You are on page 1of 137

เรื่องเพศนอกการแตงงาน: การตอรองดานเพศวิถีของผูหญิงไทยชนชั้นกลาง

ปลินดา ระมิงควงศ

ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาสตรีศึกษา

บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม
เมษายน 2550
เรื่องเพศนอกการแตงงาน: การตอรองดานเพศวิถีของผูหญิงไทยชนชั้นกลาง

ปลินดา ระมิงควงศ

วิทยานิพนธนี้เสนอตอบัณฑิตวิทยาลัยเพื่อเปนสวนหนึ่ง
ของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญา
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาสตรีศึกษา

บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม
เมษายน 2550

กิตติกรรมประกาศ

การเรียนในระดับปริญญาโทของผูเขียนคงไมมีวันสําเร็จ ถาปราศจากกลุมบุคคลอันเปน
ที่รักและเคารพเหลานี้
กลุ ม คนที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด และมี พ ระคุ ณ มากที่ สุ ด ในชี วิ ต พ อ แม อากุ ง อาผ อ ยายเจี ย น
ที่ เ ห็ น ความสํ า คั ญ ของการศึ ก ษาและคอยสนั บ สนุ น ผู เ ขี ย นในทุ ก ๆ ด า นมาโดยตลอด และ
ขอขอบคุณเปนอยางมากตอญาติพี่นองทุกคนในครอบครัวของผูเขียน โดยเฉพาะอาปกวี่ ปาเกศ
อากูสายทอง อากูสิ่น อาปกนอย ปาโบ นาปอก และพี่โปง กับความชวยเหลือทางดานกําลังใจและ
คอยอยูเคียงขาง ชวยแกปญหาในยามที่ผูเขียนเกิดอาการทอแทและพรอมจะยอมแพกับอุปสรรค
ที่เกิดขึ้นระหวางทางไดทุกเมื่อ สิ่งที่ดีที่สุดในชวงเวลานั้นก็คือการที่ผูเขียนไดตระหนักถึงความรัก
ความหวังดี และซาบซึ้งถึงคํากลาวที่วา “ไมวาจะเกิดอะไรขึ้น คนในครอบครัวก็จะอยูเคียงขางเรา
เสมอ และไมมีวันทอดทิ้งกัน” ไดเปนอยางดี
ขอขอบพระคุ ณ รองศาสตราจารย ดร.ชลิ ด าภรณ ส ง สั ม พั น ธ อาจารย ที่ ป รึ ก ษา
วิทยานิพนธ ผูจุดประกายความสนใจในประเด็น sexuality ใหกับผูเขียน และกรุณาสละเวลามาดูแล
ใหคําปรึกษา และขัดเกลาใหวิทยานิพนธเลมนี้เปนรูปเปนรางขึ้นมา อาจารยไดใหโอกาสผูเขียน
ทําในเรื่องที่เขาใจยากและซับซอน ซึ่งจริงๆ แลวเปนเรื่องที่เกินกําลัง ความสามารถของผูเขียน
แตอาจารยก็อดทน และใหอภัยกับความไมเอาไหนของผูเขียน พรอมทั้งพยายามผลักดันผูเขียน
มาโดยตลอด จนทําสําเร็จไดในที่สุด “ขอบพระคุณอาจารยมากคะ” ขอขอบพระคุณ ดร.รมเย็น
โกไศยกานนท อาจารยผูมีพระคุณอีกทาน ผูซึ่งเปนมากกวาอาจารย แตเปนทั้งพี่และเพื่อน ถาไมมี
อาจารยโม วิทยานิพนธเลมนี้คงไมมีวันเสร็จได “ขอบคุณมากๆ นะคะพี่โมที่อยูดวยกันมาตลอด”
และขอขอบพระคุณกรรมการสอบอีกทาน คือพี่ผึ้ง หรือคุณณัฐยา บุญภักดี จากมูลนิธิสรางเสริม
ความเขาใจเรื่องสุขภาพผูหญิง (สคส) ที่กรุณาสละเวลามาอาน และเปนกรรมการสอบวิทยานิพนธ
ใหแมในชวงที่มีภารกิจรัดตัว นอกจากนี้ ปุยยังรูสึกวาพี่ผึ้งไดทําอะไรใหปุย มากกวาที่กรรมการ
สอบคนหนึ่งจะพึงทําใหกับนักศึกษา “ขอบพระคุณมากๆ จริงๆ คะ”
ขอกราบขอบพระคุณอยางสูงตอ รองศาสตราจารยวิระดา สมสวัสดิ์ ประธานหลักสูตร
ปริญญาโทสตรีศึกษา ที่กรุณามาเปนประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธของผูเขียน และอาจารย
ฉลาดชาย รมิตานนท อาจารยผูแสนใจดีและมีเมตตา ที่คอยใหกําลังใจ ใหความรูและมุมมองทาง
วิชาการแกผูเขียนเสมอ รวมไปถึงคณาจารยทุกทานที่กรุณาสละเวลามาสอน และชวยหลอหลอม

ความรูดานสตรีศึกษาใหกับลูกศิษยที่นี่ ดวยความตั้งใจ และความเมตตา ปรารถนาดีมาโดยตลอด


ผูเขียนขอกราบขอบพระคุณทุกทานมา ณ ที่นี้
ขอขอบคุณกําลังใจสนับสนุนในยามที่ผูเขียนขาดแคลนความมั่นใจจากอาจารยเตาและ
อาจารยงี้ ตลอดจนความชวยเหลือจากเจาหนาที่ศูนยสตรีศึกษาทุกๆ คน โดยเฉพาะอยางยิ่งพี่ตุก
พี่จิ ว และพี่ แยม ที่คอยชว ยเหลือ ทางดา นเทคนิค และชวยประสานงานในทุกขั้ นตอนของการ
ทําวิทยานิพนธนี้ใหสําเร็จลุลวงได ขอบพระคุณมากนะคะ
และกํ า ลังใจที่ สํา คัญ จากกลุ มคนสํา คัญ อีกกลุม ในชีวิต ของผูเ ขียน ขอบคุ ณเพื่อนรัก
ทุ ก คนที่ ค อยช ว ยลุ น และส ง กํ า ลั ง ใจมาให ผู เ ขี ย น ตลอดระยะเวลาของการเรี ย นและการ
ทําวิทยานิพนธที่ยาวนาน ซึ่งเต็มไปดวยความกดดันและรอยน้ําตา ไมวาจะเปนกลุมเพื่อนรักเกาแก
ที่เขาใจ และอยูเคียงขางผูเขียนเสมอในทุกเวลาที่ตองการ แจ ฟา แอม แนน เบิด มิ้ม ออม สม แตง
ราม เสี่ย กะป ชะ ตนกลา อาย โจ วิว สีโบ ดาว ออจะ จา ปม อน ตูน วาเนสซา และพี่เน็ท ที่คอยลุน
และเอาใจชวยกันอยูเสมอ เพื่อนๆ แกงค Cedar Point โดยเฉพาะ สมชาย นองแตน นองปุย นองวิว
ซี เน็ต อิ๊ม สม อุ คริส โก พีระ ที่ใสใจติดตามผลการเรียนของผูเขียนมาตั้งแตแรกเริ่มที่รูจักกัน
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ นองๆ รวมหลักสูตรสตรีศึกษา มช.ทุกคน ที่คอยถามไถความกาวหนา และ
ใหกําลังใจผูเขียนเสมอเวลาที่เจอกัน [ตามประสาคนหัวอกเดียวกัน] โดยเฉพาะ อิ๋งอิ๋ง กุกไก พี่แอด
พี่แปะ มน นอย พี่หนุม ขอบคุณนิ่ม ที่คอยชวนไปสรางบรรยากาศทางวิชาการ และพูดใหเห็น
มุ ม มองที่ ส วยงามเมื่ อ ชี วิ ต ของผู เ ขี ย นอยู ใ นภาวะกดดั น ขอบคุ ณ เป น พิ เ ศษต อ แอน สํ า หรั บ
ความชวยเหลือทางดานภาษาอังกฤษ และเอี๊ยม สําหรับหนังสือกับชีทที่มีประโยชน ขอขอบพระคุณ
คุณ Gail จากมูลนิธิผูหญิง ที่ชวยขัดเกลาภาษาใน Abstract ใหกับผูเขียน ขอขอบคุณคุณผูจัดการ
และนองๆ ที่โอเวอรซีส เอ็ด เชียงใหมทุกคน ที่เขาใจสภาพไมคอยอยูกับรองกับรอย และคอยเปน
กองหนุนทางดานจิตใจใหผูเ ขียนมาโดยตลอด รวมไปถึงอาจารยปู พี่เจี๊ยบ และปา แดงดวยค ะ
ความรัก กําลังใจ และความหวงใยอยางจริงใจจากผูคนรอบขางตัวและใจของผูเขียนทั้งหลายเหลานี้
คือสิ่งสําคัญและมีคาที่สุดที่จะไมมีวันลืมเลือน
สุด ท า ยนี้ ขอขอบคุ ณอย า งสุ ดซึ้ ง ต อ “พิ ม ” และ “จู น ” ผูเ ป น มากกว า เพื่ อน และเป น
ทุกสิ่งทุกอยางในวิทยานิพนธเลมนี้ ขอบคุณมากๆ อยางจริงใจ

ปลินดา ระมิงควงศ

ชื่อเรื่องวิทยานิพนธ เรื่องเพศนอกการแตงงาน: การตอรองดานเพศวิถีของผูหญิงไทย


ชนชั้นกลาง
ผูเขียน นางสาวปลินดา ระมิงควงศ
ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (สตรีศึกษา)
คณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ
ดร.รมเย็น โกไศยกานนท ประธานกรรมการ
รองศาสตราจารย ดร.ชลิดาภรณ สงสัมพันธ กรรมการ

บทคัดยอ
ในแต ละสังคมมีกรอบความเชื่อเกี่ยวกับรูปแบบของเรื่องเพศหรือ วิถีปฏิบัติทางเพศ
ของคนในสั ง คมที่ ถู ก ต อ งชอบธรรม ซึ่ ง เป น เรื่ อ งเพศที่ เ ชื่ อ ว า เป น ปกติ และสอดคล อ งกั บ
สภาพตามธรรมชาติของมนุษยที่ถูกแบงออกเปนสองเพศ เนื่องจากเรื่องเพศเปนกิจกรรมที่เกี่ยวของ
กั บ การผลิ ต ซ้ํ า และเลี้ ย งดู ค นรุ น ต อ ไปให กั บ สั ง คม จึ ง ต อ งมี ก ารกํ า หนดควบคุ ม เรื่ อ งเพศให
เปนไปตามกรอบของสังคม เพื่อใหเกิดความความเรียบรอยและเปนประโยชนตอสังคมโดยรวม
เรื่องเพศที่ไดรับการยอมรับวาถูกตองดีงามจึงอยูในรูปแบบของการมีเพศสัมพันธระหวางเพศชาย
กับเพศหญิง ที่มีรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว ภายใตสถาบันการแตงงาน เปนไปเพื่อการเจริญพันธุ และ
เป น เรื่ อ งเพศที่ เ กิ ด จากความรั ก โดยมี ก ารมองคนที่ มี พ ฤติ ก รรมทางเพศแตกต า งออกไปจาก
กรอบดังกลาววาเปนปญหา หรือเปนความเจ็บปวยที่ตองไดรับการแกไขเพื่อใหสังคมกลับมาสู
ความสงบสุข ดังนั้น พฤติกรรมทางเพศที่ปจเจกแสดงออกมา หรือแมแตในระดับความคิดจิตใจของ
แตละคนนั้น ก็ไดนําเอากรอบเรื่องเพศดังกลาวมาเปนมาตรวัดวาสิ่งที่ตัวเองหรือคนอื่นๆ ไดทํา
นั้ นถูกต อง หรือเป นไปตามกรอบแล วหรื อ ไม การศึ ก ษาในครั้ ง นี้ จึ งเป นการศึ กษาว า เรื่องเพศ
นอกการแต ง งานของผู ห ญิ ง ไทยชนชั้ น กลางสองคนได ส ะท อ นรู ป แบบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม
ของสั ง คมหรื อ ไม อย า งไร และพฤติ ก รรมทางเพศของพวกเธอที่ ดู เ หมื อ นกั บ เป น การขั ดแย ง
ต อ กรอบที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว เ ฉพาะภายใต ก ารแต ง งานนั้ น เป น การต อ รองกั บ
กรอบดังกลาวอยางไร
ผลการศึกษาพบวา เรื่อ งเพศนอกการแตงงานของพวกเธอสะทอนความเชื่อในเรื่อง
เพศวิถีของสังคมแบบชายเปนใหญ ที่กําหนดใหเรื่องเพศเปนเรื่องของการมีความสัมพันธทางเพศ
ระหว า งชายหญิ งเท า นั้ น และเป นเรื่ อ งเพศที่ ผู กติ ดกั บความรั ก ทํ า ให พวกเธอเกิด ความเชื่อ ว า
การมีเพศสัมพันธกับคนรักเทานั้นจึงจะนําไปสูการมีความสัมพันธที่มั่นคง อยางไรก็ตาม ถึงแมวา

พวกเธอจะมีประสบการณทางเพศนอกการแตงงานมาแลว แตพวกเธอก็ยังยอมรับวาการแตงงานคือ
การรองรับการมีเพศสัมพันธที่ถูกตอง เพื่อจะไดทําใหพอแมเกิดความสบายใจ เนื่องจากพวกเธอ
ตระหนั ก ดี ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งานของพวกเธอไม ใ ช เ รื่ อ งที่ ถู ก ต อ ง นอกจากนี้
เรื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอยั ง ถู ก เชื่ อ มโยงเข า กั บ ความเชื่ อ ในความสั ม พั น ธ แ บบ
ผัวเดียวเมียเดียวอีกดวย โดยมีการพยายามรักษาความสัมพันธแตละครั้งระหวางตัวเองกับคนรัก
ใหอยูในรูปแบบดังกลาว
ถึง แม ว า เรื่ องเพศของพวกเธอจะไม ได เ ปน ไปตามองค ป ระกอบของกรอบเรื่อ งเพศ
ที่ชอบธรรมพรอมๆ กันทุกอยาง แตพวกเธอก็พยายามทําใหเรื่องเพศของตัวเองเปนไปตามกรอบ
ดังกลาวใหมากที่สุด ดวยการใชวิธีการตอรองตางๆ ไมวาจะเปนการแบงแยกอาณาบริเวณเรื่องเพศ
ของตัวเองออกจากมิติอื่นๆ ของชีวิต เพื่อทําใหเรื่องเพศของตัวเองเปนเรื่องที่ไมถูกพูดถึง และทําให
พอกับแมสบายใจวาพวกเธอยังคงเปนลูกสาวที่ดีของพวกทานอยู หรือแมแตการใชวิธีการตอรอง
ดวยการเลือกใหความสําคัญกับบางองคประกอบของกรอบเพศที่ชอบธรรมในชวงเวลาที่แตกตาง
กันของแตละความสัมพันธ เพื่อทําใหพวกเธอรูสึกวาเรื่องเพศนอกการแตงงานของพวกเธอนั้น
ไมไดเปนเรื่องเพศที่ผิดไปจากกรอบทุกอยางโดยสิ้นเชิง และยังมีความสอดคลองกับกรอบดังกลาว
อยูดวย เพราะที่สุดแลวพวกเธอก็ยังคงใหความสําคัญกับเรื่องเพศ และมองวาเรื่องเพศเปนเครื่องมือ
ที่จะทําใหไดมาซึ่งสิ่งที่พวกเธอตองการ แมวาในบางครั้งความรักและความสัมพันธของพวกเธอ
จะนํ า มาซึ่ ง ความเสี ย ใจ ความผิ ด หวั ง หรื อ ความรู สึ ก ขั ด แย ง ภายในใจของพวกเธอก็ ต าม
ซึ่งความรูสึกตางๆ เหลานี้ หรือแมแตการตอรองของพวกเธอก็ลวนเกิดขึ้นจากการผูกเรื่องเพศและ
ความสัมพันธของตัวเองเขากับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และยังเปนการสะทอนวา
กรอบดังกลาวนั้นทํางานกํากับใหผูคนในสังคมเชื่อ และพยายามปฏิบัติตามอยางทรงพลังเพียงใด

Thesis Title Sex Outside Marriage: Sexual Contestation of Thai Middle-Class


Women
Author Miss Palinda Ramingwong
Degree Master of Art (Women’s Studies)
Thesis Advisory Committee
Dr. Romyen Kosaikanont Chairperson
Associate Professor Dr. Chalidaporn Songsamphan Member

ABSTRACT
In any society, there are always dominant beliefs about which types of sexual behavior
are to be considered legitimate, normal, and natural. The dominant beliefs are often justified by
saying that sex is related to the reproduction of the next generation, so society needs to control
sexual matters for the benefit and peace of the whole society. In Thai society, sex that is
considered good and proper is heterosexual and monogamous, performed only under the
institution of marriage and for the purpose of reproduction, and should also involve romantic
love. Those who practice different sexual behaviors are considered either troublesome or sick,
and need to be corrected or cured in order to keep society peaceful. Hence, individuals' sexual
behaviors and even desires are judged within this framework of legitimate sex. This study aims
to understand how individuals whose behavior seems to reject the dominant norms may still
negotiate their own sexual behavior within the framework of legitimacy. This study closely
examines two middle-classed women who engage in non-marital sex, and how they negotiate
their actions in a way that reflects dominant norms about legitimate sexual behavior.
The study concludes that these women's practice of sex outside marriage reflects
patriarchal society’s sexuality, which only approves of heterosexuality, and sex tied to romantic
love. That is why these women believe that only sex with men that they love can lead to stable
and secure relationships. However, despite experiencing sex outside marriage, they accept that
marriage would legitimize their sexual relations, to their parents' relief, as the women are fully
aware that non-marital sex is not acceptable. The women continue to value the idea of
monogamy and try to enforce it within their relationships with boyfriends.

Even though their sexuality does not conform to every aspect of dominant sexual
norms, they try their best to follow society's expectations by negotiating their behavior in several
ways. For example, they keep the sexual sphere of their lives separate from other areas of life, so
that their sexuality is not visible and does not upset their parents’ belief that they are still good
daughters. They also select some other aspects of accepted sexual behavior at different times in
order to ensure themselves that their non-marital sex does not go completely against the
framework, but instead conforms in some ways. These women view their sexuality as important
and consider it a means to get what they want, even though some of their relationships bring with
them sadness, disappointment, and emotional conflicts. This study concludes that these
conflicting emotions are caused by the women's efforts to make their sexuality conform to social
norms about legitimate sex, which powerfully control people’s beliefs and behaviors.

สารบัญ

หนา
กิตติกรรมประกาศ ค
บทคัดยอภาษาไทย จ
บทคัดยอภาษาอังกฤษ ช
บทที่ 1 บทนํา 1
ความสําคัญของปญหา 1
คําถามในการวิจัย 5
วัตถุประสงคในการวิจัย 6
นิยามศัพทเฉพาะ 6
ผลที่คาดวาจะไดรับ 7
สรุป 8
บทที่ 2 เรื่องเพศ: กรอบเพศที่ชอบธรรม 9
เพศวิถี: เรื่องธรรมชาติหรือการประกอบสรางจากสังคม 9
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม: รูปแบบของเรื่องเพศที่ไดรับการยอมรับ 11
การปลูกฝงแนวคิดหญิงดีในสังคมไทย 15
เรื่องเพศของผูหญิงและผลประโยชนของผูชาย 17
ผูหญิงในฐานะผูตอรอง 20
งานวิจัยที่เกี่ยวของ 23
กรอบคิดในการศึกษา 29
สรุป 30
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 32
แนวทางการวิจัย 32
กระบวนการวิจัย 33
วิธีการเก็บขอมูล 35
ผูใหขอมูล 37
จุดยืนและขอจํากัดของผูวิจัย 38
การวิเคราะหและนําเสนอขอมูล 40

สารบัญ (ตอ)
หนา
บทที่ 4 เรื่องเพศนอกการแตงงาน 42
เรื่องเลาของพิม 42
เรื่องเลาของจูน 67
สรุป 91
บทที่ 5 เรื่องเพศที่ชอบธรรมและการตอรอง 92
มุมมองตอเรื่องเพศกับกรอบเพศที่ชอบธรรม 93
การนิยามความหมายเรื่องเพศ 93
เรื่องเพศกับความรัก 94
เรื่องเพศและการแตงงาน 99
เรื่องเพศและความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว 102
การตอรองกับกรอบเพศที่ชอบธรรม 106
การใหความสําคัญกับการมีเพศสัมพันธ 108
การใหความสําคัญกับความพึงพอใจที่มีตอกัน 110
การใหความสําคัญกับความมั่นคงในความสัมพันธ 111
การใหความสําคัญกับความสัมพันธครั้งใหมที่คิดวาดีกวา 113
สรุป 115
บทที่ 6 สรุปและขอเสนอแนะ 117
ขอเสนอแนะ 121
บรรณานุกรม 122
ประวัติผูเขียน 126
บทที่ 1
บทนํา

ความสําคัญของปญหา

ผูใดเกิดเปนสตรีอันมีศักดิ์ บํารุงรักกายไวใหเปนผล
สงวนงามตามระบอบใหชอบกล จึงจะพนภัยพาลการนินทา
...
เปนสาวแสแรรวยสวยสะอาด ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีคา
แมนแตกราวรานรอยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง
สุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู (2380)
(อางใน เชื้อชื่น ศรียาภัย และ นล นรากร, 2520: 22)

เรื่ อ งเพศหรื อ sex ถู ก มองว า เป น เรื่ อ งที่ เ ป น ส ว นตั ว ของมนุ ษ ย และเกี่ ย วข อ งกั บ
ความต อ งการทางธรรมชาติ ห รื อ แรงกระตุ น ที่ ถู ก ฝ ง อยู ภ ายในแต ล ะบุ ค คล การมองเรื่ อ งเพศ
ในลักษณะดังกลาวทําใหเกิดการแบงแยกวา เรื่องเพศและพฤติกรรมทางเพศที่ถูกตองดีงามคือ
เรื่ องเพศที่มีลั กษณะสอดคลองกับ ธรรมชาติ ในขณะที่รูปแบบของเรื่อ งเพศที่แ ตกตา งออกไป
ถูกมองวาผิดปกติ เพราะไมสอดคลองกับธรรมชาติ อยางไรก็ตาม การมองเรื่องเพศในลักษณะนี้
ถูกทาทายโดยแนวคิดที่มองวา แทจริงแลววิถีและกฎเกณฑในเรื่องเพศเปนสิ่งถูกประกอบสรางจาก
สังคมมากกวา เพราะความตองการทางเพศอาจเปนความตองการทางธรรมชาติของมนุษยก็จริง
แต จ ะต อ งการแบบไหน หรื อ จะตอบสนองความต อ งการด ว ยวิ ธี ไหนนั้ นเป นผลมาจากระบบ
ความเชื่อความหมายของสังคม และความแตกตางระหวางบุคคล (Catherine A. Mackinnon, 1995
อางใน ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2549: 25) เรื่องเพศจึงไมใชเรื่องธรรมชาติทั้งหมดแตประกอบ
ไปดวยระบบการใหความหมายที่มนุษยสรางขึ้น สงผลใหความปรารถนาทางเพศและพฤติกรรม
ทางเพศที่ ถู ก จั ดว า เป นแง มุ ม ส ว นตั ว ของคนในสั ง คม กลั บ กลายเป น เรื่ อ งที่ ถู ก ควบคุ ม กํ า กั บ
อยางเขมงวดจากสังคม ศาสนาและรัฐ มีการใชมาตรฐานทางศีลธรรมหรือผลกระทบที่มีตอสังคม
โดยรวมมาเปนตัวกํากับควบคุมการแสดงออกและความสัมพันธทางเพศของคนในสังคม มากกวา
จะใชเรื่องของความพึงพอใจหรือผลกระทบตอคนที่เกี่ยวของมาเปนตัวตัดสิน (Gail Hawks, 1996
อางใน เรื่องเดียวกัน: 25-26) ในแตละสังคมมีชุดความเชื่อและมาตรฐานหลักเกี่ยวกับเรื่องเพศ
2

ที่ปกติที่สะทอน หรือสอดคลองกับความเปนธรรมชาติ เปนตัวแยกแยะเรื่องเพศที่เชื่อกันวาถูกตอง


เหมาะสมและเป น วิ ถี ป ฏิ บั ติ ข องคนส ว นใหญ ใ นสั ง คม ออกจากเรื่ อ งเพศที่ ผิ ด ปกติ ห รื อ
ไมเปนที่ยอมรับ พรอมทั้งมีกลไกในการกํากับควบคุมใหสมาชิกในสังคมอยูในวิถีปฏิบัติทางเพศ
ที่ถูกตองดีงามนี้ (เรื่องเดียวกัน: 26)
อยางไรก็ตาม ทามกลางสังคมที่มีฐานคิดของคําอธิบายความแตกตางระหวางชายหญิง
ซึ่งเชื่อมโยงกับลักษณะทางสรีระ หรือลักษณะทางธรรมชาติอื่นๆ และกลายเปนชุดของความจริง
ที่ ไ ด รั บ การตอกย้ํ า ผ า นกระบวนการแสวงหาความรู ข องศาสตร แ ขนงต า งๆ อย า งต อ เนื่ อ ง
ไมวาจะเปนชีววิทยา แพทยศาสตร จิตวิทยา สังคมวิทยา รัฐศาสตร ศาสนศาสตร ฯลฯ ความรู
เหลานี้มีผลตอการรับรูของสังคมเกี่ยวกับหญิงและชายในเรื่องตางๆ ไมวาจะเปนบุคลิกลักษณะ
ศักยภาพ ความสามารถ โอกาสในชีวิต รวมทั้งการคาดหวังในบทบาทของทั้งสองเพศ และมีผลตอ
การจั ด ระเบี ย บทางสั ง คมที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งหญิ ง ชาย ทั้ ง ภายในครอบครั ว
สถานที่ ทํ า งาน รวมถึ ง พื้ น ที่ ส าธารณะอื่ น ๆ ทํ า ให ค นส ว นใหญ ย อมรั บ การดํ า รงอยู ใ นพื้ น ที่
ทางสั ง คมที่ แ ตกต า งกั น ระหว า งชายและหญิ ง รวมไปถึ ง ยอมรั บ กฎเกณฑ กติ ก าต า งๆ
ที่เปนฐานรองรับความแตกตางนั้น หรืออาจกลาวไดวา การยอมรับในสิ่งตางๆ เหลานี้ ไดนําไปสู
การสรางระบบที่ยอมรับความไมเสมอภาคทางเพศระหวางชายและหญิง โดยไดจัดใหผูชายเปนฝาย
ที่ มี โ อกาสมากกว า ผู ห ญิ ง ในทุ ก ๆ อาณาบริ เ วณของสั ง คม (นภาภรณ หะวานนท , 2547: 60)
นั ก สตรี นิ ย มมองว า ลั ก ษณะสั ง คมดั ง กล า วคื อ สั ง คมที่ มี โ ครงสร า งแบบ “ชายเป น ใหญ ” หรื อ
ปตาธิปไตย (patriarchy) ที่หมายถึง การครอบงําของเพศชาย แตไมใชการครอบงําในแงของปจเจก
หรือกลุมผูชายเหนือผูหญิง แตอยูในรูปแบบโครงสรางของการครอบงํา หรือระบบการใหคุณคา
ของลําดับขั้นสูงต่ําที่ฝงอยูในสังคม อันไดแก การใหคุณคากับสิ่งที่เกี่ยวของกับผูชาย และลักษณะ
ความเปนชายมากกวาสิ่งที่เกี่ยวของกับผูหญิง และลักษณะความเปนหญิง (Marysia Zalewski,
2000: 11-12) โดยที่ผูชายเปนฝายกําหนดกรอบ กติกาตางๆ ของสังคมใหเปนไปเพื่อเอื้อประโยชน
แกระบบชายเปนใหญ ไมเวนแมกระทั่งพื้นที่ที่จัดวาเปนสวนตัว อยางเชนเรื่องเพศ หรือเพศวิถี
(sexuality)
ยกตัวอยางเชนกรอบที่กําหนดวิถีปฏิบัติทางเพศของผูหญิงไทยอยาง “สุภาษิตสอนหญิง”
ของสุนทรภู ที่ผูเขียนไดหยิบยกขึ้นมาขางตนนั้น ไดสะทอนอยางชัดเจนถึงการปลูกฝงใหผูหญิง
มีวิธีคิด และการปฏิบัติตนเพื่อใหไดชื่อวาเปนผูหญิงที่ดี โดยเปนกรอบที่ผูกคุณคาของผูหญิงไวกับ
เรื่อง “พรหมจรรย” หรือ “ความบริสุทธิ์” และบอกใหผูหญิงรักษาเอาไวจนกวาจะถึงเวลาอันควร1

1
“เวลาอันควร” ในบริบทนี้หมายถึง การแตงงานที่ไดรับการยอมรับทั้งทางดานกฎหมายและทางสังคม
3

หรื อ ได รั บ การยิ น ยอมจากสั ง คม นอกจากนี้ คนในสั ง คมยั ง ใช ก รอบดั ง กล า วเป น แนวทาง
ในการจัดการผูหญิงที่ไมสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองไวได อยางเชนใชวิธีการติฉินนินทา
หรือตีตราวาผูหญิงที่ไมทําตามกรอบนี้เปนผูหญิงที่ไมมีคุณคา ซึ่งเทากับวานอกจากจะปลูกฝงให
ผู ห ญิ ง เชื่ อ และทํ า ตามกรอบนี้ แ ล ว กรอบดั ง กล า วยั ง เป น แนวทางให ผู ค นในสั ง คมเชื่ อ ตาม
และนํามาใชตัดสินการแสดงออกทางเพศของผูหญิงดวย กลายเปนรูปแบบของการควบคุมกํากับ
เรื่ อ งเพศของคน ให เ ป น ไปตามเรื่ อ งเพศที่ สั ง คมเชื่ อ ว า ถู ก ต อ งเหมาะสมหรื อ ดี ง าม
โดยกรอบดังกลาวจะทํางานกับผูคน ผานการขัดเกลาจากสถาบันตางๆ ของสังคมในรูปแบบที่
แตกตางกัน
การผูกคุณคาของผูหญิงไวกับการรักษาพรหมจรรยจนกวาจะแตงงาน เปนกรอบเรื่องเพศ
ที่สังคมไมไดนําไปใชกับผูชาย จึงเห็นไดชัดวาผูชายไดรับการผอนปรนในเรื่องทางเพศมากกวา
ซึ่งนักสตรีนิยมมองวาเปนเพราะระบบปตาธิปไตย (patriarchy) หรือระบบชายเปนใหญ ไดเขามา
ครอบงํ า สั ง คมในทุ ก ๆ ด า น รวมถึ ง เนื้ อ ตั ว ร า งกาย และการสื บ พั น ธุ ข องผู ห ญิ ง ด ว ย กล า วคื อ
ความเปนแม (motherhood) รวมถึงรูปแบบเพศวิถีแบบรักตางเพศ (heterosexuality) ไดถูกทําให
กลายเป น สถาบั น ที่ ถู ก ทํ า ให เ ป น ที่ ย อมรั บ ทางสั ง คม หรื อ ถู ก ส ง ทอดมาเป น เวลานาน ดั ง นั้ น
ประสบการณ ต า งๆ ในความเป น แม ห รื อ เรื่ อ งเพศระหว า งชายหญิ ง จึ ง ได ถู ก สร า งขึ้ น เพื่ อ
รั บ ใช ผ ลประโยชน ข องผู ช าย ถ า หากมี พ ฤติ ก รรมที่ ไ ม ส อดคล อ งกั บ ทั้ ง สองสถาบั น นี้ เช น
การทองไมมีพอ การทําแทง หรือการเปนหญิงรักหญิง พฤติกรรมเหลานี้จะถูกมองวาเปนพฤติกรรม
ที่เบี่ยงเบนหรือเปนอาชญากรรม ทั้งนี้เพราะทั้งสถาบันความเปนแมและเพศวิถีแบบรักตางเพศ
ถือวาเป นสิ่ งสํา คัญของการอยูรอดของระบบชายเปนใหญ จึง ทํา ใหทั้งสองสถาบันนี้ถูกอา งวา
เปนสัจธรรมและเปนธรรมชาติในตัวของมันเอง (Adrienne Rich, 1986 อางใน วารุณี ภูริสินสิทธิ์,
2545: 97-98)
ดังนั้น เมื่อปรากฏรูปแบบพฤติกรรมทางเพศของผูหญิง ที่เปนการสั่นคลอนรูปแบบของ
เรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรมของสังคมขึ้น ปฏิบัติการรูปแบบตางๆ เชน การประณามหรือลงโทษ
ผูที่ทําผิดเพื่อไมใหเปนเยี่ยงอยาง หรือการรณรงคใหคนเห็นคลอยในแงมุมที่ดีงามของการปฏิบัติตัว
อยู ใ นกรอบ หรื อ ในระเบี ย บที่ ค วรปฏิ บั ติ จึ ง เกิ ด ขึ้ น พร อ มกั น โดยไม ไ ด นั ด หมายจากหลายๆ
ภาคส ว น ไม ว า จะเป น สถานศึ ก ษา หน ว ยงานของรั ฐ สื่ อ มวลชน หรื อ แม แ ต ส ว นที่ เ ล็ ก ที่ สุ ด
ของสังคมคือภายในครอบครัว โดยมีเปาหมายคือการชี้ชวนใหเห็นวาการกระทําที่ไมเปนไปตาม
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมเชนนี้กอใหเกิดผลเสียอยางไรบาง ทั้งตอตนเอง ครอบครัวและสังคม
โดยรวม ยกตัวอยางเชน การออกมาแสดงความวิตกกังวลตอปญหา “การสําสอนทางเพศ” และ
การมีเพศสัมพันธในวัยเรียนของวัยรุนวาจะนําไปสูปญหาอื่นๆ ตามมา เชนปญหาเรื่องโรคเอดส
4

หรือการทําแทง (นายแพทยอุดมศิลป ศรีแสงนาม, 2546: 3) หรือความพยายามจัดตั้ง “เครือขาย


รักนวลสงวนตัว” ในกลุมนักเรียนนักศึกษาของนางระเบียบรัตน พงษพานิช ในฐานะประธาน
กรรมการของศูนยเสริมสรางครอบครัวใหอบอุนและเปนสุข เพราะคาดหวังวาวิธีการนี้จะชวย
บรรเทาปญหาได (เอ็กซไซสไทยโพสต, 18-19 กันยายน 2547: 3) หรือแมแตการพากลุมเด็กสาว
ไปสาบานตนวาจะรักนวลสงวนตัวหนาพระบรมรูปทรงมา โดยรัฐมนตรีฯ สุดารัตน เกยุราพันธุ
(โอเพน, มกราคม 2548: 57) เปนตน ซึ่งการเสนอแนวทางแกปญหาในลักษณะดังกลาวไดสะทอน
ถึ ง วิธี การมองปญ หาที่ ต องการทํ า ใหก ลุ ม ผูห ญิ ง ที่ มี หรื อ มี แ นวโน มว า จะมี พฤติ กรรมทางเพศ
นอกกรอบการแตงงานไดเห็นคลอยตามความถูกตองดีงามของการประพฤติตัวตามกรอบ และเปน
ความพยายามทําใหทุกคนกลับเขาไปอยูในกรอบดังกลาวใหได โดยที่ไมไดมองไปถึงเรื่องของ
ความคิด วิถีชีวิต หรือสถานการณเฉพาะเจาะจงของคนแตละคน ที่อาจทําใหแตละคนแสดงออก
ในเรื่องเพศที่แตกตางกันก็เปนได
อยางไรก็ตาม การผูกขาดวิธีการแกปญหาดังกลาวกับผูหญิงไทยทุกคน โดยใชวิธีการ
ตอกย้ํ า “อุ ด มการณ รั ก นวลสงวนตั ว ” หรื อ แม แ ต ก ารห า มผู ห ญิ ง ไม ใ ห ไ ปมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ น
เวลาอันควร เพื่อชี้ใหเห็นวาอุดมการณดังกลาวเปนสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติตาม โดยไมเปดโอกาส
ใหพิจารณาถึงทางเลือกอื่นๆ เลย ก็ดูจะเปนเรื่องที่ทําไดยากขึ้น และถูกตั้งคําถามมากขึ้นจากผูคน
กลุมตางๆ ในสังคม ซึ่งมีลักษณะเปน “พหุนิยมทางจริยศาสตร” (ethical pluralism) ที่ชลิดาภรณ
สงสัมพันธ (2547 ข) ไดอธิบายถึงเรื่องระบบความรูในสังคมปจจุบัน วามีลักษณะของ “การตอรอง/
การปะทะกัน” ของชุดความเชื่อและมาตรฐานความถูกตองดีงามหลายชุด การอธิบายปรากฏการณ
ทางสั ง คมโดยใช ค วามจริ ง เพี ย งชุ ด เดี ย วจึ ง ไม ส ามารถทํ า ได อี ก ต อ ไป เพราะชี วิ ต ทางสั ง คม
ไดกลายเปนเรื่องของการทําความเขาใจ และการจัดการกับความแตกตางในหลายมิติที่เลื่อนไหล
และขัด แยง กั น มากกวา จะใช แค ห ลั ก การเพีย งชุ ดเดี ย วมาตั ด สิน ความถู กต องดี ง ามอย า งง า ยๆ
โดยผูที่เกี่ยวของไมตองคิดอะไรมาก เพราะฉะนั้น การจะนําเอามาตรฐานความดีงามชุดที่วาดวย
“การรักนวลสงวนตัว” มาใชกํากับ หรือนํามาตัดสินผูหญิงที่มีพฤติกรรมทางเพศที่ไมเปนไปตาม
กรอบวาเปนฝายผิด และตองเปนฝายรองรับผลจากการกระทํานั้นๆ ก็ดูจะเปนเรื่องที่ยอมรับไดยาก
ในสังคมไทยปจจุบัน ซึ่งมีหลายลักษณะปนเปกันไป เชนมีลักษณะตามจารีตประเพณีดํารงอยู
ควบคูกับสภาวะสมัยใหมและหลังสมัยใหม
ถึงแมจะมีกลไกที่กํากับควบคุมเรื่องเพศของผูคนในสังคมใหเปนไปตามกรอบของสังคม
แตก็ยังมีคําถามที่ชวนใหคิดวา ผูหญิงทุกคนปฏิบัติในเรื่องเพศตามกรอบนี้อยางเครงครัดหรือไม
มากนอยแคไหน แตเนื่องจากแนวคิดที่วาเรื่องเพศเปนเรื่องสวนตัว ทําใหเราไมสามารถตอบคําถาม
นี้ไดอยางชัดเจน เพราะสิ่งที่ปรากฏใหเห็นคือ การที่ผูคนพยายามแสดงออกวาตนเองมีวิถีทางเพศ
5

ที่เปนไปตามกรอบของสังคม ดังนั้น สิ่งที่ผูเขียนจะทําในการวิจัยครั้งนี้คือ ผูเขียนจะศึกษามุมมอง


การให ความหมายต อเรื่อ งเพศ และการตอ รองด า นเพศวิถี ของผูห ญิ ง ไทยชนชั้น กลางสองคน
ที่เปดเผยวาพวกเธอมีพฤติกรรมทางเพศออกนอกกรอบ “ความเปนผูหญิงดี” กลาวคือ พวกเธอ
มีเรื่องเพศนอกการแตงงานหลายครั้งกับผูชายจํานวนหนึ่ง สาเหตุที่ผูเขียนสนใจและเลือกศึกษา
ชีวิตทางดานเพศวิถีของผูหญิงคูนี้ เนื่องจากเคยไดรับรูเรื่องราวประสบการณทางเพศของพวกเธอ
มาเปนเวลานานพอสมควร ในลักษณะของการพูดคุยอยางไมเปนทางการ และรับทราบวาพวกเธอ
ทั้งคูตางก็มีแนวทางการดําเนินชีวิตทางเพศที่แตกตางจากแนวทางที่สังคมคาดหวัง จึงนาจะเปน
ตั ว อย า งที่ เ ป นประโยชนต อ การศึ ก ษาวิ เ คราะห มุ ม มองที่ มี ตอ เรื่ อ งเพศนอกกรอบการแต ง งาน
ของคนในสังคมได
ผู เ ขี ย นมองว า การให ค วามหมายเกี่ ย วกั บ ประสบการณ แ ละความเป น ตั ว ตน (self)
ในเรื่องทางเพศของผูหญิงสองคนนี้ อาจจะเปนการเปดพื้นที่เพื่อทําใหเห็นความหลากหลายของ
วิถีทางเพศของผูหญิงไทยชนชั้นกลางในปจจุบันได ทั้งนี้ ผูเขียนเชื่อวาปริมณฑลในเรื่องเพศของ
แตละบุคคลนั้นมีความสลับซับซอน ซึ่งอาจจะแตกตางจากที่คนภายนอกมองเขามา หรือซับซอน
มากเกิ น กว า ที่ ค นอื่ น จะตั ด สิ น ได อ ย า งง า ยๆ ความแตกต า งหลากหลายเหล า นี้ ทํ า ให เ รื่ อ งของ
การกดดัน ชักจูง และความพยายามควบคุมความคิดเห็นของผูอื่นกลายเปนประเด็นที่ตองตั้งคําถาม
วา จะเป นไปได อยูห รื อไม และทํา ใหรูปแบบของการตอ รองจากผูค นที่มีวิถีทางเพศที่ แตกต า ง
ออกไปกลายเปนเรื่องที่ควรใหความสําคัญ เพื่อดูวาการตอรองนี้สะทอนใหเห็นอะไร นอกจากนี้
ผู เ ขี ย นยั ง เชื่ อ ว า แต ล ะป จ เจกก็ มี ค วามสามารถในการที่ จ ะเลื อ กปฏิ บั ติ ใ นสิ่ ง ที่ ต นต อ งการได
ซึ่งไมเพียงเพราะเปนเรื่องของสิทธิเสรีภาพเทานั้น หากเปนเพราะความแตกตางในการนิยามวา
อะไรดี ไมดี ถูก หรือผิด ซึ่งเปนลักษณะของสังคมที่มีลักษณะเปนพหุนิยมทางจริยศาสตรดวย
อีกทั้งการใหเหตุผลในการกระทําของแตละคนก็มีความนา สนใจเชนเดียวกันวา เพราะเหตุใ ด
พวกเธอจึงกระทําในเรื่องที่ขัดแยงกับความคาดหวังของสังคม และสุมเสี่ยงตอการถูกประณามจาก
สังคม (social condemnation) ในเรื่องทางเพศเชนนี้

คําถามในการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้มีคําถามที่ตองการทราบวา ผูหญิงไทยชนชั้นกลางมีมุมมองอยางไร
ต อ เรื่ อ งเพศของตั ว เอง และมุ ม มองของพวกเธอนั้ น สะท อ นกรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม
(legitimate sex) ของสั ง คมหรื อ ไม และพวกเธอมี วิ ธี ก ารต อ รอง/โต แ ย ง และให เ หตุ ผ ลกั บ
การตอรอง/โตแยงตอกรอบดังกลาวอยางไร
6

วัตถุประสงคในการวิจัย
1. เพื่อศึกษามุมมองของผูหญิงชนชั้นกลางที่มีตอกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม
2. เพื่อศึกษาวิธีการตอรองตลอดจนการใหเหตุผลที่พวกเธอใชในการตอรองกับกรอบ
ดังกลาว
3. เพื่อเป นการเปดพื้ นที่ใหกับสตรีศึ กษาไทยไดมี โอกาสสรา งความรู จากชีวิต และ
ประสบการณ ข องผู ห ญิ ง ที่ มี พ ฤติ ก รรมทางเพศในรู ป แบบที่ แ ตกต า งซึ่ ง มี ค วาม
ประสงคจะเปดเผยถึงความเปนตัวตนและความตองการของตนเองในมิติดังกลาว
ดวยการศึกษาจากมุมมองแบบสตรีนิยม (feminist perspective)

นิยามศัพทเฉพาะ
เรื่องเพศนอกการแตงงาน ในงานศึกษาชิ้นนี้หมายถึงการมีเพศสัมพันธที่ไมไดเกิดขึ้น
ภายใตเ งื่อนไขของการแต งงานในแงของพิ ธีกรรมและกฎหมาย ระหวา งตัวผู ใหขอมูลซึ่งเปน
ผูหญิงไทยชนชั้นกลางกับคูรักหรือคูนอนของเธอ
เพศวิถี (sexuality) หมายถึง ระบบความเชื่อ ความหมายเรื่องเพศ หรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับ
ความปรารถนาทางเพศของมนุษย ซึ่งเปนไดมากกวาพฤติกรรมทางธรรมชาติ
เรื่องเพศที่ชอบธรรม (legitimate sex) หมายถึง รูปแบบของความสัมพันธทางเพศซึ่งถูก
ประกอบสร า ง ถ า ยทอดและส ง ผ า นจากกลุ ม คนหรื อ องค ก รที่ มี อํ า นาจในสั ง คม เพื่ อ ให ค น
ในสังคมเขาใจวาเปนรูปแบบของเพศวิถีที่ถูกตองและชอบธรรม ผูใดประพฤติปฏิบัติในเรื่องเพศ
ตามกรอบนี้จะไดรับ การยอมรั บจากทั้ ง ระดับ บุคคล องค กรในสั ง คมและระดั บรัฐ กรอบหรื อ
รูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมไดแกเรื่องเพศที่เกิดขึ้นภายใตสถาบันการแตงงานในรูปแบบ
ผัวเดียวเมียเดียว เปนไปเพื่อการเจริญพันธุ และเปนเรื่องเพศที่เกิดจากความรัก ไมใชเรื่องเพศเพื่อ
การคา
การมีเพศสัมพันธ ในงานศึกษาชิ้นนี้หมายถึง การมีความสัมพันธทางเพศระหวางหญิง
ชายที่มีรูปแบบของการสอดใสอวัยวะเพศชายในอวัยวะเพศหญิง (vaginal intercourse)
ผู ห ญิ ง ชนชั้ น กลาง ในงานศึ ก ษาชิ้ น นี้ ห มายถึ ง ผู ห ญิ ง ไทยสองคนที่ จ บการศึ ก ษา
ในระดับอุดมศึกษา และมีหนาที่การงานที่ไดรับการยอมรับ กลาวคือเปนพนักงานรัฐวิสาหกิจและ
พนักงานโรงแรม ซึ่งเปนอาชีพที่ถูกจัดอยูในกลุมอาชีพที่มีพื้นฐานทางวัตถุ (รายไดและความมั่นคง
ในงาน) ใกล เ คี ย งกั น ตามเกณฑ ก ารจั ด ลํ า ดั บ การเป น ชนชั้ น กลางในสั ง คมทุ น นิ ย ม (วรวิ ท ย
เจริญเลิศ, 2536: 130)
7

การรักนวลสงวนตัว ในที่นี้จะขอตีความหมายตามความเขาใจของคนทั่วไปที่หมายถึง
การที่ผูหญิงรักษาความบริสุทธิ์ หรือพรหมจรรยของตัวเองไวจนกวาจะถึงวันแตงงานกับผูชายที่เธอ
และครอบครัวหรือเครือญาติเลือกแลววาจะใหมาเปนคูชีวิตเพียงคนเดียว
การตอรอง (contestation) ในการศึกษานี้ ผูเขียนขอใหคําจํากัดความวาคือปฏิบัติการ
ตางๆ ของผูใหขอมูลกับกรอบเรื่องเพศของสังคม ซึ่งเปนไดทั้งการสยบยอม ยอมตาม การตอตาน
ขัดขืนตอกรอบดังกลาว และเปนปฏิบัติการที่มีความเลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา

ผลที่คาดวาจะไดรับ
ผลจากการศึกษาในครั้งนี้ สามารถนํามาซึ่งการเพิ่มรายละเอียดใหกับสังคมในประเด็น
เรื่องเพศวิถีอีกชุดหนึ่ง ที่สรางผานจากมุมมองและประสบการณตรงของผูหญิงไทยชนชั้นกลาง
ทั้งสองคนนี้ เนื่องจากที่ผานมา ความรูเกี่ยวกับเรื่องเพศมักจะถูกนําเสนอผานมุมมองของผูที่อางตน
เปน “ผูรู” หรือผูมีอํานาจในการกําหนดมาโดยตลอด ซึ่งความรูอีกชุดที่จะไดมานี้อาจกอใหเกิด
ความเข า ใจในเรื่ อ งดั ง กล า วมากขึ้ น ในระดั บ ที่ เ ป น รายละเอี ย ดปลี ก ย อ ยที่ เ ฉพาะเจาะจงของ
แตละปจเจก ซึ่งอาจสงผลสะทอนถึงปรากฏการณภาพโดยรวม และอาจทําใหสังคมหันกลับมา
ทบทวนกรอบเรื่ อ งเพศดั ง กล า ว ว า ถึ ง เวลาที่ ค วรปรั บ เปลี่ ย นมุ ม มอง หรื อ ทั ศ นคติ ที่ มี ต อ ผู ที่ มี
พฤติกรรมทางเพศไมเปนไปตามกรอบของสังคมแลวหรือไม และนอกจากการปรับเปลี่ยนมุมมอง
เกี่ยวกับเรื่องทางเพศแลว วิธีการศึกษาจากประสบการณชีวิตจริงของบุคคลเชนนี้อาจจะนําไปสู
การปรั บ เปลี่ ย นมุ ม มอง หรื อ วิ ธี คิ ด ในประเด็ น อื่ น ๆ ของสั ง คมได อี ก ด ว ย แต ทั้ ง นี้ ผู เ ขี ย น
ก็ ไ ม ส ามารถอ า งได ว า ผลการศึ ก ษาที่ ไ ด ใ นครั้ ง นี้ จ ะสามารถนํ า มาเป น ตั ว แทนความคิ ด ของ
ผู ห ญิ ง ไทยชนชั้ น กลางทั้ ง หมดในสั ง คมไทยได แต อ าจจะเป น หนึ่ ง ในชุ ด ความรู เ รื่ อ งเพศวิ ถี
ที่จะปรากฏและอาจสงผลกระทบตอสังคมไทยโดยรวมไดบางเชนกัน
ผูเขียนเชื่อวา การมองเรื่องเพศและการตอรองอยางพินิจพิเคราะหจากแงมุมของผูหญิง
ที่ ไ ด รับ อิ ทธิ พ ลจากกรอบเพศวิ ถี ของสั งคม จะทํา ให เ ราสามารถทํ า ความเข า ใจความแตกต า ง
หลากหลาย ความสลับซับซอน และการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาของคนในสังคม
ไดมากขึ้น การพยายามศึกษาเรื่องเพศที่มีการนําเอาเรื่องเพศภาวะและชนชั้นมาศึกษาผานมุมมอง
แบบสตรีนิยม จะชวยใหเรามองเรื่องเพศในสังคมไดอยางเปดกวาง และสอดคลองกับปรากฏการณ
ที่เปนอยู ซึ่งนาจะมีประโยชนตอการกําหนด วาอะไรเปนปญหา อะไรไมใชปญหา หรือเรื่องที่เคย
คิ ดว า เป นป ญ หา อาจไม ใ ช ป ญหาเลยก็ ได หรื อ ถ า เป นป ญ หาก็ เ ป นแค ปญ หาของคนกลุ ม หนึ่ ง
แตไมใชปญหาในทัศนะของคนอีกกลุมหนึ่งก็เปนได ผลการศึกษาที่ไดในครั้งนี้อาจจะนําไปสู
8

การพยายามทําความเขา ใจซึ่งกันและกัน เพื่อแสวงหาแนวทางในการดําเนินชีวิตใหมีความสุข


มากขึ้นตามความตองการที่เฉพาะเจาะจงของคนกลุมตางๆ ในสังคมก็เปนได

สรุป
สังคมไทยมีลักษณะพหุนิยมทางจริยศาสตร ซึ่งหมายถึงสังคมที่มีการปะทะหรือตอรอง
ของมาตรฐาน หรือชุดความเชื่อตางๆ ของผูคน รูปแบบเพศวิถีของผูหญิงไทยกลับเปนประเด็นหนึ่ง
ที่ยังคงถูกตีกรอบใหเปนไปในรูปแบบที่สังคมกระแสหลักตองการ โดยมีการโจมตีหรือลงโทษ
ผูหญิงที่ไมไดอยูในกรอบดังกลาววาเปนตนเหตุที่ทําใหเกิดปญหาสังคมตางๆ ขึ้น ดังนั้น การสํารวจ
มุมมองในเรื่องเพศนอกการแตงงานของผูหญิง และเปดพื้นที่ใหพวกเธอ ผูที่ไดมีการตอรองกับ
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม ไดมีโอกาสออกมาพูดในประสบการณเรื่องเพศ ไดแสดง
ความคิดเห็น และสํารวจความรูสึกของตัวเองที่มีตอกรอบเรื่องเพศที่สังคมกําหนดจึงเปนสิ่งที่
ไมควรมองขาม รวมไปถึงการศึกษารูปแบบการตอรองกับกรอบดังกลาว และการใหเหตุผลตอการ
ต อ รองของผู ห ญิ ง แต ล ะคนนั้ น ล ว นเป น ประเด็ น สํ า คั ญ ที่ จ ะทํ า ให สั ง คมเกิ ด ความเข า ใจใน
เรื่ อ งกรอบเพศวิ ถี จ ากตั ว ตนของผู ห ญิ ง เอง และเป น วั ต ถุ ป ระสงค ห ลั ก ของการศึ ก ษาครั้ ง นี้
ในสวนของการนําเสนอเนื้อหาของการศึกษาครั้งนี้ ผูเขียนไดแบงออกเปนบทตางๆ ดังนี้
บทที่ 1 บทนํา
บทที่ 2 เปนการนําเสนอแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของ
บทที่ 3 นําเสนอเรื่องระเบียบวิธวี ิจัยที่ใชในการศึกษาครั้งนี้
บทที่ 4 เปนการถายทอด “เรื่องเลา” ของผูใหขอมูล
บทที่ 5 เปนการวิเคราะหมุมมองในเรื่องเพศของผูใหขอมูลและวิธีการตอรองกับกรอบ
เรื่องเพศที่ชอบธรรมจากเรื่องเลาของพวกเธอ
บทที่ 6 เปนบทสรุปผลการศึกษาและขอเสนอแนะ
บทที่ 2
เรื่องเพศ: กรอบเพศที่ชอบธรรม

ในบทนี้จะเปนการนําเสนอแนวคิดที่เกี่ยวของกับการศึกษามุมมองเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ของผู ห ญิ ง ไทยชนชั้ น กลางสองคน ที่ ดํ า เนิ น ชี วิ ต ทางเพศนอกการแต ง งาน และถู ก มองว า
เป นการกระทําที่ ผิดไปจากที่ สังคมยอมรั บ วา ไดสะทอ นความเชื่ อ ความหมายเกี่ ยวกับเพศวิถี
ของตั วเองและของสังคม โดยแนวคิดที่เ กี่ยวข องที่จ ะนํา มาใช ในงานศึกษาชิ้นนี้ ไดแ กแ นวคิด
เรื่องเพศวิถี (sexuality) แนวคิดเรื่องรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรม (legitimate sex) แนวคิด
เรื่ อ งหญิ ง ดี -หญิ ง เลว (good girl-bad girl) แนวคิ ด เรื่ อ งรู ป แบบของเพศวิ ถี ข องผู ห ญิ ง ในสั ง คม
ชายเป น ใหญ และสุ ด ท า ยคื อ แนวคิ ด เรื่ อ งการมองผู ห ญิ ง ในแง ข องการเป น ผู ก ระทํ า (agent)
ที่ แ สดงออกในรู ป แบบของการเป น ผู ต อ รอง (contest) กั บ กรอบเพศวิ ถี ใ นรู ป แบบต า งๆ ได
ซึ่งจะนํามาเปนแนวทางในการศึกษา และวิเคราะหเรื่องเลาของผูใหขอมูลทั้งสองคน และในสวนที่
ตามมาจะเปนเรื่องของการนําเสนองานวิจัยที่เกี่ยวของ ที่เคยมีผูศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของพฤติกรรม
การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานของคนในสังคม โดยจะเนนที่กลุมวัยรุนเนื่องจากเปนกลุมที่ถูกมอง
ว า ยั ง ไม ส มควรเกี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งเพศ และผู เ ขี ย นคิ ดว า เป น กลุ ม ที่ น า จะมี ป ฏิ กิ ริ ย าสนองตอบ
ตอกรอบที่ควบคุมเรื่องเพศของสังคมไดชัดเจนที่สุดกลุมหนึ่ง และสวนสุดทายของบทจะเปนการ
สรุปทายบท

