีดกัน
ผู ห ญิ ง ไม ใ ห ไ ด รั บ ประโยชน จ ากการมี ส ว นร ว มในเรื่ อ งดั ง กล า วแบบที่ ผู ช ายได รั บ เนื่ อ งจาก
วัฒนธรรมที่มีการลดคุณคาและทําใหเสียงของผูหญิงไมถูกไดยินนั้น จะสงผลใหเราทําความเขาใจ
ตัวเองและโลกที่อยูรอบตัวเราไดเพียงบางสวน และยังมีลักษณะบิดเบี้ยวอีกดวย (Sandra Harding,
1987: 6-7) ผูเขียนจึงเห็นวาการศึกษาประสบการณตางๆ ของผูหญิงจึงเปนสิ่งสําคัญที่จะทําใหเรา
เขาใจและมองโลกไดอยางรอบดานมากขึ้น อยางไรก็ตาม Joan W. Scott (1999: 79-99) ไดเสนอ
วา การศึกษาประสบการณ นั้ นไมค วรจะมุง ศึกษาเฉพาะเหตุ การณ (events) และความเป นจริ ง
(reality) เท า นั้น แตค วรเป นการศึ กษาระบบของสั ง คมที่ ทํา ให เ กิด ประสบการณนั้ นขึ้ นมาดว ย
กลาวคือ การศึกษาประสบการณควรจะเปนการศึกษากระบวนการ (process) ที่สรางปจเจกขึ้นมา
ไมใชเปนการมุงศึกษาแคตัวประสบการณที่เปนรองรอยหรือหลักฐานของตัวเรา (self-evidence)
เท า นั้ น โดยควรจะดู ป ระสบการณ ใ นฐานะที่ เ ป น บริ บ ท มี การต อ รองและมี ค วามไม แ น น อน
เนื่องจากประสบการณคือการตีความและเปนสิ่งที่ตองตีความ
ดังนั้น ผูเขียนจึงตระหนักดีวา ขอมูลที่ไดจากการศึกษานั้นเปนขอมูลที่ผาน “การตีความ”
และ “การประกอบสราง” จากผูใหขอมูลทั้งสองคน ที่สรางผานประสบการณตางๆ ในชวงชีวิตของ
33
กระบวนการวิจัย
อาจกลาวไดวาผูเขียนเริ่มพัฒนาหัวขอวิทยานิพนธนี้ขึ้นมา จากการที่เคยไดรับรูเรื่องราว
ทางเพศของผูใหขอมูลทั้งสองคน [รวมถึงของคนอื่นๆ ที่ไมประสงคจะมาถายทอดเรื่องราวใน
การศึกษาครั้งนี้] มากอน ในรูปแบบของการพูดคุยในกลุมเพื่อน และเกิดเปนการตั้งคําถามภายใน
ตัวผูเขียนเองเกี่ยวกับกระบวนการตอรอง ระหวางประสบการณในชีวิตจริงของพวกเธอ กับสิ่งที่
เป น “กรอบ” ควบคุ ม ในเรื่ อ งเพศของผู ค นในสั ง คม ว า เพราะเหตุ ใ ดพวกเธอจึ ง ทํ า ในสิ่ ง ที่
“ไมเปนไปตาม” ความคาดหวังของสังคม และการกระทําดังกลาวของพวกเธอนั้นแทจริงแลว
มี ค วามเชื่ อ มโยงกั บ กรอบความเชื่ อ เรื่ อ งเพศของสั ง คมหรื อ ไม อย า งไร ซึ่ ง ที่ จ ริ ง แล ว ผู เ ขี ย น
ก็ตระหนักดีวา สิ่งที่พวกเธอทํานั้นไมใชเรื่องแปลกอะไร เพราะก็อาจจะมีผูคนอีกมากมายที่กระทํา
เช น เดี ย วกั น กั บ พวกเธอ แต ผู เ ขี ย นมองว า การได ศึ ก ษาลงลึ ก ถึ ง รายละเอี ย ดของบริ บ ท
ในการดําเนินชีวิตทางเพศของพวกเธอก็เปนสิ่งที่นาสนใจ และนาศึกษา เพราะอาจจะทําใหไดรับ
ทราบขอมูลที่มีความละเอียดและลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งอาจจะเปนประโยชนตอการศึกษาในประเด็น
เพศวิถีของสังคมไทยตอไปได
ในตอนแรกผูเขียนก็ไมกลาที่จะถาม “พิม”1 ซึ่งเปนหนึ่งในผูใหขอมูลกับการศึกษาครั้งนี้
วา จะยิน ยอมใหผูเ ขียนนํา เรื่องของเธอมาศึกษาในลั กษณะนี้หรือไม เพราะการพู ดคุยที่ ผา นมา
ของพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้จะอยูในลักษณะของการเลาสูกันฟง การปรับทุกข การระบายความในใจ
เฉกเชนที่เพื่อนจะพูดคุยกัน ซึ่งผูเขียนก็ไมอาจคาดเดาไดวา คนที่สามารถพูดเรื่องเพศของตนเอง
1
ชื่อบุคคลทุกคนที่ปรากฏในงานศึกษานี้เปนชื่อสมมติทั้งสิ้น
34
มหาวิทยาลัยเหมือนกัน รวมไปถีงเคยมีความสัมพันธทางเพศกับผูชายมาแลวไมต่ํากวาหาคนนับถึง
วันเริ่มสัมภาษณ หากแตพวกเธอก็มีความแตกตางที่สําคัญคือ ในขณะที่กําลังดําเนินการสัมภาษณ
นั้น ณวรรณเปนผูหญิงคนเดียวที่แตงงานแลว
หากเมื่อดําเนินการสัมภาษณไปไดสักพัก ณวรรณก็เริ่มแสดงทาทีวาตัวเธอไมสะดวกใจ
ที่จะเปนผูถา ยทอดเรื่องราวของเธอใหกั บการศึกษาของผูเ ขียนอีกต อไป ดวยการใหเหตุผลวา
เธอไมคอยมีเวลาวาง อีกทั้งการที่เธอไดทบทวนเรื่องราวที่ผานมาของตัวเองทําใหเธอเกิดความรูสึก
ผิดตอสามีของเธอ เธอจึงไมอยากจะรื้อฟนเรื่องราวเหลานั้นขึ้นมาอีก ซึ่งผูเขียนก็เขาใจในเหตุผล
และรูสึกเห็นใจเธอ เพราะผูเขียนก็เขาใจดีวาประเด็นเหลานี้เปนเรื่องละเอียดออนในความรูสึก
ของแตละคน ดังนั้น ผูใหขอมูลในการศึกษาครั้งนี้จึงเหลือเพียงแคสองคน คือพิมกับจูนเทานั้น
สาเหตุ ที่ ผู เ ขี ย นไม ไ ด ม องหาคนอื่ น ๆ มาทดแทนณวรรณก็ เ นื่ อ งจากการศึ ก ษาในครั้ ง นี้
เน น ที่ ก ารศึ ก ษาการตี ค วามประสบการณ ชี วิ ต ในระดั บ ลึ ก เพื่ อ ทํ า ความเข า ใจวิ ธี ก ารคิ ด และ
ใหความหมายของแตละบุคคล เรื่องของจํานวนคนจึงไมใชประเด็นที่สําคัญมากนักในความเห็น
ของผูเขียน อีกทั้งผูเขียนเกรงวาจะเกิดเหตุการณเชนกรณีของณวรรณอีก ซึ่งผูเขียนไมตองการ
ให ก ารดํ า เนิ น การศึ ก ษาของผู เ ขี ย นไปกระทบกั บ ความรู สึ ก ของผู ใ ดจนทํ า ให ท นไม ไ ด อี ก
แต ต อ งการให เ ป น สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากความสบายใจของทุ ก คนทุ ก ฝ า ยมากกว า ผู เ ขี ย นจึ ง เลื อ ก
ดํ า เนิ นการศึ ก ษาเฉพาะเรื่ อ งราวของพิ ม และจูนต อไป โดยยั ง คงให ค วามสํา คั ญและเคารพกั บ
ความรูสึ กของพวกเธอดังที่ผูเ ขียนตระหนักอยูเ สมอ สว นความสัมพันธของผูเ ขียนกับณวรรณ
หลังจากนั้นก็ไมไดมีความเปลี่ยนแปลง เรายังคงเปนเพื่อนและพูดจากันไดดีเหมือนเดิม
วิธีการเก็บขอมูล
ในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ เ ป น งานวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ (qualitative research) โดยจะใช วิ ธี วิ จั ย
(research method) แบบการศึกษาผาน “ประวัติศาสตรการบอกเลา” (oral history) ซึ่งหมายความถึง
รูปแบบของการสัมภาษณแบบไมมีโครงสราง หรือเปนคําถามแบบปลายเปดเกี่ยวกับประวัติชีวิต
แนวคิด การกระทํา การตัดสินใจ และประสบการณสวนตัวของผูใหขอมูล (Shulamit Reinharz,
1992: 127,130) โดยจะมุงเนนใหผูหญิงทั้งสองคนบอกเลาประสบการณของการมีเพศสัมพันธ
นอกการแตงงานของพวกเธอตั้งแตครั้งแรกจนถึงปจจุบัน ซึ่งมีความรูสึกและการใหเหตุผลตอ
การกระทําของพวกเธอ เพื่อใหไดมาซึ่งขอมูลที่สามารถสะทอนมุมมองความเปนตัวตนของผูหญิง
ทั้งสองคนเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศของตนเอง ตลอดจนการแสดงออกในรูปแบบของการตอรอง
กับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมดวย อยางไรก็ตาม ผูเขียนตระหนักดีวาการใหผูใหขอมูลบอกเลา
เรื่องราวของตนเองเชนนี้คงหนีไมพนเรื่องของการ “เลือก” ใชถอยคําในการบอกเลา และ “เลือก”
36
หยิบยกเฉพาะเรื่องราวบางชวงบางตอนของประสบการณทั้งหมดมาบอกเลา และผูเขียนในฐานะ
ผูศึกษาก็ตองใชวิธีการ “ตีความ” เพื่อทําความเขาใจเรื่องราวและแนวคิดของพวกเธอ เพื่อถายทอด
ออกมาเปนเนื้อหาในงานวิจัยดวยเชนกัน ซึ่งผูเขียนก็ตระหนักดีวา สิ่งที่ผูเขียนถายทอดออกมานั้น
อยูในรูปแบบของ “ความจริง” อีกชุดหนึ่งของปรากฏการณในสังคม ซึ่งผูอานเองก็มีสิทธิในการ
ตีความและทําความเขาใจดวยตนเองอีกชั้นหนึ่งเชนกัน
สําหรับเครื่องมือที่ใชในการเก็บขอมูลนั้น เนื่องจากขอมูลที่ตองการศึกษาเปนเรื่องราว
ประสบการณในเรื่องเพศ ซึ่งเปนขอมูลที่เปนสวนตัวของแตละคนและมีความละเอียดออน ผูเขียน
จึงเลือกใชวิธีการนัดสัมภาษณแยกทีละคน โดยใชวิธีการสัมภาษณแบบไมเปนทางการในลักษณะ
ของการพูดคุยทั้งทางโทรศัพท และการนัดพบเจอตามสถานที่ตางๆ โดยใหพวกเธอเปนผูเลือก
สถานที่ เ อง และเน น ให ผู ใ ห ข อ มู ล เป น ผู บ อกเล า เรื่ อ งราวของตนเองตามลํ า ดั บ เวลาที่ เ กิ ด ขึ้ น
ซึ่งถาเปนการนัดพบเจอกันโดยตรง ผูเขียนจะขออนุญาตใชอุปกรณบันทึกเสียงและนํามาถอดเทป
ดวยตนเองทุกครั้ง แตถาหากเปนการพูดคุยทางโทรศัพท ผูเขียนจะใชวิธีการจดบันทึกประเด็น
สําคัญไปดวยและนํามาเรียบเรียงในภายหลัง สาเหตุที่ตองใชวิธีการสัมภาษณผานทางโทรศัพท
ดวยนั้น เนื่องจากตัวผูเขียนและผูใหขอมูลทั้งสองคนอยูกันคนละจังหวัด ประกอบกับแตละคน
ก็มีภารกิจ สวนตั ว จึงทํา ใหการนัดเพื่อพบปะพูดคุยของเราเปนไปได ยาก นอกจากนั้ นยัง มีการ
ใช วิ ธี ก ารสั ม ภาษณ จู น ผ า นช อ งทางการแชต (chat) หรื อ การสนทนาผ า นระบบอิ น เทอร เ น็ ต
ในเรื่องราวของเธอบางประเด็นที่ผูเขียนติดใจสงสัย และนําเอาการพูดคุยนั้นมารอยเรียงเขากับ
เรื่องราวของเธอในภายหลัง การพูดคุยหรือสัมภาษณกับพวกเธอทุกครั้งตองมีการสอบถามและ
ขออนุ ญ าตก อ นว า จะนํ า ข อ มู ล ที่ ไ ด จ ากการพู ด คุ ย ในครั้ ง นั้ นๆ มาใช ใ นการศึ กษา หากครั้ ง ใด
ที่เราไมไดทําการตกลงกันกอน ผูเขียนก็จะไมดึงขอมูลสวนนั้นมาใชเปนอันขาด
ตลอดเวลาในการศึกษา ผูเขียนไดเนนย้ํากับผูใหขอมูลทั้งสองคนวา ความตองการของ
ผูเขียนในการทําการศึกษาครั้งนี้คือ การพยายามทําความเขาใจมุมมองของพวกเธอที่มีตอรูปแบบ
ของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และปฏิบัติการตอรองกับกรอบดังกลาว โดยไมไดตองการ
จะตั้งคําถามกับพฤติกรรมของพวกเธอ วาเปนเรื่องที่ “ถูก” หรือ “ผิด” แตอยางใด นอกจากนี้ ผูเขียน
ยังตระหนั กถึ งความละเอี ยดอ อนในประเด็ นของเรื่องเลา ซึ่งเปนประสบการณใ นแงมุมที่ เ ปน
สวนตัวของพวกเธอ ที่เกี่ยวพันกับเรื่องของอารมณ ความรูสึกของพวกเธอทั้งที่ผานมาแลวและ
ที่มีตอคนรักในปจจุบัน ผูเขียนไดบอกกับพวกเธอเสมอวา ถามีประเด็นไหนที่กระทบกับความรูสึก
ของพวกเธอและไมตองการพูดถึงก็สามารถขามไปได และพวกเธอสามารถขอดูขอมูลเพื่อแกไข
ตามความสะดวกใจของพวกเธอก อ นที่ จ ะเผยแพร ไ ด ต ลอดเวลา แต ผู ใ ห ข อ มู ล ทั้ ง สองคน
ใหความไววางใจในตัวผูเขียนและไมไดขอดูขอมูลของพวกเธอกอนแตอยางใด
37
ผูใหขอมูล
การศึกษาในครั้งนี้เนนการวิเคราะหวิธีคิด และมุมมองของผูหญิงไทยสองคนที่มีตอ
พฤติกรรมในดานเพศของพวกเธอ กับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม ตลอดจนวิธีการตอรอง
กับกรอบดังกลาวผาน “เรื่องเลา” ถึงประสบการณทางเพศที่ผานมาของตัวเอง เพื่อทําความเขาใจ
ลั ก ษณะของกรอบเพศที่ ช อบธรรมตามความคิ ด และการให เ หตุ ผ ลที่ เ ป น ของพวกเธอเอง
ในการตอรองกับกรอบดังกลาว สาเหตุที่ผูเขียนเลือกผูหญิงสองคนนี้ก็เพราะวา พวกเธอเปนผูหญิง
ที่มีพื้นฐานครอบครัวอยูในระดับชนชั้นกลาง จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐ
และในปจจุบันก็มีหนาที่การงานที่สังคมใหการยอมรับ คือเปนพนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงาน
โรงแรม จึงอาจกลาวโดยรวมไดวาทั้งคูเปนบุคคลที่มีสถานภาพ หรือตัวตนทางสังคมอยูในระดับ
ที่ดี ซึ่งแตละคนก็มีรายละเอียดปลีกยอยของชีวิตที่มีความแตกตางกันไป อีกทั้งดวยวัยของพวกเธอ
ที่ ผ า นประสบการณ ห รื อ เรื่ อ งราวต า งๆ มาพอสมควร และที่ สํ า คั ญ คื อ พวกเธอต า งก็ เ ป น
คนที่ ส ามารถเป ด เผยรายละเอีย ดเรื่ อ งราวทางเพศของตนเองได ทํ า ให ป ระสบการณชี วิ ต ของ
พวกเธอกลายเปนเรื่องราวที่นาศึกษาเรียนรู
เหตุ ผ ลที่ ผู เ ขี ย นเลื อ กผู ห ญิ ง ที่ อ ยู ใ นระดั บ ชนชั้ น กลางมาเป น กรณี ศึ ก ษา เนื่ อ งจาก
กรอบเพศวิถีกระแสหลักในสังคมนั้นเปนเพศวิถีแบบชนชั้นกลาง ผูเขียนจึงเชื่อวาการศึกษาผูหญิง
ชนชั้นกลางจะทําใหเขาใจรูปแบบ และกลไกการทํางานของกรอบดังกลาวไดดีที่สุด เพราะเปนกลุม
ที่ไดรั บอิท ธิพลจากกรอบดั งกล า วมากที่สุ ด ดัง เช นที่ มี การอธิ บายเกี่ ยวกั บเรื่อ งเพศและชนชั้น
ในสั ง คมว า ผู ห ญิ ง ที่ อ ยู ใ นชนชั้ น ระดั บ สู ง และกลางจะถู ก ควบคุ ม ในเรื่ อ งเพศอย า งเข ม งวด
ในเรื่องเพศมากกวา เนื่องจากผูหญิงถูกทําใหเปนกลไกในการสืบทอดผลประโยชนและอํานาจ
ระหว า งชนชั้ น ซึ่ ง แนวคิ ด ของสั ง คมในเรื่ อ ง “การรั ก นวลสงวนตั ว ” และ “ความบริ สุ ท ธิ์ ”
ของผูหญิงก็ถูกสรางขึ้นมาเพื่อควบคุมผูหญิงในชนชั้นเหลานี้ดวย (ยศ สันตสมบัติ, 2544: 98)
38
จุดยืนและขอจํากัดของผูวิจัย
เนื่องจากผูเขียนกับผูใหขอมูลเปนเพื่อนกันมากอน และเคยรับรูเรื่องราวของพวกเธอ
มาแลว ทําใหการพูดคุยเพื่อสัมภาษณพวกเธอในบางครั้ง ผูเขียนมองขามบางประเด็นที่สําคัญไป
เพราะคิดวาตัวเองทราบเรื่องนี้อยูแลว จนทําใหทานอาจารยที่ดูแลวิทยานิพนธของผูเขียนตองเปน
ผูสะกิ ดให ผูเ ขียนมองเห็ น และกลับไปตั้ งคํา ถามเพิ่ มเติ ม ซึ่งเปนเหตุ การณที่ เ กิ ดขึ้นกับผู เ ขี ยน
อยูหลายครั้ง และบางครั้งผูเขียนยังมีความรูสึกเกรงใจที่จะตั้งคําถามกับพวกเธอเพราะเกรงวา
จะเปนการสะกิดความรูสึก และทําใหพวกเธอเกิดความไมพอใจหรือไมสบายใจได ซึ่งเปนการคิด
กั ง วลไปล ว งหน า ของผู เ ขี ย น ทั้ ง ๆ ที่ พ วกเธอเต็ ม ใจจะเล า เรื่ อ งราวทั้ ง หมดให ผู เ ขี ย นฟ ง
ในบางบริบทผูเขียนก็สับสนกับการแบงบทบาทของตัวเอง ในการเปน “เพื่อน” กับการเปน “ผูวิจัย”
เพราะผูเขียนตองวิเคราะหวาเรื่องใดประเด็นใดที่พวกเราคุยกัน จะเปนเรื่องที่นํามาใชเปนประเด็น
ในการศึ ก ษา หรื อ เรื่ อ งใดที่ เ ป น การพู ด คุ ย กั น ในฐานะเพื่ อ นเท า นั้ น ซึ่ ง ก็ มี ห ลายประเด็ น
หลายเหตุการณที่ผูเขียนอยากจะนํามาใชในการวิเคราะห แตเปนเรื่องที่พวกเธอบอกเลาใหผูเขียน
ฟงในฐานะของเพื่อน ไมใชในฐานะของการเปนผูใหขอมูล ผูเขียนจึงตองเคารพเรื่องราวในสวนนี้
ของพวกเธอดวย
นอกจากนี้ การที่ผูเขียน [ถูกทําให] เชื่อวา เรื่องเพศเปนเรื่องที่ควรปกปดหรือเปนเรื่องที่
อยูในซอกหลืบลับของชีวิตคนนั้น ยังสรางความลําบากใจใหผูเขียนอีกหลายครั้งหลายครา เพราะ
เมื่อใดก็ตามที่ผูเขียนพยายามอธิบายมโนทัศนหลักของวิทยานิพนธเลมนี้ตอคนที่ตั้งคําถามกับ
ผูเขียน ปฏิกิริยาตอบกลับจากแตละคนนั้นจะมีทั้งการพยายามทําความเขาใจ การพยายามแสรงทํา
เปนเขาใจ และบางคนก็ตั้งคําถามกลับมาวาทําไปทําไม หรือในบางครั้งผูเขียนก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยง
การอธิ บ ายกับ กลุ ม ญาติ ผู ใ หญ ใ นครอบครั ว หรื อ เพื่ อ นของพ อกั บ แมผู เ ขี ยนว า วิ ท ยานิ พ นธ นี้
เกี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งอะไร ด ว ยการตอบคํ า ถามเพี ย งว า “ทํ า เรื่ อ งผู ห ญิ ง กั บ การมี เ พศสั ม พั น ธ
กอนแตงงานคะ” และญาติผูใหญเหลานั้นก็ไมไดตั้งคําถามเพิ่มเติมกับผูเขียนแตอยางใด ราวกับวา
ทานเหลานั้นตองการจบบทสนทนากับผูเขียนแตเพียงเทานี้ หากจะมีก็เพียงแตสายตาที่แสดงถึง
ความคลุมเครือ ไม ชัดเจนในคํา ตอบของผูเขีย น แตก็ไมอยากจะถามตอไปอีก ซึ่งผูเ ขียนคิดวา
ถา ณ เวลานั้นผูเขียนใหคําอธิบายเพิ่มเติมไปตามที่ใจคิด ก็คงไมพนจะตองมีการถกเถียงถึงประเด็น
“ความถูกตอง/สมควร” ที่ผูหญิงไทยจะมีประสบการณทางเพศกอนแตงงานกับทานผูใหญเหลานั้น
เปนแน เพราะผูเขียนมีมุมมองสวนตัววา คนที่เปนผูใหญในสังคมไทยมักจะไมเห็นดวยกับการ
39
มีเพศสัมพันธกอนแตงงานของผูหญิง ซึ่งความตั้งใจในการทําวิทยานิพนธเลมนี้ของผูเขียนไมได
ตองการจะชี้ถูกชี้ผิดในการกระทําหรือการใหเหตุผลของใคร เพราะผูเขียนเชื่อวาแตละคนยอมมี
เหตุ ผลเป นของตัว เอง รวมไปถึง การที่ ตัว ผูเ ขียนเองก็ยั งไม ได ข อสรุ ปจากผลการศึ กษาเรื่ อ งนี้
ในขณะนั้น จึงคิดวายังไมสามารถพูดหรือใหเหตุผลแทนผูหญิงที่มีวิถีทางเพศเชนนี้ได
นอกจากความลํ า บากใจในสถานการณ ที่ ผู เ ขี ย นหยิ บ ยกขึ้ น มาข า งต น แล ว เรื่ อ งที่
ดูเหมือนจะเปนเรื่องงายๆ อยางการเลือกสถานที่พบปะพูดคุยกับพวกเธอทั้งสองคน ก็ทําใหผูเขียน
คิ ด หนั ก ได ทุ ก ครั้ ง เพราะมี ค รั้ ง หนึ่ ง ที่ จู น เลื อ กสถานที่ เ ป น ร า นกาแฟขนาดใหญ แ ห ง หนึ่ ง
ในกรุงเทพฯ ซึ่งเธอไดบอกกับผูเขียนวาถึงรานจะมีขนาดใหญ แตก็ไมพลุกพลาน เพราะมีบริเวณ
ที่นั่งเปนสัดสวน ผูเขียนก็ไดถามเนนย้ํากับเธอแลววาสะดวกจริงๆ ใชหรือไม เพราะเราจะตอง
สนทนากันดวยเรื่องประสบการณทางเพศของเธอเปนสวนมาก ซึ่งเธอก็ตอบรับมาวาเธอเคยไป
นั่งเลนที่นั่นมากอนแลวรูสึกชอบ คิดวานาจะใชเปนที่สนทนาของเราได แตเมื่อผูเขียนไปถึงราน
กาแฟแหงนั้นในตอนบายแกๆ ของวันอาทิตยก็พบวา ที่รานมีลูกคาเปนจํานวนมาก ทุกโตะมีลูกคา
หลากหลายกลุมจับจองเต็มเกือบหมด แมวาขนาดของรานจะคอนขางใหญ เพราะมีพื้นที่ใหบริการ
ถึงสองชั้น แตผูเขียนก็คิดวาที่นั่งชั้นลางซึ่งติดเครื่องปรับอากาศนั้นไมเหมาะกับการนั่งคุยของเรา
เพราะทางรานจัดที่นั่งแตละโตะไวใกลกันมาก และยังมีคนเดินไปเดินมาอยูตลอดเวลาเพื่อไปสั่ง
เครื่องดื่มที่เคาทเตอรบริการของรานดวย
หลังจากสั่งเครื่องดื่มใหตัวเองแลว ผูเขียนก็ลองเดินขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเปนสวนที่นั่งแบบ
outdoor ที่นั่งชั้นบนนั้นก็เหลือโตะวางเพียงโตะเดียว เพราะเปนตําแหนงที่แสงแดดสองลงมาพอดี
ทําใหไมมีใครเลือกนั่ง ผูเขียนจึงตัดสินใจนั่งรอจูนที่โตะตัวนี้พรอมกับนั่งสังเกตบรรยากาศของ
ผูคนที่นั่งอยูที่โตะขางๆ ซึ่งเวนระยะหางจากโตะของผูเขียนประมาณสองเมตร โตะทางดานขวามือ
เปนกลุมนักศึกษาชายหญิงประมาณหาถึงหกคนมานั่งติวหนังสือสอบกัน สวนทางดานซายมือ
เป น ผู ห ญิ ง กั บ ผู ช ายคู ห นึ่ ง ที่ ม านั่ ง อ า นหนั ง สื อ อี ก เช น เดี ย วกั น โต ะ ที่ อ ยู ถั ด จากชายหญิ ง คู นี้
ก็เปนผูหญิงที่กําลังกมหนาอานหนังสืออยางขะมักเขมนเชนเดียวกัน ดูเหมือนวาผูคนที่อยูรายรอบ
ผูเขียนในตอนนั้นตางกําลังมีโลกสวนตัวของตัวเอง แตก็ไมไดหมายความวาประสาทการรับฟง
ของพวกเขาเหลานั้นจะไมทํางาน ซึ่งถาหากจุดประสงคในการสนทนาของเราวันนี้เปนเรื่องเกี่ยวกับ
ดินฟาอากาศ หรือเรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป การนั่งอยูทามกลางผูคนเหลานี้ก็คงไมใชปญหา แตทั้งนี้
ทั้งนั้นผูเขียนอยากใหจูนเปนคนตัดสินใจในสถานการณนี้มากกวา ดังนั้นเมื่อจูนมาถึง ผูเขียนจึงถาม
เธอวายังสะดวกที่จะพูดคุยที่รานนี้อีกหรือไม เพราะในใจผูเขียนรูสึกอยูตลอดเวลาวาคนที่นั่งโตะ
ขางๆ อาจจะไดยินการสนทนาของพวกเราได จูนบอกวาเธอประหลาดใจมาก เพราะเธอไมเคยเจอ
คนจํานวนมากขนาดนี้มากอนเมื่อมาที่รานนี้ ตอนแรกเธอคิดวาไมนาจะเปนอะไร คุยกันที่นี่ก็ได
40
ผู เ ขี ย นจึ ง หยิ บ เครื่ อ งบั นทึ กเสี ย งมาทดลองพู ด ในระดั บ ที่ คิ ดว า คนที่ นั่ ง โต ะ ข า งๆ จะไม ไ ด ยิ น
แตกลับพบวาถาพวกเราตองคุยกันแบบนี้ จะเปนการสนทนาที่ทรมานมาก เพราะแทบจะเปนการ
กระซิ บ คุ ย กั น เลยที เ ดี ย ว จู นจึ ง ตั ดสิ นใจเปลี่ ย นสถานที่ คุ ย โดยเลื อ กไปนั่ ง คุ ย ที่ สวนสาธารณะ
สั น ติ ชั ย ปราการย า นบางลํ า พู แ ทน เนื่ อ งจากในตอนเย็ น เรามี นั ด กั บ เพื่ อ นๆ ที่ ร า นอาหาร
แถวถนนพระอาทิตยพอดี เราจึงนั่งรถเมลไปดวยกัน
ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่เราอยูบนรถเมลนั้น เราก็ไมไดพูดคุยในเรื่องทางเพศ
ของเธอเลย แตกลับเปนการคุยกันในเรื่องอื่นๆ มากกวา เหมือนกับตางฝายตางรูกันวาบนรถเมล
ก็ไมใชพื้นที่ที่จะคุยเรื่องนี้ได เมื่อเรานั่งรถเมลมาถึงปายแถวบางลําพูและตองเดินไปอีกสักพัก
กวาจะถึงสวนสันติฯ ระยะทางที่เดินไปนั้นถือเปนพื้นที่ “สวนตัว” แหงแรกของพวกเราในวันนั้น
บทสนทนาของเราจึงเริ่มตนขึ้นตอนนั้นนั่นเอง จากนั้นพอเดินถึงสวนสันติฯ แลว เราก็ไดเลือกที่จะ
นั่งคุยกันตรงมานั่งตัวหนึ่งในสวนแหงนั้นจนกระทั่งพระอาทิตยตกดิน และไดเวลาที่เรานัดกับ
เพื่อนๆ แลว เราจึงยุติการสนทนาของเราในวันนั้นลง หลังจากนั้นจึงเปนที่รับรูกันโดยอัตโนมัติวา
การนั ดพบในครั้ ง อื่ นๆ ของพวกเรา ควรเป นสถานที่ที่ แน ใ จว า จะไม มีใ ครอยู ในรั ศมี ร อบข า ง
อย า งเช น การพู ด คุ ย ในครั้ ง ถั ด มา เรานั ด เจอกั น ที่ อ อฟฟ ศ ของเธอในวั น หยุ ด และคุ ย กั น ใน
หองประชุมกระจกที่มีเพียงผูเขียนกับจูนเทานั้น เปนตน คงเปนเพราะเรามีความรูสึกรวมกันวา
ผูเขียนเองก็ลําบากใจในการถาม และตัวเธอก็ลําบากใจในการเลาเรื่องถาหากวามีคนอื่นอยูใกลเขต
รัศมีการพูดคุยของพวกเรา
สวนกับพิมนั้น เธอไมคอยเกี่ยงเรื่องสถานที่และผูคนที่อยูรายรอบพวกเราสักเทาไหร
เพราะพวกเราเคยพูดคุยกันในที่กึ่งสาธารณะ ซึ่งพวกเรานั่งกันอยูในระยะที่ไมหางจากบุคคลอื่น
มากนักมาแลว ในการพูดคุยครั้งนั้นผูเขียนเปนฝายเขินอายและกังวลวาคนอื่นจะไดยินเรื่องราว
เหล า นี้ ม ากกว า ตั ว พิ ม เองเสี ย อี ก อาจเป น เพราะผู เ ขี ย นเองยั ง มี ค วามเชื่ อ ส ว นตั ว ลึ ก ๆ อยู ว า
เรื่องทางเพศนั้นเปนเรื่องที่ควรปกปด ไมควรใหคนอื่นมารูเรื่องราวอันเปนสวนตัวนี้มากก็เปนได
ซึ่ ง จุ ด นี้ เ ป น การสะท อ นให เ ห็ น ว า ผู เ ขี ย นเองก็ ถู ก กรอบเรื่ อ งเพศของสั ง คมกํ า กั บ ควบคุ ม อยู
อย า งแน น หนาโดยไม รู ตั ว และอาจส ง ผลให ก ารวิ เ คราะห ตี ค วามข อ มู ล ของผู เ ขี ย นเป น ไป
อยางจํากัดและไมรอบดาน ทําใหผูเขียนเองก็ตองพยายามทําความเขาใจกรอบเรื่องเพศของสังคม
อยางระมัดระวังในขณะที่ดําเนินการศึกษามากขึ้นดวย
การวิเคราะหและนําเสนอขอมูล
ผูเขียนจะนําเสนอขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณผูหญิงทั้งสองคนในบทที่สี่ในรูปแบบของ
การเรี ยบเรี ยงเป นเรื่ องราวตามลํา ดับ เหตุการณ โดยจะสอดแทรกคํ า พูดที่ เ ป นของพวกเธอเอง
41
เรื่องเลาของพิม
พิม หญิงสาวหนาตาสวยสะดุดตา รูปรางกะทัดรัดสมสวน บุคลิกราเริงแจมใส มีรอยยิ้ม
ที่บงบอกถึงความมั่นใจในตัวเอง เมื่ออยูในกลุมเพื่อนเธอจะเปนคนเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ
ไดเสมอ จากการใชถอยคําที่ตลกขบขันออกไปในแนวทะลึ่งเสียดสี ซึ่งเปนบุคลิกประจําตัวของเธอ
ที่เพื่อนๆ รูจักกันดี ปจจุบันพิมอายุ 28 ป เธอเปนลูกสาวคนโตของครอบครัวชนชั้นกลางที่พอและ