เพศวิถี: เรื่องธรรมชาติหรือการประกอบสรางจากสังคม
ที่ ผ า นมามี ค วามพยายามให คํ า อธิ บ าย หรื อ ให ค วามหมายเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศ
ในสองแนวทางหลักใหญๆ ดวยกัน คือการมองเรื่องเพศในแนวทางสารัตถะนิยม (essentialism)
ที่มองวาเรื่องเพศคือแรงขับ หรือสัญชาตญาณทางธรรมชาติที่ตองการตอบสนองผานการมีกิจกรรม
ทางเพศ ซึ่ ง การมองแบบนี้ ทํ า ให ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ เพศตรงข า มกลายเป น เรื่ อ งปกติ ห รื อ
เรื่ อ งธรรมชาติ เพศวิ ถี เ ป นเรื่ อ งของการเจริ ญ พั น ธุ (reproduction) ด ว ยการมี เ พศสั ม พั น ธ แ บบ
สอดใส ท างช อ งคลอด (vaginal intercourse) เพศวิ ถี ใ นความหมายดั ง กล า วถู ก มองว า เป น
ปรากฏการณ ท างธรรมชาติ ที่ เ ป น สากล เปลี่ ย นแปลงไม ไ ด แ ละเป น ส ว นหนึ่ ง ของลั ก ษณะ
ทางชีววิทยาของแตละบุคคล (Diane Richardson, 1997: 155) ซึ่งลักษณะทางชีววิทยานั้นเกิดขึ้น
พรอมกับฮอรโมนและลักษณะทางกายและโครโมโซมบางอยางที่กําหนดวาเราเปนเพศชายหรือ
เพศหญิ ง ผูช ายนั้นเกิดมาพรอ มคุ ณลักษณะของความเป นเพศชายบางอยาง ไมว า จะเป นความ
10

หยิ่ งทะนง ความก า วร า ว ความอดทน หรือความสามารถในการใช เหตุ ผล ความสามารถที่ จ ะ


คิดวิเคราะห และความสามารถในการควบคุมอารมณ เปนตน ในขณะที่ผูหญิงก็มีคุณลักษณะของ
ความเปนหญิงติดตัวมาแตกําเนิดเชนกัน ไมวาจะเปนความออนโยน ความถอมตน ความสุภาพ
ออนนอม มีความเห็นอกเห็นใจ ใหกําลังใจ ออนไหว ไมเห็นแกตัว เปนตน ดังนั้น สังคมควรจะ
รักษาคุณลักษณะตามธรรมชาติดังกลาวไว โดยพยายามทําใหผูชายคงลักษณะและบทบาทของ
ความเปนชายและผูหญิงคงลักษณะและบทบาทของความเปนหญิง (Rosemary Tong, 1997: 3)
ดวยแนวคิดดังกลาวจึงทําใหเพศวิถีแบบชายและหญิงจึงมีลักษณะที่แตกตางกัน กลาวคือฝายหนึ่ง
มีความกาวราวและมีพลัง ในขณะที่อีกฝายหนึ่งเปนฝายยอมตามและตอบสนอง ซึ่งการเปรียบเทียบ
ทางชีววิทยาเชนนี้คือการมองวาในการดําเนินชีวิตทางสังคมรวมไปถึงเรื่องเพศดวยนั้น ผูหญิง
ควรเปนฝายที่ถูกควบคุม เพราะผูหญิงเปนเพศที่ออนแอโดยพิจารณาตามสภาพรางกายของพวกเธอ
(Lynne Segal, 1997: 191) แนวคิดแบบนี้ถูกฝงอยูลึ กในฐานคิดของสังคมตะวันตก ที่พิจ ารณา
เรื่องเพศวาเปนสิ่งถาวรที่เปลี่ยนแปลงไมได ไมอยูในสังคมและขามผานประวัติศาสตร แนวคิดนี้
ถู ก ครอบงํ า มานานกว า ศตวรรษโดยอาศั ย หลั ก การทางการแพทย และแพร ก ระจายจาก
ทางการแพทย สู สั ง คมโดยรวม ไปจนถึ ง สถาบั น ที่ ศึ ก ษาเรื่ อ งราวทางเพศที่ ผ ลิ ต ซ้ํ า แนวคิ ด
สารัตถะนิยมนี้ สาขาวิชาเหลานี้จัดประเภทเรื่องราวทางเพศวาเปนสมบัติเฉพาะของปจเจกบุคคล
ซึ่งอาจจะอยูในฮอรโมนหรืออยูในจิตวิญญาณของผูคน อาจเปนเรื่องทางกายภาพหรือจิตวิทยาก็ได
แตทวาภายใตการจัดประเภทแบบนี้ เพศวิถีก็ไมไดมีประวัติศาสตรและไมมีการกําหนดความสําคัญ
ทางสังคมแตอยางใด (Gayle Rubin, 1982: 275)
แนวคิ ด แบบนี้ ถู ก วิ พากษ วิ จ ารณ จ ากนั ก สตรี นิ ย มและกลุ ม อื่ น ๆ ที่ ม องว า เพศวิ ถี คื อ
การประกอบสรา งจากสั งคม (social construction) ซึ่ง ก็ คือ แนวคิ ดที่ม องว า ความรู สึ ก กิจ กรรม
ทางเพศ วิธีการที่เราคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศ หรือแมแตอัตลักษณทางเพศของเราก็ลวนแตเปนผลผลิต
ของสังคมและประวัติ ศาสตร เชนเดี ยวกับแง มุ มอื่ นๆ ของชีวิต ทางสังคมที่เรื่อ งเพศวิถีของเรา
ไดถูกสรางขึ้นจากสังคมและวัฒนธรรมที่เราอาศัยอยู ไมวาจะเปนศาสนา กฎหมาย ทฤษฎีจิตวิทยา
การนิยามทางการแพทย นโยบายทางสังคม และวัฒนธรรมรวมสมัย ตางก็รวมกันประกอบสราง
ให เ ราเห็นวา เพศวิ ถี คือ อะไร ซึ่ ง เราไม ไ ด เ รี ย นรู แ ค แ บบแผนและคุณ ค า ของพฤติก รรมเท า นั้ น
แต ยั ง หมายรวมถึ ง ความหมายในเชิ ง กามารมณ (erotic) ที่ เ กี่ ย วพั น กั บ พฤติ ก รรมที่ สั ง คมและ
วัฒนธรรมนั้นใหความหมายอีกดวย (Diane Richardson, 1997: 155) อยางไรก็ตาม ไดมีการเสนอ
วา เราไมควรจะพิจารณาเพศวิ ถี โดยแบงแยกทั้ง สองมุมมองออกจากกันโดยสิ้นเชิง แตควรจะ
พิจารณาไปพรอมๆ กัน เชนนักทฤษฎีสายประกอบสรางทางสังคมอาจยอมรับแนวคิดที่วาแรงขับ
ทางเพศนั้นเปนสิ่งที่ติดตัวมาแตกําเนิด แตก็ปรากฏออกมาในรูปแบบทางวัฒนธรรมที่แตกตางกัน
11

(ibid.: 156) เพศวิถีของมนุษยจึงไมไดครอบคลุมเพียงแคแงมุมดานชีววิทยาบริสุทธิ์เพียงอยางเดียว


รางกายกับมันสมองของมนุษยนั้นเปนสิ่งสําคัญที่ใชสรางวัฒนธรรม แตก็ไมสามารถตรวจสอบได
วาเฉพาะแครางกาย หรือบางสวนของรางกายจะสามารถอธิบายธรรมชาติและความหลากหลายของ
ระบบสังคมมนุษยได กลาวคือ รางกาย สมอง อวัยวะสืบ พันธุและความสามารถทางภาษานั้น
ตางเปนสิ่งที่จําเปนสําหรับเพศวิถีของมนุษย แตก็ไมสามารถใชเปนตัวกําหนดเนื้อหา ประสบการณ
หรื อ รู ป แบบทางเพศวิ ถี ใ นฐานะที่ เ ป น สถาบั น ได โดยไม คํ า นึ ง ถึ ง องค ป ระกอบทางสั ง คมได
เพราะเราจะไมมีทางไดพบเจอกับรางกายที่ปราศจากการสื่อสารความหมาย ที่วัฒนธรรมเปน
ตัวกําหนดเลย (Gayle Rubin, 1982: 278) ในแนวคิดของการประกอบสรางทางสังคมนี้จึงมองวา
เพศวิถีนั้นเปนเรื่องของทั้งแงมุมในชี วิตสว นตัว และชีวิตทางสั งคม ซึ่ง หมายถึงวาเรื่องเพศนั้น
ไมไดเปนแคความปรารถนา ปฏิบัติการ และอัตลักษณที่เปนสวนตัวเทานั้น แตยังเปนเรื่องของ
วาทกรรมและการจัดการทางสังคมซึ่งประกอบสรางเรื่องเพศขึ้นในทุกชวงเวลาอีกดวย (Sonya
Andermarh, et al., 2000: 244)
สําหรับในงานชิ้นนี้ เพศวิถีถูกมองวาเปนเรื่องของการประกอบสรางทางสังคม กลาวคือ
ถึงแมว า ความตองการทางเพศอาจจะเปนเรื่องธรรมชาติ แตเราจะตอบสนองอยา งไร เมื่อไหร
หรือกับใคร ถึงจะถูกตองเหมาะสมเปนเรื่องที่ถูกกําหนดจากสังคมใหเปนไปตามแนวทางที่ไดรับ
การยอมรับ เพื่อใหเกิดประโยชนกับสังคมสวนรวมมากที่สุด ดังนั้น ผูคนในสังคมจึงมีความเชื่อวา
การแสดงออกทางดานเพศ และการตอบสนองความปรารถนาทางเพศนั้นไมสามารถกระทําได
อยางอิสระ แตตองเปนไปตามแนวทางที่เชื่อวาดีหรือถูกตองเหมาะสม ตามรูปแบบของเรื่องเพศ
ที่ชอบธรรมของแตละสังคมนั่นเอง

กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม: รูปแบบของเรื่องเพศที่ไดรับการยอมรับ
มนุษยในสังคมนั้นพยายามดําเนินชีวิตทางเพศไปภายใตอิทธิพลของการประกอบสราง
กฎเกณฑและกติกาของสถาบันทางสังคมตางๆ เพื่อใหเกิดประโยชนและความสงบเรียบรอยของ
สังคมโดยรวม (Geoff Danaher, et al., 2000: 137) ซึ่งปรากฏในรูปแบบของเรื่องเพศที่ยอมรับได
หรือถูกตองชอบธรรม โดยแตละสังคมตางก็มีชุดของความเชื่อและมาตรฐานเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ที่ ป กติ ที่ เ ชื่ อ กั นว า สะท อ นหรือ สอดคล องกั บธรรมชาติ ระบบความเชื่ อ นี้ ช ว ยให คนในสั ง คม
แยกแยะเรื่องเพศที่ถูกตองเหมาะสม ที่เปนวิถีที่คนสวนใหญถูกคาดหวังใหปฏิบัติตาม ออกจาก
เรื่ อ งเพศที่ ผิ ดปกติ ห รื อ ไม เ ป น ที่ ย อมรั บ พร อ มทั้ ง มี ก ลไกในการควบคุ ม ให ส มาชิ ก ของสั ง คม
ประพฤติอยูในแนวทางที่ถูกตองชอบธรรมนี้ ทั้งโดยการกํากับตนเองและกํากับผูอื่น (ชลิดาภรณ
สงสัมพันธ, 2549: 26)
12

Gayle Rubin (1982: 278) ไดกลาวถึงประเด็นเรื่องเพศที่ชอบธรรมไววา แนวคิดที่ใชใน


การมองเรื่องเพศบนฐานแนวคิดสารัตถะนิยมทางเพศไดนําคําอธิบาย วาเรื่องเพศเปนเรื่องธรรมชาติ
ที่เกิดขึ้นระหวางเพศตรงขามเทานั้นเขามาจัดลําดับอุดมการณทางเพศ และประเด็นที่มีความสําคัญ
ที่สุดก็คือ “การมองเรื่องเพศในเชิงลบ” (sex negativity) กลาวคือ วัฒนธรรมตะวันตกมักจะพิจารณา
เรื่องเพศวาเปนแรงขับที่อันตราย เปนเรื่องของการทําลายลางและมีลักษณะลบ วัฒนธรรมแบบนี้
มักจะปฏิบัติตอเรื่องเพศดวยความสงสัย เคลือบแคลง โดยตีความและตัดสินปฏิบัติการทางเพศ
ทั้งหมดไปในแงของการแสดงออกที่เลวรายเทาที่จะเปนไปได จนกวาเรื่องเพศจะไดรับการพิสูจน
วาบริสุทธิ์ คริสตศาสนาดั้งเดิมถือวาเรื่องเพศเปนความผิดบาปที่ฝงติดตัว สวนในทางปฏิบัตินั้น
พฤติ ก รรมที่ เ กี่ ย วกั บ ราคะทั้ ง หมดจะถู ก พิ จ ารณาว า เป น สิ่ ง ชั่ ว ร า ย ยกเว น แต จ ะมี เ หตุ ผ ลพิ เ ศษ
ซึ่งขอยกเวนที่ไดรับการยอมรับมากที่สุดก็คือ “การแตงงาน” “การเจริญพันธุ” และ “ความรัก” ทั้งนี้
การแตงงานระหวางเพศตรงขามเพื่อการเจริญพันธุ กลายเปนเรื่องเพศที่ไดรับการยอมรับวามีคุณคา
มากที่ สุ ด รองลงมาคื อ ความสั ม พั นธ ท างเพศแบบรั กต า งเพศที่ อ ยู ใ นรู ป แบบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย ว
ที่ไมไดแตงงาน และความสัมพันธแบบรักตางเพศรูปแบบอื่นๆ การจัดลําดับคุณคาของเรื่องเพศ
เชนนี้ คือการใหเหตุผลกับความดีงามของเรื่องเพศที่อยูในระดับสูง และทําใหเห็นความทุกขยาก
ของเรื่องเพศที่ไมเปนไปตามกรอบที่สังคมยอมรับ
การเชื่ อ มโยงเรื่ อ งเพศเข า กั บ การเจริ ญ พั น ธุ ทํ า ให เ พศสั ม พั น ธ ร ะหว า งชาย-หญิ ง
ถู ก มองว า เป น เรื่ อ งธรรมชาติ เพราะกิ จ กรรมทางเพศโดยการสอดใส นํ า มาซึ่ ง การเจริ ญ พั น ธุ
ที่มีสวนสําคัญตอการผลิตสรางคนรุนใหมใหกับสังคม ตองเกิดขึ้นจากการรวมเพศระหวางชายและ
หญิงเปนหลัก สังคมจึงมีการกํากับควบคุมพฤติกรรมทางเพศและความสัมพันธของคน เพื่อทําให
มั่นใจวาการเจริญพันธุจะเกิดขึ้น และยังตองจัดการใหมีผูเลี้ยงดู ดูแลสมาชิกใหมของสังคมดวย
ซึ่งกิจกรรมตางๆ เหลานี้ถูกเชื่อมโยงไวภายในครอบครัว เพื่อใหเกิดการเจริญพันธุและผลิตซ้ํา
คนรุ นต อ ไปใหสั งคม การตี กรอบเรื่ อ งเพศอย า งเฉพาะเจาะจงที่ยอมรั บ การมี เ พศสัม พันธ เ พื่ อ
การเจริ ญ พั น ธุ จึ ง ปฏิ เ สธเรื่ อ งเพศหลากรู ป แบบที่ เ ป น ไปเพื่ อ ความพึ ง พอใจทางกายของคน
เพียงอยางเดียว (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2549: 28)
เมื่อกรอบความเชื่อเรื่องเพศยอมรับการรวมเพศเพื่อการเจริญพันธุเชนนี้ จึงทําใหรูปแบบ
ของเรื่องเพศที่สังคมเห็นวาถูกตองชอบธรรมจํากัดอยูเฉพาะการมีเพศสัมพันธระหวางชายหญิง
ในสถาบันการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียวเทานั้น เพื่อเปนการรับประกันวาลูกในทองเปนของ
ชายคนใด ความสัมพันธทางเพศในลักษณะนี้ไดรับการยอมรับวาเปนเรื่องธรรมชาติ และปกติ
ทําใหเรื่องเพศหลากหลายรูปแบบที่อยูนอกการแตงงานกลายเปนปญหาสังคมที่ตองไดรับการแกไข
รวมถึ งความสัมพันธทางเพศที่ไ มไดเ ปน เรื่องระหวา งชายหญิง และเปนไปเพื่อการเจริ ญพั นธุ
13

ถูกจัดวาเปนความเบี่ยงเบน ผิดศีลธรรมและผิดธรรมชาติ (เรื่องเดียวกัน: 29) โดยปจเจกชนที่มี


พฤติกรรมที่เปนไปตามกรอบนี้จะไดรับรางวัล ในรูปแบบของการรับรองวาเปนผูที่มีสุขภาพจิต
ปกติ นาเคารพนับถือ ถูกตองตามกฎหมาย สามารถเลื่อนสถานะทางสังคมและทางกายภาพได
ในขณะที่ปจเจกที่มีเพศวิถีที่แตกตางออกไปก็จะถูกมองวาเปนโรคจิต มีความประพฤติฉาวโฉ
เปนอาชญากร ถูกจํากัดการเลื่อนสถานะทางสังคมและทางกายภาพ สูญเสียการสนับสนุนจาก
สถาบันตางๆ และถูกตัดความชวยเหลือทางเศรษฐกิจ (Gayle Rubin, 1982: 279)
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมหรืออุดมการณเรื่องเพศวิถีหลักของสังคมมักจะกํากับควบคุม
เรื่องเพศของผูคนในหลายๆ รูปแบบ โดยอางเหตุผลที่แตกตางกันไป ยกตัวอยางเชน เรื่องเพศไดถูก
นํ า มาร อ ยเรี ย งเข า กั บ เรื่ อ งของอํ า นาจรั ฐ ที่ เ ข า มาควบคุ ม เนื้ อ ตั ว ร า งกายของมนุ ษ ย โดยใน
คริสตศตวรรษที่ 18 ผูมีอํานาจอยางรัฐเริ่มใชเรื่องของ “จํานวนประชากร” มาเปนประเด็นในการ
ตรวจตรา/ตรวจสอบเรื่องเพศ และเพศวิถีของผูคนในสังคม ดวยสาเหตุที่วาจํานวนประชากรนั้น
มีค วามเกี่ ยวของกับ เรื่ องของเศรษฐกิ จ และการเมื อง ในฐานะที่มั นสามารถบง ชี้ถึง ความมั่ ง คั่ ง
ของรัฐ อีกทั้งยังเปนกําลังแรงงานที่สําคัญในการพัฒนาประเทศใหเจริญกาวหนา แนวคิดดังกลาว
จึงกลายเปนความชอบธรรมของรัฐ ที่จะเขามาวิเคราะหเรื่องของอัตราการเกิด อายุของคูแตงงาน
การมีลูกทั้งที่ถูกตองและไมถูกตองตามกฎหมาย การพัฒ นาและความถี่ข องการมีเ พศสัมพันธ
หนทางที่จะสงเสริมการเจริญพันธุหรือการคุมกําเนิด ผลกระทบของชีวิตโสด หรือขอหามตางๆ
ในเรื่องเพศ เปนตน กิจกรรมทางเพศของมนุษยจึงกลายเปนเรื่องที่รัฐตองเขามาวิเคราะห และ
จัดการกํากับ/ดูแลเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุด (Michel Foucault, 1990: 25-26)
สําหรับสังคมไทย มุมมองในประเด็นเรื่องเพศของคนในสังคมที่สะทอนผานนโยบาย
หรือกฎหมายตางๆ ของรัฐบาลไทยในแตละยุคสมัยนั้น ก็มีฐานคิดของเรื่องวิถีทางเพศที่ผูกติดกับ
ความเปนธรรมชาติดวยเชนกัน คือตองเปนเรื่องระหวางชายหญิงที่ผูกติดกับแนวคิดเรื่องเพศที่
ชอบธรรม กล า วคื อ มี การใหค วามสํา คัญ กั บเรื่องเพศที่อยู ภ ายใต การแต งงาน และเปนไปเพื่อ
การเจริญพันธุเทานั้น ซึ่งฐานคิดของนโยบายตางๆ ที่เกี่ยวของกับเรื่องเพศนั้น มีทั้งเรื่องของการมอง
หรือตัดสินเรื่องเพศในเชิงศีลธรรม ความพยายามรณรงคเพื่อใหเกิดการปรับเปลี่ยนในเรื่องเพศ
ของคนใหอยูในกรอบ และลดการสําสอนทางเพศลง เพื่อไมใหนําไปสูปญหาตางๆ ไมวาจะเปน
ป ญ หาเรื่ อ งความเสื่ อ มถอยทางศี ล ธรรมหรื อ โรคติ ด ต อ ทางเพศสั มพั น ธ โดยรู ป แบบของการ
มีเพศสัมพันธ กอ นสมรส และนอกสมรสนั้ นถูกมองวา เปนพฤติกรรมเสี่ยงตอการติดโรค และ
เป นที่ม าของป ญหาสั ง คมต า งๆ โดยรัฐ จะมุ งเน นให ค วามสํ า คัญกั บสถาบัน ครอบครั ว ซึ่ ง เป น
สถาบันที่มีอิทธิพลสําคัญในการขัดเกลาเลี้ยงดูสมาชิกของสังคมอยางใกลชิด เพื่อใหเขามาควบคุม
เรื่องเพศนอกกรอบ และพยายามจัดการกับปจจัยที่กระตุนเรา ในเรื่องเพศ เพราะรัฐมีมุมมองวา
14

พฤติกรรมนอกสมรสทุกรูปแบบนั้นสงผลกระทบตอความมั่นคงของประชากรและประเทศได
(ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2547 ก) รูปแบบของเพศสัมพันธและความสัมพันธของผูคนในสังคม
ที่ ถู ก ต อ งเหมาะสมตามแนวคิ ด ของรั ฐ ไทยที่ ส ะท อ นผ า นนโยบายหรื อ กฎหมายต า งๆ นั้ น
ตองมีลักษณะดังตอไปนี้

...เรื่องเพศที่เหมาะสมดีงาม ตองมีแงมุมของความผูกพันทางสังคมและความเกี่ยวพัน
ทางอารมณอยูดวย พฤติกรรมที่ถูกจัดวาเสี่ยงดูจะขาดแงมุมของการสรางความสัมพันธ
แต เ ป น เรื่ องเพศที่เ นน ความพึ ง พอใจทางกายแบบชั่ ว ครั้ งชั่ ว คราว ทํ า ให ถู กมองว า
มีคุณภาพต่ํากวาเรื่องเพศในกรอบ อันตรายของโรคเอดสกลายเปนเหตุผลสนับสนุน
สําคัญวาเรื่องเพศควรจะอยูในสถาบันการแตงงานและสถาบันครอบครัว และปฏิเสธ
ความถูกตองชอบธรรมของพฤติกรรมทางเพศของคนที่ไมไดอยูในสถาบันเหลานี้...
(เรื่องเดียวกัน: 47)

ถึ ง แม ว า เรื่ อ งเพศที่ ไ ด รั บ การยอมรั บ จากสั ง คม ที่ ถู ก สนั บ สนุ น และตอกย้ํ า โดยรั ฐ
ดังที่ไดกลาวมาแลว จะถูกจํากัดอยูในการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียว แตกรอบเรื่องเพศนี้กลับให
อิสระกับผูชายที่จะมีความสัมพันธทางเพศนอกการแตงงานในรูปแบบตางๆ ในขณะที่พฤติกรรม
ทางเพศของผูหญิงถูกจํากัดใหอยูในสถาบันการแตงงานอยางเครงครัด หากไปมีความสัมพันธ
ทางเพศนอกกรอบเรื่องเพศที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน จะทําใหผูหญิงเปนฝายสูญเสีย
มากกวา ซึ่งความดีงามของผูหญิงถูกตัดสินจากการประพฤติปฏิบัติในเรื่องเพศมากกวาแงมุมอื่นๆ
ในชีวิต ผูหญิงจึงไมควรสนใจ หรือมีประสบการณในเรื่องเพศมากนัก (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ,
2549: 31) ยกตัวอยางเชน เรื่องเพศนอกการแตงงานของผูหญิงในสังคมไทยนั้น ถูกใหความหมาย
วาเปนสิ่งที่เลวราย ผิดทั้งกรอบของระบบศีลธรรมและกรอบของสังคม ใน กฎหมายตราสามดวง
มีบทลงโทษสําหรับผูหญิงที่มี “ชู” ทั้งในเชิงสังคมและเชิงกฎหมาย ตั้งแตการเฆี่ยน การทัดดอกไม
ผูหญิงที่มีชูแลวแหประจานไปรอบๆ จนถึงการปรับไหม (ณัฐพร จาดยางโทน, 2542: 75-76)
โดยเครื่องมือสําคัญที่ใชในการควบคุมผูหญิงใหอยูในกรอบก็คือ การแบงผูหญิงออกเปน “หญิงดี”
“หญิ ง เลว” โดยตั ด สิ น จากพฤติ ก รรมทางเพศของผู ห ญิ ง หากใครมี ค วามสนใจฝ ก ใฝ หรื อ
มี ป ระสบการณ ท างเพศมาก ก็ จ ะถู ก มองว า เป น “หญิ ง เลว” ทํ า ให สู ญ เสี ย การยอมรั บ และ
ความเคารพนับถือจากคนอื่น พรอมทั้งถูกประณามและลงโทษจากสังคม (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ,
2547 ข: 70-76) ทั้งๆ ที่การที่ผูหญิงไปเกี่ยวของกับเรื่องเพศ หรือไปมีประสบการณทางเพศมากนั้น
นาจะเปนผลดีตอผูชายที่อยูในระบบความสัมพันธแบบรักตางเพศเปนใหญ แตระบบปตาธิปไตย
15

ไดใหคุณคากับผูหญิง วาผูหญิงที่ดีนั้นจะตองมีบทบาทเปนแม หรือเปนผูเลี้ยงดูที่มีความออนโยน


และสามารถตอบสนองเรื่องเพศกับผูชายไดทุกเวลาที่ตองการ จึงจะเปนผูหญิงที่ “ดี” ซึ่งเปนแนวคิด
ที่มองผูหญิงโดยผูกไวกับบทบาทของการเปน “แม/เมีย” ในครอบครัว ในขณะที่ผูหญิงที่สามารถ
มีเพศสัมพันธไดตามใจตัวเอง โดยไมไดเปนฝายยอมตาม หรือเปนผูหญิงที่มีพฤติกรรมทางเพศ
แบบที่ ผู ช ายไม ส ามารถเป น ฝ า ยกํ า หนดได นั้ น จะถู ก มองว า เป น “หญิ ง เลว” เนื่ อ งจากผู ห ญิ ง
ที่มีคูนอนหลายๆ คนหรือสามารถมีเซ็กสตามใจตัวเองไดนั้น เปนภาพตัวแทนของการแสดงออก
ซึ่ง ความปรารถนาของตั ว เองได ในขณะที่ สั ง คมป ต าธิ ป ไตยมองวา ผู ชายเทา นั้น ที่ จ ะสามารถ
ทําแบบนี้ได ผูหญิงตองมีสภาพเปนวัตถุทางเพศสําหรับผูชายเทานั้น ไมใชเปนผูกระทําทางเพศ
เชนนี้ (Linda Lemoncheck, 1997: 57-59) ดังนั้น จึงมีการมองผูหญิงที่มีพฤติกรรมทางเพศที่ไมได
อยูในกรอบ หรือเปนไปตามบทบาทที่ควรจะเปนวาเปนผูหญิงไมดี สังคมจึงมีวิธีการกํากับใหผูคน
เชื่อและคลอยตามแนวคิดดังกลาว โดยเฉพาะกับตัวผูหญิงเอง

การปลูกฝงแนวคิด “หญิงดี” ในสังคมไทย


สําหรับในสังคมไทยนั้น อุดมการณเรื่อง “การรักนวลสงวนตัว” ถูกใชเปนเครื่องมือ
ที่สําคัญ เพื่อกํากับความคิดของผูหญิงไมใหไปยุ งเกี่ยวกับเรื่องเพศกอนแตงงาน เพื่อใหผูหญิ ง
ที่สามารถปฏิบัติตามไดถูกมองและมองตัวเองวาเปน “หญิงดี” ทั้งนี้ ไมวาจะเปนดวยเหตุผลของ
การมองผูหญิงในฐานะเปนตัวแทนของชนชั้น และมองการแตงงานวาเปนเรื่องของผลประโยชน
ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเปนแนวคิดของกลุมชนชั้นสูงและชนชั้นกระฎมภีตั้งแตสมัยตนรัตนโกสินทร
การพยายามจํากัดผูหญิงไมใหไปยุงเกี่ยวกับเรื่องเพศกอนแตงงาน ก็เพื่อที่จะทําใหเกิดความมั่นใจวา
ลูกสาวจะไดแตงงานกับผูชายจากครอบครัวที่สามารถเกื้อหนุน หรือเอื้อประโยชนซึ่งกันและกันได
ซึ่งแตกตางจากกลุมชนชั้นที่อยูในระดับต่ํากวา หรือชนชั้นไพรที่มีความอิสระในการเลือกคูมากกวา
คําสอนหรือคานิยมชนิดใหมจึงปรากฏขึ้นในสุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู (พ.ศ. 2380) ซึ่งเปน
วรรณกรรมที่สรางขึ้นเพื่อตอบสนองตอสภาพชีวิตของกระฎมพีในสมัยนั้น โดยรอยละ 60 ของ
คําสอนเปนเรื่องที่เกี่ยวกับการใหผูหญิงรักนวลสงวนตัว กลัวการทองไมมีพอ กลัวการหนีตาม
กันไป สวนคําสอนที่เกี่ยวกับกิริยามารยาทนั้นมีเพียงประมาณรอยละ 40 เทานั้น (นิธิ เอียวศรีวงศ,
2529: 26-27 และ 2538: 232)
หรื อ จะเป น เหตุ ผ ลของการผู ก คุ ณ ค า ของผู ห ญิ ง ไว กั บ เรื่ อ งของ “ความบริ สุ ท ธิ์ ”
ตามอุดมการณสรางความเปนกุลสตรีที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่สี่และรัชกาลที่หา ซึ่งเปนสวนหนึ่ง
ของอุดมการณที่เกิดขึ้น เพื่อเปนการทําใหประเทศตะวันตกเห็นวาประเทศไทยไมไดเปนประเทศที่
ปาเถื่อนหรือลาหลัง แตยังไดมีการพัฒนาประเทศไปสูความทันสมัย (modernization) โดยไดมีการ
16

เนนอุดมการณของสตรีในเรื่องของการเปนแมบานแมเรือน การอยูกับเหยาเฝากับเรือน การอบรม


ดูแลลูก ซึ่งแมจะตองอบรมลูกสาวใหเปนกุลสตรีตอไป โดยเริ่มปลูกฝงตั้งแตวัยเด็กในรูปแบบของ
การละเลนของเด็กแตละเพศใหแตกตางกัน ลูกผูหญิงจะถูกสอนใหยึดมั่นในความเปนกุลสตรี
โดยเฉพาะอุดมการณเรื่อง “การรักนวลสงวนตัว” “การปลูกฝงความคิดเรื่องพื้นที่ของผูหญิงวา
ควรจะอยู ใ นบ า น” “การปฏิ บั ติ ต นเป น ภรรยาและแม ที่ ดี ” และ “การยึด มั่ นในอุ ดมการณ เ รื่ อ ง
ผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย ว ” ซึ่ ง ถื อ เป น เรื่ อ งทั น สมั ย ในเวลานั้ น ตามกระแสแนวคิ ด เรื่ อ งเพศและ
เรื่องครอบครัวจากประเทศตะวันตก โดยไดรับอิทธิพลจากความคิดในเรื่องเพศแบบวิคทอเรียน
(Victorian sexual attitudes) และคุณคาเหลานี้ไดเสนอสูสังคมผานวิธีการตางๆ เชน วรรณกรรม
หรื อ งานเขี ย นที่ เ ผยแพร อ อกจากในวั ง (วารุ ณี ภู ริ สิ น สิ ท ธิ์ , 2543 [ระบบออนไลน ]
http://www.midnightuniv.org) ซึ่ งนิ ภ า จีรภัท ร (2539) วิ เ คราะห ว า อุ ดมการณ ที่เ กี่ยวกั บผูห ญิ ง
เหลานี้เปนรูปแบบของวัฒนธรรมหลวง (great tradition) ซึ่งถูกเผยแพรออกมาจากสวนกลางเขาสู
ระดับทองถิ่น เปนการแพรกระจายของวัฒนธรรมเพื่อสรางความกลมกลืนและใหเกิดพื้นฐานของ
แนวคิ ด ทางวัฒ นธรรมเดีย วกั น อั น เป นวิ ธีก ารหนึ่ ง ของการสร า งอุ ด มการณ ใ นเรื่ อ งความเป น
อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วกั น ของประเทศ (nationalization) การแพร ก ระจายของการสร า งบรรทั ด ฐาน
ทางวัฒนธรรมเพื่อความทันสมัยและเพื่อความเปนหนึ่งเดียวกันของประเทศ เพื่อรักษาเอกราชของ
ชาติไวนั้น ไดกลายมาเปนเครื่องมือที่ทําใหเกิดชนชั้นใหมในหมูผูหญิงขึ้น ซึ่งก็คือการแบงแยก
ระหวาง “กุลสตรี” [หรือผูหญิงดี] กับ “หญิงคนชั่ว” โดยใชบรรทัดฐานในเรื่องของการรักนวล
สงวนตัวเปนตัวตัดสิน ผูหญิงที่ไมสามารถรักษาพรหมจารีไวไดจะถูกมองวาเปน “หญิงคนชั่ว”
เปน “ผูหญิงที่ไมดี” แมกระทั่งในสายตาของผูหญิงดวยกันเอง และในการมองตัวเองของผูหญิง
คนนั้น และแนวคิดดังกลาวยังสงผลมาถึงมุมมอง ความคิดของผูคนจํานวนไมนอยในสังคมไทย
ปจจุบัน ในเรื่องของการปฏิบัติตัวหรือการแสดงออกดานเพศของผูหญิงดวยเชนเดียวกัน
Diane Richardson (1997: 160) อธิบายวา ความเชื่อเรื่องเพศเปนการประกอบสรางขึ้น
ในผลประโยชนของผูชาย และถูกนิยามในความหมายของประสบการณของผูชาย เพื่อตอบสนอง
ความพึงพอใจทางเพศของผูชาย เรื่องเพศของผูหญิงถูกนิยามเขากับผูชายอยางแยกไมออก ถึงแมวา
ผูหญิงจะถูกคาดหวังในเรื่องของการเปน “ผูหญิงดี” และมีตัวอยางของการประณาม “ผูหญิงเลว”
ที่ เ ข า ไปเกี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งเพศนอกกรอบให เ ห็ น แต เ นื่ อ งจากระบบเพศวิ ถี ข องสั ง คมและ
ระบบป ต าธิ ป ไตยได ทํ า ให ผู ห ญิ ง เชื่ อ ว า การยิ น ยอมมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ คนรั ก จะทํ า ให ไ ด ม า
ซึ่ ง ความรั ก ความมั่ น คง รวมไปถึ ง ทํ า ให เ ชื่ อ ว า การได เ ป น ที่ รั ก ของผู ช ายจะเป น การยื น ยั น
ความมี ตั ว ตนของเธอในสั ง คมที่ ผู ช ายเป น ใหญ (Shulamith Firestone, 1972) ทํ า ให ผู ห ญิ ง
ตองพยายามกํากับตัวเองใหเปนไปภายใตความคาดหวังที่ขัดแยงของกรอบเรื่องเพศของสังคม
17

ที่มีตอผูหญิงอยางยากลําบาก กลาวคือ สังคมมีทั้งความตองการที่จะใหผูหญิงควบคุมเรื่องเพศ


ของตัวเองใหอยูในกรอบ เพื่อใหไดรับการยอมรับวาเปนผูหญิงที่ดี และการทําใหผูหญิงตองเปน
ฝ า ยยอมตามความต อ งการของผู ช ายในเรื่ อ งของการมี เ พศสั ม พั น ธ เพื่ อ ให ไ ด ม าซึ่ ง ความรั ก
ความอบอุน และความมั่นคงของตัวเอง ทําใหผูหญิงเปนฝายตกอยูในสถานะลําบากมากกวาผูชาย
ในการดําเนินชีวิตทางเพศทามกลางระบบเพศวิถีในสังคมเชนนี้ เพราะไมสามารถแสดงออกถึง
ความตองการของตัวเองไดมากเทากับผูชาย และแมกระทั่งอาจจะไมทราบวาอะไรคือความตองการ
ที่แทจริงของตัวเองเลยก็ได

เรื่องเพศของผูหญิงและผลประโยชนของผูชาย
สตรี นิ ยมสายรากเหงา (radical feminism) มองว า ระบบเพศวิ ถีใ นสั งคมที่ กํา หนดให
ผูหญิงเปนฝายตอบสนองความตองการทางเพศของผูชายนั้น เปนการสะทอนความไมเทาเทียม
ทางเพศภาวะที่หมายถึงสังคมมีการจั ดลํา ดับขั้นสูง ต่ํา (social hierarchy) โดยใหคุณคา กับผูชาย
สูงกวาผูหญิงในทุกกรณี โดยไมสามารถมองไดวาเปนเพราะสภาพทางชีววิทยาของผูหญิงหรือ
เพราะเพศวิถีแบบผูหญิงแตกตางจากเพศวิถีแบบผูชาย แตเปนเพราะการประกอบสรางจากสังคม
ที่ผูชายมีอํานาจ ทําใหการนิยามความหมายโดยผูชายและใชบังคับกับผูหญิง กลายเปนความหมาย
ของเพศภาวะที่ทําใหคนเชื่อวา เรื่องเพศหมายถึงการที่ผูหญิงเปนฝายตกเปนรองผูชาย เปนเรื่องของ
การครอบงํา (dominance) และสยบยอม (submission) ซึ่งเปนการนิยามความหมายที่สําคัญและ
เปนพื้นฐานของการมองเรื่องเพศนี้ (Catherine A. MacKinnon, 1995: 135)
ความไมเทาเทียมกันทางเพศภาวะทําใหผูชายเปนฝายไดเปรียบในเรื่องเพศวิถี ผูชาย
อยู ใ นตํ า แหน ง ที่ เ ป นผู กํ า หนดบทบาทของการกระทํ า ทางเพศ และทํ า ให ทั้ ง ผู ห ญิ ง และผู ช าย
ตองแสดงไปตามบทบาทที่ถูกกําหนดมาแลวนั้น (ibid.: 136) การอธิบายเรื่องเพศวิถีของทฤษฎี
สตรี นิ ย มจึ ง อยู ใ นรู ป แบบของ “ความเป น การเมื อ งเรื่ อ งเพศ” (sexual politics) ที่ มี เ พศภาวะ
เปนรากฐานที่สําคัญ (ibid.: 137) การที่ผูชายเปนฝายมีอํานาจมากกวาในสังคมไดสราง และกําหนด
ความหมายของสิ่ งที่ ผูชายตองการในดา นเพศ โดยเฉพาะอย า งยิ่ งผู หญิงที่ถู กนิยามวา เปนสิ่ง ที่
สามารถกระตุนอารมณ และทําใหเกิดความพึงพอใจได ทําใหเพศวิถีของผูหญิงตองเปนไปเพื่อ
การนี้ ดังนั้น ในกระบวนทัศนทางเพศเชนนี้ แนวทางปฏิบัติของการแสดงความสนใจทางเพศและ
การแสดงออกทางเพศ ตางถูกหลอมรวมเขากับการกอตัวและการยืนยันอัตลักษณทางเพศที่ผูหญิง
เป น ฝ า ยถู ก กระทํ า เท า นั้ น ทํ า ให เ พศวิ ถี ก ลายเป น วิ ถี ป ฏิ บั ติ กั บ เพศตรงข า ม (heterosexuality)
ในรู ป แบบของการที่ ผู ช ายเป น ฝ า ยครอบงํ า และผู ห ญิ ง เป น ฝ า ยสยบยอม นอกจากนี้ เพศวิ ถี
ยั ง ถู ก เชื่ อ มโยงเข า กั บ เรื่ อ งของการเจริ ญ พั นธุ ที่ จ ะต อ งมี ก ารสอดใส อ วั ย วะเพศชายเข า ไปใน
18

อวัยวะเพศหญิง และมีการหลั่งน้ําอสุจิของผูชายอีกดวย ดังนั้น เมื่อลักษณะของการเจริญพันธุ


ถู ก กํ า หนดไว เ ช น นี้ จึ ง ทํ า ให ร า งกายของผู ห ญิ ง เป น เพี ย งสถานที่ ร องรั บ อารมณ ท างเพศและ
ถูกลดทอนใหเปนแควัตถุทางเพศ เปนที่ระบายความใครของผูชายในความหมายของระบบเพศวิถี
ของสังคม (ibid.: 139)
Shulamith Firestone (1972: 127-145) เสนอว า ระบบปตาธิปไตยได สรางอุดมการณ
ที่ ใ ห คุ ณ ค า กั บ ความรั ก แบบโรแมนติ ก (culture of romance) ในความสั ม พั น ธ ช ายหญิ ง ขึ้ น มา
ครอบงําผูหญิง เพื่อทําใหผูหญิงใหคุณคากับความรักแบบดังกลาว และตองการเขาสูรูปแบบของ
การเปนรักตางเพศ แตจริงๆ แลว ความรักแบบดังกลาวเปนตัวแทนของความปรารถนาประการแรก
ของผูชาย นั่นคือการมีเพศสัมพันธหรือเซ็กสกับผูหญิง เพื่อยืนยันถึงความเปนชายของเขา ในขณะที่
ผู ห ญิง นั้นมีค วามรั ก เพราะต อ งการความมั่ นคงเป นการแลกเปลี่ ยน โดยผูห ญิ ง มั ก จะยึดติ ดกั บ
รู ปแบบความสัมพั นธแ บบผั ว เดี ยวเมี ยเดี ยว ความรั ก การเป นเจ า ของ การพึ่ ง พิง และใส ใ จใน
ความสัมพันธมากกวาเรื่องการมีเซ็กส ทําใหผูหญิงมักจะสับสนกับความใครและความปรารถนา
ทางเพศ แตผูชายนั้นสนใจแตเรื่องของเซ็กสโดยไมสนใจเรื่องอารมณความรูสึก ลักษณะดังกลาว
เปนผลมาจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก ที่ผูชายถูกแมผลักออกเพราะตองการใหเขาเปนผูชายเต็มตัว
ทําใหผูชายไมสามารถแลกเปลี่ยนตัวตนกับผูหญิงได เนื่องจากกลัวจะถูกผูหญิงผลักออกเหมือนที่
แม เ คยทํ า กั บ เขา ผู ช ายจึ ง รั ก ไม เ ป น และแสวงหาแต ภ าพลั ก ษณ (image) ที่ เ ขาสร า งขึ้ นเท า นั้ น
ผูหญิง จึ งต องพยายามทํา ทุ กอย างเพื่อ ให มีลั กษณะเหมื อนภาพที่ผูช ายต องการ เพื่อทํ า ให ผูช าย
มาหลงรัก เพราะในสังคมปตาธิปไตยนั้น ผูหญิงเชื่อวาเธอจะสามารถมีตัวตนไดก็เพราะไดรับการ
ยอมรับโดยผูชาย Firestone มองวาอุดมการณความโรแมนติกนี้ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อไมใหผูหญิง
หลุ ดพน ออกจากการผู กติ ดกับ ผู ชายได ทํ า ให ผู ห ญิ ง มี ส ภาพเป นวัต ถุ แห ง รัก หรื อ วั ตถุ ท างเพศ
ผูหญิงสวนมากไมเคยหยุดที่จะมองหาความรักและการยอมรับจากผูชาย ทําใหผูหญิงตกเปนรอง
ผูชายในเรื่องทางเพศ เพราะผูชายสามารถตัดเรื่องเพศและอารมณออกจากกันได ในขณะที่ผูหญิง
ทําแบบนั้นไมได ผูหญิงตองพึ่งพิงผูชายสําหรับความมั่นคงทางอารมณ และดวยความเชื่อที่วา
ตัวเองควรจะอยูเพื่อผูชาย และเพื่อเซ็กสที่มาพรอมกับความรักแบบโรแมนติก
เนื่องจากอุดมการณดังกลาวกําหนดใหผูหญิงมีฐานะเปนวัตถุแหงรัก เธอจึงมีหนาที่
ตองตอบสนองความตองการทางเพศของผูชาย ทําใหผูหญิงไมสามารถเปนอิสระจากการพึ่งพิง
ผูชายได เพราะผูหญิงถูกทําใหเชื่อวา เธอจะสามารถเติมเต็มความตองการทางเพศไดจากการมี
ประสบการณทางเพศกับผูชายเทานั้น เธอมองวาตัวเองสามารถทําใหผูชายเกิดความพึงพอใจได
ดังนั้น ความตองการความรักและความอบอุนถูกสื่อไปยังเรื่องของการมีเพศสัมพันธ การตอบสนอง
19

ความใคร ข องตั ว เองนั้ น จะทํ า ได ก็ เ พี ย งผ า นการมี เ พศสั ม พั น ธ เ ท า นั้ น ดั ง นั้ น เรื่ อ งกามารมณ
จึงกลายเปนศูนยกลางของเพศวิถี (ibid.: 149)
การครอบงํ า เชิ ง กามารมณ ถู ก นิ ย ามว า เป น ข อ บั ง คั บ ของความเป น ชาย ในขณะที่
การสยบยอมถูกนิยามวาคือความเปนหญิง ทําใหภาพของผูหญิงที่สังคมกําหนดอยูในสถานะของ
การเปนชนชั้นรอง (women’s status as second class) ดวยการกําหนด การบังคับ และการบิดเบือน
ลดทอนตัวตนของผูหญิงใหกลายเปนแคสิ่งสวยงาม เรื่องเพศของผูหญิงจึงหมายถึงสถานภาพ
ของการตกเปนรอง และการถูกลบหลูดูแคลนเพื่อใชประโยชนในทางเพศ ซึ่งไดกลายเปนรากฐาน
ของระบบเพศวิถีนี้ (Catherine A. MacKinnon, 1995: 139) สําหรับนักสตรีนิยมสายรากเหงาแลว
เพศวิ ถี ไ ม ไ ด ถู ก สร า งขึ้ น ภายใต เ งื่ อ นไขของความไม เ ท า เที ย มทางเพศภาวะ แต เ ป น พลวั ต
ของความไมเทาเทียมทางเพศโดยตัวของมันเอง ที่พยายามจะลดทอนคนใหเปนเพียงวัตถุสิ่งของ
ลดทอนความเปนมนุษยใหเปนไปตามที่สังคมกําหนด และบังคับใหเปนไปตามนั้น ความแตกตาง
ทางเพศกลายเปนฐานของการครอบงําทางเพศที่ผูชายเปนผูที่มีอํานาจมากกวา และทําใหเพศวิถี
กลายเป นการครอบงํ า ทางเพศของผูช ายในเกื อบทุ กหนแหง (Catherine A. MacKinnon, 1995:
139) การนิยามเชนนี้นําไปสูขอสรุปในตอนทายวา เพศวิถีคืออะไรก็ไดที่ทําใหผูชายสําเร็จความใคร
เปนพื้นที่ของการแสดงอํานาจของผูชายเหนือผูหญิง และผลิตซ้ําใหระบบปตาธิปไตยคงอยูตอไป
(Diane Richardson, 1997: 152)
เมื่อเรื่องเพศวิถีจากการวิเคราะหในลักษณะดังกลาวกลายเปนศูนยกลางของการกดขี่
ผูหญิง สตรีนิยมสายรากเหงาจึงเสนอใหผูหญิงแยกตัวออกจากการเกี่ยวของกับระบบรักตางเพศ
และหั น มาพั ฒ นาความสั ม พั น ธ กั บ ผู ห ญิ ง ด ว ยกั น ทั้ ง ในเชิ ง อารมณ ความรู สึ ก และในแง ข อง
การเมือง โดยที่ไมไดเปนแคเรื่องของความสัมพันธทางกายกับผูหญิงแตเพียงอยางเดียว (Adrienne
Rich, 1980: 657 cited in Valerie Bryson, 1992: 213) แต ข อ เสนอดั ง กล า วก็ ถู ก โจมตี จ าก
นักสตรีนิยมที่มีความเห็นตางออกไป ไมวาจะเปนการมองวาวิธีการแยกตัวเปนแนวคิดที่คับแคบ
และมองขามรูปแบบของการกดขี่อื่นๆ ไมวาจะเปนการกดขี่ขูดรีดทางเศรษฐกิจ และทางชนชั้น
เพราะการที่ ผู ห ญิ ง จะสามารถแยกตั ว ออกจากความสั ม พั น ธ ใ นระบบรั ก ต า งเพศ และการมี
ความสัม พันธ ใ นด า นต า งๆ กั บผู ช ายไดนั้ น ตอ งอาศัย ความเป นอิส ระทางการเงิ น และความรู
ความสามารถ ที่ผูหญิงซึ่งอยูในชนชั้นแรงงานไมสามารถทําได และถึงแมจะมีการแยกตัวออกจาก
ความสั ม พั น ธ แ บบต า งเพศแล ว แต ก็ ไ ม ไ ด ห มายความว า ผู ห ญิ ง จะสามารถเป น อิ ส ระ
จากความสัมพันธเชิงอํานาจที่ยังคงปรากฏอยูในความสัมพันธระหวางผูหญิงดวยกันได รวมไปถึง
เรื่องของความอิจฉาริษยา ความเจ็บปวด และการครอบงําระหวางผูหญิงดวยกันอยู นอกจากนี้
การเสนอให ผู ห ญิ ง แยกตั ว ออกจากการมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศกั บ ผู ช าย และหั น มาพั ฒ นา
20

ความสัมพันธกับผูหญิงแทน ก็เหมือนกับเปนการครอบงําความคิด ความตองการในเรื่องทางเพศ


ของผู ห ญิ ง อี กด วย ซึ่ ง ก็ ไ ม ต า งจากการที่ส ตรี นิ ย มสายรากเหง า วิเ คราะห วา ระบบปต าธิ ป ไตย
ครอบงําความคิด ความเชื่อในเรื่องเพศของคนอยางไร เพราะผูหญิงบางคนก็มีความพึงพอใจกับ
การมีความสัมพันธกับพศตรงขาม ทั้งในทางรางกายและทางอารมณ ทั้งนี้ ความสามารถในการ
ควบคุ ม เนื้ อ ตั ว ร า งกายของตั ว เองได น า จะหมายถึ ง การที่ ผู ห ญิ ง มี สิ ท ธิ ใ นการเลื อ ก
วาจะมีความสัมพันธกับใคร เพศใด หรือการเลือกไดวาจะเปนแมหรือไม มากกวาการถูกบังคับ
ใหมีค วามสัมพันธแต กับ ผูหญิ งดวยกั นเพียงอยา งเดียว (ibid.: 214-216) นอกจากนี้ การมองวา
ความสั ม พั น ธ ท างเพศแบบรั ก ต า งเพศนั้ น หมายถึ ง รู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ผู ห ญิ ง ตกเป น รอง
ไม ว า จะเปน การคุ กคามทางเพศ การข มขื น การทํ า ร า ยทุ บ ตี ฯลฯ ซึ่ ง การให ภ าพของเรื่ องเพศ
ที่ผูหญิงตกเปนรองเชนนี้ ก็เทากับเปนการสนับสนุนการนิยามความหมายของผูหญิง ในฐานะที่
ถูกลดทอนความเปนมนุษยลงไปใหกลายเปนวัตถุทางเพศของผูชายเทานั้น ดังนั้น จึงควรจะตอง
ให ค วามสํ า คั ญ กั บ แง มุ ม ของการนิ ย ามชี วิ ต ทางเพศของผู ห ญิ ง ว า อะไรคื อ ความพึ ง พอใจ
ทางกามารมณของเธอเอง โดยมองผูหญิงในฐานะผูกระทําที่มีความพอใจ และรับผิดชอบความเสี่ยง
ในการตัดสินใจดวยตัวเอง เนื่องจากประสบการณทางเพศของผูหญิงนั้นมีความแตกตางหลากหลาย
และซั บ ซ อ นมากเกิ น กว า จะมองเป น สารั ต ถะที่ ต ายตั ว ได (Linda Lemoncheck, 1997: 22-23)
ซึ่งผูเขียนจะนําเสนอแนวคิดนี้ในหัวขอตอไป
อย า งไรก็ ต าม ผู เ ขี ย นจะนํ า เอาแนวคิ ด เรื่ อ งเพศวิ ถี ข องสตรี นิ ย มสายรากเหง า มาใช
เพื่ อ วิ เ คราะห ว า เรื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของผู ใ ห ข อ มู ล ทั้ ง สองคนมี ลั ก ษณะสอดคล อ งกั บ
ความเชื่อเรื่องเพศวิถีแบบนี้หรือไม รวมถึงมีการสะทอนถึงแนวคิดเรื่องกรอบเพศที่ชอบธรรมของ
สังคมหรือไม อยางไร เพื่อที่จะสามารถทําความเขาใจในประเด็นเรื่องการตอรองกับกรอบเพศวิถี
ของพวกเธอได

ผูหญิงในฐานะผูตอรอง
เรื่องเพศวิถีซึ่งเปนเรื่องที่มีมาตรฐาน หรือมีแบบแผนแนวทางที่ควรปฏิบัติในรูปแบบ
ที่เฉพาะเจาะจงที่คนในสังคมยอมรับได โดยมีกลไกในการกํากับควบคุมใหคนทําตาม รวมทั้งมีการ
ลงโทษคนที่ไมยอมตามแนวทางดังกลาวดวยวิธีการตางๆ ทั้งในทางกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและ
ในเรื่ อ งของความรู สึ ก ภายในจิ ต ใจของแต ล ะคนอย า งที่ ไ ด ก ล า วมาแล ว ในข า งต น นั้ น
ซึ่งโดยหลักการแลวก็นาจะทําใหผูคนยอมทําตามกรอบเพศวิถีของสังคมไดโดยดุษณี โดยเฉพาะ
กับผูหญิงที่ถูกมองวาเปนฝายที่ตกเปนรองในเรื่องเพศ เปนฝายตองสยบยอมตามความตองการ
ของผูชาย หรือเปนฝายที่ตองถูกควบคุมในเรื่องเพศใหเปนไปตามกรอบที่สังคมกําหนดมากกวา
21

อั นเนื่ อ งมาจากความแตกต า งของการกํ า หนดทางเพศและเพศภาวะ แต ใ นความเป นจริ ง แล ว


เราไดเห็นรูปแบบของผูหญิงที่ไมยอมตาม หรือมีการเลือกที่จะทําตามบางองคประกอบของรูปแบบ
ของเรื่ องเพศที่ ชอบธรรมที่สัง คมกํ าหนดได เช นกัน ดวยเหตุผ ลตา งๆ กัน โดยมีการนิ ยามหรือ
ใหความหมายกับการกระทําของตัวเองที่แตกตางกันออกไปดวย ซึ่งผูเขียนคิดวาเราควรจะมอง
หรือใหความหมายกับคนที่ไมยอมตาม หรือเลือกทําตามเพียงบางรูปแบบของเพศวิถีนั้นในแงของ
การเปน “ผู กระทํ า ” (agent) ที่ ไ ม ไ ด เ ป นผู ย อมตามกั บ กรอบที่ สั ง คมกํ า หนดแต เ พี ย งอย า งเดี ย ว
แตยังสามารถตอรอง หรือขัดขืนตอการกําหนดหรือความคาดหวังของสังคมไดดวย เนื่องจากการ
จั ด ประเภทและวาทกรรมต า งๆ เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศวิ ถี ห รื อ เรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมเหล า นี้ ไ ม ใ ช
สิ่ ง ที่ เ ป น ธรรมชาติ แต เ ป น ส ว นหนึ่ ง ของผลของอํ า นาจ (the effects of power) ดั ง นั้ น ผู ค นที่
ตระหนั ก ในจุ ด นี้ ก็ ส ามารถที่ จ ะต อ ต า นการบั ง คั บ ของอํ า นาจนี้ ไ ด เนื่ อ งจากไม ไ ด มี
อํ า นาจชอบธรรม 1 (authority) ที่ จ ะมาทํ า ให พ วกเขาเชื่ อ อย า งไม ต อ ต า นได อี ก ต อ ไป ผู ค นจึ ง มี
ความอิสระมากพอ ที่จะเลือกในสิ่งที่พวกเขาจะเชื่อหรือพอจะยอมรับได (สายพิณ ศุพุทธมงคล,
2543: 23) ทั้งนี้ ถาดูจากมโนทัศน (concept) เรื่องอํานาจ (power) ของ Michel Foucault ที่มองวา

…อํานาจไมใชสิ่งที่ไดมา ถูกยึดครองหรือถูกแบงปนจากที่ใดที่หนึ่ง แตถูกแสดงออก


จากแหลงตางๆ อยางนับไมถวน อํานาจไมไดอยูในลักษณะของสั่งการจากเบื้องบน
ลงสูขางลาง และไมไดมีลักษณะของการแบงขั้วตรงขามอยางสิ้นเชิงระหวางผูปกครอง
และผูถูกปกครอง และไมไดถูกจํากัดอยูเพียงแคกลุมเดียว เพราะอํานาจไมเคยผูกขาดอยู
ที่ศูนยกลางแหงเดียวแตกระจัดกระจายอยูทั่วไปเปนเหมือนเครือขาย ความสัมพันธ
เชิงอํานาจจึงมีอยูในทุกระดับของการดํารงอยูทางสังคม ในทุกตําแหนงแหงที่ของชีวิต
ทางสังคม ทั้งในพื้นที่สวนตัวและพื้นที่สาธารณะ ดวยเหตุนี้อํานาจจึงไมไดหมายถึง
การกดดั น และการควบคุ ม เท า นั้ น แต ยั ง สามารถสร า งสรรค สิ่ ง ต า งๆ ซึ่ ง เป น การ
เสริมอํานาจไดดวย เพราะทุกคนสามารถสรางสรรคอํานาจขึ้นมาไดในรูปแบบตางๆ
โดยขึ้นอยูกับบริบทและเงื่อนไขตางๆ อีกดวย…
(Michel Foucault, 1990: 94-95)

มโนทั ศ น เ รื่ อ งอํ า นาจดั ง กล า วทํ า ให ส ามารถทํ า ความเข า ใจการต อ รองของผู ห ญิ ง
ในเรื่องเพศวิถีของตัวเอง โดยมองจากแงมุมที่ผูหญิงเปนผูกระทํา หรือใหความสําคัญกับการที่

1
เชน ความเชื่อในพระผูเปนเจา หรือ God
22

ผูหญิงเปนผูเลือกหรือจําตองเลือก เพื่อที่จะตอรองกับกรอบความเชื่อของสังคม โดยไมไดมองวา


พวกเธอเป น เหยื่ อ หรื อ เป น ฝ า ยสยบยอมต อ กรอบเรื่ อ งเพศ โดยไม มี ป ฏิ กิ ริ ย าตอบโต ใ ดๆ
แตเพียงอยางเดียว เนื่องจากผูหญิงแตละคนมีประสบการณการถูกกดขี่ทางเพศจากผูชายที่แตกตาง
กั น และผู ห ญิ ง บางคนก็ อ าจจะถู ก เสริ ม อํ า นาจในการตั ด สิ น ใจในการดํ า เนิ น ชี วิ ต ทางเพศ
ของพวกเธอที่ ม ากกว า ของผู ห ญิ ง คนอื่ น ๆ ก็ ไ ด เพราะชี วิ ต ของผู ห ญิ ง แต ล ะคนนั้ น มี ค วาม
เฉพาะเจาะจง ซับซอน และมีการผสมผสานกันระหวางการถูกกดขี่ทางเพศและการเสริมอํานาจ
ภายใตความเปนสถาบันและอุดมการณที่บีบบังคับซึ่งจํากัดทางเลือกทางเพศของพวกเธอ เพศวิถี
ของผู ห ญิ ง จึ ง หมายถึ ง สิ่ ง ที่ แ ตกต า งกั น สํ า หรั บ ผู ห ญิ ง แต ล ะคน ที่ มี เ ชื้ อ ชาติ ชนชั้ น และความ
พึ ง พอใจทางเพศที่ แ ตกต า งกั น ด ว ย (Linda Lemoncheck, 1997: 20) ประสบการณ ท างเพศ
ของผูหญิงสามารถเปลี่ยนแปลงไดในหลายบริบทในชีวิตของผูหญิงแตละคนที่แตกตางกัน หรือ
แมแตในชีวิตของผูหญิงเพียงคนเดียว ไมวาจะเปนความนากลัว ความรอนแรง ความตลกขบขัน
ความล ม เหลว ความไม ป ลอดภั ย ความเจ็ บ ปวด ความเบื่ อ หน า ย เป น การถู ก ลบหลู ดู ห มิ่ น
ในที่ ส าธารณะ เป น ความสวยงาม เป น เรื่ อ งเพศที่ มี ค วามเป น ส ว นตั ว อย า งมาก หรื อ มี ค วาม
เปนการเมืองก็ตาม (ibid.: 23) ดังนั้น เราจึงนาจะใหพื้นที่แกผูหญิงไดเปนผูพูดถึงประสบการณ
และตีความ ใหคุณคาเรื่องเพศของตัวเอง วาพวกเธอมองเรื่องเพศของตัวเองอยางไร เพื่อที่จะได
รับทราบแงมุมเกี่ยวกับเรื่องเพศที่หลากหลายมากขึ้นจากตัวของผูหญิงเอง และทําใหเห็นภาพของ
การกดขี่ การขัดขืน และภาพของความสัมพันธเชิงอํานาจของระบบปตาธิปไตยที่ซับซอนมากยิ่งขึ้น
ผู เ ขี ย นขอยกตั ว อย า งอี ก ประเด็ น หนึ่ ง ที่ อ าจทํ า ให ม องเห็ นภาพของการเป น ผู นิ ย าม
การกระทํ า ของผู หญิ ง ที่ อยู ในรู ป แบบที่ ขั ดแย ง กั บ แนวทางปฏิ บั ติข องสั ง คมได ชัด เจนขึ้ นก็ คื อ
ในขณะที่บางคนอาจมองวาการควบคุมบังคับที่เกิดกับรางกายของผูหญิงเปนอีกลักษณะหนึ่งของ
การกดขี่โดยอํานาจปตาธิปไตย อยางเชนการที่ผูหญิงหลายคนตองทนทรมานตัวเองดวยภาวะ
ของการกิ น ที่ ผิ ด ปกติ การออกกํ า ลั ง กายอย า งหนั ก หน ว ง และการหมกมุ น กั บ ร า งกายตั ว เอง
อยางตอเนื่อง เพื่อใหมีรูปรางที่ผอมสะโอดสะองตามคานิยมของสังคม แตถามองจากภายในตัว
ของผูหญิงที่มีพฤติกรรมดังกลาวแลว พวกเธออาจไมไดรูสึกวาตัวเองตกเปนเหยื่อของการครอบงํา
แตเปน “เจานาย” ของชีวิตตัวเอง เพราะพวกเธอสามารถควบคุมตัวเองได และพวกเธอมองวา
หากพวกเธอประสบความสํา เร็จ ในการควบคุมรู ปรางของตัวเอง พวกเธอก็ คิดวาผลตอบแทน
ที่ ไ ด รั บ นั้ น คุ ม ค า กั บ ที่ ไ ด ล งทุ น ไป ไม ว า จะเป น การได รั บ คํ า ชื่ น ชมยิ นดี จ ากคนรอบข า ง หรื อ
การรูสึกดีกับตัวเอง ซึ่งแนวคิดดังกลาวเปนการตีความผานมุมมองของตัวผูหญิงเองวาพวกเธอ
รูสึกอยางไร กับการกระทําที่ถูกมองวาเปน “พฤติกรรมเบี่ยงเบน” ของสังคม (Susan Bordo, 1993:
165-184)
23

ผูเขียนจะนําเอามุมมองดังกลาวมาใชในการมองการตอรองในเรื่องเพศของผูใหขอมูล
ทั้ งสองคน เนื่ องจากพวกเธอทั้ง คูตา งก็ไมได ดํา เนิ นชีวิต ทางเพศไปตามกรอบที่สั งคมกํ า หนด
ทั้งหมด แตไดมีการตอรองกับกรอบดังกลาวดวย จึงมีความนาสนใจวาการตอรองในเรื่องเพศของ
พวกเธอมีความหมายวาอยางไร และเพราะเหตุใดพวกเธอในฐานะที่เปนผูหญิง และเปนลูกสาว
ที่ ถู ก คาดหวั ง ว า ควรจะทํ า ตามกรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คม จึ ง มี ก ารต อ รองกั บ
กรอบดังกลาว ซึ่งอาจจะทําใหไดเห็นถึงการนิยามความหมายของเรื่องเพศและเพศวิถีที่แตกตาง
ออกไป หรือมีรายละเอียดที่มากขึ้นก็เปนได

งานวิจัยที่เกี่ยวของ
การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานของคนในสังคมไทยถูกมองวาเปนปญหา หรือกลายเปน
พฤติกรรมที่ตองมีการศึกษา วาอะไรคือปจจัยที่ทําใหคนเกี่ยวของกับพฤติกรรมดังกลาว เนื่องจาก
สังคมมีแ นวคิดชุดหนึ่งที่มองวา การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานหรือกอนวัยอันควรนั้น ถือเปน
พฤติกรรมที่แตกตางออกไปจากจารีตประเพณีหรือแนวทางปฏิบัติ และกลายเปนปญหาทั้งในระดับ
บุ ค คลและในระดั บ สั ง คม เพราะมี ค วามเชื่ อ ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งานนั้ น นอกจาก
จะสะทอนถึงคานิยมหรือความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศแลว ยังอาจกอใหเกิดปญหาสังคมตางๆ
ไมวาจะเปนการตั้งครรภไมพึงประสงค การทําแทง หรือการติดโรคติดตอทางเพศสัมพันธ (ภาวัน
ภูวจรูญกุล, 2546: 2) และพฤติกรรมดังกลาวยังถูกมองวาเปนตัวการทําใหวัฒนธรรมที่ดีงามของ
ไทยเสื่อมถอยอีกดวย งานวิจัยในสังคมไทยที่ผานมาจึงเปนงานที่พยายามศึกษาหาปจจัยที่สงเสริม
หรือทําใหคนมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน รวมไปถึงการสํารวจคานิยมหรือทัศนคติของกลุมตัวอยาง
โดยเฉพาะกลุมวัยรุนในสังคมไทยที่มีตอประเด็นดังกลาว เพื่อจะไดเปนประโยชนตอการแสวงหา
วิธีการแกไขปญหาตอไป โดยงานวิจัยในกลุมแรกที่ผูเขียนจะนําเสนอเปนงานวิจัยที่ใชระเบียบวิจัย
แบบการแจกแบบสอบถาม และวิเคราะหหาผลการวิจัยจากโปรแกรมคอมพิวเตอร เพื่อใหไดมาซึ่ง
ขอมูลที่ตองการ ตัวอยางงานวิจัยเหลานี้ไดแก
วิทยานิพนธเรื่อง “การยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสของนักศึกษามหาวิทยาลัย:
การศึกษาเบื้องตน” ของพรทิพย วงศเพชรสงา (2529) พบวา นักศึกษากลุมตัวอยางจํานวน 568 คน
สวนใหญยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสอยูในระดับปานกลาง แตนักศึกษาหญิงสวนใหญ
ยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสในระดับต่ํา ขณะที่นักศึกษาชายมีความยินยอมในระดับที่สูงกวา
ซึ่งสะทอนถึงความแตกตางของคานิยมทางเพศในสังคมไทยระหวางชาย-หญิง สวนการยินยอม
จะอยูในระดับใดนั้นขึ้นอยูกับการยินยอมของบุคคลที่นักศึกษายึดถือเปนกลุมอางอิงที่สําคัญ เชน
ความยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสของเพื่อนสนิทและของบิดามารดา มาใชเปนเกณฑในการ
24

ประเมินการยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสของตนเอง ซึ่งถานักศึกษาเห็นวาความสัมพันธ
ทางเพศสามารถใหคุณประโยชนตอนักศึกษาแลว นักศึกษาจะมีแนวโนมยินยอมใหมีเพศสัมพันธ
กอนสมรสสูงดวย
วิ ท ยานิ พ นธ เ รื่ อ ง “เหตุ ผ ลในการตั ด สิ น ใจเกี่ ย วกั บ พฤติ ก รรมทางเพศของนั ก เรี ย น
ชั้นมัธ ยมศึกษาปที่ 6 ในเขตเมืองเชียงใหม” ของศรีเกษ ธัญญาวินิ ชกุล (2536) ที่มุ งศึ กษาและ
เปรียบเทียบการใชเหตุผลในการตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนจํานวน 460 คน
แบ ง เป น ผู ช าย 199 คนและผู ห ญิ ง 261 คน ผลการศึ ก ษาพบว า นั ก เรี ย นกลุ ม ที่ ตั ด สิ น ใจ
จะมี เ พศสั มพั น ธ ก อ นแต ง งานนั้ นมองว า การมี เ พศสั ม พั นธ เ ป นเรื่ อ งธรรมดาที่ อ าจจะเกิ ด ขึ้ น
ไมวันใดก็วันหนึ่ง จึงไมใชเรื่องแปลกที่จะมีเพศสัมพันธเมื่อมีโอกาส ทั้งผูหญิงและผูชายสามารถ
มี เ พศสั ม พั น ธ กั บ คนที่ พ อใจได โดยไม ห วั ง ว า จะต อ งแต ง งานกั น นั ก เรี ย นในกลุ ม นี้ ม องว า
การมีเพศสัมพันธเปนพฤติกรรมของคนรุนใหมซึ่งเปนที่ยอมรับโดยทั่วไป เปนการแสดงออกถึง
ความรักที่มีตอกัน และถาหากรูจักปองกันก็ไมตองกลัวการทองหรือติดโรค ในขณะที่นักเรียน
กลุมที่ตัดสินใจจะไมมีเพศสัมพันธนั้นมองวา การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานไมเปนที่ยอมรับของ
สั ง คมไทย พรหมจรรย ข องผู ห ญิ ง ถื อ เป น สิ่ ง สํ า คั ญ ของการแต ง งาน และการมี เ พศสั ม พั น ธ
กอนแตงงานนั้นสังคมจะยอมรับไดมากกวาในกรณีของผูชาย อยางไรก็ตาม ทั้งผูชายและผูหญิง
ไมควรชิงสุกกอนหาม เพราะจะทําใหเกิดปญหาตางๆ ตามมาได เชนการถูกไลออกจากโรงเรียน
ทําใหเสียอนาคต การตั้งครรภ การติดโรคติดตอทางเพศตางๆ หรือเปนปญหาในระดับสุขภาพจิต
เช น ทํ า ให เ กิ ด ความรู สึ ก ผิ ด ในระดั บ จิ ต ใต สํ า นึ ก เป น ที่ รั ง เกี ย จของกลุ ม เพื่ อ น และการกลั ว
อีกฝายหนึ่งจะทอดทิ้ง ซึ่งนักเรียนหญิงในกลุมนี้จะกังวลถึงผลเสียที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ
กอนแตงงานมากกวา
วิ ท ยานิ พ นธ เ รื่ อ ง “ความคิ ด เห็ น ของนิ สิ ต มหาวิ ท ยาลั ย เกษตรศาสตร ที่ มี ต อ
การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นสมรส” ของภาวั น ภู ว จรู ญ กุ ล (2546) ที่ ศึ ก ษาความคิ ด เห็ น ของนิ สิ ต
คณะสังคมศาสตรจํานวน 300 คนพบวา นิสิตเห็นดวยกับการมีเพศสัมพันธกอนสมรสอยูในระดับ
ปานกลาง สวนปจจัยที่มีผลตอความคิดเห็นของนิสิตคือ เพศ การรับรูเรื่องเพศจากสื่อตางๆ และ
การอบรมเลี้ ยงดู จ ากบิ ดามารดาหรื อ ผู ป กครอง โดยเพศหญิ งจะเห็ นดว ยกั บการมีเ พศสั มพั นธ
กอนสมรสอยูในระดับปานกลาง ในขณะที่เพศชายจะเห็นดวยกับการมีเพศสัมพันธกอนสมรส
มากกวา ซึ่งก็เปนไปตามคานิยม จารีตประเพณีของสังคมไทยในเรื่องนี้ และกลุมตัวอยางยังคง
ยึดติดอยูกับความเชื่อที่วา ผูหญิงมักเปนฝายเสียหายมากกวาถาหากไปไดเสียกับผูชายที่ตนยังไมได
แตงงานดวย และพอกับแมคงจะเสียใจถาหากรูวาลูกสาวเสียตัวใหกับผูชายโดยที่ยังไมไดแตงงาน
กัน ดังนั้น คําสอนของพอแมที่วา “ไมควรชิงสุกกอนหาม” “การปฏิบัติตัวเกี่ยวกับเรื่องเพศระหวาง
25

ชายหญิงตองทําใหถูกตองตามประเพณี” และ “ผูหญิงควรรักษาความบริสุทธิ์ไวจนกวาจะแตงงาน”


จึงยังคงมีอิทธิพลตอความคิดของกลุมตัวอยางอยู
วิ ท ยานิ พ นธ เ รื่ อ ง “การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นการแต ง งานของวั ย รุ น ” ของวรรณวิ ม ล
สุรินทรศักดิ์ (2546) ที่ ศึก ษาการมีเพศสั มพั นธ กอนแตงงานของวั ยรุนและปจ จัย ที่มี อิท ธิพลตอ
การมี เ พศสั ม พั นธ กอ นแตง งานของวั ย รุ นจากกลุ มตั วอย า ง 581 คนที่ มี อ ายุ ตั้ง แต 12-24 ป โดย
แบงกลุมตัวอยางออกเปนสามกลุมคือวัยรุนตอนตน (12-15 ป) วัยรุนตอนกลาง (16-19 ป) และ
วั ย รุ น ตอนปลาย (20-24 ป ) และเป น วั ย รุ น ในเขตเมื อ งและชนบท ผลการศึ ก ษาพบว า วั ย รุ น
เคยมีเพศสัมพันธกอนแตงงานรอยละ 28.9 โดยที่เพศชายเคยมีเพศสัมพันธมาแลวมากกวาเพศหญิง
โดยเป น การมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ คนที่ เ ป น แฟนหรื อ คู รั ก ของตั ว เองมากที่ สุ ด และรองลงมาคื อ
กั บ เพศตรงข า มที่ รู จั ก เพี ย งผิ ว เผิ น ส ว นป จ จั ย ที่ ทํ า ให ก ลุ ม ตั ว อย า งมี เ พศสั ม พั นธ ก อ นแต ง งาน
ก็ คื อ อายุ ที่ เ พิ่ ม มากขึ้ น ลั ก ษณะการพั ก อาศั ย กั บ เพื่ อ นต า งเพศ พฤติ ก รรมเสี่ ย งของเพื่ อ นสนิ ท
การรับสิ่งกระตุนทางเพศ และแนวโนมเชิงบวกตอการมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน รวมถึงทัศนะ
แบบเสรีนิยม
วิทยานิพนธเรื่อง “ทัศนคติตอพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธกอนการสมรสของนักศึกษา
มหาวิ ท ยาลั ย ของรั ฐ ” ของนั น ทกา โรจนวิ ภ าต (2546) เป น การศึ ก ษาทั ศ นคติ ต อ พฤติ ก รรม
การมีเพศสัมพันธกอนสมรสของนักศึกษาระดับปริญญาตรีเพศชายจํานวน 200 คนและเพศหญิง
อีก 200 คน ผลการศึกษาพบวา เพศชายยอมรับทัศนคติตอพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธกอนสมรส
ได ม ากกว า เพศหญิ ง เพราะเพศชายถู ก มองว า ไม เ ป น การเสี ย หายหากจะมี พ ฤติ ก รรมดั ง กล า ว
ในขณะที่เพศหญิงจะเปนฝายถูกตําหนิมากกวา สวนสาเหตุที่ทําใหมีเพศสัมพันธกอนแตงงานนั้น
เกิดจากสภาพแวดลอมทางสังคม สภาพของที่พักอาศัย การมีสถานที่เที่ยวกลางคืน การเปนคูรักกัน
การคบเพื่อน การไดรับขอมูลขาวสาร การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดังกลาว และการรับเอาวัฒนธรรม
ตะวันตกเขามาเลียนแบบ ในขณะที่บางรายอาจเปนเพราะตองการตอบสนองความตองการทางเพศ
สนองความพอใจทางดานรางกาย จิตใจ หรือเพื่อความสนุกสนานก็ได
วิทยานิพนธเรื่อง “ปจจัยที่มีผลตอคานิยมทางเพศของวัยรุนในเขตกรุงเทพมหานคร”
ของสุพัตรา บุญญานุภ าพพงศ (2548) เป นการศึ กษาปจ จัยที่ มี ผลตอ ค า นิยมทางเพศของวั ยรุน
จํานวน 400 คน ซึ่งปจจัยที่มีความสําคัญตอคานิยมทางเพศของวัยรุนมากที่สุดคือการยอมรับคานิยม
ทางเพศในกลุ ม เพื่ อ น ซึ่ ง ส ง ผลต อ ค า นิ ย มการคบเพื่ อ นต า งเพศในฐานะคู รั ก ค า นิ ย ม
การแสดงความรั ก ระหว า งเพศ ค า นิ ย มการมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นสมรส ค า นิ ย มการให คุ ณ ค า
พรหมจรรย และคานิยมการทําแทง นอกจากนี้ วิธีการอบรมเลี้ยงดูจากผูปกครอง ความรูในเรื่องเพศ
26

ระดั บ การศึ ก ษา อาชี พ ของบิ ด ามารดา ตลอดจนการเรี ย นรู เ รื่ อ งเพศจากสื่ อ ต า งๆ ก็ เ ป นป จ จั ย
ที่มีความสําคัญเชนเดียวกัน โดยเฉพาะวิธีการอบรมเลี้ยงดูที่เหมาะสม และการมีความรูเรื่องเพศ
ที่ดีนั้น จะนําไปสูการมีคานิยมทางเพศที่เหมาะสม
จากตัวอยางงานวิจัยที่ผูเขียนไดหยิบยกมานั้น สวนใหญจะมีผลการวิจัยที่ใกลเคียงกัน
กลาวคือ ผลการวิจัยจะชี้วาปจจัยที่ทําใหคนมีเพศสัมพันธกอนแตงงานนั้นเปนปจจัยจากภายนอก
ไมวาจะเปนการยอมรับของกลุมเพื่อน การอบรมเลี้ยงดูของพอแม หรือการเปดรับสิ่งกระตุนเรา
จากสื่ อ ต า งๆ ทํ า ให เ กิ ด ทั ศ นคติ หรื อ ความเชื่ อ ที่ ย อมรั บ ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งาน
ไม ใชเรื่ องผิ ด และสามารถกระทํ า ได และกลุมตั วอย า งยอมรับ การมีเพศสัมพันธก อนแตง งาน
ของเพศชายไดมากกวาเพศหญิง เพราะยังคงยึดติดอยูกับความเชื่อและคานิยมในเรื่องเพศของสังคม
ที่มองวาผูชายเปนฝายไดเปรียบ และผูหญิงเปนฝายเสียเปรียบ จึงทําใหมีการเสนอะแนะขอคิดเห็น
ที่ เ ป น ไปในแนวทางของการส ง เสริ ม ให ห น ว ยงานต า งๆ ที่ เ กี่ ย วข อ ง เข า มากํ า กั บ ดู แ ลวั ย รุ น
อย า งใกล ชิ ด พร อ มทั้ ง ให ค วามรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศสั ม พั น ธ และชี้ ใ ห เ ห็ น ป ญ หาที่ เ กิ ด จาก
การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งาน รวมถึ ง วิ ธี ก ารป อ งกั น ที่ ถู ก ต อ ง โดยมี ท า ที ข องการเสนอแนะ
เพื่อตองการใหคนกลับไปอยูในกรอบความเชื่อของสังคมที่คิดวาดีและถูกตองสมควรมากกวา
อยางไรก็ตาม ยังมีงานวิจัยอีกรูปแบบหนึ่งที่ศึกษาความคิด ความเชื่อ และการใหความหมายของ
บุคคลที่มีตอประเด็นการมีเพศสัมพันธนอกการแตงงาน โดยใชวิธีการสัมภาษณอยางเจาะลึกหรือ
เขาไปมีสวนรวมกับผูถูกศึกษา โดยเปนความพยายามนําเสนอใหเห็นแงมุมที่หลากหลายออกไป
มากกวาการตัดสินวาพฤติกรรมดังกลาวเปนปญหา ดวยการเปดพื้นที่ใหผูคนไดอธิบายมุมมอง
ที่มีตอพฤติกรรมในเรื่องเพศของตัวเอง ซึ่งไมเปนไปตามความคาดหวังของสังคม มากกวาที่จะ
เปนการตอบคํา ถามตามชุ ดของคํา ตอบกลุมตา งๆ ที่ผู วิจัยกํ าหนดไว ในแบบสอบถาม ตัว อยา ง
ของงานวิจัยเหลานี้ไดแก
วิทยานิพนธเรื่อง “ความสัมพันธระหวางเพศและเพศสัมพันธกอนแตงงานในวัยรุน”
ของนิมิ ตร มั่ง มี ทรัพย (2541) เปนการศึกษาเพื่อ หาคํา อธิบ ายกระบวนการสรา งความสัมพั นธ
ระหวางเพศ และเงื่อนไขที่จะนําไปสูการมีเพศสัมพันธกอนแต งงานในวัยรุนชายหญิง โดยใช
วิธีการสัมภาษณระดับลึกวัยรุนจํานวน 20 คน แบงเปนชาย 8 คนและหญิง 12 คน และคนพบวา
ป จ จั ย ด า นค า นิ ย มและบรรทั ด ฐานสั ง คมที่ ดํ า รงความไม เ สมอภาคในความสั ม พั น ธ ช ายหญิ ง
โดยเฉพาะบรรทัดฐานที่สังคมกําหนดใหผูหญิงมีความสัมพันธดวยความรัก ความจริงใจ และ
การขั ด เกลาให ผู ช ายมี อิ ส ระในเรื่ อ งเพศ ส ง ผลให วั ย รุ น ชายและหญิ ง ขาดความรู ค วามเข า ใจ
โดยสมบูรณเกี่ยวกับเรื่องเพศ และความสัมพันธระหวางเพศยังทําใหวัยรุนผูหญิงมีโอกาสเสี่ยงตอ
การมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ คู รั ก ก อ นแต ง งานด ว ยความรั ก ความรู เ ท า ไม ถึ ง การณ และนํ า ไปสู
27

การเอารัดเอาเปรียบระหวางเพศโดยไมรับผิดชอบ ซึ่งนิมิตรมองวากระบวนการสรางความสัมพันธ
ระหว า งเพศที่ นํ า ไปสู ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งาน ล ว นเป น ผลมาจากสภาพความกดดั น
หลายปจจัย ทั้งดานความคิด ความรูสึกทางเพศ สภาพเศรษฐกิจและสังคม การศึกษา ประสบการณ
สวนตัวที่หลอหลอม ขัดเกลา และกดดันใหเกิดการเลือกคูสัมพันธ การติดตอสัมพันธ และการสราง
สัมพันธกับเพศตรงขาม โดยเฉพาะบรรทัดฐานทางเพศที่กําหนดเงื่อนไขของความสัมพันธระหวาง
ชายหญิง ทําใหผูหญิงตองตกเปนฝายตองตัดสินใจเลือกที่จะยอมหรือไมยินยอมมีเพศสัมพันธ
กอนแตงงานกับคูรักเพื่อดํารงความสัมพันธไว
การค น คว า อิ ส ระเรื่ อ ง “ป จ จั ย ที่ ทํ า ให นั ก เรี ย นนั ก ศึ ก ษาหญิ ง มี เ พศสั ม พั น ธ ก อ น
วั ย อั น ควร” ของณั ฐ กานต อมาตยกุ ล (2548) ที่ ต อ งการศึ ก ษาถึ ง สาเหตุ ที่ ทํ า ให นั ก เรี ย น
นักศึกษาหญิงมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร ดวยการใชวิธีการสัมภาษณแบบลึกตอกลุมตัวอยาง
จํ า นวนห า คน และพบว า สาเหตุ ที่ ทํ า ให นั ก ศึ ก ษาหญิ ง มี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นวั ย อั น ควรคื อ
ความไว เ นื้ อ เชื่ อ ใจที่มี ใ ห กั บ เพศตรงขา ม รวมถึ งป จ จั ยอื่นๆ ไดแ ก ป จ จัยด า นครอบครั ว ป จ จั ย
ดานสวนตัว ปจจัยดานเพื่อน ปจจัยดานสื่อและปจจัยอื่นๆ ซึ่งณัฐกานตมองวาการมีเพศสัมพันธ
กอนวัยอันควรเปนปรากฏการณที่สามารถเกิดขึ้นไดกับทุกคนในทุกสังคม แมวาจะมีคานิยมและ
บรรทั ด ฐานสั ง คมกํ า หนดกฎเกณฑ เ ป น กรอบบั ง คั บ เรื่ อ งเพศอย า งเข ม งวดเพี ย งใดก็ ต าม
กลุ ม ตั ว อย า งบางคนอาจรู สึ ก ว า เป น สิ่ ง ที่ ผิ ด อย า งร า ยแรงที่ ชิ ง สุ ก ก อ นห า ม แต บ างคนเห็ น ว า
การยินยอมใหเกิดเพศสัมพันธสามารถผูกมัดคนรักไวได และเรื่องเพศเปนเรื่องที่ควรเปดใจรับ
ในวงกว า ง แม ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ จ ะทํ า ให รู สึ ก ว า ตั ว เองไม ไ ด เ ป น สาวบริ สุ ท ธิ์ อี ก ต อ ไป
แต ก ารมี เ พศสั ม พั นธ ก็ ไ ม ใ ช เ รื่ อ งผิ ด มหั นต แต เ ป น เพราะสั ง คมไม ย อมรั บ พฤติ ก รรมดั ง กล า ว
จึงทําใหคนถูกตําหนิ ซึ่งแทที่จริงแลวการตัดสินใจที่จะมีเพศสัมพันธของวัยรุนหากรูจักรับผิดชอบ
ในการกระทํ า ของตน และไม ส ร า งความเดื อ ดร อ นให กั บ ตนเองและผู ค นรอบข า ง เรื่ อ งเพศ
ก อ นการแต ง งานก็ ส ามารถเกิ ด ขึ้ น ได กั บ ทุ ก ๆ คน ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู กั บ สติ แ ละความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจ
ซึ่ ง กลุ ม ตั ว อย า งทั้ ง ห า คนสามารถจั ด การกั บ ชี วิ ต อารมณ ความรู สึ ก ของตนเองได สามารถ
ประคับประคองการดําเนินชีวิตของตนไมใหตกต่ํา เลือกที่จะมีความสุขในการใชชีวิตในวิถีทาง
ที่ตนเลือกและตองการ
วิ ท ยานิ พ นธ เ รื่ อ ง “อยู ก อ นแต ง : การอยู ร ว มกั น โดยไม แ ต ง งานของนั ก ศึ ก ษา
มหาวิทยาลัย” ของ โสพิน หมูแกว (2545) ที่ศึกษาเรื่องการใหความหมายแกลักษณะการใชชีวิต
อยูรวมกันโดยที่ไมไดแตงงานของนักศึกษามหาวิทยาลัยแหงหนึ่งทั้งชายและหญิง ซึ่งจัดวาเปน
รูปแบบทางเลือกของวิถีการดําเนินชีวิต (alternative lifestyles) ที่แตกตางจากนักศึกษากลุมอื่นๆ
จากการศึกษาพบวา นักศึกษาหญิงสวนใหญที่เลือกใชชีวิตแบบนี้จะรับรูถึงการไมยอมรับจากสังคม
28

โดยเฉพาะจากบุคคลใกลชิด แตพวกเธอก็เลือกที่จะมีวิถีชีวิตแบบนี้โดยรับผิดชอบถึงการกระทํา
ของตัวเอง ทั้งในเรื่องเรียน หรือการปองกันการตั้งครรภ โสพินมองปรากฏการณการใชชีวิตคู
ของนักศึกษาในฐานะที่เปน “กระบวนการทางสังคม” รูปแบบหนึ่ง และการจะเลือกดําเนินชีวิต
แบบใดนั้ น ก็ อ ยู ภ ายใต ก ระบวนการในการตั ด สิ น ใจด ว ยเหตุ ผ ลของแต ล ะบุ ค คล ที่ ผ า นการ
ไตรตรองดวยตนเองแลววาพวกเขาจะไดรับผลกระทบอยางไรบาง ทั้งตอตนเองและตอคนใกลชิด
โดยไมได มองวา เปนป ญหาสังคมเหมื อนที่สื่อมวลชนมอง โสพินวิเคราะหว า การเลือ กใชชีวิต
อยู ร ว มกั น ของนั ก ศึ ก ษานั้ น เป น รู ป แบบของ “ความสั ม พั น ธ เ ชิ ง การแลกเปลี่ ย น” (exchange
relationship) ระหวางชายหญิงที่มาอยูรวมกัน โดยตางฝายตางก็ตองการในสิ่งที่อีกฝายมีใหแกตน
ซึ่ ง ถ า ตราบใดที่ สิ่ ง ที่ ไ ด ม ากั บ สิ่ ง ที่ ต อ งเสี ย ไปยั ง อยู ใ นระดั บ ที่ ทั้ ง สองฝ า ยยั ง รู สึ ก พึ ง พอใจ
ความสัมพันธก็ดําเนินตอไป แตถาเกิดความรูสึกวารางวัลที่ไดมาไมนาพอใจ หรือรูสึกสูญเสีย
เกินกวาจะยอมรับได ก็อาจจะยุติความสัมพันธโดยเลิกราจากกันหรือหาทางออกดวยวิธีการอื่นๆ
แทน
นอกจากงานวิ จั ย ที่ ศึ ก ษาวิ ธี ก ารต อ รองของผู ห ญิ ง ไทยในประเด็ น เกี่ ย วกั บ
การมีเพศสัมพันธกอนแตงงานแลว ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ศึกษารูปแบบของเพศวิถีที่ถูกจัดวา
อยูนอกกรอบที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน นั่นคือการศึกษารูปแบบของการตอรองดาน
เพศวิถีของผูหญิงที่อยูภายใตการคาประเวณี งานวิจัยดังกลาวคือวิทยานิพนธเรื่อง “การนําเสนอ
ความเป น ตั ว ตนของผู ห ญิ ง บริ ก ารในสถานบั น เทิ ง บาร เ บี ย ร จั ง หวั ด เชี ย งใหม ” ของโสภิ ด า
วีรกุลเทวัญ (2543) ที่พยายามจะทําความเขาใจการคาประเวณีที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง ดวยการ
เป ดพื้นที่ทางสั งคมให ผูหญิงได อธิ บายและใหความหมายกับตัว เอง แทนการประทับตราหรือ
ตัดสินวาผูหญิงเหลานี้เปนมนุษยที่ไรศักดิ์ศรีของความเปนมนุษย โดยศึกษาผูหญิงที่คาประเวณี
ในพื้นที่ที่เรียกวาบารเบียร เพื่อทําความเขาใจแงมุมชีวิตของผูหญิงผานสายตาของพวกเธอเอง และ
สะท อ นให เ ห็ น กระบวนการดิ้ น รนต อ สู กั บ กฎเกณฑ ท างสั ง คมต า งๆ ที่ ม าเบี ย ดขั บ ให ผู ห ญิ ง
เปนคนชายขอบทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ผลการศึกษาพบวาในสถานการณที่สังคม
มองว า ผู ห ญิ ง ถู ก ลดทอนความเปน มนุ ษ ย ด ว ยการที่ ต อ งมาขายเนื้ อ ตั ว ร า งกายนั้ น ผู ห ญิ ง สร า ง
“ความเปนตัวตนใหม” ในการทํางาน ขณะเดียวกันก็ยังสามารถรักษา “ตัวตน” ดานอื่นๆ โดยการ
เลือกตีความและใหคุณคากับความเปนผูหญิงในบทบาทอื่นๆ ไมวาจะเปนผูรองรับทางอารมณ
ผู ข ายอารมณ หรื อ ผู รั ก ษาระยะห า งทางอารมณ หรื อ แม แ ต การเป น เมี ย เป น แม และลู ก สาวที่
ไมเปนไปตามนิยามความเปนผูหญิงโดยทั่วไปของสังคมไทย ที่ตัดสินความดีความเลวของผูหญิง
จากการนิยามความสัมพันธของผูหญิงภายใตบริบทของครอบครัว เพราะพวกเธอสามารถสราง
ตั ว ตนที่ ห ลากหลายและผู ก โยงกั บ บทบาทอื่ น ๆ ของความเป น ผู ห ญิ ง ภายใต ก ระบวนการ
29

ให ค วามหมายที่ ไ ม ไ ด ห ยุ ด นิ่ ง อยู แ ค ฐ านะของ “ผู ถู ก กํ า หนด” กล า วคื อ พวกเธอสามารถ
สรางความเปนตัวตนของความเปนผูหญิง ผานกระบวนการของการใหคุณคาภายใตบทบาทเดิม
ตีคาคุณคาเดิมในบทบาทใหม ตลอดจนนิยามความสัมพันธแบบใหม โสภิดาสรุปงานวิจัยชิ้นนี้วา
แมแตในโลกการคาประเวณี ที่ถูกสังคมมองวาลดคุณคาความเปนมนุษยของผูหญิง ผูหญิงก็ไมได
สยบยอมตอการเปนเพียงวัตถุทางเพศอยางไมมีเงื่อนไข แตผูหญิงกลับใชเงื่อนไขของบารเบียร
ที่มีความแตกตางทางวัฒนธรรมระหวางผูหญิงและลูกคา มาสรางความสัมพันธเชิงอํานาจแบบใหม
ที่ เ ต็ ม ไปด ว ยการต อ รองเรื่ อ งอารมณ และยั ง สามารถรั ก ษาพื้ น ที่ ใ นการเป น ผู ที่ มี สิ ท ธิ แ สดง
ความพอใจหรือไมพอใจในฐานะที่เปนมนุษยไดอีกดวย
ตัวอยางของงานวิจัยเหลานี้ เปนความพยายามอธิบายปรากฏการณโดยใหความสําคัญกับ
โลกทัศนหรือมุมมองของผูหญิง ที่ถูกมองวามีพฤติกรรมทางเพศที่ไมเปนไปตามที่สังคมยอมรับ
วาพวกเธอคิดเห็นตอประเด็นดังกลาวอยางไร และการตอรองในแงของการไมทําตามรูปแบบ
ของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของพวกเธอสะทอนใหเห็นถึงอะไรบาง โดยเปนงานวิจัยที่ไมไดมุงเนน
หรื อ ต อ งการจะตั ด สิ น ว า พฤติ ก รรมทางเพศดั ง กล า วเป น สิ่ ง ที่ ผิ ด หรื อ เป น ป ญ หา แต เ ป น งาน
ที่ตองการทําใหเห็นแงมุม หรือมิติของการที่ผูหญิงเปนผูกระทําในเรื่องเพศมากกวา วาการกระทํา
ที่ขัดแยงกับความคาดหวังของสังคมของพวกเธอนั้นมีความหมายวาอยางไร ซึ่งผูเขียนจะนําเอา
แนวทางการศึกษาแบบดังกลาวมาใชในงานนี้เชนกัน

กรอบคิดในการศึกษา
การศึ ก ษานี้ ดํ า เนิ น ไปภายใต ก รอบคิ ด ที่ ว า สั ง คมมี รู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ถู ก ต อ ง
ชอบธรรมคอยกํ า กั บพฤติ กรรมทางเพศของคนในสั งคม ไม วา จะเป น การกํ า หนดใหเ รื่อ งเพศ
ตองเปนเรื่องระหวางหญิงกับชาย ที่เกิดขึ้นภายใตสถาบันการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียว เพื่อให
เกิดการเจริญพันธุ และสังคมก็มีกลไกกํากับใหคนเชื่อและทําตามรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรม
นี้ คนที่ยอมตามก็จะไดรับรางวัลในรูปแบบตางๆ เชนไดรับการยอมรับนับถือ รวมไปถึงไดรับสิทธิ
ประโยชนทางกฎหมายตางๆ ในขณะที่คนที่ไมยอมตามก็จะถูกประณามทางสังคม หรือถูกลงโทษ
อย า งไรก็ ต าม กรอบคิ ด ในเรื่ อ งเพศนี้ ไ ด ส ะท อนความไม เ ท า เที ย มกั น ระหว า งผู ห ญิ ง กั บ ผู ช าย
อย า งชั ด เจน เพราะในขณะที่ ผู ห ญิ ง ถู ก จํ า กั ด การแสดงออกทางเพศให อ ยู ภ ายใต ก ารแต ง งาน
โดยใชวิธีการแบงแยก “หญิงดี” “หญิงเลว” ออกจากกัน โดยดูจากพฤติกรรมทางเพศของแตละคน
เป น เกณฑ แต ผู ช ายกลั บ เป น ฝ า ยที่ มี อิ ส ระในการแสดงออกในเรื่ อ งเพศ และการแสวงหา
ประสบการณ ท างเพศนอกการแต ง งานได ม ากกว า อย า งไรก็ ต าม ระบบเพศวิ ถี ข องสั ง คม
ที่กําหนดใหผูหญิงตองเปนฝายตอบสนองความตองการของผูชาย โดยใชอุดมการณความรักมาเปน
30

เครื่องมือที่สําคัญนั้น ก็ทําใหผูหญิงกลายเปนฝายเลือกหรือจําตองเลือก วาจะทําตามความตองการ


ของผูชายเพื่อใหไดมาซึ่งความรัก ความอบอุนและความมั่นคงในความสัมพันธ แตตองสุมเสี่ยงกับ
การถูกประณามจากภายนอกหรือภายในตัวเอง วาเปน “ผูหญิงไมดี” หรือวาจะควบคุมเรื่องเพศของ
ตัวเองใหเปนไปตามกรอบที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน เพื่อใหไดรับการยกยองวาเปน
“ผูหญิงที่ดี” แตสุมเสี่ยงกับการสูญเสียความสัมพันธกับชายคนรักไป
อย า งไรก็ ต าม ในปรากฏการณ ที่ เ กิ ด ขึ้ น จริ ง ในสั ง คมที่ ผู ห ญิ ง มี เ พศสั ม พั น ธ
นอกการแตงงาน ซึ่งหมายถึงการไมสามารถทําตามองคประกอบของกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม
ได ทั้ ง หมดในเวลาเดี ย วกั น ทํ า ให นํ า ไปสู ก ารมองต อ ไปว า พวกเธอมี ป ฏิ สั ม พั น ธ อ ย า งไรกั บ
กรอบดั ง กล า ว โดยจะให ค วามสํ า คั ญ กั บ รู ป แบบของการต อ รองกั บ กรอบของพวกเธอ
วามีความหมายอยางไร และการตอรองนั้นสะทอนถึงความเชื่อในเรื่องเพศของสังคมอยางไรบาง

สรุป
ในบทนี้ เ ป น การทบทวนแนวคิ ด และงานวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การศึ ก ษาในครั้ ง นี้
โดยแนวคิ ดที่ผู เ ขี ย นจะนํ า มาช ว ยในการพิ จ ารณาและวิ เ คราะห เ รื่ อ งเล า ประสบการณท างเพศ
นอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคนไดแก แนวคิดเรื่องเพศวิถี ซึ่งผูเขียนเชื่อวาเพศวิถี หรือ
ระบบความเชื่อความหมายเรื่องเพศนั้นคือการประกอบสรางจากสังคม เพราะถึงแมวาความตองการ
ทางเพศจะเปนสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แตการที่จะตอบสนองความตองการนั้นโดยวิธีการใด
หรือกับใครเปนสิ่งที่สังคมกําหนดขึ้น โดยสังคมจะมีแนวทางหรือรูปแบบของเรื่องเพศที่ถูกตอง
ชอบธรรม ซึ่งจํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน การเจริญพันธุและความรัก ที่สอดคลองกับ
การนิ ย ามว า เรื่ อ งเพศและเพศสั ม พั น ธ นั้ น เป น เรื่ อ งที่ ต อ งเกิ ด ขึ้ น กั บ เพศตรงข า มเท า นั้ น
ทําใหเพศสัมพันธที่อยูนอกเหนือไปจากรูปแบบดังกลาวกลายเปนเรื่องเพศที่ผิดหรือไมถูกยอมรับ
นอกจากนี้ นักสตรีนิยมมองวาสังคมแบบปตาธิปไตยไดคาดหวังใหผูหญิงเปนฝายที่ตองถูกควบคุม
และตองควบคุมตัวเองในเรื่องเพศ มากกวาผูชายที่ถูกมองวามีความเปนอิสระในเรื่องเพศมากกวา
โดยโยงความคิดที่ผูหญิงเปนฝายตองถูกควบคุมเขากับเรื่องของเพศสรีระ ที่ผูหญิงสามารถตั้งครรภ
ได และเปนฝายที่ถูกคาดหวังใหเปนผูเลี้ยงดู ดูแลสมาชิกใหมของสังคม โดยมีการปลูกฝงความเชื่อ
ว า คุ ณ ค า ของผู ห ญิ ง อยู ที่ เ รื่ อ งเพศ ถ า ผู ห ญิ ง คนไหนมี ป ระสบการณ ห รื อ มี ก ารฝ ก ใฝ ใ นเรื่ อ ง
ทางเพศมาก ก็จะกลายเปนผูหญิงไมดีทั้งจากการมองตัวเองของผูหญิงและจากภายนอก ทําใหสังคม
ตองมีกลไกในการควบคุมเรื่องเพศของผูหญิงในรูปแบบตางๆ อยางเชนการปลูกฝงอุดมการณ
การรักนวลสงวนตัว เปนตน อยางไรก็ตาม ในสังคมที่ประกอบสรางเพศวิถีใหเปนเรื่องที่ผูหญิง
ตองเปนฝายยอมตามความตองการของผูชาย ในรูปแบบของเพศสัมพันธที่สอดใสอวัยวะเพศชาย
31

เขาไปในชองคลอดเทานั้น รวมไปถึงการทําใหผูชายเชื่อวาการมีเพศสัมพันธกับผูหญิงหมายถึง
การยื น ยั น ความเป น ชายนั้ น ทํ า ให ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ ก ลายเป น ศู น ย ก ลางของเพศวิ ถี ระบบ
ป ต าธิ ป ไตยจึ ง ได ส ร า งอุ ด มการณ ค วามรั ก แบบโรแมนติ ก ขึ้ น มา เพื่ อ ทํ า ให ผู ห ญิ ง เชื่ อ ว า
การมีเพศสัมพันธคือสิ่งที่นํามาซึ่งความรัก ความมั่นคง และความอบอุนในความสัมพันธ เพื่อทําให
ผูหญิงยินยอมมีเพศสัมพันธกับผูชาย ซึ่งอุดมการณดังกลาวทํางานอยางขัดแยงกับกรอบความเชื่อ
ของสังคมที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงาน ทําใหผูหญิงเปนฝายเลือกหรือจําตองเลือกวาจะ
แสดงออกในเรื่องเพศในสังคมอยางไร
นอกจากผู เ ขี ย นจะดู ว า เรื่ อ งเล า ของผู ใ ห ข อ มู ล ทั้ ง สองคนนั้ น ได ส ะท อ นความคิ ด
ความเชื่อในเรื่องเพศตามแนวคิดดังกลาวหรือไมแลว ผูเขียนยังตองการดูตอไปถึงรูปแบบของ
การต อ รองกั บ กรอบความเชื่ อ ในเรื่ อ งเพศของสั ง คม ที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว ภ ายใต
การแต ง งานภายหลั ง จากผ า นการมี เ พศสั ม พั น ธ แ ล ว อี ก ด ว ย โดยแนวคิ ด ที่ ผู เ ขี ย นจะนํ า มาใช
มองการตอรองกับกรอบเรื่องเพศดังกลาวก็คือ แนวคิดที่มองพวกเธอในฐานะที่เปนผูตอรองหรือ
ผูใหความหมายวาเรื่องเพศของพวกเธอนั้นมีความหมาย หรือความสําคัญอยางไรตอตัวของพวกเธอ
และพวกเธอมีการตอรองในเรื่องเพศนอกการแตงงานอยางไร
บทที่ 3
ระเบียบวิธีวิจัย

การศึ ก ษาเรื่ อ ง “เรื่ อ งเพศนอกการแต ง งาน: การต อ รองด า นเพศวิ ถี ข องผู ห ญิ ง ไทย
ชนชั้ น กลาง” เป น การศึ ก ษาเรื่ อ งราวประสบการณ ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งานของ
ผูหญิงไทยชนชั้นกลางสองคน ซึ่งเปนการสะทอนรูปแบบของการใชชีวิตทางเพศที่แตกตางไปจาก
แนวทางที่สังคมยอมรับ ผานการเลาเรื่องและการตีความประสบการณโดยตัวผูหญิงเอง โดยมี
วิธีวิทยา (methodology) ในการศึกษาดังนี้

แนวทางการวิจัย
การศึกษาครั้งนี้เปนงานวิจัยแบบสตรีนิยมที่พยายามทําความเขาใจ “ประสบการณของ
ผู ห ญิ ง ” (women’s experiences) และมองว า ประสบการณ ข องผู ห ญิ ง เป น สิ่ ง ที่ มี ค วามสํ า คั ญ
เนื่องจากสังคมศาสตรกระแสหลักมักจะใหความสนใจแตประสบการณของผูชาย และกลาวอางวา
นั่นคือตัวแทนประสบการณของมนุษยทั้งหมด นักสตรีนิยมจึงมองวาแทที่จริงแลว ผูหญิงควรจะ
ไดมีสวนรวมเชนเดียวกับผูชาย ในการออกแบบและจัดการภายในสถาบันที่ผลิตสรางความรูตางๆ
ซึ่งถูกนํามาใชเปนเหตุผลของความยุติธรรมในสังคม เพราะมันเปนความไมยุติธรรมที่จะกีดกัน
ผู ห ญิ ง ไม ใ ห ไ ด รั บ ประโยชน จ ากการมี ส ว นร ว มในเรื่ อ งดั ง กล า วแบบที่ ผู ช ายได รั บ เนื่ อ งจาก
วัฒนธรรมที่มีการลดคุณคาและทําใหเสียงของผูหญิงไมถูกไดยินนั้น จะสงผลใหเราทําความเขาใจ
ตัวเองและโลกที่อยูรอบตัวเราไดเพียงบางสวน และยังมีลักษณะบิดเบี้ยวอีกดวย (Sandra Harding,
1987: 6-7) ผูเขียนจึงเห็นวาการศึกษาประสบการณตางๆ ของผูหญิงจึงเปนสิ่งสําคัญที่จะทําใหเรา
เขาใจและมองโลกไดอยางรอบดานมากขึ้น อยางไรก็ตาม Joan W. Scott (1999: 79-99) ไดเสนอ
วา การศึกษาประสบการณ นั้ นไมค วรจะมุง ศึกษาเฉพาะเหตุ การณ (events) และความเป นจริ ง
(reality) เท า นั้น แตค วรเป นการศึ กษาระบบของสั ง คมที่ ทํา ให เ กิด ประสบการณนั้ นขึ้ นมาดว ย
กลาวคือ การศึกษาประสบการณควรจะเปนการศึกษากระบวนการ (process) ที่สรางปจเจกขึ้นมา
ไมใชเปนการมุงศึกษาแคตัวประสบการณที่เปนรองรอยหรือหลักฐานของตัวเรา (self-evidence)
เท า นั้ น โดยควรจะดู ป ระสบการณ ใ นฐานะที่ เ ป น บริ บ ท มี การต อ รองและมี ค วามไม แ น น อน
เนื่องจากประสบการณคือการตีความและเปนสิ่งที่ตองตีความ
ดังนั้น ผูเขียนจึงตระหนักดีวา ขอมูลที่ไดจากการศึกษานั้นเปนขอมูลที่ผาน “การตีความ”
และ “การประกอบสราง” จากผูใหขอมูลทั้งสองคน ที่สรางผานประสบการณตางๆ ในชวงชีวิตของ
33

พวกเธอ โดยเฉพาะประสบการณในเรื่องเพศนอกการแตงงาน ซึ่งเปนมิติที่ผูเขียนจะนํามาใชใน


การศึก ษาครั้ ง นี้ โดยจะศึ กษาประสบการณ ข องผู ให ข อมู ลโดยเน นที่ บ ริบทความสัม พั นธ ข อง
พวกเธอกับคนรักแตละคน และกับพอแมของพวกเธอวาไดรับอิทธิพล หรือสะทอนกรอบความเชื่อ
ของสังคมในเรื่องเพศวิถีอยางไร และพวกเธอมีรูปแบบในการตอรองกับกรอบดังกลาวอยางไรบาง
ผูเขียนมีความประสงคใหผูหญิงทั้งสองคนเปนผูเลาเรื่อง และถายทอดเรื่องราวของ
ตนเองในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ ต ามความต อ งการของพวกเธอให ม ากที่ สุ ด โดยผู เ ขี ย นจะเข า ไป
มีสวนรวมกับพวกเธอในฐานะ “ผูฟง” และ “ผูตั้งคําถาม” กับบางประเด็นที่เกี่ยวของกับมุมมอง
และวิธีการตีความของพวกเธอเกี่ยวกับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม ที่มีตอประสบการณ
ทางเพศของตนเอง เพื่ อ ให ไ ด ม าซึ่ ง ข อ มู ล ที่ จ ะนํ า มาตี ค วาม และนํ า เสนอการตี ค วามนั้ น
ดวยตัวผูเขียนอีกครั้งหนึ่ง