แมทํ างานเป นพนักงานรัฐวิ สาหกิจ แห งหนึ่ง แตพอกับแมของเธอได แยกทางกันไปตั้ง แต สมัย
เธอยังเรียนอยูชั้นประถม ปจจุบันตัวเธอเองก็ประกอบอาชีพเปนพนักงานรัฐวิสาหกิจเชนเดียวกัน
และอาศั ยอยู ที่ บ า นกั บแมเ พีย งสองคน เนื่ องจากน อ งชายของเธอกํา ลัง ศึก ษาอยูที่ ต า งประเทศ
ในสวนของความสัมพันธกับคนในครอบครัวนั้น ตัวเธอกับแมจัดวามีความใกลชิดและสนิทสนม
กันมาก ซึ่งแตกตางจากความสัมพันธของเธอกับพอ ที่ไมคอยไดเจอกันเพราะทานมีครอบครัวใหม
และพิมมองการที่พอไปมี ครอบครัวใหมวาเปนการทํารายครอบครัวของเธอ ทําใหเธอไมคอย
อยากไปใกลชิดสนิทกับพอมากนัก
เมื่อแมของพิมตัดสินใจแยกทางกับพอ แมจึงตองทําหนาที่เปนหัวหนาครอบครัวเล็กๆ
ของเธอตั้งแตนั้นเปนตนมา พิมบอกวาแมเลี้ยงดูเธอและนองมาอยางดีอยางที่ผูเปนแมคนหนึ่ง
พึงจะทําได เธอกับนองชายจึงสนิทกับแมมาก เรียกไดวาเธอกับนองสามารถพูดคุยปรึกษา “เกือบ”
ทุกเรื่องในชีวิตกับแมได
ในวัยเด็กชีวิตของพิมก็เปนเหมือนกับเด็กผูหญิง ที่ถูกเลี้ยงดูขัดเกลาใหเติบโตมาเปน
ผูหญิงธรรมดาทั่วไป หากแตในแงมุมที่เปนชีวิตสวนตัวเชนในมิติเรื่องเพศของเธอนั้นกลับไม
ธรรมดา เนื่องจากเธอเริ่มเรียนรูจักมันในวัยที่คนทั่วไปคิดวา “ไมเหมาะสม” โดยเริ่มจากในวัยเด็กที่
เธอเคยมีความสัมพันธในเชิงทางเพศกับญาติชายวัยไลเลี่ยกันแตไมถึงขั้นของการสอดใส เนื่องจาก
เธอตองการเลน “เลียนแบบ” ในสิ่งที่เธอไดพบเห็นจากการนอนรวมหองกับพอแมในขณะนั้น
43
การนิยามความหมายของเพศสัมพันธในแบบดังกลาวของพิมเปนการนิยามที่สอดคลอง
กั บ การให ค วามหมายของกรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม ว า เพศสั ม พั น ธ ที่ “ถู ก ต อ ง” และ
“เป น ธรรมชาติ ” หมายถึ ง ความสั ม พั น ธ ท างเพศที่ เ กิ ดขึ้ น ระหว า งชายหญิ ง โดยมี ก ารสอดใส
อวั ย วะเพศ (sexual intercourse) เท า นั้ น เธอจึ ง ไม ย อมรั บ ว า ประสบการณ ท างเพศในรู ป แบบ
ดังกลาวของเธอคือการมีเพศสัมพันธ อยางไรก็ตาม ความสัมพันธระหวางเธอกับรุนพี่คนดังกลาว
ก็ยังคงดําเนินตอไปอีกหลายครั้ง เพราะเธอบอกวาเขาเปนคนที่เธอพึงใจ และมันเปนความสัมพันธ
ในรู ป แบบที่ ต อบสนองกั น แม จ ะไม ไ ด เ ป น แฟนกั น แต อ ย า งน อยทั้ ง สองคนก็ มีค วามรู สึ ก ที่ ดี
ใหแกกันในขณะนั้ น แต พิมก็ไ มไดเ ปด เผยเรื่องราวของเธอกับรุนพี่คนดั งกลา วใหใ ครที่บ านรู
เพราะเธอมองวาเรื่องดังกลาวเปนเรื่องที่ไมถูกตองในสายตาของคนในครอบครัว
“ถึงแมเราจะไมอยากใหเรามีอะไรกับแฟนผูชาย แตก็ไมไดหมายความวาเคาจะยินดีที่
เราไปมีอะไรกับผูหญิงหรอกนะ”
นอกจากความรูสึกกลัวแลว เธอยังตระหนักถึงความรูสึกของแมของเธอดวยเชนกัน
เพราะพิมมองวาการที่แมสงเสียเงินใหเธอไปเรียนที่ตางประเทศนั้น เปนการลงทุนที่มีคาใชจายมาก
พอสมควร เธอจึงไมอยากทําตัว “ไมดี” และทําใหแมของเธอตองเสียใจ
“แลวตอนนั้นเราก็คิดถึงแมเราดวยแหละวาเขาเสียเงินใหเรามาที่นี่นะ ก็ไมอยากทําตัว
เลวๆ ใหเขาสงตัวเรากลับประเทศดวย พูดไดเลยวาการไปอเมริกาตอนนั้นไมไดมีผลตอ
การเปลี่ยนแปลงความคิดอะไรใดๆ ของเราเลย ไมใชแบบวา ‘โอว! ไปเห็นโลกกวาง
แล ว กลั บ มากู นี่ หั ว สมั ย ใหม ’ ไม ใ ช แ บบนั้ น เลย เพราะว า ระหว า งที่ อ ยู ที่ นั่ น ไม ไ ด
มีความคิดในเรื่องเหลานี้ [เรื่องเพศ] เลยในหัวเลยจริงๆ”
ในขณะนั้นพิมมองวาเรื่องเพศคือเรื่องที่ผิดและไมควรเขาไปเกี่ยวของ เพราะอาจทําให
เกิ ด ป ญ หาซึ่ ง ส ง ผลกระทบต อ ตั ว เธอและต อ แม ข องเธอได ซึ่ ง ก็ เ ป น ความคิ ด ที่ อ ยู ใ นใจของ
ผู เ ป น ลู ก สาวที่ ถู ก ปลู ก ฝ ง มาในสั ง คมไทย แต เ นื่ อ งจากเธอไม ไ ด อ ยู ใ นสถานการณ ที่ ไ ด รั บ
ความสนใจจากคนอื่นมากพอจนทําใหความเชื่อเรื่องนี้สั่นคลอนไป พิมจึงไมไดยุงเกี่ยวกับใคร
ดังที่ ไดกล า วมา ซึ่ง แตกตา งจากตอนที่เ ธอกลั บมาประเทศไทยและเกื อบจะไดมี ค วามสัมพั นธ
ทางเพศกับผูชายเปนครั้งแรก โดยที่เรื่องราวดังกลาวเกิดขึ้นตอนที่เธอไปเรียนพิเศษ และมีเพื่อนชาย
คนหนึ่งแสดงทาทีวาสนใจเธอ แตเธอเองกลับคิดวาเขามีลักษณะเปนกะเทย
46
“พอกลับมาจากอเมริกาก็ไปเรียนภาษาอังกฤษที่สถาบันสอนภาษา ตอนนั้นก็มีกิ๊ก1
คนหนึ่ง คือเรารูสึกดีดวยแตไมไดคิดวาชอบหรืออะไร ตอนแรกเรานึกวาเขาเปนสาว2
ดูออกตุงติ้งๆ ก็แบบรูสึกดีนะ เขาก็ดูแลดี คือตอนนั้นไมไดรูสึกอะไร ก็มีจับมือถือแขน
กันบาง อยางเชนเวลาจะพาขามถนนอะไรแบบนี้ เพราะเราชอบคนที่ออกลักษณะสาวๆ
เปนกะเทยแลวมันดูอบอุนดี ก็จะชอบไปนัวเนียดวย”
โดยที่ตัวเธอเองไมไดมีความรูสึกอะไรเปนพิเศษกับเพื่อนชายคนนี้ แตตัวเขากลับแสดง
ทาทีสนใจในตัวเธอ และใชโอกาสที่ไปเที่ยวพัทยากับกลุมเพื่อนที่เรียนภาษาอังกฤษดวยกันเปดเผย
ความรูสึกที่มีตอพิมดวยการจูบเธอขณะที่นอนขางกัน และเธอก็สนองตอบเขาดวยการจูบตอบ
เช นเดี ยวกัน แตไมได มี อ ะไรเกินเลยไปกวา นั้ น เธอให เหตุ ผลกั บการจู บตอบเขาว า เปนเพราะ
ในตอนนั้นอารมณพาไป แตในสวนความรูสึกสวนตัวก็ยังไมถึงขั้นที่จะทําอะไรมากกวานั้นได
และเมื่อเขามาเอยถามถึงความรูสึกของเธอในภายหลัง พิมจึงบอกเขาวาเธอไมไดคิดอะไรกับเขา
มากไปกวาการเปนเพื่อน เพราะเธอไมไดรูสึกชอบเขาแบบชูสาวแตอยางใด ซึ่งพิมบอกกับผูเขียนวา
ถาหากเธอชอบเขา เธอก็คงตัดสินใจมีอะไรกับเขาไดตั้งแตในคืนนั้นหรือคบกันเปนแฟนไปแลว
1
เนื่องจากการพูดคุยในครั้งนี้เปนการเลาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต คําวา “กิ๊ก” ที่พิมใช จึงเปนคําสมัยใหมที่เพิ่งเปนที่รูจักแพรหลาย
ในกลุมวัยรุนชวงสองปที่ผานมานี้เอง ผูที่ทําการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มองวา “กิ๊ก” อาจจะมาจากคําวา “กุกกิ๊ก” ซึ่งหมายถึงคนที่มี
สถานะมากกวาเพื่อนแตยังไมใชแฟน อาจจะมีหรือไมมีเพศสัมพันธกันก็ได (กรุงเทพวันอาทิตย [ระบบออนไลน] http://www.elib-
online.com/doctors47/teen_love002.html)
2
คําวา “สาว” เปนคําที่ผูหญิงโดยทั่วไปนิยมใชเรียกผูชายที่มีลักษณะทาทาง หรือแสดงกิริยาคลายเกยหรือกะเทย มาจากคําวา
“ออกสาว” หรือ “สาวแตก”
47
สาเหตุหลักที่ทําใหพิมไมไดยอมเลยเถิดไปถึงขั้นยอมมีเพศสัมพันธกับเพื่อนชายคนนั้น
ก็คือ ตัวเธอไมไดมีความรูสึกรักหรือชอบเขามากพอ เพราะเธอมองวาในตอนนั้นเธอมีความพรอม
ทุกอยางแลว ทั้งเรื่องความพรอมทางดานรางกาย หรืออยูในชวงอายุท่ีเธอมองวาเปนวัยที่สามารถ
มี เ พศสั ม พั นธ ไ ด แ ล ว ยกเว น แต ค วามรู สึ ก ของตั ว เธอที่ มี ต อ เพื่ อ นชายคนนั้ นยั ง คงไม เ พี ย งพอ
ที่จะทําใหเธอมีเพศสัมพันธกับเขาดวยได
หลังจากนั้น เมื่ อมีการประกาศผลเอนทรานซใ นป พ.ศ.2540 ก็เปนอีกครั้ง หนึ่งที่พิม
ไดไปใชชีวิตอยูหางไกลจากบาน จากครอบครัวของเธอ และการอยูหางบานในครั้งนี้ทําใหเธอ
มีประสบการณ “การมีเพศสัมพันธ” เปนครั้งแรกกับผูชาย ที่เรียกไดวาเปนแฟนคนแรกในชีวิต
ของเธอขณะที่เปนนั กศึกษาปหนึ่งในมหาวิทยาลัยของรัฐแหงหนึ่ง โดยที่แฟนคนแรกของเธอ
เป น รุ น พี่ ที่ เ รี ย นอยู ค ณะเดี ย วกั น เริ่ ม รู จั ก กั น จากการทํ า กิ จ กรรมภายในคณะและเขามี ที ท า
แสดงความสนใจในตัวเธอ และเธอเองก็ไมไดรังเกียจอะไร ทั้งสองจึงคบหากันเปนแฟน
พิมมองวาการตัดสินใจมีแฟนของเธอในตอนนั้นเปนไปตามความรูสึกที่คิดวาตัวเอง
พรอมที่จะมีความรักแลว ซึ่งเปนความรักในรูปแบบของรักตางเพศที่เปนไปตามแนวทางของสังคม
บวกกั บ องค ป ระกอบต า งๆ คื อ การที่ มี ค นมาให ค วามสนใจในตั ว เธอ และเป น คนที่ เ ธอเอง
ก็มีความรูสึกดีๆ ตอเขาดวยเชนกัน จึงทําใหเธอยอมรับความสัมพันธในครั้งนี้ โดยเธอไดบอกเลา
เรื่ อ งราวการมี แ ฟนครั้ ง แรกให แ ม ข องเธอได รั บ รู ว า เธอกํ า ลั ง เริ่ ม คบหาดู ใ จกั บ รุ น พี่ ค นนี้ อ ยู
ซึ่งแมก็ไมไดวาอะไร เพียงแตเอยปากขอกับเธอไววาแมไมอยากใหความสัมพันธในครั้งนี้ถึงขั้น
มีอะไรกัน
48
การใหเหตุผลกับการกระทําของตัวเองผานการบอกเลาใหเพื่อนฟงนั้นก็คือ การที่พิม
เลื อ กใหค วามสํ า คั ญ กับ ประเด็ นที่ เ ธอทํ า ไป ว า เป น เพราะความรั กที่ มีตอ แฟนหนุม และความ
ตองการรักษาความสัมพันธใหมั่นคงไว มากกวาที่จะใหความสําคัญกับความคิดที่วาผูหญิงจะตอง
รักษาความบริสุทธิ์ในขณะนั้น เธอจึงมองวาเมื่อเธอไดกระทําไปแลวก็ไมไดมีความเปลี่ยนแปลง
ใดๆ เกิดขึ้นกับรางกายของเธอเลย เพียงแตเธอยังคงมีความกลัวที่ไดละเมิดความเปนลูกสาวที่ดี
ตามที่แมตองการอยู
3
เพลง “ฮอรโมน” (2544) ของศิลปนวงกรูฟไรเดอร (Groove Riders) คายเบเกอรี่มิวสิก (Bakery Music) เปนเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
การเรียกรองใหวัยรุนรักนวลสงวนตัว รักษาความบริสุทธิ์ไวจนกวาจะแตงงาน ดวยการพยายามขมความตองการของตัวเองไวใหได
โดยมีเงื่อนไขสําคัญคือ การคิดถึงความรูสึกของคุณพอคุณแมใหมาก เพื่อจะไดไมทําใหพวกทานเสียใจ
50
การที่ เ ธอมี กั ง วลเกี่ ย วกั บ ความเปลี่ ย นแปลงที่ อ าจจะเกิ ด ขึ้ น กั บ ตั ว เองภายหลั ง จาก
ผานประสบการณการมีเพศสัมพันธครั้งแรกของพิมนั้น สะทอนใหเห็นถึงความเชื่อในเรื่องของการ
ผู ก คุ ณ ค า ของผู ห ญิ ง ไว กั บ ความบริ สุ ท ธิ์ ที่ เ ชื่ อ กั น ว า เมื่ อ สู ญ เสี ย ไปแล ว จะทํ า ให เ กิ ด
ความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับตนเองในดานใดดานหนึ่ง หรือสูญเสียคุณคาของตัวเองไป แตเมื่อถึงจุดที่
เธอไมสามารถรักษามันไวไดอีกตอไปแลว เธอจึงเลือกใหความสําคัญกับเหตุผลที่ทําใหเธอยอม
มีเพศสัมพันธกับพี่หนึ่งมากกวา นั่นก็คือความรักและความพยายามที่อยากจะรักษาความสัมพันธ
ของเธอกับเขาไว และบอกกับตัวเองวาไมไดมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นตามที่เคยเขาใจมา
สวนความรูสึกผิดตอแมนั้นพิมก็หาวิธีการจัดการกับมัน โดยการไมบอกใหแมรูหรือพยายามปกปด
เรื่องดังกลาวไว และทําตัวเปนลูกสาวที่ดีของแมตอไปตามเดิม
“เพราะเราเคยคุยกับเพื่อนสนิทเราคนหนึ่งถึงเรื่องของเพื่อนเราที่เขาไปมีอะไรกับแฟน
แล ว เพื่ อ นอี ก คนหนึ่ ง มั น ไม เ ชื่ อ ว า เพื่ อ นคนนี้ จ ะทํ า แบบนั้ น เพื่ อ นสนิ ท เราก็ ยั ง พู ด
ในทํานองวา ‘ทําไมมันจะไมรูเลยเหรอ? ทําไมมันถึงไมคิดวาเพื่อนคนนั้นไปมีอะไร
กับแฟน?’ เราก็พูดกับเพื่อนสนิทเราวา ‘นี่มึง...มันจะมีคนหมูมากในสังคมเราที่คิดวา
เรื่องแบบนี้เปนเรื่องที่เกินขอบเขต อยูนอกกรอบที่ดี เพราะฉะนั้น ถามึงเปนเพื่อนกู
กูก็จะตองคิดวา ถึงแมวามึงจะอยูกับผัว [แฟน] มึงก็ตาม กูก็จะคิดวามึงไมไดมีอะไรกัน
เพราะมึงเปนเพื่อนกู กูตองคิดวากูตองเชื่อใจในสิ่งที่มึงทํา เพราะกูไมคิดวามึงจะทํา
ในสิ่งที่ไมดีหรอก’ เพราะฉะนั้น แมเราก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน”
หลั ง จากที่ เ ธอมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศกั บ พี่ ห นึ่ ง แล ว พิ ม ก็ รู สึ ก ว า รู ป แบบของ
ความสัมพันธของเธอเปลี่ยนแปลงไป คือเธอเริ่มรูสึกวาพี่หนึ่งตามติดและหวงเธอมากขึ้นและ
เรียกรองที่จะมีเพศสัมพันธกับเธอมากขึ้นดวยเชนกัน ซึ่งพิมบอกตัวเองวาอาจเปนเพราะพี่หนึ่ง
มองวาเปนเรื่องธรรมดาที่คนเปนแฟนกันจะเรียกรองในเรื่องเหลานี้ และทําใหตัวเธอเองก็ยินยอม
สนองความตอ งการของเขา เพราะเธอก็ไ ม ปฏิ เ สธว า ตั ว เธอก็ ช อบในเรื่ อ งเหลา นี้ เ ช นเดี ยวกั น
อยางไรก็ตาม เมื่อความสัมพันธของทั้งคูดําเนินไปไดไมนาน พิมก็เริ่มรูสึกวาพี่หนึ่งเริ่มมีพฤติกรรม
การแสดงออกที่ทําใหเธอไมพอใจ จากการตามติดของเขาทําใหเธอรูสึกวาเขาไมมีเหตุผล ไมรูจักคิด
เนื่องจากในชวงปดเทอมเธอไดลงไปเที่ยวบานเพื่อนทางภาคใต และพี่หนึ่งไดโทรศัพทไปหาเธอ
ที่บานเพื่อนในเวลากลางคืนอยูบอยครั้ง ทําใหพิมรูสึกเกรงใจครอบครัวของเพื่อนที่เปนเจาของบาน
และไมชอบใจในความไมมีมารยาทของพี่หนึ่งเปนอยางมาก จนกลายเปนสาเหตุที่ทําใหเธอกับเขา
ทะเลาะกัน และเธอตัดสินใจบอกเลิกกับเขาไปในที่สุดหลังจากที่กลับมาจากบานเพื่อนแลว
หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็ดําเนินตอไปโดยที่มีผูชายคนใหมเริ่มกาวเขามา เนื่องจากพิม
เปนคนที่มีบุคลิกสนุกสนาน ยิ้มแยมเปนกันเองกับผูอื่นและเปนหญิงสาวหนาตาดี จึงไมใชเรื่องยาก
ที่จะมีคนมาใหความสนใจในตัวเธอและพัฒนาสานตอจนกลายเปนความรักครั้งใหมไดในที่สุด
โดยผู ช ายคนใหม ที่ เ ข า มาในชี วิ ต ของพิ ม คนนี้ เ ป น รุ น พี่ ที่ เ รี ย นอยู อี ก คณะหนึ่ ง ซึ่ ง พิ ม บอกว า
ดูเหมือนเขาจะใหความสนใจเธอมาตั้งแตตอนที่เธอคบกับพี่หนึ่งอยูแลว แตตอนนั้นทั้งคูตางก็
ยั ง มี แ ฟนของกั น และกั นอยู ความสั ม พั นธ จึ ง ไม ไ ด ก า วหน า มากไปกว า การเป น แค ค นรู จั กกั น
แตเมื่อทั้งสองฝายตางยุติความสัมพันธที่มีมากอนหนานี้ไปไดแลว จึงไดเริ่มมาเปดเผยความรูสึก
ที่มีตอกันและเริ่มคบหากันเปนแฟน
52
ซึ่ง ภายหลัง จากเริ่ม คบกั นเปนแฟนไดไ มนาน เธอก็มีค วามสั ม พั นธ ทางเพศกับ พี่ โ ก
โดยที่การตัดสินใจมีเพศสัมพันธในครั้งนี้เธอบอกวาไมไดยากเหมือนครั้งแรกอีกตอไป พิมบอกวา
เธอไมไดมีความรูสึกวาตัวเองทําผิดตอแมเหมือนในกรณีของพี่หนึ่ง เพราะเธอไดผานตรงจุดนั้น
มาแลว และเธอก็เลือกใชวิธีการที่จะไมบอกแมเพื่อใหทานสบายใจ เธอจึงปลอยใหเรื่องนี้เปนไป
ตาม “ธรรมชาติ” ของคนรักกันโดยไมไดเก็บเอามาคิดเปนความรูสึกผิดอีกตอไป
การที่พิมมองวาการมีเพศสัมพันธกับพี่โกทําไดงายกวาครั้งแรกกับพี่หนึ่งนั้น เพราะเธอ
ใหเหตุผลวาเปนเรื่องธรรมดาที่คนรักกันจะมีความสัมพันธทางเพศตอกัน แมวาจะยังไมไดแตงงาน
กันก็ตาม ประกอบกับที่เธอมองวาตัวเอง “เสียความบริสุทธิ์” ไปแลว จึงกลายเปนความชอบธรรม
ที่ทําใหเธอคิดวาตัวเองสามารถมีเพศสัมพันธกับแฟนหนุมได การมองสถานการณแบบนี้สะทอน
ให เ ห็ น ถึ ง ความเชื่ อ ในเรื่ อ งพรหมจรรย ข องผู ห ญิ ง ที่ เ ชื่ อ ว า มี แ ค ค รั้ ง เดี ย ว เมื่ อ สู ญ เสี ย ไปแล ว
ก็ไมเหมือนเดิมอีกตอไป และตองหาวิธีการจัดการกับความรูสึกนี้ของตัวเองใหได ซึ่งวิธีการที่พิม
เลื อ กใช เ พื่ อ จั ด การกั บ ความรู สึ ก ของตั ว เองก็ คื อ การให ค วามสํ า คั ญ กั บ เรื่ อ งของความรั ก
4
ยอมาจากคําวา artist หมายถึงคนที่มีทาทางเปนศิลปน ไวผมยาวหรือไวหนวดไวเครา เปนตน มักใชกับคนที่เรียนหรือทํางานใน
แวดวงศิลปะ
53
ไดมาซึ่งความรักที่มั่นคงและอบอุนใจจากความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว ที่เธอเองก็คาดหวังให
ผูชายยึดถือดวยเชนกัน
พิ ม จะบอกกั บ ผู เ ขี ย นเสมอว า เวลาที่ เ ธอคบกั บ ใครนั้ น เธอไม ไ ด ม องว า เธอจะต อ ง
ไดรวมชีวิตกับเขาในที่สุด หรือคิดวาเขาจะเปนคนสุดทายในชีวิตเธอ แตเธอก็ไมไดคบกับแตละคน
แบบเลนๆ ไปวันๆ เชนเดียวกัน เมื่อความสัมพันธระหวางเธอกับพี่โกดําเนินไปเรื่อยๆ และเธอ
มองวาในเมื่อการกระทําและพฤติกรรมในดานอื่นๆ ของพี่โกไมสามารถทําใหเธอรูสึกดีและมั่นคง
ไดอีกตอไป และเธอคิดทบทวนดูแลววาเธอไมไดรักเขาแลว เธอจึงยอมเปดใจใหผูชายคนใหม
เขามาในชีวิต ซึ่งในขณะนั้นเปนชวงของการเริ่มตนทํางานเมื่อพนออกจากรั้วมหาวิทยาลัยมาแลว
เธอมองวาการกระทําในตอนนั้นของเธอเปนการตอกย้ําความเชื่อสวนตัวของตัวเองที่วา เธอจะ
ไมสามารถรักใครซ้ําซอนในเวลาเดียวกันได เพราะเธอมักจะอยูในสถานการณที่ถารักใครแลว
ก็จะรักแบบ “หัวปกหัวปา” อยูคนเดียว ถาเหตุการณแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ตองเปนกรณีที่เธอหมดใจ
กับคนเกาไปแลว เธอจึงจะสามารถเริ่มตนมองหาหรือรักคนใหมได ซึ่งผูชายคนใหมที่เขามาก็เปน
เหมือนตัวชวยที่ทําใหพิมยุติความสัมพันธกับพี่โกไดงายมากขึ้น
สาเหตุของการยุติความสัมพันธกับพี่โกนั้น พิมบอกวาเพราะเธอรูสึกเบื่อกับการกระทํา
ของพี่โกที่อยูในลักษณะยังไมยอมโตหรือไมมีความคิด ทําใหเธอรูสึกเหนื่อยใจที่จะตองคบกับเขา
ตอไปและมองไมเห็นอนาคต พฤติกรรมและการวางตัวของเขาทําใหเธอรูสึกวาหมดรักเขาแลว
เธอจึงเปดโอกาสใหตัวเองไดทําความรูจักกับผูชายคนใหม ดวยการใหเหตุผลกับตัวเองวาสิ่งที่เธอ
ทําไมไดเปนการละเมิดกติกาหรือความเชื่อในเรื่องผัวเดียวเมียเดียวของตัวเอง เพราะเธอรูตัวดีวา
เธอไมไดรักพี่โกอีกตอไปแลว เธอบอกเลิกกับพี่โกดวยเหตุผลวาเธอมีคนรักใหมแลว ทําใหพี่โก
ที่ปฏิเสธการบอกเลิกของเธอกอนหนานี้มาโดยตลอดยอมเลิกกับเธอแตโดยดี
เมื่อความรักครั้งใหมของพิมเกิดขึ้นกับผูชายที่เธอคิดวาเขามีคุณสมบัติที่พรอมสําหรับ
การเป นหั ว หน า ครอบครั ว ได เนื่ อ งจากเขามี ค วามเป นผู นํ า สู ง พี่ ต อ จึ ง เป นผู ช ายคนแรกที่ เ ธอ
55
คิดอยากจะมีอนาคตรวมดวยในรูปแบบของการสรางครอบครัวรวมกัน แมวาเขาจะมีสถานะเปน
พ อ ม า ยก็ ต าม พี่ ต อ บอกกั บ เธอว า เขาผ า นการแต ง งานมาแล ว และมี ลู ก ติ ด หนึ่ ง คน แต ต อนนี้
ไดแยกกันอยูกับภรรยาแลวเนื่องจากมีปญหาบางประการ ซึ่งพิมก็ไมไดติดใจในประเด็นนี้เพราะ
เธอมองวาอยางนอยเขาก็เปดใจพูดความจริงกับเธอตั้งแตแรกที่เริ่มคบกันใหมๆ พิมเจอกับพี่ตอ
ในที่ ทํ า งานซึ่ ง เป น งานแรกของเธอหลั ง จากเรี ย นจบ เธอกั บ เขาอยู กั น คนละแผนกแต ก็ ไ ด มี
การพบปะพูดคุยกันอยูบาง โดยแรกเริ่มนั้นเขาเขามาขอเบอรโทรศัพทของเธอเพื่อโทรติดตอกัน
เนื่ อ งจากเธอจะต อ งย า ยไปทํ า งานที่ ส าขาต า งจั ง หวั ด ช ว งระยะหนึ่ ง และเขาก็ โ ทรมาหาเธอ
เพื่อสอบถามวามีปญหาอะไรหรือไม ตองการความชวยเหลือบางหรือเปลา และจากการพูดคุย
ในลักษณะดังกลาวก็ทําใหพิมพบวาผูชายคนนี้มีลักษณะของความเปนผูนําสูง เปนคนที่สามารถ
พู ด คุ ย ในเรื่ อ งที่ มี ส าระต า งๆ ในชี วิ ต ได ซึ่ ง แตกต า งจากแฟนคนก อ นๆ ของเธอที่ ถึ ง แม จ ะมี
อายุมากกวาเธอ แตก็ยังมีลักษณะของความเปนเด็ก ไมไดมีการวางแผนอนาคตใดๆ ทั้งสิ้นและ
ทําใหเธอรูสึกวายังไมสามารถพึ่งพิงพวกเขาได เมื่อพิมไดมาเจอผูชายที่มีบุคลิกแบบดังกลาวเธอจึง
รูสึกประทับใจพี่ตอมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแมจะมีบางชวงที่พิมรูสึกวาการที่พี่ตอดีกับเธอ เอาใจเธอแบบนี้จะเปนลักษณะทั่วไป
ที่ผูใหญจะทํากับเด็กหรือคนที่มีอายุนอยกวา เพราะพี่ตอมีอายุหางจากเธอถึงเจ็ดป ซึ่งก็นาจะเปน
เรื่องปกติที่คนที่มีอายุ หา งกันขนาดนี้พึงปฏิบัติตอกันหรื อไม แตใ นที่สุดเธอก็ตอบใจตัวเองวา
เธอเองก็ชอบในสิ่งที่เขาทํากับเธอ และรูสึกดีที่มีคนมาเอาใจ มีคนใหคําปรึกษาพูดคุยในเรื่องตางๆ
ดวยได ซึ่งเปนสิ่งที่เธอไมเคยไดรับจากคนรักคนกอนหนาของเธอมากอน เธอจึงมองไปถึงเรื่องของ
การสรางครอบครัว สรางอนาคตกับผูชายคนนี้เลยทีเดียว
“พี่ตอเขาก็ดูเหมือนวาพึ่งพาอาศัยไดหรือฝากชีวิตไวดวยได แลวเขาก็พูดกับเราตั้งแต
แรกเลยวา ‘รักเรานะ...อยากจะมีชีวิตครอบครัวกับเรา’ เราก็เลยตองคิดไปวาดีเชียว
เราถึงกับพูดวา ‘เราจะมีลูกสาวใหเขานะ’ เพราะพี่เขามีลูกชายมาแลว เขาก็อยากจะมี
ลูกผูหญิง”
การมองเลยไปถึงขั้นการสรางอนาคตครอบครัวกับพี่ตอของพิมนั้นทําใหเห็นวาตัวเธอ
เองก็ยังคงเชื่อในอุดมการณครอบครัวแบบพอแมลูกอยูเชนเดียวกัน ซึ่งถาหากบริบทตางๆ ในชีวิต
ของเธออยูในขั้นตอนที่เหมาะสม พิมคิดวาตัวเธอก็สามารถเขาสูรูปแบบการสรางครอบครัวได
เชนเดียวกัน
56
เรื่องราวของการมีเพศสัมพันธระหวางเธอกับพี่ตอนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคูเริ่มคบกัน
ผานการพูดคุยทางโทรศัพทเปนสวนใหญไดประมาณหนึ่งเดือน และพบเจอหนาตากันเพียงครั้ง
สองครั้ง พิมบอกวาการมีอะไรกันครั้งแรกของเธอกับเขาเกิดขึ้นเพราะเขาวางแผนและรุกเราที่จะมี
เพศสั ม พั น ธ กั บ เธอ โดยที่ เ ธอรู สึ ก ว า เธอเป น ฝ า ยต อ งยอมทํ า ตามความต อ งการของเขา
อยางหลีกเลี่ยงไมได เหตุการณเริ่มตนจากเขาไดขอใหเธอมาหาเขาที่กรุงเทพฯ เพราะเขาอยาก
เจอเธอ เธอจึ งลางานเพื่ อแอบมาหาเขา และหลัง จากที่ พี่ตอ ไปรับเธอที่ สนามบิ น เขาก็บอกว า
เขาจะต อ งไปธุ ร ะที่ อื่ น ต อ จึ ง ขอให เ ธอไปรอเขาที่ ห อ งพั ก ก อ น ซึ่ ง ในตอนนั้ น พิ ม เข า ใจว า
เปนหองพักที่เขาอาศัยอยู แตจริงๆ แลวกลับเปนหองของโรงแรมที่เขาเปดไว เมื่อเขาพาเธอไป
ยังหองดังกลาว เขาก็ไมไดไปทําธุระที่อื่นแตอยางใดแตกลับเขาหาเธอและพยายามขอมีเพศสัมพันธ
ดวยโดยที่เธอไมไดตั้งตัวมากอน
ณ ขณะนั้นพิมยังไมไดโอนออนตามความตองการของพี่ตอเลยทันทีแมวาตัวเธอเอง
จะรูสึกดีกับเขามากอยูแลวเพราะยังมีบางความรูสึกที่สะกิดใจเธออยู นั่นก็คือเธอไมแนใจวาพี่ตอ
จะรังเกียจที่เธอไมใช “ผูหญิงบริสุทธิ์” แลวหรือไม เนื่องจากเธอรูสึกวาจากการที่เคยไดพูดคุย
กันมา พี่ตอเปนคนที่คอนขางหัวโบราณในเรื่องของบทบาทของผูหญิง และดวยชวงอายุที่แตกตาง
กั น มาก ไม เ หมื อ นกั บ แฟนคนเก า ๆ ของเธอที่ เ ป น คนรุ น ราวคราวเดี ย วกั น เธอจึ ง ไม แ น ใ จว า
เขาคิ ด เห็ น กั บ ประเด็ น นี้ อ ย า งไร ดั ง นั้ น เมื่ อ เขาเริ่ ม จู บ เธอ เธอจึ ง ตั ด สิ น ใจบอกกั บ เขาไปว า
เธอเคยผานการมีอะไรกับแฟนมาแลว เพราะเธออยากใหเขารูจักตัวตนของเธอตั้งแตกอนที่จะ
มีอะไรกัน เพื่อที่จะไดไมตองมาเสียใจกันภายหลังวาเธอไมไดเปนอยางที่เขาคิดเอาไว
“ก็เลยคิดวาเขาอาจจะแครเรื่องตรงนี้เพราะเขาก็ไมเคยรูจักตัวเรามากอน ที่เราตัดสินใจ
บอกเรื่ อ งนี้ กั บ พี่ เ ขาเพราะเรารู สึ ก ว า พี่ เ ขาค อ นข า งจะหั ว เก า นิ ดนึ ง เราก็ เ ลย ‘เอ า !