กระบวนการวิจัย
อาจกลาวไดวาผูเขียนเริ่มพัฒนาหัวขอวิทยานิพนธนี้ขึ้นมา จากการที่เคยไดรับรูเรื่องราว
ทางเพศของผูใหขอมูลทั้งสองคน [รวมถึงของคนอื่นๆ ที่ไมประสงคจะมาถายทอดเรื่องราวใน
การศึกษาครั้งนี้] มากอน ในรูปแบบของการพูดคุยในกลุมเพื่อน และเกิดเปนการตั้งคําถามภายใน
ตัวผูเขียนเองเกี่ยวกับกระบวนการตอรอง ระหวางประสบการณในชีวิตจริงของพวกเธอ กับสิ่งที่
เป น “กรอบ” ควบคุ ม ในเรื่ อ งเพศของผู ค นในสั ง คม ว า เพราะเหตุ ใ ดพวกเธอจึ ง ทํ า ในสิ่ ง ที่
“ไมเปนไปตาม” ความคาดหวังของสังคม และการกระทําดังกลาวของพวกเธอนั้นแทจริงแลว
มี ค วามเชื่ อ มโยงกั บ กรอบความเชื่ อ เรื่ อ งเพศของสั ง คมหรื อ ไม อย า งไร ซึ่ ง ที่ จ ริ ง แล ว ผู เ ขี ย น
ก็ตระหนักดีวา สิ่งที่พวกเธอทํานั้นไมใชเรื่องแปลกอะไร เพราะก็อาจจะมีผูคนอีกมากมายที่กระทํา
เช น เดี ย วกั น กั บ พวกเธอ แต ผู เ ขี ย นมองว า การได ศึ ก ษาลงลึ ก ถึ ง รายละเอี ย ดของบริ บ ท
ในการดําเนินชีวิตทางเพศของพวกเธอก็เปนสิ่งที่นาสนใจ และนาศึกษา เพราะอาจจะทําใหไดรับ
ทราบขอมูลที่มีความละเอียดและลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งอาจจะเปนประโยชนตอการศึกษาในประเด็น
เพศวิถีของสังคมไทยตอไปได
ในตอนแรกผูเขียนก็ไมกลาที่จะถาม “พิม”1 ซึ่งเปนหนึ่งในผูใหขอมูลกับการศึกษาครั้งนี้
วา จะยิน ยอมใหผูเ ขียนนํา เรื่องของเธอมาศึกษาในลั กษณะนี้หรือไม เพราะการพู ดคุยที่ ผา นมา
ของพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้จะอยูในลักษณะของการเลาสูกันฟง การปรับทุกข การระบายความในใจ
เฉกเชนที่เพื่อนจะพูดคุยกัน ซึ่งผูเขียนก็ไมอาจคาดเดาไดวา คนที่สามารถพูดเรื่องเพศของตนเอง

1
ชื่อบุคคลทุกคนที่ปรากฏในงานศึกษานี้เปนชื่อสมมติทั้งสิ้น
34

กับคนอื่นๆ ไดอยางเปดเผยอยางพิม จะมีความคิดเห็นอยางไรถาผูเขียนจะนําเอาเรื่องราวของเธอ


มาศึกษาวิเคราะหในเชิงวิชาการ และตองมีการถายทอดออกไปสูสาธารณะในอีกรูปแบบหนึ่ง
อีกทั้งในการพูดคุยเพื่อการศึกษาของพวกเราอาจจะตองลงลึกไปถึงรายละเอียด ที่เธออาจจะไมได
พูดถึงในการพูดคุยกันฉันทเพื่อนแบบที่ผานมา และอาจจะกระทบกับความรูสึกบางสวนของเธอ
ที่เคยเจ็บปวดมาก็เปนได แตเมื่อผูเขียนตัดสินใจถามเธอ พิมก็ไมไดปฏิเสธแตอยางใดและพรอม
เต็มใจที่จะชวยเหลือผูเขียนในการศึกษาในหัวขอนี้เปนอยางดี
หลังจากที่พิมยอมตกลงเปนผูใหขอมูลแกผูเขียนแลว เธอก็นําเรื่องนี้ไปบอกเลาใหเพื่อน
คนอื่นๆ ฟง ทําให “จูน” เกิดความสนใจ และเสนอตัวเปนผูใหขอมูลกับผูเขียนอีกคนหนึ่งดวย
ซึ่งในขณะนั้นผูเขียนเองก็ยังไมทราบวาจะเลือกใครมาเปนผูใหขอมูลนอกเหนือจากพิมอีก เพราะ
ดวยขอจํากัดที่วา เรื่องเพศเปนเรื่องสวนตัวที่ไมควรนํามาเปดเผยกับผูอื่นซึ่งครอบงําความคิดของ
ผูเขียนอยู ทําใหผูเขียนไมกลาที่จะเอยถามเรื่องนี้กับใครอีก อีกทั้งนอกเหนือจากพิมแลว ผูเขียน
ก็รับรูเรื่องราวทางเพศของคนอื่นๆ มาแบบคลุมเครือ ไมแนใจวาพวกเธอเคยผานการมีเพศสัมพันธ
มาแล ว จริ ง หรื อ ไม เพราะพวกเธอก็ ไ ม ไ ด ม าเป ด เผยเรื่ อ งราวของพวกเธอกั บ ผู เ ขี ย นโดยตรง
เหมือนเชนที่พิมทํา ดังนั้นเมื่อไดยินจากพิมวาจูนเองก็สนใจและอยากถายทอดเรื่องราวของเธอ
ในงานศึกษานี้ ผูเขียนจึงมีความยินดีเปนอยางมาก
และหลั งจากนั้ นจู นก็ แ นะนํา “ณวรรณ” เพื่อ นอีกคนหนึ่ ง ให กั บผู เ ขี ยน โดยบอกว า
เธอคนนี้ก็มีประสบการณทางเพศมาแลวหลายครั้ง และมีความสนใจในหัวขอวิทยานิพนธของ
ผูเขียนเชนเดียวกัน ผูเขียนจึงลองทาบทามสอบถามความสมัครใจของเธอ และเธอก็ตอบตกลง
เมื่อ ได ผู ใ หข อ มู ล จํ า นวนสามคนแล ว ผูเ ขีย นจึง เริ่ ม ดํ า เนิน การสัม ภาษณ พวกเธอ โดยแยกการ
สัมภาษณเปนทีละคน ตามแตเวลาของแตละคนจะเอื้ออํานวย ซึ่งผูเขียนก็ไดตกลงกับพวกเธอ
ทั้งสามคนไวแลววา ถามีเรื่องไหนที่กระทบกระเทือนจิตใจของพวกเธอและไมอยากจะพูดถึง
ก็ไมเปนไร เพราะผูเขียนเองก็เคารพในความรูสึกของพวกเธออยูตลอดเวลาเชนเดียวกัน และการ
สัมภาษณจะอยูในรูปแบบของการใหพวกเธอเปนผูเลาเรื่องราวประสบการณการมีเพศสัมพันธของ
พวกเธอตั้งแตครั้งแรกจนถึงปจจุบัน โดยผูเขียนจะเปนผูตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องของการใหเหตุผล
นํา ไปสูการตั ดสินใจในแตล ะครั้ง และปฏิกิ ริยาของพวกเธอที่มี ตอคนรอบขา ง ภายหลัง จากที่
มีเพศสัมพันธไปแลว เพื่อใหพวกเธอไดตีความและทบทวนถึงความรูสึกของตนเอง ณ ขณะนั้น
ผูใหขอมูลของผูเขียนทั้งสามคนมีจุดรวมที่เหมือนกันคือ มีอายุที่ใกลเคียงกัน เปนผูหญิง
ที่มาจากครอบครัวระดับชนชั้นกลาง เปนลูกสาวคนโตของครอบครัว จบการศึกษาระดับปริญญาตรี
จากคณะ และมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเริ่มมีประสบการณมีเพศสัมพันธกับผูชายครั้งแรกสมัยเรียน
35

มหาวิทยาลัยเหมือนกัน รวมไปถีงเคยมีความสัมพันธทางเพศกับผูชายมาแลวไมต่ํากวาหาคนนับถึง
วันเริ่มสัมภาษณ หากแตพวกเธอก็มีความแตกตางที่สําคัญคือ ในขณะที่กําลังดําเนินการสัมภาษณ
นั้น ณวรรณเปนผูหญิงคนเดียวที่แตงงานแลว
หากเมื่อดําเนินการสัมภาษณไปไดสักพัก ณวรรณก็เริ่มแสดงทาทีวาตัวเธอไมสะดวกใจ
ที่จะเปนผูถา ยทอดเรื่องราวของเธอใหกั บการศึกษาของผูเ ขียนอีกต อไป ดวยการใหเหตุผลวา
เธอไมคอยมีเวลาวาง อีกทั้งการที่เธอไดทบทวนเรื่องราวที่ผานมาของตัวเองทําใหเธอเกิดความรูสึก
ผิดตอสามีของเธอ เธอจึงไมอยากจะรื้อฟนเรื่องราวเหลานั้นขึ้นมาอีก ซึ่งผูเขียนก็เขาใจในเหตุผล
และรูสึกเห็นใจเธอ เพราะผูเขียนก็เขาใจดีวาประเด็นเหลานี้เปนเรื่องละเอียดออนในความรูสึก
ของแตละคน ดังนั้น ผูใหขอมูลในการศึกษาครั้งนี้จึงเหลือเพียงแคสองคน คือพิมกับจูนเทานั้น
สาเหตุ ที่ ผู เ ขี ย นไม ไ ด ม องหาคนอื่ น ๆ มาทดแทนณวรรณก็ เ นื่ อ งจากการศึ ก ษาในครั้ ง นี้
เน น ที่ ก ารศึ ก ษาการตี ค วามประสบการณ ชี วิ ต ในระดั บ ลึ ก เพื่ อ ทํ า ความเข า ใจวิ ธี ก ารคิ ด และ
ใหความหมายของแตละบุคคล เรื่องของจํานวนคนจึงไมใชประเด็นที่สําคัญมากนักในความเห็น
ของผูเขียน อีกทั้งผูเขียนเกรงวาจะเกิดเหตุการณเชนกรณีของณวรรณอีก ซึ่งผูเขียนไมตองการ
ให ก ารดํ า เนิ น การศึ ก ษาของผู เ ขี ย นไปกระทบกั บ ความรู สึ ก ของผู ใ ดจนทํ า ให ท นไม ไ ด อี ก
แต ต อ งการให เ ป น สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากความสบายใจของทุ ก คนทุ ก ฝ า ยมากกว า ผู เ ขี ย นจึ ง เลื อ ก
ดํ า เนิ นการศึ ก ษาเฉพาะเรื่ อ งราวของพิ ม และจูนต อไป โดยยั ง คงให ค วามสํา คั ญและเคารพกั บ
ความรูสึ กของพวกเธอดังที่ผูเ ขียนตระหนักอยูเ สมอ สว นความสัมพันธของผูเ ขียนกับณวรรณ
หลังจากนั้นก็ไมไดมีความเปลี่ยนแปลง เรายังคงเปนเพื่อนและพูดจากันไดดีเหมือนเดิม

วิธีการเก็บขอมูล
ในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ เ ป น งานวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ (qualitative research) โดยจะใช วิ ธี วิ จั ย
(research method) แบบการศึกษาผาน “ประวัติศาสตรการบอกเลา” (oral history) ซึ่งหมายความถึง
รูปแบบของการสัมภาษณแบบไมมีโครงสราง หรือเปนคําถามแบบปลายเปดเกี่ยวกับประวัติชีวิต
แนวคิด การกระทํา การตัดสินใจ และประสบการณสวนตัวของผูใหขอมูล (Shulamit Reinharz,
1992: 127,130) โดยจะมุงเนนใหผูหญิงทั้งสองคนบอกเลาประสบการณของการมีเพศสัมพันธ
นอกการแตงงานของพวกเธอตั้งแตครั้งแรกจนถึงปจจุบัน ซึ่งมีความรูสึกและการใหเหตุผลตอ
การกระทําของพวกเธอ เพื่อใหไดมาซึ่งขอมูลที่สามารถสะทอนมุมมองความเปนตัวตนของผูหญิง
ทั้งสองคนเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศของตนเอง ตลอดจนการแสดงออกในรูปแบบของการตอรอง
กับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมดวย อยางไรก็ตาม ผูเขียนตระหนักดีวาการใหผูใหขอมูลบอกเลา
เรื่องราวของตนเองเชนนี้คงหนีไมพนเรื่องของการ “เลือก” ใชถอยคําในการบอกเลา และ “เลือก”
36

หยิบยกเฉพาะเรื่องราวบางชวงบางตอนของประสบการณทั้งหมดมาบอกเลา และผูเขียนในฐานะ
ผูศึกษาก็ตองใชวิธีการ “ตีความ” เพื่อทําความเขาใจเรื่องราวและแนวคิดของพวกเธอ เพื่อถายทอด
ออกมาเปนเนื้อหาในงานวิจัยดวยเชนกัน ซึ่งผูเขียนก็ตระหนักดีวา สิ่งที่ผูเขียนถายทอดออกมานั้น
อยูในรูปแบบของ “ความจริง” อีกชุดหนึ่งของปรากฏการณในสังคม ซึ่งผูอานเองก็มีสิทธิในการ
ตีความและทําความเขาใจดวยตนเองอีกชั้นหนึ่งเชนกัน
สําหรับเครื่องมือที่ใชในการเก็บขอมูลนั้น เนื่องจากขอมูลที่ตองการศึกษาเปนเรื่องราว
ประสบการณในเรื่องเพศ ซึ่งเปนขอมูลที่เปนสวนตัวของแตละคนและมีความละเอียดออน ผูเขียน
จึงเลือกใชวิธีการนัดสัมภาษณแยกทีละคน โดยใชวิธีการสัมภาษณแบบไมเปนทางการในลักษณะ
ของการพูดคุยทั้งทางโทรศัพท และการนัดพบเจอตามสถานที่ตางๆ โดยใหพวกเธอเปนผูเลือก
สถานที่ เ อง และเน น ให ผู ใ ห ข อ มู ล เป น ผู บ อกเล า เรื่ อ งราวของตนเองตามลํ า ดั บ เวลาที่ เ กิ ด ขึ้ น
ซึ่งถาเปนการนัดพบเจอกันโดยตรง ผูเขียนจะขออนุญาตใชอุปกรณบันทึกเสียงและนํามาถอดเทป
ดวยตนเองทุกครั้ง แตถาหากเปนการพูดคุยทางโทรศัพท ผูเขียนจะใชวิธีการจดบันทึกประเด็น
สําคัญไปดวยและนํามาเรียบเรียงในภายหลัง สาเหตุที่ตองใชวิธีการสัมภาษณผานทางโทรศัพท
ดวยนั้น เนื่องจากตัวผูเขียนและผูใหขอมูลทั้งสองคนอยูกันคนละจังหวัด ประกอบกับแตละคน
ก็มีภารกิจ สวนตั ว จึงทํา ใหการนัดเพื่อพบปะพูดคุยของเราเปนไปได ยาก นอกจากนั้ นยัง มีการ
ใช วิ ธี ก ารสั ม ภาษณ จู น ผ า นช อ งทางการแชต (chat) หรื อ การสนทนาผ า นระบบอิ น เทอร เ น็ ต
ในเรื่องราวของเธอบางประเด็นที่ผูเขียนติดใจสงสัย และนําเอาการพูดคุยนั้นมารอยเรียงเขากับ
เรื่องราวของเธอในภายหลัง การพูดคุยหรือสัมภาษณกับพวกเธอทุกครั้งตองมีการสอบถามและ
ขออนุ ญ าตก อ นว า จะนํ า ข อ มู ล ที่ ไ ด จ ากการพู ด คุ ย ในครั้ ง นั้ นๆ มาใช ใ นการศึ กษา หากครั้ ง ใด
ที่เราไมไดทําการตกลงกันกอน ผูเขียนก็จะไมดึงขอมูลสวนนั้นมาใชเปนอันขาด
ตลอดเวลาในการศึกษา ผูเขียนไดเนนย้ํากับผูใหขอมูลทั้งสองคนวา ความตองการของ
ผูเขียนในการทําการศึกษาครั้งนี้คือ การพยายามทําความเขาใจมุมมองของพวกเธอที่มีตอรูปแบบ
ของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และปฏิบัติการตอรองกับกรอบดังกลาว โดยไมไดตองการ
จะตั้งคําถามกับพฤติกรรมของพวกเธอ วาเปนเรื่องที่ “ถูก” หรือ “ผิด” แตอยางใด นอกจากนี้ ผูเขียน
ยังตระหนั กถึ งความละเอี ยดอ อนในประเด็ นของเรื่องเลา ซึ่งเปนประสบการณใ นแงมุมที่ เ ปน
สวนตัวของพวกเธอ ที่เกี่ยวพันกับเรื่องของอารมณ ความรูสึกของพวกเธอทั้งที่ผานมาแลวและ
ที่มีตอคนรักในปจจุบัน ผูเขียนไดบอกกับพวกเธอเสมอวา ถามีประเด็นไหนที่กระทบกับความรูสึก
ของพวกเธอและไมตองการพูดถึงก็สามารถขามไปได และพวกเธอสามารถขอดูขอมูลเพื่อแกไข
ตามความสะดวกใจของพวกเธอก อ นที่ จ ะเผยแพร ไ ด ต ลอดเวลา แต ผู ใ ห ข อ มู ล ทั้ ง สองคน
ใหความไววางใจในตัวผูเขียนและไมไดขอดูขอมูลของพวกเธอกอนแตอยางใด
37

ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้ ผูใหขอมูลจึงไมไดอยูในสภาพของวัตถุแหงการศึกษา (object)


ที่มีหนาที่ในการตอบคําถามแตเพียงอยางเดียว แตยังอยูในฐานะของผูกําหนดไดวาจะเลือกเลา
เรื่องราวของตนเองอยางไร และผูเขียนก็ไมไดวางตนเปนนักวิจัยที่มีความเปนกลางหรือปราศจาก
อารมณ ร ว มกั บ เรื่ อ งของพวกเธอแต อ ย า งใด เพราะในบางครั้ ง ที่ พวกเธอเล า เรื่ อ งที่ก ระทบต อ
ความรูสึกของพวกเธอ ผูเขียนก็จะรูสึกตามไปดวยในฐานะของ “เพื่อน” คนหนึ่ง เพราะฉะนั้น
ในการศึกษาครั้งนี้ผูเขียนมองวาตนเองมี “อํานาจ” เพียงอยางเดียว คืออํานาจของการเปนผูตีความ
ขอมูลและเขียนออกมาเพื่อนําเสนอประเด็นตางๆ ที่ไดจากการศึกษาเทานั้น แตระหวางที่ทําการ
เก็บขอมูลนั้นผูเขียนมองวาตัวผูเขียนกับผูใหขอมูลอยูในสถานะที่เทาเทียมกัน

ผูใหขอมูล
การศึกษาในครั้งนี้เนนการวิเคราะหวิธีคิด และมุมมองของผูหญิงไทยสองคนที่มีตอ
พฤติกรรมในดานเพศของพวกเธอ กับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม ตลอดจนวิธีการตอรอง
กับกรอบดังกลาวผาน “เรื่องเลา” ถึงประสบการณทางเพศที่ผานมาของตัวเอง เพื่อทําความเขาใจ
ลั ก ษณะของกรอบเพศที่ ช อบธรรมตามความคิ ด และการให เ หตุ ผ ลที่ เ ป น ของพวกเธอเอง
ในการตอรองกับกรอบดังกลาว สาเหตุที่ผูเขียนเลือกผูหญิงสองคนนี้ก็เพราะวา พวกเธอเปนผูหญิง
ที่มีพื้นฐานครอบครัวอยูในระดับชนชั้นกลาง จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐ
และในปจจุบันก็มีหนาที่การงานที่สังคมใหการยอมรับ คือเปนพนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงาน
โรงแรม จึงอาจกลาวโดยรวมไดวาทั้งคูเปนบุคคลที่มีสถานภาพ หรือตัวตนทางสังคมอยูในระดับ
ที่ดี ซึ่งแตละคนก็มีรายละเอียดปลีกยอยของชีวิตที่มีความแตกตางกันไป อีกทั้งดวยวัยของพวกเธอ
ที่ ผ า นประสบการณ ห รื อ เรื่ อ งราวต า งๆ มาพอสมควร และที่ สํ า คั ญ คื อ พวกเธอต า งก็ เ ป น
คนที่ ส ามารถเป ด เผยรายละเอีย ดเรื่ อ งราวทางเพศของตนเองได ทํ า ให ป ระสบการณชี วิ ต ของ
พวกเธอกลายเปนเรื่องราวที่นาศึกษาเรียนรู
เหตุ ผ ลที่ ผู เ ขี ย นเลื อ กผู ห ญิ ง ที่ อ ยู ใ นระดั บ ชนชั้ น กลางมาเป น กรณี ศึ ก ษา เนื่ อ งจาก
กรอบเพศวิถีกระแสหลักในสังคมนั้นเปนเพศวิถีแบบชนชั้นกลาง ผูเขียนจึงเชื่อวาการศึกษาผูหญิง
ชนชั้นกลางจะทําใหเขาใจรูปแบบ และกลไกการทํางานของกรอบดังกลาวไดดีที่สุด เพราะเปนกลุม
ที่ไดรั บอิท ธิพลจากกรอบดั งกล า วมากที่สุ ด ดัง เช นที่ มี การอธิ บายเกี่ ยวกั บเรื่อ งเพศและชนชั้น
ในสั ง คมว า ผู ห ญิ ง ที่ อ ยู ใ นชนชั้ น ระดั บ สู ง และกลางจะถู ก ควบคุ ม ในเรื่ อ งเพศอย า งเข ม งวด
ในเรื่องเพศมากกวา เนื่องจากผูหญิงถูกทําใหเปนกลไกในการสืบทอดผลประโยชนและอํานาจ
ระหว า งชนชั้ น ซึ่ ง แนวคิ ด ของสั ง คมในเรื่ อ ง “การรั ก นวลสงวนตั ว ” และ “ความบริ สุ ท ธิ์ ”
ของผูหญิงก็ถูกสรางขึ้นมาเพื่อควบคุมผูหญิงในชนชั้นเหลานี้ดวย (ยศ สันตสมบัติ, 2544: 98)
38

นอกจากนี้ การที่ผูเขียนเองก็เปนผูหญิงชนชั้นกลางเชนเดียวกัน อาจทําใหสามารถทําความเขาใจ


กับประเด็นดังกลาวไดดีกวาที่จะเลือกศึกษาทําความเขาใจผูหญิงที่สังกัดชนชั้นอื่น

จุดยืนและขอจํากัดของผูวิจัย
เนื่องจากผูเขียนกับผูใหขอมูลเปนเพื่อนกันมากอน และเคยรับรูเรื่องราวของพวกเธอ
มาแลว ทําใหการพูดคุยเพื่อสัมภาษณพวกเธอในบางครั้ง ผูเขียนมองขามบางประเด็นที่สําคัญไป
เพราะคิดวาตัวเองทราบเรื่องนี้อยูแลว จนทําใหทานอาจารยที่ดูแลวิทยานิพนธของผูเขียนตองเปน
ผูสะกิ ดให ผูเ ขียนมองเห็ น และกลับไปตั้ งคํา ถามเพิ่ มเติ ม ซึ่งเปนเหตุ การณที่ เ กิ ดขึ้นกับผู เ ขี ยน
อยูหลายครั้ง และบางครั้งผูเขียนยังมีความรูสึกเกรงใจที่จะตั้งคําถามกับพวกเธอเพราะเกรงวา
จะเปนการสะกิดความรูสึก และทําใหพวกเธอเกิดความไมพอใจหรือไมสบายใจได ซึ่งเปนการคิด
กั ง วลไปล ว งหน า ของผู เ ขี ย น ทั้ ง ๆ ที่ พ วกเธอเต็ ม ใจจะเล า เรื่ อ งราวทั้ ง หมดให ผู เ ขี ย นฟ ง
ในบางบริบทผูเขียนก็สับสนกับการแบงบทบาทของตัวเอง ในการเปน “เพื่อน” กับการเปน “ผูวิจัย”
เพราะผูเขียนตองวิเคราะหวาเรื่องใดประเด็นใดที่พวกเราคุยกัน จะเปนเรื่องที่นํามาใชเปนประเด็น
ในการศึ ก ษา หรื อ เรื่ อ งใดที่ เ ป น การพู ด คุ ย กั น ในฐานะเพื่ อ นเท า นั้ น ซึ่ ง ก็ มี ห ลายประเด็ น
หลายเหตุการณที่ผูเขียนอยากจะนํามาใชในการวิเคราะห แตเปนเรื่องที่พวกเธอบอกเลาใหผูเขียน
ฟงในฐานะของเพื่อน ไมใชในฐานะของการเปนผูใหขอมูล ผูเขียนจึงตองเคารพเรื่องราวในสวนนี้
ของพวกเธอดวย
นอกจากนี้ การที่ผูเขียน [ถูกทําให] เชื่อวา เรื่องเพศเปนเรื่องที่ควรปกปดหรือเปนเรื่องที่
อยูในซอกหลืบลับของชีวิตคนนั้น ยังสรางความลําบากใจใหผูเขียนอีกหลายครั้งหลายครา เพราะ
เมื่อใดก็ตามที่ผูเขียนพยายามอธิบายมโนทัศนหลักของวิทยานิพนธเลมนี้ตอคนที่ตั้งคําถามกับ
ผูเขียน ปฏิกิริยาตอบกลับจากแตละคนนั้นจะมีทั้งการพยายามทําความเขาใจ การพยายามแสรงทํา
เปนเขาใจ และบางคนก็ตั้งคําถามกลับมาวาทําไปทําไม หรือในบางครั้งผูเขียนก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยง
การอธิ บ ายกับ กลุ ม ญาติ ผู ใ หญ ใ นครอบครั ว หรื อ เพื่ อ นของพ อกั บ แมผู เ ขี ยนว า วิ ท ยานิ พ นธ นี้
เกี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งอะไร ด ว ยการตอบคํ า ถามเพี ย งว า “ทํ า เรื่ อ งผู ห ญิ ง กั บ การมี เ พศสั ม พั น ธ
กอนแตงงานคะ” และญาติผูใหญเหลานั้นก็ไมไดตั้งคําถามเพิ่มเติมกับผูเขียนแตอยางใด ราวกับวา
ทานเหลานั้นตองการจบบทสนทนากับผูเขียนแตเพียงเทานี้ หากจะมีก็เพียงแตสายตาที่แสดงถึง
ความคลุมเครือ ไม ชัดเจนในคํา ตอบของผูเขีย น แตก็ไมอยากจะถามตอไปอีก ซึ่งผูเ ขียนคิดวา
ถา ณ เวลานั้นผูเขียนใหคําอธิบายเพิ่มเติมไปตามที่ใจคิด ก็คงไมพนจะตองมีการถกเถียงถึงประเด็น
“ความถูกตอง/สมควร” ที่ผูหญิงไทยจะมีประสบการณทางเพศกอนแตงงานกับทานผูใหญเหลานั้น
เปนแน เพราะผูเขียนมีมุมมองสวนตัววา คนที่เปนผูใหญในสังคมไทยมักจะไมเห็นดวยกับการ
39

มีเพศสัมพันธกอนแตงงานของผูหญิง ซึ่งความตั้งใจในการทําวิทยานิพนธเลมนี้ของผูเขียนไมได
ตองการจะชี้ถูกชี้ผิดในการกระทําหรือการใหเหตุผลของใคร เพราะผูเขียนเชื่อวาแตละคนยอมมี
เหตุ ผลเป นของตัว เอง รวมไปถึง การที่ ตัว ผูเ ขียนเองก็ยั งไม ได ข อสรุ ปจากผลการศึ กษาเรื่ อ งนี้
ในขณะนั้น จึงคิดวายังไมสามารถพูดหรือใหเหตุผลแทนผูหญิงที่มีวิถีทางเพศเชนนี้ได
นอกจากความลํ า บากใจในสถานการณ ที่ ผู เ ขี ย นหยิ บ ยกขึ้ น มาข า งต น แล ว เรื่ อ งที่
ดูเหมือนจะเปนเรื่องงายๆ อยางการเลือกสถานที่พบปะพูดคุยกับพวกเธอทั้งสองคน ก็ทําใหผูเขียน
คิ ด หนั ก ได ทุ ก ครั้ ง เพราะมี ค รั้ ง หนึ่ ง ที่ จู น เลื อ กสถานที่ เ ป น ร า นกาแฟขนาดใหญ แ ห ง หนึ่ ง
ในกรุงเทพฯ ซึ่งเธอไดบอกกับผูเขียนวาถึงรานจะมีขนาดใหญ แตก็ไมพลุกพลาน เพราะมีบริเวณ
ที่นั่งเปนสัดสวน ผูเขียนก็ไดถามเนนย้ํากับเธอแลววาสะดวกจริงๆ ใชหรือไม เพราะเราจะตอง
สนทนากันดวยเรื่องประสบการณทางเพศของเธอเปนสวนมาก ซึ่งเธอก็ตอบรับมาวาเธอเคยไป
นั่งเลนที่นั่นมากอนแลวรูสึกชอบ คิดวานาจะใชเปนที่สนทนาของเราได แตเมื่อผูเขียนไปถึงราน
กาแฟแหงนั้นในตอนบายแกๆ ของวันอาทิตยก็พบวา ที่รานมีลูกคาเปนจํานวนมาก ทุกโตะมีลูกคา
หลากหลายกลุมจับจองเต็มเกือบหมด แมวาขนาดของรานจะคอนขางใหญ เพราะมีพื้นที่ใหบริการ
ถึงสองชั้น แตผูเขียนก็คิดวาที่นั่งชั้นลางซึ่งติดเครื่องปรับอากาศนั้นไมเหมาะกับการนั่งคุยของเรา
เพราะทางรานจัดที่นั่งแตละโตะไวใกลกันมาก และยังมีคนเดินไปเดินมาอยูตลอดเวลาเพื่อไปสั่ง
เครื่องดื่มที่เคาทเตอรบริการของรานดวย
หลังจากสั่งเครื่องดื่มใหตัวเองแลว ผูเขียนก็ลองเดินขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเปนสวนที่นั่งแบบ
outdoor ที่นั่งชั้นบนนั้นก็เหลือโตะวางเพียงโตะเดียว เพราะเปนตําแหนงที่แสงแดดสองลงมาพอดี
ทําใหไมมีใครเลือกนั่ง ผูเขียนจึงตัดสินใจนั่งรอจูนที่โตะตัวนี้พรอมกับนั่งสังเกตบรรยากาศของ
ผูคนที่นั่งอยูที่โตะขางๆ ซึ่งเวนระยะหางจากโตะของผูเขียนประมาณสองเมตร โตะทางดานขวามือ
เปนกลุมนักศึกษาชายหญิงประมาณหาถึงหกคนมานั่งติวหนังสือสอบกัน สวนทางดานซายมือ
เป น ผู ห ญิ ง กั บ ผู ช ายคู ห นึ่ ง ที่ ม านั่ ง อ า นหนั ง สื อ อี ก เช น เดี ย วกั น โต ะ ที่ อ ยู ถั ด จากชายหญิ ง คู นี้
ก็เปนผูหญิงที่กําลังกมหนาอานหนังสืออยางขะมักเขมนเชนเดียวกัน ดูเหมือนวาผูคนที่อยูรายรอบ
ผูเขียนในตอนนั้นตางกําลังมีโลกสวนตัวของตัวเอง แตก็ไมไดหมายความวาประสาทการรับฟง
ของพวกเขาเหลานั้นจะไมทํางาน ซึ่งถาหากจุดประสงคในการสนทนาของเราวันนี้เปนเรื่องเกี่ยวกับ
ดินฟาอากาศ หรือเรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป การนั่งอยูทามกลางผูคนเหลานี้ก็คงไมใชปญหา แตทั้งนี้
ทั้งนั้นผูเขียนอยากใหจูนเปนคนตัดสินใจในสถานการณนี้มากกวา ดังนั้นเมื่อจูนมาถึง ผูเขียนจึงถาม
เธอวายังสะดวกที่จะพูดคุยที่รานนี้อีกหรือไม เพราะในใจผูเขียนรูสึกอยูตลอดเวลาวาคนที่นั่งโตะ
ขางๆ อาจจะไดยินการสนทนาของพวกเราได จูนบอกวาเธอประหลาดใจมาก เพราะเธอไมเคยเจอ
คนจํานวนมากขนาดนี้มากอนเมื่อมาที่รานนี้ ตอนแรกเธอคิดวาไมนาจะเปนอะไร คุยกันที่นี่ก็ได
40

ผู เ ขี ย นจึ ง หยิ บ เครื่ อ งบั นทึ กเสี ย งมาทดลองพู ด ในระดั บ ที่ คิ ดว า คนที่ นั่ ง โต ะ ข า งๆ จะไม ไ ด ยิ น
แตกลับพบวาถาพวกเราตองคุยกันแบบนี้ จะเปนการสนทนาที่ทรมานมาก เพราะแทบจะเปนการ
กระซิ บ คุ ย กั น เลยที เ ดี ย ว จู นจึ ง ตั ดสิ นใจเปลี่ ย นสถานที่ คุ ย โดยเลื อ กไปนั่ ง คุ ย ที่ สวนสาธารณะ
สั น ติ ชั ย ปราการย า นบางลํ า พู แ ทน เนื่ อ งจากในตอนเย็ น เรามี นั ด กั บ เพื่ อ นๆ ที่ ร า นอาหาร
แถวถนนพระอาทิตยพอดี เราจึงนั่งรถเมลไปดวยกัน
ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่เราอยูบนรถเมลนั้น เราก็ไมไดพูดคุยในเรื่องทางเพศ
ของเธอเลย แตกลับเปนการคุยกันในเรื่องอื่นๆ มากกวา เหมือนกับตางฝายตางรูกันวาบนรถเมล
ก็ไมใชพื้นที่ที่จะคุยเรื่องนี้ได เมื่อเรานั่งรถเมลมาถึงปายแถวบางลําพูและตองเดินไปอีกสักพัก
กวาจะถึงสวนสันติฯ ระยะทางที่เดินไปนั้นถือเปนพื้นที่ “สวนตัว” แหงแรกของพวกเราในวันนั้น
บทสนทนาของเราจึงเริ่มตนขึ้นตอนนั้นนั่นเอง จากนั้นพอเดินถึงสวนสันติฯ แลว เราก็ไดเลือกที่จะ
นั่งคุยกันตรงมานั่งตัวหนึ่งในสวนแหงนั้นจนกระทั่งพระอาทิตยตกดิน และไดเวลาที่เรานัดกับ
เพื่อนๆ แลว เราจึงยุติการสนทนาของเราในวันนั้นลง หลังจากนั้นจึงเปนที่รับรูกันโดยอัตโนมัติวา
การนั ดพบในครั้ ง อื่ นๆ ของพวกเรา ควรเป นสถานที่ที่ แน ใ จว า จะไม มีใ ครอยู ในรั ศมี ร อบข า ง
อย า งเช น การพู ด คุ ย ในครั้ ง ถั ด มา เรานั ด เจอกั น ที่ อ อฟฟ ศ ของเธอในวั น หยุ ด และคุ ย กั น ใน
หองประชุมกระจกที่มีเพียงผูเขียนกับจูนเทานั้น เปนตน คงเปนเพราะเรามีความรูสึกรวมกันวา
ผูเขียนเองก็ลําบากใจในการถาม และตัวเธอก็ลําบากใจในการเลาเรื่องถาหากวามีคนอื่นอยูใกลเขต
รัศมีการพูดคุยของพวกเรา
สวนกับพิมนั้น เธอไมคอยเกี่ยงเรื่องสถานที่และผูคนที่อยูรายรอบพวกเราสักเทาไหร
เพราะพวกเราเคยพูดคุยกันในที่กึ่งสาธารณะ ซึ่งพวกเรานั่งกันอยูในระยะที่ไมหางจากบุคคลอื่น
มากนักมาแลว ในการพูดคุยครั้งนั้นผูเขียนเปนฝายเขินอายและกังวลวาคนอื่นจะไดยินเรื่องราว
เหล า นี้ ม ากกว า ตั ว พิ ม เองเสี ย อี ก อาจเป น เพราะผู เ ขี ย นเองยั ง มี ค วามเชื่ อ ส ว นตั ว ลึ ก ๆ อยู ว า
เรื่องทางเพศนั้นเปนเรื่องที่ควรปกปด ไมควรใหคนอื่นมารูเรื่องราวอันเปนสวนตัวนี้มากก็เปนได
ซึ่ ง จุ ด นี้ เ ป น การสะท อ นให เ ห็ น ว า ผู เ ขี ย นเองก็ ถู ก กรอบเรื่ อ งเพศของสั ง คมกํ า กั บ ควบคุ ม อยู
อย า งแน น หนาโดยไม รู ตั ว และอาจส ง ผลให ก ารวิ เ คราะห ตี ค วามข อ มู ล ของผู เ ขี ย นเป น ไป
อยางจํากัดและไมรอบดาน ทําใหผูเขียนเองก็ตองพยายามทําความเขาใจกรอบเรื่องเพศของสังคม
อยางระมัดระวังในขณะที่ดําเนินการศึกษามากขึ้นดวย

การวิเคราะหและนําเสนอขอมูล
ผูเขียนจะนําเสนอขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณผูหญิงทั้งสองคนในบทที่สี่ในรูปแบบของ
การเรี ยบเรี ยงเป นเรื่ องราวตามลํา ดับ เหตุการณ โดยจะสอดแทรกคํ า พูดที่ เ ป นของพวกเธอเอง
41

ที่สอดคลองกับเรื่องราวนั้นๆ เพื่ อสะทอนมุมมองและวิธีคิดของพวกเธอที่ มีตอกรอบเรื่ องเพศ


ที่ชอบธรรมของสังคม และจะแบงการนําเสนอโดยเริ่มจากเรื่องราวของพิมกอน แลวตามดว ย
เรื่องราวของจูน เพื่อใหผูอานไดมองเห็นภาพและเรื่องราวของพวกเธอทีละคน จากนั้นในบทที่หา
จะเปนการวิเคราะหเรื่องราวของพวกเธอ โดยใชแนวคิดทฤษฎีที่กําหนดเพื่อตอบคําถามในการวิจัย
ที่ตั้งไว
บทที่ 4
เรื่องเพศนอกการแตงงาน

เรื่องเลาของพิม
พิม หญิงสาวหนาตาสวยสะดุดตา รูปรางกะทัดรัดสมสวน บุคลิกราเริงแจมใส มีรอยยิ้ม
ที่บงบอกถึงความมั่นใจในตัวเอง เมื่ออยูในกลุมเพื่อนเธอจะเปนคนเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ
ไดเสมอ จากการใชถอยคําที่ตลกขบขันออกไปในแนวทะลึ่งเสียดสี ซึ่งเปนบุคลิกประจําตัวของเธอ
ที่เพื่อนๆ รูจักกันดี ปจจุบันพิมอายุ 28 ป เธอเปนลูกสาวคนโตของครอบครัวชนชั้นกลางที่พอและ
แมทํ างานเป นพนักงานรัฐวิ สาหกิจ แห งหนึ่ง แตพอกับแมของเธอได แยกทางกันไปตั้ง แต สมัย
เธอยังเรียนอยูชั้นประถม ปจจุบันตัวเธอเองก็ประกอบอาชีพเปนพนักงานรัฐวิสาหกิจเชนเดียวกัน
และอาศั ยอยู ที่ บ า นกั บแมเ พีย งสองคน เนื่ องจากน อ งชายของเธอกํา ลัง ศึก ษาอยูที่ ต า งประเทศ
ในสวนของความสัมพันธกับคนในครอบครัวนั้น ตัวเธอกับแมจัดวามีความใกลชิดและสนิทสนม
กันมาก ซึ่งแตกตางจากความสัมพันธของเธอกับพอ ที่ไมคอยไดเจอกันเพราะทานมีครอบครัวใหม
และพิมมองการที่พอไปมี ครอบครัวใหมวาเปนการทํารายครอบครัวของเธอ ทําใหเธอไมคอย
อยากไปใกลชิดสนิทกับพอมากนัก

“เรียกไดวาเรามีความทรงจําเกี่ยวกับพอ นอยมาก แลวที่เ ขาแยกกั นก็เพราะพอไปมี


คนอื่น ซึ่งมันทํารายความรูสึกอยูแลว ทํารายครอบครัวอยูแลววา ‘ทําไมละ พอไมไดรัก
เราเหรอ? ทําไมพอถึงพาคนอื่นเขามาถึงในบาน?’”

เมื่อแมของพิมตัดสินใจแยกทางกับพอ แมจึงตองทําหนาที่เปนหัวหนาครอบครัวเล็กๆ
ของเธอตั้งแตนั้นเปนตนมา พิมบอกวาแมเลี้ยงดูเธอและนองมาอยางดีอยางที่ผูเปนแมคนหนึ่ง
พึงจะทําได เธอกับนองชายจึงสนิทกับแมมาก เรียกไดวาเธอกับนองสามารถพูดคุยปรึกษา “เกือบ”
ทุกเรื่องในชีวิตกับแมได
ในวัยเด็กชีวิตของพิมก็เปนเหมือนกับเด็กผูหญิง ที่ถูกเลี้ยงดูขัดเกลาใหเติบโตมาเปน
ผูหญิงธรรมดาทั่วไป หากแตในแงมุมที่เปนชีวิตสวนตัวเชนในมิติเรื่องเพศของเธอนั้นกลับไม
ธรรมดา เนื่องจากเธอเริ่มเรียนรูจักมันในวัยที่คนทั่วไปคิดวา “ไมเหมาะสม” โดยเริ่มจากในวัยเด็กที่
เธอเคยมีความสัมพันธในเชิงทางเพศกับญาติชายวัยไลเลี่ยกันแตไมถึงขั้นของการสอดใส เนื่องจาก
เธอตองการเลน “เลียนแบบ” ในสิ่งที่เธอไดพบเห็นจากการนอนรวมหองกับพอแมในขณะนั้น
43

“แตก็จํารายละเอียดไมคอยไดแลวละ ก็ไมรูไง เด็กนะ หกเจ็ดขวบไดมั้ง แตจําไดวา


พอมาเห็นนี่ดา แลวก็ตีเลยนะ ตอนนั้นก็ไมรูหรอกวาทําอะไรผิด แมเราก็รองไหซะ
ไม รู เ หมื อ นกั น ว า ตอนนั้ น รู สึ ก ยั ง ไง แต ถ า ถามว า ตอนนี้ รู สึ ก ยั ง ไง เรารู สึ ก แย น ะ
เพราะว า ตอนสมั ย เด็ ก นี่ เ หมื อ นทํ า อะไรไปก็ ไ ม รู เ รื่ อ งน ะ จะถามว า ตอนที่ ทํ า นั้ น
รู สึ ก อะไรไหม คื อ เหมื อ นทํ า ไปแล ว มี ค วามสุ ข ไหม รู สึ ก ยิ น ดี ไ หมที่ ไ ด ทํ า นึ ก ถึ ง
สมั ย เด็ ก ก็ ไ ม ไ ด มี ค วามรู สึ ก อะไรแบบนั้ น เลย ทํ า ไปก็ เ พราะด ว ยความเป น เด็ ก
ก็อยากลอง ก็รูสึกไมดีตั้งแตสมัยเด็กดวยแหละ ที่รูวามันเปนสิ่งที่ผิด แลวยิ่งพอโดน
จับได เขารูกันทั้งบาน ยิ่งรูสึกแยเขาไปใหญ”

ปฏิกิริยาของพอและแมในขณะนั้น ทําใหเธอรับรูวาสิ่งที่เธอทําเปนสิ่งที่ผิด การถูกตี


ถือเปนการลงโทษที่เธอไดกาวลวงเขามายุงเกี่ยวกับสิ่งที่ไมสมควร แตจากประสบการณที่ไดรับมา
ในชวงเวลาดังกลาวก็ไมไดทําใหเธอหยุดสนใจในเรื่องทางเพศอยางสิ้นเชิง เพราะเธอก็ไดมีการ
เรียนรูเรื่องราวทางเพศอยางคอยเปนคอยไปพรอมกับกลุมเพื่อนในโรงเรียน ซึ่งก็เปนไปตามลําดับ
ขั้นตอนในชีวิตของคนทั่วไปที่มักเริ่มเรียนรูเรื่องเพศในสมัยวัยรุน โดยที่พิมเองเริ่มตนเรียนรูหรือ
มีความอยากรูอยากเห็นในเรื่องเพศกับเพื่อนเพศเดียวกัน เนื่องจากเธอเรียนหนังสือในโรงเรียน
สตรีลวนแหงหนึ่ง ซึ่งถึงแมจะมีแตเพื่อนผูหญิงรายลอม แตในจํานวนนั้นก็รวมถึงเพื่อนผูหญิง
ที่มีลักษณะการแสดงออกกระเดียดไปทางผูชาย หรือที่คนทั่วไปเรียกวาเปน “ทอม” และเพื่อนคนนี้
ก็ เ ป น คนที่ จุ ด ประกายให พิ มเกิ ด อารมณ ความรู สึ ก กั บ เรื่ อ งทางเพศขึ้ น มา เพราะเพื่ อ นมั ก จะ
แสดงอาการเขามากอดหรือหอมเธอในลักษณะของการเลน หรือแกลงกันในกลุมเพื่อน ซึ่งถึงแมจะ
ไมไดเปนการแสดงออกในรูปแบบของคนรักแตก็ทําใหเธอเริ่มมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้มากขึ้น

“มีอยูคนหนึ่ง เปนเพื่อนในกลุมเราตั้งแตเขา ม.1 มันก็จะชอบแสดงความแมน กิ๊กกิ๊วกับ


สาวนอยสาวใหญที่ดูนารักอะไรแบบนี้ ก็เริ่มเปนวัยที่เปดเขาสูความรัก หรือเริ่มจะมี
แฟน ซึ่งกอนหนานี้เราไมเคยมีเรื่องอะไรแบบนี้เลย ก็เริ่มที่จะมองมุมนี้ขึ้นมา มีการโอบ
กัน หอมแกม อะไรตางๆ มีการแสดงออกดานอาการ เพื่อนทอมนี้ก็เริ่มมาทํากับเรา
มากขึ้ น มี ก ารเข า หา แต ก็ เ ป น เพื่ อ นกั น จริ ง ๆ นะ บางที มั น ก็ ม าแบบว า ‘อ ะ !
มาหอมหนอย’ อะไรแบบนี้ เราก็เริ่มมีปฏิกิริยากับสิ่งเหลานี้ขึ้นมา หลังจากที่วัยประถม
ก็ไมไดคิดอะไรกับเรื่องแบบนี้”
44

นอกจากปฏิกิริยาที่มีตอเรื่ องเพศจากเพื่อ นคนดั งกลา วแล ว ในเวลาต อมาพิมยั งไดมี


เพศสั ม พั น ธ กั บ รุ น พี่ ที่ เ ป น ทอมอี ก คนหนึ่ ง ซึ่ ง เธอบอกว า เธอไม ไ ด เ ป น แฟนกั บ รุ น พี่ ค นนั้ น
แตที่มีความสัมพันธกับเขาเพราะวาเขาเปนคนที่เธอแอบชอบอยู และมีโอกาสไดมาสนิทสนมกัน
เหตุ การณ ดั ง กล า วจึ ง เกิ ดขึ้ น โดยเริ่ ม จากการที่ เ ธอไปกิ น เหล า ที่ บ า นของรุ นพี่ และพอเริ่ ม เมา
ทั้งสองคนก็เริ่มมีการเขาหากัน และจบลงดวยการมีเพศสัมพันธกัน แตพิมบอกวาเธอไมไดนับวา
เหตุการณดังกลาวคือการ “เสียตัว” เพราะเธอมองวาการมีเพศสัมพันธคือจะตองเกิดขึ้นกับผูชาย
เทานั้น

“แตตอนนั้นเราไมไดรูสึกอะไรเลย ไมไดรูสึกวาเสียตง เสียตัวหรืออะไร เราไมนับ คือ


เราถือวา just a finger tip นะ จริงๆ แลวไมเคยคิดถึงเรื่องนี้หรอกนะวามันหมายความวา
ยังไง แตถาถาม การเสียตัวก็คงหมายถึงการนอนกับผูชาย การเอากันนะ แตเราก็ชอบพี่
เขานะ คือมันก็เริ่มจากตรงนั้นดวยการ kiss กัน hug กันนัวเนีย แลวก็ตอไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ดี
เชียว”

การนิยามความหมายของเพศสัมพันธในแบบดังกลาวของพิมเปนการนิยามที่สอดคลอง
กั บ การให ค วามหมายของกรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม ว า เพศสั ม พั น ธ ที่ “ถู ก ต อ ง” และ
“เป น ธรรมชาติ ” หมายถึ ง ความสั ม พั น ธ ท างเพศที่ เ กิ ดขึ้ น ระหว า งชายหญิ ง โดยมี ก ารสอดใส
อวั ย วะเพศ (sexual intercourse) เท า นั้ น เธอจึ ง ไม ย อมรั บ ว า ประสบการณ ท างเพศในรู ป แบบ
ดังกลาวของเธอคือการมีเพศสัมพันธ อยางไรก็ตาม ความสัมพันธระหวางเธอกับรุนพี่คนดังกลาว
ก็ยังคงดําเนินตอไปอีกหลายครั้ง เพราะเธอบอกวาเขาเปนคนที่เธอพึงใจ และมันเปนความสัมพันธ
ในรู ป แบบที่ ต อบสนองกั น แม จ ะไม ไ ด เ ป น แฟนกั น แต อ ย า งน อยทั้ ง สองคนก็ มีค วามรู สึ ก ที่ ดี
ใหแกกันในขณะนั้ น แต พิมก็ไ มไดเ ปด เผยเรื่องราวของเธอกับรุนพี่คนดั งกลา วใหใ ครที่บ านรู
เพราะเธอมองวาเรื่องดังกลาวเปนเรื่องที่ไมถูกตองในสายตาของคนในครอบครัว

“ถึงแมเราจะไมอยากใหเรามีอะไรกับแฟนผูชาย แตก็ไมไดหมายความวาเคาจะยินดีที่
เราไปมีอะไรกับผูหญิงหรอกนะ”

หลังจากนั้นพิมก็ไมไดมีประสบการณทางเพศในรูปแบบใดๆ อีก แมวาเธอจะเคยไป


ใชชีวิตในชวงวัยรุนเพียงลําพังเปนเวลาหนึ่งป ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนระดับมัธยม ณ ประเทศ
สหรั ฐ อเมริ ก า ที่ ผู ค นเชื่ อ กั น ว า เป น ดิ น แดนแห ง เสรี ภ าพ ที่ ร วมถึ ง ความเสรี ใ นเรื่ อ งทางเพศ
45

ตามการนํ า เสนอของสื่ อ ต า งๆ ด ว ย แต ที่ เ ธอไม มี โ อกาสได มี ป ระสบการณ ท างเพศเนื่ อ งจาก


เธอมองว า ตั ว เธอในขณะนั้ นไม ไ ดมี ความดึง ดูด ใจทางเพศแต อ ยา งใด แม เ ธอจะมองตัว เองว า
โตพอแลว เพราะไมมีคนมาใหความสนใจกับเธอ รวมถึงเธอเองก็กลัวการพูดภาษาอังกฤษดวย
จึ ง ทํ า ให ไ ม ค อ ยมี เ พื่ อ นมากนั ก ความรู สึ ก ของการที่ ต อ งไปใช ชี วิ ต อยู ตั ว คนเดี ย วในต า งแดน
จึงเปนเรื่องของความกลัวมากกวา

“ตอนที่ไปนั่นกลัวจริงๆ นะ ไมคอยกลาคุยกับใคร แตถาถามตอนนี้คือเรารูสึก happy


มากที่ เ ราผ า นมั น มาได แต ต อนนั้ น นี่ ก ลั ว สุ ด ชี วิ ต กลั ว สั ง คมใหม กลั ว คุ ย กั บ ใคร
ไมรูเรื่อง ตอนที่อยู นั่นก็เ คยคิดเหมือนกันนะว าถามีคนมาจี บเราจะทํายั งไง แตก็ค ง
ไมเอาแนๆ เพราะเรากลัว ไมรูจะทําตัวยังไง”

นอกจากความรูสึกกลัวแลว เธอยังตระหนักถึงความรูสึกของแมของเธอดวยเชนกัน
เพราะพิมมองวาการที่แมสงเสียเงินใหเธอไปเรียนที่ตางประเทศนั้น เปนการลงทุนที่มีคาใชจายมาก
พอสมควร เธอจึงไมอยากทําตัว “ไมดี” และทําใหแมของเธอตองเสียใจ

“แลวตอนนั้นเราก็คิดถึงแมเราดวยแหละวาเขาเสียเงินใหเรามาที่นี่นะ ก็ไมอยากทําตัว
เลวๆ ใหเขาสงตัวเรากลับประเทศดวย พูดไดเลยวาการไปอเมริกาตอนนั้นไมไดมีผลตอ
การเปลี่ยนแปลงความคิดอะไรใดๆ ของเราเลย ไมใชแบบวา ‘โอว! ไปเห็นโลกกวาง
แล ว กลั บ มากู นี่ หั ว สมั ย ใหม ’ ไม ใ ช แ บบนั้ น เลย เพราะว า ระหว า งที่ อ ยู ที่ นั่ น ไม ไ ด
มีความคิดในเรื่องเหลานี้ [เรื่องเพศ] เลยในหัวเลยจริงๆ”

ในขณะนั้นพิมมองวาเรื่องเพศคือเรื่องที่ผิดและไมควรเขาไปเกี่ยวของ เพราะอาจทําให
เกิ ด ป ญ หาซึ่ ง ส ง ผลกระทบต อ ตั ว เธอและต อ แม ข องเธอได ซึ่ ง ก็ เ ป น ความคิ ด ที่ อ ยู ใ นใจของ
ผู เ ป น ลู ก สาวที่ ถู ก ปลู ก ฝ ง มาในสั ง คมไทย แต เ นื่ อ งจากเธอไม ไ ด อ ยู ใ นสถานการณ ที่ ไ ด รั บ
ความสนใจจากคนอื่นมากพอจนทําใหความเชื่อเรื่องนี้สั่นคลอนไป พิมจึงไมไดยุงเกี่ยวกับใคร
ดังที่ ไดกล า วมา ซึ่ง แตกตา งจากตอนที่เ ธอกลั บมาประเทศไทยและเกื อบจะไดมี ค วามสัมพั นธ
ทางเพศกับผูชายเปนครั้งแรก โดยที่เรื่องราวดังกลาวเกิดขึ้นตอนที่เธอไปเรียนพิเศษ และมีเพื่อนชาย
คนหนึ่งแสดงทาทีวาสนใจเธอ แตเธอเองกลับคิดวาเขามีลักษณะเปนกะเทย
46

“พอกลับมาจากอเมริกาก็ไปเรียนภาษาอังกฤษที่สถาบันสอนภาษา ตอนนั้นก็มีกิ๊ก1
คนหนึ่ง คือเรารูสึกดีดวยแตไมไดคิดวาชอบหรืออะไร ตอนแรกเรานึกวาเขาเปนสาว2
ดูออกตุงติ้งๆ ก็แบบรูสึกดีนะ เขาก็ดูแลดี คือตอนนั้นไมไดรูสึกอะไร ก็มีจับมือถือแขน
กันบาง อยางเชนเวลาจะพาขามถนนอะไรแบบนี้ เพราะเราชอบคนที่ออกลักษณะสาวๆ
เปนกะเทยแลวมันดูอบอุนดี ก็จะชอบไปนัวเนียดวย”

โดยที่ตัวเธอเองไมไดมีความรูสึกอะไรเปนพิเศษกับเพื่อนชายคนนี้ แตตัวเขากลับแสดง
ทาทีสนใจในตัวเธอ และใชโอกาสที่ไปเที่ยวพัทยากับกลุมเพื่อนที่เรียนภาษาอังกฤษดวยกันเปดเผย
ความรูสึกที่มีตอพิมดวยการจูบเธอขณะที่นอนขางกัน และเธอก็สนองตอบเขาดวยการจูบตอบ
เช นเดี ยวกัน แตไมได มี อ ะไรเกินเลยไปกวา นั้ น เธอให เหตุ ผลกั บการจู บตอบเขาว า เปนเพราะ
ในตอนนั้นอารมณพาไป แตในสวนความรูสึกสวนตัวก็ยังไมถึงขั้นที่จะทําอะไรมากกวานั้นได
และเมื่อเขามาเอยถามถึงความรูสึกของเธอในภายหลัง พิมจึงบอกเขาวาเธอไมไดคิดอะไรกับเขา
มากไปกวาการเปนเพื่อน เพราะเธอไมไดรูสึกชอบเขาแบบชูสาวแตอยางใด ซึ่งพิมบอกกับผูเขียนวา
ถาหากเธอชอบเขา เธอก็คงตัดสินใจมีอะไรกับเขาไดตั้งแตในคืนนั้นหรือคบกันเปนแฟนไปแลว

“พอหลังจากนั้นก็มีการคุยกันวาอะไรยังไง เขาก็บอกวาเขาชอบเรา เราก็บอกวา ‘ไม!’


เขาก็ ‘อาว! แลวที่ทําไปละ?’ เราก็ตอบวา ‘เปนเรื่องธรรมดานะ เธอไมใชคนแรกที่เรา
จูบดว ย แตก็เป นผูช ายคนแรกที่ เราจู บนะ’ แล ว ก็ บอกเขาวา เราไมใ ช เด็กไร เดี ยงสา
ที่แบบจูบกับใครแลวจะตอง spend my life with you หรอกนะ [หัวเราะขํา] เขาก็ hurt
ไป ก็คอนขางประดักประเดิดเหมือนกันเวลามาเจอกัน แตสุดทายพอจบคอรสแลวก็
หางกันไป คือเราก็รูสึกดีกับเขานะแตไมใชแบบแฟน แลวดวยความที่รูสึกดีมันก็เลย
เคลิ้มไป แตมันไมใชลักษณะที่จะมาเปนแฟนนะ แตเราก็รูสึกไมดีนะที่เหมือนไปทําให
เขาคิดวาเราชอบเขารึเปลา ถาเขาเปนผูชายที่เราชอบ เราก็อาจจะมีอะไรดวยไดเลยนะ
ตอนนั้น เพราะอายุก็ 18 จะ19 แลว มันก็สามารถแลวละ”

1
เนื่องจากการพูดคุยในครั้งนี้เปนการเลาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต คําวา “กิ๊ก” ที่พิมใช จึงเปนคําสมัยใหมที่เพิ่งเปนที่รูจักแพรหลาย
ในกลุมวัยรุนชวงสองปที่ผานมานี้เอง ผูที่ทําการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มองวา “กิ๊ก” อาจจะมาจากคําวา “กุกกิ๊ก” ซึ่งหมายถึงคนที่มี
สถานะมากกวาเพื่อนแตยังไมใชแฟน อาจจะมีหรือไมมีเพศสัมพันธกันก็ได (กรุงเทพวันอาทิตย [ระบบออนไลน] http://www.elib-
online.com/doctors47/teen_love002.html)
2
คําวา “สาว” เปนคําที่ผูหญิงโดยทั่วไปนิยมใชเรียกผูชายที่มีลักษณะทาทาง หรือแสดงกิริยาคลายเกยหรือกะเทย มาจากคําวา
“ออกสาว” หรือ “สาวแตก”
47

สาเหตุหลักที่ทําใหพิมไมไดยอมเลยเถิดไปถึงขั้นยอมมีเพศสัมพันธกับเพื่อนชายคนนั้น
ก็คือ ตัวเธอไมไดมีความรูสึกรักหรือชอบเขามากพอ เพราะเธอมองวาในตอนนั้นเธอมีความพรอม
ทุกอยางแลว ทั้งเรื่องความพรอมทางดานรางกาย หรืออยูในชวงอายุท่ีเธอมองวาเปนวัยที่สามารถ
มี เ พศสั ม พั นธ ไ ด แ ล ว ยกเว น แต ค วามรู สึ ก ของตั ว เธอที่ มี ต อ เพื่ อ นชายคนนั้ นยั ง คงไม เ พี ย งพอ
ที่จะทําใหเธอมีเพศสัมพันธกับเขาดวยได
หลังจากนั้น เมื่ อมีการประกาศผลเอนทรานซใ นป พ.ศ.2540 ก็เปนอีกครั้ง หนึ่งที่พิม
ไดไปใชชีวิตอยูหางไกลจากบาน จากครอบครัวของเธอ และการอยูหางบานในครั้งนี้ทําใหเธอ
มีประสบการณ “การมีเพศสัมพันธ” เปนครั้งแรกกับผูชาย ที่เรียกไดวาเปนแฟนคนแรกในชีวิต
ของเธอขณะที่เปนนั กศึกษาปหนึ่งในมหาวิทยาลัยของรัฐแหงหนึ่ง โดยที่แฟนคนแรกของเธอ
เป น รุ น พี่ ที่ เ รี ย นอยู ค ณะเดี ย วกั น เริ่ ม รู จั ก กั น จากการทํ า กิ จ กรรมภายในคณะและเขามี ที ท า
แสดงความสนใจในตัวเธอ และเธอเองก็ไมไดรังเกียจอะไร ทั้งสองจึงคบหากันเปนแฟน

“ตอนนั้นเรามีแฟนคนแรกเปนรุนพี่เรียนคณะเดียวกัน ชื่อ ‘พี่หนึ่ง’ ไดเจอกันเพราะเรา


ทํ า กิ จ กรรมเหมื อ นกั น ได พู ด ได คุ ย กั น อยู บ า ง คื อ เขาก็ เ หมื อ นเริ่ ม จะมี ที ท า กั บ เรา
เราก็เห็นว า ‘เออ! เขาก็ดีนะ ดู เขาทาดี’ พอตกลงเป นแฟนกันแลวก็จะเปนลักษณะ
ตัวติดกันมาก เราก็ไมคอยมาอะไรกับเพื่อนเทาไหรดวย ที่ตัดสินใจมีแฟนก็อาจจะเปน
เพราะเราไมคอยติดเพื่อนมากเหมือนตอนวัยรุน ที่แอบไปชอบคนนั้นคนนี้ แตพอเขา
จะมาชอบเราจริงๆ เราก็ไมเอา ไมพรอม แตพอตอนนี้เราไมไดตองการเพื่อนมากๆ
อยางเมื่อกอน มันก็ตองการอยางอื่นแทนก็เลยคบพี่หนึ่งเปนแฟน จริงๆ แลวที่ตัดสินใจ
[มีแฟน] ไปตอนนั้นมันไมไดอยูที่อายุหรืออะไรนะวาแบบโตพอแลวหรือยัง แตมัน
อยูที่ความรูสึกของเราเลยละวาตอนนี้ตองการอะไร”

พิมมองวาการตัดสินใจมีแฟนของเธอในตอนนั้นเปนไปตามความรูสึกที่คิดวาตัวเอง
พรอมที่จะมีความรักแลว ซึ่งเปนความรักในรูปแบบของรักตางเพศที่เปนไปตามแนวทางของสังคม
บวกกั บ องค ป ระกอบต า งๆ คื อ การที่ มี ค นมาให ค วามสนใจในตั ว เธอ และเป น คนที่ เ ธอเอง
ก็มีความรูสึกดีๆ ตอเขาดวยเชนกัน จึงทําใหเธอยอมรับความสัมพันธในครั้งนี้ โดยเธอไดบอกเลา
เรื่ อ งราวการมี แ ฟนครั้ ง แรกให แ ม ข องเธอได รั บ รู ว า เธอกํ า ลั ง เริ่ ม คบหาดู ใ จกั บ รุ น พี่ ค นนี้ อ ยู
ซึ่งแมก็ไมไดวาอะไร เพียงแตเอยปากขอกับเธอไววาแมไมอยากใหความสัมพันธในครั้งนี้ถึงขั้น
มีอะไรกัน
48

“ตอนที่ตกลงเปนแฟนกับพี่หนึ่ง เราก็ไปบอกแมวา ‘แม...ลูกกําลังคบกันคนนี้อยูนะ’


แม ก็ ‘เหรอ?’ ก็ ไ ม ไ ด อ ะไร แต แ ม บ อกว า ‘คบกั น น ะ คบได แต แ ม อ ยากให ค บกั น
แคแบบนี้นะ อยาใหถึงกับตองมีอะไรกัน’ แลวก็จบแคนั้น คือเหมือนกับใหเราไปคิดตอ
เองนะ เพราะดวยลักษณะของแมเราดวย คือเราก็คุยกันมาตลอด ก็เขาใจกัน อะไรกัน
แมเคาก็จะลักษณะนิ่งๆ พูดนอยๆ แตเราเขาใจกัน เคาก็คงคิดวาพูดแคนั้น เราก็รูแลววา
เคาหมายถึงอะไร เคาไมตองมาบรรยายใหเราแลว”

การขอของแม เป นการสะท อนถึ งความคาดหวัง ในตัว “ลูกสาว” ที่ไมตองการให ลูก


ไปยุงเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน ซึ่งแมจะไมไดเปนการบอกเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงวา
เปนเพราะเหตุใด แตก็ทําใหพิมยอมเชื่อฟงตามคําขอของแม เพราะเธอไมอยากทําใหแมเสียใจหรือ
ผิดหวังในตัวเธอ เธอจึงพยายามปฏิเสธการที่พี่หนึ่งขอมีเพศสัมพันธดวยมาโดยตลอดในชวงแรก
อยางไรก็ตาม เมื่อมีเหตุการณหรือจุดพลิกผันเกิดขึ้นในความสัมพันธของเธอกับพี่หนึ่ง คือการที่
พี่หนึ่งมีผูหญิงคนอื่นมาติดพัน และเปนสาเหตุของการทะเลาะกันอยูหลายครั้ง พี่หนึ่งพยายาม
ทํ า ให เธอรู สึ กว า ถ า เธอไม ยอมมี เ พศสั มพั นธ กั บ เขา ความสั ม พั นธ ใ นครั้ง นี้ อ าจจะไม สามารถ
ดําเนินตอไปได เพราะเขาอาจจะไปเริ่มตนกับคนอื่นแทนเธอ ทําใหพิมตองตัดสินใจยอมฝาฝน
คําขอของแมดวยการมีเพศสัมพันธกับพี่หนึ่ง เพื่อที่เธอจะไดไมตองเสียเขาไป

“คือพี่เขาก็รุกเราหลายครั้งนะ พยายามขอมีอะไรดวย ก็นานเชียวละกวาเราจะตัดสินใจ


ยอม ก็อ ยา งที่ บอกนะ วา ตอนนั้นเราก็นึ กถึงหนา แม ขึ้นมา คื อกอนที่จะยอมมีอะไร
กับพี่หนึ่งครั้งแรกเนี่ย เราก็มีปญหากัน ทะเลาะ งอนกันไปมาเพราะวามีผูหญิงอีกคน
มาชอบพี่เขา เสร็จแลวเราก็คิดจะเลิกๆ ตั้งหลายที มีปญหาอะไรอีกมากมาย แตพอดี
วั น นั้ น ก็ มี เ หตุ อ ะไรไม รู ใ ห พี่ เ ขามารุ ก ขอนอนกั บ เราอี ก รอบ ก็ ทํ า ให เ ราถลํ า ลงไป
ตกลงใจยอม นั่นคือการมีอะไรกับผูชายครั้งแรก เรายังจํา ภาพตอนนั้นไดติดตาเลย
คือเราไมไดคิดวาอะไรเลยนะ เหมือนใจเราก็อยากลองมานานแลวดวยมั้ง คืออารมณ
มันพาไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พี่เขาขอ ก็นัวเนียๆ กัน เขาก็พยายามมาเรื่อย ตัวเองก็มีอารมณ
ที่อ ยากจะทํ า แต ก็ ‘ไม ๆ ๆ’ มาเรื่ อ ยๆ เพราะว า แม ไง ก็ คิ ด อย า งนั้ น มาตลอด วั น นั้ น
เราก็ไมรูวาเกิดอะไรขึ้นแตก็อยากจะลองมาตั้งนานแลว มันคงแบบวาสะสมมาแลว
อาจจะเป น position ที่ พ อดี เข า มาก็ ‘กรี๊ ด ! จริ ง เหรอ นี่ คื อ การเอากั น แล ว เหรอ?’
แตเราไมมีความสุขเลยนะ กลัวเรื่องแมมากกวา”
49

เมื่ อ คิ ด ว า ตั ว เองได ทํ า ลายความไว ว างใจของแม ล งไปแล ว สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ พิ ม ก็ คื อ


ความรู สึ ก ผิ ด ที่ ทํ า ให แ ม เ สี ย ใจที่ เ ธอไม อ าจทํ า ตั ว เป น ลู ก สาวที่ ดี ข องแม ไ ด ใ นมิ ติ เ รื่ อ งเพศวิ ถี
อยา งไรก็ตาม สิ่ ง ที่ เธอพอจะทํา ไดใ นขณะนั้ นก็คื อการสรา งความชอบธรรมใหกั บการกระทํา
ของตัวเองที่ไดตัดสินใจทําลงไปแลว ซึ่งเปนการกระทําที่ฝาฝนความตองการของแม ดวยการ
ไปบอกเลาเรื่องราวใหเพื่อนฟง ซึ่งเปนคนที่เธอคิดวาจะเขาใจในการกระทําของเธอดวย

“กอนหนานั้นก็อยางที่บอกคือกลัว กลัวแมเสียใจ แตพอเอากันเสร็จแลวเราก็วิ่งไปบอก


เพื่อนวา ‘เฮย! กูมีอะไรกับพี่เขาแลวนะ’ เพื่อนเราคนนี้มันเปนคนที่รับเรื่องแบบนี้ไดอยู
แล ว แต ตั ว มั น เองก็ ไ ม เ คยนะ มั น เป น ประเภทที่ แ บบว า ‘ไม เ อา ไม กล า ต อ งรอไว
วันแตงงานกอน’ มันเปนคนคิดแบบนี้ไง คือไมไดกาวกายสิทธิเรื่องนี้ของคนอื่นนะ
มันก็ถามเราวา ‘เออ! แลวเปนไงละ?’ ก็แคนั้น เราก็ตอบมันไปวาสําหรับเรื่องรางกาย
นะไมไดมีอะไรเปลี่ยนแปลงอะไรไปเลย แคมันยังงงอยูวาจริงเหรอ เราทํามันไปแลว
จริ ง ๆ น ะ เหรอ เพราะก็ อ ย า งที่ บ อกว า เราเองก็ คิ ดว า เรื่ อ งนี้ มั น ก็ คื อ เรื่ อ งผิ ด สั ง คม
ไมยอมรับ คนทั่วไปก็ไมยอมรับ แตพอเราไดทําไปแลวมันก็เหมือนอยากจะระบาย
ความผิดนี้กับคนที่เรารูวาเขาจะเขาใจและไมไดมองวาเราทําผิดนะ”

การใหเหตุผลกับการกระทําของตัวเองผานการบอกเลาใหเพื่อนฟงนั้นก็คือ การที่พิม
เลื อ กใหค วามสํ า คั ญ กับ ประเด็ นที่ เ ธอทํ า ไป ว า เป น เพราะความรั กที่ มีตอ แฟนหนุม และความ
ตองการรักษาความสัมพันธใหมั่นคงไว มากกวาที่จะใหความสําคัญกับความคิดที่วาผูหญิงจะตอง
รักษาความบริสุทธิ์ในขณะนั้น เธอจึงมองวาเมื่อเธอไดกระทําไปแลวก็ไมไดมีความเปลี่ยนแปลง
ใดๆ เกิดขึ้นกับรางกายของเธอเลย เพียงแตเธอยังคงมีความกลัวที่ไดละเมิดความเปนลูกสาวที่ดี
ตามที่แมตองการอยู

“กอนที่จะมีเ ซ็กสครั้งแรกเราก็รู สึกกลัว รูสึ กแบบ...‘นึกถึงหนาพอแมของเธอไว ’ 3


[รองเปนเพลง] แตบอกไดเลยวาวินาทีนั้น หลังจากมีแลวเนี่ย เราก็วิ่งไปบอกเพื่อนเราวา
‘มึง! กูไปเอามาแลว’ [หัวเราะ] มันก็ตื่นเตนนะ ก็กลัว แตก็แบบวามันไมเห็นอะไรเลย
ไมเห็นเหมือนอยางที่เราเคยคิดไว นี่ไง! เราก็สามารถมาคุยเรื่องนี้วันนี้ได ไมเห็นรูสึก

3
เพลง “ฮอรโมน” (2544) ของศิลปนวงกรูฟไรเดอร (Groove Riders) คายเบเกอรี่มิวสิก (Bakery Music) เปนเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
การเรียกรองใหวัยรุนรักนวลสงวนตัว รักษาความบริสุทธิ์ไวจนกวาจะแตงงาน ดวยการพยายามขมความตองการของตัวเองไวใหได
โดยมีเงื่อนไขสําคัญคือ การคิดถึงความรูสึกของคุณพอคุณแมใหมาก เพื่อจะไดไมทําใหพวกทานเสียใจ
50

อะไรเลย มันไมไดนากลัวอยางที่คิด แตตอนนั้นที่เรากลัวคือวาแมเราซึ่งเปนคนหนึ่งที่


ตีกรอบเรื่องเหลานี้ไว เขาไวใจในตัวเรา ก็คือรูสึกผิดตอแม แตไมไดรูสึกผิดตอสังคม
หรือไมรูสึกวาตัวเองผิดหรือดอยคาลง ไมรูสึกอะไรแบบนั้นเลย”

การที่ เ ธอมี กั ง วลเกี่ ย วกั บ ความเปลี่ ย นแปลงที่ อ าจจะเกิ ด ขึ้ น กั บ ตั ว เองภายหลั ง จาก
ผานประสบการณการมีเพศสัมพันธครั้งแรกของพิมนั้น สะทอนใหเห็นถึงความเชื่อในเรื่องของการ
ผู ก คุ ณ ค า ของผู ห ญิ ง ไว กั บ ความบริ สุ ท ธิ์ ที่ เ ชื่ อ กั น ว า เมื่ อ สู ญ เสี ย ไปแล ว จะทํ า ให เ กิ ด
ความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับตนเองในดานใดดานหนึ่ง หรือสูญเสียคุณคาของตัวเองไป แตเมื่อถึงจุดที่
เธอไมสามารถรักษามันไวไดอีกตอไปแลว เธอจึงเลือกใหความสําคัญกับเหตุผลที่ทําใหเธอยอม
มีเพศสัมพันธกับพี่หนึ่งมากกวา นั่นก็คือความรักและความพยายามที่อยากจะรักษาความสัมพันธ
ของเธอกับเขาไว และบอกกับตัวเองวาไมไดมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นตามที่เคยเขาใจมา
สวนความรูสึกผิดตอแมนั้นพิมก็หาวิธีการจัดการกับมัน โดยการไมบอกใหแมรูหรือพยายามปกปด
เรื่องดังกลาวไว และทําตัวเปนลูกสาวที่ดีของแมตอไปตามเดิม

“จริงๆ แลวเราเปนคนที่สนิทกับแมมาก คุยกับแมไดทุกเรื่อง ตอนที่เรามีอะไรกับแฟน


ครั้งแรก เราไมสบายใจมากๆ เราก็คิดจะบอกเขา เพราะเหมือนสบตาแมทีไรก็เหมือน
เขาจะรู เพราะหลังมันหวะอยู [หัวเราะ] แมตองรูแนๆ เขาตองอานพฤติกรรมเราออก
แตก็มีคนบอกเราวา ‘ถาจะบอกแมเพราะเรารูสึกไมสบายใจ แตถาบอกเขาไปแลวมันจะ
ไดอะไรนอกจากความสบายใจของเรา ที่แนๆ คือแมเราไมสบายใจแนนอน แลวตัวเรา
เองก็ อ าจจะยิ่ ง ไม ส บายใจมากขึ้ น ก็ ไ ด ก็ จ ะกลายมาเป น ความทุ ก ข อี ก ระดั บ หนึ่ ง ’
เราก็ ‘เออ! ก็จริง’ เราก็เลยเลือกที่จะเงียบกับแมใหมันคลุมเครือตอไป แตหลังจากนั้น
ตัวเราก็เหมือนเดิมกับแมนะ คือก็รูสึกวาทําลายความเชื่อใจเขาแคนั้น แตภาวการณ
ต า งๆ ไม ว า จะเป น การพู ด คุ ย การใช ชี วิ ต อยู อะไรก็ ต าม เราเหมื อ นเดิ ม ทุ ก อย า ง
คือมันก็ไมไดเปลี่ยนแปลงอะไรเราอยางที่เราเคยกลัวเลย”

พิมเลือ กใช วิธีการปล อยให เรื่ องราวของเธอกับแฟนอยูใ นสถานภาพที่ค ลุมเครือ กั บ


แม แ บบนี้ ม าโดยตลอด แม ว า ในตอนหลั ง จะมี เ หตุ ก ารณ ที่ ทํ า ให เ ธอไม แ น ใ จ ว า แม ไ ด มาเห็ น
ชุดทดสอบการตั้งครรภของเธอหรือไม แตเธอก็เลือกที่จะไมพูดถึงเรื่องดังกลาวเชนเดียวกับที่
แมของเธอก็ไมไดเอยปากถึงเรื่องนี้กับเธอเชนเดียวกัน เพราะพิมคิดวาตราบใดที่เธอไมไดพูดเรื่องนี้
ออกมาจากปากของตัวเอง แมก็ยังคงมองวาเธอคงเปนลูกสาวที่ “บริสุทธิ์” อยูเหมือนเดิม
51

“เพราะเราเคยคุยกับเพื่อนสนิทเราคนหนึ่งถึงเรื่องของเพื่อนเราที่เขาไปมีอะไรกับแฟน
แล ว เพื่ อ นอี ก คนหนึ่ ง มั น ไม เ ชื่ อ ว า เพื่ อ นคนนี้ จ ะทํ า แบบนั้ น เพื่ อ นสนิ ท เราก็ ยั ง พู ด
ในทํานองวา ‘ทําไมมันจะไมรูเลยเหรอ? ทําไมมันถึงไมคิดวาเพื่อนคนนั้นไปมีอะไร
กับแฟน?’ เราก็พูดกับเพื่อนสนิทเราวา ‘นี่มึง...มันจะมีคนหมูมากในสังคมเราที่คิดวา
เรื่องแบบนี้เปนเรื่องที่เกินขอบเขต อยูนอกกรอบที่ดี เพราะฉะนั้น ถามึงเปนเพื่อนกู
กูก็จะตองคิดวา ถึงแมวามึงจะอยูกับผัว [แฟน] มึงก็ตาม กูก็จะคิดวามึงไมไดมีอะไรกัน
เพราะมึงเปนเพื่อนกู กูตองคิดวากูตองเชื่อใจในสิ่งที่มึงทํา เพราะกูไมคิดวามึงจะทํา
ในสิ่งที่ไมดีหรอก’ เพราะฉะนั้น แมเราก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน”

หลั ง จากที่ เ ธอมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศกั บ พี่ ห นึ่ ง แล ว พิ ม ก็ รู สึ ก ว า รู ป แบบของ
ความสัมพันธของเธอเปลี่ยนแปลงไป คือเธอเริ่มรูสึกวาพี่หนึ่งตามติดและหวงเธอมากขึ้นและ
เรียกรองที่จะมีเพศสัมพันธกับเธอมากขึ้นดวยเชนกัน ซึ่งพิมบอกตัวเองวาอาจเปนเพราะพี่หนึ่ง
มองวาเปนเรื่องธรรมดาที่คนเปนแฟนกันจะเรียกรองในเรื่องเหลานี้ และทําใหตัวเธอเองก็ยินยอม
สนองความตอ งการของเขา เพราะเธอก็ไ ม ปฏิ เ สธว า ตั ว เธอก็ ช อบในเรื่ อ งเหลา นี้ เ ช นเดี ยวกั น
อยางไรก็ตาม เมื่อความสัมพันธของทั้งคูดําเนินไปไดไมนาน พิมก็เริ่มรูสึกวาพี่หนึ่งเริ่มมีพฤติกรรม
การแสดงออกที่ทําใหเธอไมพอใจ จากการตามติดของเขาทําใหเธอรูสึกวาเขาไมมีเหตุผล ไมรูจักคิด
เนื่องจากในชวงปดเทอมเธอไดลงไปเที่ยวบานเพื่อนทางภาคใต และพี่หนึ่งไดโทรศัพทไปหาเธอ
ที่บานเพื่อนในเวลากลางคืนอยูบอยครั้ง ทําใหพิมรูสึกเกรงใจครอบครัวของเพื่อนที่เปนเจาของบาน
และไมชอบใจในความไมมีมารยาทของพี่หนึ่งเปนอยางมาก จนกลายเปนสาเหตุที่ทําใหเธอกับเขา
ทะเลาะกัน และเธอตัดสินใจบอกเลิกกับเขาไปในที่สุดหลังจากที่กลับมาจากบานเพื่อนแลว
หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็ดําเนินตอไปโดยที่มีผูชายคนใหมเริ่มกาวเขามา เนื่องจากพิม
เปนคนที่มีบุคลิกสนุกสนาน ยิ้มแยมเปนกันเองกับผูอื่นและเปนหญิงสาวหนาตาดี จึงไมใชเรื่องยาก
ที่จะมีคนมาใหความสนใจในตัวเธอและพัฒนาสานตอจนกลายเปนความรักครั้งใหมไดในที่สุด
โดยผู ช ายคนใหม ที่ เ ข า มาในชี วิ ต ของพิ ม คนนี้ เ ป น รุ น พี่ ที่ เ รี ย นอยู อี ก คณะหนึ่ ง ซึ่ ง พิ ม บอกว า
ดูเหมือนเขาจะใหความสนใจเธอมาตั้งแตตอนที่เธอคบกับพี่หนึ่งอยูแลว แตตอนนั้นทั้งคูตางก็
ยั ง มี แ ฟนของกั น และกั นอยู ความสั ม พั นธ จึ ง ไม ไ ด ก า วหน า มากไปกว า การเป น แค ค นรู จั กกั น
แตเมื่อทั้งสองฝายตางยุติความสัมพันธที่มีมากอนหนานี้ไปไดแลว จึงไดเริ่มมาเปดเผยความรูสึก
ที่มีตอกันและเริ่มคบหากันเปนแฟน
52

“เราเจอ ‘พี่โก’ ที่คณะของเขา เพราะเราไปลงเรียนวิชาหนึ่งที่นั่น จริงๆ แลวก็เหมือนเคย


เห็นกันมากอน ตั้งแตเรายังเปนแฟนกับพี่หนึ่งแหละ ทีนี้พอเราวางพี่เขาก็เริ่มๆ เขามาคุย
มาอะไรดวย เราก็เห็นวาพี่เขาก็โอเคนะ สไตลหนุมติสท4 นะ เขาจะเขามาสไตลมาแซว
มาคุ ย ๆ เรื่ อ งที่ เ รี ย นด ว ย อะไรด ว ย มั น ก็ ไ ม ใ ช เ ชิ ง มาจี บ โดยตรงหรอกนะ มั นเป น
ประเภทมองๆ คุยๆ แลวก็รูกันเองวา ‘เออ! คนนี้คงชอบเรานะ’ แตวาตอนนั้นเหมือน
พี่ โ ก ก็ มี แ ฟนอยู แ ต ว า กํ า ลั ง มี ป ญ หากั น เราก็ ร อดู ก อ นว า เขาจะเคลี ย ร กั น ยั ง ไงก อ น
ทีนี้พอพี่เขาจัดการอะไรเรียบรอยเขาก็เริ่มเขามามากขึ้น มันก็เลยเหมือนเปนการเปดตัว
นะ ก็เริ่มไปไหนมาไหนกันมากขึ้นไปกินขาวอะไรแบบนี้ ก็เลยกลายมาเปนแฟนกัน”

ซึ่ง ภายหลัง จากเริ่ม คบกั นเปนแฟนไดไ มนาน เธอก็มีค วามสั ม พั นธ ทางเพศกับ พี่ โ ก
โดยที่การตัดสินใจมีเพศสัมพันธในครั้งนี้เธอบอกวาไมไดยากเหมือนครั้งแรกอีกตอไป พิมบอกวา
เธอไมไดมีความรูสึกวาตัวเองทําผิดตอแมเหมือนในกรณีของพี่หนึ่ง เพราะเธอไดผานตรงจุดนั้น
มาแลว และเธอก็เลือกใชวิธีการที่จะไมบอกแมเพื่อใหทานสบายใจ เธอจึงปลอยใหเรื่องนี้เปนไป
ตาม “ธรรมชาติ” ของคนรักกันโดยไมไดเก็บเอามาคิดเปนความรูสึกผิดอีกตอไป

“ก็เ ริ่ มไปไหนมาไหนกั นมากขึ้ นไปกิ นขา วอะไรแบบนี้ ก็เ ลยกลายมาเปนแฟนกั น


ประมาณเดือนนึงมันก็มีอะไรกันนะ แตครั้งนี้เราไมคอยรูสึกผิดตอแมแลวเพราะก็ถือวา
ไม ใ ห เ ขารู แล ว กั บ ตั ว เราเองก็ ไ ม รู จ ะอิ ด ออดไปทํ า ไมด ว ยเพราะก็ เ คยมาแล ว
มันก็เปนไปตามธรรมชาติของมันไง เราก็ไปคางบานเขามั่ง เขามาหองเรามั่ง ผลัดกัน
อยูอยางนี้”

การที่พิมมองวาการมีเพศสัมพันธกับพี่โกทําไดงายกวาครั้งแรกกับพี่หนึ่งนั้น เพราะเธอ
ใหเหตุผลวาเปนเรื่องธรรมดาที่คนรักกันจะมีความสัมพันธทางเพศตอกัน แมวาจะยังไมไดแตงงาน
กันก็ตาม ประกอบกับที่เธอมองวาตัวเอง “เสียความบริสุทธิ์” ไปแลว จึงกลายเปนความชอบธรรม
ที่ทําใหเธอคิดวาตัวเองสามารถมีเพศสัมพันธกับแฟนหนุมได การมองสถานการณแบบนี้สะทอน
ให เ ห็ น ถึ ง ความเชื่ อ ในเรื่ อ งพรหมจรรย ข องผู ห ญิ ง ที่ เ ชื่ อ ว า มี แ ค ค รั้ ง เดี ย ว เมื่ อ สู ญ เสี ย ไปแล ว
ก็ไมเหมือนเดิมอีกตอไป และตองหาวิธีการจัดการกับความรูสึกนี้ของตัวเองใหได ซึ่งวิธีการที่พิม
เลื อ กใช เ พื่ อ จั ด การกั บ ความรู สึ ก ของตั ว เองก็ คื อ การให ค วามสํ า คั ญ กั บ เรื่ อ งของความรั ก

4
ยอมาจากคําวา artist หมายถึงคนที่มีทาทางเปนศิลปน ไวผมยาวหรือไวหนวดไวเครา เปนตน มักใชกับคนที่เรียนหรือทํางานใน
แวดวงศิลปะ
53

ความอบอุนใจที่จะไดจากความสัมพันธฉันทคูรักกับพี่โกมากกวา อยางไรก็ตาม ความสัมพันธ


ในครั้ ง นี้ ข องพิ ม ก็ ไ ม ไ ด ร าบรื่ น หรื อ มี ค วามสุ ข ไปทั้ ง หมด ด ว ยสาเหตุ ที่ ว า ตั ว พี่ โ ก นั้ น เป น
คนชอบดื่ ม เหล า และมั ก ขอมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ เธอในขณะมึ น เมา ซึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ พิ ม ไม ช อบและ
ไมตองการใหเกิดขึ้น แตเธอก็ไมสามารถปฏิเสธเขาได เพราะเขามักจะหยิบยกเอาเหตุผลที่วาถาเธอ
ไม ย อมเขา เขาจะไปนอนกั บ คนอื่ นแทน ซึ่ ง เป น เหตุ ผ ลที่ สั่ น คลอนความเชื่ อ ในเรื่ อ งรู ป แบบ
ความสัมพันธแบบที่ดี ทําใหเธอตองยอมฝนใจตัวเองเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธของเธอตรงนี้ไว

“แตมันก็มีป ญหาอยูเหมือนกัน คื อพี่โก เนี่ยชอบกิ นเหลา มาก ก็จะชอบเมามาหาเรา


ตอนกลางคื น แลว ทีนี้ คนเมามั นก็ไ ม มีสติใ ชปะ แลว เวลาจะขอนอนด วยเราก็ แบบ
เซ็งนะ ไมมีอารมณ เพราะวาแบบจะเอาๆ อยางเดียว ไมไดสนใจเลยวาเรารูสึกยังไง
อยากหรื อ ไม อยาก แล ว เราก็ ป ฏิเ สธไม ค อ ยจะได ดว ยนะเพราะถ า เราบอกว า ไม ใ ห
พี่เขาก็จะบอกวา ‘มีคนอื่นใหเอาอีกตั้งเยอะแยะ ถาไมใหเดี๋ยวไปเอาคนอื่นนะ’ เราก็เลย
ตองยอม แลวจริงๆ มันก็นาขยะแขยงนะ เพราะเอากับคนเมานะ มันจะมีน้ําลงน้ําลาย
อะไรแบบนี้ เต็มตัวเราไปหมด บางครั้งมันก็เจ็บดวย”

การยอมของพิมเป นการสะทอนถึง ความเชื่อ ในเรื่ องรูปแบบของความสั มพั นธ แบบ


ผัวเดียวเมียเดียว วาเปนความสัมพันธที่ดีที่ฝงแนนอยูในความคิดของเธอเปนอยางมาก เพราะเธอ
ยอมกดความเชื่อในเรื่องของการมีเพศสัมพันธที่ตองเกิดขึ้นจากความยินยอมพรอมใจที่ตัวเธอเอง
ก็ยึดถื อเชนเดี ยวกั นเอาไวกอน และยินยอมใหพี่โ กมี เพศสัมพันธกับเธอทั้งๆ ที่เ ธอไมต องการ
เพื่อยึดโยงความสัมพันธของเธอไว แมจะมีบางครั้งที่เธอรูสึกทนไมไหวและไมยอมใหพี่โกเอาและ
ไลใหเขาไปนอนที่อื่น แตเมื่อเขามางองอนขอคืนดีในภายหลัง พิมก็ยอมใจออนคืนดีกับเขาเสมอ
ซึ่ง ความสัมพั นธ ในรู ปแบบดังกลาวสามารถสะท อนใหเห็ นถึง ความเชื่ อในความแตกต างของ
เรื่องเพศวิถี ที่ใหผูชายเปนฝายไดเปรียบและสามารถฉกฉวยเอาความไดเปรียบในสวนนี้มาใช
ในการตอรองกับผูหญิงได เรามักจะไดยินคําพูดที่บอกวาผูหญิงมักตองเปนฝายยอมมีเพศสัมพันธ
กับผูชายเพื่อแสดงใหเห็นวาตนรักผูชายจริงๆ หรือเพราะกลัววาฝายชายจะไมรักและหันไปหา
คนอื่ น แทน ซึ่ ง ในกรณี นี้ ข องพิ ม รวมถึ ง เรื่ อ งราวของเธอกั บ พี่ ห นึ่ ง ก็ เ ป น เช น นั้ น เหมื อ นกั น
นับเปนการทํางานของกรอบความเชื่อในเรื่องเพศแบบปตาธิปไตยที่กํากับควบคุมใหผูคนในสังคม
ยอมตามและนํามาใชบังคับกันเอง โดยมีเปาหมายของการยอมตามที่แตกตางกัน กลาวคือผูชาย
ใชความไดเปรียบในสวนนี้มาบีบบังคับเพื่อใหผูหญิงยอมเปน “เมีย” และผูหญิงก็ยอมทําตามเพื่อให
54

ไดมาซึ่งความรักที่มั่นคงและอบอุนใจจากความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว ที่เธอเองก็คาดหวังให
ผูชายยึดถือดวยเชนกัน
พิ ม จะบอกกั บ ผู เ ขี ย นเสมอว า เวลาที่ เ ธอคบกั บ ใครนั้ น เธอไม ไ ด ม องว า เธอจะต อ ง
ไดรวมชีวิตกับเขาในที่สุด หรือคิดวาเขาจะเปนคนสุดทายในชีวิตเธอ แตเธอก็ไมไดคบกับแตละคน
แบบเลนๆ ไปวันๆ เชนเดียวกัน เมื่อความสัมพันธระหวางเธอกับพี่โกดําเนินไปเรื่อยๆ และเธอ
มองวาในเมื่อการกระทําและพฤติกรรมในดานอื่นๆ ของพี่โกไมสามารถทําใหเธอรูสึกดีและมั่นคง
ไดอีกตอไป และเธอคิดทบทวนดูแลววาเธอไมไดรักเขาแลว เธอจึงยอมเปดใจใหผูชายคนใหม
เขามาในชีวิต ซึ่งในขณะนั้นเปนชวงของการเริ่มตนทํางานเมื่อพนออกจากรั้วมหาวิทยาลัยมาแลว
เธอมองวาการกระทําในตอนนั้นของเธอเปนการตอกย้ําความเชื่อสวนตัวของตัวเองที่วา เธอจะ
ไมสามารถรักใครซ้ําซอนในเวลาเดียวกันได เพราะเธอมักจะอยูในสถานการณที่ถารักใครแลว
ก็จะรักแบบ “หัวปกหัวปา” อยูคนเดียว ถาเหตุการณแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ตองเปนกรณีที่เธอหมดใจ
กับคนเกาไปแลว เธอจึงจะสามารถเริ่มตนมองหาหรือรักคนใหมได ซึ่งผูชายคนใหมที่เขามาก็เปน
เหมือนตัวชวยที่ทําใหพิมยุติความสัมพันธกับพี่โกไดงายมากขึ้น

“จะวาไปนะ ชวงหลังๆ ที่คบกับพี่โกเนี่ย เราก็ไมไดรักเขาแลวละ แตมันอาจจะเปนดวย


ความเคยชินมั้งที่ยังอยูดวยได คือมีคนใหกอด ใหไปกินขาวดวย ไดเจอกันอะไรแบบนี้
เราก็ชินกับพฤติกรรมแบบนี้ไง แตจะวาไปมันก็คงไมใชความรักแลว จนเราเรียนจบ
เริ่ มทํา งาน พี่โก เขาเริ่มทํา งานก อนเราอี กนะ แตก็ยั งทํ าตั วแบบไมมีค วามคิ ดอยูนั่น
จนเริ่มมีคนอื่นเขามาหาเรา นั่นก็คือ ‘พี่ตอ’ ซึ่งเราก็เริ่มเขวๆ ไปกับพี่เขาเหมือนกันนะ
เพราะอยางที่บอกวาเราคงไมไดรักพี่โกแลวละ”

สาเหตุของการยุติความสัมพันธกับพี่โกนั้น พิมบอกวาเพราะเธอรูสึกเบื่อกับการกระทํา
ของพี่โกที่อยูในลักษณะยังไมยอมโตหรือไมมีความคิด ทําใหเธอรูสึกเหนื่อยใจที่จะตองคบกับเขา
ตอไปและมองไมเห็นอนาคต พฤติกรรมและการวางตัวของเขาทําใหเธอรูสึกวาหมดรักเขาแลว
เธอจึงเปดโอกาสใหตัวเองไดทําความรูจักกับผูชายคนใหม ดวยการใหเหตุผลกับตัวเองวาสิ่งที่เธอ
ทําไมไดเปนการละเมิดกติกาหรือความเชื่อในเรื่องผัวเดียวเมียเดียวของตัวเอง เพราะเธอรูตัวดีวา
เธอไมไดรักพี่โกอีกตอไปแลว เธอบอกเลิกกับพี่โกดวยเหตุผลวาเธอมีคนรักใหมแลว ทําใหพี่โก
ที่ปฏิเสธการบอกเลิกของเธอกอนหนานี้มาโดยตลอดยอมเลิกกับเธอแตโดยดี
เมื่อความรักครั้งใหมของพิมเกิดขึ้นกับผูชายที่เธอคิดวาเขามีคุณสมบัติที่พรอมสําหรับ
การเป นหั ว หน า ครอบครั ว ได เนื่ อ งจากเขามี ค วามเป นผู นํ า สู ง พี่ ต อ จึ ง เป นผู ช ายคนแรกที่ เ ธอ
55

คิดอยากจะมีอนาคตรวมดวยในรูปแบบของการสรางครอบครัวรวมกัน แมวาเขาจะมีสถานะเปน
พ อ ม า ยก็ ต าม พี่ ต อ บอกกั บ เธอว า เขาผ า นการแต ง งานมาแล ว และมี ลู ก ติ ด หนึ่ ง คน แต ต อนนี้
ไดแยกกันอยูกับภรรยาแลวเนื่องจากมีปญหาบางประการ ซึ่งพิมก็ไมไดติดใจในประเด็นนี้เพราะ
เธอมองวาอยางนอยเขาก็เปดใจพูดความจริงกับเธอตั้งแตแรกที่เริ่มคบกันใหมๆ พิมเจอกับพี่ตอ
ในที่ ทํ า งานซึ่ ง เป น งานแรกของเธอหลั ง จากเรี ย นจบ เธอกั บ เขาอยู กั น คนละแผนกแต ก็ ไ ด มี
การพบปะพูดคุยกันอยูบาง โดยแรกเริ่มนั้นเขาเขามาขอเบอรโทรศัพทของเธอเพื่อโทรติดตอกัน
เนื่ อ งจากเธอจะต อ งย า ยไปทํ า งานที่ ส าขาต า งจั ง หวั ด ช ว งระยะหนึ่ ง และเขาก็ โ ทรมาหาเธอ
เพื่อสอบถามวามีปญหาอะไรหรือไม ตองการความชวยเหลือบางหรือเปลา และจากการพูดคุย
ในลักษณะดังกลาวก็ทําใหพิมพบวาผูชายคนนี้มีลักษณะของความเปนผูนําสูง เปนคนที่สามารถ
พู ด คุ ย ในเรื่ อ งที่ มี ส าระต า งๆ ในชี วิ ต ได ซึ่ ง แตกต า งจากแฟนคนก อ นๆ ของเธอที่ ถึ ง แม จ ะมี
อายุมากกวาเธอ แตก็ยังมีลักษณะของความเปนเด็ก ไมไดมีการวางแผนอนาคตใดๆ ทั้งสิ้นและ
ทําใหเธอรูสึกวายังไมสามารถพึ่งพิงพวกเขาได เมื่อพิมไดมาเจอผูชายที่มีบุคลิกแบบดังกลาวเธอจึง
รูสึกประทับใจพี่ตอมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแมจะมีบางชวงที่พิมรูสึกวาการที่พี่ตอดีกับเธอ เอาใจเธอแบบนี้จะเปนลักษณะทั่วไป
ที่ผูใหญจะทํากับเด็กหรือคนที่มีอายุนอยกวา เพราะพี่ตอมีอายุหางจากเธอถึงเจ็ดป ซึ่งก็นาจะเปน
เรื่องปกติที่คนที่มีอายุ หา งกันขนาดนี้พึงปฏิบัติตอกันหรื อไม แตใ นที่สุดเธอก็ตอบใจตัวเองวา
เธอเองก็ชอบในสิ่งที่เขาทํากับเธอ และรูสึกดีที่มีคนมาเอาใจ มีคนใหคําปรึกษาพูดคุยในเรื่องตางๆ
ดวยได ซึ่งเปนสิ่งที่เธอไมเคยไดรับจากคนรักคนกอนหนาของเธอมากอน เธอจึงมองไปถึงเรื่องของ
การสรางครอบครัว สรางอนาคตกับผูชายคนนี้เลยทีเดียว

“พี่ตอเขาก็ดูเหมือนวาพึ่งพาอาศัยไดหรือฝากชีวิตไวดวยได แลวเขาก็พูดกับเราตั้งแต
แรกเลยวา ‘รักเรานะ...อยากจะมีชีวิตครอบครัวกับเรา’ เราก็เลยตองคิดไปวาดีเชียว
เราถึงกับพูดวา ‘เราจะมีลูกสาวใหเขานะ’ เพราะพี่เขามีลูกชายมาแลว เขาก็อยากจะมี
ลูกผูหญิง”

การมองเลยไปถึงขั้นการสรางอนาคตครอบครัวกับพี่ตอของพิมนั้นทําใหเห็นวาตัวเธอ
เองก็ยังคงเชื่อในอุดมการณครอบครัวแบบพอแมลูกอยูเชนเดียวกัน ซึ่งถาหากบริบทตางๆ ในชีวิต
ของเธออยูในขั้นตอนที่เหมาะสม พิมคิดวาตัวเธอก็สามารถเขาสูรูปแบบการสรางครอบครัวได
เชนเดียวกัน
56

เรื่องราวของการมีเพศสัมพันธระหวางเธอกับพี่ตอนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคูเริ่มคบกัน
ผานการพูดคุยทางโทรศัพทเปนสวนใหญไดประมาณหนึ่งเดือน และพบเจอหนาตากันเพียงครั้ง
สองครั้ง พิมบอกวาการมีอะไรกันครั้งแรกของเธอกับเขาเกิดขึ้นเพราะเขาวางแผนและรุกเราที่จะมี
เพศสั ม พั น ธ กั บ เธอ โดยที่ เ ธอรู สึ ก ว า เธอเป น ฝ า ยต อ งยอมทํ า ตามความต อ งการของเขา
อยางหลีกเลี่ยงไมได เหตุการณเริ่มตนจากเขาไดขอใหเธอมาหาเขาที่กรุงเทพฯ เพราะเขาอยาก
เจอเธอ เธอจึ งลางานเพื่ อแอบมาหาเขา และหลัง จากที่ พี่ตอ ไปรับเธอที่ สนามบิ น เขาก็บอกว า
เขาจะต อ งไปธุ ร ะที่ อื่ น ต อ จึ ง ขอให เ ธอไปรอเขาที่ ห อ งพั ก ก อ น ซึ่ ง ในตอนนั้ น พิ ม เข า ใจว า
เปนหองพักที่เขาอาศัยอยู แตจริงๆ แลวกลับเปนหองของโรงแรมที่เขาเปดไว เมื่อเขาพาเธอไป
ยังหองดังกลาว เขาก็ไมไดไปทําธุระที่อื่นแตอยางใดแตกลับเขาหาเธอและพยายามขอมีเพศสัมพันธ
ดวยโดยที่เธอไมไดตั้งตัวมากอน

“แลวเขาก็เริ่มมาหอมแกม มากอด แลวก็เริ่มกลายเปนจูบไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแตขั้นตอน


แรกไปจนขั้นนั้นในทีเดียว ไมเหมือนพี่หนึ่งกับพี่โกที่จะขอเรามาเรื่อยๆ กอน ก็มีแค
กอดจูบมากอนซักระยะแลวคอยไปถึงขั้นนั้น แตพี่ตอนี่ทีเดียวเลย เราก็รูสึกดีแตเรา
ไมไดคิดนะวาจะมีอะไรกันวันนั้นนะ ก็นึกวาแคเลาโลม”

ณ ขณะนั้นพิมยังไมไดโอนออนตามความตองการของพี่ตอเลยทันทีแมวาตัวเธอเอง
จะรูสึกดีกับเขามากอยูแลวเพราะยังมีบางความรูสึกที่สะกิดใจเธออยู นั่นก็คือเธอไมแนใจวาพี่ตอ
จะรังเกียจที่เธอไมใช “ผูหญิงบริสุทธิ์” แลวหรือไม เนื่องจากเธอรูสึกวาจากการที่เคยไดพูดคุย
กันมา พี่ตอเปนคนที่คอนขางหัวโบราณในเรื่องของบทบาทของผูหญิง และดวยชวงอายุที่แตกตาง
กั น มาก ไม เ หมื อ นกั บ แฟนคนเก า ๆ ของเธอที่ เ ป น คนรุ น ราวคราวเดี ย วกั น เธอจึ ง ไม แ น ใ จว า
เขาคิ ด เห็ น กั บ ประเด็ น นี้ อ ย า งไร ดั ง นั้ น เมื่ อ เขาเริ่ ม จู บ เธอ เธอจึ ง ตั ด สิ น ใจบอกกั บ เขาไปว า
เธอเคยผานการมีอะไรกับแฟนมาแลว เพราะเธออยากใหเขารูจักตัวตนของเธอตั้งแตกอนที่จะ
มีอะไรกัน เพื่อที่จะไดไมตองมาเสียใจกันภายหลังวาเธอไมไดเปนอยางที่เขาคิดเอาไว

“ก็เลยคิดวาเขาอาจจะแครเรื่องตรงนี้เพราะเขาก็ไมเคยรูจักตัวเรามากอน ที่เราตัดสินใจ
บอกเรื่ อ งนี้ กั บ พี่ เ ขาเพราะเรารู สึ ก ว า พี่ เ ขาค อ นข า งจะหั ว เก า นิ ดนึ ง เราก็ เ ลย ‘เอ า !
บอกเขากอนก็แลวกัน’ แตตอนนั้นถาบอกไปแลวเขารับไมได เราก็คงชางหัวมันเพราะ
ถาเราไมบริสุทธิ์แลวรับไมไดก็ชางแลว เราก็แคอยากจะบอกใหรับรูสิ่งที่เราเปนเรา
อยางนี้ แตพี่เขาก็บอกเราวาเขาไมไดคิดอะไรกับเรื่องแบบนี้ แตจริงๆ แลวที่เราบอกเขา
57

เพราะเรากังวลวาเขาจะคิดยังไงกับเรามากกวา ไมไดกลัววาเขาจะมองเรายังไงเพราะ
ที่ผานมาเขาเคยบอกเราวาที่เขาชอบเราเพราะเราดูใสๆ เรียบรอย เหมือนเขาจะคาดหวัง
กับเราวาเราเปนอยางนี้รึเปลา”

อาจกลาวไดวาเปนเพราะตัวพิมคิดวาสังคมยังคงใหความสําคัญกับคุณคาของผูหญิง
ที่ถูกผูกติดกับพรหมจรรยหรือความบริสุทธิ์ จึงสงผลตอความคิดและการตัดสินใจของเธอในการมี
เพศสัมพันธกับพี่ตอในครั้งนี้ การที่เธอกังวลวาตัวเขาจะคิดเห็นกับเธออยางไร เปนการสะทอน
มายาคติ ข องสั ง คม ที่ กํ า หนดให ผู ห ญิ ง ต อ งเป น ฝ า ยตอบสนองความต อ งการของผู ช าย
ในขณะเดียวกั บที่เรียกรองใหผู หญิง ตองรักษาความบริสุทธิ์ เพื่ อให เปนผูหญิงที่ดีแ ละมีคุณคา
มายาคติ ข องสั งคมชุด นี้ ดูจะไม มี ที่ ท างให กับ ความต องการ หรือความปรารถนาที่ เ ปนส ว นตั ว
ของผูหญิงเลย

“แลวหลังจากที่เราบอกเขาแลวเขาบอกวาเขาไมถือ ก็นัวกันมาเรื่อยๆ เราก็บอกเขาวา


‘ไมเอานา ไมดีมั้ง’ พี่เขาก็บอกวา ‘เขาไมไหวแลว’ ก็พยายามรุกอยูนั่น ตอนนั้นก็ไมรู
เหมื อ นกั น ว า ทํ า ไมเราถึ ง บอกเขาว า ไม อาจจะเป น เพราะรู สึ ก ว า ‘ก็ อ ย า เพิ่ ง เลย
เราไมพรอม ยังไมอยากมี’ อะไรแบบนี้มั้ง หรือก็อาจจะหยั่งเชิงดูเหมือนกัน เลนตัว
อะไรแบบนั้ น เป น การสร า งภาพว า ‘โอ ว ! ไม . ..ต อ งรั ก นวลสงวนตั ว ไว ห น อ ย’
อะไรอยางนั้น รักนวลสงวนตัว...เปนไงละ? [หัวเราะ] เราก็ไมรูหรอกวาเปนแผนการ
อะไรของเรา ทํา ไมถึ ง พู ดอะไรแบบนั้ น ออกไปทั้ ง ๆ ที่ ไ ม ไ ด คิด แบบนั้ น แลว เขาก็
พูดขึ้นมาคําหนึ่งวา ‘เขารักเรานะ’ เราก็เลย ‘อะ! เอาก็เอา’ คือเรารูสึกวาตั้งแตแรก
เราก็ยอมใหเขาทําตั้งขนาดนั้นแลว คลอเคลีย ไซรไปเรื่อยๆ เราก็รูสึกดี เราก็ชอบนี่
[ยิ้ม]”

เชนเดียวกับการดําเนินความสัมพันธกับคนรักคนกอนๆ พิมยังคงบอกเลาเรื่องราวของ
เธอกับพี่ตอใหแมของเธอรับทราบ ยกเวนแตเรื่องของการมีเพศสัมพันธซึ่งเปนเรื่องที่เธอคํานวณ
ไวแลววาแมของเธอตองไมยอมรับเรื่องดังกลาวแนๆ และในการคบหากับพี่ตอนั้น ตัวพิมไมได
กังวลกับเรื่องครอบครัวเกาของเขาแมแตนอยเพราะเธอเชื่อคําที่เขาบอกเธอวาเขาจัดการทุกอยาง
เรียบรอยแลว แมวาภายหลังเธอจะไดรูความจริงวาสิ่งที่เขาบอกกับเธอนั้นไมเปนความจริงเพราะเขา
ยั ง คงติ ด ต อ กั บ ภรรยาเก า อยู อ ย า งสม่ํ า เสมอด ว ยเช น กั น และกํ า ลั ง จะมี ลู ก ด ว ยกั น อี ก หนึ่ ง คน
เธอไดทราบความจริงนี้เพราะภรรยาของพี่ตอมาหาเธอและมาบอกใหเธอรับรู แตนั่นก็ไมไดเปน
58

เหตุผลทําใหเธอตัดสินใจยุติความสัมพันธกับเขาในตอนนั้นแตอยางใด เพราะเขาบอกกับเธอวา
เขามี เ หตุ จํ า เป น ที่ ทํ า ให เ ขาหลี กเลี่ ย งที่ จ ะไปพบกั บ ภรรยาเก า ของเขาไม ไ ด และเขาก็ บ อกว า
เขารักเธอมากดวย เธอจึงฝาฝนคําสั่งของแมที่ไมชอบใจในพฤติกรรมดังกลาวของพี่ตอดวยการ
คบกับเขาตอไป จนกระทั่งมีเหตุการณที่พี่ตอทําใหตัวเธอรูสึกทนไมไดเพราะเปนการกระทําที่
ทํารายจิตใจของเธอ เนื่องจากพี่ตอแอบไปคบกับอดีตเพื่อนรวมงานของเธออีกคนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้น
ตัวเธอเปลี่ยนที่ทํางานและยายกลับมาอยูที่บานกับแมแลว เธอบอกวาการกระทําดังกลาวของพี่ตอ
ทําใหเธอเสียใจมากและรับไมไดเพราะเทากับเขา “นอกใจ” เธอ