บอกเขากอนก็แลวกัน’ แตตอนนั้นถาบอกไปแลวเขารับไมได เราก็คงชางหัวมันเพราะ
ถาเราไมบริสุทธิ์แลวรับไมไดก็ชางแลว เราก็แคอยากจะบอกใหรับรูสิ่งที่เราเปนเรา
อยางนี้ แตพี่เขาก็บอกเราวาเขาไมไดคิดอะไรกับเรื่องแบบนี้ แตจริงๆ แลวที่เราบอกเขา
57
เพราะเรากังวลวาเขาจะคิดยังไงกับเรามากกวา ไมไดกลัววาเขาจะมองเรายังไงเพราะ
ที่ผานมาเขาเคยบอกเราวาที่เขาชอบเราเพราะเราดูใสๆ เรียบรอย เหมือนเขาจะคาดหวัง
กับเราวาเราเปนอยางนี้รึเปลา”
อาจกลาวไดวาเปนเพราะตัวพิมคิดวาสังคมยังคงใหความสําคัญกับคุณคาของผูหญิง
ที่ถูกผูกติดกับพรหมจรรยหรือความบริสุทธิ์ จึงสงผลตอความคิดและการตัดสินใจของเธอในการมี
เพศสัมพันธกับพี่ตอในครั้งนี้ การที่เธอกังวลวาตัวเขาจะคิดเห็นกับเธออยางไร เปนการสะทอน
มายาคติ ข องสั ง คม ที่ กํ า หนดให ผู ห ญิ ง ต อ งเป น ฝ า ยตอบสนองความต อ งการของผู ช าย
ในขณะเดียวกั บที่เรียกรองใหผู หญิง ตองรักษาความบริสุทธิ์ เพื่ อให เปนผูหญิงที่ดีแ ละมีคุณคา
มายาคติ ข องสั งคมชุด นี้ ดูจะไม มี ที่ ท างให กับ ความต องการ หรือความปรารถนาที่ เ ปนส ว นตั ว
ของผูหญิงเลย
เชนเดียวกับการดําเนินความสัมพันธกับคนรักคนกอนๆ พิมยังคงบอกเลาเรื่องราวของ
เธอกับพี่ตอใหแมของเธอรับทราบ ยกเวนแตเรื่องของการมีเพศสัมพันธซึ่งเปนเรื่องที่เธอคํานวณ
ไวแลววาแมของเธอตองไมยอมรับเรื่องดังกลาวแนๆ และในการคบหากับพี่ตอนั้น ตัวพิมไมได
กังวลกับเรื่องครอบครัวเกาของเขาแมแตนอยเพราะเธอเชื่อคําที่เขาบอกเธอวาเขาจัดการทุกอยาง
เรียบรอยแลว แมวาภายหลังเธอจะไดรูความจริงวาสิ่งที่เขาบอกกับเธอนั้นไมเปนความจริงเพราะเขา
ยั ง คงติ ด ต อ กั บ ภรรยาเก า อยู อ ย า งสม่ํ า เสมอด ว ยเช น กั น และกํ า ลั ง จะมี ลู ก ด ว ยกั น อี ก หนึ่ ง คน
เธอไดทราบความจริงนี้เพราะภรรยาของพี่ตอมาหาเธอและมาบอกใหเธอรับรู แตนั่นก็ไมไดเปน
58
เหตุผลทําใหเธอตัดสินใจยุติความสัมพันธกับเขาในตอนนั้นแตอยางใด เพราะเขาบอกกับเธอวา
เขามี เ หตุ จํ า เป น ที่ ทํ า ให เ ขาหลี กเลี่ ย งที่ จ ะไปพบกั บ ภรรยาเก า ของเขาไม ไ ด และเขาก็ บ อกว า
เขารักเธอมากดวย เธอจึงฝาฝนคําสั่งของแมที่ไมชอบใจในพฤติกรรมดังกลาวของพี่ตอดวยการ
คบกับเขาตอไป จนกระทั่งมีเหตุการณที่พี่ตอทําใหตัวเธอรูสึกทนไมไดเพราะเปนการกระทําที่
ทํารายจิตใจของเธอ เนื่องจากพี่ตอแอบไปคบกับอดีตเพื่อนรวมงานของเธออีกคนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้น
ตัวเธอเปลี่ยนที่ทํางานและยายกลับมาอยูที่บานกับแมแลว เธอบอกวาการกระทําดังกลาวของพี่ตอ
ทําใหเธอเสียใจมากและรับไมไดเพราะเทากับเขา “นอกใจ” เธอ
“คือเหมือนเขาจะไปแอบคบกับอดีตเพื่อนรวมงานเราอีกในตอนหลัง ซึ่งจุดนี้ทําใหเรา
เริ่มทนไมได เพราะเรารูสึกวาการไปมีคนอื่นนี่คือการหมดความรูสึกกับเราแลวมากกวา
แตพอเราถามเขา เขาก็บอกปดวาไมมีอะไร แตพอเราไปถามฝายเพื่อนเรา มันก็บอกวา
‘นี่ ถ า ได ทํ า งานอยู จั ง หวั ด เดี ย วกั น ก็ ค บเป น แฟนกั นไปแล ว ล ะ ’ เราก็ เ ลยเซ็ ง ที่ พี่ต อ
ไม พูด ความจริ ง กั บ เราเลย แล ว ช ว งนั้ น เราสองคนค อ นข า งห า งกั น เพราะเรื่ อ งงาน
ดวยแหละ”
การให เ หตุผ ลของพิ มต อทั้ ง สองเหตุ การณนี้ แ ตกต า งกั นออกไป ทั้ ง ๆ ที่เ กี่ย วพั นกั บ
เรื่องของความซื่อสัตยเหมือนกัน กลาวคือ เมื่อพิมรูความจริงวาพี่ตอยังคงติดตอกับภรรยาเกาของ
เขาอยู เธอกลับไมโกรธเขาเทากับที่ไดรูวาเขากําลังคบหากับอดีตเพื่อนรวมงานของเธอ เพราะ
ในขณะนั้ น เธอให น้ํ า หนั ก กั บ คํ า ว า “รั ก ” ที่ พี่ ต อ บอกกั บ เธอตอนเหตุ ก ารณ ภ รรยาเก า มาก
จนมองข า มประเด็นเรื่ องผั ว เดี ย วเมี ยเดี ยวหรือ ความซื่อสัต ย ไป แต ในขณะที่ เมื่อ เธอได รับรู วา
พี่ตอไปแอบคบกับ เพื่ อนของเธอ เธอกลั บหยิบ ยกประเด็ นเรื่องผั วเดี ยวเมียเดี ยวที่พี่ตอไมยอม
ทําตามมาเปนประเด็นในการอยากยุติความสัมพันธกับเขา แสดงใหเห็นถึงการที่เธอเลือกที่จะ
ใหความสําคัญกับบางองคประกอบของความสัมพันธในแตละชวงเวลาที่แตกตางกัน
และนอกจากเรื่องที่พี่ตอแอบไปคบกับเพื่อนของเธอที่ทําใหเธอหมดความอดทนแลว
ในระยะหลั ง ๆ หน า ที่ ก ารงานของพี่ ต อ เริ่ ม มี ป ญ หา จนทํ า ให เ ขาต อ งขอหยิ บ ยื ม เงิ น จากพิ ม
ซึ่งในชวงแรกๆ พิมก็ใหการชวยเหลือเทาที่กําลังของเธอจะทําได แตตอมาจํานวนเงินที่เขาหยิบยืม
เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนพิมไมสามารถจะชวยได เขาก็เริ่มเอาประเด็นเรื่องเงินมาหาเรื่องเธอ ทําใหเธอ
เกิดความรูสึกเบื่อหนายจนตองหาวิธีการจัดการกับความสัมพันธแบบนี้ เธอตองโกหกแมเพื่อที่จะ
ขับรถไปหาพี่ตอที่ยายไปทํางานที่หัวหิน ซึ่งในตอนนั้นแมเธอตั้งใจตองการไปตกลงขอเลิกกับเขา
59
แตก็กลับไปมีอะไรกันอีก เพราะเธอก็ยอมรับวายังตัดใจจากเขาไมไดอยางเด็ดขาดอยางที่แมของเธอ
ตองการ จนในที่สุดพิมก็เริ่มอยากมองหาหนทางที่จะทําใหเธอหลุดออกจากปญหานี้ใหได
“แต ต อนนั้ น บอกตรงๆ เลยว า เราเริ่ มเบื่ อ กั บ สภาพที่ เ ป นอยู พี่ เ ขาก็ เ ริ่ ม หาเรื่ อ งเรา
เหมือนกัน เชนเวลาจะยืมเงินแลวเราไมคอยอยากใหหรือจะใหเราไปกูเงินให ซึ่งเราก็
ไม สามารถไง เขาก็จ ะพู ด เหมือ นว า ‘ไหนบอกว า รั กเขามากไง ทํา ไมทํ า ให ไ ม ได ?
พอเขาเดือดรอนก็จะถีบหัวสงเหรอ?’ หรือไมก็วาเราเปนลูกแหงติดแม เพราะเราบอก
เขาไงวาถาไปกูเงินใหเขา เดี๋ยวแมเราก็ตองรู ทําใหเรารูสึกแยมากๆ ไง จนอยากจะมอง
หาใครก็ไดที่จะมาชวยแบงเบาความรูสึกตรงนี้ เพราะเราก็ไมสามารถโทรไปคุยกับพี่ตอ
ได เ หมื อ นเดิ ม อี ก แล ว สรุ ป แล ว เราคบกั บ พี่ ตอ จริ งๆ จั งๆ ก็ หนึ่ ง ป ที่ เ ป นชว ง sweet
แตหลังจากนั้นก็จะเปนชวงที่มีเรื่อง มีปญหาตลอด ลุมๆ ดอนๆ รวมๆ แลวก็ประมาณ
สามปได”
“พอดีวินาทีนั้นที่เพิ่งจะกลับจากหัวหิน ไดซักอาทิตย-สองอาทิตยก็รูสึกวาไมไหวแลว
ไม อยากตกอยูใ นสภาพนี้ ตอไปแล วก็ เลยคิดขึ้ นมาไดวา ‘เรามี นี่...เรามี สิ่ง ที่จ ะชว ย
เยียวยาได’ เราคิดแบบนี้จริงๆ นะ ก็โทรไปเลย ‘พรุงนี้จะไปเชียงใหมนะ เจอกัน’ แลวก็
60
อย า งไรก็ ต าม แม ว า ในช ว งแรกพิ ม จะรู สึ ก ว า ตั ว เองมี อํ า นาจในการกํ า หนดทิ ศ ทาง
ความสัมพันธไดมากกวาฝายของนองเอ็มวาเธอตองการใหเปนอยางไร แตเมื่อดําเนินความสัมพันธ
61
ซึ่ ง การที่ เ ธอยั ง ไม บ อกเลิ ก กั บ น อ งเอ็ ม ในตอนที่ เ ธอรู สึ ก ว า เธอเริ่ ม ทนไม ไ หวแล ว
เปนเพราะเธอยังคงคิดใหโอกาสตัวเองอยู วาลองดูตอไปอีกสักพั กหนึ่ง อะไรๆ อาจจะดีขึ้นได
รวมไปถึงเธอยังรูสึกวาอยากมีคนใหยึดเหนี่ยว หรือยังมีคนใหอยูดวย เธอจึงยังไมไดบอกเลิกกับเขา
แต เ มื่ อ เธอพบว า สถานการณ ท างด า นจิ ต ใจของเธอไม ไ ด ดี ขึ้ นเลย ความรู สึ กอยากเลิ ก กั บ เขา
จึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น พิมบอกวาในบางครั้งขณะที่กําลังมีอะไรกันอยูและนองเอ็มไดพูดบางอยาง
ที่เธอไมชอบใจขึ้นมาสักประโยคหนึ่ง พิมก็รูสึกวาเธอทนไมไหวแลว ไมอยากจะอยูกับคนๆ นี้
อีกตอ ไป เธอจึ งตั ดสิ นใจมีเพศสัมพั นธ กับผู ชายคนอื่ นแต ก็เป นคนที่เ ธอรู จั กดี ซึ่ งในตอนแรก
เธอตั้งใจวาจะใหเปนแค one night stand
“อยางนองนี่ตอนกําลังนัวกันไปก็ดันพูดอะไรที่ไมเขาหูขึ้นมาใหฟง เราอยากจะถีบมัน
ออกไปแลวบอกวา ‘ไปไกลๆ กูเลย’ ขนาดนั้นเลยนะ ก็เลยตัดสินใจมี one night stand
ซะเลย [หัวเราะ]”
เมื่ อคนที่ ยึดมั่ นกั บรู ป แบบความสั มพั นธ แ บบผัว เดียวเมี ยเดีย วอย า งพิม ได ตั ดสิ นใจ
ตอรองกับกฎเกณฑดังกลาวของตัวเอง ดวยการมีความสัมพันธแบบชั่วคืนหรือ one night stand กับ
ผูชายคนอื่น ในขณะที่เธอยังมีความสัมพันธฉันทคนรักกับผูชายอีกคนหนึ่งอยู ทําใหตัวเธอตอง
62
ในตอนที่เธอมีอะไรกับยิมนั้น เธอก็ยังไมไดเลิกกับนองเอ็มเพราะยังไมรูวาจะบอกเลิก
อยางไร แตเธอรูใจตัวเองดีแลววาไมวาจะอยางไร เธอก็ไมสามารถคบกับนองเอ็มตอไปไดแนๆ
ซึ่งเธอก็ตั้งใจไวแลววาคงจะตองบอกเลิกกับนองเอ็มจริงๆ จังๆ เสียที สวนกับยิมนั้นจากตอนแรก
ที่เธอก็ไมคิดวาความสัมพันธของเขาและเธอจะดําเนินตอไปอีก กลับกลายเปนวาหลังจากที่มีอะไร
กันไปแลว ยิมก็มีทีทาวาอยากจะสานตอกับเธอดวยการแอบโทรศัพทหาหรือสงขอความมาหาเธอ
อยูเรื่อยๆ ทําใหความสัมพันธที่พิมคิดวาจะเปนแคแบบชั่วขามคืนกลายมาเปนความสัมพันธที่มีทีทา
จะพัฒนาสานตอ โดยที่เธอก็ไมไดรังเกียจเขาแตอยางใด ซึ่งเหตุการณที่เกิดขึ้นระหวางเธอกับยิม
กลายเปน สิ่ง ที่ ทํ า ให ค นที่ คอ นขา งให ค วามสํ า คั ญกั บ เรื่ องของความซื่ อสั ต ยอ ย า งพิม เกิ ด ความ
ไม ส บายใจ และคิ ด ว า จะต อ งยุ ติ ค วามสั ม พั น ธ กั บ น อ งเอ็ ม อย า งเป น กิ จ จะลั ก ษณะด ว ยตั ว เอง
เสียกอนที่จะมาเริ่มตนกับยิมอยางจริงจังได
63
การตองแอบซอนหรือลักลอบคบกับยิมในชวงแรกเปนเพราะเธอยังไมไดสะสางปญหา
กั บ น อ งเอ็ ม ให เ รี ย บร อ ย ความสั ม พั น ธ ข องเธอกั บ ยิ ม จึ ง ยั ง ไม ไ ด เ ป น ไปตามรู ป แบบของ
ความสัมพันธที่ถูกตอง แตในตอนนั้นเธอไดเลือกใหความสําคัญกับความรูสึกดีที่กําลังจะเกิดขึ้น
พรอมความสัมพันธครั้งใหมกับยิมมากกวา และมองวายิมคือคนที่จะมาดูแลความรูสึกของเธอ
ต อ ไปได ในเวลาต อ มาไม น านนั ก พิ ม ก็ ตั ด สิ น ใจขึ้ น มาเชี ย งใหม เ พื่ อ บอกเลิ ก กั บ น อ งเอ็ ม
โดยมียิมตามมาเพื่อกลับมาเยี่ยมบานของเขาดวยเชนกัน พิมบอกวาชวงเวลานั้นเปนเวลาที่เธอ
กระอักกระอวนใจมาก เพราะตอนเชาขณะที่เธอกําลังมีอะไรกับยิมที่บานของเขา นองเอ็มก็โทรมา
หาเธอ ทําใหเธอตองฝนคุยกับนองเอ็มเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ในใจเธอรูสึกรําคาญเขามากๆ
“ก็ตองทําเปนหัวเราะกิ๊กกั๊กไปทั้งๆ ที่ในใจไมไดคิดอะไรกับเขาแลวจริงๆ เหมือนวาเปนอะไร
ก็ไมรู เปนแมงหวี่ที่ผานมาในชีวิตเพราะวารําคาญมาก รําคาญที่สุดในชีวิต ไมเคยรําคาญใครแบบนี้
มากอนเลย” พอตอนเย็นเธอก็ไปที่บานของนองเอ็มดวยความตั้งใจที่จะบอกเลิกกับเขาใหหมดเรื่อง
หมดราวไป แตก็ยิ่งพบกับพฤติกรรมบางอยางของนองเขาที่ทําใหเธอยิ่งรูสึกไมดีมากขึ้นไปอีก
นั่นคือการที่เขาขอมีอะไรกับเธอในขณะที่แมและนองสาวของเขาก็อยูที่บานดวย แมวาเธอจะ
บอกวาไมอยากมีดวยแตเขาก็พยายามรบเรา พิมบอกวาดวยความรูสึกผิดที่เธอคิดวาตัวเองกําลัง
นอกใจเขาอยูและอยากจะบอกเลิกกับเขาอยูแลวจึงทําใหเธอตองตัดสินใจยอม
5
ย อ มาจาก short message ซึ่ ง เป น ช อ งทางการติ ด ต อ สื่ อ สารโดยการพิ ม พ แ ละส ง ข อ ความผ า นทางโทรศั พ ท มื อ ถื อ ซึ่ ง เป น
ชองทางการติดตอสื่อสารที่นิยมกันมากในสมัยนี้
64
คือไมเขาใจวาทําไมไมสังเกตเลยเหรอวาหนาเรานี่ไมไหวแลวนะ คือเรานิ่งมากเลย...
แบบอยากทําอะไรก็ทํา คือเรารูสึกเลยนะ วาสักแตวาเอา”
เชาวันรุงขึ้นเธอจึงบอกเลิกกับนองเอ็ม แตในขณะนั้นเธอก็ไมไดบอกเขาวาเธอกําลังคบ
กับยิมอยู เพราะเธอก็ไมยอมรับวาตัวเองผิด หรือเปนฝายละเมิดรูปแบบของความสัมพันธที่ถูกตอง
ในสายตาของเขา เธอให เ หตุ ผ ลของการบอกเลิ ก ในวั น นั้ น กั บ เขาว า เธอรู สึ ก ว า เขายั ง ไม ใ ช
คนที่เธอตองการ ซึ่งก็เปนไปตามที่ทั้งคูเคยคุยกันไวกอนแลว และพิมไดเลาใหผูเขียนฟงภายหลังวา
เมื่อนองเอ็มไดมารูทีหลังวาเธอคบกับยิม เขาก็โทรศัพทมาพูดจาในทํานองตัดพอกับเธอ แตเธอ
ก็ไมไดใหความสนใจเขาอีก ซึ่งการที่พิมไมสามารถบอกเลิกกับนองเอ็มในตอนแรกแมวาตัวเธอเอง
จะไม ไ ด รู สึ ก อะไรกั บ เขาแล ว เธอให เ หตุ ผ ลว า เป น เพราะตั ว เธอยั ง ต อ งการความรู สึ ก ว า
มี ค นให ยึ ด เหนี่ ย วอยู แต เ มื่ อ เกิ ด เหตุ ก ารณ ร ะหว า งเธอกั บ ยิ ม ขึ้ น พอดี ทํ า ให พิ ม รู สึ ก ว า ยิ ม คื อ
คนที่สามารถใหความรูสึกตรงนี้ไดดีกวา และมันอาจจะเปนการไมยุติธรรมถาเธอจะแอบคบกับยิม
โดยที่ยังไมไดบอกเลิกกับนองเอ็มใหเปนเรื่องเปนราว เธอจึงตองกลับมาเผชิญหนากับนองเอ็มและ
จํ า ต อ งยอมมี เ พศสั ม พั น ธ ที่ เ ธอไม ต อ งการ เพื่ อ เป น การลบล า งความผิ ด ที่ เ ธอได น อกใจเขา
อยางไรก็ตาม การบอกเลิกกับนองเอ็มก็ไมไดทําใหเธอรูสึกดีขึ้นมากเทาไหร เพราะเธอก็ยังคงตอง
เผชิญกับสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นอีก
หลัง จากบอกเลิก กั บน องเอ็ มแลว เธอก็ม าคบกับ ยิ ม ต อ แมใ นช ว งแรกจะเปนการคบ
ในลักษณะของการแอบคบแบบหลบๆ ซอนๆ เพราะเธอไมตองการใหคนรอบขางรู โดยเฉพาะ
แฟนเก าของยิม เพราะพิ มรู สึกว าผูหญิ งคนนี้เปนคนนิสั ยประหลาด แม วา จะเลิกกับ ยิมไปแลว
แตก็ยังทําทาเหมือนจะหึงหวงยิมอยูตลอดเวลา เธอจึงไมอยากมีปญหากับผูหญิงที่เปนแฟนเกา
ของยิมคนนี้ เพราะจริงๆ แลวพวกเธอทั้งคูก็เปนเพื่อนกัน พิมบอกวาตอนที่ยิมคบกับเธออยู เขาก็มี
ทีทาเกรงใจแฟนเกาของเขาคนนี้อยูเหมือนกัน แตตามความคิดของเธอมองวายิมเองก็เปนฝายรุกเธอ
มากกวาเสียอีกในชวงแรกๆ เพราะเขาทั้งตามเธอไปไหนตอไหนดวย หรือมาขลุกอยูกับเธอที่บาน
แตเมื่อเธอไปหายิมที่อพารตเมนตเธอจะรูสึกอึดอัดมาก เนื่องจากทั้งคูจะไมสามารถแสดงออก
ไดมากนัก ยิมจะทําเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น และทําทาเย็นชาหมางเมินกับเธอโดยเขาใหเหตุผลวา
เกรงใจแฟนเกาของเขา
ที่เขาทําแบบนั้นเพราะเขาก็เกรงใจแฟนเกานั่นแหละ เพราะกอนหนานั้นเขาก็จะขอโทษ
ที่ถาเวลาที่แฟนเกาเขาอยูดวย เขาก็จะคุยกับเราไมได แตเราก็ไมคอยอยากใหใครรูดวย
แหละ กลัวเพื่อน surprise”
แตเมื่อความสัมพันธของทั้งคูเริ่มมีคนรับรูมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแฟนเกาของยิมรับรู
พิมถูกแฟนเกาของยิมดาอยางรุนแรง โดยที่เธอก็ไมไดโตตอบแตอยางไรเพราะเธอคิดวาถาเปน
ตัวเธอ เธอก็คงโกรธเหมือนกัน
สาเหตุที่พิมเขาใจความโกรธของแฟนเกาของยิม แมเธอจะมองวาตัวเองก็ไมไดเปน
คนเริ่มตนความสัมพันธนี้เพียงฝายเดียวแตเกิดขึ้นจากทั้งสองฝาย เพราะเธอมองวาความสัมพันธ
ของเธอกับยิมเกิดขึ้นแบบไมถูกตองนัก เนื่องจากมันเกิดขึ้นและเริ่มดําเนินตอไปในขณะที่เธอ
ยังไมไดเลิกกับนองเอ็มที่ทุกคนรับรูวาเปนแฟนของเธออยางเปนทางการ ความสัมพันธของทั้งคู
จึงอยูในลักษณะของการตองแอบหรือลักลอบคบกัน เหมือนลักษณะของการ “เปนชู” ทําใหคนที่
มารู ที ห ลั ง เกิ ด ความประหลาดใจ โดยเฉพาะกั บ แฟนเก า ของยิ ม ที่ พิ ม มองว า จริ ง ๆ แล ว ก็ ยั ง
ไมสามารถตัดใจจากยิมได นอกจากนี้เธอยังมองไปวา เปนเพราะความรูสึกเหมือนถูกเธอซึ่งเปน
เพื่อนหักหลังกันดวย จึงทําใหแฟนเกาของยิมโกรธเธอมากขนาดนี้ หลังจากนั้นแฟนเกาของยิม
ก็ตัดขาดความสัมพันธกับเธอ ทําใหพิมไมกลาไปที่อพารตเมนตของยิมอีก เธอจึงใหยิมเปนฝาย
มาหาเธอที่บาน แตการที่ยิมมาหาที่บานก็ทําใหพิมตองพบกับความลําบากใจอีกครั้ง เนื่องจากแม
และนองชายของเธอไมคอยชอบยิม เธอบอกวาเปนเพราะตัวยิมเปนคนไมมีสัมมาคารวะ ไมเคย
ยกมือไหวแมของเธอเลย และมีบางครั้งเมื่อนองชายของเธอดูทีวีอยูยิมก็หยิบรีโมตมากดเปลี่ยนชอง
แบบไมมีความเกรงใจ ทําใหทั้งสองคนไมคอยปลื้มยิมนัก
การบอกเลิ กกับ ยิ มทํา ให พิมเสี ยใจมาก เพราะเธอรู สึกวา ยิ มเป นคนที่เ ขา กับเธอไดดี
แตยิมกลับไมไดแสดงอาการเศราเสียใจหรืออาลัยในความสัมพันธของทั้งคูมากเทาไหร แมวา
สุดทายพิมจะบอกกับเขาวาถาเขาอยากใหเธอรอตอนที่เขาเรียนจบกลับมา เธอก็เต็มใจที่จะรอ แตเขา
กลับไมไดแสดงความมั่นใจในสวนนี้ใหเธอเห็น เขาไมไดใหคําตอบที่ชัดเจนวาเมื่อเขากลับมา
เขาจะยังรูสึกกับเธอเหมือนเดิมหรือไม ทําใหพิมรูสึกวาไมมีอะไรที่แนนอนในความสัมพันธครั้งนี้
อีกตอไป ซึ่งเปนสิ่งที่เธอไมตองการและรูสึกไมสบายใจกับสถานการณแบบนี้ แตเมื่อไมมีทางเลือก
เธอจึงตัดสินใจบอกเลิกกับยิมทั้งๆ ที่ยังเสียดายและเสียใจอยูมาก เนื่องจากเปนครั้งที่เธอไมมีตัวชวย
อื่นที่จะทําใหเธอรูสึกวามีทางออกอื่นๆ เหมือนครั้งที่ผานๆ มา และภายหลังจากเลาเรื่องของเธอ
กับยิมจบ พิมก็บอกกับผูเขียนวาเธอขอยุติการเลาเรื่องชีวิตทางเพศนอกการแตงงานของเธอไวตรงนี้
เนื่ อ งจากป จ จุ บัน เธอกํา ลั งมี ค วามรั กกั บ ผูช ายคนใหม ซึ่ง เธอขอสงวนไวเ ป นเรื่ องราวสว นตั ว
ผูเขียนจึงเคารพการตัดสินใจของเธอและขอจบเรื่องราวของเธอไวเพียงเทานี้
67
เรื่องเลาของจูน
จูน หญิงสาวอายุ 27 ป เธอเปนหญิงสาวหนาตาเรียบๆ จนดูเหมือนเรียบรอย หากแตดวย
วิธีการแตงตัวสามารถทําใหบุคลิกของเธอเปลี่ยนแปลงไปไดตามสถานการณตางๆ อยางเชน เปรี้ยว
เซอร หรื อ เรี ย บร อ ย เมื่ อ อยู ใ นกลุ ม เพื่ อ นจู น ก็ จ ะเฮฮาไปตามประสา แต เ มื่ อ อยู ค นเดี ย ว
จูนจะมีลักษณะเหมือนกําลังคิดอะไรอยูหรือมีอะไรอยูในใจเสมอ จูนเติบโตมาในสังคมตางจังหวัด
โดยเธอเปนลูกสาวคนโตของครอบครัวที่มีพอรับราชการครูและแมเปนแมบาน เธอมีนองชาย
อีกสองคน ครอบครัวของเธอเปนครอบครัวอบอุนพอสมควร และดวยความที่ เ ธอเปนลู กสาว
คนเดียวและมีพอเปนครู จึงทําใหพอคอนขางดูแลเธอพอสมควรในเรื่องของการวางตัว
จูนเลาใหฟงวาชีวิตในวัยเด็กของเธอไมไดมีอะไรที่ตื่นเตนเลย เปนชีวิตเด็กนักเรียนหญิง
ธรรมดาที่ ไ ปเรี ย นหนั ง สื อ แล ว ก็ ก ลั บ บ า น หรื อ ไม ก็ เ ที่ ย วเล น กั บ เพื่ อ นไปวั น ๆ สมั ย เรี ย น
ชั้นประถมและมัธยมนั้นจูนไมเคยมีแฟนมากอน มีเพื่อนชายเพียงคนเดียวที่เรียกวาเปน “รักสมัย
วัยหวาน” ซึ่งไมไดมีอะไรมากไปกวาเพื่อนรวมชั้นเรียน แตที่เธอเรียกวาเขาเปนรักวัยหวานก็เพราะ
เพื่อนๆ ชอบพูดแซวเวลาที่ทั้งคูอยูดวยกันเทานั้น เธอบอกวาโอกาสที่เธอจะไปเกี่ยวของกับเรื่องเพศ
ไดนั้นแทบไมมีเลย เพราะพอกับแมคอนขางดูแลเธออยางใกลชิดมาก ถึงขั้นที่วาเธอจะขอไปคางที่
บานเพื่อนเหมือนคนอื่นๆ ไมไดเลยเพราะพอของเธอไมเคยอนุญาต จูนมองวาที่พอหวงเธอมาก
ขนาดนี้เพราะพอเปนหวง เธอกลัววาจะมีใครมาทําอันตรายเธอ เพราะพอมองวาเธอเปนลูกผูหญิง
ซึ่งเปนเพศที่ออนแอกวา ยังไงก็เปนฝายเสียเปรียบผูชายอยูวันยังค่ํา จูนมองวาถาหากเธอยังคงใช
ชีวิตอยูที่บานกับครอบครัวแบบนี้เรื่อยๆ เธอก็คงไมมีทางมีประสบการณทางเพศอยางที่เปนอยูนี้
เปนแน
พอของจูนเปนคนที่มีอิทธิพลตอความคิดในเรื่องเพศของเธอเปนอยางมาก จูนเลาให
ผูเขียนฟงวา เคยมีเหตุการณหนึ่งที่เกิดขึ้นกับลูกพี่ลูกนองคนหนึ่งของเธอ และเปนเหตุการณที่ทําให
เธอเขาใจความรูสึกของพอในประเด็นนี้มากขึ้น เรื่องมีอยูวาปาซึ่งเปนพี่สาวของพอไดมาฝากใหพอ
68
ชวยไปคอยดูแ ลลูกสาวของปา สั กสองสามวัน เนื่องจากปา จะตอ งไปธุร ะที่ ตา งจั งหวัด ตกเย็น
วันหนึ่งพอก็ชวนจูนไปหาลูกพี่ลูกนองของเธอคนนี้ที่บานปา แตกลับพบวาลูกพี่ลูกนองของเธอ
ซึ่งในขณะนั้นเปนนักเรียน ม.2 ไดหายตัวไปจากบานพรอมกับมอเตอรไซดของปา พอของเธอ
ก็เกิดความเปนหวงอยางมาก เนื่องจากลูกพี่ลูกนองของเธอคนนี้ขี่รถมอเตอรไซดไมเปน แสดงวา
ตองออกไปกับคนอื่นแนนอน พอจึงไดออกตามหาตามที่ตางๆ และไปพบวาลูกพี่ลูกนองของเธอ
กําลังอยูกับเพื่อนชาย จูนบอกวาพอของเธอโกรธมากและลงมือตีลูกพี่ลูกนองของเธอคนนี้อยางแรง
จนเมื่ อ ป า กลั บ มาทราบเรื่ อ งก็ โ กรธพ อ เธออย า งมากเช น เดี ย วกั น เนื่ อ งจากป า ไม เ คยตี ลู ก สาว
ของตัวเองมากอนเลย เหตุการณนี้ทําใหพอกับปาของเธอผิดใจกันมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งจูนเขาใจ
ในเหตุผลของพอวา
เหตุ ก ารณ ใ นครั้ ง นั้ น ทํ า ให จู น เข า ใจความรั ก และความห ว งใยของพ อ ในประเด็ น นี้
มากขึ้ น นอกจากนี้ เธอยั ง เรี ย นรู จ ากประสบการณ ใ นรั้ ว โรงเรี ย นอี ก ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ที่
ไมปองกันแลวเกิดปญหาขึ้น ฝายผูหญิงจะตองเปนฝายประสบกับผลลัพธอยางไร เพราะเธอเคยเห็น
ตัวอยางของนักเรียนหญิงในโรงเรียนที่ตั้งครรภแลวโดนไลออก ซึ่งจูนตั้งใจเอาไววาจะตองไมยอม
ใหเหตุการณแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเปนอันขาด เมื่อเธอตองจากบานมาเรียนในระดับอุดมศึกษา
ที่ ต า งจั ง หวั ด และเป น การจากบ า นที่ ไ กลที่ สุ ด เป น ครั้ ง แรก ในช ว งสองป แ รกของการเรี ย น
มหาวิ ท ยาลั ย เธอก็ ข ลุ ก อยู กั บ เพื่ อ นร ว มคณะ เรี ย นหนั ง สื อ และทํ า กิ จ กรรมร ว มกั น เท า นั้ น
โดยที่ไมไดยุงเกี่ยวหรือเปนแฟนกับใคร ซึ่งเปนเพราะเธอยังไมมีโอกาสไดสรางความสัมพันธ
กับใครที่เธอถูกใจ จนกระทั่งเริ่มเขาสูการเรียนชั้นปที่สาม และเปนเวลาที่มหาวิทยาลัยเริ่มพัฒนา
ระบบอินเทอรเน็ตภายในขึ้นมา และกลายเปนชองทางใหจูนไดพบกับผูชายคนแรกในชีวิตของเธอ
ซึ่งถึงแมจะไดรับการปลูกฝงจากพอมาโดยตลอดวาผูหญิงมักเปนฝายเสียเปรียบในเรื่องเพศ แตจูน
ก็ไมสามารถตานทานความอยากรูอยากเห็นในเรื่องเพศได ประสบการณการมีเพศสัมพันธครั้งแรก
ของจูนนั้นเกิดขึ้นกับผูชายที่อาจจะเรียกไดวาเปน “คนแปลกหนา” เพราะเขาเปนเพียงเพื่อนสนทนา
ผ า นทางระบบอิ น เทอร เ น็ ต ไม ไ ด มี ค วามคุ น เคยเฉกเช น คนรั ก หรื อ เป น เพื่ อ นกั น แต อ ย า งใด
ยิ่ ง ไปกว า นั้ น ก อ นหน า ที่ จ ะมี เ พศสั ม พั น ธ กั น พวกเขายั ง ไม เ คยเห็ น หน า ค า ตากั น มาก อ นด ว ย
69
โดยจูนใหเหตุผลกับการตัดสินใจมีเพศสัมพันธครั้งแรกของเธอนี้วาเปนสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนอง
“ความอยากรู” ของตัวเองลวนๆ
“จะเรียกไดวาที่ตัดสินใจยอมมีอะไรกับคนนี้โดยไมคิดอะไรมากก็เปนเพราะอยากรู
จริ ง ๆ ว า มั น เป น ยั ง ไง เพราะจากที่ เ คยดู ห นั ง เคยอ า นเจอว า มั น คื อ ความสุ ข นะ
เราเลยอยากรูวามันจริงหรือเปลา หรือมันจะเปนยังไง แคอยากตอบสนองความตองการ
ของตัวเอง”
“จะวา ไปเขาก็ คอ นขา งจะรุ กเราทีเดียว อยา งเชนบางวันเราก็ พิมพบอกไปวา ‘วั นนี้
ปวดหั ว จั ง เลย’ เขาก็ จ ะตอบกลั บ มาประมาณหยอกๆ ว า ‘นวดให เ อาไหมจ ะ ?’
อะไรทํานองนี้ แตเราก็เฉยมากๆ ไมไดกระตือรือรนอยากจะไปสืบหาหนาตาคนๆ นี้
ไมไดมีความรูสึกชอบหรืออะไรเลย”
แมในตอนนั้นจูนจะอยากมีแฟนเหมือนคนอื่นๆ แตเธอก็อยากใหเปนความรักที่เกิดจาก
การพบเจอหนาตากันตามปกติมากกวา เธอรูสึกวาแบงคเองก็เหมือนเปนคนที่ไมไดจริงใจอะไร
มากมาย แคพูดคุยหยอกเอินกันเลนๆ ไปตามประสา จูนจึงไมไดตองการที่จะคบหาเปนแฟนกับเขา
อยางเปนกิจจะลักษณะ แตเมื่อถึงครั้งที่แบงคขอนัดเจอเธออยางเปนจริงเปนจังครั้งแรก จูนก็ตกลง
ไปพบเขา เพราะเธอคิดวาไมไดเปนการเสียหายอะไร ถาทั้งสองฝายถูกใจกันก็อาจจะมีการสานตอ
กั น แต ถา ไมโ อเคก็ แค เลิ ก รากั นไป เธอจึ ง นัดให เขามารั บที่ห อตอนเย็ นเพื่ อ ไปหาอะไรกินกั น
ซึ่งหลังจากกินอะไรกันเสร็จแลว แบงคก็ชวนจูนไปนั่งเลนที่บานของเขาเพราะพอแมเขาไมอยูบาน
ซึ่งเธอก็ตกลงใจไปโดยที่ไมไดคํานึงถึงเรื่องเสี่ยงหรืออันตรายอะไร เพราะเธอคอนขางไวใจเขา
เนื่องจากไดมีโอกาสคุยกันมานานพอสมควรแลว และเธอคิดวาตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ
ได จูนบอกวาตอนที่อยูที่บานของเขาเธอก็คิดเหมือนกันวาเขาคงอยากมีอะไรกับเธอ เพราะเขาเริ่ม
เลาโลมเธอดวยวิธีการตางๆ ไมวาจะเปนการจับมือเธอไปลูบ และถามเธอวาชอบเขาบางหรือไม
ซึ่งตัวเธอก็ยอมรับวาเธอก็รูสึกดีกับเขาอยูเหมือนกัน แมจะยังไมถึงขั้นชอบหรือรัก ดังนั้นเมื่อเขา
70
เอ ย ปากขอมี เ พศสั ม พั นธ กั บ เธอ เธอจึ ง ตั ด สิ น ใจยอมเพราะตั ว เธอเองก็ มี ค วามอยากรู อ ยู ลึ ก ๆ
เหมือนกันวามันจะเปนอยางไร และเขาก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขสวนตัวที่เธอตั้งเอาไวคือการตองใช
ถุงยางอนามัย
การที่จูนตั้งเงื่อนไขไววาคนที่จะนอนกับเธอจะตองใชถุงยางอนามัยนั้น เพราะตัวเธอเอง
ค อ นข า งระมั ด ระวั ง ตรงจุ ด นี้ ม าก เนื่ อ งจากพ อ กั บ แม เ คยพู ด กั บ เธอตั้ ง แต ต อนที่ เ ธอเรี ย นอยู
ชั้นปที่สองวา “ถาจะไปมีอะไรกับใคร พอกับแมขอไวสองขอ คือหนึ่งไมทอง และสองไมติดโรค”
ซึ่ ง เธอวิ เ คราะห ไ ว ว า อาจจะเป น เพราะพ อ กั บ แม รั บ รู ถึ ง การเปลี่ ย นแปลงของสภาพสั ง คม
ประกอบกับตัวเธอมาเรียนหนังสือไกลบาน ไมมีคนคอยควบคุมดูแลอยางใกลชิด การบังคับหรือ
หามไมใหเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอาจจะเปนไปไดยาก คงมีเพียงแตตัวเธอเองเทานั้นที่จะสามารถดูแล
ตัวเองได อยางไรก็ตาม จูนก็ไมไดคิดวาสิ่งที่พอกับแมพูดกับเธอจะเปนใบเบิกทางใหเธอสามารถ
มีเพศสัมพันธกับใครก็ได แตเปนการพูดเพื่อปองกันไวมากกวา เพราะลึกๆ แลวเธอก็รูวาพอกับแม
คงไมตองการใหเธอไปของเกี่ยวกับเรื่องเพศแตอยางใด และตอนนั้นเธอก็รูสึกวาเรื่องนี้เปนเรื่อง
ไกลตัว คงไมเกิดขึ้นกับตัวเธอแนๆ เพราะเธอไมเคยสนิทสนมกับเพื่อนผูชายคนไหนเปนพิเศษ
หรือมีโอกาสไปคางบานเพื่อนที่ไหนตามที่ไดกลาวมาแลว
ในระหว า งที่ มี เ พศสั ม พั น ธ ค รั้ ง แรกกั บ แบงค จู น รู สึ ก วิ ต กกั ง วลว า จะเกิ ด
ความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับตัวเองหรือไม เนื่องจากเธอยังไมเคยมีประสบการณทางเพศมากอน
เธอบอกวาขณะที่กําลังมีอะไรกับแบงคนั้นเธอคิดถึงแตวาหลังจากนี้เธอจะรูสึกอยางไร จะมีคนมา
รูเรื่องนี้หรือไม กลัววาเพื่อนจะไมเขาใจวาทําไมเธอถึงทําอะไรแบบนี้และไมรูวาจะไปอธิบาย
บอกเพื่อนๆ ใหเขาใจไดอยางไร เพราะโดยสวนตัวแลวจูนรูดีวาตัวเธอไมไดคิดอยากจะสานตอ
อะไรกั บ แบงค แค อยากมี อ ะไรกับ เขาเพื่ อ ตอบสนองความอยากรู อยากเห็ นของตั ว เองเท า นั้ น
สาเหตุที่ ทํา ให เ ธอมี คํา ถามเหลา นี้ อยู ใ นหัว ขณะที่ กํา ลัง มี เ พศสั มพั นธ นั้ น เพราะเธอมี ค วามคิ ด
อยูเหมือนกันวาคนอื่นคงมองวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่ผิดหรือมองวาเธอเปนคน “ใจงาย” ในขณะที่
ตัวเธอเองไมไ ดรูสึกอย างนั้น เพราะเธอแคอยากรูจ ริงๆ ว ามั นจะเปนอยา งไร แต ใ นที่สุดเธอก็
ตัดความกังวลในเรื่องอื่นๆ ทิ้งไปและไปใหความสําคัญกับประเด็นที่วาถุงยางอนามัยที่แบงคใช
71
จะปลอดภัยจริงหรือไม เพราะเธอก็ยังคงกังวลกับคําพูดของพอแมเกี่ยวกับเรื่องทองและติดโรค
อยูตลอดเวลา นอกจากนี้ จู นบอกว า เธอไม คอยมีความสุ ขกับเพศสัมพันธครั้ งนี้ เท า ไหรเ พราะ
เธอรูสึกเจ็บมากกวา
หลังจากนั้นจูนก็ขอใหแบงคไปสงเธอที่หอ โดยที่ไมไดตองการจะสานตอความสัมพันธ
กับเขาอีกแมวาเขาจะแสดงความตองการก็ตาม จูนบอกวาเธอไมประทับใจกับการมีเพศสัมพันธ
ครั้งแรกของตัวเองเลย และหลังจากกลับมาที่หองแลวจูนก็ตัดสินใจเลาใหเพื่อนสนิทฟงดวยอาการ
ที่ เ ธอเรี ยกว า “เหมือนเด็ กสํ า นึ กผิ ด” เพราะเธอคิ ดวา การกระทํา ของเธอนั้นเป นเรื่ องที่ผิ ด และ
เธอไมอยากใหเพื่อนสนิทของเธอมารับรูเรื่องนี้ภายหลังโดยที่ไมไดรูมาจากตัวเธอ แตปฏิกิริยาของ
เพื่ อ นก็ ไ ม ไ ด เ ป น ไปตามที่ เ ธอคาด เพราะแทนที่ เ พื่ อ นจะตํ า หนิ ที่ เ ธอไปมี อ ะไรกั บ ผู ช ายมา
เพื่อนกลับตําหนิที่เธอพาตัวเองไปอยู ในสถานการณอันตราย เพราะไมรูว าผูชายคนนั้นอาจจะ
พาเธอไปใหเพื่อนคนอื่นๆ ของเขารุมโทรมหรือไมมากกวา
“พอกลับมาถึงหอก็เลาใหเพื่อนสนิทเราฟง อารมณประมาณเหมือนเด็กที่ทําความผิดมา
แลวเพื่อนก็เปนแม เปนพี่ อะไรแบบนี้ แลวเพื่อนสนิทเราจะอารมณประมาณเปนผูใหญ
เราก็เขาไปเลียบๆ เคียงๆ คอยๆ บอก แบบวา ‘เออ...คือ...’ อะไรแบบนี้ แตเพื่อนเรา
จะไมไดวาเราผิดในประเด็นที่เราไปนอนกับผูชายมานะ แตมันดาเราใหญวา ‘ไมกลัว
อะไรเลยเหรอ? เกิ ด ผู ช ายมั น พาเราไปให เ พื่ อ นรุ ม โทรม หรื อ ว า มั น เป น โรคจิ ต
จะเกิดอะไรขึ้น?’ ไดฟงอยางนั้นก็เลยจอย รูสึกผิดขึ้นมาเลยที่ตัวเองไมรอบคอบ”
หลังจากเลาเรื่องราวใหเพื่อนฟงแลว จูนบอกวาเธอไมไดรูสึกผิดที่ไปมีอะไรกับผูชาย
ซึ่งเปนการตัดสินใจทําเพื่อตอบสนองความอยากรูอยากเห็นของตัวเอง แตเธอกลับรูสึกผิดมากกวา
ที่ไมคิดใหรอบคอบ และทําใหเพื่อนตองเปนหวง ซึ่งการเลาเรื่องใหเพื่อนฟงนั้นก็เพื่อตองการ
72
บอกกับเพื่อนวาเธอคิดอยางไรและอะไรคือเหตุผลที่อยูเบื้องหลังการกระทําของตนเอง ซึ่งเปนสิ่งที่
เธอกังวลอยูตลอดเวลาในขณะที่มีเพศสัมพันธกับแบงค เนื่องจากกลัววาเพื่อนจะไมเขาใจความคิด
ของเธอที่มีเกี่ยวกับเรื่องนี้
“อยางเชนตอนที่เราจัดรายการอยูก็จะมีโทรเขามาขอเพลงบางหรือเราทํางานกะดึก
เลิกงานตอนเชา เขาก็จะมารับเราที่ทํางานไปสงที่หอทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู
นี่ไกลมาก เขาก็ยังมารับ ก็ทําใหเราเกิดความรูสึกประทับใจ”
ความสั ม พั น ธ ข องทั้ ง คู พั ฒ นาไปจนถึ ง ขั้ น ที่ เ รี ย กได ว า เป น แฟนกั น และมี อ ะไรกั น
ในที่สุด โดยที่จูนไมไดคิดกังวลกับเรื่องของการมีเพศสัมพันธกับโตเหมือนที่เกิดขึ้นกับตอนที่มี
อะไรกับแบงค เพราะในครั้งนี้เธอมองวามันคือการมีเพศสัมพันธระหวางเธอกับผูชายที่มีสถานะ
เปนแฟนของเธอ ซึ่งการมีอะไรกับคนที่เธอรักก็ไมใชเรื่องผิด แตจูนบอกวาความรูสึกหวานชื่น
ฉันทคนรั กกับโตเชนนี้ เ หื อดหายไปภายในเวลาเพีย งแค สองเดื อนเทา นั้ น เพราะในชว งหลัง ๆ
โตก็เริ่มเปลี่ยนไป สังเกตไดจากการที่เขามักจะรีบไลเธอใหกลับภายหลังจากที่มีอะไรกันที่หอง
ของเขาเสร็จ หรือบางครั้งที่เธอโทรศัพทไปหาเขาขณะที่เขากําลังอยูกับเพื่อน เขาก็จะไมคุยกับเธอ
และบอกวาจะเปนฝายโทรกลับมาเองแตก็ไมไดโทรมา หรือการที่เขามักจะแสดงความหงุดหงิด
ใสเธอบอยครั้ง ความเปลี่ยนแปลงของโตทําใหจูนรูสึกไมดีและเกิดความสับสนเปนอยางมาก
วาเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาแลว การแสดงออกของโตสะทอนใหเห็นภาพ
ของการที่ผูชายถือวาตนเองเปนฝายไดเปรียบในเรื่องความสัมพันธทางเพศ เมื่อ “ได” ผูหญิงแลว
ก็ไมจําเปนตองรับผิดชอบตอการกระทําของตัวเอง หรือความรูสึกของผูหญิงแตอยางใด จะปฏิบัติ
อย า งไรก็ ไ ด ผิ ด กั บ ฝ า ยผู ห ญิ ง ที่ ต อ งการความแน น อนหรื อ มั่ น ใจในความสั ม พั น ธ ม ากกว า
จูนบอกวาภายหลังจากฝกงานเสร็จและเธอกลับมาเรียนหนังสือตอ โตก็ไมไดติดตอมาอีกและ
เธอก็ไมไดติดตอเขาอีกเชนกัน จนทําใหความสัมพันธของทั้งคูคอยๆ หางหายจนกลายเปนเหมือน
การเลิกกันไปโดยปริยาย
อยางไรก็ตาม เรื่องราวระหวางเธอกับโตนาจะจบลงตรงนี้ แตเหตุการณกลับไมเปน
เชนนั้น เนื่องจากโตไดกลับมาในชีวิตของเธออีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นใหมนี้เปนสาเหตุที่ทําให
จู น รู สึ ก ไม ดี แ ละไม อ ยากพู ด ถึ ง ผู ช ายคนนี้ ใ นตอนแรก จู น บอกว า เมื่ อ ไม กี่ เ ดื อ นที่ ผ า นมา
โตไดโทรศัพทมาหาเธอหลังจากที่ไมไดติดตอกันมานาน เขาบอกกับเธอวาอยากลองโทรมาหา
ดูเฉยๆ และถามวาเธอมีแฟนใหมหรือยัง ซึ่งในตอนนั้นตัวเธอเองก็มีแฟนใหมแลว เธอจึงบอกโต
ไปวา “เรามีแ ฟนแลว อยูด วยกั นด วย” เขาจึ งขอคบเธอเป นเพื่อนใหมอี กครั้งหนึ่ ง ซึ่ งตัว เธอก็
ไมมีปญหา เพียงแตนึกแปลกใจวาเขากลับมาทําไม แตในตอนนั้นเปนชวงที่แฟนของจูนกําลัง
มีป ญหากั บ ทางบา น ต องกลั บ ไปสะสางปญหาที่ บา นต า งจังหวั ด โตก็ ไดโ ทรศัพท ม าถามและ
ขอมาหาเธอที่หอง ซึ่งจูนก็อนุญาตโดยที่ในใจของเธอนั้นคิดแลววาถาโตมาหาก็คงจะตองมีอะไร
กันแนๆ ซึ่งเหตุการณก็เปนไปตามที่เธอคิดไว แตจูนบอกวาเธอมีเพศสัมพันธกับโตในคืนนั้นโดยที่
74
“แต จ ะว า ไปเราก็ รู สึ ก ฮึ ก เหิ ม นะกั บ เซ็ ก ส ใ นครั้ ง นี้ น ะ คื อ ตอนแรกก็ ไ ม รู สึ ก หรอก
จนกระทั่ ง โตพู ด ออกมาเองว า ‘นี่ แ ก แ ค น กั น ใช ไ หม เมื่ อ ก อ นเคยโดนทํ า แบบนี้
มาตอนนี้เลยจะเอาคืนเหรอ?’ คือจริงๆ เราก็ไ มไดจะคิดแกแคนอะไร แตอารมณ ที่
เรี ย กเขามาหานี่ จ ะเป น แบบ ‘วั น นี้ เ ราเหนื่ อ ยว ะ เราไม อ ยากอยู ค นเดี ย ว’ ก็ จ ะเรี ย ก
ใหมาหา ประมาณหาเพื่อนอยูดวยอะไรแบบนี้ พอเสร็จก็ไลกลับ เปนแบบนี้เรื่อยๆ
เขาเลยทักขึ้นมาแบบนี้ ทําใหเราฉุกคิดไดวา ‘เออ! มันก็เหมือนการแกแคนจริงๆ ดวย’
แลวก็แอบสะใจวาเราก็ทําไดนะ”
คนที่เธอรักหรือรูสึกดีดวยเทานั้น แตการใชเรื่องเพศเปนเครื่องมือเพื่อทํารายความรูสึกของคนอื่น
ก็ไมใชสิ่งที่ถูกตองเชนเดียวกันในความคิดของเธอ เพราะอยางนอยหลังจากที่มีอะไรกันก็นาจะ
ยังพอหลงเหลือความรูสึกดีๆ ใหกันบาง แตเธอกลับรูสึกวาการกระทําของเธอไดทํารายความรูสึก
ของโตจนกลายเปนความรูสึกผิดลึกๆ ในใจของเธอดังกลาว หลังจากนั้นโตก็กลับไปทํางานที่บาน
ต า งจั ง หวั ด และตั ว เธอเองก็ เ ปลี่ ย นเบอร โ ทรศั พ ท โ ดยไม ไ ด บ อกเขา ทํ า ให เ ธอไม ไ ด คุ ย หรื อ
เจอกับโตอีกเลย
ภายหลังจากที่เลา เรื่องของโตจบ จูนก็เลาเรื่องของ ‘โอ’ ผูชายคนที่สามใหผูเขียนฟง
ซึ่งโอเขามาในชีวิตของเธอภายหลังจากที่เธอเจอประสบการณที่ไมดีมาจากความสัมพันธกับโต
ในครั้ ง แรก จู น รู จั กกั บ โอ ใ นช ว งเวลาที่ เ ธอเพิ่ ง จบการศึ ก ษาและอยู ใ นช ว งของการหางานทํ า
ทางอินเทอรเน็ต ซึ่งเธอก็ยังไมไดเขากรุงเทพฯ และไมไดกลับบานที่ตางจังหวัดแตยังคงวนเวียนอยู
แถวๆ มหาวิทยาลัยของเธอ
เริ่มเอยถามนองโอในลักษณะหยอกเลนวาอยากมีอะไรกับเธอหรือไม เนื่องจากเธอดูทาทางนองโอ
เปนคนขี้อายและไมกลาเปดเผยความรูสึก จูนบอกวาเหตุผลที่เธอเปนคนถามนองออกไปกอนวา
เปนเพราะเธอรูสึกชอบเขาและตองการมีเพศสัมพันธกับเขา
“สําหรับนองคนนี้เราคิดไวเลยวายังไงก็คงตองมีอะไรกัน ตั้งแตเริ่มคุยเริ่มไปไหนมา
ไหนกัน เพราะมันคอนขางจะผูกพันกันแลวไง จะถือวาเขาเปนแฟนคนแรกที่คบกัน
ยาวหนอยก็ได”
เมื่อไดฟงจูนถามเชนนั้นแลว นองโอก็เริ่มเขามาสัมผัสตัวเธอและเริ่มขั้นตอนการกอดจูบ
เธอในลักษณะกลาๆ กลัวๆ และทั้งคูก็มีเพศสัมพันธกันในวันนั้นเอง แตหลังจากคบหากันมาได
สั ก พั ก โอ ก็ เ ป ด เผยกั บ จู น ว า ตั ว เขาเองก็ มี แ ฟนอยู แ ล ว ซึ่ ง ทํ า ให จู น รู สึ ก ไม ดี อ ยู ไ ม น อ ยเพราะ
เธอเองก็ ยั ง เชื่ อ ในเรื่ อ งของความสั ม พั นธ แ บบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย ว และรู สึ ก สงสารผู ห ญิ ง อี กคน
ที่เปนแฟนของนองโอดวย แตสุดทายแลวความผูกพันและอารมณความรูสึกที่มีตอนองโอก็ทําให
เธอยอมอยูในสภาพของ “ชู” จูนบอกวาที่นองโอมาสารภาพกับเธอ เพราะเขารูสึกผิดที่ทําเหมือน
กําลังหลอกทั้งตัวเธอและแฟนของเขาดวย เขาจึงใหเธอเปนคนตัดสินใจวาจะทําอยางไรตอไป
ซึ่งจูนก็ตัดสินใจวาเธอจะคบกับเขาตอ แตเปนลักษณะของการแอบคบเพื่อไมใหแฟนของนองโอ
รูเรื่องนี้ เพราะเธอก็รูสึกดีกับนองโอและความสัมพันธครั้งนี้มากๆ จนยังไมอยากจะเสียเขาไป
“สุดทายก็ตัดสินใจคบแตเปนลักษณะแอบคบ เพราะคิดวายังไงสุดทายก็ตองเลิกกัน
เดี๋ ย วเราก็ ต อ งกลั บ บ า นอะไรแบบนี้ แล ว เราก็ รู สึ ก ว า มั น น า จะควบคุ ม ได น ะ
ความสั ม พั น ธ ใ นครั้ ง นี้ คื อ เราก็ ส ามารถอยู ข องเราเงี ย บๆ ได ไม ทํ า ให น อ งคนนั้ น
เดือดรอน ไมไปยุงกับเขา เราสามารถเปนคนเลวที่รักเธอ7 อะไรแบบนี้ [หัวเราะ]”
แมเธอจะยอมรับวาบางครั้งเธอก็รูสึกหึงหวงหรือนอยใจบางเวลาที่นองโอไมสามารถ
มาหาเธอได แตเธอก็ทําใจและเขาใจวาเพราะเธอเปนคนเลือกที่จะอยูในความสัมพันธแบบนี้เอง
อีกทั้งเธอยังตั้งใจแลววาจะทําใหความสัมพันธครั้งนี้จบลงเมื่อเธอยายไปทํางานที่กรุงเทพฯ และ
7
เพลง “คนเลวที่รักเธอ” (พ.ศ. 2548) ของ ปนัดดา เรืองวุฒิ อัลบั้ม “ดอกไมกับเปลวไฟ” เปนศิลปนจากคายแกรมมี่ (Grammy)
ซึ่ ง มี เ นื้ อ หาของเพลงเกี่ ย วกั บ คนที่ ถึ ง แม จ ะมาที ห ลั ง ในความสั ม พั น ธ แต ก็ ข อยอมเป น อั น ดั บ สอง เพราะขอแค ไ ด รั ก
ไดอยูใกลชิดก็รูสึกพอใจแลว โดยจะขอยอมเปนคนเลวที่ไดรักมากกวาเปนคนดีที่ไมมีความสุข เพราะไมไดอยูใกลชิดกัน ซึ่งเพลงนี้
ถูกตอตานจากนางระเบียบรัตน พงษพานิช ดวยเหตุผลวามีเนื้อหาสอไปทางผิดศีลธรรม โดยจูนไดยกเอาเพลงนี้ขึ้นมาประกอบกับ
เรื่องราวของเธอเนื่องจากมีเนื้อหาที่ตรงกันพอดี
77
ไม ไ ด เ จอกับ เขาอี ก โดยที่ เธอไม รู ว า น องโอเ องก็เ ตรียมตัว ยา ยไปเรี ย นที่ กรุง เทพฯ เหมือ นกั น
แตเขายังไมไดบอกเธอเพื่ออยากจะทําใหเธอประหลาดใจ เมื่อเขามาบอกเธอวาเขาจะขอเจอเธออีก
ตอนไปอยูที่กรุงเทพฯ แลว จูนจึงปฏิเสธเขา เพราะเธอรูสึกสงสารแฟนของนองโอที่เธอรูมาวา
ช ว งหลั ง ๆ ทั้ ง คู มี ปญ หาทะเลาะกั นบอ ยๆ เพราะนอกจากเธอแล ว น อ งโอยั ง แอบคบกั บ ผูห ญิ ง
คนอื่นๆ อีกดวย และในตอนนั้นเธอกําลังคิ ดวาอาจจะมีการเริ่มตนสานความสัมพันธ กับผูชาย
อีกคนหนึ่งที่เธอรูจักผานทางอินเทอรเน็ตดวยเชนเดียวกัน เพราะเธอกําลังมองหาความสัมพันธ
ที่จริงจังที่นองโอคงไมสามารถใหแกเธอได เนื่องจากเขาไมเคยพูดวาจะเลิกกับแฟน และเธอก็
ไมตองการใหเขาบอกเลิกกับแฟนเพื่อมาคบกับเธอดวย จูนบอกวาในเมื่อเธออยากจะเริ่มตนจริงจัง
กับผูชายคนใหม เธอก็อยากจะสะสางปญหาความสัมพันธที่ไมลงตัวใหเรียบรอยเสียกอน
“เราก็เริ่มอยากจะจริงจังกับใครซักคนแลว เพราะยังไงกับนองคนนี้ก็ไมมีทางเปนไปได
อยูแ ล ว ในเมื่ อเขาก็ยัง คบกั บแฟนเขาอยูแ ล ว จะใหเราไปบอกว า ให เ ขาเลิกกั บแฟน
มาเปนแฟนเรา เราก็ไมทําหรอก แลวถาเราจะเริ่มจริงจังหรือเปนแฟนกับผูชายคนนี้แลว
เราก็คิดวาเราควรจะตองซื่อสัตยกับเขากอน ตองเคลียรปญหาตัวเองใหเรียบรอยกอน
ไมใชวาจะยังเปนชูกันอยูร่ําไปแบบนี้ คือมันไมเหมือนกับคนอื่นที่มีอะไรกันแลวจบ
แต มั น มี เ รื่ อ งความสั ม พั น ธ ท างใจด ว ยไง น อ งเขาก็ เ หมื อ นจะเสี ย ใจอยู เ หมื อ นกั น
คงผิดหวังเพราะอุตสาหจะไดมาอยูที่กรุงเทพฯ ดวยกัน”
สาเหตุ ที่ เธออยากจะยุติค วามสั มพั นธ กั บน องโอ ใ ห เ รี ยบรอ ยกอนที่จ ะไปเริ่มต นกั บ
คนใหมที่เธออาจจะจริงจังดวยนั้น เปนเพราะเธอรูสึกวานองโอคือคนที่เธอยังรักและรูสึกดีดวย
มากๆ แตถาหากเธอไปเริ่มตนสานสัมพันธกับคนใหมแตยังคงคิดอะไรกับนองโออยู เธอมองวา
นั่นคือการไมซื่อสัตยหรือเปนการนอกใจแฟนใหมเธอไดเลยแมจะไมไดมีเพศสัมพันธกับนองโอ
แลวก็ตาม ซึ่งแตกตางจากการที่ เธอไปแอบมีอะไรกับผูชายอีกคนหนึ่งขณะที่คบกับนองโออยู
ซึ่งเธอมองวานั่นคือความสัมพันธเพียงชั่วครั้งชั่วคราวที่ไมไดมีความหมายอะไร เพราะเธอไมได
รูสึกอะไรกับผูชายคนนั้น
“ถ า หากเป น อย า งนั้ น ก็ ค งคบกั น เป น แฟนอย า งจริ ง จั ง ไปแล ว เพราะจริ ง ๆ แล ว
เราก็แอบหวังลึกๆ นะ ใหเขาเลิกกันเอง ไมใหเลิกกันเพราะเราเปนสาเหตุ เราเลยตอง
ทําทุกวิถีทางไมใหใครรูเรื่องเรากับนองคนนี้ [นองโอ] มาก กลัวเรื่องมันจะรั่วไปถึง
หูแฟนเคา”
79
เธอคุยกับอั้มทางจดหมายและทางโทรศัพทมาเปนระยะเวลาเกือบสี่เดือน ตั้งแตตอนที่
เธอเรียนจบใหมๆ และยังวนเวียนอยูแถวๆ มหาวิทยาลัย ซึ่งเปนชวงเวลาเดียวกับที่เธอรูจักและ
มีความสัมพันธกับนองโอดวย และเมื่อเธอไปหางานทําที่กรุงเทพฯ อั้มก็ขอนัดเจอเธอเพราะตัวเขา
เองก็เรียนอยูที่กรุงเทพฯ เชนเดียวกัน แตเปนการนัดเจอที่จูนบอกวาไมคอยตื่นเตน เพราะเธอเคย
เห็นรูปของเขามากอนและมีการพูดคุยกันมาพอสมควรแลว และในครั้งแรกที่เจอกันเธอก็ยังไมได
คิดอะไรกับเขาเปนพิเศษ เนื่องจากเธอยังคงมองเขาเปนเหมือนเพื่อนคนหนึ่งอยู ในครั้งที่สองของ
การนัดเจอกัน อั้มก็ชวนเธอไปเที่ยวที่หองของเขา เนื่องจากเคยบอกเธอวามหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู
นั้นอยูหางจากตัวเมืองกรุงเทพฯ มาก เหมือนเปนอีกจังหวัดหนึ่งเลย บรรยากาศรอบขางก็เปนทุงนา
ตองนั่งรถไปไกลมาก เธออยากไปเห็นจึงตกลงใจไป ซึ่งจูนก็คิดไวในใจแลววาถาไปที่หองเขา
ก็คงตองไดมีอะไรกันแนนอน และก็เปนไปตามที่เธอคิดทั้งๆ ที่ในตอนนั้นเธอเองก็ยังไมไดรูสึกรัก
หรื อ ชอบอั้ ม แบบเป นแฟน แต ด ว ยความคุ น เคยที่ มี ใ ห กั น และอารมณ เ ป น ตั ว พาไป ทํ า ให เ ธอ
มีเพศสัมพันธกับเขาที่หองของเขาในวันนั้นเอง
80
หลังจากนั้นจูนก็รูสึกวาอั้มแสดงอาการหวงเธอมากขึ้น และแสดงความเปนเจาของเธอ
มากขึ้น จนเธอตองเอยถามเขาวาสรุปแลวเขาคิดกับเธออยางไร ซึ่งเขาก็ดูเหมือนจะเคืองกับคําถามนี้
ของเธอ เพราะเขาถามเธอกลับวา “นี่ยังไมรูอีกเหรอวาเรารูสึกยังไงกับเธอ?” เธอกับเขาจึงตกลง
เปนแฟนกันนับแตนั้นมา เมื่อมาถึงตรงนี้เราอาจจะมองเห็นลักษณะสวนตัวของจูนประการหนึ่งคือ
เธอคิ ด ว า ตั ว เองสามารถมี เ พศสัม พั นธ กั บ คนที่ เ ธอไม ไ ด รู สึ กรั ก ได เพราะเธอมองว า เรื่ อ งเพศ
เป น เครื่ อ งมื อ หนึ่ ง ที่ จ ะทํ า ให เ ธอบรรลุ ค วามต อ งการของตั ว เองได ส ว นผลที่ เ กิ ด ขึ้ น ตามมา
อาจจะเปนไปในรูปแบบไหนก็ขึ้นอยูกับเธอที่จะกําหนดใหมันเปนไป แตก็ตองเปนเพศสัมพันธ
ที่เกิดขึ้นภายใตเงื่อนไขที่ทําใหเธอเชื่อมั่นไดวาจะไมเกิดปญหาขึ้นกับตัวเอง ซึ่งเงื่อนไขสําคัญ
ประการหนึ่ง ของเธอก็คือ ในการจะตัดสิ นใจมี เพศสั มพั นธ กับ ใครนั้น แม จะไม ไดเ กิดขึ้นจาก
ความรัก แตอยางนอยตองมี “ความคุนเคย” กันอยูพอสมควร คือผานการพูดคุยทําความรูจักกัน
มาสักระยะหนึ่งกอน ไมใชลักษณะของการไปมีอะไรกับใครเมื่อไหรก็ไดหรือในลักษณะของ
one night stand ที่ตัวเธอไมรูจัก และไมสามารถควบคุมคนที่มีอะไรดวยได
เนื่องจากความคุนเคยเปนสิ่งที่ทําใหจูนรูสึกมั่นใจไดวาคนที่เธอจะมีความสัมพันธดวย
นั้นเปนใคร มาจากไหน มีสภาพทางสังคมเปนอยางไร และเธอเชื่อวาการไดคุยกันมากอนจะทําให
ทั้งสองฝายตางเรียนรูความตองการของกันและกันได และเพื่อที่เธอจะไดรูวาเธอจะสามารถควบคุม
สถานการณไวไดแคไหน เชนสามารถที่จะตอรองในเรื่องการใชถุงยางอนามัยกับเขาไดหรือไม
เพื่อที่จะไมทําใหเรื่องเพศเปนปญหาแกตัวเธอในภายหลัง
ในชวงเวลาที่เธอคบกับอั้มนั้น จูนอาศัยอยูที่บานญาติซึ่งมีศักดิ์เปนพี่ชายของเธอ ผูเขียน
ตั้งคําถามกับเธอวาในการที่เธอออกไปไหนมาไหนหรือไปคางกับอั้มบอยๆ เธอใหเหตุผลกับพี่ชาย
ของเธอวาอยางไร เพราะเธอเคยบอกผูเขียนวาการที่เธอไดมีโอกาสมีเพศสัมพันธหรือมีแฟนแบบนี้
81
“ทีนี้ พอเราย า ยมาอยู ห อ ประกอบกับ ที่อั้ ม เป นช ว งดรอปเรี ยน เหลื อ ตัว เรี ยนแค ตั ว
สองตัวอะไรแบบนี้ เขาก็เลยบอกวา ‘อยางนี้ก็ไมตองเชาสองหอ ก็เชาแคหอเดียวพอ’
แลวเขาก็เลยยายมาอยูหองเราโดยที่ไมมีพอแมใครรูเรื่อง ก็คบกันอยูแบบปดๆ แบบนี้
ประมาณสองป จริงๆ ก็ไมเชิงปด เพียงแตไมไดเลาใหที่บานฟง เพราะวาชวงนั้นไมได
กลั บ บ า นก็ ไ ม ไ ด เ ล า ว า เรามี แ ฟนแล ว นะ ซึ่ ง เราก็ ค บกั บ อั้ ม นานที่ สุ ด นะ รวมแล ว
ประมาณสี่ป”
เพราะจูนเองก็รูวาความสัมพันธในรูปแบบดังกลาวของเธอกับอั้มนั้นเปนสิ่งที่ไมถูกตอง
เธอจึงไมบอกใหที่บานรับรูวาเธอมีแฟน เพื่อจะไดไมทําใหที่บานเปนกังวลหรือเดือดเนื้อรอนใจ
82
กับการกระทําของเธอ แตเธอก็มองวาความสัมพันธดังกลาวเปนความสัมพันธที่สอดคลองกับ
ความต อ งการของตั ว เองในขณะนั้ น คื อ เธอสามารถใช ชี วิ ต ร ว มกั บ คนที่ ตั ว เองรั ก ได ภ ายใต
องคประกอบอื่นๆ อยางเชนเปนการประหยัดคาใชจายที่แตละฝายไมตองแบกรับอยูฝายเดียวดวย
อยางไรก็ตาม แมวาจูนจะพยายามไมทําใหพอกับแมตองเดือดเนื้อรอนใจกับเรื่องเพศของ
เธอ โดยพยายามแสดงออกให ค นอื่ น เห็ น ว า ตั ว เธอเป น ลู ก สาวที่ ดี ข องพ อ แม ม ากแค ไ หน
แตก็มีเหตุการณที่ทําใหพอกับแมไดมารูเรื่องของเธอโดยบังเอิญ และเปนเหตุการณที่ตอกย้ําใหเธอ
รูวาพอกับแมไมไดเปดใจรับเรื่องแบบนี้ไดจริงๆ เหตุการณนี้เกิดขึ้นเมื่อเธอกลับบาน และมีโอกาส
ไปตรวจรางกายที่โรงพยาบาล และพยาบาลไดถามเธอวา “เคยมีอะไรกับผูชายมาบางหรือยัง?”