“คือเหมือนเขาจะไปแอบคบกับอดีตเพื่อนรวมงานเราอีกในตอนหลัง ซึ่งจุดนี้ทําใหเรา
เริ่มทนไมได เพราะเรารูสึกวาการไปมีคนอื่นนี่คือการหมดความรูสึกกับเราแลวมากกวา
แตพอเราถามเขา เขาก็บอกปดวาไมมีอะไร แตพอเราไปถามฝายเพื่อนเรา มันก็บอกวา
‘นี่ ถ า ได ทํ า งานอยู จั ง หวั ด เดี ย วกั น ก็ ค บเป น แฟนกั นไปแล ว ล ะ ’ เราก็ เ ลยเซ็ ง ที่ พี่ต อ
ไม พูด ความจริ ง กั บ เราเลย แล ว ช ว งนั้ น เราสองคนค อ นข า งห า งกั น เพราะเรื่ อ งงาน
ดวยแหละ”

การให เ หตุผ ลของพิ มต อทั้ ง สองเหตุ การณนี้ แ ตกต า งกั นออกไป ทั้ ง ๆ ที่เ กี่ย วพั นกั บ
เรื่องของความซื่อสัตยเหมือนกัน กลาวคือ เมื่อพิมรูความจริงวาพี่ตอยังคงติดตอกับภรรยาเกาของ
เขาอยู เธอกลับไมโกรธเขาเทากับที่ไดรูวาเขากําลังคบหากับอดีตเพื่อนรวมงานของเธอ เพราะ
ในขณะนั้ น เธอให น้ํ า หนั ก กั บ คํ า ว า “รั ก ” ที่ พี่ ต อ บอกกั บ เธอตอนเหตุ ก ารณ ภ รรยาเก า มาก
จนมองข า มประเด็นเรื่ องผั ว เดี ย วเมี ยเดี ยวหรือ ความซื่อสัต ย ไป แต ในขณะที่ เมื่อ เธอได รับรู วา
พี่ตอไปแอบคบกับ เพื่ อนของเธอ เธอกลั บหยิบ ยกประเด็ นเรื่องผั วเดี ยวเมียเดี ยวที่พี่ตอไมยอม
ทําตามมาเปนประเด็นในการอยากยุติความสัมพันธกับเขา แสดงใหเห็นถึงการที่เธอเลือกที่จะ
ใหความสําคัญกับบางองคประกอบของความสัมพันธในแตละชวงเวลาที่แตกตางกัน
และนอกจากเรื่องที่พี่ตอแอบไปคบกับเพื่อนของเธอที่ทําใหเธอหมดความอดทนแลว
ในระยะหลั ง ๆ หน า ที่ ก ารงานของพี่ ต อ เริ่ ม มี ป ญ หา จนทํ า ให เ ขาต อ งขอหยิ บ ยื ม เงิ น จากพิ ม
ซึ่งในชวงแรกๆ พิมก็ใหการชวยเหลือเทาที่กําลังของเธอจะทําได แตตอมาจํานวนเงินที่เขาหยิบยืม
เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนพิมไมสามารถจะชวยได เขาก็เริ่มเอาประเด็นเรื่องเงินมาหาเรื่องเธอ ทําใหเธอ
เกิดความรูสึกเบื่อหนายจนตองหาวิธีการจัดการกับความสัมพันธแบบนี้ เธอตองโกหกแมเพื่อที่จะ
ขับรถไปหาพี่ตอที่ยายไปทํางานที่หัวหิน ซึ่งในตอนนั้นแมเธอตั้งใจตองการไปตกลงขอเลิกกับเขา
59

แตก็กลับไปมีอะไรกันอีก เพราะเธอก็ยอมรับวายังตัดใจจากเขาไมไดอยางเด็ดขาดอยางที่แมของเธอ
ตองการ จนในที่สุดพิมก็เริ่มอยากมองหาหนทางที่จะทําใหเธอหลุดออกจากปญหานี้ใหได

“แต ต อนนั้ น บอกตรงๆ เลยว า เราเริ่ มเบื่ อ กั บ สภาพที่ เ ป นอยู พี่ เ ขาก็ เ ริ่ ม หาเรื่ อ งเรา
เหมือนกัน เชนเวลาจะยืมเงินแลวเราไมคอยอยากใหหรือจะใหเราไปกูเงินให ซึ่งเราก็
ไม สามารถไง เขาก็จ ะพู ด เหมือ นว า ‘ไหนบอกว า รั กเขามากไง ทํา ไมทํ า ให ไ ม ได ?
พอเขาเดือดรอนก็จะถีบหัวสงเหรอ?’ หรือไมก็วาเราเปนลูกแหงติดแม เพราะเราบอก
เขาไงวาถาไปกูเงินใหเขา เดี๋ยวแมเราก็ตองรู ทําใหเรารูสึกแยมากๆ ไง จนอยากจะมอง
หาใครก็ไดที่จะมาชวยแบงเบาความรูสึกตรงนี้ เพราะเราก็ไมสามารถโทรไปคุยกับพี่ตอ
ได เ หมื อ นเดิ ม อี ก แล ว สรุ ป แล ว เราคบกั บ พี่ ตอ จริ งๆ จั งๆ ก็ หนึ่ ง ป ที่ เ ป นชว ง sweet
แตหลังจากนั้นก็จะเปนชวงที่มีเรื่อง มีปญหาตลอด ลุมๆ ดอนๆ รวมๆ แลวก็ประมาณ
สามปได”

ในที่ สุ ด ความตั้ ง ใจของพิ ม ที่ อ ยากจะสร า งครอบครั ว กั บ ผู ช ายคนนี้ ก็ พั ง ทลายไป


พรอมๆ กับปจจัยหลายประการที่เกิดขึ้นระหวางความสัมพันธ และทําใหเธอเริ่มอยากจะหยุด
ความสัมพันธนี้ลง โดยที่เธอเองก็ไมตองรูสึกเควงควางมากนัก และวิธีการที่เธอคิดวาจะทําใหเธอ
สามารถเลิ ก กั บ พี่ ต อ ไดง า ยที่ สุ ดก็คื อ การมองหาผู ช ายคนใหม ที่ จะเขา มาทดแทนในส ว นของ
ความรูสึกที่ขาดหายไปจากพี่ตอในชวงหลังๆ ซึ่งในตอนนั้นเธอเองก็มีโอกาสไดพบกับรุนนอง
สมั ย เรี ย นมหาวิ ท ยาลั ย คนหนึ่ ง ชื่ อ ‘น อ งเอ็ ม ’ ซึ่ ง เป น รุ น น อ งที่ เ รี ย นคณะเดี ย วกั น กั บ เธอและ
เคยสนิทสนมกันจากการทํากิจกรรมภายในคณะรวมกันมากอน โดยที่เธอเองก็มีโอกาสคุยโทรศัพท
กับเขาบางหลังจากเรียนจบมาแลวแตอยูในลักษณะนานๆ ครั้ง แตนองเอ็มเปนคนเริ่มโทรหาเธอ
คอนขางบอย ในชวงเวลาที่เธอกําลังทบทวนเรื่องความสัมพันธของเธอกับพี่ตอวาจะใหดําเนินไป
ในทิ ศ ทางใดพอดี ดั ง นั้ น หลั ง จากกลั บ จากหั ว หิ น ได ส องอาทิ ต ย เธอจึ ง ตั ด สิ น ใจเริ่ ม ต น
ความสัมพันธกับนองเอ็มดวยการโทรไปหาเขาและบอกเขาวาจะขึ้นไปหาที่เชียงใหม และชวนให
เขามานอนเป น เพื่ อ น ซึ่ งพิ ม บอกว า เธอตั้ งใจไว แ ล ว ว า คื นนั้ นจะต องมี อ ะไรกั บ น อ งเอ็ม ให ไ ด
เพื่อที่เธอจะไดใหเขาเปนตัวชวยในการตัดสินใจยุติความสัมพันธกับพี่ตอไดงายขึ้น

“พอดีวินาทีนั้นที่เพิ่งจะกลับจากหัวหิน ไดซักอาทิตย-สองอาทิตยก็รูสึกวาไมไหวแลว
ไม อยากตกอยูใ นสภาพนี้ ตอไปแล วก็ เลยคิดขึ้ นมาไดวา ‘เรามี นี่...เรามี สิ่ง ที่จ ะชว ย
เยียวยาได’ เราคิดแบบนี้จริงๆ นะ ก็โทรไปเลย ‘พรุงนี้จะไปเชียงใหมนะ เจอกัน’ แลวก็
60

ถามนองวาจะมานอนกับเราดวยรึ เปลา เพราะเรากลัวผี นองก็โอเค จะมานอนดว ย


คืนนั้นก็ไดผลเลย มีอะไรกันจริงๆ เพราะเราก็คิดกอนที่จะมาเจอกันคืนนั้นวามันคงเปน
แบบนี้จริงๆ เพราะก็ตองการคนที่จะมาทดแทนสิ่งเหลานี้ ก็เลือกเอง จริงๆ ที่ผานมา
คนที่เขามาในชีวิตก็เขามาหาเรากอน แตก็เปนคนที่เรามีใจดวย ไมมีใครที่เขามาแลว
เราไมมีใจดวย แตเราจะไมเขาไปหาใครกอนนะ กับนองเอ็มนี่คือเรารูสึกวานองเขา
ก็นารักดี แลวเขาก็คงมีใจใหเราดวย ก็เลยคิดวาเอานองมาทดแทนสิ่งที่ขาดหายได”

พิมเลาวากอนหน าที่เธอจะไปหานองเอ็มที่เชียงใหม เธอไดโทรไปบอกเลิกกับพี่ตอ


อยางเปนทางการ แตกอนที่จะบอกเลิกกับเขา เธอยังคงถามไถหวงใยในปญหาเรื่องเงินและเรื่องงาน
ของเขาอยู จนเธอไดคําตอบวาเขาจัดการปญหาไดเรียบรอยแลว เธอจึงหมดหวงและบอกเลิกกับเขา
เพื่ อ มาสานต อ ความสั ม พั นธ กั บ น อ งเอ็ ม ต อ ไป ซึ่ ง เธอยอมรั บ ว า ความสั ม พั น ธ ใ นช ว งแรกนั้ น
เปนชวงเวลาแหงความสุข ชนิดที่วาชี้นกเปนนก ชี้ไมเปนไม เพราะนองเอ็มตามใจเธอทุกอยาง
ซึ่งพิมวิเคราะหวาเนื่องจากความสัมพันธในครั้งนี้เธอเปนฝายเริ่มตนเขาหานองเอ็มกอน เธอรูวา
ยังไงเธอก็ตอง “ได” นองคนนี้ ซึ่งเปนรูปแบบความสัมพันธที่แตกตางจากคนกอนหนาเธอที่จะเปน
ลักษณะรอใหอีกฝายเขามาหา แมวาจะมีใจตรงกันแตเธอก็ไมไดเปนฝายริเริ่มกอน ซึ่งในประเด็นนี้
ทําใหเห็นวาตัวพิมคอนขางมีลักษณะที่ตรงกับความเปนผูหญิงที่สังคมกําหนด วาตองเปนฝา ย
ยอมตามในความสัมพันธและรอใหเปนฝายที่ถูกเลือกมากกวา แตสําหรับกรณีนี้พิมเปนฝายเลือก
ที่จะเริ่มตนความสัมพันธกับนองเอ็มกอน แมวาจะเปนการเลือกเพื่อใหตัวเองหลุดพนจากวังวน
ความสัมพันธเกาที่เธอไมตองการแลวก็ตาม อีกทั้งเธอยังมองวานองเอ็มมีสถานภาพเปนรุนนองของ
เธอหลายป ทําใหเธอรูสึกวาตัวเองมีอํานาจมากกวาที่จะสามารถกําหนดทิศทางความสัมพันธใน
ครั้งนี้ได

“ซึ่งชวงนั้นก็ติดนองเขาเหมือนกันนะ เพราะวามันเปนชวงแปลกใหมดวย แลวมันก็


เหมือนกับเปนคนแรกที่เราไดเลือกดวยไง คือเรารูวายังไงๆ ก็ตองไดอยูแลว คนอื่นๆ
ก็ จ ะเป น แบบเขาจะมาจี บ เรารึ เ ปล า ? อะไรแบบนี้ คื อ เราเป น ฝ า ยรอแล ว สุ ด ท า ย
ก็ใจตรงกัน แตนองคนนี้เราก็แคแบบรูสึกดีที่มีคนมาชอบ แบบนี้จริงๆ นะ แลวก็ ‘เออ!
ดี! เอา!’ คือชี้อะไรก็ตองได คือมันเปนความแปลกใหมในชีวิต”

อย า งไรก็ ต าม แม ว า ในช ว งแรกพิ ม จะรู สึ ก ว า ตั ว เองมี อํ า นาจในการกํ า หนดทิ ศ ทาง
ความสัมพันธไดมากกวาฝายของนองเอ็มวาเธอตองการใหเปนอยางไร แตเมื่อดําเนินความสัมพันธ
61

ไปไดสักพักและเธอพบวาความแตกตางในดานอายุ ทัศนคติ และการมองโลกทําใหเธอกับเขา


ไมสามารถพูดจาสื่อสารกันไดรูเรื่องเทาที่เธอตองการ รวมถึงการที่เธอเริ่มตระหนักวาตัวเธอเอง
ไมไดรักเขามากพอ เปนแตเพียงความรูสึกชอบและคิดวาคงจะเขากันไดในตอนแรกเทานั้น ทําให
เธอเริ่มรูสึกเบื่อหนายกับความสัมพันธนี้จนไมอยากจะสานตออีกตอไป แตพิมก็ยังไมไดตัดสินใจ
บอกเลิกกับเขาในทันที

“ประมาณอาทิ ต ย ห รื อ สองอาทิ ต ย เราต อ งโทรหาเพื่ อ นเราเลยนะว า ‘เฮ ย ! มึ ง ...


กูไมไหวแลว’ เพราะทัศนคติเริ่มไมตรงกัน คุยกันไมรูเรื่องจริงๆ เราตองยกหูโทรศัพท
ออกเลยนะชวงนั้น กลัวนองโทรมา เพราะวาเริ่มรูสึกวามันไมใช คือคุยกันไมรูเรื่อง
จริงๆ ถึงแมวา จะเปนคนดีทุ กอยา งแตคนที่ไมใ ชก็คือไม ใช จากที่เราไมไดชอบเขา
ตั้งแตแรก ก็แครูสึกดีที่มีคนมาดูแลเอาใจใสเรา มันยังไมไดพัฒนาไปเปนความชอบ
เลยดวยซ้ํา ก็กลายเปนไมไหวแลว ก็เริ่มเบื่อๆ การที่รูสึกดีตอนแรกก็ทําใหมีเซ็กสได
แตพอมันเบื่อแลว ไมไหวแลว มาเรายังไงเราก็ไมขึ้น”

ซึ่ ง การที่ เ ธอยั ง ไม บ อกเลิ ก กั บ น อ งเอ็ ม ในตอนที่ เ ธอรู สึ ก ว า เธอเริ่ ม ทนไม ไ หวแล ว
เปนเพราะเธอยังคงคิดใหโอกาสตัวเองอยู วาลองดูตอไปอีกสักพั กหนึ่ง อะไรๆ อาจจะดีขึ้นได
รวมไปถึงเธอยังรูสึกวาอยากมีคนใหยึดเหนี่ยว หรือยังมีคนใหอยูดวย เธอจึงยังไมไดบอกเลิกกับเขา
แต เ มื่ อ เธอพบว า สถานการณ ท างด า นจิ ต ใจของเธอไม ไ ด ดี ขึ้ นเลย ความรู สึ กอยากเลิ ก กั บ เขา
จึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น พิมบอกวาในบางครั้งขณะที่กําลังมีอะไรกันอยูและนองเอ็มไดพูดบางอยาง
ที่เธอไมชอบใจขึ้นมาสักประโยคหนึ่ง พิมก็รูสึกวาเธอทนไมไหวแลว ไมอยากจะอยูกับคนๆ นี้
อีกตอ ไป เธอจึ งตั ดสิ นใจมีเพศสัมพั นธ กับผู ชายคนอื่ นแต ก็เป นคนที่เ ธอรู จั กดี ซึ่ งในตอนแรก
เธอตั้งใจวาจะใหเปนแค one night stand

“อยางนองนี่ตอนกําลังนัวกันไปก็ดันพูดอะไรที่ไมเขาหูขึ้นมาใหฟง เราอยากจะถีบมัน
ออกไปแลวบอกวา ‘ไปไกลๆ กูเลย’ ขนาดนั้นเลยนะ ก็เลยตัดสินใจมี one night stand
ซะเลย [หัวเราะ]”

เมื่ อคนที่ ยึดมั่ นกั บรู ป แบบความสั มพั นธ แ บบผัว เดียวเมี ยเดีย วอย า งพิม ได ตั ดสิ นใจ
ตอรองกับกฎเกณฑดังกลาวของตัวเอง ดวยการมีความสัมพันธแบบชั่วคืนหรือ one night stand กับ
ผูชายคนอื่น ในขณะที่เธอยังมีความสัมพันธฉันทคนรักกับผูชายอีกคนหนึ่งอยู ทําใหตัวเธอตอง
62

เผชิญกับ “ความรูสึกผิด” ทั้งกับตนเองและกับคนรอบขางเธอในภายหลังดวย พิมเลาวาจริงๆ แลว


เธอรูจักกับ ‘ยิม’ มาตั้งแตสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แมวาเขาจะเปนรุนนองเธอหนึ่งป แตพวกเธอก็เคย
มีโอกาสไดเรียนและทํากิจกรรมรวมกันบอยๆ จนทําใหเกิดความสนิทสนมกันพอสมควรอยูแลว
และเมื่ อ ยิ ม เรี ย นจบและเข า มาหางานทํ า ที่ ก รุ ง เทพฯ โดยเช า อพาร ต เมนต แ บบสามห อ งนอน
อยูรวมกับเพื่อนสนิ ทของพิมคนหนึ่ง และผูหญิ งที่เปนแฟนเกา ของยิมอีกคนหนึ่ง ซึ่ งพิมก็รูจัก
มักคุนกั บทั้ งสามคนเปนอยา งดี ทํ าให เธอมีโอกาสไปเที่ ยวเลน กิ นขา วที่ หองของทั้งสามคนนี้
เปนประจํ า เมื่อเธอมีปญหากั บน องเอ็ มและกํา ลังคิดไมตกวาจะทํา อยา งไร เธอก็ มีโอกาสไปที่
ห อ งของสามคนนั้ น ในตอนแรกเธอก็ นอนอยู ใ นหอ งของเพื่ อ นเธอ แต ดว ยอากาศที่ ร อ นและ
เพื่อนของเธอไมยอมแบงพัดลมให ทําใหเธอทั้งรอนและโดนยุงกัดจนทนไมได เมื่อเธอไปดูที่หอง
ของแฟนเกาของยิ มก็พบวา ในหองนั้นมีคนอยูเ ต็มไปหมด เธอจึง ตองเลือกยายไปนอนในหอง
ของยิมแทน และไดมีเพศสัมพันธกันในคืนนั้นโดยที่เธอบอกวาเกิดขึ้นดวยความไมตั้งใจแตเต็มใจ

“เราก็เลยไปเคาะหองยิม ขอนอนดวย เราก็ไปซุกๆ มันแตไมไดคิดอะไรเลยนะ ตอนนั้น


ไม ไดคิดว า จะมีอะไรด ว ย แต ทีนี้พอนอนเบียดกั นไปมั นก็ spark ขึ้ นมา รู สึ กดีเ ชียว
คือตอนแรกยิมมันก็ไมรูวา เราไปนอนดวย นอนๆ ไปซักสิบนาทียิมมันก็รูสึกตัววา
‘อาว! มานอนตั้งแตเมื่อไหร?’ เราก็แบบ ‘แหม!...’ คือก็จะเลนหยอกเอินกันแบบนี้
มากอนไง ก็เลยมีอะไรกันไปซะเลย เราเองก็ไมไดรังเกียจยิมเลยนะ เพราะวาก็พูดคุย
เปนพี่ เปนนอง เปนเพื่อนกันมาไดตั้งนาน เพราะฉะนั้นมันก็คุยกันรูเรื่องไง ไมเหมือน
นองเอ็ม”

ในตอนที่เธอมีอะไรกับยิมนั้น เธอก็ยังไมไดเลิกกับนองเอ็มเพราะยังไมรูวาจะบอกเลิก
อยางไร แตเธอรูใจตัวเองดีแลววาไมวาจะอยางไร เธอก็ไมสามารถคบกับนองเอ็มตอไปไดแนๆ
ซึ่งเธอก็ตั้งใจไวแลววาคงจะตองบอกเลิกกับนองเอ็มจริงๆ จังๆ เสียที สวนกับยิมนั้นจากตอนแรก
ที่เธอก็ไมคิดวาความสัมพันธของเขาและเธอจะดําเนินตอไปอีก กลับกลายเปนวาหลังจากที่มีอะไร
กันไปแลว ยิมก็มีทีทาวาอยากจะสานตอกับเธอดวยการแอบโทรศัพทหาหรือสงขอความมาหาเธอ
อยูเรื่อยๆ ทําใหความสัมพันธที่พิมคิดวาจะเปนแคแบบชั่วขามคืนกลายมาเปนความสัมพันธที่มีทีทา
จะพัฒนาสานตอ โดยที่เธอก็ไมไดรังเกียจเขาแตอยางใด ซึ่งเหตุการณที่เกิดขึ้นระหวางเธอกับยิม
กลายเปน สิ่ง ที่ ทํ า ให ค นที่ คอ นขา งให ค วามสํ า คั ญกั บ เรื่ องของความซื่ อสั ต ยอ ย า งพิม เกิ ด ความ
ไม ส บายใจ และคิ ด ว า จะต อ งยุ ติ ค วามสั ม พั น ธ กั บ น อ งเอ็ ม อย า งเป น กิ จ จะลั ก ษณะด ว ยตั ว เอง
เสียกอนที่จะมาเริ่มตนกับยิมอยางจริงจังได
63

“พอตื่นเชาขึ้นมาเราก็ตบไหลเขา แลวบอกวา ‘ไมตองคิดมากนะ’ [หัวเราะ] ยิมก็ไมได


วาอะไร ก็หางหายกันไปหลายวัน เขาก็ไปทํางานตางจังหวัด แตวาก็จะสง sms5 มา
พอมีคลื่นปุบ บอกวา ‘คิดถึงเรานะ’ อะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็บอกไดวาเขาก็คงคิดถึงเรา
อยูเหมือนกัน หลังจากนั้นเราก็แอบติดตอกันมาตลอด โทรหากัน กุกกิ๊กๆ แอบดอด
ไปหากั น บ า ง จั บ มื อ กั น ลั บ หลั ง เพื่ อ นที่ เ ป น แฟนเก า ยิ ม บ า ง ลั บ หลั ง คนอื่ น ๆ บ า ง
แตจําไมไดวาไดมีอะไรกันอีกรึเปลา”

การตองแอบซอนหรือลักลอบคบกับยิมในชวงแรกเปนเพราะเธอยังไมไดสะสางปญหา
กั บ น อ งเอ็ ม ให เ รี ย บร อ ย ความสั ม พั น ธ ข องเธอกั บ ยิ ม จึ ง ยั ง ไม ไ ด เ ป น ไปตามรู ป แบบของ
ความสัมพันธที่ถูกตอง แตในตอนนั้นเธอไดเลือกใหความสําคัญกับความรูสึกดีที่กําลังจะเกิดขึ้น
พรอมความสัมพันธครั้งใหมกับยิมมากกวา และมองวายิมคือคนที่จะมาดูแลความรูสึกของเธอ
ต อ ไปได ในเวลาต อ มาไม น านนั ก พิ ม ก็ ตั ด สิ น ใจขึ้ น มาเชี ย งใหม เ พื่ อ บอกเลิ ก กั บ น อ งเอ็ ม
โดยมียิมตามมาเพื่อกลับมาเยี่ยมบานของเขาดวยเชนกัน พิมบอกวาชวงเวลานั้นเปนเวลาที่เธอ
กระอักกระอวนใจมาก เพราะตอนเชาขณะที่เธอกําลังมีอะไรกับยิมที่บานของเขา นองเอ็มก็โทรมา
หาเธอ ทําใหเธอตองฝนคุยกับนองเอ็มเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ในใจเธอรูสึกรําคาญเขามากๆ
“ก็ตองทําเปนหัวเราะกิ๊กกั๊กไปทั้งๆ ที่ในใจไมไดคิดอะไรกับเขาแลวจริงๆ เหมือนวาเปนอะไร
ก็ไมรู เปนแมงหวี่ที่ผานมาในชีวิตเพราะวารําคาญมาก รําคาญที่สุดในชีวิต ไมเคยรําคาญใครแบบนี้
มากอนเลย” พอตอนเย็นเธอก็ไปที่บานของนองเอ็มดวยความตั้งใจที่จะบอกเลิกกับเขาใหหมดเรื่อง
หมดราวไป แตก็ยิ่งพบกับพฤติกรรมบางอยางของนองเขาที่ทําใหเธอยิ่งรูสึกไมดีมากขึ้นไปอีก
นั่นคือการที่เขาขอมีอะไรกับเธอในขณะที่แมและนองสาวของเขาก็อยูที่บานดวย แมวาเธอจะ
บอกวาไมอยากมีดวยแตเขาก็พยายามรบเรา พิมบอกวาดวยความรูสึกผิดที่เธอคิดวาตัวเองกําลัง
นอกใจเขาอยูและอยากจะบอกเลิกกับเขาอยูแลวจึงทําใหเธอตองตัดสินใจยอม

“ก็กัดฟนใหไป แตคืนนั้นเรารูสึกแยมากจริงๆ เพราะเราจะไมยอมเขาก็ไดไง แตวา


ก็อาจจะรูสึกผิดที่ไปแอบมีอะไรกับยิมมากอนที่จะบอกเลิกกับเขา ความรูสึกเราคือ
แยมากๆ ที่เขาขอเอานะ คือรูสึกเหมือนผูหญิงที่ไมเต็มใจนะ ขายบริการอะไรแบบนั้น
ก็ คื อ ในเมื่ อ พู ด ขนาดนั้ น แต ห น า เรานี่ เ ป น ตู ด เลยนะ เราหั น หลั ง ให สุ ด ฤทธิ์ เ ลยนะ

5
ย อ มาจาก short message ซึ่ ง เป น ช อ งทางการติ ด ต อ สื่ อ สารโดยการพิ ม พ แ ละส ง ข อ ความผ า นทางโทรศั พ ท มื อ ถื อ ซึ่ ง เป น
ชองทางการติดตอสื่อสารที่นิยมกันมากในสมัยนี้
64

คือไมเขาใจวาทําไมไมสังเกตเลยเหรอวาหนาเรานี่ไมไหวแลวนะ คือเรานิ่งมากเลย...
แบบอยากทําอะไรก็ทํา คือเรารูสึกเลยนะ วาสักแตวาเอา”

เชาวันรุงขึ้นเธอจึงบอกเลิกกับนองเอ็ม แตในขณะนั้นเธอก็ไมไดบอกเขาวาเธอกําลังคบ
กับยิมอยู เพราะเธอก็ไมยอมรับวาตัวเองผิด หรือเปนฝายละเมิดรูปแบบของความสัมพันธที่ถูกตอง
ในสายตาของเขา เธอให เ หตุ ผ ลของการบอกเลิ ก ในวั น นั้ น กั บ เขาว า เธอรู สึ ก ว า เขายั ง ไม ใ ช
คนที่เธอตองการ ซึ่งก็เปนไปตามที่ทั้งคูเคยคุยกันไวกอนแลว และพิมไดเลาใหผูเขียนฟงภายหลังวา
เมื่อนองเอ็มไดมารูทีหลังวาเธอคบกับยิม เขาก็โทรศัพทมาพูดจาในทํานองตัดพอกับเธอ แตเธอ
ก็ไมไดใหความสนใจเขาอีก ซึ่งการที่พิมไมสามารถบอกเลิกกับนองเอ็มในตอนแรกแมวาตัวเธอเอง
จะไม ไ ด รู สึ ก อะไรกั บ เขาแล ว เธอให เ หตุ ผ ลว า เป น เพราะตั ว เธอยั ง ต อ งการความรู สึ ก ว า
มี ค นให ยึ ด เหนี่ ย วอยู แต เ มื่ อ เกิ ด เหตุ ก ารณ ร ะหว า งเธอกั บ ยิ ม ขึ้ น พอดี ทํ า ให พิ ม รู สึ ก ว า ยิ ม คื อ
คนที่สามารถใหความรูสึกตรงนี้ไดดีกวา และมันอาจจะเปนการไมยุติธรรมถาเธอจะแอบคบกับยิม
โดยที่ยังไมไดบอกเลิกกับนองเอ็มใหเปนเรื่องเปนราว เธอจึงตองกลับมาเผชิญหนากับนองเอ็มและ
จํ า ต อ งยอมมี เ พศสั ม พั น ธ ที่ เ ธอไม ต อ งการ เพื่ อ เป น การลบล า งความผิ ด ที่ เ ธอได น อกใจเขา
อยางไรก็ตาม การบอกเลิกกับนองเอ็มก็ไมไดทําใหเธอรูสึกดีขึ้นมากเทาไหร เพราะเธอก็ยังคงตอง
เผชิญกับสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นอีก
หลัง จากบอกเลิก กั บน องเอ็ มแลว เธอก็ม าคบกับ ยิ ม ต อ แมใ นช ว งแรกจะเปนการคบ
ในลักษณะของการแอบคบแบบหลบๆ ซอนๆ เพราะเธอไมตองการใหคนรอบขางรู โดยเฉพาะ
แฟนเก าของยิม เพราะพิ มรู สึกว าผูหญิ งคนนี้เปนคนนิสั ยประหลาด แม วา จะเลิกกับ ยิมไปแลว
แตก็ยังทําทาเหมือนจะหึงหวงยิมอยูตลอดเวลา เธอจึงไมอยากมีปญหากับผูหญิงที่เปนแฟนเกา
ของยิมคนนี้ เพราะจริงๆ แลวพวกเธอทั้งคูก็เปนเพื่อนกัน พิมบอกวาตอนที่ยิมคบกับเธออยู เขาก็มี
ทีทาเกรงใจแฟนเกาของเขาคนนี้อยูเหมือนกัน แตตามความคิดของเธอมองวายิมเองก็เปนฝายรุกเธอ
มากกวาเสียอีกในชวงแรกๆ เพราะเขาทั้งตามเธอไปไหนตอไหนดวย หรือมาขลุกอยูกับเธอที่บาน
แตเมื่อเธอไปหายิมที่อพารตเมนตเธอจะรูสึกอึดอัดมาก เนื่องจากทั้งคูจะไมสามารถแสดงออก
ไดมากนัก ยิมจะทําเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น และทําทาเย็นชาหมางเมินกับเธอโดยเขาใหเหตุผลวา
เกรงใจแฟนเกาของเขา

“แตพอคบแบบแอบๆ ไปซักแปบนึงเราก็เริ่มรูสึกไมไหวแลว มันอึดอัด แลวยิมก็ treat


เราไม ดี ด ว ย อย า งตอนเราไปบ า นเขา แฟนเก า เขาก็ นั่ ง เล น เกมอยู ยิ ม ก็ บ อกว า ง ว ง
แลวก็หนีเราไปนอนในหองซะอยางนั้น แลวก็ทิ้งใหเรานั่งเบื่อๆ อยูอยางนั้น เราคิดวา
65

ที่เขาทําแบบนั้นเพราะเขาก็เกรงใจแฟนเกานั่นแหละ เพราะกอนหนานั้นเขาก็จะขอโทษ
ที่ถาเวลาที่แฟนเกาเขาอยูดวย เขาก็จะคุยกับเราไมได แตเราก็ไมคอยอยากใหใครรูดวย
แหละ กลัวเพื่อน surprise”

แตเมื่อความสัมพันธของทั้งคูเริ่มมีคนรับรูมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแฟนเกาของยิมรับรู
พิมถูกแฟนเกาของยิมดาอยางรุนแรง โดยที่เธอก็ไมไดโตตอบแตอยางไรเพราะเธอคิดวาถาเปน
ตัวเธอ เธอก็คงโกรธเหมือนกัน

“แตทีนี้พอเรื่องมันแตกขึ้นมา ความสัมพันธของเรากับแฟนเกาของยิมก็สะบั้น เขาก็ดา


เราวา ‘คําวา bitch ยังนอยไปสําหรับคนอยางเธอ’ ซึ่งเราก็โกรธนะวามาวาเราทําไม
ที ยิ ม ไปมี ใ ครก อ นหน า เราตั้ ง เยอะตั้ ง แยะทํ า ไมไม ด า แล ว ยิ ม ก็ ม านอนกั บ เราเอง
ทําไมไมดายิมบาง แตเราก็ไมไดไปตอบโตอะไรนะเพราะเรามานั่งคิดวาถาเปนเรา
เราก็โกรธนะ”

สาเหตุที่พิมเขาใจความโกรธของแฟนเกาของยิม แมเธอจะมองวาตัวเองก็ไมไดเปน
คนเริ่มตนความสัมพันธนี้เพียงฝายเดียวแตเกิดขึ้นจากทั้งสองฝาย เพราะเธอมองวาความสัมพันธ
ของเธอกับยิมเกิดขึ้นแบบไมถูกตองนัก เนื่องจากมันเกิดขึ้นและเริ่มดําเนินตอไปในขณะที่เธอ
ยังไมไดเลิกกับนองเอ็มที่ทุกคนรับรูวาเปนแฟนของเธออยางเปนทางการ ความสัมพันธของทั้งคู
จึงอยูในลักษณะของการตองแอบหรือลักลอบคบกัน เหมือนลักษณะของการ “เปนชู” ทําใหคนที่
มารู ที ห ลั ง เกิ ด ความประหลาดใจ โดยเฉพาะกั บ แฟนเก า ของยิ ม ที่ พิ ม มองว า จริ ง ๆ แล ว ก็ ยั ง
ไมสามารถตัดใจจากยิมได นอกจากนี้เธอยังมองไปวา เปนเพราะความรูสึกเหมือนถูกเธอซึ่งเปน
เพื่อนหักหลังกันดวย จึงทําใหแฟนเกาของยิมโกรธเธอมากขนาดนี้ หลังจากนั้นแฟนเกาของยิม
ก็ตัดขาดความสัมพันธกับเธอ ทําใหพิมไมกลาไปที่อพารตเมนตของยิมอีก เธอจึงใหยิมเปนฝาย
มาหาเธอที่บาน แตการที่ยิมมาหาที่บานก็ทําใหพิมตองพบกับความลําบากใจอีกครั้ง เนื่องจากแม
และนองชายของเธอไมคอยชอบยิม เธอบอกวาเปนเพราะตัวยิมเปนคนไมมีสัมมาคารวะ ไมเคย
ยกมือไหวแมของเธอเลย และมีบางครั้งเมื่อนองชายของเธอดูทีวีอยูยิมก็หยิบรีโมตมากดเปลี่ยนชอง
แบบไมมีความเกรงใจ ทําใหทั้งสองคนไมคอยปลื้มยิมนัก

“นองชายเราก็ไมชอบเพราะยิมเปนคนมักงาย นองเราดูทีวีอยูดีๆ ยิมมาถึงก็มากดเปลี่ยน


ชองซะ มาบานก็ไมไหวแมเรา แมก็บอกวา ‘ไมเอานะคนนี้’ ”
66

นอกเหนื อ จากนี้ พิ ม ยั ง มองว า สาเหตุ ที่ แ ม ไ ม ช อบยิ ม เพราะแม เ คื อ งพฤติ ก รรมเธอ


มาตั้ ง แต ต อนที่ เ ธอคบกั บ น อ งเอ็ ม แล ว เนื่ อ งจากในช ว งแรกเธอมาเล า ให แ ม ฟ ง ว า มี รุ น น อ ง
มาสารภาพรัก ประกอบกับที่เธอกําลังจะไปเชียงใหมพอดี แมจึงแสดงความไมพอใจนักเพราะ
แมมองวาแคมีคนมาสารภาพรัก ทําไมเธอจะตองไปหาเขาดวย และเมื่อเรื่องของเธอกับนองเอ็ม
จบลงในเวลาอันรวดเร็วและเธอพายิมมาหาแมที่บาน ทําใหแมรูสึกวาเร็วเกินไปที่เธอจะเปลี่ยน
คนรั ก บ อ ยขนาดนี้ แต ถึ ง แม ว า แม แ ละน อ งชายจะแสดงออกให เ ธอรู ว า ทั้ ง สองคนไม ช อบยิ ม
พิ ม ก็ ไ ม ได ใ สใ จมาก เพราะเธอให ค วามสํ า คั ญกั บ ประเด็ นที่ ว า ยิ มคื อคนที่ เ ข า ใจ และสามารถ
คุยกับเธอไดรูเรื่อง เนื่องจากทั้งคูคบกันเปนเพื่อนมานานและพูดจาภาษาเดียวกัน อีกทั้งพิมยังมอง
วายิมสามารถดูแลเธอไดดี ทําใหเธอประทับใจเขาตรงสวนนี้ดวย เธอจึงเลือกใชวิธีการไมพายิม
มาที่บานอีกเพื่อใหแมและนองไมตองเจอเขา แตเมื่อถึงเวลาที่ยิมจะตองไปเรียนตอตางประเทศ
พิมกลับเปนฝายขอบอกเลิกกับยิมเอง โดยเธอใหเหตุผลวา

“รอยทั้งรอยของคนที่จะไปเรียนตอ มันก็ตองหลงระเริงกับสังคมใหม เราก็เลยบอกเขา


วา ‘ถาไปเมื่อไหรก็เลิกนะ’ เพราะเรากลัวการที่เขาจะเปลี่ยนไป เรารูสันดานเขาดีวา
ยังไงเขาก็ไปแน จะชาจะเร็วก็ตองเลิก ก็เลยชิงเลิกซะกอนเลย”

การบอกเลิ กกับ ยิ มทํา ให พิมเสี ยใจมาก เพราะเธอรู สึกวา ยิ มเป นคนที่เ ขา กับเธอไดดี
แตยิมกลับไมไดแสดงอาการเศราเสียใจหรืออาลัยในความสัมพันธของทั้งคูมากเทาไหร แมวา
สุดทายพิมจะบอกกับเขาวาถาเขาอยากใหเธอรอตอนที่เขาเรียนจบกลับมา เธอก็เต็มใจที่จะรอ แตเขา
กลับไมไดแสดงความมั่นใจในสวนนี้ใหเธอเห็น เขาไมไดใหคําตอบที่ชัดเจนวาเมื่อเขากลับมา
เขาจะยังรูสึกกับเธอเหมือนเดิมหรือไม ทําใหพิมรูสึกวาไมมีอะไรที่แนนอนในความสัมพันธครั้งนี้
อีกตอไป ซึ่งเปนสิ่งที่เธอไมตองการและรูสึกไมสบายใจกับสถานการณแบบนี้ แตเมื่อไมมีทางเลือก
เธอจึงตัดสินใจบอกเลิกกับยิมทั้งๆ ที่ยังเสียดายและเสียใจอยูมาก เนื่องจากเปนครั้งที่เธอไมมีตัวชวย
อื่นที่จะทําใหเธอรูสึกวามีทางออกอื่นๆ เหมือนครั้งที่ผานๆ มา และภายหลังจากเลาเรื่องของเธอ
กับยิมจบ พิมก็บอกกับผูเขียนวาเธอขอยุติการเลาเรื่องชีวิตทางเพศนอกการแตงงานของเธอไวตรงนี้
เนื่ อ งจากป จ จุ บัน เธอกํา ลั งมี ค วามรั กกั บ ผูช ายคนใหม ซึ่ง เธอขอสงวนไวเ ป นเรื่ องราวสว นตั ว
ผูเขียนจึงเคารพการตัดสินใจของเธอและขอจบเรื่องราวของเธอไวเพียงเทานี้
67

เรื่องเลาของจูน
จูน หญิงสาวอายุ 27 ป เธอเปนหญิงสาวหนาตาเรียบๆ จนดูเหมือนเรียบรอย หากแตดวย
วิธีการแตงตัวสามารถทําใหบุคลิกของเธอเปลี่ยนแปลงไปไดตามสถานการณตางๆ อยางเชน เปรี้ยว
เซอร หรื อ เรี ย บร อ ย เมื่ อ อยู ใ นกลุ ม เพื่ อ นจู น ก็ จ ะเฮฮาไปตามประสา แต เ มื่ อ อยู ค นเดี ย ว
จูนจะมีลักษณะเหมือนกําลังคิดอะไรอยูหรือมีอะไรอยูในใจเสมอ จูนเติบโตมาในสังคมตางจังหวัด
โดยเธอเปนลูกสาวคนโตของครอบครัวที่มีพอรับราชการครูและแมเปนแมบาน เธอมีนองชาย
อีกสองคน ครอบครัวของเธอเปนครอบครัวอบอุนพอสมควร และดวยความที่ เ ธอเปนลู กสาว
คนเดียวและมีพอเปนครู จึงทําใหพอคอนขางดูแลเธอพอสมควรในเรื่องของการวางตัว

“คืออยางเมื่อกอนเราแตงตัวสบายๆ ไมคอยเปนผูหญิง เขาก็มีที่มาพูดบางวา ‘แตงตัว


เปนผูหญิงบางก็ได ทาปง ทาแปงซะบาง’ แตพอเรามาเรียนที่นี่ พอกลับบานก็เริ่มมีการ
เปลี่ยนสไตลการแตงตัวเปนผูหญิงมากขึ้น ใสเสื้อตัวเล็กบางอะไรแบบนี้ เขาก็จะแค
พูดๆ วา ‘เสื้อตัวเล็กไปไหมเนี่ย?’ แตก็จะแคพูดๆ แบบนี้เทานั้น ไมไดมีแบบหามใสนะ
แตใหดูกาลเทศะแคนั้นวา ‘ถาไปที่โนนที่นี่เจอคนแลวจะเปนยังไง?’ คือถาอยูกับเขา
มันไมเปนอะไรหรอก แตเขาไมอยากใหคนอื่นมาวาเราเทานั้น”

จูนเลาใหฟงวาชีวิตในวัยเด็กของเธอไมไดมีอะไรที่ตื่นเตนเลย เปนชีวิตเด็กนักเรียนหญิง
ธรรมดาที่ ไ ปเรี ย นหนั ง สื อ แล ว ก็ ก ลั บ บ า น หรื อ ไม ก็ เ ที่ ย วเล น กั บ เพื่ อ นไปวั น ๆ สมั ย เรี ย น
ชั้นประถมและมัธยมนั้นจูนไมเคยมีแฟนมากอน มีเพื่อนชายเพียงคนเดียวที่เรียกวาเปน “รักสมัย
วัยหวาน” ซึ่งไมไดมีอะไรมากไปกวาเพื่อนรวมชั้นเรียน แตที่เธอเรียกวาเขาเปนรักวัยหวานก็เพราะ
เพื่อนๆ ชอบพูดแซวเวลาที่ทั้งคูอยูดวยกันเทานั้น เธอบอกวาโอกาสที่เธอจะไปเกี่ยวของกับเรื่องเพศ
ไดนั้นแทบไมมีเลย เพราะพอกับแมคอนขางดูแลเธออยางใกลชิดมาก ถึงขั้นที่วาเธอจะขอไปคางที่
บานเพื่อนเหมือนคนอื่นๆ ไมไดเลยเพราะพอของเธอไมเคยอนุญาต จูนมองวาที่พอหวงเธอมาก
ขนาดนี้เพราะพอเปนหวง เธอกลัววาจะมีใครมาทําอันตรายเธอ เพราะพอมองวาเธอเปนลูกผูหญิง
ซึ่งเปนเพศที่ออนแอกวา ยังไงก็เปนฝายเสียเปรียบผูชายอยูวันยังค่ํา จูนมองวาถาหากเธอยังคงใช
ชีวิตอยูที่บานกับครอบครัวแบบนี้เรื่อยๆ เธอก็คงไมมีทางมีประสบการณทางเพศอยางที่เปนอยูนี้
เปนแน
พอของจูนเปนคนที่มีอิทธิพลตอความคิดในเรื่องเพศของเธอเปนอยางมาก จูนเลาให
ผูเขียนฟงวา เคยมีเหตุการณหนึ่งที่เกิดขึ้นกับลูกพี่ลูกนองคนหนึ่งของเธอ และเปนเหตุการณที่ทําให
เธอเขาใจความรูสึกของพอในประเด็นนี้มากขึ้น เรื่องมีอยูวาปาซึ่งเปนพี่สาวของพอไดมาฝากใหพอ
68

ชวยไปคอยดูแ ลลูกสาวของปา สั กสองสามวัน เนื่องจากปา จะตอ งไปธุร ะที่ ตา งจั งหวัด ตกเย็น
วันหนึ่งพอก็ชวนจูนไปหาลูกพี่ลูกนองของเธอคนนี้ที่บานปา แตกลับพบวาลูกพี่ลูกนองของเธอ
ซึ่งในขณะนั้นเปนนักเรียน ม.2 ไดหายตัวไปจากบานพรอมกับมอเตอรไซดของปา พอของเธอ
ก็เกิดความเปนหวงอยางมาก เนื่องจากลูกพี่ลูกนองของเธอคนนี้ขี่รถมอเตอรไซดไมเปน แสดงวา
ตองออกไปกับคนอื่นแนนอน พอจึงไดออกตามหาตามที่ตางๆ และไปพบวาลูกพี่ลูกนองของเธอ
กําลังอยูกับเพื่อนชาย จูนบอกวาพอของเธอโกรธมากและลงมือตีลูกพี่ลูกนองของเธอคนนี้อยางแรง
จนเมื่ อ ป า กลั บ มาทราบเรื่ อ งก็ โ กรธพ อ เธออย า งมากเช น เดี ย วกั น เนื่ อ งจากป า ไม เ คยตี ลู ก สาว
ของตัวเองมากอนเลย เหตุการณนี้ทําใหพอกับปาของเธอผิดใจกันมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งจูนเขาใจ
ในเหตุผลของพอวา

“พอเรามักแสดงความเปนหวงลูกๆ หลานๆ ที่เปนผูหญิงเสมอ เพราะพอจะมองวาผูชาย


เปนอะไรที่ไวใจไมได แมแตจะเปนญาติหรือคนสนิทแคไหนก็ตาม ทุกวันนี้เรามาอยู
กรุงเทพฯ พอก็มักจะเตือนอยูตลอดวาใหระมัดระวังตัว”

เหตุ ก ารณ ใ นครั้ ง นั้ น ทํ า ให จู น เข า ใจความรั ก และความห ว งใยของพ อ ในประเด็ น นี้
มากขึ้ น นอกจากนี้ เธอยั ง เรี ย นรู จ ากประสบการณ ใ นรั้ ว โรงเรี ย นอี ก ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ที่
ไมปองกันแลวเกิดปญหาขึ้น ฝายผูหญิงจะตองเปนฝายประสบกับผลลัพธอยางไร เพราะเธอเคยเห็น
ตัวอยางของนักเรียนหญิงในโรงเรียนที่ตั้งครรภแลวโดนไลออก ซึ่งจูนตั้งใจเอาไววาจะตองไมยอม
ใหเหตุการณแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเปนอันขาด เมื่อเธอตองจากบานมาเรียนในระดับอุดมศึกษา
ที่ ต า งจั ง หวั ด และเป น การจากบ า นที่ ไ กลที่ สุ ด เป น ครั้ ง แรก ในช ว งสองป แ รกของการเรี ย น
มหาวิ ท ยาลั ย เธอก็ ข ลุ ก อยู กั บ เพื่ อ นร ว มคณะ เรี ย นหนั ง สื อ และทํ า กิ จ กรรมร ว มกั น เท า นั้ น
โดยที่ไมไดยุงเกี่ยวหรือเปนแฟนกับใคร ซึ่งเปนเพราะเธอยังไมมีโอกาสไดสรางความสัมพันธ
กับใครที่เธอถูกใจ จนกระทั่งเริ่มเขาสูการเรียนชั้นปที่สาม และเปนเวลาที่มหาวิทยาลัยเริ่มพัฒนา
ระบบอินเทอรเน็ตภายในขึ้นมา และกลายเปนชองทางใหจูนไดพบกับผูชายคนแรกในชีวิตของเธอ
ซึ่งถึงแมจะไดรับการปลูกฝงจากพอมาโดยตลอดวาผูหญิงมักเปนฝายเสียเปรียบในเรื่องเพศ แตจูน
ก็ไมสามารถตานทานความอยากรูอยากเห็นในเรื่องเพศได ประสบการณการมีเพศสัมพันธครั้งแรก
ของจูนนั้นเกิดขึ้นกับผูชายที่อาจจะเรียกไดวาเปน “คนแปลกหนา” เพราะเขาเปนเพียงเพื่อนสนทนา
ผ า นทางระบบอิ น เทอร เ น็ ต ไม ไ ด มี ค วามคุ น เคยเฉกเช น คนรั ก หรื อ เป น เพื่ อ นกั น แต อ ย า งใด
ยิ่ ง ไปกว า นั้ น ก อ นหน า ที่ จ ะมี เ พศสั ม พั น ธ กั น พวกเขายั ง ไม เ คยเห็ น หน า ค า ตากั น มาก อ นด ว ย
69

โดยจูนใหเหตุผลกับการตัดสินใจมีเพศสัมพันธครั้งแรกของเธอนี้วาเปนสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนอง
“ความอยากรู” ของตัวเองลวนๆ

“จะเรียกไดวาที่ตัดสินใจยอมมีอะไรกับคนนี้โดยไมคิดอะไรมากก็เปนเพราะอยากรู
จริ ง ๆ ว า มั น เป น ยั ง ไง เพราะจากที่ เ คยดู ห นั ง เคยอ า นเจอว า มั น คื อ ความสุ ข นะ
เราเลยอยากรูวามันจริงหรือเปลา หรือมันจะเปนยังไง แคอยากตอบสนองความตองการ
ของตัวเอง”

จูนรูจักกับ ‘แบงค’ ผา นระบบการแชต (chat) ภายในมหาวิทยาลัย โดยที่เ ขาเรียนอยู


อี ก คณะหนึ่ ง แต อ ยู ชั้ น ป เ ดี ย วกั น ทั้ ง คู เ จอกั น โดยบั ง เอิ ญ และได มี โ อกาสนั ด สนทนากั น
ดวยเรื่องทั่วๆ ไปอยูพักหนึ่ง จูนบอกวาในระหวางที่คุยกับเขาเกือบสองเดือนนั้น เธอไมไดตองการ
อยากจะพบเจอหนาเขาเลยแมแตนอย แตเขากลับเปนฝายขอนัดเจอเธออยูเรื่อยๆ

“จะวา ไปเขาก็ คอ นขา งจะรุ กเราทีเดียว อยา งเชนบางวันเราก็ พิมพบอกไปวา ‘วั นนี้
ปวดหั ว จั ง เลย’ เขาก็ จ ะตอบกลั บ มาประมาณหยอกๆ ว า ‘นวดให เ อาไหมจ ะ ?’
อะไรทํานองนี้ แตเราก็เฉยมากๆ ไมไดกระตือรือรนอยากจะไปสืบหาหนาตาคนๆ นี้
ไมไดมีความรูสึกชอบหรืออะไรเลย”

แมในตอนนั้นจูนจะอยากมีแฟนเหมือนคนอื่นๆ แตเธอก็อยากใหเปนความรักที่เกิดจาก
การพบเจอหนาตากันตามปกติมากกวา เธอรูสึกวาแบงคเองก็เหมือนเปนคนที่ไมไดจริงใจอะไร
มากมาย แคพูดคุยหยอกเอินกันเลนๆ ไปตามประสา จูนจึงไมไดตองการที่จะคบหาเปนแฟนกับเขา
อยางเปนกิจจะลักษณะ แตเมื่อถึงครั้งที่แบงคขอนัดเจอเธออยางเปนจริงเปนจังครั้งแรก จูนก็ตกลง
ไปพบเขา เพราะเธอคิดวาไมไดเปนการเสียหายอะไร ถาทั้งสองฝายถูกใจกันก็อาจจะมีการสานตอ
กั น แต ถา ไมโ อเคก็ แค เลิ ก รากั นไป เธอจึ ง นัดให เขามารั บที่ห อตอนเย็ นเพื่ อ ไปหาอะไรกินกั น
ซึ่งหลังจากกินอะไรกันเสร็จแลว แบงคก็ชวนจูนไปนั่งเลนที่บานของเขาเพราะพอแมเขาไมอยูบาน
ซึ่งเธอก็ตกลงใจไปโดยที่ไมไดคํานึงถึงเรื่องเสี่ยงหรืออันตรายอะไร เพราะเธอคอนขางไวใจเขา
เนื่องจากไดมีโอกาสคุยกันมานานพอสมควรแลว และเธอคิดวาตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ
ได จูนบอกวาตอนที่อยูที่บานของเขาเธอก็คิดเหมือนกันวาเขาคงอยากมีอะไรกับเธอ เพราะเขาเริ่ม
เลาโลมเธอดวยวิธีการตางๆ ไมวาจะเปนการจับมือเธอไปลูบ และถามเธอวาชอบเขาบางหรือไม
ซึ่งตัวเธอก็ยอมรับวาเธอก็รูสึกดีกับเขาอยูเหมือนกัน แมจะยังไมถึงขั้นชอบหรือรัก ดังนั้นเมื่อเขา
70

เอ ย ปากขอมี เ พศสั ม พั นธ กั บ เธอ เธอจึ ง ตั ด สิ น ใจยอมเพราะตั ว เธอเองก็ มี ค วามอยากรู อ ยู ลึ ก ๆ
เหมือนกันวามันจะเปนอยางไร และเขาก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขสวนตัวที่เธอตั้งเอาไวคือการตองใช
ถุงยางอนามัย

“วินาทีนั้นตัดสินใจแลววายอม เพราะเราก็อยากรูเหมือนกันวามันจะเปนยังไง ก็เลย


ไมตอตาน ไมปฏิเสธ แตก็แอบมีเงื่อนไขสวนตัวอยูเหมือนกันวาถาตอนนั้นผูชายไมมี
ถุ ง ยางเราก็ จ ะไม ใ ห เ อา แล ว ก็ คิ ด ว า ตั ว เองสามารถหยุ ด เขาได ด ว ย แต พ อดี ว า
เขาใชถุงยางไง ก็เลยไดมีอะไรกัน”