เมื่อเธอตอบคําถามนี้วาเธอเคยมีประสบการณมากอนและแมของเธอมาไดยินคําตอบของเธอพอดี
ปฏิกิริยาของพอกับแมหลังจากนั้นทําใหเธอรูสึกผิดและเสียใจมากกับสิ่งที่ตัวเองไดทําลงไป
“แล ว ที นี้ แ ม เ ราก็ เ ดิ น มาข า งหลั ง เราพอดี แม ก็ ไ ด ยิ น คํ า ตอบพอดี เราก็ พู ด ไม อ อก
เหมือนกัน แมเงียบไปเลย เหมือนวาจะรองไหนิดๆ ดวยแลวคงไปบอกพอ พอก็เงียบ
แลวพูดแควา ‘ลูกมีพอมีแมนะ...’ เราเองก็เสียใจ กลับมากรุงเทพฯ ก็รองไหที่ทําให
เขาเสียใจ เรารูสึกไมดีเลย”
พอพูดกับเธอวาพอเสียใจมากที่ลูกสาวของพอทําตัวแบบนี้ เพราะพอมักจะสอนหลานๆ
คนอื่นๆ เสมอใหทําตัวใหดี แตเมื่อลูกสาวของตัวเองมาทําตัวแบบนี้พอจึงผิดหวังและเสียใจมาก
คําพูดของพอก็ทําใหจูนเสียใจมากไมแพกัน แตเมื่อกลับมาที่กรุงเทพฯ แลว เธอก็พยายามตอสูกับ
ความรูสึกผิดนี้และบอกตัวเองวา จากนี้ไปเธอจะตองระมัดระวังตัวเองใหดี ไมทําตัวใหเกิดปญหา
ใหพอกับแมผิดหวังเสียใจเปนอันขาด
ตอนนั้นจูนยังไมไดเลิกกับอั้ม แตความสัมพันธของทั้งคูก็อยูในสถานะที่คลุมเครือเพราะ
อั้มหายตัวไป และนานๆ ครั้งจึงจะติดตอเธอมาสักครั้งหนึ่ง นองกบก็เริ่มทําคะแนนกับเธอดวยการ
ขอติดสอยหอยตามเธอและเพื่อนรวมงานคนอื่นๆ ไปไหนมาไหนดวย หรือการมาหาเธอที่โตะ
ทํา งานโดยหาข ออา งเชนมาขอใชเครื่องพริ้ นเทอร ของเธอ ซึ่งเธอก็รับ รู ถึง จุดประสงคของเขา
แต ก็ ยั ง ไม แ น ใ จมากนั ก เพราะน อ งกบยั ง ไม ไ ด เ อ ย ปากพู ด ออกมาตรงๆ และเธอเองก็ ม องว า
เธออายุมากกวานองหลายปชนิดที่วา “นองชายแทๆ ของเรายังแกกวามันเลย” เขาคงไมไดมาชอบ
อะไรเธอได บวกกับที่ตอนนั้นเธอเองก็ยังไมไดเลิกกับอั้ม เธอจึงคิดวาเรื่องนี้คงไมมีทางเกิดขึ้นได
อยางไรก็ตาม จูนบอกวามีเหตุการณสําคัญสองครั้งที่ทําใหเริ่มเธอแนใจมากขึ้นวานองกบคงมีใจ
ชอบเธอจริ ง ๆ เพราะเขาเริ่ ม พู ด จาแปลกๆ กั บ เธอในวงกิ น ข า วและเป น คํ า พู ด ที่ แ สดงออกว า
เขาสนใจเธออยู
กลับ คนอื่น ๆ เหมือ นที่ ตอบกลั บเรา เราก็ เ ลยชัก เริ่ มแปลกๆ แต ก็ ยั งนึ กว า พู ดเลนๆ
ไม ไ ด อ ะไร แล ว มามี ค รั้ ง ที่ ส องไปกิ นสุ กี้ เ อ็ ม เคกั น เราก็ คุ ยเล น ๆ ในวง แล ว น อ งก็
เป น ผู ช ายคนเดี ย วที่ ไ ปกิ น ด ว ย ก็ คุ ย กั น เรื่ อ งแฟน น อ งเขาก็ บ อกว า ‘ยั ง ไม มี แ ฟน
เมื่อกอนมีแตตอนนี้ยังไมมี’ เราก็เลยถามตอวา ‘แลวชอบผูหญิงแบบไหน?’ นองก็จะ
บายเบี่ยงตอบประมาณวา ‘เดี๋ยวก็รูเอง’ แลวก็มองหนาเราแบบมีความหมาย”
จากนั้นเขาก็วางแผนขอเบอรโทรศัพททุกคนที่อยูในโตะอาหารในวันนั้น รวมถึงเบอร
ของจูนดวย และโทรศัพทหาเธอในเชาวันรุงขึ้นทันทีเพื่อทําทีเปนสอบถามเรื่องรายการโทรทัศน
ที่เขากําลังดูอยูวากําลังถายทอดเนื้อหาที่เกี่ยวของกับคณะที่เธอเรียนจบมาหรือไม ซึ่งจูนก็พยายาม
คิดวาที่เขาโทรมาก็เพราะเรื่องของรายการโทรทัศนในเชาวันนั้นเทานั้น แตหลังจากวันนั้นนองกบ
ก็โทรมาหาเธอทุกวันเพื่อปลุกใหเธอไปทํางานเร็วๆ จะไดไปกินขาวเชาดวยกัน และเมื่ออยูใน
ที่ ทํ า งาน เขาก็ พยายามลงมาหาเธอที่ โ ตะ ทํ า งานอยูบ อ ยๆ จู น บอกว า ในขณะนั้ น เป นช ว งที่ อั้ ม
เริ่มหายตัวไปโดยโทรหาเธอเดือนละครั้ง เพื่อบอกใหรูสั้นๆ วาตอนนี้เขาอยูที่ไหน และเธอไมมี
โอกาสไดพูดคุยกับเขามากเท า ที่ค วร ทํ า ใหเธอเริ่ มคิ ดมากกับความสั มพันธ ระหวางเธอกั บอั้ม
วาจะเปนอยางไรตอไป จูนยอมรับวาการที่นองกบเริ่มเขามาสนิทสนมกับเธอในชวงนี้ทําใหเธอ
หายเครียด หายกังวลกับเรื่องของเธอกับอั้มไปไดมาก
“นองเขาก็เขามาพอดีในชวงนั้นแลวทําใหเราหายเครียดไปไดเยอะมาก เพราะเขาเปน
คนขําๆ เปนคนซื่อและใสมากๆ อยูดวยแลวอารมณดี ทําใหเราหัวเราะได”
การเขามาของผูชายคนใหมทําใหจูนตองเริ่มตนตอรองกับความรูสึกของตัวเองอีกครั้ง
เพราะมัน อาจจะกลายมาเป นรู ป แบบความสั ม พั นธ เ ชิ ง ซ อ นได แตเ ป น ความสั ม พั นธ เ ชิ ง ซ อ น
ที่เริ่มตนจากการตัดสิ นใจของตัวเธอเอง 8 และในตอนนั้นเธอยังคงมีสถานะเปนแฟนกับอั้ มอยู
แต เ ป น ความสั ม พั น ธ ที่ เ ธอเริ่ ม รู สึ ก ว า ไม ส ามารถมอบความมั่ น คงทางจิ ต ใจและตอบสนอง
ทางอารมณใหกับเธอไดอีกตอไป และทําใหเกิดคําถามวาอนาคตของเธอกับเขาจะเปนอยางไร
ตอไป ในขณะที่นองกบผูซึ่งเขามาใหมไดแสดงใหจูนเห็นวาเขาสามารถมอบสิ่งเหลานั้นใหกับ
เธอได เพียงแต ดวยขอจํากัดหลายอยา งที่เธอตระหนัก ไมวา จะเปนเรื่องอายุของเธอที่มากกวา
8
ซึ่งแตกตางจากเรื่องของเธอกับนองโอเพราะตอนที่เริ่มคบกับนองโอนั้นเธอไมรูวาเขามีแฟนอยูแลว และเมื่อมารูภายหลังเธอก็
ตัดสินใจคบตอเพราะเธอรูสึกวาตัวเองผูกพันและรักเขามากจนไมอยากสูญเสียความรูสึกตรงนั้นไป
86
น อ งเขา หรื อการจั บ ตามองของผู คนรอบข า งในที่ ทํ า งาน ทํ า ให เ ธอต อ งชั่ ง ใจว า จะทํ า อย า งไร
กับความสัมพันธที่กําลังจะเริ่มตนใหมครั้งนี้
ฝายนองกบเริ่มแสดงออกใหเธอเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ วาเขารูสึกอยางไรกับเธอ ทั้งคูเริ่มไป
กินขาวและดูหนังตามลําพังบอยครั้งขึ้น จนมาคืนหนึ่งที่เธอมารอนั่งเปนเพื่อนนองกบที่รานกาแฟ
ใกลๆ บริษัท เพราะเขาตองรอไปขึ้นรถที่บริษัทตอนตีสี่เพื่อไปทํางานตางจังหวัด เธอนั่งคุยกับเขา
จนรูสึกงวงและจะขอตัวกลับไปนอน นองกบยืนยันวาจะไปสงเธอที่หองพักกอนแลวเขาจะกลับมา
นั่งรอที่บริษัทเองคนเดียว เมื่อไปถึงหองของเธอ จูนก็ชั่งใจวาจะชวนเขาขึ้นไปนอนรอบนหองกอน
ดีหรือไม จนในที่สุดเธอก็ชวนนองกบใหขึ้นไปนั่งฆาเวลาบนหองของเธอ สาเหตุที่เธอตัดสินใจ
ชวนเขาขึ้นมาบนหองเพราะจูนมั่นใจวาตัวเธอเองสามารถกําหนดสถานการณได วาจะใหมีอะไร
เกิดขึ้นหรือไม อยางไร ทุกอยางขึ้นอยูกับการตัดสินใจของเธอในคืนนั้น
“ตอนนั้ น เราคิ ด ว า จะมี อ ะไรหรื อ ไม มี อ ะไรเนี่ ย มั น ขึ้ น อยู กั บ เราแล ว ว า จะยั ง ไง
ใหมีหรือไมมี เราก็เลยตัดสินใจชวนเขาเพราะก็สงสารนองวาจะเขาไมมีที่ไป ก็ชวนวา
‘ให ไ ปรอที่ ห อ งก อ นละกั น ใกล ๆ เวลาแล ว ค อ ยออกมา’ น อ งก็ แ บบ ‘ได เ หรอ?
จะดีเหรอ?’ เราก็เลยบอกวา ‘ก็แลวแตละกันนะ เราจะนอนแลว’ นองก็เลยเขามาในหอง
เรา แต ไ ม ก ล า มานั่ ง บนเตี ย งนะ นั่ ง ดู ที วี อ ยู ที่ พื้ น นั่ น แหล ะ เราก็ เ ลยชวนมานั่ ง
บนเตี ย ง บอกว า ‘จะนอนเลยก็ ไ ด น ะ เดี๋ ย วตั้ ง นาฬิ ก าปลุ ก ไว ’ เขาก็ เ ลยขึ้ น มานอน
บนเตียง ก็นอนคุยกันแบบเปดใจถึงความรูสึกของกันและกัน”
แม ว า ในคื น นั้ น ทั้ ง สองคนจะไม ไ ด มี อ ะไรกั น แต ต า งก็ ไ ด เ ป ด ใจให อี ก ฝ า ยรั บ รู ถึ ง
ความรู สึกที่ มี อ ยูข า งใน เพราะเธอเองก็ไม ได คาดหวั ง กั บ ความสั ม พั นธ ระหว า งเธอกับ น อ งว า
จะพัฒนาไปไดแคไหน ขอแคเปนความรูสึก “หวามๆ” ที่ไดอยูใกลชิดกันก็พอ เธอจึงตัดสินใจวา
จะยังไมใหมีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น จูนบอกวาในตอนนั้นเธอเองก็ยังรักอั้มอยู แตเปนความรักที่
เหนื่อย เครียด เพราะไมรูวาตอไปขางหนาจะเปนอยางไร ในชวงนั้นเธอรองไหใหกับอั้มบอยมาก
เพราะบางครั้ ง เขาก็ พูดจารุนแรงกับ เธอ ในขณะที่ เ มื่ ออยู กับน องกบเธอรูสึ กอบอุ นใจ ไม เ หงา
ไมเครียด และเมื่อเธอเปดเผยความรูสึกของเธอกั บนองกบไปแลว เธอก็ตั้งคําถามกับตั วเองวา
จะทําอยางไรตอไป เธอจะคบหรือรักกับผูชายในเวลาเดียวกันสองคนเลยหรือ แตสุดทายเธอก็
ปลอยใหเปนไปตามความรูสึกของตัวเอง
87
การที่ จู น ยอมเป ดใจรั บ น อ งกบเข า มาในชี วิต ตอนนั้ น เป น เพราะเธอเริ่ ม มองเห็ น ว า
การพัฒนาความสัมพันธกับเขาจะสามารถใหในสิ่งที่เธอตองการไดมากกวาการที่ตองเปนฝาย
นั่งคอยความหวังในเรื่องเหลานี้จากสถานการณของอั้มที่ยังไมมีอะไรแนนอน สวนผลที่จะเกิดขึ้น
ตามมาหลังจากนี้นั้นจูนก็ไมรูวาจะเปนอยางไร สิ่งที่เธอจะทําไดก็คือทําใหความสัมพันธของเธอกับ
นองกบพัฒนาไปในทางที่เธอตองการ
ดังนั้น ภายหลังจากที่กบกลับมาจากตางจังหวัดไดไมนาน จูนก็ตัดสินใจมีเพศสัมพันธ
กั บ เขา ซึ่ ง เธอบอกตั ว เองว า ในเมื่อ เธอก็ ชอบเขาและไม ไดเ ป น “สาวบริ สุ ทธิ์ ” อยูแ ลว จึ ง ไม มี
ความจําเปนที่จะตองดึงรั้งไวอีก อีกทั้งเธอเคยมีประสบการณไมดีมาจากเรื่องของโตที่เมื่อคบกันไป
สักพั ก โตก็เ ปลี่ ยนไปเปนทํ า ไม ดี กับ เธอ ซึ่ ง เธอคิ ดว า หากนอ งกบเป นคนแบบนั้นก็ จ ะไดรีบ ๆ
แสดงออกมาใหรูกันไปเลย ไมตองปลอยเวลาใหยืดยาวออกไป และหลังจากนั้นนองกบก็ยายมา
อยูรวมหองกับเธอ
ที่ เธอไปมีอะไรด ว ย และเธอยึดถื อกั บเรื่ องของความซื่ อ สัต ย ทางจิ ตใจหรื อความรูสึ กมากกว า
พฤติ ก รรมทางกายตามที่ ไ ด กล า วไปแล ว แต ใ นครั้ ง นี้ จู น กลั บ รู สึ ก วิ ต กกั ง วลเกี่ ย วกั บ รู ป แบบ
ความสัมพันธระหวางเธอกับอั้มและนองกบวาจะเปนไปในทิศทางใด เปนเพราะตัวเธอมีความรูสึก
ให กั บ ทั้ ง สองคน เธอจึ ง กั ง วลไม รู ว า จะจั ด การกั บ ความสั ม พั น ธ นี้ อ ย า งไร แต สุ ด ท า ยเธอก็
ใหค วามสํ า คัญ กั บ ความรูสึ กของตั ว เองที่ มี ต อนองกบ มากกว า ที่จ ะพยายามรั กษารู ป แบบของ
ความสั ม พั น ธ แ บบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย วไว แต ก ารตั ด สิ น ใจดั ง กล า วก็ ทํ า ให เ ธอต อ งต อ สู กั บ
ความรูสึกผิดในใจที่มีตออั้มดวยเชนกัน
เพราะเธอเองก็ยังอาลัยอาวรณกับความรูสึกของตัวเองที่มีตออั้ม แมวาเขาจะหายหนาไป
ไมโทรหาเธอในระยะหลังๆ แตดวยความที่ทั้งคูก็คบกันมานาน เธอเองก็เคยมีความคิดวาชีวิตนี้
คงจะรักใครนอกจากอั้มไมไดอีกแลว และคงจะหยุดตัวเองอยูที่อั้ม เนื่องจากทั้งคูผานอะไรดวยกัน
มามากและรูใจกันดี แตเมื่อนองกบเขามาก็ทําใหเธอเปลี่ยนความคิดตรงนี้ไป แตอยางไรก็ตาม
เธอก็ ยังคิ ดว า อั้มคือแฟนของเธออยู แม วา จู นจะกํา ลังเริ่มสานสัมพันธ กับ กบ เธอก็ไ มกลาที่ จ ะ
บอกเลิกกับอั้มกอน เพราะเธอสงสารเขาแมวาเธอจะไมรูเลยวาสถานการณของเขาจะเปนอยางไร
หรือเขาจะมีคนใหมดวยหรือไม เธอจึงตองปลอยใหเรื่องราวเปนไปตามสถานการณ และจากการ
ตัดสินใจคบกับกบในขณะที่ยังเปนแฟนกับอั้มอยูนั้น นอกจากจะตองเผชิญกับความรูสึกผิดในใจ
ของตัวเองแลว จูนยังตองรับมือกับปฏิกิริยาจากคนรอบขาง ทั้งเพื่อนรวมงานและกลุมเพื่อนสนิท
ของเธอ เพราะทุ ก คนต า งรู ดี ว า จู น มี แ ฟนแล ว จู น บอกว า ในช ว งที่ พ วกเธอเริ่ ม แสดงตั ว ว า
เปนแฟนกัน เธอตองเจอกับคําซุบซิบนินทาของคนในที่ทํางานและมีอยูครั้งหนึ่งที่หัวหนาตองเรียก
พวกเธอเขาไปคุ ยเกี่ยวกั บเรื่อ งนี้ แตเธอก็ตั้งใจไวอยูแลววา จะไมยอมใหเ รื่องความรักของเธอ
มามีผลกระทบกับงานที่ทําอยูแนนอน
89
วิธีการที่จูนเลือกใชเพื่อจัดการกับการแสดงออกของคนในที่ทํางานนั้นคือ การพยายาม
ทําใหผูอื่นรับรูวาตัวเธอเองไมไดละเมิดแนวทางของสังคมดวยการนอกใจแฟนแตอยางใด แตเปน
ความสั ม พั นธ ที่ เ กิ ดขึ้ น ในระหว า งที่ เ ธอเองก็ ไ ม ไ ด มี อ ะไรกั บ อั้ ม แล ว ซึ่ ง ถื อ เป นการดึ ง ตั ว เอง
ใหกลับมาอยูในกรอบของสังคมอีกครั้ง เหมือนกับวิธีการโกหกที่เธอใชกับญาติในกรณีของอั้ม
90
เพราะจูนเองก็รูวาคนอื่นๆ นั้นมองการกระทําของเธอที่ผานมาวาไมใชสิ่งที่ถูกตองนัก
โดยเฉพาะเรื่องที่เธอไปมีอะไรกับผูชายคนอื่นนอกเหนือจากคนที่เธอคบอยูดวยหลายตอหลายครั้ง
ซึ่งเธอก็ใหเหตุผลกับประเด็นนี้วาที่เธอทําลงไปนั้น เธอไมถือวาเปนการนอกใจแฟน เพราะเธอ
ไม ไ ด รู สึ ก อะไรกั บ ผู ช ายคนอื่ น ๆ เลย แต เ ธอจะรู สึ ก ผิ ด มากกว า หากว า ในการมี อ ะไรกั น นั้ น
เธอมีความรูสึกกับผูชายคนอื่นๆ ดวย เหมือนที่เธอกําลังรูสึกกับกบอยูนี้
“เราวาเราก็ซื่อสัตยกับอั้มนะ เพราะกับผูชายแตละคนที่เขามานี่คือเราไมไดรักเขาเลย
เราตัดเซ็กสออกไปเลย แยกเซ็กสกับความรักออกจากกัน เรามองวาความรูสึกก็คือ
ความซื่อสัตย แต การกระทํา นั่นเปนอี กเรื่องหนึ่ง กับผู ชายคนหนึ่ง ที่เรามีเ ซ็กส ดว ย
แลวเรารูสึก คนนั้นก็คือเปนแฟนเรา แตกับผูชายคนอื่นๆ คือเราก็แคมีเซ็กสดวยเฉยๆ
อย า งกรณี น อ งกบเนี่ ย คื อ เรารู สึ ก กั บ เขาด ว ย เราก็ เ ลยรู สึ ก แย รู สึ ก ผิ ด อย า งวั น นี้
อั้มก็โทรมานะ บอกวา ‘ตอนนี้กลั บมาอยูบา นแลว ขอใหเ ราไปหาที่บ านไดไหม?’
เราก็ บ า ยเบี่ ย งไปเรื่ อ ยๆ ว า งานยุ ง บ า ง อะไรบ า ง เพราะเราคิ ด ว า ถ า ไปหาเขานี่
ตองไดมีอะไรกันแนๆ เราไมอยากมีกับอั้มแลวไง อยูดีๆ มันก็รูสึกแบบนี้ขึ้นมา เพราะ
ตอนนี้ใจเราเริ่มเอนเอียงมาทางกบมากกวา”
ความคาดหวัง ของพ อกั บแมอ ย า งไร ซึ่ง เธอก็ ห วั งวา ในท า ยที่สุ ดแล ว พ อกั บ แมค งจะเข า ใจใน
ความคิดของเธอดวยเชนเดียวกัน
ในเมื่อการแตงงานเปนเรื่องของอนาคตที่ยังไมเกิดขึ้น จูนจึงเลือกที่จะทําชีวิตในปจจุบัน
ของเธอใหดีที่สุดตามวิถีทางที่เธอเปนคนเลือกเอง
สรุป
ถึ ง แม ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งานของผู ห ญิ ง ทั้ ง สองคนจะเป น เหมื อ น
พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการไมยอมทําตามกรอบ กติกา หรือความเชื่อของสังคมที่ตองการให
ผูหญิงไทยรักนวลสงวนตัว หรือไมมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน แตก็ไมไดหมายความวาพวกเธอ
จะเป นอิส ระหรือปลดปลอ ยตัวเองออกจากการควบคุมของสังคมไดโดยสิ้นเชิ ง เพราะภายใต
การดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานนั้น พวกเธอตางก็มีการเลือกหรือการตอรองกับกรอบ
ความเชื่อในเรื่องเพศของสังคมที่อยูในรูปแบบตางๆ กันอยูตลอดเวลา ไมวาจะเปนความรูสึกของ
ตัวเอง ความคาดหวังหรือความรูสึกของพอกับแมหรือแม หรือความตองการของคูรักหรือคูนอน
ของพวกเธอ ซึ่งตางก็สะทอนใหเห็นถึงความคาดหวังในการแสดงออกในเรื่องเพศของพวกเธอ
ที่แตกตางกันออกไป และมีอิทธิพลตอการเลือกใหความสําคัญกับเหตุผลที่พวกเธอนํามาตัดสินใจ
ในการดําเนินความสัมพันธทางเพศแตละครั้งดวย โดยผูเขียนจะไดอภิปรายถึงรายละเอียดตางๆ
เหลานี้ในบทตอไป
บทที่ 5
เรื่องเพศที่ชอบธรรมและการตอรอง
การถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นเพศวิถีในสังคมนั้นมักเกี่ยวของกับการใหความหมายวา
พฤติกรรมทางเพศแบบใดที่ถูก/ผิด ยอมรับได/ยอมรับไมได ซึ่งการใหความหมายดังกลาวถูกผูกติด
กับฐานคิดในเรื่องเพศที่ชอบธรรมซึ่งเปนรูปแบบของการมีความสัมพันธทางเพศที่สอดคลองกับ
ลักษณะตามธรรมชาติของชายหญิงและอยูภายใตกฎเกณฑตางๆ ของสังคม โดยมีผูคนในสังคมคอย
กํากับ/ควบคุมพฤติกรรมของตนเองและผูอื่นใหอยูในวิถีปฏิบัติที่เปน “ปกติ” ในขณะเดียวกันก็มี
การตอรอง/โตแยงกับบางแงมุมของกรอบดังกลาวดวย (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2549: 26)
จากการจัดลําดับมาตรฐานพฤติกรรมทางเพศของคนในสังคม เรื่องเพศที่มีคุณภาพที่
สังคมยอมรับไดนั้น จะตองเปนเรื่องเพศที่เกิดขึ้นระหวางเพศตรงขามภายใตการแตงงานอยูใน
รูปแบบผัวเดียวเมียเดียว เปนไปเพื่อการเจริญพันธุและตองเปนความสัมพันธที่ไมใชเพื่อการคาแต
เกิดจากความรัก และมีความผูกพันเขามาประกอบดวย (Gayle Rubin, 1982: 280) แนวคิดดังกลาว
เกิดจากฐานคิดที่มองเรื่องเพศในเชิงลบและตองพยายามจํากัดควบคุมเรื่องเพศของคนใหอยูใน
กรอบหรือแนวทางปฏิบัติเพื่อใหเกิดประโยชนตอสังคมโดยรวมมากกวาที่จะเปนไปเพื่อความ
พึงพอใจสวนบุคคลแตเพียงอยางเดียว โดยสังคมไทยรับเอาอิทธิพลทางความคิดในการมองเรื่อง
เพศแบบวิคทอเรียน (Victorian sexuality) ผานทางการศึกษาในแบบตะวันตก รวมทั้งการนําเขา
วิทยาการ ความรู รูปแบบการปกครอง กฎหมาย หรือวิถีชีวิตจากสังคมตะวันตกโดยชนชั้นสูงและ
ชนชั้นกลางของสังคมตั้งแตสมัยรัชกาลที่หา ทําใหคนในสังคมเกิดความเชื่อวารูปแบบของเรื่องเพศ
นั้นมีมาตรฐานเพียงแคชุดเดียวและทุกคนควรจะตองปฏิบัติตาม (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2549:
28)1 อยางไรก็ตาม ในการดําเนินชีวิตของคนเราเมื่อไมสามารถปฏิบัติตามกรอบดังกลาวไดอยาง
1
ตัวอยางที่เห็นไดชัดสําหรับประเด็นนี้ก็คือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวซึ่งไมทรงโปรดฯ การมีมเหสีหลาย
พระองค เนื่ อ งจากพระองค ไดเ สด็จ พระราชดํา เนิ นไปทรงศึ ก ษาที่ ประเทศอั งกฤษตั้ ง แต ยัง ทรงพระเยาว ทรงซึ มซั บประเพณี
วัฒนธรรมของตะวันตกซึ่งเปนชาติศิวิไลซเปนอยางดี เพราะธรรมเนียมของชาวตะวันตกนั้นนิยมการมีภรรยาเพียงคนเดียว พระองค
จึงทรงตั้งพระราชหฤทัยไววาจะมีมเหสีเพียงพระองคเดียว และไดทรงพระราชนิพนธถึงเรื่องการมีภรรยามากไวในพระราชนิพนธ
เรื่อง เครื่องหมายแหงความรุงเรืองคือสถานภาพแหงสตรี วาถาหากผูชายยังนิยมการมีภรรยามากๆ และสามารถทิ้งขวางไดงายๆ ก็จะ
เปนการยากที่จะทําใหผูหญิงไดรับความเสมอภาคเทาเทียมกับผูชาย (เทพชู ทับทอง, มปป.: 78-80) ในป พ.ศ. 2457 พระองคจึง
โปรดเกลาฯ ใหประกาศกฎมณเฑียรบาลวาดวยครอบครัวแหงขาราชการในพระราชสํานักขึ้น มีขอความที่กําหนดสถานภาพของ
ภรรยาวาหมายถึง “หญิงที่ไดกระทําการแตงงานสมรสตามประเพณีเมือง หรือที่ชายเลี้ยงดูโดยใหอยูรวมเคหสถานและยกยองเชิดชู
โดยเปดเผย เพราะฉะนั้นหามมิใหรับจดทะเบียนหญิงนครโสเภณี หรือหญิงแพศยา หรือหญิงซึ่งชายสมจรดวยเปนครั้งคราวนั้น
93
ครบถวนทุกองคประกอบ แตละบุคคลจึงมีวิธีการจัดการกับความที่ไมสามารถสยบยอมตอกรอบ
แตกตางกันออกไป
สําหรับในบทนี้ ผูเขียนจะแบงการอภิปรายออกเปนสองสวนเพื่อตอบคําถามการวิจัย
ที่ตั้งไว ดังตอไปนี้
1. ผูหญิ งทั้ งสองคนนี้ มี มุมมองในเรื่องเพศอย า งไร สะทอ นให รูปแบบของเรื่องเพศ
ที่ชอบธรรมของสังคมอยางไรบาง
2. ในการดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานนั้น พวกเธอมีการตอรองกับกรอบเรื่องเพศ
ที่ชอบธรรมอยางไรบาง
1. มุมมองตอเรื่องเพศกับกรอบเพศที่ชอบธรรม
ในการเลาเรื่องชีวิตทางเพศนอกการแตงงานของผูหญิงทั้งสองคนนั้น ไดสะทอนใหเห็น
กรอบความคิดหรือความเชื่อในเรื่องเพศของพวกเธอ ที่เชื่อมโยงกับกรอบความเชื่อในเรื่องเพศ
ที่ ช อบธรรมชุ ด หลั ก ของสั ง คมอยู ห ลายประการ โดยสะท อ นผ า นมุ ม มอง วิ ธี คิ ด รวมไปถึ ง
พฤติกรรมการแสดงออกในเรื่องเพศของพวกเธอในลักษณะดังตอไปนี้
การนิยามความหมายเรื่องเพศ
จากเรื่องเลาประสบการณทางเพศของผูหญิงทั้งสองคนนี้ ไดสะทอนใหเห็นถึงความเชื่อ
ความหมายเรื่ อ งเพศของพวกเธอ ที่ ไ ด รั บ อิ ท ธิ พ ลจากระบบเพศวิ ถี ข องสั ง คมที่ กํ า หนดให
การมีเพศสัมพันธเปนรูปแบบของรักตางเพศ (heterosexuality) ซึ่งเกิดขึ้นระหวางหญิงกับชาย และ
เปนการรวมเพศที่มีการสอดใสอวัยวะเพศชายเขาไปในชองคลอดของผูหญิง (vaginal intercourse)
เทานั้น จึงจะถือวาเปนเรื่องเพศในความหมายของพวกเธอ ดังจะเห็นไดจากการที่แมวาพิมจะเคยมี
ประสบการณทางเพศกับรุนพี่ที่เปนผูหญิง แตเธอกลับบอกวาเธอไมนับวานั่นคือการ “เสียตัว”
แมวาจะเปน “ประสบการณทางเพศ” ครั้งแรกของเธอก็ตาม
รวมไปถึงการที่เธอไมเคยตั้งคําถามกับความหมายของคําวาเสียตัวมากอน แตถาจะให
เธอตอบ การเสียตัวในความหมายของพิมก็คือการนอนกับผูชายหรือ “การเอากัน” นั่นเอง ดังนั้น
ถึงแมวาพิมจะเคยมี “ประสบการณทางเพศ” กับผูหญิงมาแลวก็ตาม แตเธอก็ไมไดมองวามันคือ
การมี เ พศสั มพั นธ แ ต อ ย า งใด เช น เดี ย วกับ จู น ที่ เ ธอไม เ คยมี ห รื อคิ ด จะมี ค วามสั ม พัน ธ ท างเพศ
กับผูหญิงดวยกันเลย ก็เปนการสะทอนใหเห็นวาพวกเธอยอมรับกับระบบความเชื่อความหมาย
เรื่องเพศของสังคม ที่กําหนดวาเพศสัมพันธที่ถูกตองชอบธรรมจะมีรูปแบบเปนความสัมพันธ
ที่เกิดขึ้นระหวางเพศตรงขามเทานั้น (Catherine A. MacKinnon, 1995) ซึ่งหากมองแบบแนวคิด
สตรี นิ ย มสายรากเหง า ก็ อ าจจะมองได ว า ความคิ ด ดั ง กล า วเป น ผลผลิ ต ของกลไกในระบบ
ปตาธิปไตยที่ทําใหเกิด “การเปนรักตางเพศภาคบังคับ” (compulsory heterosexuality) ในรูปแบบที่
เปนสถาบัน ดวยการสรางความเชื่อวาทุกคนเปนพวกรักตางเพศโดยกําเนิด ทําใหเรามองไมเห็น
หรือไมยอมรับความสัมพันธทางเพศในรูปแบบอื่นๆ ที่ไมใชความสัมพันธระหวางเพศตรงขาม
ที่ ไ ม ก อ ให เ กิ ด การเจริ ญ พั น ธุ โดยมองว า การมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ เพศเดี ย วกั น เป น เรื่ อ งผิ ด ปกติ
หรือเปนความเจ็บปวยในระดับปจเจกของบุคคลนั้นๆ แทน (Adrienne Rich, 1994: 40)
จากการคลอยตามในความหมายของเรื่องเพศตามระบบความเชื่อความหมายเรื่องเพศ
แบบดั ง กล า ว ทํ า ให พ วกเธอไม ป ฏิ เ สธ “ความสํ า คั ญ ของการมี เ พศสั ม พั น ธ ” ที่ ม าพร อ มกั บ
อุดมการณความรักแบบโรแมนติก ที่ทําใหพวกเธอเชื่อวา การมีเพศสัมพันธกับคนที่เธอรักนั้น
เปนวิถีทางที่จะทําใหไดมาซึ่งความรัก ความผูกพัน ความอบอุนและความมั่นคงในความสัมพันธ
(Shulamith Firestone, 1972: 149) มากกวาที่จะเปนเรื่องของการตอบสนองความตองการทางเพศ
ของรางกาย เชนเดียวกับการตอบสนองความหิวหรือกระหาย (Catherine A. MacKinnon, 1995:
138) และเมื่อ นํามารวมกับความเชื่อในรูปแบบของเรื่องเพศที่ถู กตองชอบธรรม ที่นําเรื่องของ
ความรั กมาเป นองค ป ระกอบสํา คั ญ เพื่ อทํ า ให คนเชื่ อ ว า เพศสั มพั นธ ที่ เ กิ ด จากความรัก เท า นั้ น
จึ ง จะเป น เพศสั ม พั น ธ ที่ มี คุ ณ ภาพและถู ก ต อ ง ทํ า ให เ รื่ อ งเล า ของพวกเธอสะท อ นมุ ม มอง
ที่มีการนําเอาเรื่องของความรักมาเกี่ยวพันกับเรื่องเพศดวยเชนกัน
เรื่องเพศกับความรัก
ในเรื่องเลาของทั้งสองคนนั้น ไดปรากฏรองรอยมายาคติ (myth) ของสังคมที่วา เรื่องเพศ
ที่ดีหรือมีคุณภาพ ตองเกิดจากความรักเทานั้นอยูอยางมากมาย สําหรับพิมนั้น การที่เธอปฏิเสธ
95
เชนเดียวกันกับในกรณีของเธอกับพี่โก ที่ในบางครั้งเธอก็ตองยอมตามความตองการ
ที่จะมี เพศสั มพันธกับเขาทั้ง ๆ ที่เธอไมคอยเต็ มใจนั กเนื่องจากเขาอยูใ นอาการเมา แตเมื่อพี่ โก
หยิ บ ยกเอาเหตุ ผ ลว า การมี เ พศสั ม พั น ธ นี้ จ ะทํ า ให เ ขาไม ไ ปนอนกั บ คนอื่ น ซึ่ ง ก็ ห มายถึ ง
ความสั ม พั นธ ข องเธอกั บ เขาจะยั งมั่ นคงอยู และเธอจะยั ง คงเป น เพี ย งคนรั ก หนึ่ ง เดีย วของเขา
ซึ่งเปนสิ่งที่พิมตองการ ทําใหเธอตองยอมมีเพศสัมพันธกับเขาเพราะเห็นแกผลที่จะเกิดขึ้นตามมา
หลั ง จากนั้ น เช น เดี ย วกั บ การที่ พี่ ต อ หยิ บ ยกเอาเหตุ ผ ลว า เขารั ก เธอ มาเป น เงื่ อ นไขในการ
ขอมีเพศสัมพันธกับเธอในครั้งแรก ทั้งๆ ที่เธอคิดวาตัวเธอเองยังไมพรอม แตเธอก็ตองยอมตาม
เพราะเหตุผลเรื่องของความรักที่เขายกมาอาง การกระทําในลักษณะเชนนี้เปนการสะทอนรูปแบบ
ของเรื่องเพศวิถีที่มีลักษณะของการที่ผูชายเปนฝายครอบงํา (male dominance) และผูหญิงเปนฝาย
ตองสยบยอมตามความตองการ (female submission) (ibid.: 137) โดยมีเงื่อนไขของการตองการ
ความรัก ที่ถูกผูกติดกับการมีเพศสัมพันธเปนขอแลกเปลี่ยน ทําใหเธอเห็นวาถาหากความสัมพันธ
นั้นๆ อาจจะไมสามารถใหสิ่งเหลานี้ตอบแทนกลับมาสูเธอได พิมก็จะพยายามมองหาคนใหม
ที่ เ ธอคิ ด ว า เขาน า จะสามารถมอบความรั ก ความอบอุ น ความมั่ น คงทางใจให กั บ เธอได
เพื่อมาทดแทนความรูสึกจากคนเกาที่ขาดหายไป ไมวาจะเปนการเลิกกับพี่โกเพื่อมาคบกับพี่ตอ
96
การใหนองเอ็มมาเปนตัวชวยในการยุติความสัมพันธกับพี่ตอ และเมื่อคิดวาความสัมพันธของเธอ
กับนองเอ็มไมไดเปนไปตามที่เธอตองการ ยิมจึงกลายเปนตัวชวยที่ทําใหเธอสามารถบอกเลิกกับ
นองเอ็มไดงายขึ้น เปนตน ซึ่งลักษณะดังกลาวของพิมก็อยูในรูปแบบของการใหความสําคัญกับ
การมีเพศสัมพันธกับคนที่ตัวเองรัก เพื่อใหไดมาซึ่งความรักและความรูสึกอื่นๆ ตอบแทนกลับมา
เพื่อทําใหตัวเองมีความสุข
สวนฝายของจูนนั้น จากเรื่องเลาของเธอก็ทําใหเห็นวาประสบการณทางเพศสวนใหญ
ของเธอก็ ส ะท อ นความเชื่อ ในอุ ดมการณ ค วามรั ก แบบโรแมนติ ก ที่ นํ า ไปสู ก ารมี เ พศสั มพั นธ
ที่ตองมีองคประกอบเรื่องความรักดวยเชนเดียวกัน กลาวคือ ตอนที่เธอไดคบหากับโตเปนแฟนและ
มีความสัมพันธทางเพศกับเขา เธอบอกวาเธอไมไดรูสึกผิดเหมือนกับครั้งแรกที่เธอนอนกับแบงค
นั่นเพราะมีความแตกตา งอยูต รงที่ ในขณะนั้นเธอมีสถานภาพเป นแฟนกั บโต และเธอมองวา
การมีความสัมพันธกับคนที่เธอรักในครั้งนั้น ก็เปนไปตามเงื่อนไขของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของ
สังคม ซึ่งแตกตางจากการมีเพศสัมพันธครั้งแรกกับแบงค ที่ทั้งคูเหมือนเปนคนแปลกหนาตอกัน
และทําใหเธอรูสึกผิดอยูในใจลึกๆ เนื่องจากเปนเพศสัมพันธที่ไมไดเกิดขึ้นจากความรัก และไมได
นําไปสูความรัก ความสัมพันธที่มั่นคงนั่นเอง ถึงแมวามันจะเปนการมีเพศสัมพันธเพื่อตอบสนอง
ความอยากรู อ ยากลองของตั ว เธอเอง แต สุ ด ท า ยแล ว ก็ ไ ม ไ ด ทํ า ให เ ธอรู สึ ก ดี ห รื อ มี ค วามสุ ข
ได ทั้ง หมด และกลับแฝงไว ดว ยความรูสึกผิดหรื อความวิตกกังวลกับสิ่งที่ทํา ลงไป หรือกับผล
ที่อาจเกิดขึ้นตามมา เชนเดียวกับการที่จูนไดบอกกับผูเขียนในตอนแรกวาไมอยากเอยถึงเรื่องของโต
เพราะเธอรูสึกวาเหตุการณระหวางเธอกับโตที่เกิดขึ้นภายหลังนั้น เปนเรื่องของการมีเพศสัมพันธ
ที่ไมถูกตองในแงของความรูสึก ที่ถึงแมในตอนแรกเธอตั้งใจจะใหการมีเพศสัมพันธกับเขาเปนแค
การตอบสนองความตองการของตัวเอง ไปจนถึงเพื่อเปนการแกแคนในสิ่งที่เขาเคยทํากับเธอไว
แตสุดทายแลวเธอก็ตองเปนฝายรูสึกผิดในใจเสียเอง เพราะเธอมองวามันเปนการมีเพศสัมพันธ
ที่ไมไดนําไปสูองคประกอบอื่นๆ ที่ถูกตองตามความคิดของเธอเลย ซึ่งแทบจะไมตางจากความรูสึก
ที่เธอมีภายหลังจากการมีเพศสัมพันธกับผูชายคนอื่นที่ไมใชแฟนของเธอ เพราะถึงแมจูนจะบอกวา
ตัวเธอเองสามารถมีเพศสัมพันธกับคนที่ไมไดรักได แตสุดทายแลวในใจของเธอก็ยังมีความรูสึกผิด
เพราะเธอคิดวาเธอไมไดมีเพศสัมพันธกับคนที่เธอรักและรักเธอ แตเปนเพศสัมพันธที่เกิดขึ้นเพื่อ
ตอบสนองความพึงพอใจ ซึ่งเปนเหตุผลที่ไม เพียงพอสํา หรั บผูห ญิ งที่ อยูใ นสัง คมที่อุดมการณ
ความรักแบบโรแมนติกไดกลอมเกลาใหผูหญิงเชื่อวา การมีเพศสัมพันธควรผูกติดอยูกับเรื่องของ
ความรัก ความอบอุน ความมั่นคงทางอารมณและควรเกิดขึ้นกับคนที่เธอรัก [และรักเธอ] เทานั้น
ในขณะที่เพศสัมพันธที่ไมเปนไปตามนี้จะกลายเปนความรูสึกผิดในใจของตัวเอง หรือเปนเรื่อง
ที่ผิดในความคิดของคนในสังคม
97
นอกจากนี้ เรายั ง ไดเ ห็นความเชื่ อ ในเรื่ องของการผูก เรื่อ งเพศไว กับความรั กไดจ าก
ความพยายามของจูน ที่จะทําใหเรื่องเพศกลายเปนที่มาของความรัก ความอบอุน และความมั่นคง
ในความสัมพันธ ดวยการเปนฝายเริ่มตนที่จะทําใหเกิดการมีเพศสัมพันธระหวางตัวเธอกับคนที่เธอ
รู สึ กดี แ ละอยากจะสานสั มพั นธ กั บ เขา โดยไม ต อ งการเป น ฝ า ยรอให ฝ า ยชายเริ่ ม ต นก อ นด ว ย
ยกตัวอยางเชน การที่เธอเปนฝายเอยปากถามนองโอกอนวาอยากมีเพศสัมพันธกับเธอหรือไมนั้น
ก็เปนเพราะเธอรูสึกชอบและประทับใจในตัวของเขามาก และคิดวาการมีเพศสัมพันธกันนาจะ
ทําใหความสัมพันธของพวกเธอพัฒนาไปไดมากขึ้น
“สําหรับนองคนนี้เราคิดไวเลยวายังไงก็คงตองมีอะไรกัน ตั้งแตเริ่มคุยเริ่มไปไหนมา
ไหนกัน เพราะมันคอนขางจะผูกพันกันแลวไง จะถือวาเขาเปนแฟนคนแรกที่คบกัน
ยาวหนอยก็ได”
การเปนฝายเอยถามถึงเรื่องการมีเพศสัมพันธกอนของจูนนั้น หมายถึงการที่เธอไมได
เป น ฝ า ยสยบยอมตามความต อ งการของผู ช ายแต เ พี ย งอย า งเดี ย ว แต เ ธอเป น ฝ า ยเริ่ ม แสดง
ความตองการของตัวเองกอนไดดวย หากแตการเปนฝายเริ่มรุกกอนก็เปนไปตามความคิด ความเชื่อ
ของเธอที่วา การมีเพศสัมพันธกับนองโอในครั้งนี้จะเปนไปเพื่อใหไดมาซึ่งความรัก ความมั่นคง
และความอบอุนใจในความสัมพันธ เพราะถึงแมวานองโอจะมาสารภาพในภายหลังวาตัวเขาเอง
ก็มีแฟนอยูแลว แตจูนก็ไมไดคิดที่จะเลิกคบกับเขาแตอยางใด เพราะเธอยังมองวาความสัมพันธ
ระหวางเธอกับเขายังคงดีอยู และยังสามารถใหในสิ่งที่เธอตองการได เชนเดียวกับการตัดสินใจ
มีเ พศสัมพั นธกั บ นอ งกบหลั ง จากที่ เธอลัง เลอยู พักหนึ่ ง โดยที่ ใ นตอนนั้ นตัว เธอเองก็ ยัง คบหา
เปนแฟนกับอั้มอยู เปนเพราะเธอมองวาการมีเพศสัมพันธกับนองกบซึ่งเปนคนที่แสดงออกวา
ชอบเธอและเธอก็รูสึกชอบเขาดวยแลวนั้น คงจะนํามาซึ่งความรูสึกที่ขาดหายไปจากความสัมพันธ
ระหว า งเธอกับอั้มซึ่ งเป นสิ่ งที่เธอต องการมากกว าในขณะนั้นได แมวา จะตอ งแลกมาดว ยการ
ถูกประณาม หรือถูกตั้งคําถามจากคนรอบขางก็ตาม
โดยเราสามารถมองเห็ นลั ก ษณะของการไม ไ ด เ ป นฝ า ยสยบยอมตามความต อ งการ
ของผูชายเพียงอยางเดียวจากเรื่องของพิมไดดวยเชนกัน จากกรณีของเธอกับนองเอ็มที่เธอเปนฝาย
ริ เ ริ่ ม ในการมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ เขาก อ น ทั้ ง ๆ ที่ กั บ ผู ช ายคนที่ ผ า นๆ มาเธอจะเป น ฝ า ยยอมตาม
ความต อ งการของพวกเขาแทบทั้ ง สิ้ น แต เ พราะในครั้ ง นี้ อาจจะเป นด ว ยเหตุ ผลที่ เ ธอตอ งการ
ออกจากความสัมพันธที่ไมดีระหวางเธอกับพี่ตอ เธอจึงตองมองหาคนที่จะมาทดแทนความรูสึก
ตรงนี้ และเมื่อเธอคิดวานองเอ็มจะเปนคนที่สามารถเขามาแทนตรงสวนนี้ได เธอจึงเปนฝายเริ่มตน
98
“ถ า ไม ย อมแสดงว า ไม รั ก กั น จริ ง ” “เป น เรื่ อ งธรรมดาที่ ค นรั ก กั น จะมี อ ะไรกั น ” หรื อ “ใครๆ
ก็ทําแบบนี้กันทั้งนั้น” ฯลฯ ที่ผูชายมักนํามาใชควบคุมใหผูหญิงยอมตามความตองการ และทําให
ผูหญิงคิดวาการยอมตามนั้นไมเปนไร เพราะทําลงไปดวยความรัก และผูหญิงอาจกลัววาถาหาก
ปฏิเสธความตองการของผูชายอาจทํา ใหเกิดผลหลายอยาง เชนถูกทิ้งหรือถูกทําร ายได (Diane
Richardson, 1997: 162) นอกจากนี้ การยอมตามความต อ งการของผู ช ายกลั บ ยิ่ ง ทํ า ให ผู ห ญิ ง
หลายคนรู สึ ก ไม มั่ น คงมากขึ้ น เพราะด ว ยกรอบความเชื่ อ ของสั ง คมไทยที่ ม องว า ผู ห ญิ ง
ไมควรเกี่ยวของกับเรื่องเพศ ทําใหผูหญิงที่ละเมิดตอเรื่องดังกลาวดวยความเชื่อมั่นในตัวผูชายและ
ในความรั ก ที่ ตั ว เองมี จ ะรู สึ ก ว า ตั ว เองโดดเดี่ ย ว และรู สึ ก ว า ตั ว ตนของตั ว เองขึ้ น อยู กั บ ผู ช าย
อั นเป นที่ รั กเพี ย งคนเดี ย วเท า นั้ น เป น ผลให ถ า หากว า เกิ ด ความเปลี่ ย นแปลงในความสั มพั น ธ
จะทําใหผูหญิงเปนฝายตองรองรับความเจ็บปวดและโทษตัวเองมากกวา (นันดา วีรวิทยานุกูล,
2544: 348) และการกําหนดความสัมพันธที่ผูกเรื่องของการมีเพศสัมพันธกับความรักเขาไวดวยกัน
ยั ง ทํ า ให ผู ห ญิ ง ไม ส ามารถปฏิ เ สธการมี เ พศสั ม พั น ธ ที่ ไ ม ต อ งการจากคนรั ก ได เพราะคิ ด ว า
นั่นเปนสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความรัก และตัวเองตองยอมเพราะกลัวสูญเสียความรักไป รวมไปถึง
สังคมภายนอกก็ยังมีการกํากับความคิดแบบนี้ของทั้งผูหญิงและผูชายดวยวา ความสัมพันธทางเพศ
ที่เกิดขึ้ นระหวา งคนที่รักกันนั้นเปนความสัมพันธ ที่ดีและมีคุณภาพ ผานการผลิ ตซ้ํา จากสั งคม
ในรูปแบบตางๆ จนกลายเปนการตอกย้ําชุดความเชื่อหรือมายาคตินี้ใหคนเชื่อตามอยางหนักแนน
มากยิ่งขึ้น โดยไมมีการตั้งคําถามวาตองเปนเชนนี้จริงหรือไม
เรื่องเพศและการแตงงาน
จากเรื่องเลาของผูใหขอมูลทั้งสองคนแสดงใหเห็นวา พวกเธอตางก็ยอมรับวาจริงๆ แลว
ตัวเองก็อยากมีชีวิตทางเพศที่ถูกตองตามกรอบความเชื่อของสังคม ไมวาจะเปนการมีครอบครัว
หรือมีลูก ซึ่งถูกทําใหเชื่อวาเปนสิ่งที่จะเกิดขึ้นไดภายใตการแตงงานเทานั้น ทั้งนี้ เพราะสังคมยังคง
มองวา “การแตงงานเปนหนทางที่ถูกตองของการมีลูกและเพศสัมพันธ” (กําจร หลุยยะพงศ, 2544:
170) เพราะถึงแมพวกเธอจะมีการดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานมาแลวหลายตอหลายครั้ง
แตที่สุดแลวพวกเธอก็ยังคงเผชิญกับความรูสึกผิด และตองการที่จะกลับเขาไปสูแนวทางความเชื่อ
ของสังคม คือการเขาสูการแตงงานอยูดี ถาหากพวกเธออยูในสถานะที่มีความพรอม ซึ่งหมายถึง
ความพรอมในดานคุณสมบัติของคนที่พวกเธอจะเลือกใหมาเปนคูชีวิต หรือความพรอมทางดาน
เศรษฐกิจของตัวเองและคู
อยางเชนในตอนที่พิมคบกับพี่ตอ แมกอนหนานั้นเธอจะมองวา เธออาจจะไมไดคาดหวัง
กับเรื่อ งอนาคตของตั วเองมากนั ก แต เธอก็ ไม ไดคบกับ ผู ช ายแต ละคนแบบเลนๆ เชนเดี ยวกัน
100
แตเพราะผูชายเหลานั้นก็ไมไดพิสูจนใหเธอเห็นวา พวกเขามีคุณสมบัติที่เธอพอจะฝากชีวิตไว
ด ว ยได ในขณะที่ พี่ ต อ เป น คนแรกที่ ทํ า ให เ ธอรู สึ ก อยากจะมี ชี วิ ต ครอบครั ว ด ว ยเป น คนแรก
เพราะเขามีคุณสมบัติที่พรอมทุกอยางตามที่เธอตองการ จนทําใหเธอรูสึกอยากจะมีครอบครัวกับเขา
“พี่ตอเขาก็ดูเหมือนวาพึ่งพาอาศัยไดหรือฝากชีวิตไวดวยได แลวเขาก็พูดกับเราตั้งแต
แรกเลยวา ‘รักเรานะ...อยากจะมีชีวิตครอบครัวกับเรา’ เราก็เลยตองคิดไปวาดีเชียว
เราถึงกับพูดวา ‘เราจะมีลูกสาวใหเขานะ’ เพราะพี่เขามีลูกชายมาแลว เขาก็อยากจะมี
ลูกผูหญิง”
แสดงใหเห็นวา ตัวเธอเองก็ยอมรับวาการมีชีวิตครอบครัวในรูปแบบของพอแมลูกนั้น
เปนสิ่งที่เธอตองการเชนเดียวกัน ซึ่งผูเขียนเคยถามพิมวาเธอมองการแตงงานวาอยางไร เธอตอบวา
การแต ง งานเป น หนทางที่ จ ะทํ า ให เ ธอสามารถมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศกั บ คนที่ เ ธอรั ก
ไดอยางถูกตองชอบธรรม โดยที่แมของเธอจะไดสบายใจ เชนเดียวกับที่จูนเองก็มองวาการแตงงาน
ไมใชเรื่องของคนสองคนเทานั้น แตยังเกี่ยวพันกับครอบครัวของทั้งสองฝายดวย และเปนเรื่องของ
ชื่ อ เสี ย งหน า ตาของพ อ แม ข องเธอด ว ย เพราะอย า งไรเสี ย เธอคิ ด ว า สั ง คมก็ ยั ง ให คุ ณ ค า ว า
การแตงงานคือการรองรับสถานะของการมีเพศสัมพันธที่ถูกตองชอบธรรม
“แตเราก็คิดเหมือนกันนะวาการที่เราคิดวามันเปนแคการมาใชชีวิตรวมกันเฉยๆ แบบนี้
แล ว พ อ แม เ ราล ะ จะคิ ด ยั ง ไง คื อ การแต ง งานมั น ไม ใ ช แ ค เ รื่ อ งของคนสองคนแล ว
มันเปนเรื่องของครอบครัวทั้งสองครอบครัวเลย มันเปนเรื่องใหญนะ”
การยอมรับความถูกตองชอบธรรมของเรื่องเพศในการแตงงาน ยังสงผลตอการพยายาม
ควบคุมการเจริญพันธุของตัวเองไมใหเกิดขึ้นกอนการแตงงานอีกดวย เพราะพวกเธอมองประเด็น
เรื่ องการทองกอ นแต งวา หมายถึ ง “การตายทางสั งคม” (social death) ของผูหญิ งที่ ทํา ผิดพลาด
หรื อ ไม รู จักป องกั น ซึ่ ง หมายถึ ง การสู ญ เสีย คุ ณค า ทุก สิ่ ง ในชี วิ ต และเป น การกระทํา ที่ สมควร
โดนลงโทษ เนื่องจากเปนการกระทําของผูหญิงที่กาวขามผานเสนเพศวิถีของสังคม (Naomi Wolf,
1997: 64) และนอกจากตัวของผูหญิงเองจะโดนลงโทษแลว ยังสงผลถึงชื่อเสียงและความรูสึกของ
ผูเปนพอแมอีกดวย การคํานึงถึงชื่อเสียง ความรูสึกของพอแม/แม รวมถึงตัวอยางที่พบเห็นจาก
ชีวิตจริงรอบๆ ตัว เชนการที่จูนเห็นการลงโทษดวยการไลเพื่อนนักเรียนที่ตั้งทองออกจากโรงเรียน
หรือที่พิมเห็นตัวอยางจากญาติของเธอซึ่งตั้งทองตั้งแตอายุ 14 ป และเธอมองวานั่นเปนผลของ
101
การกระทํ า ที่ ไ ม รู จั ก ระมั ด ระวั ง หรื อ ป อ งกั น ตั ว เองให ดี ทํ า ให พ วกเธอพยายามระมั ดระวั ง ตั ว
ในเรื่องนี้คอนขางมาก เพราะตางก็ตระหนักดีวาการมีเพศสัมพันธนั้นสามารถนําไปสูการเจริญพันธุ
ได และถาหากมันเกิดขึ้นในชวงเวลาที่ไมเหมาะสมก็จะทําใหเกิดปญหากับพวกเธอได
ถึง แมวา โดยสว นตั ว แลวพวกเธอมองวา เพีย งแค การใชชีวิตร วมกันฉั นท สามี ภรรยา
โดยไมไดแตงงานก็อาจจะเพียงพอแลว แตดวยการกําหนดของสังคมที่ทําใหการแตงงานในรูปแบบ
ของพิธีกรรมและกฎหมายเปนการรองรับการมีความสัมพันธทางเพศที่ถูกตองชอบธรรม และ
เพื่อทําใหพอกับแมสบายใจ จนทําใหบางครั้ง พวกเธอก็เกิดความวิตกกังวลในสถานภาพของตัวเอง
วาจะเปนอยางไรถาหากผูชายไมยอมแตงงานดวย เหตุการณแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับผูหญิงไทย
อีกหลายตอหลายคน ที่โดยสวนตัวแลวก็ไมไดเห็นดวยกับการแตงงาน แตจําเปนตองแตงเพื่อทําให
พ อ แม ส บายใจ เพื่ อ ให สั ง คมยอมรั บ หรื อ เพื่ อ ให ไ ด สิ ท ธิ ต ามที่ ก ฎหมายกํ า หนด โดยสั ง คม
มีฐานคิดในเรื่องความไดเปรียบ-เสียเปรียบในเรื่องเพศ เปนตัวกํากับความคิดของผูคนอีกชั้นหนึ่ง
ทําใหผูหญิงเปนฝายที่ตองเรียกรองในความสัมพันธใหมีการแตงงาน ดวยเหตุผลเพื่อตองการรักษา
ชื่อเสียงของพอแมและวงศตระกูลถา หากผานการมีเพศสัมพันธรวมกันมาแลว ในขณะที่ผูชาย
กลับเปนฝายที่สามารถเลือกไดมากกวา วาจะรับผิดชอบกับเพศสัมพันธที่เกิดขึ้นหรือไม เพราะ
กรอบเพศที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงานนั้น ไมไดเครงครัดกับเรื่องของการมีเพศสัมพันธ
ของผู ช ายมากเท า กั บ ของผู ห ญิ ง กล า วคื อ ผู ช ายไม จํ า เป น ต อ งรั ก ษาความบริ สุ ท ธิ์ ไ ว จ นกว า
จะแต ง งาน แต ก ลั บ จะเป น การดี ม ากกว า หากผู ช ายได มี ป ระสบการณ ท างเพศก อ นแต ง งาน
ทั้ งในเชิง ขนบธรรมเนี ยมหรือกฎหมาย ที่เ อื้อ อํ า นวยให ผูช ายสามารถมีป ระสบการณท างเพศ
นอกการแต ง งานได ม ากกว า ผู ห ญิ ง โดยไม ถู ก จั ด เป น เรื่ อ งผิ ด บาปแต อ ย า งใด (ชลิ ด าภรณ
สงสัมพันธ, 2549: 102) และความเชื่อในเรื่องดังกลาวสงผลใหผูใหขอมูลทั้งสองคน ซึ่งมีรูปแบบ