การที่จูนตั้งเงื่อนไขไววาคนที่จะนอนกับเธอจะตองใชถุงยางอนามัยนั้น เพราะตัวเธอเอง
ค อ นข า งระมั ด ระวั ง ตรงจุ ด นี้ ม าก เนื่ อ งจากพ อ กั บ แม เ คยพู ด กั บ เธอตั้ ง แต ต อนที่ เ ธอเรี ย นอยู
ชั้นปที่สองวา “ถาจะไปมีอะไรกับใคร พอกับแมขอไวสองขอ คือหนึ่งไมทอง และสองไมติดโรค”
ซึ่ ง เธอวิ เ คราะห ไ ว ว า อาจจะเป น เพราะพ อ กั บ แม รั บ รู ถึ ง การเปลี่ ย นแปลงของสภาพสั ง คม
ประกอบกับตัวเธอมาเรียนหนังสือไกลบาน ไมมีคนคอยควบคุมดูแลอยางใกลชิด การบังคับหรือ
หามไมใหเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอาจจะเปนไปไดยาก คงมีเพียงแตตัวเธอเองเทานั้นที่จะสามารถดูแล
ตัวเองได อยางไรก็ตาม จูนก็ไมไดคิดวาสิ่งที่พอกับแมพูดกับเธอจะเปนใบเบิกทางใหเธอสามารถ
มีเพศสัมพันธกับใครก็ได แตเปนการพูดเพื่อปองกันไวมากกวา เพราะลึกๆ แลวเธอก็รูวาพอกับแม
คงไมตองการใหเธอไปของเกี่ยวกับเรื่องเพศแตอยางใด และตอนนั้นเธอก็รูสึกวาเรื่องนี้เปนเรื่อง
ไกลตัว คงไมเกิดขึ้นกับตัวเธอแนๆ เพราะเธอไมเคยสนิทสนมกับเพื่อนผูชายคนไหนเปนพิเศษ
หรือมีโอกาสไปคางบานเพื่อนที่ไหนตามที่ไดกลาวมาแลว
ในระหว า งที่ มี เ พศสั ม พั น ธ ค รั้ ง แรกกั บ แบงค จู น รู สึ ก วิ ต กกั ง วลว า จะเกิ ด
ความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับตัวเองหรือไม เนื่องจากเธอยังไมเคยมีประสบการณทางเพศมากอน
เธอบอกวาขณะที่กําลังมีอะไรกับแบงคนั้นเธอคิดถึงแตวาหลังจากนี้เธอจะรูสึกอยางไร จะมีคนมา
รูเรื่องนี้หรือไม กลัววาเพื่อนจะไมเขาใจวาทําไมเธอถึงทําอะไรแบบนี้และไมรูวาจะไปอธิบาย
บอกเพื่อนๆ ใหเขาใจไดอยางไร เพราะโดยสวนตัวแลวจูนรูดีวาตัวเธอไมไดคิดอยากจะสานตอ
อะไรกั บ แบงค แค อยากมี อ ะไรกับ เขาเพื่ อ ตอบสนองความอยากรู อยากเห็ นของตั ว เองเท า นั้ น
สาเหตุที่ ทํา ให เ ธอมี คํา ถามเหลา นี้ อยู ใ นหัว ขณะที่ กํา ลัง มี เ พศสั มพั นธ นั้ น เพราะเธอมี ค วามคิ ด
อยูเหมือนกันวาคนอื่นคงมองวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่ผิดหรือมองวาเธอเปนคน “ใจงาย” ในขณะที่
ตัวเธอเองไมไ ดรูสึกอย างนั้น เพราะเธอแคอยากรูจ ริงๆ ว ามั นจะเปนอยา งไร แต ใ นที่สุดเธอก็
ตัดความกังวลในเรื่องอื่นๆ ทิ้งไปและไปใหความสําคัญกับประเด็นที่วาถุงยางอนามัยที่แบงคใช
71

จะปลอดภัยจริงหรือไม เพราะเธอก็ยังคงกังวลกับคําพูดของพอแมเกี่ยวกับเรื่องทองและติดโรค
อยูตลอดเวลา นอกจากนี้ จู นบอกว า เธอไม คอยมีความสุ ขกับเพศสัมพันธครั้ งนี้ เท า ไหรเ พราะ
เธอรูสึกเจ็บมากกวา

“เชื่อมั้ยวาครั้งแรกของเรานะ เจ็บมาก ไมไดรูสึกมีความสุขหรืออะไรเลย ทําอะไร


ไม ถูกด วย เขาเป นคนทํา ให หมดเลย แตท า ทางเขาก็เ ขินๆ เหมือนกั น กึ่ งๆ เกรงใจ
ด ว ยมั้ ง ตอนนั้ น เราคิ ด แต ว า ‘รี บ ๆ ทํ า ให เ สร็ จ ซะที เ ถอะ เราเจ็ บ แล ว ก็ ไ ม ถึ ง ด ว ย’
พอเอาเสร็จนะ เราคิดในใจเลยวา ‘เซ็กสครั้งหนาของกูตองดีกวานี้ มันนาจะมีความสุข
หรือดีกวานี้นะ’ [หัวเราะ] พอเสร็จก็ขอกลับหอเลย ไมคิดวาอยากจะมีอีกรอบหรืออะไร
เลยนะ เพราะมันเบื่อสุดๆ”

หลังจากนั้นจูนก็ขอใหแบงคไปสงเธอที่หอ โดยที่ไมไดตองการจะสานตอความสัมพันธ
กับเขาอีกแมวาเขาจะแสดงความตองการก็ตาม จูนบอกวาเธอไมประทับใจกับการมีเพศสัมพันธ
ครั้งแรกของตัวเองเลย และหลังจากกลับมาที่หองแลวจูนก็ตัดสินใจเลาใหเพื่อนสนิทฟงดวยอาการ
ที่ เ ธอเรี ยกว า “เหมือนเด็ กสํ า นึ กผิ ด” เพราะเธอคิ ดวา การกระทํา ของเธอนั้นเป นเรื่ องที่ผิ ด และ
เธอไมอยากใหเพื่อนสนิทของเธอมารับรูเรื่องนี้ภายหลังโดยที่ไมไดรูมาจากตัวเธอ แตปฏิกิริยาของ
เพื่ อ นก็ ไ ม ไ ด เ ป น ไปตามที่ เ ธอคาด เพราะแทนที่ เ พื่ อ นจะตํ า หนิ ที่ เ ธอไปมี อ ะไรกั บ ผู ช ายมา
เพื่อนกลับตําหนิที่เธอพาตัวเองไปอยู ในสถานการณอันตราย เพราะไมรูว าผูชายคนนั้นอาจจะ
พาเธอไปใหเพื่อนคนอื่นๆ ของเขารุมโทรมหรือไมมากกวา

“พอกลับมาถึงหอก็เลาใหเพื่อนสนิทเราฟง อารมณประมาณเหมือนเด็กที่ทําความผิดมา
แลวเพื่อนก็เปนแม เปนพี่ อะไรแบบนี้ แลวเพื่อนสนิทเราจะอารมณประมาณเปนผูใหญ
เราก็เขาไปเลียบๆ เคียงๆ คอยๆ บอก แบบวา ‘เออ...คือ...’ อะไรแบบนี้ แตเพื่อนเรา
จะไมไดวาเราผิดในประเด็นที่เราไปนอนกับผูชายมานะ แตมันดาเราใหญวา ‘ไมกลัว
อะไรเลยเหรอ? เกิ ด ผู ช ายมั น พาเราไปให เ พื่ อ นรุ ม โทรม หรื อ ว า มั น เป น โรคจิ ต
จะเกิดอะไรขึ้น?’ ไดฟงอยางนั้นก็เลยจอย รูสึกผิดขึ้นมาเลยที่ตัวเองไมรอบคอบ”

หลังจากเลาเรื่องราวใหเพื่อนฟงแลว จูนบอกวาเธอไมไดรูสึกผิดที่ไปมีอะไรกับผูชาย
ซึ่งเปนการตัดสินใจทําเพื่อตอบสนองความอยากรูอยากเห็นของตัวเอง แตเธอกลับรูสึกผิดมากกวา
ที่ไมคิดใหรอบคอบ และทําใหเพื่อนตองเปนหวง ซึ่งการเลาเรื่องใหเพื่อนฟงนั้นก็เพื่อตองการ
72

บอกกับเพื่อนวาเธอคิดอยางไรและอะไรคือเหตุผลที่อยูเบื้องหลังการกระทําของตนเอง ซึ่งเปนสิ่งที่
เธอกังวลอยูตลอดเวลาในขณะที่มีเพศสัมพันธกับแบงค เนื่องจากกลัววาเพื่อนจะไมเขาใจความคิด
ของเธอที่มีเกี่ยวกับเรื่องนี้

“จริงๆ แลวเราคิดวา การมีเซ็กสมันก็ เปนเรื่องของการเรียนรูกัน อยากทําอะไรก็ทํา


ขอแค ใ ห รั บ ผิ ด ชอบตั ว เอง กั น ตั ว เองออกจากป ญ หาให ไ ด เราก็ คิ ด ของเราแบบนี้
มาตั้งแตไดเรียนรูเรื่องเพศจากที่โรงเรียนแลว ตอนเรียนวิชาอะไรนะ สุขศึกษาเหรอ
ครู เ ขาก็ จ ะสอนเหมื อ นกั น เรื่ อ งท อ ง เรื่ อ งติ ด โรคอะไรแบบนี้ แต เ รารู ไ งว า ยั ง ไง
มันก็ไมเกิดขึ้นกับตัวเอง”

และด ว ยความที่ เ ธอต อ งการความมั่ น ใจในเรื่ อ งการมี เ พศสั ม พั น ธ อ ย า งปลอดภั ย


ตอนเชาวันรุงขึ้นดวยความไมแนใจในประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย วาจะปองกันการตั้งครรภได
จริงหรือไม เธอจึงชวนเพื่อนสนิทไปซื้อยาคุมฉุกเฉินมากินเพื่อเปนการปองกันตัวเองอีกชั้นหนึ่ง
จากเรื่องเลาของจูนทําใหเราเห็นวา การกระทําของตัวเธอสะทอนแนวคิดของสังคมที่วาผูชายเปน
ฝายไดเปรียบในเรื่องทางเพศมากกวาฝายหญิง เพราะผูชายไมจําเปนตองรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้น
ตามมาจากการเกี่ยวของกับเรื่องทางเพศมากเทาฝายผูหญิง แตในขณะเดียวกันก็เปนการแสดง
ใหเห็นวาสังคมก็มีทางเลือกใหผูหญิงที่อยากมีเพศสัมพันธแตไมตองการทอง สามารถควบคุม
รางกายของตัวเองไดดวยเชนกัน
เมื่อเธอตัดสินใจแลววาจะไมสานความสัมพันธกับผูชายคนแรกตอ จูนก็ไมไดมีอะไร
กั บ ใครอี ก จนกระทั่ ง ไปฝ ก งานขณะเรี ย นอยู ป สุ ด ท า ย หากแต เ ธอไม อ ยากพู ด ถึ ง ผู ช ายคนนี้
ในครั้งแรกที่ไดคุยกับผูเขียน เพราะเธอใหเหตุผลวา “เรารูสึกวาเรื่องราวกับคนนี้มันจบไมคอยสวย
เราไมคอยอยากจะนึกถึงแลว” หากแตเมื่อเวลาผานไปสักพัก จูนก็ตัดสินใจเลาเรื่องราวของ ‘โต’
ผูชายคนที่สองของเธอใหผูเขียนฟงภายหลังจากที่เราขามไปพูดคุยถึงเรื่องของผูชายคนอื่นกอน
และมี บ างเหตุ ก ารณ ที่ ต อ งพู ด ถึ ง โต จู น จึ ง ต อ งเล า เรื่ อ งของโตให ผู เ ขี ย นฟ ง ในที่ สุ ด จู นเล า ว า
เธอรูจักกับโตตอนที่มาฝกงานที่กรุงเทพฯ ขณะที่เรียนปสุดทายของมหาวิทยาลัย เธอเลือกฝกงานที่
สถานีวิทยุแหงหนึ่ง และคืนหนึ่งก็มีโอกาสไดไปนั่งกินขาวกับเพื่อนเกาของเธอ ซึ่งโตก็เปนเพื่อน
ของเพื่ อนที่ม ากินข า วดวยกันในคืนนั้ น จู นสั งเกตเห็ นโตนั่ งมองเธออยา งผิดปกติ ตลอดเวลาที่
กินขาวดวยกัน และเพื่อนของเธอก็ไดมาบอกเธอภายหลังวาโตสนใจเธออยู อยากจะทําความรูจัก
กันใหมากกวานี้ เธอกับโตจึงไดมีการติดตอกันทางโทรศัพทและนัดเจอกันหลังจากนั้นหลายครั้ง
จูนบอกวาโตเปนผูชายหนาตาดี ปากหวาน เอาใจเกง และคอยดูแลเธอเปนอยางดี
73

“อยางเชนตอนที่เราจัดรายการอยูก็จะมีโทรเขามาขอเพลงบางหรือเราทํางานกะดึก
เลิกงานตอนเชา เขาก็จะมารับเราที่ทํางานไปสงที่หอทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู
นี่ไกลมาก เขาก็ยังมารับ ก็ทําใหเราเกิดความรูสึกประทับใจ”

ความสั ม พั น ธ ข องทั้ ง คู พั ฒ นาไปจนถึ ง ขั้ น ที่ เ รี ย กได ว า เป น แฟนกั น และมี อ ะไรกั น
ในที่สุด โดยที่จูนไมไดคิดกังวลกับเรื่องของการมีเพศสัมพันธกับโตเหมือนที่เกิดขึ้นกับตอนที่มี
อะไรกับแบงค เพราะในครั้งนี้เธอมองวามันคือการมีเพศสัมพันธระหวางเธอกับผูชายที่มีสถานะ
เปนแฟนของเธอ ซึ่งการมีอะไรกับคนที่เธอรักก็ไมใชเรื่องผิด แตจูนบอกวาความรูสึกหวานชื่น
ฉันทคนรั กกับโตเชนนี้ เ หื อดหายไปภายในเวลาเพีย งแค สองเดื อนเทา นั้ น เพราะในชว งหลัง ๆ
โตก็เริ่มเปลี่ยนไป สังเกตไดจากการที่เขามักจะรีบไลเธอใหกลับภายหลังจากที่มีอะไรกันที่หอง
ของเขาเสร็จ หรือบางครั้งที่เธอโทรศัพทไปหาเขาขณะที่เขากําลังอยูกับเพื่อน เขาก็จะไมคุยกับเธอ
และบอกวาจะเปนฝายโทรกลับมาเองแตก็ไมไดโทรมา หรือการที่เขามักจะแสดงความหงุดหงิด
ใสเธอบอยครั้ง ความเปลี่ยนแปลงของโตทําใหจูนรูสึกไมดีและเกิดความสับสนเปนอยางมาก
วาเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาแลว การแสดงออกของโตสะทอนใหเห็นภาพ
ของการที่ผูชายถือวาตนเองเปนฝายไดเปรียบในเรื่องความสัมพันธทางเพศ เมื่อ “ได” ผูหญิงแลว
ก็ไมจําเปนตองรับผิดชอบตอการกระทําของตัวเอง หรือความรูสึกของผูหญิงแตอยางใด จะปฏิบัติ
อย า งไรก็ ไ ด ผิ ด กั บ ฝ า ยผู ห ญิ ง ที่ ต อ งการความแน น อนหรื อ มั่ น ใจในความสั ม พั น ธ ม ากกว า
จูนบอกวาภายหลังจากฝกงานเสร็จและเธอกลับมาเรียนหนังสือตอ โตก็ไมไดติดตอมาอีกและ
เธอก็ไมไดติดตอเขาอีกเชนกัน จนทําใหความสัมพันธของทั้งคูคอยๆ หางหายจนกลายเปนเหมือน
การเลิกกันไปโดยปริยาย
อยางไรก็ตาม เรื่องราวระหวางเธอกับโตนาจะจบลงตรงนี้ แตเหตุการณกลับไมเปน
เชนนั้น เนื่องจากโตไดกลับมาในชีวิตของเธออีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นใหมนี้เปนสาเหตุที่ทําให
จู น รู สึ ก ไม ดี แ ละไม อ ยากพู ด ถึ ง ผู ช ายคนนี้ ใ นตอนแรก จู น บอกว า เมื่ อ ไม กี่ เ ดื อ นที่ ผ า นมา
โตไดโทรศัพทมาหาเธอหลังจากที่ไมไดติดตอกันมานาน เขาบอกกับเธอวาอยากลองโทรมาหา
ดูเฉยๆ และถามวาเธอมีแฟนใหมหรือยัง ซึ่งในตอนนั้นตัวเธอเองก็มีแฟนใหมแลว เธอจึงบอกโต
ไปวา “เรามีแ ฟนแลว อยูด วยกั นด วย” เขาจึ งขอคบเธอเป นเพื่อนใหมอี กครั้งหนึ่ ง ซึ่ งตัว เธอก็
ไมมีปญหา เพียงแตนึกแปลกใจวาเขากลับมาทําไม แตในตอนนั้นเปนชวงที่แฟนของจูนกําลัง
มีป ญหากั บ ทางบา น ต องกลั บ ไปสะสางปญหาที่ บา นต า งจังหวั ด โตก็ ไดโ ทรศัพท ม าถามและ
ขอมาหาเธอที่หอง ซึ่งจูนก็อนุญาตโดยที่ในใจของเธอนั้นคิดแลววาถาโตมาหาก็คงจะตองมีอะไร
กันแนๆ ซึ่งเหตุการณก็เปนไปตามที่เธอคิดไว แตจูนบอกวาเธอมีเพศสัมพันธกับโตในคืนนั้นโดยที่
74

เธอไมไดรูสึกอะไรกับเขาเลย และภายหลังจากการมีเพศสัมพันธกันเสร็จ เธอก็ออกปากไลเขา


ให รี บ กลั บ ไปเหมื อ นที่ เ ขาเคยทํ า กั บ เธอมาก อ น ซึ่ ง เขาก็ ย อมทํ า ตามความต อ งการของเธอ
โดยไมบิดพลิ้วแตอยางใด เหตุการณทํานองนี้เกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ หลายตอหลายครั้ง จูนบอกวาถาเธอ
รูสึกมีอารมณขึ้นมา เธอก็จะโทรเรียกใหโตมาหาและเมื่อมีเพศสัมพันธจนสมใจเธอแลวเธอก็จะ
ไลเขาใหกลับไป จนในที่สุดโตตองเปนฝายเอยถามจูนวาสิ่งที่เธอกําลังทําอยูนี้คือการแกแคนที่เขา
เคยทํากับเธอใชหรือไม ซึ่งจูนยอมรับวาตอนแรกเธอไมไดคิดวานี่คือการแกแคน แตก็ไมปฏิเสธวา
สิ่งที่เธอทํานั้นเหมือนกับที่โตเคยทํากับเธอมากอน จูนบอกวาเมื่อไดฟงโตถามแบบนั้นเธอก็รูสึกผิด
อยูเหมือนกัน แตในขณะเดียวกันก็รูสึกสะใจ

“แต จ ะว า ไปเราก็ รู สึ ก ฮึ ก เหิ ม นะกั บ เซ็ ก ส ใ นครั้ ง นี้ น ะ คื อ ตอนแรกก็ ไ ม รู สึ ก หรอก
จนกระทั่ ง โตพู ด ออกมาเองว า ‘นี่ แ ก แ ค น กั น ใช ไ หม เมื่ อ ก อ นเคยโดนทํ า แบบนี้
มาตอนนี้เลยจะเอาคืนเหรอ?’ คือจริงๆ เราก็ไ มไดจะคิดแกแคนอะไร แตอารมณ ที่
เรี ย กเขามาหานี่ จ ะเป น แบบ ‘วั น นี้ เ ราเหนื่ อ ยว ะ เราไม อ ยากอยู ค นเดี ย ว’ ก็ จ ะเรี ย ก
ใหมาหา ประมาณหาเพื่อนอยูดวยอะไรแบบนี้ พอเสร็จก็ไลกลับ เปนแบบนี้เรื่อยๆ
เขาเลยทักขึ้นมาแบบนี้ ทําใหเราฉุกคิดไดวา ‘เออ! มันก็เหมือนการแกแคนจริงๆ ดวย’
แลวก็แอบสะใจวาเราก็ทําไดนะ”

จู น บอกว า การมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ โตก็ ไ ม ไ ด แ ตกต า งจากที่ เ ธอมี กั บ ผู ช ายคนอื่ น ๆ


แตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นตางหากที่เปนสิ่งที่แตกตาง เพราะกับผูชายคนอื่นๆ เธอจะรูสึกวา
มี ลั กษณะเหมื อ นมี ค วามเป นเพื่ อ นที่ ส ามารถทํ า กิ จ กรรมอื่ น ๆ ร ว มกั น ได เช น ไปกิ นข า วหรื อ
นั่งรถออกไปขา งนอกดวยกันต อได แตกับโตนั้ นจูนบอกวา เมื่ อเสร็จ จากกิ จกรรมทางเพศแลว
เธอก็ไมอยากจะทําอะไรรวมกับเขาตออีก แตอยากใหเขารีบๆ ออกไปจากหองของเธอใหเร็วที่สุด
ซึ่งการชี้ใหเห็นถึงความแตกตางในความสัมพันธของเธอกับโตในครั้งนี้ทําใหเห็นวา จูนไมได
นําเอาเรื่อ งการมีเพศสัมพันธมาผู กติดกั บเรื่องของความรักหรือความผูกพันแต อยา งใด แตเธอ
ใหน้ําหนักกับเรื่องเพศในครั้งนี้วาเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความตองการทางเพศเทานั้น อยางไรก็ตาม
การที่เธอบอกวาเธอรูสึกไมดีที่จะตองเลาเรื่องนี้ในตอนแรก เปนเพราะเธอรูสึกผิดกับการกระทํา
ที่ตัวเธอไดทํารายความรูสึกของอีกคนหนึ่ง ซึ่งจูนบอกวาเมื่อเธอทําแบบนั้นกับโตหลายครั้งเขา
เขาก็พูดในทํานองตัดพอกับเธอวาทําไมตองทําแบบนี้ เขาอุตสาหอยากจะกลับมาขอเริ่มตนใหม
กับเธออีกครั้ง ซึ่งคําพูดในลักษณะนี้ของโตเปนสาเหตุที่ทําใหจูนรูสึกไมดีและไมอยากจะเปดเผย
เรื่ อ งราวนี้ ใ นครั้ ง แรกที่ เ ราคุ ย กั น เพราะถึ ง แม เ รื่ อ งเพศสํ า หรั บ จู น ไม จํ า เป น จะต อ งเกิ ดขึ้ นกั บ
75

คนที่เธอรักหรือรูสึกดีดวยเทานั้น แตการใชเรื่องเพศเปนเครื่องมือเพื่อทํารายความรูสึกของคนอื่น
ก็ไมใชสิ่งที่ถูกตองเชนเดียวกันในความคิดของเธอ เพราะอยางนอยหลังจากที่มีอะไรกันก็นาจะ
ยังพอหลงเหลือความรูสึกดีๆ ใหกันบาง แตเธอกลับรูสึกวาการกระทําของเธอไดทํารายความรูสึก
ของโตจนกลายเปนความรูสึกผิดลึกๆ ในใจของเธอดังกลาว หลังจากนั้นโตก็กลับไปทํางานที่บาน
ต า งจั ง หวั ด และตั ว เธอเองก็ เ ปลี่ ย นเบอร โ ทรศั พ ท โ ดยไม ไ ด บ อกเขา ทํ า ให เ ธอไม ไ ด คุ ย หรื อ
เจอกับโตอีกเลย
ภายหลังจากที่เลา เรื่องของโตจบ จูนก็เลาเรื่องของ ‘โอ’ ผูชายคนที่สามใหผูเขียนฟง
ซึ่งโอเขามาในชีวิตของเธอภายหลังจากที่เธอเจอประสบการณที่ไมดีมาจากความสัมพันธกับโต
ในครั้ ง แรก จู น รู จั กกั บ โอ ใ นช ว งเวลาที่ เ ธอเพิ่ ง จบการศึ ก ษาและอยู ใ นช ว งของการหางานทํ า
ทางอินเทอรเน็ต ซึ่งเธอก็ยังไมไดเขากรุงเทพฯ และไมไดกลับบานที่ตางจังหวัดแตยังคงวนเวียนอยู
แถวๆ มหาวิทยาลัยของเธอ

“คนๆ นี้เปนผูชายที่เรารูสึกดีที่ไดรูจัก ไดคบหาดวย แมวาปจจุบันจะเลิกกันไปแลวหรือ


ไมไดมีอะไรกันแลว โอเนี่ยเรียนอยูมหาวิทยาลัยเดียวกัน แตอายุนอยกวาเราสองป
เจอกันตอนนั้นเราเรียนจบแลว แตยังไมไดไปหางานทํา ยังลองลอยอยูแถวๆ ม.อยู
ก็เจอกันผานทางการเลนเน็ตอีกแลว เปนโปรแกรม Pirth 6 คือตอนนั้นเปนชวงที่เรา
เหงาๆ ก็ไปนั่งเลนเน็ตที่รานหนาหอ ก็เขาไปคุยกันแบบขําๆ”

จูนบอกวาในการพูดคุยกันครั้งแรกนั้น เธอไมไดปดบังขอมูลสวนตัวกับโอเลย เพราะเธอ


เคยมีประสบการณโกหกคูสนทนาออนไลนแลวจําไมไดวาเธอพูดอะไรออกไปบาง เธอจึงบอก
ขอมูลที่เปนความจริงทั้งหมดกับเขารวมถึงเบอรโทรศัพทของเธอดวย และโอก็เปนฝายเริ่มตน
โทรศัพทมาคุยกับจูนเปนประจําทุกคื นเปนระยะเวลาเกือ บหนึ่งเดือน พวกเธอจึงไดนัดเจอกัน
เปนครั้งแรก จูนเลาใหฟงวาวันนั้นตรงกับวันสงกรานตพอดี โอขี่มอเตอรไซดมารับเธอไปเลนน้ํา
ด วยกั น จูนบรรยายลั กษณะของน อ งโอว า เปนผู ชายตั ว เล็ กๆ มี ลัก ษณะเหมือนเด็ กเรี ยนเพราะ
ใสแวนตา แตเปนคนที่มีอารมณศิลปน ชอบเลนดนตรี พวกเธอจึงคุยกันถึงเรื่องดนตรีไดอยา ง
ออกรส รวมถึงเรื่องอื่นๆ ดวย จูนบอกวาเธอคอนขางผูกพันกับนองคนนี้เพราะเปนคนที่คุยสนุก
และคุยกันรูเรื่องดี พวกเธอคุยกันทุกวันจนรูสึกเหมือนกับจะขาดอะไรไปถาวันไหนไมไดคุยกัน
ทั้งคูมีโอกาสไปไหนมาไหนดวยกันบอยๆ แตยังไมไดมีเพศสัมพันธกัน จนวันหนึ่งจูนก็เปนฝาย
6
เปนโปรแกรมสนทนาออนไลนผานอินเทอรเน็ต ซึ่งมีการแบงออกเปนหองสนทนาตางๆ ใหผูที่สนใจสามารถเขามาสนทนาพูดคุย
กันไดตามความสนใจของตน
76

เริ่มเอยถามนองโอในลักษณะหยอกเลนวาอยากมีอะไรกับเธอหรือไม เนื่องจากเธอดูทาทางนองโอ
เปนคนขี้อายและไมกลาเปดเผยความรูสึก จูนบอกวาเหตุผลที่เธอเปนคนถามนองออกไปกอนวา
เปนเพราะเธอรูสึกชอบเขาและตองการมีเพศสัมพันธกับเขา

“สําหรับนองคนนี้เราคิดไวเลยวายังไงก็คงตองมีอะไรกัน ตั้งแตเริ่มคุยเริ่มไปไหนมา
ไหนกัน เพราะมันคอนขางจะผูกพันกันแลวไง จะถือวาเขาเปนแฟนคนแรกที่คบกัน
ยาวหนอยก็ได”

เมื่อไดฟงจูนถามเชนนั้นแลว นองโอก็เริ่มเขามาสัมผัสตัวเธอและเริ่มขั้นตอนการกอดจูบ
เธอในลักษณะกลาๆ กลัวๆ และทั้งคูก็มีเพศสัมพันธกันในวันนั้นเอง แตหลังจากคบหากันมาได
สั ก พั ก โอ ก็ เ ป ด เผยกั บ จู น ว า ตั ว เขาเองก็ มี แ ฟนอยู แ ล ว ซึ่ ง ทํ า ให จู น รู สึ ก ไม ดี อ ยู ไ ม น อ ยเพราะ
เธอเองก็ ยั ง เชื่ อ ในเรื่ อ งของความสั ม พั นธ แ บบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย ว และรู สึ ก สงสารผู ห ญิ ง อี กคน
ที่เปนแฟนของนองโอดวย แตสุดทายแลวความผูกพันและอารมณความรูสึกที่มีตอนองโอก็ทําให
เธอยอมอยูในสภาพของ “ชู” จูนบอกวาที่นองโอมาสารภาพกับเธอ เพราะเขารูสึกผิดที่ทําเหมือน
กําลังหลอกทั้งตัวเธอและแฟนของเขาดวย เขาจึงใหเธอเปนคนตัดสินใจวาจะทําอยางไรตอไป
ซึ่งจูนก็ตัดสินใจวาเธอจะคบกับเขาตอ แตเปนลักษณะของการแอบคบเพื่อไมใหแฟนของนองโอ
รูเรื่องนี้ เพราะเธอก็รูสึกดีกับนองโอและความสัมพันธครั้งนี้มากๆ จนยังไมอยากจะเสียเขาไป

“สุดทายก็ตัดสินใจคบแตเปนลักษณะแอบคบ เพราะคิดวายังไงสุดทายก็ตองเลิกกัน
เดี๋ ย วเราก็ ต อ งกลั บ บ า นอะไรแบบนี้ แล ว เราก็ รู สึ ก ว า มั น น า จะควบคุ ม ได น ะ
ความสั ม พั น ธ ใ นครั้ ง นี้ คื อ เราก็ ส ามารถอยู ข องเราเงี ย บๆ ได ไม ทํ า ให น อ งคนนั้ น
เดือดรอน ไมไปยุงกับเขา เราสามารถเปนคนเลวที่รักเธอ7 อะไรแบบนี้ [หัวเราะ]”

แมเธอจะยอมรับวาบางครั้งเธอก็รูสึกหึงหวงหรือนอยใจบางเวลาที่นองโอไมสามารถ
มาหาเธอได แตเธอก็ทําใจและเขาใจวาเพราะเธอเปนคนเลือกที่จะอยูในความสัมพันธแบบนี้เอง
อีกทั้งเธอยังตั้งใจแลววาจะทําใหความสัมพันธครั้งนี้จบลงเมื่อเธอยายไปทํางานที่กรุงเทพฯ และ
7
เพลง “คนเลวที่รักเธอ” (พ.ศ. 2548) ของ ปนัดดา เรืองวุฒิ อัลบั้ม “ดอกไมกับเปลวไฟ” เปนศิลปนจากคายแกรมมี่ (Grammy)
ซึ่ ง มี เ นื้ อ หาของเพลงเกี่ ย วกั บ คนที่ ถึ ง แม จ ะมาที ห ลั ง ในความสั ม พั น ธ แต ก็ ข อยอมเป น อั น ดั บ สอง เพราะขอแค ไ ด รั ก
ไดอยูใกลชิดก็รูสึกพอใจแลว โดยจะขอยอมเปนคนเลวที่ไดรักมากกวาเปนคนดีที่ไมมีความสุข เพราะไมไดอยูใกลชิดกัน ซึ่งเพลงนี้
ถูกตอตานจากนางระเบียบรัตน พงษพานิช ดวยเหตุผลวามีเนื้อหาสอไปทางผิดศีลธรรม โดยจูนไดยกเอาเพลงนี้ขึ้นมาประกอบกับ
เรื่องราวของเธอเนื่องจากมีเนื้อหาที่ตรงกันพอดี
77

ไม ไ ด เ จอกับ เขาอี ก โดยที่ เธอไม รู ว า น องโอเ องก็เ ตรียมตัว ยา ยไปเรี ย นที่ กรุง เทพฯ เหมือ นกั น
แตเขายังไมไดบอกเธอเพื่ออยากจะทําใหเธอประหลาดใจ เมื่อเขามาบอกเธอวาเขาจะขอเจอเธออีก
ตอนไปอยูที่กรุงเทพฯ แลว จูนจึงปฏิเสธเขา เพราะเธอรูสึกสงสารแฟนของนองโอที่เธอรูมาวา
ช ว งหลั ง ๆ ทั้ ง คู มี ปญ หาทะเลาะกั นบอ ยๆ เพราะนอกจากเธอแล ว น อ งโอยั ง แอบคบกั บ ผูห ญิ ง
คนอื่นๆ อีกดวย และในตอนนั้นเธอกําลังคิ ดวาอาจจะมีการเริ่มตนสานความสัมพันธ กับผูชาย
อีกคนหนึ่งที่เธอรูจักผานทางอินเทอรเน็ตดวยเชนเดียวกัน เพราะเธอกําลังมองหาความสัมพันธ
ที่จริงจังที่นองโอคงไมสามารถใหแกเธอได เนื่องจากเขาไมเคยพูดวาจะเลิกกับแฟน และเธอก็
ไมตองการใหเขาบอกเลิกกับแฟนเพื่อมาคบกับเธอดวย จูนบอกวาในเมื่อเธออยากจะเริ่มตนจริงจัง
กับผูชายคนใหม เธอก็อยากจะสะสางปญหาความสัมพันธที่ไมลงตัวใหเรียบรอยเสียกอน

“เราก็เริ่มอยากจะจริงจังกับใครซักคนแลว เพราะยังไงกับนองคนนี้ก็ไมมีทางเปนไปได
อยูแ ล ว ในเมื่ อเขาก็ยัง คบกั บแฟนเขาอยูแ ล ว จะใหเราไปบอกว า ให เ ขาเลิกกั บแฟน
มาเปนแฟนเรา เราก็ไมทําหรอก แลวถาเราจะเริ่มจริงจังหรือเปนแฟนกับผูชายคนนี้แลว
เราก็คิดวาเราควรจะตองซื่อสัตยกับเขากอน ตองเคลียรปญหาตัวเองใหเรียบรอยกอน
ไมใชวาจะยังเปนชูกันอยูร่ําไปแบบนี้ คือมันไมเหมือนกับคนอื่นที่มีอะไรกันแลวจบ
แต มั น มี เ รื่ อ งความสั ม พั น ธ ท างใจด ว ยไง น อ งเขาก็ เ หมื อ นจะเสี ย ใจอยู เ หมื อ นกั น
คงผิดหวังเพราะอุตสาหจะไดมาอยูที่กรุงเทพฯ ดวยกัน”

สาเหตุ ที่ เธออยากจะยุติค วามสั มพั นธ กั บน องโอ ใ ห เ รี ยบรอ ยกอนที่จ ะไปเริ่มต นกั บ
คนใหมที่เธออาจจะจริงจังดวยนั้น เปนเพราะเธอรูสึกวานองโอคือคนที่เธอยังรักและรูสึกดีดวย
มากๆ แตถาหากเธอไปเริ่มตนสานสัมพันธกับคนใหมแตยังคงคิดอะไรกับนองโออยู เธอมองวา
นั่นคือการไมซื่อสัตยหรือเปนการนอกใจแฟนใหมเธอไดเลยแมจะไมไดมีเพศสัมพันธกับนองโอ
แลวก็ตาม ซึ่งแตกตางจากการที่ เธอไปแอบมีอะไรกับผูชายอีกคนหนึ่งขณะที่คบกับนองโออยู
ซึ่งเธอมองวานั่นคือความสัมพันธเพียงชั่วครั้งชั่วคราวที่ไมไดมีความหมายอะไร เพราะเธอไมได
รูสึกอะไรกับผูชายคนนั้น

“ตอนนั้นเรายังคบกับ โออ ยูดว ยซ้ํ า คือพอนองโอบอกเราว า เขามีแฟนอยูแลว ใชมั้ย


เราก็เหมือนอารมณอยากจะมีคนอื่นบาง ก็เลยมีอะไรกับคนนี้ซะเลย ก็เจอกันผานการ
แชตนั่นแหละ แตก็คุยกันไปคุยกันมาตั้งนานแลวนะนะ พอหลังจากนั้นก็หายกันไป
กลายเปนนานๆ โทรมาที สองเดือนโทรครั้งอะไรแบบนี้ แตตอนนี้ก็ไมมีอะไรแลว”
78

เนื่องจากจูนไดนําเอา “ความรูสึก” ของตัวเองมาเปนตัวกําหนดวัดความซื่อสัตยของ


ตัวเอง หรือเปนตัวตัดสินวาตัวเองกําลังนอกใจคนรักของตัวเองหรือไม ซึ่งถาหากเธอคิดวาตัวเอง
ไม ไ ด รู สึ ก อะไรกั บ ผู ช ายคนอื่ น ที่ เ ธอมี ค วามสั ม พั น ธ ด ว ยนอกเหนื อ จากคนรั ก ของเธอ
จูนก็ไมนับวานั่นคือการนอกใจคนรัก เพราะเธอยังคงรักคนรักของเธอแตไมไดรูสึกอะไรกับผูชาย
คนอื่น แตในกรณีที่เธอตองการไปสานความสัมพันธกับผูชายคนใหมอยางจริงจัง เธอจึงตองการยุติ
ความสัมพันธที่หมายรวมถึงความรูสึกดีที่มีตอนองโอเสียกอน เพราะถาหากเธอยังไมสามารถตัดใจ
จากน อ งโอ ไ ด เธอก็ มี ค วามรู สึ ก ว า เธอกํ า ลั ง นอกใจคนที่ จ ะเป น แฟนใหม ข องเธอแน น อน
จึงอาจกลาวไดวาเธอไมไดใหความสําคัญกับเรื่องทางกาย มากเทากับเรื่องทางใจหรือความรูสึก
ที่เธอมีตอคนรักของเธอที่จะเปนตั วตัดสินเรื่องของความซื่อ สัตย หรือ การนอกใจ เชนเดียวกั บ
ในกรณีของน องโอที่มามี ความสัมพันธ กับเธอลั บหลังแฟนของเขา เนื่อ งจากเธอมองวาเพราะ
นองโอเองก็มีความรูสึกดีกับเธอเชนเดียวกัน เธอจึงรูสึกไมสบายใจและรูสึกผิดตอแฟนของเขา
ถึ ง แม จู น จะได พ บและพู ด คุ ย กั บ น อ งโอ บ า งตอนที่ เ ขาย า ยมาเรี ย นที่ ก รุ ง เทพฯ แล ว
แตเธอก็ระมัดระวังไมใหความสัมพันธของทั้งสองเกินเลยมากไปกวาการเปนเพื่อน เพราะตัวเธอ
ไดตัดสินใจแลววาควรจะตองเปนไปแบบนี้ จูนบอกวาจริงๆ แลวเธอก็เสียดายความสัมพันธครั้งนี้
เพราะน อ งโอ เ ป น ผู ช ายที่ เ ธอรู สึ ก ดี ด ว ยมากๆ เธอไม เ สี ย ใจเลยที่ ไ ด เ จอและได มี อ ะไรกั บ เขา
แต ด ว ยความรู สึ ก ที่ ลึ ก ๆ แล ว ถ า หากเธอจะมี ค วามรั ก เธอก็ ยั ง อยากจะให เ ป น ความสั ม พั น ธ
ที่ใหความมั่นคงกับเธอได จึงทําใหจูนใหเหตุผลกับการยุติความสัมพันธในครั้งนี้วาเปนเพราะ
เธอไม ส ามารถอยู ใ นรู ป แบบของความสั ม พั นธ เ ชิ ง ซ อ นได อี ก ต อ ไป เพราะมั นไม ส ามารถให
ความแนนอนหรือมั่นใจในระยะยาวกับเธอได เห็นไดจากการที่เธอก็ยังมีความรูสึกนอยใจเขา
ในบางครั้งที่เขาอยูกับแฟนเขาดวย แมในชวงแรกเธอจะยอมตอรองกับกรอบดังกลาวดวยการ
ยินยอมอยูในรูปแบบของความสัมพันธซอน แมจะตองหลบๆ ซอนๆ ไมสามารถแสดงออกไดมาก
เพื่อแลกเปลี่ยนกับความรูสึกอบอุนใจที่ไดรับจากนองโอ ซึ่งจู นบอกวาถาหากเขายังไมมีแฟน
เธอก็คงจะสานสัมพันธกับเขาไดมากกวานี้จนถึงขั้นเปนแฟนกันอยางเต็มตัว

“ถ า หากเป น อย า งนั้ น ก็ ค งคบกั น เป น แฟนอย า งจริ ง จั ง ไปแล ว เพราะจริ ง ๆ แล ว
เราก็แอบหวังลึกๆ นะ ใหเขาเลิกกันเอง ไมใหเลิกกันเพราะเราเปนสาเหตุ เราเลยตอง
ทําทุกวิถีทางไมใหใครรูเรื่องเรากับนองคนนี้ [นองโอ] มาก กลัวเรื่องมันจะรั่วไปถึง
หูแฟนเคา”
79

การที่ จู น เป น ฝ า ยเลื อ กต อ งยอมถอยห า งออกจากความสั ม พั นธ ข องเธอและน อ งโอ


นับเปนการยอมรับวา อยางไรเสียความสัมพันธเชิงซอนก็ไมสามารถใหความมั่นคงทางจิตใจได
อยางเต็มที่ และเธอก็ยอมรับวาตัวเธอเองก็ตองการความสัมพันธที่จริงจังและจับตองไดมากกวา
เธอจึงเลือกไปสานตอความสัมพันธกับผูชายคนใหมแทน ซึ่งก็คือ ‘อั้ม’ นั่นเอง
โดยในระหวางที่จูนรูจักกับโอนั้น เธอก็ไดรูจักกับอั้มดวยเชนกัน อั้มเปนผูชายที่เธอ
เริ่มตนความสัมพันธดวยรูปแบบของเพื่อนทางจดหมาย แตในที่สุดก็ไดพัฒนากลายมาเปนคนรัก
คนใหมของเธอ จูนรูจักกับอั้มผานทางการเลนแชตมาตั้งแตตอนที่เรียนจบใหมๆ และเปนชวงที่
ยังไมไดเริ่มหางานทํา จากการพูดคุยกันทางการแชตแคครั้งเดียว โดยเธอทิ้งที่อยูทางไปรษณียไวให
และบอกวาถาอยากรูจักกันมากกวานี้ก็ใหเขียนจดหมายมาหา ซึ่งอั้มก็เขียนจดหมายมาหาเธอจริงๆ
โดยที่จดหมายฉบับแรกมีความยาวถึงเจ็ดหนากระดาษ

“เราก็ไ มอ ยากจะเชื่ อเหมือ นกันวา เขาจะเอาจริงขนาดนี้ จดหมายของเขาก็ เ ขี ยนมา


แนะนําตัวเองวาเขาชื่ออะไร อายุเทาไหร เรียนอยูที่ไหน ที่บานเปนยังไง คือบอกขอมูล
เราหมด ทีนี้เราก็เลยเขียนตอบกลับไปบาง โดยเลาเรื่องราวของตัวเราเองใหเขารูบาง
ก็ มี ก ารติ ด ต อ กั น ทางจดหมายมาเรื่ อ ยๆ เป น แบบ pen friend กั น แล ว ก็ มี โ ทรศั พ ท
คุยกัน สงรูปใหกันดูบาง เราก็สงรูปเราใหเขาดูเหมือนกัน หนาตาเขาก็ดีนะที่เห็นจาก
ในรูปนะ”

เธอคุยกับอั้มทางจดหมายและทางโทรศัพทมาเปนระยะเวลาเกือบสี่เดือน ตั้งแตตอนที่
เธอเรียนจบใหมๆ และยังวนเวียนอยูแถวๆ มหาวิทยาลัย ซึ่งเปนชวงเวลาเดียวกับที่เธอรูจักและ
มีความสัมพันธกับนองโอดวย และเมื่อเธอไปหางานทําที่กรุงเทพฯ อั้มก็ขอนัดเจอเธอเพราะตัวเขา
เองก็เรียนอยูที่กรุงเทพฯ เชนเดียวกัน แตเปนการนัดเจอที่จูนบอกวาไมคอยตื่นเตน เพราะเธอเคย
เห็นรูปของเขามากอนและมีการพูดคุยกันมาพอสมควรแลว และในครั้งแรกที่เจอกันเธอก็ยังไมได
คิดอะไรกับเขาเปนพิเศษ เนื่องจากเธอยังคงมองเขาเปนเหมือนเพื่อนคนหนึ่งอยู ในครั้งที่สองของ
การนัดเจอกัน อั้มก็ชวนเธอไปเที่ยวที่หองของเขา เนื่องจากเคยบอกเธอวามหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู
นั้นอยูหางจากตัวเมืองกรุงเทพฯ มาก เหมือนเปนอีกจังหวัดหนึ่งเลย บรรยากาศรอบขางก็เปนทุงนา
ตองนั่งรถไปไกลมาก เธออยากไปเห็นจึงตกลงใจไป ซึ่งจูนก็คิดไวในใจแลววาถาไปที่หองเขา
ก็คงตองไดมีอะไรกันแนนอน และก็เปนไปตามที่เธอคิดทั้งๆ ที่ในตอนนั้นเธอเองก็ยังไมไดรูสึกรัก
หรื อ ชอบอั้ ม แบบเป นแฟน แต ด ว ยความคุ น เคยที่ มี ใ ห กั น และอารมณ เ ป น ตั ว พาไป ทํ า ให เ ธอ
มีเพศสัมพันธกับเขาที่หองของเขาในวันนั้นเอง
80

“ตอนนั้นก็คิดไวนะวาถาไปเนี่ยตองไดมีอะไรกันแนๆ ซึ่งก็มีจริงๆ ทั้งๆ ที่ตอนนั้น


ยังไมไดรูสึกชอบเคาแบบแฟนหรืออะไร แตวาดวยความที่คุยกันมานาน แลวอารมณ
มันก็พาไป ก็เลยมีซะเลย [หัวเราะ]”

หลังจากนั้นจูนก็รูสึกวาอั้มแสดงอาการหวงเธอมากขึ้น และแสดงความเปนเจาของเธอ
มากขึ้น จนเธอตองเอยถามเขาวาสรุปแลวเขาคิดกับเธออยางไร ซึ่งเขาก็ดูเหมือนจะเคืองกับคําถามนี้
ของเธอ เพราะเขาถามเธอกลับวา “นี่ยังไมรูอีกเหรอวาเรารูสึกยังไงกับเธอ?” เธอกับเขาจึงตกลง
เปนแฟนกันนับแตนั้นมา เมื่อมาถึงตรงนี้เราอาจจะมองเห็นลักษณะสวนตัวของจูนประการหนึ่งคือ
เธอคิ ด ว า ตั ว เองสามารถมี เ พศสัม พั นธ กั บ คนที่ เ ธอไม ไ ด รู สึ กรั ก ได เพราะเธอมองว า เรื่ อ งเพศ
เป น เครื่ อ งมื อ หนึ่ ง ที่ จ ะทํ า ให เ ธอบรรลุ ค วามต อ งการของตั ว เองได ส ว นผลที่ เ กิ ด ขึ้ น ตามมา
อาจจะเปนไปในรูปแบบไหนก็ขึ้นอยูกับเธอที่จะกําหนดใหมันเปนไป แตก็ตองเปนเพศสัมพันธ
ที่เกิดขึ้นภายใตเงื่อนไขที่ทําใหเธอเชื่อมั่นไดวาจะไมเกิดปญหาขึ้นกับตัวเอง ซึ่งเงื่อนไขสําคัญ
ประการหนึ่ง ของเธอก็คือ ในการจะตัดสิ นใจมี เพศสั มพั นธ กับ ใครนั้น แม จะไม ไดเ กิดขึ้นจาก
ความรัก แตอยางนอยตองมี “ความคุนเคย” กันอยูพอสมควร คือผานการพูดคุยทําความรูจักกัน
มาสักระยะหนึ่งกอน ไมใชลักษณะของการไปมีอะไรกับใครเมื่อไหรก็ไดหรือในลักษณะของ
one night stand ที่ตัวเธอไมรูจัก และไมสามารถควบคุมคนที่มีอะไรดวยได

“แตจริงๆ แลวสําหรับเรานะ การที่จะมีอะไรกับใครนี่ตองผานชวงทําความรูจักกันมา


ซักระยะหนึ่งกอน ไมใชวาจะไปมีกับใครแบบ one night stand ได เพราะถึงแมเราจะมี
อะไรกับคนที่เราไมไดรักได แตวามันตองมีความคุนเคยพอที่อีกฝายจะรูวาเราเปน
คนยังไง ตองมีการคุยกันกอน”

เนื่องจากความคุนเคยเปนสิ่งที่ทําใหจูนรูสึกมั่นใจไดวาคนที่เธอจะมีความสัมพันธดวย
นั้นเปนใคร มาจากไหน มีสภาพทางสังคมเปนอยางไร และเธอเชื่อวาการไดคุยกันมากอนจะทําให
ทั้งสองฝายตางเรียนรูความตองการของกันและกันได และเพื่อที่เธอจะไดรูวาเธอจะสามารถควบคุม
สถานการณไวไดแคไหน เชนสามารถที่จะตอรองในเรื่องการใชถุงยางอนามัยกับเขาไดหรือไม
เพื่อที่จะไมทําใหเรื่องเพศเปนปญหาแกตัวเธอในภายหลัง
ในชวงเวลาที่เธอคบกับอั้มนั้น จูนอาศัยอยูที่บานญาติซึ่งมีศักดิ์เปนพี่ชายของเธอ ผูเขียน
ตั้งคําถามกับเธอวาในการที่เธอออกไปไหนมาไหนหรือไปคางกับอั้มบอยๆ เธอใหเหตุผลกับพี่ชาย
ของเธอวาอยางไร เพราะเธอเคยบอกผูเขียนวาการที่เธอไดมีโอกาสมีเพศสัมพันธหรือมีแฟนแบบนี้
81

เปนเพราะเธอมาอยูไกลบาน เธอจึงมีอิสระที่จะทําอะไรตามที่ตัวเองตองการไดเต็มที่ แตเมื่อเธอ


ต อ งกลั บ มาอยู ใ นสายตาของญาติ ผู ใ หญ อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ตั ว เธอจั ด การกั บ สถานการณ นี้ อ ย า งไร
จู น บอกว า เธอต อ งโกหกพี่ ช ายว า เธอออกไปเที่ ย วหรื อ ไปค า งกั บ เพื่ อ นผู ห ญิ ง ของเธอ เพราะ
ถึ ง อย า งไร เธอก็ ไ ม อ ยากให พฤติ ก รรมของเธอเป นตั ว การทํ า ให ค นอื่ น มองพ อ กั บ แม ข องเธอ
ไปในทางไมดี

“ที่เราหวงนะ เราไมไดหวงวาพี่จะมองวาเราเปนผูหญิงไมดีหรืออะไร แตวาเรากลัวเขา


จะมองพอแมเราไมดีมากกวา ไมอยากใหคนอื่นมองพอกับแมเราวาเลี้ยงลูกสาวยังไง
ถึงไดไปนอนกับผูชายได แตถาลําพังแคตัวเราเนี่ย เราไมสนใจหรอก ใครจะพูดยังไง
ก็พูดไป”

ในความคิดของจูนนั้น ความกังวลถึง “ความรูสึก” หรือ “ชื่อเสียง” ของพอกับแมคือ


ตัวแทนของกรอบทางสังคม ที่เขามามีอิทธิพลตอวิธีการจัดการกับความสัมพันธของเธอกับคนรัก
เธอจึงพยายามแสดงออกใหเหมือนกับ “ผูหญิงดี” ที่วางตัวอยูในกรอบที่สังคมตองการ ดวยการใช
วิธีโกหกญาติวาเธอออกไปเที่ยวกับเพื่อนผูหญิง เพื่อไมใหญาติเปนหวงหรือมองวาเธอมีพฤติกรรม
ไมดี ซึ่งอาจสงผลกระทบตอพอแมของเธอได แตเมื่อเธอไดงานทําและตองใชเวลาเดินทางจากบาน
ญาติไปยังที่ทํางานเปนระยะเวลานาน และสิ้นเปลืองคาใชจายมาก เธอจึงตัดสินใจยายออกมาอยู
หอขางนอกเอง ประกอบกับที่อั้มมีปญหาเรื่องเรียนและตองดรอปเรียนเปนบางตัว เขาจึงยายออก
จากหอของตัวเองมาอยูกับจูนในลักษณะของการใชชีวิตอยูรวมกัน หรือที่เรียกวา “อยูกอนแตง”
โดยไมบอกใหที่บานรับรู

“ทีนี้ พอเราย า ยมาอยู ห อ ประกอบกับ ที่อั้ ม เป นช ว งดรอปเรี ยน เหลื อ ตัว เรี ยนแค ตั ว
สองตัวอะไรแบบนี้ เขาก็เลยบอกวา ‘อยางนี้ก็ไมตองเชาสองหอ ก็เชาแคหอเดียวพอ’
แลวเขาก็เลยยายมาอยูหองเราโดยที่ไมมีพอแมใครรูเรื่อง ก็คบกันอยูแบบปดๆ แบบนี้
ประมาณสองป จริงๆ ก็ไมเชิงปด เพียงแตไมไดเลาใหที่บานฟง เพราะวาชวงนั้นไมได
กลั บ บ า นก็ ไ ม ไ ด เ ล า ว า เรามี แ ฟนแล ว นะ ซึ่ ง เราก็ ค บกั บ อั้ ม นานที่ สุ ด นะ รวมแล ว
ประมาณสี่ป”

เพราะจูนเองก็รูวาความสัมพันธในรูปแบบดังกลาวของเธอกับอั้มนั้นเปนสิ่งที่ไมถูกตอง
เธอจึงไมบอกใหที่บานรับรูวาเธอมีแฟน เพื่อจะไดไมทําใหที่บานเปนกังวลหรือเดือดเนื้อรอนใจ
82

กับการกระทําของเธอ แตเธอก็มองวาความสัมพันธดังกลาวเปนความสัมพันธที่สอดคลองกับ
ความต อ งการของตั ว เองในขณะนั้ น คื อ เธอสามารถใช ชี วิ ต ร ว มกั บ คนที่ ตั ว เองรั ก ได ภ ายใต
องคประกอบอื่นๆ อยางเชนเปนการประหยัดคาใชจายที่แตละฝายไมตองแบกรับอยูฝายเดียวดวย
อยางไรก็ตาม แมวาจูนจะพยายามไมทําใหพอกับแมตองเดือดเนื้อรอนใจกับเรื่องเพศของ
เธอ โดยพยายามแสดงออกให ค นอื่ น เห็ น ว า ตั ว เธอเป น ลู ก สาวที่ ดี ข องพ อ แม ม ากแค ไ หน
แตก็มีเหตุการณที่ทําใหพอกับแมไดมารูเรื่องของเธอโดยบังเอิญ และเปนเหตุการณที่ตอกย้ําใหเธอ
รูวาพอกับแมไมไดเปดใจรับเรื่องแบบนี้ไดจริงๆ เหตุการณนี้เกิดขึ้นเมื่อเธอกลับบาน และมีโอกาส
ไปตรวจรางกายที่โรงพยาบาล และพยาบาลไดถามเธอวา “เคยมีอะไรกับผูชายมาบางหรือยัง?”
เมื่อเธอตอบคําถามนี้วาเธอเคยมีประสบการณมากอนและแมของเธอมาไดยินคําตอบของเธอพอดี
ปฏิกิริยาของพอกับแมหลังจากนั้นทําใหเธอรูสึกผิดและเสียใจมากกับสิ่งที่ตัวเองไดทําลงไป

“แล ว ที นี้ แ ม เ ราก็ เ ดิ น มาข า งหลั ง เราพอดี แม ก็ ไ ด ยิ น คํ า ตอบพอดี เราก็ พู ด ไม อ อก
เหมือนกัน แมเงียบไปเลย เหมือนวาจะรองไหนิดๆ ดวยแลวคงไปบอกพอ พอก็เงียบ
แลวพูดแควา ‘ลูกมีพอมีแมนะ...’ เราเองก็เสียใจ กลับมากรุงเทพฯ ก็รองไหที่ทําให
เขาเสียใจ เรารูสึกไมดีเลย”

พอพูดกับเธอวาพอเสียใจมากที่ลูกสาวของพอทําตัวแบบนี้ เพราะพอมักจะสอนหลานๆ
คนอื่นๆ เสมอใหทําตัวใหดี แตเมื่อลูกสาวของตัวเองมาทําตัวแบบนี้พอจึงผิดหวังและเสียใจมาก
คําพูดของพอก็ทําใหจูนเสียใจมากไมแพกัน แตเมื่อกลับมาที่กรุงเทพฯ แลว เธอก็พยายามตอสูกับ
ความรูสึกผิดนี้และบอกตัวเองวา จากนี้ไปเธอจะตองระมัดระวังตัวเองใหดี ไมทําตัวใหเกิดปญหา
ใหพอกับแมผิดหวังเสียใจเปนอันขาด