ของพฤติกรรมทางเพศนอกกรอบที่สังคมยอมรับ เกิดความรูสึกวาตัวเองไดทําในสิ่งที่ผิดตอกรอบ
ดังกลาวไปแลว จึงพยายามที่จะกํากับหรือทําใหความสัมพันธนอกการแตงงานของตัวเอง มีรูปแบบ
ที่สอดคลองกับรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมใหมากที่สุด อยางเชนการมีเพศสัมพันธดวยเหตุผล
ของความรักและเพื่อความรัก หรือความพยายามที่จะประคับประคองใหความสัมพันธของพวกเธอ
อยูในรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว เฉกเชนรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมที่อยูภายใตการแตงงาน
เพื่ อทํา ใหค วามสั มพันธ นอกการแตง งานของพวกเธอสอดคล อง หรื อเปนไปตามรูปแบบของ
เรื่องเพศที่ยอมรับไดใหมากที่สุด
102
เรื่องเพศและความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว
ในรู ป แบบความสั ม พั น ธ ร ะหว า งคนที่ มี ค วามรั ก ต อ กั น เรื่ อ งของ “ความซื่ อ สั ต ย ”
ดู เ หมื อ นจะเป น คุ ณ สมบั ติ ที่ ทุ ก คู รั ก ต อ งการให คู ข องตนยึ ด ถื อ ความซื่ อ สั ต ย ใ นที่ นี้ ห มายถึ ง
ความรั ก เดี ย วใจเดี ย ว หรื อ การมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ บุ ค คลที่ เ ป น คู ข องเราเท า นั้ น โดยไม ไ ปมี
ความสัมพันธเชิงซอนกับบุคคลอื่น ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อวาความซื่อสัตยหรือความรักเดียวใจเดียว
สามารถรับประกันถึงความมั่นคงทางดานอารมณ ความมั่นคงในความสัมพั นธได โดยเฉพาะ
ในความสัมพันธภายใตการแตงงาน รูปแบบของความสัมพันธแบบผัวเดียว [เมียเดียว] นั้น สามารถ
ทําใหเกิดความมั่นใจในดานการสืบสายโลหิตของลูก ซึ่งเกี่ยวพันกับการสืบทอดมรดกอีกดวย
(Friedrich Engels, 1978 cited in Valerie Bryson, 1992: 70)
จากเรื่องเลาของทั้งพิมและจูนตางก็แสดงใหเห็นวา พวกเธอเองก็ยึดถือในประเด็นของ
ความสัมพันธแบบเฉพาะคู หรือแบบผัวเดียวเมียเดียวเชนเดียวกัน แมวาประสบการณของพวกเธอ
จะเป น ความสั ม พั น ธ ที่ ยั ง ไม ไ ด อ ยู ใ นการแต ง งาน แต พ วกเธอก็ พ ยายามรั ก ษาความสั ม พั น ธ
ของตั ว เองให อยู ใ นรู ป แบบดั ง กล า ว อย า งไรก็ ต าม การให นิย ามความหมายกั บ ความสั มพั นธ
แบบเฉพาะคู หรือผัวเดียวเมียเดียวของพวกเธอนั้นมีความนาสนใจเปนอยางยิ่ง เพราะมันไมได
หมายความถึงในเชิงพฤติกรรม หรือการแสดงออกทางกายแตเพียงอยางเดียว แตพวกเธอทั้งคู
จะเนนที่เรื่องของอารมณ ความรูสึกที่มีใหกับคนรักของพวกเธอมากกวา ซึ่งเปนประเด็นที่นํามาใช
ตัดสินเรื่องของความซื่อสัตย หรือการนอกใจคนรักของตัวพวกเธอเอง
สํ า หรั บ พิ ม นั้ น ในตอนเริ่ ม แรกของเรื่ อ งเล า เธอได แ สดงให เ ห็ น ถึ ง การไม เ ห็ น ด ว ย
ที่พอของเธอแยกไปมีครอบครัวใหม เนื่องจากเธอมองวาเปนสาเหตุที่ทําใหครอบครัวของเธอ
แตกราว และเปนการทํารายความรูสึกของทุกคนที่บาน ทําใหหลังจากนั้นเมื่อเธอไดมีความสัมพันธ
กั บ คนรั ก ของเธอ พิ ม ก็ แ สดงให เ ห็ น ว า ตั ว เธอเป น คนที่ ค อ นข า งยึ ด มั่ น กั บ ความสั ม พั น ธ แ บบ
ผัวเดียวเมียเดียว และพยายามที่จะรักษาความสัมพันธใหอยูในรูปแบบดังกลาวไว ทั้งโดยตัวเธอเอง
และคนรั ก ของเธอด ว ย ตั้ ง แต ก อ นที่ จ ะเริ่ ม มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ ใคร เธอจะมองว า ตั ว เองหรื อ
อีกฝายหนึ่งอยูในสถานะแบบใด ยังโสดหรือกําลังมีแฟนอยู ซึ่งถาหากจะเริ่มตนความสัมพันธ
นั้ น ได เธอก็ ข อให ทั้ ง ตั ว เองและอี ก ฝ า ยมี ส ถานภาพโสดเสี ย ก อ น เพราะเธอไม อ ยากอยู
ในความสัมพันธซอน หรือระหวางที่อยูในความสัมพันธเธอก็จะพยายามทําใหเปนความสัมพันธ
ในรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งเธอจะรูสึกทนไมไดถาหากวามีบางสิ่งที่มากระทบกับความสัมพันธ
ของเธอ ซึ่งอาจจะเปนสาเหตุที่ทําใหเกิดความเปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอยางเชนการที่ทั้งพี่หนึ่งและ
พี่โกตางใชขออางวาจะไปมีผูหญิงคนอื่นถาเธอไมยอมมีเพศสัมพันธดวย มาใชในการตอรองกับเธอ
ทําใหพิมซึ่งเปนคนที่ยึดมั่นตอกรอบดังกลาวอยูแลวไมสามารถนิ่งเฉยอยูได และตองยอมตาม
103
นอกจากนี้ ถาหากพิมคิดวาตัวเองกําลังมีความสัมพันธเชิงซอนที่ไมเปนไปตามที่สังคม
กําหนดแลว เธอก็จะรูสึกวาตัวเองกําลังทําผิดหรือรูสึกไมดี และเปนผลใหตองดําเนินชีวิตทางเพศ
แบบแอบซ อ น อย า งเช น ในกรณี ข องการเริ่ ม ความสั ม พั น ธ กั บ ยิ ม ที่ แ ม ว า โดยส ว นตั ว แล ว
เธอจะไม ไ ด มี ค วามรู สึ ก กั บ น อ งเอ็ ม ซึ่ ง เป น คนรั ก ก อ นหน า นี้ ข องเธอแล ว ก็ ต ามในขณะที่ มี
ความสัมพันธกับยิม เพราะเธอมักจะใชความรูสึกของตัวเองมาเปนตัวตัดสินพฤติกรรมของตัวเองวา
กําลังทําในสิ่งที่เรียกวาการนอกใจอยูหรือไม ซึ่งถาหากเธอคิดวาเธอไมไดรัก หรือรูสึกดีกับผูชาย
คนหนึ่งแลว เธอก็คิดวาการไปมีความสัมพันธกับผูชายอีกคนหนึ่งในเวลาเดียวกันไมใชเรื่องผิด
เพราะถือวาเธอหมดใจกับคนเกาไปแลว แตดวยความที่กรอบความเชื่อของสังคมมักจะตัดสินเรื่องนี้
ดวยพฤติกรรมของคน มากกวาจะดูที่ความรูสึก จึงทําใหเธอคิดวาตัวเองไดละเมิดกรอบความเชื่อ
เรื่ อ งผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย วหรื อ ความซื่ อ สั ต ย อ ยู เ ช น กั น จนทํ า ให เ ธอต อ งรู สึ ก ผิ ด และต อ งพยายาม
หลบซอนความสัมพันธซอนนี้ไวในชวงแรกอยางที่ไดกลาวไปแลว
เช นเดียวกั นกับ จู น ที่มัก จะนํ า เอาเรื่ องของความรู สึ กของตัว เองมาตั ดสิ นพฤติ กรรม
การนอกใจของตัวเอง วาถึงแมเธอจะมีความสัมพันธทางเพศกับผูชายคนอื่นนอกเหนือจากคนรัก
ของเธอ แตถา หากวาเธอไมไดคิดอะไรกับผูช ายคนอื่ นนั้น เธอก็ ไมคิดวาเธอกําลังนอกใจหรือ
ไมซื่อสัตยกับแฟนของเธอ และไมคิดวาสิ่งที่เธอทําจะสงผลกระทบตอความสัมพันธของเธอดวย
104
แตเมื่อใดก็ตามที่เธอรูสึกวาตัวเองกําลังมีใจใหกับทั้งสองคน เธอจะหาทางจัดการกับความรูสึก
ดั ง กล า ว เพราะเธอก็ ไ ม อ ยากอยู ใ นสภาวะของความสั ม พั น ธ ซ อ น เนื่ อ งจากที่ จ ริ ง แล ว จู น ก็ มี
ความเชื่ อ มั่ น ในความสั มพั นธ แ บบผั ว เดีย วเมี ย เดี ย วเช น เดี ย วกั น ว า จะนํ า มาซึ่ งความมั่ นคงได
ทําใหเธอเองก็พยายามที่จะซื่อสัตยกับคนรักของเธอ โดยพยายามที่จะมีความสัมพันธกับคนที่เธอรัก
ที ล ะคนเท า นั้ น ซึ่ ง ความคิ ด ดั ง กล า วสะท อ นผ า นเรื่ อ งเล า ของเธอ ไม ว า จะเป น ความต อ งการ
ที่อยากจะสะสางความรูสึกกับคนเกาใหเรียบรอยกอนที่จะไปเริ่มตนกับคนใหม อยางเชนการที่เธอ
ตองการอยากบอกเลิกกับนองโอใหเรียบรอยกอนที่จะไปคบกับอั้ม เปนตน
“เราก็เริ่มอยากจะจริงจังกับใครซักคนแลว เพราะยังไงกับนองคนนี้ก็ไมมีทางเปนไปได
อยูแ ล ว ในเมื่ อเขาก็ยัง คบกั บแฟนเขาอยูแ ล ว จะใหเราไปบอกว า ให เ ขาเลิกกั บแฟน
มาเปนแฟนเรา เราก็ไมทําหรอก แลวถาเราจะเริ่มจริงจังหรือเปนแฟนกับผูชายคนนี้แลว
เราก็คิดวาเราควรจะตองซื่อสัตยกับเขากอน ตองเคลียรปญหาตัวเองใหเรียบรอยกอน
ไมใชวาจะยังเปนชูกันอยูร่ําไปแบบนี้ คือมันไมเหมือนกับคนอื่นที่มีอะไรกันแลวจบ
แตมันมีเรื่องความสัมพันธทางใจดวยไง”
หรื อ ในตอนที่ เ ธอมี ค วามสั ม พั น ธ ซ อ นกั บ น อ งกบ ระหว า งที่ ยั ง เป น แฟนกั บ อั้ ม อยู
ซึ่งหมายถึงการมีความสัมพันธภายใตความรูสึกดีที่มีใหกับคนทั้งคู เธอเองก็รูสึกผิดและรูสึกไมดี
ทั้งโดยความรูสึกสวนตัวที่คิดวาเธอไดทําผิดตออั้ม และจากแรงกดดันของคนรอบขางที่ทําใหเธอ
ตองตระหนักถึงกรอบความเชื่อในเรื่องดังกลาววาเธอกําลังทําสิ่งที่ผิดอยู เพราะถือเปนการนอกใจ
ทั้ ง ในด า นของความรู สึ ก และทางร า งกาย ซึ่ ง เป น เรื่ อ งที่ ไ ม ถู ก ต อ งในความรู สึ ก ของเธอเอง
ซึ่งถาหากจะพิจารณาดูใหดีแลวจะพบวา ความเชื่อของสังคมดังกลาวไดบีบใหคนพยายามรักษา
ความสัมพันธไวกับคนเพียงคนเดียว โดยที่ไมไดตั้งคําถามหรือเปดพื้นที่ใหกับความเปลี่ยนแปลง
ที่อาจจะเกิดขึ้นในความสัมพันธนั้น และอาจจะทําใหคนที่อยูในความสัมพันธนั้นทนไมได หรือ
ไมตองการทน หรืออาจกลายเปนเหตุการณการใชความรุนแรงในความสัมพันธได อีกทั้งความเชื่อ
ดังกลาวยังไมเปดโอกาสใหคนมีทางเลือกกับความสัมพันธแบบนี้มากนัก นอกจากการแสดงออก
ใหเห็นวาตัวเองพรอมที่จะกลับเขาไปสูกรอบดังกลาว เพื่อใหไดรับการยอมรับจากสังคมตอไป
เหมื อ นอย า งที่ จู น ประกาศตั ว กั บ เพื่ อ นร ว มงานของเธอ ว า จริ ง ๆ แล ว เธอก็ ยั ง อยู ใ นรู ป แบบ
ความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียวอยู หรือไมก็เลือกทางที่ตองโดนประณามจากสังคมภายนอก
และสงผลตอความรูสึกผิดของตัวเอง อยางเชนการตัดสินใจมีความสัมพันธซอ นตอไป
105
จะเห็นไดวา เรื่องเลาประสบการณทางเพศนอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคน
ตางก็ไดสะทอ นมุมมอง หรือความเขาใจที่มีตอเรื่องเพศที่ถูกตองของสังคม วา มีองคประกอบ
อะไรบ าง ดวยความพยายามที่จะทําตาม หรือทํา ใหสอดคลองกับกรอบของสังคมใหมากที่สุด
เพราะเชื่อวาเรื่องเพศในรูปแบบดังกลาวเปนสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติ แมวาเรื่องเพศของพวกเธอ
จะไม ไ ด เ ป น เรื่ อ งเพศที่ เ กิ ด ขึ้ น ภายใต ก ารแต ง งานก็ ต าม ซึ่ ง เป น อิ ท ธิ พ ลของกรอบเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรม ที่ทํางานกํากับความคิด รวมถึงพฤติกรรมในเรื่องเพศของผูคนในสังคมอยางแนบเนียน
โดยที่ เ ราอาจจะยั ง ไม ทั น ได ต ระหนั ก หรื อ ตั้ ง คํ า ถามกั บ มั น ซึ่ ง อิ ท ธิ พ ลของกรอบดั ง กล า ว
ไดถูกสะทอนผานเรื่องเลาประสบการณทางเพศของพวกเธอในรูปแบบตางๆ ไมวาจะเปนรองรอย
ความเชื่อของพวกเธอที่มีตอนิยามเรื่องเพศของสังคม ที่กําหนดใหเรื่องเพศหมายถึงการสอดใส
อวัยวะเพศชายเขาไปในชองคลอดเทานั้น ทําใหพวกเธอมองไมเห็นรูปแบบของความสัมพันธ
ระหวางเพศเดียวกัน ซึ่งความเชื่อดังกลาวสงผลใหมองตอไปอีกวา การมีเพศสัมพันธกับผูชายนั้น
เป น หนทางที่ จ ะทํ า ให ไ ด ม าซึ่ ง ความรั ก ความอบอุ น และความมั่ น คงทางจิ ต ใจ โดยมองว า
การมีเพศสัมพันธเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตัวเองเพียงอยา งเดียวนั้น เปนรูปแบบของ
เพศวิ ถี ที่ ผิ ด จากการที่ พ วกเธอจะมี ค วามรู สึ ก ผิ ด หรื อ รู สึ ก ไม ดี ภ ายหลั ง จากมี เ พศสั ม พั น ธ
กับคนที่ไมไดเปนคนรักของตัวเอง หรือไมมีความสุขกับเพศสัมพันธในรูปแบบดังกลาวมากเทากับ
การไดมีความสัมพันธกับคนที่ตัวเองรัก นอกจากนี้ การผูกเรื่องของการมีเพศสัมพันธไวกับความรัก
ซึ่งเปนสิ่งที่พวกเธอใหความสําคัญ ยังสงผลตอมุมมองในเรื่องการแตงงานของพวกเธอ ที่ถึงแม
โดยสวนตัวแลวพวกเธอจะมองวาตัวเองไมจําเปนตองแตงงานก็ได แคการใชชีวิตรวมกับคนรัก
ก็เพียงพอแลว แตในเมื่อสังคมกําหนดวาการแตงงานนั้นคือวิถีทางที่ถูกตองของการมีเพศสัมพันธ
กั บ คนรั ก และการมี เ พศสั ม พั น ธ ภ ายใต ก ารแต ง งานเท า นั้ นที่ สั ง คมให ก ารยอมรั บ รวมไปถึ ง
เปนเงื่อนไขของการเจริญพันธุดวย ความเชื่อในเรื่องดังกลาวจึงเปนเหตุผลใหพวกเธอพยายาม
ระมั ดระวั งไมใหการมี เพศสัมพันธนอกการแตงงานของตัวเองนํา ไปสูการตั้งครรภ เพื่อไมให
เกิดปญหากับตัวเองและครอบครัว และหากวาถึงจุดที่คิดวาตัวเองมีความพรอม พวกเธอก็คงจะ
เลือกเขาสูการแตงงานเชนเดียวกัน แต ณ สถานการณปจจุบันที่การแตงงานยังเปนเรื่องที่ไกลตัว
และพวกเธอยังคงดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานอยู สิ่งที่พวกเธอทําในขณะนี้คือ การกํากับ
ให ค วามสั มพั นธ ข องตั ว เองมี ค วามสอดคล อ งกั บ รู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คม
ด ว ยการทํ า ให รู ป แบบของความสั ม พั น ธ เ ป น แบบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย ว ทั้ ง เพื่ อ ให เ กิ ด ความมั่ น คง
ในความสัมพันธ และเพื่อใหเกิดการยอมรับจากคนรอบขาง จึงทําใหกลาวไดวา การเลาเรื่องเพศ
นอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคน ตางก็สะทอนมุมมองที่ไดรับอิทธิพลจากกรอบเรื่องเพศ
106
2. การตอรองกับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม
จากมุมมองในเรื่องเพศของผูใหขอมูลทั้งสองคนทําใหเห็นวา พวกเธอเองก็มีความเชื่อ
และพยายามดํ า เนิ น ชี วิ ต ทางเพศนอกการแต ง งานของตนให ส อดคล อ งกั บ กรอบเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรมของสังคมใหมากที่สุด ดวยการยึดเอาองคประกอบตางๆ ของกรอบเพศที่ชอบธรรม
มาใชเปนเหตุผลใหกับการกระทําของตัวเอง แสดงใหเห็นถึงอิทธิพลของกรอบที่ทํางานกํากับ
ความเชื่ อ ของผู ค นในสั ง คมอย า งแนบเนี ย น ซึ่ ง ถึ ง แม เ รื่ อ งเพศของพวกเธอจะมี ลั ก ษณะตาม
องคประกอบของเรื่องเพศที่ชอบธรรม แตพวกเธอก็ยังรูสึกวาตัวเองไดละเมิดแนวทางที่ถูกตองของ
การมี เ พศสั ม พั น ธ อ ยู ดี เพราะการกระทํ า ของพวกเธอขั ด แย ง กั บ ความต อ งการของพ อ แม / แม
ที่ทําหนาที่เหมือนเปนสัญลักษณ หรือตัวแทนของกรอบของสังคมไทย ที่พยายามจํากัดเรื่องเพศ
ของผู ห ญิ ง ไว ใ ห เ กิ ด ขึ้ น ภายใต ก ารแต ง งานเท า นั้ น ปฏิ บั ติ ก ารต อ รองกั บ กรอบดั ง กล า ว
จึงเกิดขึ้น
อาจกลาวไดวาพอแมหรือแมของผูใหขอมูลทั้งคูมีอิทธิพลอยางยิ่งตอการกํากับ ควบคุม
ความคิด และพฤติกรรมของพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องเพศกอนแตงงานเปนอยางมาก ไมวาจะเปน
เรื่องของการปลูกฝงความคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศ ที่ทําใหเห็นวาเรื่องเพศเปนเรื่องอันตราย ไมควร
เข า ไปเกี่ ย วข อ งก อ นวั ย อั น ควร อย า งเช น การที่ พิ ม ถู ก พ อ ตี และการเห็ น แม ร อ งไห ต อนที่ เ ธอ
มีความสัมพันธกับญาติในวัยเด็ก หรือการลงโทษลูกพี่ลูกนองโดยพอของจูน การพูดถึงประเด็น
ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ไดพบเห็นในชีวิตประจําวันไปในทิศทางลบ ตลอดจนการที่พวกทานเอยปาก
พู ด กั บ พวกเธอ เกี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ ตั ว ในเรื่ อ งเพศโดยตรง ปฏิ กิ ริ ย าเหล า นี้ ข องพ อ กั บ แม / แม
สงผลใหพวกเธอเองก็มองเรื่องเพศไปในทิศทางดังกลาวดวยเชนกัน และพยายามกํากับใหตัวเอง
ทําตามในสิ่งที่พวกทานตองการใหมากที่สุด แตเมื่อพวกเธอไมสามารถทําตามกรอบของสังคม
ที่อยูในรูปแบบของความตองการของพวกทานได จากการไปมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน กลไก
ดั ง กล า วก็ ส ง ผลกลายเป น ความรู สึ ก ผิ ด ที่ ไ ด ล ะเมิ ด กรอบทางสั ง คม ที่ อ ยู ใ นรู ป แบบของ
ความตองการของพอแม/แมไป และทําใหตองหาวิธีการที่คิดวาจะทําใหพวกทานไมทราบเรื่องนี้
หรือทําใหทราบนอยที่สุด การทํางานของกรอบดังกลาวเขมแข็งมาก เพราะถึงแมวาในบางครั้ง
พวกเธอจะไมไดอยูใกลตัวพวกทาน แตพวกเธอก็จะคิดถึงความรูสึก หรือคําพูดของพอกับแม/แม
อยูตลอดเวลา วาพวกทานตองการอะไร ซึ่งเปนรูปแบบของกลไกการควบคุมในระดับจิตใจ และ
107
การใหความสําคัญกับการมีเพศสัมพันธ
ความรูสึกของพิมเมื่อเสียความบริสุทธิ์ไปแลวก็เหมือนกับตัวเองมีความเปลี่ยนแปลง
ในแงของความรูสึกที่คิดวาไมมีอะไรใหยึดเหนี่ยวอีกตอไป พิมจึงมองวาการจะมีอะไรกับผูชายที่
ตัวเองรักในครั้งตอๆ มาทําไดงายกวาครั้งแรก เพราะไมตองกังวลกับเรื่องการรักษาความบริสุทธิ์
ของตัวเองอีก ซึ่งเธอคิดวาคนที่มองวาความบริสุทธิ์ของเธอเปนสิ่งสําคัญก็คือแม ดังนั้น เธอจึง
ไมบอกใหแมรูเรื่องนี้เพื่อใหแมเขาใจวาเธอยังคงเปนสาวบริสุทธิ์ตามที่แมตองการอยากใหเธอ
109
การใหความสําคัญกับความพึงพอใจที่มีตอกัน
การมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ รุ น พี่ ผู ห ญิ ง ของพิ ม นั้ น เกิ ด จากความรู สึ ก อยากรู อ ยากลอง
ในเรื่องเพศในขณะที่ เ ปนวัย รุน รวมถึง การที่ ตัวเองก็รูสึ กพึง พอใจในตัวรุ นพี่คนนี้ดวยเชนกัน
และเธอมองวาการมีความสัมพันธทางเพศกับผูหญิงก็ไมไดเปนการละเมิดความตองการของแม
ที่ไมตอ งการใหเธอยุงเกี่ ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งในความคิดของเธอหมายถึงการมีความสัมพันธกับ
เพศตรงข า มเท า นั้ น เธอจึ ง ไม ไ ด รู สึ ก ว า ความสั ม พั น ธ ใ นครั้ ง นั้ น เป น การเสี ย ตั ว แต เ ป น การ
มี ค วามสั ม พั น ธ เ พื่ อ ตอบสนองความต อ งการของตั ว เองที่ อ ยากมี ป ระสบการณ ท างเพศ
แตยังไมสามารถมีกับผูชายไดดวยเงื่อนไขอะไรหลายๆ อยาง แตสําหรับในกรณีนี้ การใหเหตุผลกับ
เรื่องของความพึงพอใจที่พวกเธอมีใหตอกัน จึงเปนสิ่งที่พิมหยิบยกมาใชตอรองกับการที่สังคม
กําหนดใหรูปแบบของความสัมพันธระหวางเพศตรงขามเทานั้นถึงจะเปนเรื่องที่ถูกตอง เพราะ
เธอมองว า หากคนสองคนมี ค วามรู สึ ก ที่ ดี ใ ห กั น ก็ ส ามารถมี ค วามสั ม พั น ธ กั น ได แม จ ะเป น
เพศเดี ย วกั น ก็ ต าม แต เ ธอก็ ยั ง คงต อ งป ด บั ง ความสั ม พั น ธ นี้ จ ากคนที่ บ า น เนื่ อ งจากเธอรู ว า
อยางไรเสีย มันก็เปนรูปแบบของความสัมพันธที่คนอื่นๆ ก็ไมยอมรับอยูดี
สํ า หรั บ จู น นั้ น การมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ น อ งโอ เป น ตั ว อย า งที่ เ ห็ น ได ชั ด ว า
เธอใหความสําคัญกับความพึงพอใจที่มีใหกับเขา มากกวาที่จะยึดถือองคประกอบในเรื่องอื่นๆ
ไมวาจะเปนจากจุดเริ่มแรกที่เธอเปนฝายเริ่มตนถามเรื่องการมีเพศสัมพันธกับเขากอน ทั้งๆ ที่ตัวเธอ
เคยเปนฝายรองรับการเขาหาของผูชายมากอน ไมวาจะเปนจากแบงคหรือโต แตครั้งนี้เมื่อเธอรูสึก
วา เธอชอบเขามาก เธอจึง เป นฝ า ยเริ่ มต นที่ จ ะมีเพศสั มพั นธ กอนได และแมก ระทั่งเมื่อนองโอ
มาสารภาพกับเธอภายหลังวาเขาเองมีแฟนอยูแลว ซึ่งเธอก็ตัดสินใจที่จะคบกับเขาตอไป เพราะเธอ
เห็นวามันเปนความสัมพันธที่ดี และเธอก็มีความพึงพอใจในตัวของเขามาก จนยอมละเลยรูปแบบ
ของความสัมพันธที่ถูกตองในดานของความซื่อสัตยไป และเปนเพราะเธอมองวาความสัมพันธ
ในครั้งนี้คุมคา แมจะตองเปนฝายรอคอยหรือตองแอบคบแบบหลบๆ ซอนๆ ก็ตาม ตามที่ไดอธิบาย
รายละเอี ย ดเรื่ อ งไปแล ว ในส ว นแรก แม สุ ด ท า ยแล ว เธอก็ เ ลื อ กกลั บ มาสู ค วามสั ม พั น ธ ที่ มี
องคประกอบอยางอื่นมากกวาความพึงพอใจที่มีใหตอกัน อยางเชนเธอเลือกที่จะมีความสัมพันธ
ที่ มี ค วามมั่ นคงแน นอนแทน ซึ่ง คิดวา น า จะเกิ ดขึ้น จากการสานสัมพั นธกั บ อั้ม แต จู นก็ บอกว า
เธอไม เ คยรู สึ กเสี ย ใจเลยที่ เ คยมี ค วามสั ม พั นธ ลั ก ษณะนั้ นกั บ น อ งโอ แม จ ะเป น ความสั มพั นธ
ที่ไมถูกตองก็ตาม
นอกจากนี้ มีหลายครั้งที่จูนใหเหตุผลกับการมีเพศสัมพันธนอกการแตงงานของเธอวา
เปนไปเพื่อตองการตอบสนองความตองการของตัวเอง โดยไมจําเปนวาจะตองเปนเพศสัมพันธ
กั บ คนรั ก ของตั ว เองเท า นั้ น เพราะจู น มองว า เธอสามารถแบ ง แยกเรื่ อ งของความรั ก ออกจาก
111
การมี เ ซ็ ก ส ไ ด ไม ว า จะเป น การมี เ พศสั ม พั น ธ ค รั้ ง แรกของเธอกั บ แบงค การเรี ย กโตให ม า
มีความสัมพันธทางเพศดวยในภายหลัง หรือการมีความสัมพันธกับผูชายคนอื่นๆ ที่รูจักผานทาง
อิ น เทอร เ น็ ต เป น ต น ซึ่ ง การตั ด สิ น ใจมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ คนเหล า นี้ เธอได ใ ห ค วามสํ า คั ญ กั บ
เรื่ อ งของการตอบสนองความต อ งการของตั ว เองเป น หลั ก โดยไม ไ ด ม องว า ผู ช ายเหล า นั้ น
จะเปนแฟน หรือเปนคนที่เธอรักหรือไม แตอยางนอยก็เปนคนที่เธอคุนเคย หรือมีความพึงพอใจ
อยูบาง และนอกจากความสัมพันธแบบนี้จะเปนไปเพื่อตอบสนองความตองการ หรือความพึงพอใจ
ของตั ว เองแล ว บางครั้ ง ยัง เป น ผลพลอยได อื่ น ๆ ให กับ เธอดว ย เชน การที่ จู นเรีย กให โตมาหา
เพราะเธอตองการมีเพศสัมพันธดวยเพียงอยางเดียว และไลใหเขากลับไปทันทีนั้น กลับกลายเปน
ความรูสึกว าตัวเองไดแกแคนในสิ่งที่เขาเคยทํากับเธอไว และทําใหเธอรูสึกมี อํานาจในตั วเอง
มากขึ้น
อย า งไรก็ ต าม เมื่ อ เวลาผ า นไปและเธอได ม าทบทวนความรู สึ ก ของเธอเกี่ ย วกั บ
การกระทําดังกลาว จูนกลับรูสึกวาสิ่งที่ตัวเองทําไปตอนนั้นไมไดเปนผลดีตอตัวเธอเองเลย และ
ทํ า ให เ ธอรู สึ ก ผิ ด ในสิ่ ง ที่ ไ ด ทํ า ลงไปด ว ยซ้ํ า ว า ทํ า ไปแล ว ได อ ะไร เธอได ค วามสุ ข ใจจริ ง หรื อ
และทํ า ไมต อ งแสดงออกกั บ เขาอย า งรุ น แรงแบบการไล เ หมื อ นหมู เ หมื อ นหมาขนาดนั้ น ด ว ย
ซึ่งเปนเหตุผลที่ทําใหเธอรูสึกไมดี รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธกับผูชายคนอื่นๆ ที่ไมไดเปนคนรัก
ก็ทําใหจูนรูสึกผิดอยูในใจลึกๆ ดวยเชนเดียวกัน วาการทําตามความตองการของตัวเองดวยวิธีการ
มีเพศสัมพันธกับ คนที่ไมไดรักนั้นเปนเรื่องที่ไมถู กตอง ทําใหเห็ นวาจริงๆ แลว ความพยายาม
ของจู น ที่ จ ะต อ รองกั บ กรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คม ด ว ยการเลื อ กให ค วามสํ า คั ญ
กั บ ความรู สึ ก ของตั ว เองซึ่ ง เป นสิ่ ง ที่ ขั ด แยง กั บ กรอบดั ง กล า วนั้ น แม ว า เธอจะสามารถกระทํ า
ไปแล ว แต ใ นที่ สุ ด ตั ว เธอก็ ต อ งนํ า กรอบมาใช เ ป น ตั ว ตั ด สิ น การกระทํ า ของตั ว เองอยู ดี
และกลายเปนความรูสึกผิดที่ตัวเองไดกระทําในสิ่งที่ผิดไปจากกรอบดังกลาว โดยไมจําเปนตอง
อาศัยการประณาม หรือการลงโทษจากภายนอกเลย แสดงใหเห็นถึงพลังอํานาจของกรอบที่ทํางาน
กํากับคนใหเชื่อตามไดถึงในระดับความรูสึกและจิตสํานึกของตัวเอง
การใหความสําคัญกับความมั่นคงในความสัมพันธ
ตามที่ ไ ด ก ล า วไปแล ว ในส ว นแรกว า ผู ใ ห ข อ มู ล ทั้ ง สองคนต า งก็ เ ชื่ อ ในเรื่ อ งที่ ว า
การมีเพศสัมพันธกับคนรัก จะทําใหไดมาซึ่งความรัก ความอบอุน และความสัมพันธที่มั่นคง ทําให
พวกเธอมองว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งานนั้ น ไม ใ ช เ รื่ อ งผิ ด ไปทั้ ง หมด ถ า หากว า เป น
ความสัมพันธที่จะนําไปสูความรูสึกดังกลาวได ตัวอยางเหตุการณที่ทําใหเห็นวาพิมใหความสําคัญ
กับความมั่นคงในความสัมพันธมากกวาองคประกอบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมในประเด็นอื่นๆ
112
การใหความสําคัญกับความสัมพันธครั้งใหมที่คิดวาดีกวา
ในการมี เ พศสั ม พั นธ นอกการแต ง งานของพิม นั้น ในบางครั้ ง ก็ มีค วามตอ งการที่ จ ะ
ใช ค วามสั ม พั น ธ กั บ ผู ช ายคนอื่ น มาเป น ตั ว ช ว ยในการยุ ติ ค วามสั ม พั น ธ กั บ ผู ช ายคนก อ นหน า
ที่เธอเห็นวาความสัมพันธระหวางเธอกับเขาไมเปนไปตามที่ตองการแลว ทําใหพิมไดตอรองกับ
กรอบเพศวิถีของสังคมที่มองวา ผูหญิงตองเปนฝายสนองตอบในความสัมพันธ ดวยการเปนฝาย
เขาหาผูชายคนใหมกอน จากความเชื่อของเธอที่วา การมีความสัมพันธทางเพศหมายถึงการทําให
ความสัมพันธแนนแฟนมากขึ้น ซึ่งปกติแลวเธอจะเปนฝายตอบสนองความตองการของคูของเธอ
แตสําหรับภาวะที่เธอตองการหลุดออกจากความสัมพันธกับพี่ตอใหได ทําใหเธอเปนฝายใชวิธีการ
ริ เ ริ่ ม ที่ จ ะมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ น อ งเอ็ ม ก อ น เช น เดี ย วกั บ กรณี ข องยิ ม ที่ เ ธอเองก็ เ ป น ฝ า ยเข า หา
เขากอน เพื่อที่จะใชความสัมพันธนี้เปนตัวชวยยุติความสัมพันธกับนองเอ็ม แมวาจะตองอยูใน
สภาพของการลักลอบแอบคบกั น ซึ่ งเป นรูปแบบของความสัมพันธที่เธอเองก็คิดวา ไมถูกตอง
ไปก อ นก็ ต าม แต ก ารเป นฝ า ยริ เ ริ่ ม ความสั ม พั น ธ กั บ น อ งเอ็ ม ก อ นทํ า ให พิ ม ตระหนั กว า ตั ว เอง
ไดทําผิดพลาดที่เลือกมีความสัมพันธกับคนที่ยังไมถึงขั้นพัฒนาไปเปนความชอบเลยดวยซ้ํา ทําให
ความสัมพันธในครั้งนี้ไมไดใหความสุขอยางที่เธอตองการ เพราะเธอเองก็ยังยึดติดกับความเชื่อที่วา
ความสัมพันธที่ดีต องเกิดจากคนที่ รักกันเทานั้นอยู ซึ่งการกลับมาใหความสําคัญกับประเด็นนี้
ก็กลายเปนสาเหตุที่ทําใหเธอหันไปพัฒนาความสัมพันธกับยิมแทน เพื่อทําใหเธอหลุดออกจาก
ความสัมพันธกับนองเอ็มได
และความตองการออกจากความสัมพันธที่ไมตองการ อยางเชนความสัมพันธระหวางเธอ
กับนองเอ็มนั้น นอกจากการใชวิธีการมีความสัมพันธกับคนอื่นเพื่อมาเปนตัวชวยแลว ยังมีเรื่องของ
การตัดสินใจกระทําในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อ และความตองการของตัวเองอีกดวย ซึ่งก็คือการที่พิม
ตองยอมมีเพศสัมพันธกับนองเอ็มในคืนที่เธอตั้งใจจะไปบอกเลิกกับเขา ทั้งๆ ที่เธอไมไดรูสึกอะไร
กับผูชายคนนี้อีกตอไป ซึ่งเปนสิ่งที่เธอไมเคยทํามากอนเลยตั้งแตเริ่มมีความสัมพันธทางเพศมา
ซึ่ง ก็เ ปนเพราะว าเธอรู สึกผิดที่ ตัวเองไดนอกใจเขา การมีเพศสั มพั นธ เ พื่อชดเชยความผิด และ
เพื่อทําใหการบอกเลิกนั้นงายขึ้นตามความคิดของเธอจึงเกิดขึ้น แมวาเธอจะมีความรูสึกขัดแยงในใจ
อยางรุนแรงก็ตาม เพราะมันเปนเพศสัมพันธที่ไมไดเกิดกับคนที่เธอรัก แตก็เปนวิธีที่เธอคิดวา
จะแกปญหาและความรูสึกผิดที่คางคาใจตัวเองได แตจากเหตุการณดงั กลาวทําใหเห็นวาในเรื่องเพศ
ของแตละคนนั้น แมวาจะเปนเรื่องเพศที่เกิดขึ้นกับคนๆ เดียวกัน แตสถานการณและบริบทของ
ความสัมพันธก็ มีความเปลี่ย นแปลงไปมาได สงผลใหก ารให เหตุผลของคนที่หยิบ ยกนํ า มาใช
กับการกระทําแตละครั้งในความสัมพันธชุดเดียวกันนั้นมีความแตกตางกันออกไปดวย นอกจากนี้
ประสบการณ ข องพิ ม ก็ ไ ด ส ะท อ นให เ ห็ น ถึ ง อิ ท ธิ พ ลของกรอบเรื่ อ งเพศของสั ง คมที่ ทํ า ให
114
คนเชื่อ ตาม โดยไม ตั้ ง คํ า ถามกับ กรอบดัง กลา วว า เปน เรื่องที่ ถูกตอ งหรื อไม อยา งเช นมายาคติ
ที่ผูกเรื่องเพศสัมพันธที่ดีกับอุดมการณความรักแบบโรแมนติกเขาไวดวยกัน จนดูราวกับวาเปน
เรื่ อ งเดี ย วกั น และต อ งมาพร อ มกั น ทํ า ให เ มื่ อ มี ป ญ หาในความสั ม พั น ธ ที่ ค วามรั ก ความรู สึ ก
เริ่ ม มี ก ารเปลี่ ย นแปลง และส ง ผลไปถึ ง การมองว า เพศสั ม พั น ธ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในความสั ม พั น ธ นั้ น
ก็เริ่มไมดีตามไปดวย ทําใหตองเริ่มมองหาคนใหมที่เชื่อวาจะสามารถทําใหความสัมพันธครั้งใหม
เปนไปตามรูปแบบที่ตองการได โดยไมไดมองวาแทจริงแลวความเชื่อดังกลาวตางหากที่อาจจะ
เป น ป ญ หา เพราะเพศสั ม พั น ธ ที่ ดี อ าจจะไม จํ า เป น ต อ งเกิ ดจากความรั ก ก็ ไ ด แต เ พราะคนเชื่ อ
ในกรอบดังกลาว ทําใหคิดวาเมื่อตัวเองรูสึกเจ็บปวดที่ไมสามารถเติมเต็มความรูสึกจากรูปแบบ
ความสัมพันธที่ผูกความรักกับเซ็กสไวดวยกันได จึงตองมองหาความสัมพันธครั้งใหมกับคนใหม
ที่เชื่อวาจะทําใหเกิดความสัมพันธที่ดีในรูปแบบดังกลาวไดมาทดแทนอยูเรื่อยไป
ปฏิบัติการตอรองกับกรอบความเชื่อเรื่องเพศของสังคมของผูใหขอมูลทั้งสองคนนั้น
เริ่ ม ต น จากการต อ รองกั บ กรอบความเชื่ อ ของสั ง คมที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว ภ ายใต
การแตงงานที่ถูกแสดงออกผานพอแม/แมของพวกเธอ ทั้งในดานที่เปนตัวบุคคลและดานที่เปน
สัญลักษณที่อยูในจิตใจและความรูสึกของพวกเธอ ซึ่งเมื่อพวกเธอไดละเมิดกรอบดังกลาวไปแลว
ดวยการมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน ทําใหพวกเธอเกิดความรูสึกผิดในใจและพยายามหาวิธีการ
จัดการกับความรูสึกผิดดังกลาว ซึ่งวิธีการที่พวกเธอใชก็คือการแบงแยกอาณาบริเวณของเรื่องเพศ
ออกจากอาณาบริเวณอื่นๆ ของชีวิตความเปนลูกสาวที่ดีของพวกทาน เพื่อใหเรื่องเพศเปนเรื่องที่
ไมถูกพูดถึง เพื่อทําใหพอแม/แมสบายใจ ไมวาจะดวยวิธีการปลอยใหเรื่องเพศเปนเรื่องที่คลุมเครือ
หรือการเลือกใชชีวิตอยูหางจากการรับรูของที่บาน เพราะพวกเธอคิดวาวิธีการเหลา นี้จะทําให
พวกทา นไมตอ งเปนหวงพวกเธอมาก และทํ าใหพวกเธอสามารถดํา เนินชีวิตทางเพศนอกการ
แตงงานตอไปได เนื่องจากพวกเธอมองวาเรื่องเพศนั้นเปนเรื่องที่สําคัญตอการดําเนินความสัมพันธ
แต ใ นขณะเดี ย วกั น ก็ ยึ ด ติ ด กั บ รู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คมอยู ด ว ย พวกเธอ
จึ ง พยายามกํ า กั บ ให เ รื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของตั ว เองสอดคล อ งกั บ รู ป แบบของเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรมใหมากที่สุดดวย และเมื่อมีสถานการณที่ทําใหพวกเธอรูสึกวาเรื่องเพศของพวกเธอ
อาจจะไม ส อดคล อ งกั บ องค ป ระกอบของเรื่ อ งเพศดั ง กล า ว พวกเธอก็ จ ะใช วิ ธี ก ารเลื อ ก
ใหความสําคัญกับองคประกอบอื่นๆ ของกรอบเพื่อนํามาใชสนับสนุนการตัดสินใจของพวกเธอเอง
เพื่อทําใหเรื่องเพศของพวกเธอในแตละสถานการณนั้นมีเหตุผลที่พอยอมรับได และสอดคลองกับ
ความเชื่อในกรอบดังกลาว เปนการสะทอนใหเห็นวา คนที่ถูกกรอบเรื่องเพศดังกลาวครอบงําอยูนั้น
มี ทั้ ง มิ ติ ข องการเชื่ อ ยอมตาม และการขั ด ขื น ต อ รองกั บ กรอบไปพร อ มๆ กั น ไม ว า จะเป น
115
การใหความสําคัญกับการมีเพศสัมพันธ ดวยการหยิบยกเหตุผลวาในเมื่อตัวเองก็ไมไดบริสุทธิ์
อีกตอไปแลว จึงไมเปนไรถาหากจะมีเพศสัมพันธในครั้งตอๆ ไป และพยายามทําใหเพศสัมพันธ
ของตัวเองเปนเพศสัมพันธที่ปลอดภัยเพื่อไมใหเกิดปญหา การใหความสําคัญกับความพึงพอใจ
ที่พวกเธอและคูมีใหตอกันและเพื่อตอบสนองความตองการของตัวเอง จนยอมละเลยองคประกอบ
ของเรื่ อ งเพศในแง มุ ม อื่ น ๆ ไป การให ค วามสํ า คั ญ กั บ ความมั่ น คงในความสั ม พั น ธ ม ากกว า
ความรูสึกวาตองซื่อสัตย และเมื่อตองการหลุดพนออกจากความสัมพันธที่ไมดี ก็จะใชวิธีการเปน
ฝายเขาหาและเริ่มตนมีเพศสัมพันธกับผูชายคนใหมกอนเพื่อใหเขามาเปนตัวชวยในการออกจาก
ความสั ม พั น ธ แม จ ะต อ งขั ด กั บ ความเชื่ อ ที่ ว า ผู ห ญิ ง ต อ งเป น ฝ า ยสยบยอมตามความต อ งการ
ของผู ช ายก็ ต าม หรื อ ต องฝ นกั บ ความเชื่ อ ของตั ว เองที่ จ ะตอ งมี อ ะไรกั บ คนที่ ตั ว เองรัก เท า นั้ น
โดยไมไดตั้งคําถามกับมายาคติชุดดังกลาวของสังคมเลย
สรุป
ในบทนี้เปนการวิเคราะหถึงมุมมองของผูใหขอมูลทั้งสองคนในเรื่องเพศจากเรื่องเลา
ของพวกเธอ และพบวาพวกเธอทั้งคูตางก็มีมุมมองที่สะทอนถึงความเชื่อในรูปแบบของเรื่องเพศ
ที่ชอบธรรมตามที่สังคมกําหนด ไมวาจะเปนความเชื่อในนิยามความหมายของเรื่องเพศของสังคมที่
กําหนดใหเรื่องเพศเปนเรื่องของความสัมพันธระหวางหญิงชาย และนําไปสูความเชื่อที่ผูกเรื่องของ
การมีเพศสัมพันธไวกับความรัก ทําใหพวกเธอมักจะเปนฝายยอมทําตามความตองการของผูชาย
เพื่อใหไดมาซึ่งความรัก ความอบอุน ความผูกพัน และความมั่นคงในความสัมพันธ นอกจากจะเปน
แคการมีเพศสั มพันธ เ พื่อตอบสนองความตอ งการของรา งกายเทา นั้ น นอกจากนี้ พวกเธอยั งมี
มุมมองที่คลอยตามกับกรอบของสังคมวาเรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรมนั้นควรจะตองเกิดขึ้นภายใต
การแตงงาน ทั้งนี้เพื่อใหการมีเพศสัมพันธเปนที่ยอมรับ และเพื่อทําใหพอแมหรือแมของพวกเธอ
สบายใจ ตลอดจนความพยายามที่จะทําใหความสัมพันธของพวกเธออยูในรูปแบบของผัวเดียว
เมียเดียว หรือพยายามมีความสัมพันธกับคนที่พวกเธอรักหรือมีความรูสึกดีดวยทีละคน (serial
monogamy) เพราะเชื่อวาเปนรูปแบบของความสัมพันธที่ถูกตอง
อยางไรก็ตาม แมวาพวกเธอจะเชื่อในรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และ
พยายามทํ า ใหเ รื่องเพศนอกการแตง งานของตัว เองสอดคลองกั บรูป แบบดั ง กลา วให มากที่ สุ ด
แตพวกเธอก็รูดีวาการมีเพศสัมพันธกอนแตงงานนั้นเปนเรื่องที่ไมถูกตอง ทําใหพวกเธอตองตอรอง
กับกรอบความเชื่อเรื่องเพศที่อยูในรูปแบบของความรูสึกของพอกับแม/แมของพวกเธอ ดวยการ
ไมพูดถึงเรื่องดังกลาวกับพวกทาน หรือพยายามแยกตัวไปใชชีวิตใหอยูหางจากการรับรูของที่บาน
เปรียบเสมือนเปนการแบงแยกอาณาบริเวณของชีวิตทางเพศออกจากดานอื่นๆ ที่แสดงออกถึง
116
เรื่ อ งเพศจั ดเป นแง มุ ม ของชี วิ ต ที่ มี เ รื่ อ งของการกํ า กั บ /ควบคุ ม มี ก ารให ค วามหมาย
และใหคุณคา เพื่อใหเปนไปตามรูปแบบหรือกรอบของเรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรม หรือเปนที่
ยอมรับของสังคม การควบคุม/กํากับเรื่องเพศเกิดขึ้นจากแนวคิดที่มองเรื่องเพศไปในทางลบและ
อาจกอใหเกิดเรื่องวุนวายไดหากไมเปนไปตามแนวทางที่สังคมกําหนด ดังนั้นเรื่องเพศที่ยอมรับได
ของคนในสั ง คมจึ ง อยู ใ นรู ป แบบที่ จํ า กั ด กล า วคื อ ต อ งเป น เรื่ อ งเพศที่ เ กิ ด ขึ้ น ภายใต ส ถาบั น
การแต ง งานที่ สั ง คมให ก ารยอมรั บ และเป น ความสั ม พั น ธ แ บบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย วเพื่ อ ให เ กิ ด
การเจริญพันธุ ซึ่งก็หมายถึงตองเปนเรื่องเพศที่เกิดขึ้นระหวางเพศตรงขาม และเกิดขึ้นจากความรัก
หรือมีความผูกพันเขามาเกี่ยวของ จึงจะถือวาเปนความสัมพันธที่ดี ไมใชเปนเรื่องเพศเพื่อการคา
ซึ่งถูกมองวาเปนเรื่องเพศที่ไมมีคุณภาพ กรอบที่มองเรื่องเพศไปในแนวทางดังกลาวทําใหเรื่องเพศ
ที่อยูในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ถูกมอง หรือตัดสินวาเปนเรื่องเพศที่ “ผิด” หรือเปนพฤติกรรม
ที่อาจนํามาซึ่งปญหาตางๆ ได เรื่องเพศที่ไมเปนไปตามกรอบนี้กลายเปนสิ่งบงชี้ความเสื่อมถอย
ของระบบคุณคาทางสังคมตางๆ ไมวาจะเปนเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี จารีต วัฒนธรรม
ศีลธรรม หรือแมแตเปนตัวชี้วัดความลมเหลวของสถาบันตางๆ ทางสังคมที่เกี่ยวของกับการปลูกฝง
ขัดเกลาพลเมือง ดังนั้น พฤติกรรมทางเพศที่ปจเจกแตละคนแสดงออกมา หรือแมแตภายในระดับ
ความคิดจิตใจของผูคนในสังคมนั้น ก็มีการนํากรอบหรือรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมมาเปน
ตัวชี้วัดวาสิ่งที่ตัวเองหรือคนอื่นๆ ไดกระทํานั้น ถูกตองหรือเปนไปตามกรอบหรือไม อยางไร และ
ถ า หากไม เ ป น ไปตามกรอบก็ จ ะส ง ผลให เ กิ ด การลงโทษในรู ป แบบต า งๆ เช น การลงโทษ
ทางกฎหมาย หรื อ การประณามทางสั ง คม รวมไปถึ ง การเกิ ด ความรู สึ ก ผิ ด ภายในใจที่ ตั ว เอง
ไมสามารถทําตามกรอบของสังคมหรือทําใหเกิดการมองตัวเองไปในทิศทางลบ โดยไมจําเปน
ตองมีคนอื่นหรือคนนอกมาตัดสินลงโทษเลยก็ได
การศึกษาในครั้งนี้เปนการศึกษามุมมองที่มีตอเรื่องเพศนอกการแตงงานของผูหญิงไทย
ชนชั้นกลางสองคน วาทามกลางสังคมไทยที่มีการจํากัดเรื่องเพศของผูหญิงไวภายใตการแตงงาน
ด ว ยการปลู ก ฝ ง อุ ด มการณ “รั ก นวลสงวนตั ว ” ให กั บ ผู ห ญิ ง และมี แ นวทางการมองเรื่ อ งเพศ
นอกการแตงงานวาเปนเรื่องไมเหมาะสมหรือเปนเรื่องอันตรายนั้น พวกเธอซึ่งมีประสบการณ
ทางเพศนอกการแตงงานมาแลว มีมุมมองตอเรื่องเพศของตัวเองอยางไร และมุมมองของพวกเธอ
ไดสะทอนความเชื่อ ความหมายในเรื่องเพศวิถีชุดหลักของสังคมอยางไรบาง และการดําเนินชีวิต
118
ทางเพศนอกการแตงงานของพวกเธอนั้นมีการตอรองกับความเชื่อเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม
ในลักษณะใดหรือไม อยางไร
ผลการศึกษาพบวา เรื่องเพศนอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคนนี้ไดสะทอน
ความเชื่อในเรื่องเพศวิถีของสังคมที่มีลักษณะแบบชายเปนใหญ ที่กําหนดใหเรื่องเพศเปนเรื่องของ
การมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศระหว า งชายกั บ หญิ ง เท า นั้ น เนื่ อ งจากพวกเธอไม ไ ด นั บ การ
มีความสัมพันธในรูปแบบอื่นๆ เชนความสัมพันธระหวางเพศเดียวกันวาเปนการมีเพศสัมพันธ
ซึ่ ง หากจะมองในมุ ม ของนั ก สตรี นิ ย มสายรากเหง า แล ว การมองเรื่ อ งเพศอย า งจํ า กั ด เช น นี้
เป น การสะท อ นมุ ม มองที่ มี ก ารเชื่ อ มโยงการมี เ พศสั ม พั น ธ ซึ่ ง ถื อ เป น กิ จ กรรมที่ เ กิ ด ขึ้ น เพื่ อ
ตอบสนองความตองการทางเพศ เขากับการใชประโยชนบนเนื้อตัวรางกายของผูหญิง เพื่อใหผูหญิง
เป น วั ต ถุ ท างเพศสํ า หรั บ ผู ช ายเท า นั้ น โดยเบี ย ดขั บ ความสั ม พั น ธ ใ นรู ป แบบอื่ น ๆ เช น
การมีเพศสัมพันธของคนเพศเดียวกันออกไปจากรูปแบบของเพศวิถี หรือเพศสัมพันธที่ถูกตอง
ชอบธรรม ทําใหความสัมพันธแบบรักตางเพศกลายเปนสถาบันโดยที่ไมถูกตั้งคําถาม นอกจากนี้
เรื่องเพศนอกการแตงงานของพวกเธอยังสะทอนเรื่องของการผูกความรักกับการมีเพศสัมพันธ
เขาไวดวยกัน เพราะพวกเธอตางมีความเชื่อ หรือถูกทําใหเชื่อโดยคนที่เปนคนรักของพวกเธอวา
การมีเพศสัมพันธกันจะเปนหนทางที่นําไปสูการมีความสัมพันธที่มั่นคง และทําใหเพศสัมพันธ
ที่ เ กิ ดขึ้ น เพื่ อ ต อ งการตอบสนองความอยากรู อ ยากลอง หรื อ ความต อ งการทางเพศของตั ว เอง
ที่เกิดขึ้นกับคนที่พวกเธอไมไดรักหรือไมมีความผูกพันดวย กลายเปนเพศสัมพันธที่ทําใหพวกเธอ
รูสึกไมสบายใจ หรือไมมีความสุขกับมันเทาที่ควร แมพวกเธอจะบอกวาตัวเองเปนคนที่ชื่นชอบ
ในเรื่องของการมีเพศสัมพันธก็ตาม แตก็ตองเปนเพศสัมพันธตามเงื่อนไขของอุดมการณความรัก
แบบโรแมนติกเทานั้น
มุ ม มองของพวกเธอยั ง สะท อ นแนวคิ ด ที่ ย อมรั บ ว า การแต ง งานคื อ การรั บ รอง
การมี เ พศสั ม พั น ธ ที่ ถู ก ต อ งอี ก ด ว ย เพราะพวกเธอมองว า ที่ สุ ด แล ว ถ า หากชี วิ ต ของพวกเธอ
ในวันขางหนาจะลงเอยกับใครก็คงตองผานการแตงงานใหถูกตองตามประเพณีเสียกอน เพื่อให
พอแมหรือผูใหญเกิดความสบายใจ ถึงแมวาโดยสวนตัวแลวพวกเธออาจจะไมไดเห็นความสําคัญ
ของการจัดพิธีแตงงาน หรือมองวาการไดใชชีวิตรวมกับคนที่รักก็เพียงพอแลว โดยไมตอง
จั ด พิ ธี ก รรมใดๆ ก็ ไ ด แต ใ นตอนนี้ พ วกเธอก็ ยั ง คงมองว า การมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งาน
ของพวกเธอก็ไมใชเรื่องที่ถูกตอง หรือสามารถเปดเผยตอพอแมของพวกเธอไดแตอยางใด และ
การตระหนักวาเรื่องเพศนอกการแตงงานของตัวเองไมใชสิ่งที่ถูกตอง ยังสงผลใหพวกเธอพยายาม
แยกเรื่องของการมีเพศสัมพันธออกจากการเจริญพันธุอีกดวย เพื่อไมใหเรื่องเพศของพวกเธอทําให
ตัวเองและผูอื่นตองเดือดรอน นอกจากนี้ เรื่องเพศของพวกเธอยังถูกผูกเขากับความเชื่อในรูปแบบ
119
ของความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว เนื่องจากพวกเธอจะพยายามรักษาความสัมพันธของตัวเอง
ใหอยูในรูปแบบดังกลาวเสมอ โดยเฉพาะในแงของความรูสึก ที่พวกเธอตางก็ย้ําวาไมตองการ
ใหเกิดความรูสึกรัก หรือรูสึกดีกับคนสองคนพรอมๆ กันในชวงเวลาเดียวกัน ถึงแมจะไมถึงขั้น
มีความสัมพันธทางเพศกันก็ตาม เพราะนั่นหมายถึงเปนการนอกใจ หรือการไมซื่อสัตยที่มีตอคนรัก
ของพวกเธอ ซึ่งถาหากเกิดเหตุการณความสัมพันธซอนขึ้น พวกเธอก็จะหาวิธีจัดการกับความรูสึก
หรือความสัมพันธดังกลาว เพื่อทําใหความสัมพันธของตัวเองกลับมาอยูในรูปแบบของเรื่องเพศ
ที่ถูกตองชอบธรรมตอไป โดยการพยายามขอยุติความสัมพันธกับคนเกา หรือการทําใหคนรอบขาง
เขาใจวาตัวเองไมไดละเมิดรูปแบบของความสัมพันธที่ถูกตอง เปนตน จะเห็นไดวาจากเรื่องเพศ
นอกการแตงงานของพวกเธอไดสะทอนมุมมอง และวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศที่ผูกติดอยูกับความเชื่อ
ในกรอบหรือรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม ถึงแมวาเรื่องเพศของพวกเธอจะไมได
เป น ไปตามรู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมพร อ มๆ กั น ทุ ก องค ป ระกอบ คื อ เป น เรื่ อ งเพศ
ที่อยูภายใตสถาบันการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียว เปนไปเพื่อการเจริญพันธุ และเกิดจากความรัก
แต พ วกเธอก็ พ ยายามกํ า กั บ ให เ รื่ อ งเพศของตั ว เองเป น ไปตามกรอบดั ง กล า วให ม ากที่ สุ ด
โดยวิธีการตอรองกับกรอบดังกลาว
ไม ว า จะเป น การต อ รองกั บ กรอบของสั ง คมที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว ภ ายใต
การแตงงาน ดวยการจัดการกับความรูสึกของตัวเองภายหลังจากการฝาฝนความตองการของพอแม/
แมดวยการมีเพศสัมพันธครั้งแรกกับผูชาย วิธีการที่พวกเธอใชตอรองกับความเชื่อดังกลาวก็คือ
การแบงแยกอาณาบริเวณเรื่องเพศของตัวเองออกจากมิติอื่นๆ ในชีวิต เพื่อทําใหเรื่องเพศเปนเรื่องที่
ไม ถู ก พู ด ถึ ง หรื อ การต อ รองกั บ กรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมด ว ยการเลื อ กให ค วามสํ า คั ญ กั บ
บางองค ป ระกอบของกรอบดั ง กล า ว ในช ว งเวลาหรื อ สถานการณ ที่ แ ตกต า งกั น ในแต ล ะ
ความสัมพันธของพวกเธอ ทําใหความสัมพันธ “นอกกรอบ” ของพวกเธอยังมีลักษณะสอดคลอง
กับรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมอยูบาง เพื่อทําใหเรื่องเพศนอกการแตงงานของพวกเธอเปน
ไปตามรู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ พ วกเธอคิ ด ว า ควรจะเป น หรื อ ไม ไ ด ผิ ด ไปจากกรอบทุ ก อย า ง
โดยสิ้นเชิง เพราะอยางไรเสี ย พวกเธอก็ยั งคงใหความสํ าคั ญกั บเรื่องเพศ และมองว า เรื่ องเพศ
เป น เครื่ อ งมื อ ที่ จ ะได ม าซึ่ ง สิ่ ง ที่ พ วกเธอต อ งการ แม ว า ในบางครั้ ง ความรั ก และความสั มพั น ธ
ของพวกเธอ จะนํามาซึ่งความเสียใจ ความผิดหวัง หรือความรูสึกขัดแยงภายในใจของพวกเธอ
ก็ ต าม ซึ่ ง ความรู สึ ก ต า งๆ เหล า นี้ หรื อ แม แ ต ก ารต อ รองของพวกเธอก็ ล ว นเกิ ด ขึ้ น จากการ
ผูกเรื่องเพศและความสัมพันธของตัวเอง เขากับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และเปนการ
สะทอนวากรอบดังกลาวทํางานกํากับใหผูคนในสังคมเชื่อ และพยายามปฏิบัติตามอยางทรงพลัง
ไดอยางไร
120
จุดเริ่มตนของการทําวิทยานิพนธในหัวขอนี้ของผูเขียนเกิดจากมุมมองสวนตัวที่มีตอ
ประสบการณทางเพศของเพื่อนผูหญิงรอบตัว ในเบื้องตนผูเขียนมองวาพวกเธอเปนผูหญิงที่ไมยอม
ทําตามกรอบของสังคม ในประเด็นเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม เนื่องจากพวกเธอสามารถ
มีความสัมพั นธทางเพศกอนแตง งานได โดยแสดงออกเหมือนกับเป นเรื่อ งธรรมดา และไมใช
เรื่องผิดแตอยางใด มุมมองของผูเขียนที่มีตอพวกเธอในขณะนั้นจึงเปนไปในทิศทางที่มองพวกเธอ
ในลักษณะของการเปนผูหญิงที่เปยมไปดวยอํานาจ ผูซึ่งสามารถลิขิตชีวิตทางเพศของตัวเองได
อย า งเป น อิ ส ระ ไม ยึ ด ติ ด กั บ กรอบใดๆ เช น เดี ย วกั บ ที่ มี ค นพู ด กั บ ผู เ ขี ย นว า สมั ย นี้ ค นไม ไ ด
ให ค วามสนใจกั บ ประเด็ น เรื่ อ งการมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งานอี ก แล ว เพราะดู เ หมื อ น
จะกลายเปนเรื่องธรรมดาในสายตาของผูคนสมัยนี้ไปแลว แตเมื่อการศึกษาของผูเขียนดําเนินมา
ถึ ง จุ ด สุ ดท า ยนี้ ผู เ ขี ย นพบว า มุ ม มองของผู เ ขี ย นที่ มี ต อ เรื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอ
ไดเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เพราะจากผลการศึกษาไดชี้ใหเห็นวาชีวิตทางเพศนอกการแตงงาน
ของพวกเธอถู กผู กติ ด และร อ ยเรี ย งไปด ว ยกรอบ หรื อ การกํ า กั บ ควบคุ ม จากสั ง คมในรู ป แบบ
ที่แตกตางกัน โดยเฉพาะอยางยิ่งการกํากับจากภายในตัวเองเพื่อทําใหเรื่องเพศของตัวเองเปนไปตาม
รูปแบบของเรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรมดวยเชนเดียวกัน แมแตกรณีของ “ณวรรณ” เพื่อนของ
ผูเขียนอีกคนหนึ่งที่ขอถอนตัวออกจากการเปนผูใหขอมูล ดวยเหตุผลที่วาเธอไมอยากใหเรื่องราว
ในอดี ต ของเธอมากระทบกั บ ชี วิ ต แตง งานในป จ จุ บั นของตัว เอง เนื่ องจากตอนนี้ ชีวิ ตทางเพศ
ของเธอได เ ป น ไปตามกรอบดั ง กล า วแล ว และไม อ ยากจะเข า ไปเกี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งเพศ
นอกการแตงงานอีก แมวาจะเปนเพียงรูปแบบของการทบทวนความทรงจําในอดีตของตัวเองก็ตาม
แสดงใหเห็นความทรงพลังอํานาจของกรอบดังกลาว ที่กํากับควบคุมความคิดและมุมมองของ
คนในสังคมไดเปนอยางดี
กรอบเรื่องเพศเปนกรอบที่ทรงพลัง และมีอิทธิพลตอความคิดและการมองโลกของผูคน
ในสั ง คมอย า งมาก และส ง ผลต อ การกระทํ า หรื อ พฤติ ก รรมทางเพศของคนในที่ สุ ด ทั้ ง ๆ ที่
การประกอบกิจกรรมทางเพศนาจะเปนไปเพื่อการตอบสนองความตองการทางเพศของแตละคน
เช น เดี ย วกั บ การรั บ ประทานอาหารหรื อ การดื่ ม น้ํ า แต เ รื่ อ งเพศกลั บ เป น เรื่ อ งที่ มี ข อ จํ า กั ด
และข อ กํ า หนดต า งๆ มากมาย ที่ ทํ า ให เ ราไม ส ามารถแสดงออกซึ่ ง ความต อ งการทางเพศได
อยางเปนอิสระ หรือตอบสนองความตองการที่แทจริงของเราได โดยเฉพาะอยางยิ่ง การนําเอา
เรื่องเพศมาเปนเครื่องมือตัดสินคุณคาของผูหญิง ทําใหเราไดเห็นการตอสูหรือการประณามกันเอง
ของผูที่มีเพศหญิงเหมือนกัน แตมีความเชื่อหรือความตองการที่ตางกัน หรือมีการลงโทษผูหญิง
ที่ เ ห็ น ต า งออกไปในรู ป แบบที่ ห ลากหลายจากผู ห ญิ ง ด ว ยกั น เอง ทั้ ง ๆ ที่ มี ค วามคาดหวั ง หรื อ
ความตั้ ง ใจของนั ก สตรี นิ ย มที่ ต อ งการเห็ น ผู ห ญิ ง ในฐานะที่ มี ค วามเป น พี่ เ ป น น อ งกั น หรื อ
121
มีประสบการณรวมกันไดมารวมตัวกันเพื่อตอตานการถูกกดขี่จากระบอบปตาธิปไตย อยางไรก็ตาม
การศึกษาในครั้งนี้ก็ทําใหเห็นถึงความแตกตางหลากหลายของเรื่องเพศของแตละคน ที่แมจะมี
กรอบหรื อ รูป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คมชุ ดเดี ย วกั นเปน แนวทางให ป ฏิ บั ติ ต าม
แตแทจริงแลวเรื่องเพศของแตละคนก็มีรายละเอียดที่แตกตางกันออกไป หรือแมแตการตอรอง
กับกรอบดังกลาวของแตละคนก็มีความแตกตางกันออกไปดวย สงผลใหมีการปรากฏรูปแบบของ
พฤติกรรมทางเพศที่มีความหลากหลาย เพราะฉะนั้น การเปดพื้นที่ใหกับคนที่มีความแตกตา ง
หลากหลายไดมีโอกาสในการอธิบาย หรือเปดเผยมุมมองโลกทัศน ตามความเขาใจของตัวเอง
นาจะเปนสิ่งที่สําคัญและควรใหความเคารพ มากกวาที่จะมุงประณามหรือลงโทษคนที่ไมทําตาม
กรอบแตเพียงอยางเดียว โดยมองขามความแตกตางหลากหลายของแตละคนที่มีอยู
ขอเสนอแนะ
ผูเ ขีย นทราบดี ว า การศึ กษาในครั้ ง นี้ ไม ใ ช ง านวิ จั ย ที่ ส มบู รณ นั ก ดว ยความอ อ นด อ ย
ประสบการณในการทําวิจัยของผูเขียน ที่ทําใหขอมูลบางสวนที่จะทําใหเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น
ขาดหายไป อยางเชนผูเขียนไมไดใหความสําคัญกับมุมมองของผูใหขอมูลที่มีตอความบริสุทธิ์ของ
พวกเธออย า งลึ ก ซึ้ ง เท า ที่ ค วร ซึ่ ง อาจเป น ข อ มู ล อี ก ด า นที่ ทํ า ให เ ห็ น ความเกี่ ย วพั น ระหว า ง
กรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม กั บ การตั ด สิ น ใจหรื อ การมองตั ว เองของผู ใ ห ข อ มู ล ภายหลั ง จาก
ผานการมีเพศสัมพันธครั้งแรกและครั้งอื่นๆ ไดชัดเจนมากขึ้น เพราะการใหคุณคากับความบริสุทธิ์
ของผูหญิงนั้นเปนอุดมการณที่มีอิทธิพลตอความคิด ความรูสึกของผูคนในสังคมไทย และเปน
เครื่องมือที่ผูหญิงใชประทับตราตัวเอง และผูอื่นเมื่อไดละเมิดกรอบเรื่องเพศของสังคม ดังนั้น
ถา หากมีผูที่ส นใจจะทํ า วิจั ยในหัวขอ ที่เ กี่ยวข องกั บเรื่อ งเพศของผู คนในสั งคมในครั้ง ต อๆ ไป
ผูเขียนเสนอวานาจะใหความสําคัญกับมุมมองของกลุมเปาหมาย ที่มีตอองคประกอบตางๆ ของ
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมอยางละเอียดมากขึ้นกวาที่ปรากฏในงานศึกษาของผูเขียนครั้งนี้ และ
อาจจะเปลี่ยนเปนการศึกษาทําความเขาใจกลุมคนที่อยูในชวงอายุ เพศ หรือชนชั้นที่แตกตางออกไป
ด ว ย เพื่ อ ที่ จ ะได มี ง านวิ จั ย เพื่ อ ทํ า ความเข า ใจ หรื อ มองเห็ น การทํ า งานของกรอบเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรมที่มีตอผูคนกลุมตางๆ ในสังคมไดอยางรอบดานมากขึ้น
บรรณานุกรม
Lemoncheck, Linda. (1997). Loose Women, Lecherous Men; A Feminist Philosophy of Sex.
New York: Oxford University Press.
MacKinnon, Catherine A. (1995). “Sexuality, Pornography, and Method: Pleasure under
Patriarchy”. In Tuana, Nancy and Tong, Rosemarie (eds.) Feminism and Philosophy
(pp. 134-161), Oxford: Westview Press.
Reinharz, Shulamit. (1992). Feminist methods in Social Research. New York: Oxford University
Press.
Rich, Adrienne. (1994). “Compulsory Heterosexuality and Lesbian Existence”. In Okin, Susan
M. and Mansbridge, Jane (eds.), Feminism Volume II (pp. 13-65), Aldershot: Edward
Elgar Publishing.
Richardson, Diane. (1997). “Sexuality and Feminism”. In Robinson, Victoria and Richardson,
Diane (eds.), Introducing Women’s Studies (pp. 152-174), London: The Macmillan
Press Ltd.
Rubin, Gayle. (1982). “Thinking Sex: Notes for a Radical Theory of the Politics of Sexuality”.
In Vance, Carole S. (ed.), Pleasure and Danger: Exploring Female Sexuality (pp. 267-
319), Boston: Routledge & Kegan Paul.
Scott, Joan W. (1999). “The Evidence of Experience”. In Hesse-Biber, Sharlene. Gilmartin,
Christina and Lydenberg, Robin (eds.), Feminist Approaches to Theory and
Methodology (pp. 79-99), New York: Oxford University Press.
Segal, Lynne. (1997). “Sexualities”. In Woodward, Kathryn (ed.), Identity and Difference
(pp. 184-235), London: Sage and the Open University Press.
Tong, Rosemarie. (1989). Feminist Thought. London: Westview Press, Inc.
Wolf, Naomi. (1997). Promiscuities: A Secret History of Female Desire. London: Chatto &
Windus Ltd.
Zalewski, Marysia. (2000). Feminism after Postmodernism. New York: Routledge.
126
ประวัติผเู ขียน