“แต ห ลั ง จากนั้ น เราก็ ก ลั บ มาใช ชี วิ ต ตามปกติ เราแค บ อกกั บ ตั ว เองว า ในอนาคต


ไมวาจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไมใหเกิดเหตุการณแบบทองกอนแตงอะไรแบบนี้เด็ดขาด
เราจะตองทําใหชีวิตตั วเองประสบความสํา เร็จให ไดมากที่สุ ดกอน เราถึงจะมี หนา
ไปพูดกับเขาวาเราคิดแบบนี้นะ วาเราไมจําเปนจะตองแตงงานก็ได จริงๆ แลวเราอาจจะ
ทองโดยที่ยังไมแตงงานก็ได แตวาตองไมใชตอนอายุเทานั้น ไมใชตอนที่ยังไมมีงานทํา
เราแคคิดวาใหเราพรอมทุกอยาง สามารถเลี้ยงลูกของตัวเองได ดูแลครอบครัวตัวเองได
โดยที่ ไม ตองพึ่ง เขากอน ให แนใ จวา เราสามารถประคองชีวิ ตตั ว เองอยูไดน ะ ถึ งจะ
ไมแตงงานก็ตาม”
83

ในเมื่ อ ตั ว เธอเองไม ส ามารถจะทํ า ตามความต อ งการที่ แ ท จ ริ ง ของพ อ กั บ แม ไ ด แ ล ว


เธอจึงเลือกที่จะดําเนินชีวิตตอไปตามแนวทางตัวเอง โดยพยายามประนีประนอมกับความรูสึกของ
พอแมดวยการระมัดระวังตัวเองเพื่อไมใหเกิด “ปญหา” ใดๆ และเพื่อทําใหเธอมีความสุขกับชีวิต
ของตัวเองมากที่สุด เธอตั้งใจวาเรื่องเพศนอกการแตงงานของเธอจะตองไมทําใหใครเดือดรอน
เปนอันขาด จูนบอกวาไมวาจะอยางไรก็ตาม เธอจะตองมีเพศสัมพันธที่ “ปลอดภัย” เพื่อไมให
พอแมตองมาเดือดรอนกับปญหาของเธอ เพราะการที่พวกทานไดมารับรูเรื่องของเธอโดยไมได
ตั้งใจก็เปนการทําใหพวกทานเดือดรอนใจมากแลว เธอจะพยายามไมทําใหพวกทานเปนกังวล
กับตัวเธอในเรื่องดังกลาวอีก
ตอมาภายหลังเมื่อปญหาเรื่องการเรียนของอั้มเริ่มหนักหนามากขึ้น จนสุดทายเขาตอง
ยายกลับไปเรียนที่บานตางจังหวัดแทน ทําใหจูนกับเขาตองอยูหางกันไป ซึ่งระหวางนั้นเขาก็ขอให
เธอไปเยี่ยมเขาที่บานอยูหลายครั้ง ตอนแรกเธอเองก็รูสึกประหมาที่จะตองเปนฝายไปหาเขาถึงบาน
และไมรูวาที่บานเขาจะมีปฏิกิริยากับเธออยางไร แตเธอก็รูสึกวาการตองอยูหางกันแบบนี้จะไมเปน
ผลดีกับความสัมพันธของพวกเธอแนๆ อยางนอยควรตองไดเจอหนากันบางเดือนละครั้งก็ยังดี
เธอจึงตัดสินใจไปหาเขาที่บาน และพอเธอไปถึงก็ไดรับการตอนรับจากพอของอั้มเปนอยางดี
ทําใหเธอคลายความกังวลใจที่มีอยูลงไปได

“ที่ ตั ด สิ น ใจไปหาครั้ ง แรกตอนนั้ น ไม ไ ด คิ ด อะไรมาก แค คิ ด ว า จะต อ งไปหาแล ว


แลวเราก็ไมแนใจวากอนหนานั้นที่บานอั้มจะรูเรื่องของเรารึเปลา แตวาเราจะไปแลวไง
เขาก็เลยตองบอกพอวาจะมีคนมาหานะ เปนแฟนของอั้มเอง แลวพอเราไปถึงบานเขา
พอก็ไมไดมาถามอะไรมากเลยนะ พูดถึงเรานับถือพอเขามากเลยนะเพราะเขาแคถามวา
‘เปนคนที่ไหนลูก? แลวทําไมไปเรียนไกล?’ แคนี้ สวนใหญก็จะนั่งดูทีวีกัน แลวก็
คุยเรื่องขาวในทีวีกันมากกวา”

แมวาในตอนแรกจูนจะพยายามไมคิดอะไรมาก แตเธอก็แอบมีความกังวลอยูลึกๆ เพราะ


กลัววาที่บานของอั้มจะไมตอนรับและไมรูวาพวกเขาจะมองเธออยางไร เนื่องจากเธอก็ยังคงรูสึกวา
การกระทําของเธอเปนสิ่งที่ขัดกับความเปนผูหญิงดีที่สังคมยอมรับ แตเมื่อเธอไดรับการตอนรับจาก
พอของอั้มเปนอยางดี ก็ทําใหเธอรูสึกสบายใจมากขึ้นวาพอของอั้มก็ไมไดแสดงปฏิกิริยาตอตานเธอ
แตอยางใด เธอจึงไปหาเขาที่บานอีกหลายครั้ง แตจูนบอกวาอั้มก็ไมไดพาเธอไปเปดตัวกับฝายแม
ของอั้มที่เลิกรากับพอของเขา และแยกไปอยูกับปาที่บานอีกหลังหนึ่ง เพราะอั้มบอกวาปาของเขา
เปนคนดุมากและคงรับเรื่ องแบบนี้ ไมไดแนๆ เขาจึงไม กลา พาเธอไปหาแมของเขา จนกระทั่ ง
84

อั้มไปกอเรื่องกอราวที่ทําใหเขาไมสามารถอยูบ านได ต องยายที่อยูไปเรื่อยๆ และเปลี่ ยนเบอร


โทรศัพทเพื่อหลบหนีจากปญหาดังกลาว ทําใหการติดตอระหวางทั้งสองคนคอนขางขาดหายไป
เพราะจูนตองรอใหอั้มเปนฝายติดตอเธอมาเอง
ในช ว งที่ อั้ ม เริ่ ม ห า งหายไปจากชี วิ ต ของเธอโดยมี ก ารติ ด ต อ กลั บ มาแค น านๆ ครั้ ง
ที่ทํา งานของเธอก็รับพนักงานใหมเขามา เปนชายหนุ มที่อายุนอ ยกวา เธอสามป และเปนคนที่
แสดงออกใหเธอรูวาเขาสนใจในตัวเธอ โดยจูนเลาวา ‘กบ’ บอกกับเธอวาเขาประทับใจเธอตั้งแต
วันแรกที่เขาเขามาทํางาน

“วันนั้นเปนวันประชุมออฟฟศ เขาก็เพิ่งเขามาทํางานใหมใชไหม ก็จะตองมีการแนะนํา


วามีพนักงานใหมมาทํางานนะ ก็จะนั่งที่โตะประชุมหันหนาเขาหากัน แลวเพื่อนเรา
ซึ่งเปนรุนพี่ที่มหาวิทยาลัยของเขาก็มาบอกทีหลังวา วันนั้นนะ กบกวาดตามองทุกคน
แล ว ก็ ส ะดุ ด ตาที่ เ รา แล ว ก็ ม าถามเพื่ อ นเราว า ‘คนเสื้ อ สี ช มพู ค นนี้ ใ คร?’ แต
เพื่อนรวมงานคนอื่นๆ ก็บอกเขาไปวา เรานะมีแฟนแลว นองเขาก็เศราไป”

ตอนนั้นจูนยังไมไดเลิกกับอั้ม แตความสัมพันธของทั้งคูก็อยูในสถานะที่คลุมเครือเพราะ
อั้มหายตัวไป และนานๆ ครั้งจึงจะติดตอเธอมาสักครั้งหนึ่ง นองกบก็เริ่มทําคะแนนกับเธอดวยการ
ขอติดสอยหอยตามเธอและเพื่อนรวมงานคนอื่นๆ ไปไหนมาไหนดวย หรือการมาหาเธอที่โตะ
ทํา งานโดยหาข ออา งเชนมาขอใชเครื่องพริ้ นเทอร ของเธอ ซึ่งเธอก็รับ รู ถึง จุดประสงคของเขา
แต ก็ ยั ง ไม แ น ใ จมากนั ก เพราะน อ งกบยั ง ไม ไ ด เ อ ย ปากพู ด ออกมาตรงๆ และเธอเองก็ ม องว า
เธออายุมากกวานองหลายปชนิดที่วา “นองชายแทๆ ของเรายังแกกวามันเลย” เขาคงไมไดมาชอบ
อะไรเธอได บวกกับที่ตอนนั้นเธอเองก็ยังไมไดเลิกกับอั้ม เธอจึงคิดวาเรื่องนี้คงไมมีทางเกิดขึ้นได
อยางไรก็ตาม จูนบอกวามีเหตุการณสําคัญสองครั้งที่ทําใหเริ่มเธอแนใจมากขึ้นวานองกบคงมีใจ
ชอบเธอจริ ง ๆ เพราะเขาเริ่ ม พู ด จาแปลกๆ กั บ เธอในวงกิ น ข า วและเป น คํ า พู ด ที่ แ สดงออกว า
เขาสนใจเธออยู

“แตวาครั้งนี้นองเขาทําใหเรารูสึกวาเริ่มมีอะไรแปลกๆ แลว คือวันนั้นพวกเราก็คุยเรื่อง


ลูกหมากัน แลวกบก็จะเปนแบบเด็กงองแงงอยูแลวใชไหม ทีนี้เขาก็พูดประมาณวา
เหมือนแทนตัวเองเปนพอหมา แลวเราก็พูดเลนเหมือนกับวา ‘ถาไดลูกมานะ ขอไปเลี้ยง
ตัวนึงละกัน’ นองกบก็ตอบกลับมาวา ‘ถาจะเอาจริงก็เอาพอมันไปเลี้ยงดวยนะ’ เราก็เลย
‘เอะ! ยังไงนะ?’ เพราะเราก็พูดประโยคเดียวกับคนอื่นๆ พูด แตนองเขาก็ไมไดตอบ
85

กลับ คนอื่น ๆ เหมือ นที่ ตอบกลั บเรา เราก็ เ ลยชัก เริ่ มแปลกๆ แต ก็ ยั งนึ กว า พู ดเลนๆ
ไม ไ ด อ ะไร แล ว มามี ค รั้ ง ที่ ส องไปกิ นสุ กี้ เ อ็ ม เคกั น เราก็ คุ ยเล น ๆ ในวง แล ว น อ งก็
เป น ผู ช ายคนเดี ย วที่ ไ ปกิ น ด ว ย ก็ คุ ย กั น เรื่ อ งแฟน น อ งเขาก็ บ อกว า ‘ยั ง ไม มี แ ฟน
เมื่อกอนมีแตตอนนี้ยังไมมี’ เราก็เลยถามตอวา ‘แลวชอบผูหญิงแบบไหน?’ นองก็จะ
บายเบี่ยงตอบประมาณวา ‘เดี๋ยวก็รูเอง’ แลวก็มองหนาเราแบบมีความหมาย”

จากนั้นเขาก็วางแผนขอเบอรโทรศัพททุกคนที่อยูในโตะอาหารในวันนั้น รวมถึงเบอร
ของจูนดวย และโทรศัพทหาเธอในเชาวันรุงขึ้นทันทีเพื่อทําทีเปนสอบถามเรื่องรายการโทรทัศน
ที่เขากําลังดูอยูวากําลังถายทอดเนื้อหาที่เกี่ยวของกับคณะที่เธอเรียนจบมาหรือไม ซึ่งจูนก็พยายาม
คิดวาที่เขาโทรมาก็เพราะเรื่องของรายการโทรทัศนในเชาวันนั้นเทานั้น แตหลังจากวันนั้นนองกบ
ก็โทรมาหาเธอทุกวันเพื่อปลุกใหเธอไปทํางานเร็วๆ จะไดไปกินขาวเชาดวยกัน และเมื่ออยูใน
ที่ ทํ า งาน เขาก็ พยายามลงมาหาเธอที่ โ ตะ ทํ า งานอยูบ อ ยๆ จู น บอกว า ในขณะนั้ น เป นช ว งที่ อั้ ม
เริ่มหายตัวไปโดยโทรหาเธอเดือนละครั้ง เพื่อบอกใหรูสั้นๆ วาตอนนี้เขาอยูที่ไหน และเธอไมมี
โอกาสไดพูดคุยกับเขามากเท า ที่ค วร ทํ า ใหเธอเริ่ มคิ ดมากกับความสั มพันธ ระหวางเธอกั บอั้ม
วาจะเปนอยางไรตอไป จูนยอมรับวาการที่นองกบเริ่มเขามาสนิทสนมกับเธอในชวงนี้ทําใหเธอ
หายเครียด หายกังวลกับเรื่องของเธอกับอั้มไปไดมาก

“นองเขาก็เขามาพอดีในชวงนั้นแลวทําใหเราหายเครียดไปไดเยอะมาก เพราะเขาเปน
คนขําๆ เปนคนซื่อและใสมากๆ อยูดวยแลวอารมณดี ทําใหเราหัวเราะได”

การเขามาของผูชายคนใหมทําใหจูนตองเริ่มตนตอรองกับความรูสึกของตัวเองอีกครั้ง
เพราะมัน อาจจะกลายมาเป นรู ป แบบความสั ม พั นธ เ ชิ ง ซ อ นได แตเ ป น ความสั ม พั นธ เ ชิ ง ซ อ น
ที่เริ่มตนจากการตัดสิ นใจของตัวเธอเอง 8 และในตอนนั้นเธอยังคงมีสถานะเปนแฟนกับอั้ มอยู
แต เ ป น ความสั ม พั น ธ ที่ เ ธอเริ่ ม รู สึ ก ว า ไม ส ามารถมอบความมั่ น คงทางจิ ต ใจและตอบสนอง
ทางอารมณใหกับเธอไดอีกตอไป และทําใหเกิดคําถามวาอนาคตของเธอกับเขาจะเปนอยางไร
ตอไป ในขณะที่นองกบผูซึ่งเขามาใหมไดแสดงใหจูนเห็นวาเขาสามารถมอบสิ่งเหลานั้นใหกับ
เธอได เพียงแต ดวยขอจํากัดหลายอยา งที่เธอตระหนัก ไมวา จะเปนเรื่องอายุของเธอที่มากกวา

8
ซึ่งแตกตางจากเรื่องของเธอกับนองโอเพราะตอนที่เริ่มคบกับนองโอนั้นเธอไมรูวาเขามีแฟนอยูแลว และเมื่อมารูภายหลังเธอก็
ตัดสินใจคบตอเพราะเธอรูสึกวาตัวเองผูกพันและรักเขามากจนไมอยากสูญเสียความรูสึกตรงนั้นไป
86

น อ งเขา หรื อการจั บ ตามองของผู คนรอบข า งในที่ ทํ า งาน ทํ า ให เ ธอต อ งชั่ ง ใจว า จะทํ า อย า งไร
กับความสัมพันธที่กําลังจะเริ่มตนใหมครั้งนี้
ฝายนองกบเริ่มแสดงออกใหเธอเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ วาเขารูสึกอยางไรกับเธอ ทั้งคูเริ่มไป
กินขาวและดูหนังตามลําพังบอยครั้งขึ้น จนมาคืนหนึ่งที่เธอมารอนั่งเปนเพื่อนนองกบที่รานกาแฟ
ใกลๆ บริษัท เพราะเขาตองรอไปขึ้นรถที่บริษัทตอนตีสี่เพื่อไปทํางานตางจังหวัด เธอนั่งคุยกับเขา
จนรูสึกงวงและจะขอตัวกลับไปนอน นองกบยืนยันวาจะไปสงเธอที่หองพักกอนแลวเขาจะกลับมา
นั่งรอที่บริษัทเองคนเดียว เมื่อไปถึงหองของเธอ จูนก็ชั่งใจวาจะชวนเขาขึ้นไปนอนรอบนหองกอน
ดีหรือไม จนในที่สุดเธอก็ชวนนองกบใหขึ้นไปนั่งฆาเวลาบนหองของเธอ สาเหตุที่เธอตัดสินใจ
ชวนเขาขึ้นมาบนหองเพราะจูนมั่นใจวาตัวเธอเองสามารถกําหนดสถานการณได วาจะใหมีอะไร
เกิดขึ้นหรือไม อยางไร ทุกอยางขึ้นอยูกับการตัดสินใจของเธอในคืนนั้น

“ตอนนั้ น เราคิ ด ว า จะมี อ ะไรหรื อ ไม มี อ ะไรเนี่ ย มั น ขึ้ น อยู กั บ เราแล ว ว า จะยั ง ไง
ใหมีหรือไมมี เราก็เลยตัดสินใจชวนเขาเพราะก็สงสารนองวาจะเขาไมมีที่ไป ก็ชวนวา
‘ให ไ ปรอที่ ห อ งก อ นละกั น ใกล ๆ เวลาแล ว ค อ ยออกมา’ น อ งก็ แ บบ ‘ได เ หรอ?
จะดีเหรอ?’ เราก็เลยบอกวา ‘ก็แลวแตละกันนะ เราจะนอนแลว’ นองก็เลยเขามาในหอง
เรา แต ไ ม ก ล า มานั่ ง บนเตี ย งนะ นั่ ง ดู ที วี อ ยู ที่ พื้ น นั่ น แหล ะ เราก็ เ ลยชวนมานั่ ง
บนเตี ย ง บอกว า ‘จะนอนเลยก็ ไ ด น ะ เดี๋ ย วตั้ ง นาฬิ ก าปลุ ก ไว ’ เขาก็ เ ลยขึ้ น มานอน
บนเตียง ก็นอนคุยกันแบบเปดใจถึงความรูสึกของกันและกัน”

แม ว า ในคื น นั้ น ทั้ ง สองคนจะไม ไ ด มี อ ะไรกั น แต ต า งก็ ไ ด เ ป ด ใจให อี ก ฝ า ยรั บ รู ถึ ง
ความรู สึกที่ มี อ ยูข า งใน เพราะเธอเองก็ไม ได คาดหวั ง กั บ ความสั ม พั นธ ระหว า งเธอกับ น อ งว า
จะพัฒนาไปไดแคไหน ขอแคเปนความรูสึก “หวามๆ” ที่ไดอยูใกลชิดกันก็พอ เธอจึงตัดสินใจวา
จะยังไมใหมีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น จูนบอกวาในตอนนั้นเธอเองก็ยังรักอั้มอยู แตเปนความรักที่
เหนื่อย เครียด เพราะไมรูวาตอไปขางหนาจะเปนอยางไร ในชวงนั้นเธอรองไหใหกับอั้มบอยมาก
เพราะบางครั้ ง เขาก็ พูดจารุนแรงกับ เธอ ในขณะที่ เ มื่ ออยู กับน องกบเธอรูสึ กอบอุ นใจ ไม เ หงา
ไมเครียด และเมื่อเธอเปดเผยความรูสึกของเธอกั บนองกบไปแลว เธอก็ตั้งคําถามกับตั วเองวา
จะทําอยางไรตอไป เธอจะคบหรือรักกับผูชายในเวลาเดียวกันสองคนเลยหรือ แตสุดทายเธอก็
ปลอยใหเปนไปตามความรูสึกของตัวเอง
87

“พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ กบก็โทรหาเราทันที บอกวา ‘คิดถึง อยากเจอ มาหาไดไหม?’


แตระหวางที่นองไมอยูก็คุยโทรศัพทกันตลอดนะ คุยบอยดวย ตอนนั้นเราก็เริ่มคิดมาก
แลววาจะทํายังไงตอไปดี เราจะมีแฟนสองคนเหรอ แตสุดทายก็ เอาวะ! ปลอยใหมัน
เปนไป ใหมันคลี่คลายของมันเอง”

การที่ จู น ยอมเป ดใจรั บ น อ งกบเข า มาในชี วิต ตอนนั้ น เป น เพราะเธอเริ่ ม มองเห็ น ว า
การพัฒนาความสัมพันธกับเขาจะสามารถใหในสิ่งที่เธอตองการไดมากกวาการที่ตองเปนฝาย
นั่งคอยความหวังในเรื่องเหลานี้จากสถานการณของอั้มที่ยังไมมีอะไรแนนอน สวนผลที่จะเกิดขึ้น
ตามมาหลังจากนี้นั้นจูนก็ไมรูวาจะเปนอยางไร สิ่งที่เธอจะทําไดก็คือทําใหความสัมพันธของเธอกับ
นองกบพัฒนาไปในทางที่เธอตองการ
ดังนั้น ภายหลังจากที่กบกลับมาจากตางจังหวัดไดไมนาน จูนก็ตัดสินใจมีเพศสัมพันธ
กั บ เขา ซึ่ ง เธอบอกตั ว เองว า ในเมื่อ เธอก็ ชอบเขาและไม ไดเ ป น “สาวบริ สุ ทธิ์ ” อยูแ ลว จึ ง ไม มี
ความจําเปนที่จะตองดึงรั้งไวอีก อีกทั้งเธอเคยมีประสบการณไมดีมาจากเรื่องของโตที่เมื่อคบกันไป
สักพั ก โตก็เ ปลี่ ยนไปเปนทํ า ไม ดี กับ เธอ ซึ่ ง เธอคิ ดว า หากนอ งกบเป นคนแบบนั้นก็ จ ะไดรีบ ๆ
แสดงออกมาใหรูกันไปเลย ไมตองปลอยเวลาใหยืดยาวออกไป และหลังจากนั้นนองกบก็ยายมา
อยูรวมหองกับเธอ

“เพราะเราตัดสินใจไปวาไมรูเราจะรอทําไม จะยื้อเวลาไปทําไมที่จะมีอะไรกัน เพราะ


เราก็ไมใชผูหญิงบริสุทธิ์ เมื่อตัดสินใจคบก็คบกันไปเลย ดีไมดียังไงก็จะไดรูกันไปเลย
เพราะเราก็เปรียบเทียบกับเรื่องโตไงวาถามาทําไมดีใสเราก็รีบๆ ทําเลย จะไดรูเร็วๆ”

การมองตัวเองของจูนวาไมใชผูหญิง “บริสุทธิ์” ก็เปนการสะทอนความเชื่อของสังคม


ที่มองวาคุณคาของผูหญิงอยูที่ “พรหมจารี” ถาสูญเสียไปแลวก็คือการหมดคา หรือไมเหมือนเดิม
อีกตอไป อยางไรก็ตาม ถามองอีกดานหนึ่งก็จะเห็นวา เมื่อจูนคิดวาในเมื่อเธอเองก็สูญเสียคุณคา
ที่ ผูกติ ดกับ ความบริสุ ท ธิ์ ไปแลว เธอก็ส ามารถนํา เอาประเด็ นนี้ม าเป นตั ว ชว ยในการตั ดสิ นใจ
ใหความสัมพันธระหวางเธอกับนองกบดําเนินไปอยางที่ตัวเธอตองการไดเชนกัน โดยไมจําเปน
ตองรออะไรอีก
ถึงแมวาจูนจะเคยมีพฤติกรรมแบบที่คนภายนอกอาจจะมองวาเปนการ “นอกใจ” แฟน
[นอ งโอ ] มากอ น เพราะเธอไปมี เ พศสั มพันธ กับ ผู ช ายคนอื่ น ระหวา งที่ ยัง เป นแฟนกั บคนนี้ อ ยู
แตในตอนนั้นเธอไมไดคิดวาสิ่งที่เธอทําคือการนอกใจแฟน เพราะเธอไมไดรูสึกอะไรกับผูชายอื่น
88

ที่ เธอไปมีอะไรด ว ย และเธอยึดถื อกั บเรื่ องของความซื่ อ สัต ย ทางจิ ตใจหรื อความรูสึ กมากกว า
พฤติ ก รรมทางกายตามที่ ไ ด กล า วไปแล ว แต ใ นครั้ ง นี้ จู น กลั บ รู สึ ก วิ ต กกั ง วลเกี่ ย วกั บ รู ป แบบ
ความสัมพันธระหวางเธอกับอั้มและนองกบวาจะเปนไปในทิศทางใด เปนเพราะตัวเธอมีความรูสึก
ให กั บ ทั้ ง สองคน เธอจึ ง กั ง วลไม รู ว า จะจั ด การกั บ ความสั ม พั น ธ นี้ อ ย า งไร แต สุ ด ท า ยเธอก็
ใหค วามสํ า คัญ กั บ ความรูสึ กของตั ว เองที่ มี ต อนองกบ มากกว า ที่จ ะพยายามรั กษารู ป แบบของ
ความสั ม พั น ธ แ บบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย วไว แต ก ารตั ด สิ น ใจดั ง กล า วก็ ทํ า ให เ ธอต อ งต อ สู กั บ
ความรูสึกผิดในใจที่มีตออั้มดวยเชนกัน

“ตอนที่มีอะไรกับกบนะ บอกตรงๆ วาไมไดคิดถึงอั้มเลย แตวาหลังจากนั้นก็มาคิดนะ


คือกอนหนา นี้เราก็มีผูชายมาตลอดนะ แตวา เรารูอยูแกใจตลอดไงวา ความสัมพันธ
มันจะอยูแคไหน แตกับกบนี่เหมือนมันจะลึกซึ้งกวานั้น คือเขาก็พูดไงวา ‘เราจะมาคบ
เปนแฟนกันนะ เราจะอยูดวยกันนะ เราจะชวยกัน’ แตกับผูชายคนอื่นๆ ที่เรามีอะไรดวย
ตอนคบกับอั้มอยู เชนโตที่เราจะเรียกมาเวลาที่เราอยาก หรือกับผูชายคนอื่นๆ ที่เรารูจัก
ผา นการแชต เรารู สึกว า กั บคนเหลา นั้ นเราสามารถแยกแยะได แต เรื่องเรากั บกบนี่
เราก็คิดหนักเหมือนกัน ประมาณรูสึกผิดตออั้มนะ”

เพราะเธอเองก็ยังอาลัยอาวรณกับความรูสึกของตัวเองที่มีตออั้ม แมวาเขาจะหายหนาไป
ไมโทรหาเธอในระยะหลังๆ แตดวยความที่ทั้งคูก็คบกันมานาน เธอเองก็เคยมีความคิดวาชีวิตนี้
คงจะรักใครนอกจากอั้มไมไดอีกแลว และคงจะหยุดตัวเองอยูที่อั้ม เนื่องจากทั้งคูผานอะไรดวยกัน
มามากและรูใจกันดี แตเมื่อนองกบเขามาก็ทําใหเธอเปลี่ยนความคิดตรงนี้ไป แตอยางไรก็ตาม
เธอก็ ยังคิ ดว า อั้มคือแฟนของเธออยู แม วา จู นจะกํา ลังเริ่มสานสัมพันธ กับ กบ เธอก็ไ มกลาที่ จ ะ
บอกเลิกกับอั้มกอน เพราะเธอสงสารเขาแมวาเธอจะไมรูเลยวาสถานการณของเขาจะเปนอยางไร
หรือเขาจะมีคนใหมดวยหรือไม เธอจึงตองปลอยใหเรื่องราวเปนไปตามสถานการณ และจากการ
ตัดสินใจคบกับกบในขณะที่ยังเปนแฟนกับอั้มอยูนั้น นอกจากจะตองเผชิญกับความรูสึกผิดในใจ
ของตัวเองแลว จูนยังตองรับมือกับปฏิกิริยาจากคนรอบขาง ทั้งเพื่อนรวมงานและกลุมเพื่อนสนิท
ของเธอ เพราะทุ ก คนต า งรู ดี ว า จู น มี แ ฟนแล ว จู น บอกว า ในช ว งที่ พ วกเธอเริ่ ม แสดงตั ว ว า
เปนแฟนกัน เธอตองเจอกับคําซุบซิบนินทาของคนในที่ทํางานและมีอยูครั้งหนึ่งที่หัวหนาตองเรียก
พวกเธอเขาไปคุ ยเกี่ยวกั บเรื่อ งนี้ แตเธอก็ตั้งใจไวอยูแลววา จะไมยอมใหเ รื่องความรักของเธอ
มามีผลกระทบกับงานที่ทําอยูแนนอน
89

“มีบางชวงที่เครียดๆ หัวหนาตองเรียกเขาไปเคลียรเลยนะ แตที่นี่จริงๆ แลวก็ไมไดมี


กฎห า มพนั กงานมี ค วามรั กกั น หรอกนะ แต ว า มั น เคยมี ป ญ หาไงที่ มี ค นในออฟฟ ศ
เปนแฟนกัน แลวพอเลิกกันไปก็ทํางานกันแทบไมไดเลย คือพี่เขาก็ไมหามหรอกนะ
แตขออยางเดียววาอยาเสียงาน เขาก็พูดตรงๆ เลย ในฐานะพี่ดวย คืออาบน้ํารอนมากอน
เขาก็เ ขา ใจว า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได แต เราก็ตั้งใจไวแ ลว วาจะไมใหมั นสงผลกระทบ
ถึงเรื่องงานจริงๆ”

แต จู น บอกว า เธอยั ง โชคดี ที่ มี ค นที่ เ ข า ใจสถานการณ ข องเธออยู บ า ง เพราะบางครั้ ง


เมื่อเธอมี ปญหากับ อั้ม เธอก็มานั่งรอ งไหปรับ ทุกขกับเพื่อนผูหญิงที่สนิทในที่ทํางาน ซึ่งเพื่อน
ก็เขาใจในเรื่องราวของเธอ และเมื่อเธอเริ่มคบกับนองกบและโดนคนบางกลุมในที่ทํางานซุบซิบ
นินทาหรือพูดกระทบ เพื่อนของเธอก็จะไปชวยพูดแกใหคนเหลานั้นเขาใจ หรือในบางครั้งที่เธอ
มี ป ญ หากั บ กบจนไม มี อ ารมณ ทํ า งาน เพื่ อ นก็ จ ะเข า มาช ว ยเหลื อ จู น มองว า ถ า หากไม มี ค นที่
ใหความเขาใจตรงนี้ เรื่องของเธอกับนองกบก็อาจจะจบลงเร็วกวาที่คิดก็ได และเมื่อเวลาผานไป
เกือบสองเดือน กระแสการตอตานจากคนในที่ทํางานเริ่มลดนอยลงไป จูนบอกวาที่กระแสตอตาน
ซาลงไปอาจเปนเพราะมีอยูวันหนึ่งเธอไดพูดออกมาในที่ประชุมวา “จริงๆ แลวก็ไมมีใครรูไงวาเรา
เลิ กกับ อั้ มรึ ยัง ? เราอาจจะเลิ กกั บ อั้ มไปตั้ง นานแล ว ก็ ไ ด เพี ยงแตเ ราไม ไ ดเ อามาป า วประกาศ
ใหใครรูเทานั้นเอง” เพราะเธอเริ่มเบื่อที่มีคนซุบซิบนินทาและจับตามองแบบนี้ และการพูดของเธอ
ในครั้งนั้นก็ทําใหคนในที่ทํางานมองเธออยางเขาใจมากขึ้น

“เราพูดในที่ประชุมเลยนะ เพราะวามันรําคาญนะ พูดอยูได แลวเราก็ไมไดไปแอบคบ


กันดวย คบก็คบใหเห็นแบบนี้ กลับบานพรอมกัน เราไมไดกดดันกับคําซุบซิบนินทานะ
แต เ ราแค รํ า คาญ จริ ง ๆ เราก็ รู ว า เขาไม มี อ ะไรหรอก ก็ แ ค นิ สั ย อี แ ก ขี้ นิ น ทาน ะ
คนออฟฟศนี้ก็คอนขางเปนผูหญิงๆ อยูแลวไง เราก็รูวาพื้นฐานลึกๆ เขาก็เปนคนดี ก็คง
แคซุบ ซิบกันตามประสาผูหญิ งนะ แตวา เราไมเ ขา ใจวาทําไมเรื่องแคนี้ก็ตองเอามา
นินทากันดวย”

วิธีการที่จูนเลือกใชเพื่อจัดการกับการแสดงออกของคนในที่ทํางานนั้นคือ การพยายาม
ทําใหผูอื่นรับรูวาตัวเธอเองไมไดละเมิดแนวทางของสังคมดวยการนอกใจแฟนแตอยางใด แตเปน
ความสั ม พั นธ ที่ เ กิ ดขึ้ น ในระหว า งที่ เ ธอเองก็ ไ ม ไ ด มี อ ะไรกั บ อั้ ม แล ว ซึ่ ง ถื อ เป นการดึ ง ตั ว เอง
ใหกลับมาอยูในกรอบของสังคมอีกครั้ง เหมือนกับวิธีการโกหกที่เธอใชกับญาติในกรณีของอั้ม
90

และนอกจากเพื่อนในที่ทํางานแลว จูนก็ตองเจอปฏิกิริยาจากกลุมเพื่อนสนิทของเธอดวย เธอบอกวา


เพื่อนของเธอแคแปลกใจเล็กนอยเมื่อรูเรื่องนี้ แตพวกเขาก็เขาใจเพราะเคยรับรูเรื่องราวและตัวตน
ของเธอมาโดยตลอด

“แต กั บ เพื่ อ นสนิ ท ที่ เ รี ย นมาด ว ยกั น ของเรานี่ พวกเพื่ อ นๆ ก็ จ ะโวยวายเล็ ก น อ ย


ตามประสา แตดวยความที่มันรูสันดานเราดีอยูแลววาเราเหี้ย มันก็ไมวาอะไร มันก็บอก
ใหรักกันดีๆ เพราะมันก็ไมอยากใหเราเจ็บ กลัวกบมาทําเราเจ็บ”

เพราะจูนเองก็รูวาคนอื่นๆ นั้นมองการกระทําของเธอที่ผานมาวาไมใชสิ่งที่ถูกตองนัก
โดยเฉพาะเรื่องที่เธอไปมีอะไรกับผูชายคนอื่นนอกเหนือจากคนที่เธอคบอยูดวยหลายตอหลายครั้ง
ซึ่งเธอก็ใหเหตุผลกับประเด็นนี้วาที่เธอทําลงไปนั้น เธอไมถือวาเปนการนอกใจแฟน เพราะเธอ
ไม ไ ด รู สึ ก อะไรกั บ ผู ช ายคนอื่ น ๆ เลย แต เ ธอจะรู สึ ก ผิ ด มากกว า หากว า ในการมี อ ะไรกั น นั้ น
เธอมีความรูสึกกับผูชายคนอื่นๆ ดวย เหมือนที่เธอกําลังรูสึกกับกบอยูนี้

“เราวาเราก็ซื่อสัตยกับอั้มนะ เพราะกับผูชายแตละคนที่เขามานี่คือเราไมไดรักเขาเลย
เราตัดเซ็กสออกไปเลย แยกเซ็กสกับความรักออกจากกัน เรามองวาความรูสึกก็คือ
ความซื่อสัตย แต การกระทํา นั่นเปนอี กเรื่องหนึ่ง กับผู ชายคนหนึ่ง ที่เรามีเ ซ็กส ดว ย
แลวเรารูสึก คนนั้นก็คือเปนแฟนเรา แตกับผูชายคนอื่นๆ คือเราก็แคมีเซ็กสดวยเฉยๆ
อย า งกรณี น อ งกบเนี่ ย คื อ เรารู สึ ก กั บ เขาด ว ย เราก็ เ ลยรู สึ ก แย รู สึ ก ผิ ด อย า งวั น นี้
อั้มก็โทรมานะ บอกวา ‘ตอนนี้กลั บมาอยูบา นแลว ขอใหเ ราไปหาที่บ านไดไหม?’
เราก็ บ า ยเบี่ ย งไปเรื่ อ ยๆ ว า งานยุ ง บ า ง อะไรบ า ง เพราะเราคิ ด ว า ถ า ไปหาเขานี่
ตองไดมีอะไรกันแนๆ เราไมอยากมีกับอั้มแลวไง อยูดีๆ มันก็รูสึกแบบนี้ขึ้นมา เพราะ
ตอนนี้ใจเราเริ่มเอนเอียงมาทางกบมากกวา”

ป จ จุ บั น จู น ยั ง คงรั ก ษาความรั ก ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งเธอกั บ น อ งกบไว ในขณะที่


เรื่ อ งราวของเธอกั บ อั้ มเหมื อ นจะยุ ติ ล งโดยปริ ย าย เพราะเธอมองแล ว ว า เสน ทางของพวกเขา
คงไมมีทางจะมาบรรจบกันได เธอจึงตัดสินใจเลือกที่จะยายไปทํางานกับนองกบที่ตางจังหวัด
โดยยังคงรูปแบบของการใชชีวิตอยูรวมกันเหมือนเดิม อยางไรก็ตาม เธอไดมองขามไปถึงอนาคต
ขางหนาของตัวเองซึ่งจะตองตอรองกับกรอบของพอแม หรือกรอบของสังคมในเรื่องรูปแบบของ
การแตงงานดวย เพราะเธอรูวาความตองการที่แทจริงของตัวเองเปนอยางไร และมันแตกตางจาก
91

ความคาดหวัง ของพ อกั บแมอ ย า งไร ซึ่ง เธอก็ ห วั งวา ในท า ยที่สุ ดแล ว พ อกั บ แมค งจะเข า ใจใน
ความคิดของเธอดวยเชนเดียวกัน

“คือตอน ม.ตนเราก็เคยมีความคิดวาจะรอคนที่ใช อยากจะแตงงานตอนอายุเทานั้นเทานี้


ก็เปนการเพอฝนตามการตูนญี่ปุน ตามละครอะไรแบบนี้ แตพอขึ้นม.ปลายก็ไดเรียนรู
อะไรมากขึ้ น ไมไ ด เ ห็ นความสํ า คั ญ ของการแต ง งานอีก แลว เรามองว า จริง ๆ แล ว
รูปแบบระหวางผัวเมียมันก็มีหลากหลาย มันไมจําเปนที่จะตองแตงงานหรืออยูดวยกัน
ไปจนตาย แตเราก็คิดเหมือนกันนะวาการที่เราคิดวามันเปนแคการมาใชชีวิตรวมกัน
เฉยๆ แบบนี้ แ ล ว พ อ แม เ ราล ะ จะคิ ด ยั ง ไง คื อ การแต ง งานมั น ไม ใ ช แ ค เ รื่ อ งของ
คนสองคนแลว มันเปนเรื่องของครอบครัวทั้งสองครอบครัวเลย มันเปนเรื่องใหญนะ
แต ถ า เอาความคิ ด ส ว นตั ว ของเราเลยเนี่ ย มั น ก็ แ ค ก ารอยู ด ว ยกั น เลย อยู ด ว ยกั น ได
เปนการสรางครอบครัวเฉยๆ”

ในเมื่อการแตงงานเปนเรื่องของอนาคตที่ยังไมเกิดขึ้น จูนจึงเลือกที่จะทําชีวิตในปจจุบัน
ของเธอใหดีที่สุดตามวิถีทางที่เธอเปนคนเลือกเอง

สรุป
ถึ ง แม ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งานของผู ห ญิ ง ทั้ ง สองคนจะเป น เหมื อ น
พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการไมยอมทําตามกรอบ กติกา หรือความเชื่อของสังคมที่ตองการให
ผูหญิงไทยรักนวลสงวนตัว หรือไมมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน แตก็ไมไดหมายความวาพวกเธอ
จะเป นอิส ระหรือปลดปลอ ยตัวเองออกจากการควบคุมของสังคมไดโดยสิ้นเชิ ง เพราะภายใต
การดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานนั้น พวกเธอตางก็มีการเลือกหรือการตอรองกับกรอบ
ความเชื่อในเรื่องเพศของสังคมที่อยูในรูปแบบตางๆ กันอยูตลอดเวลา ไมวาจะเปนความรูสึกของ
ตัวเอง ความคาดหวังหรือความรูสึกของพอกับแมหรือแม หรือความตองการของคูรักหรือคูนอน
ของพวกเธอ ซึ่งตางก็สะทอนใหเห็นถึงความคาดหวังในการแสดงออกในเรื่องเพศของพวกเธอ
ที่แตกตางกันออกไป และมีอิทธิพลตอการเลือกใหความสําคัญกับเหตุผลที่พวกเธอนํามาตัดสินใจ
ในการดําเนินความสัมพันธทางเพศแตละครั้งดวย โดยผูเขียนจะไดอภิปรายถึงรายละเอียดตางๆ
เหลานี้ในบทตอไป
บทที่ 5
เรื่องเพศที่ชอบธรรมและการตอรอง

การถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นเพศวิถีในสังคมนั้นมักเกี่ยวของกับการใหความหมายวา
พฤติกรรมทางเพศแบบใดที่ถูก/ผิด ยอมรับได/ยอมรับไมได ซึ่งการใหความหมายดังกลาวถูกผูกติด
กับฐานคิดในเรื่องเพศที่ชอบธรรมซึ่งเปนรูปแบบของการมีความสัมพันธทางเพศที่สอดคลองกับ
ลักษณะตามธรรมชาติของชายหญิงและอยูภายใตกฎเกณฑตางๆ ของสังคม โดยมีผูคนในสังคมคอย
กํากับ/ควบคุมพฤติกรรมของตนเองและผูอื่นใหอยูในวิถีปฏิบัติที่เปน “ปกติ” ในขณะเดียวกันก็มี
การตอรอง/โตแยงกับบางแงมุมของกรอบดังกลาวดวย (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2549: 26)
จากการจัดลําดับมาตรฐานพฤติกรรมทางเพศของคนในสังคม เรื่องเพศที่มีคุณภาพที่
สังคมยอมรับไดนั้น จะตองเปนเรื่องเพศที่เกิดขึ้นระหวางเพศตรงขามภายใตการแตงงานอยูใน
รูปแบบผัวเดียวเมียเดียว เปนไปเพื่อการเจริญพันธุและตองเปนความสัมพันธที่ไมใชเพื่อการคาแต
เกิดจากความรัก และมีความผูกพันเขามาประกอบดวย (Gayle Rubin, 1982: 280) แนวคิดดังกลาว
เกิดจากฐานคิดที่มองเรื่องเพศในเชิงลบและตองพยายามจํากัดควบคุมเรื่องเพศของคนใหอยูใน
กรอบหรือแนวทางปฏิบัติเพื่อใหเกิดประโยชนตอสังคมโดยรวมมากกวาที่จะเปนไปเพื่อความ
พึงพอใจสวนบุคคลแตเพียงอยางเดียว โดยสังคมไทยรับเอาอิทธิพลทางความคิดในการมองเรื่อง
เพศแบบวิคทอเรียน (Victorian sexuality) ผานทางการศึกษาในแบบตะวันตก รวมทั้งการนําเขา
วิทยาการ ความรู รูปแบบการปกครอง กฎหมาย หรือวิถีชีวิตจากสังคมตะวันตกโดยชนชั้นสูงและ
ชนชั้นกลางของสังคมตั้งแตสมัยรัชกาลที่หา ทําใหคนในสังคมเกิดความเชื่อวารูปแบบของเรื่องเพศ
นั้นมีมาตรฐานเพียงแคชุดเดียวและทุกคนควรจะตองปฏิบัติตาม (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2549:
28)1 อยางไรก็ตาม ในการดําเนินชีวิตของคนเราเมื่อไมสามารถปฏิบัติตามกรอบดังกลาวไดอยาง

1
ตัวอยางที่เห็นไดชัดสําหรับประเด็นนี้ก็คือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวซึ่งไมทรงโปรดฯ การมีมเหสีหลาย
พระองค เนื่ อ งจากพระองค ไดเ สด็จ พระราชดํา เนิ นไปทรงศึ ก ษาที่ ประเทศอั งกฤษตั้ ง แต ยัง ทรงพระเยาว ทรงซึ มซั บประเพณี
วัฒนธรรมของตะวันตกซึ่งเปนชาติศิวิไลซเปนอยางดี เพราะธรรมเนียมของชาวตะวันตกนั้นนิยมการมีภรรยาเพียงคนเดียว พระองค
จึงทรงตั้งพระราชหฤทัยไววาจะมีมเหสีเพียงพระองคเดียว และไดทรงพระราชนิพนธถึงเรื่องการมีภรรยามากไวในพระราชนิพนธ
เรื่อง เครื่องหมายแหงความรุงเรืองคือสถานภาพแหงสตรี วาถาหากผูชายยังนิยมการมีภรรยามากๆ และสามารถทิ้งขวางไดงายๆ ก็จะ
เปนการยากที่จะทําใหผูหญิงไดรับความเสมอภาคเทาเทียมกับผูชาย (เทพชู ทับทอง, มปป.: 78-80) ในป พ.ศ. 2457 พระองคจึง
โปรดเกลาฯ ใหประกาศกฎมณเฑียรบาลวาดวยครอบครัวแหงขาราชการในพระราชสํานักขึ้น มีขอความที่กําหนดสถานภาพของ
ภรรยาวาหมายถึง “หญิงที่ไดกระทําการแตงงานสมรสตามประเพณีเมือง หรือที่ชายเลี้ยงดูโดยใหอยูรวมเคหสถานและยกยองเชิดชู
โดยเปดเผย เพราะฉะนั้นหามมิใหรับจดทะเบียนหญิงนครโสเภณี หรือหญิงแพศยา หรือหญิงซึ่งชายสมจรดวยเปนครั้งคราวนั้น
93

ครบถวนทุกองคประกอบ แตละบุคคลจึงมีวิธีการจัดการกับความที่ไมสามารถสยบยอมตอกรอบ
แตกตางกันออกไป
สําหรับในบทนี้ ผูเขียนจะแบงการอภิปรายออกเปนสองสวนเพื่อตอบคําถามการวิจัย
ที่ตั้งไว ดังตอไปนี้
1. ผูหญิ งทั้ งสองคนนี้ มี มุมมองในเรื่องเพศอย า งไร สะทอ นให รูปแบบของเรื่องเพศ
ที่ชอบธรรมของสังคมอยางไรบาง
2. ในการดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานนั้น พวกเธอมีการตอรองกับกรอบเรื่องเพศ
ที่ชอบธรรมอยางไรบาง

1. มุมมองตอเรื่องเพศกับกรอบเพศที่ชอบธรรม

ในการเลาเรื่องชีวิตทางเพศนอกการแตงงานของผูหญิงทั้งสองคนนั้น ไดสะทอนใหเห็น
กรอบความคิดหรือความเชื่อในเรื่องเพศของพวกเธอ ที่เชื่อมโยงกับกรอบความเชื่อในเรื่องเพศ
ที่ ช อบธรรมชุ ด หลั ก ของสั ง คมอยู ห ลายประการ โดยสะท อ นผ า นมุ ม มอง วิ ธี คิ ด รวมไปถึ ง
พฤติกรรมการแสดงออกในเรื่องเพศของพวกเธอในลักษณะดังตอไปนี้

การนิยามความหมายเรื่องเพศ
จากเรื่องเลาประสบการณทางเพศของผูหญิงทั้งสองคนนี้ ไดสะทอนใหเห็นถึงความเชื่อ
ความหมายเรื่ อ งเพศของพวกเธอ ที่ ไ ด รั บ อิ ท ธิ พ ลจากระบบเพศวิ ถี ข องสั ง คมที่ กํ า หนดให
การมีเพศสัมพันธเปนรูปแบบของรักตางเพศ (heterosexuality) ซึ่งเกิดขึ้นระหวางหญิงกับชาย และ
เปนการรวมเพศที่มีการสอดใสอวัยวะเพศชายเขาไปในชองคลอดของผูหญิง (vaginal intercourse)
เทานั้น จึงจะถือวาเปนเรื่องเพศในความหมายของพวกเธอ ดังจะเห็นไดจากการที่แมวาพิมจะเคยมี
ประสบการณทางเพศกับรุนพี่ที่เปนผูหญิง แตเธอกลับบอกวาเธอไมนับวานั่นคือการ “เสียตัว”
แมวาจะเปน “ประสบการณทางเพศ” ครั้งแรกของเธอก็ตาม

เปนอันขาด” จากแนวพระราชดําริของพระองค และกฎมณเฑียรบาลที่ไดทรงพระกรุณาตราขึ้นนี้ไดกลายมาเปนแนวนโยบายของ


คณะราษฎรที่ยึดอํานาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 โดยไดออกกฎประกาศใหชายมีสิทธิจดทะเบียนสมรสกับภรรยา
ไดเพียงคนเดียว ซึ่งก็ยังคงปฏิบัติสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ (บุญยงค เกศเทศ, 2532: 7-8) ตัวอยางนี้ทําใหเห็นวาแนวทางของเรื่อง
เพศที่คนในสังคมควรปฏิบัตินั้นไดถูกผลิตสรางจากผูมีอํานาจในสังคม และยังมีการใชอํานาจทําใหผูคนคลอยตามและปฏิบัติตาม
แนวทางดังกลาวอีกดวย
94

“แตตอนนั้นเราไมไดรูสึกอะไรเลย ไมไดรูสึกวาเสียตง เสียตัวหรืออะไร เราไมนับ


คือเราถือวา just a finger tip นะ”

รวมไปถึงการที่เธอไมเคยตั้งคําถามกับความหมายของคําวาเสียตัวมากอน แตถาจะให
เธอตอบ การเสียตัวในความหมายของพิมก็คือการนอนกับผูชายหรือ “การเอากัน” นั่นเอง ดังนั้น
ถึงแมวาพิมจะเคยมี “ประสบการณทางเพศ” กับผูหญิงมาแลวก็ตาม แตเธอก็ไมไดมองวามันคือ
การมี เ พศสั มพั นธ แ ต อ ย า งใด เช น เดี ย วกับ จู น ที่ เ ธอไม เ คยมี ห รื อคิ ด จะมี ค วามสั ม พัน ธ ท างเพศ
กับผูหญิงดวยกันเลย ก็เปนการสะทอนใหเห็นวาพวกเธอยอมรับกับระบบความเชื่อความหมาย
เรื่องเพศของสังคม ที่กําหนดวาเพศสัมพันธที่ถูกตองชอบธรรมจะมีรูปแบบเปนความสัมพันธ
ที่เกิดขึ้นระหวางเพศตรงขามเทานั้น (Catherine A. MacKinnon, 1995) ซึ่งหากมองแบบแนวคิด
สตรี นิ ย มสายรากเหง า ก็ อ าจจะมองได ว า ความคิ ด ดั ง กล า วเป น ผลผลิ ต ของกลไกในระบบ
ปตาธิปไตยที่ทําใหเกิด “การเปนรักตางเพศภาคบังคับ” (compulsory heterosexuality) ในรูปแบบที่
เปนสถาบัน ดวยการสรางความเชื่อวาทุกคนเปนพวกรักตางเพศโดยกําเนิด ทําใหเรามองไมเห็น
หรือไมยอมรับความสัมพันธทางเพศในรูปแบบอื่นๆ ที่ไมใชความสัมพันธระหวางเพศตรงขาม
ที่ ไ ม ก อ ให เ กิ ด การเจริ ญ พั น ธุ โดยมองว า การมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ เพศเดี ย วกั น เป น เรื่ อ งผิ ด ปกติ
หรือเปนความเจ็บปวยในระดับปจเจกของบุคคลนั้นๆ แทน (Adrienne Rich, 1994: 40)
จากการคลอยตามในความหมายของเรื่องเพศตามระบบความเชื่อความหมายเรื่องเพศ
แบบดั ง กล า ว ทํ า ให พ วกเธอไม ป ฏิ เ สธ “ความสํ า คั ญ ของการมี เ พศสั ม พั น ธ ” ที่ ม าพร อ มกั บ
อุดมการณความรักแบบโรแมนติก ที่ทําใหพวกเธอเชื่อวา การมีเพศสัมพันธกับคนที่เธอรักนั้น
เปนวิถีทางที่จะทําใหไดมาซึ่งความรัก ความผูกพัน ความอบอุนและความมั่นคงในความสัมพันธ
(Shulamith Firestone, 1972: 149) มากกวาที่จะเปนเรื่องของการตอบสนองความตองการทางเพศ
ของรางกาย เชนเดียวกับการตอบสนองความหิวหรือกระหาย (Catherine A. MacKinnon, 1995:
138) และเมื่อ นํามารวมกับความเชื่อในรูปแบบของเรื่องเพศที่ถู กตองชอบธรรม ที่นําเรื่องของ
ความรั กมาเป นองค ป ระกอบสํา คั ญ เพื่ อทํ า ให คนเชื่ อ ว า เพศสั มพั นธ ที่ เ กิ ด จากความรัก เท า นั้ น
จึ ง จะเป น เพศสั ม พั น ธ ที่ มี คุ ณ ภาพและถู ก ต อ ง ทํ า ให เ รื่ อ งเล า ของพวกเธอสะท อ นมุ ม มอง
ที่มีการนําเอาเรื่องของความรักมาเกี่ยวพันกับเรื่องเพศดวยเชนกัน

เรื่องเพศกับความรัก
ในเรื่องเลาของทั้งสองคนนั้น ไดปรากฏรองรอยมายาคติ (myth) ของสังคมที่วา เรื่องเพศ
ที่ดีหรือมีคุณภาพ ตองเกิดจากความรักเทานั้นอยูอยางมากมาย สําหรับพิมนั้น การที่เธอปฏิเสธ
95

ที่จะมีเพศสัมพันธกับเพื่อนผูชายที่เรียนภาษาอังกฤษดวยกัน ทั้งๆ ที่เธอก็มองตัวเองวามีความพรอม


ทุ ก อย า งแล ว ในขณะนั้ น ยกเว น แต เ รื่ อ งของความรู สึ ก ที่ มี ต อ เขา ที่ ยั ง ไม เ พี ย งพอที่ จ ะทํ า ให
มีเพศสัมพันธดวย เธอคิดวาเธอไมสามารถมีเพศสัมพันธกับเขาโดยที่ไมไดรูสึกอะไรดวยได เพราะ
คงจะเป น เพศสั ม พั น ธ ที่ ไ ม ส ามารถทํ า ให เ ธอมี ค วามสุ ข หรื อ พึ ง พอใจได ซึ่ ง แตกต า งจาก
การมี เพศสั มพันธครั้ง แรกของเธอกับ พี่ หนึ่ งคนรักของเธอ ถึง แมวา จะเกิดขึ้ นจากการที่พี่ห นึ่ ง
พยายามทําใหเธอรูสึกวาถาหากเธอไมยอมมีเพศสัมพันธกับเขา ความสัมพันธของพวกเธออาจจะ
ไมมั่นคงอีกตอไป เธออาจจะไมไดรับความรักจากเขาอีกเพราะเขาอาจจะไปมีอะไรกับผูหญิงคนอื่น
ที่กําลังเขามาหาเขา และทําใหความรักของเธอสั่นคลอนไดก็ตาม แตการคํานึงถึงประเด็นดังกลาว
ก็ หมายถึง ว า ตั ว พิม ไดเ ชื่อและคิ ดแล ว ว า การมี เพศสั มพั นธ กับ เขาซึ่ง เปนคนที่เธอรัก จะทํ า ให
ความสัมพันธของเธอยังคงมั่นคง และเธอก็จะเปนเพียงผูเดียวที่ไดรับความรักจากเขา

“คือกอนที่จะยอมมีอะไรกับพี่หนึ่งครั้งแรกเนี่ย เราก็มีปญหากัน ทะเลาะ งอนกันไปมา


เพราะวามีผูหญิงอีกคนมาชอบพี่เขา เสร็จแลวเราก็คิดจะเลิกๆ ตั้งหลายที มีปญหาอะไร
อีกมากมาย แตพอดีวันนั้นก็มีเหตุอะไรไมรูใหพี่เขามารุกขอนอนกับเราอีกรอบ ก็ทําให
เราถลําลงไป ตกลงใจยอม”

เชนเดียวกันกับในกรณีของเธอกับพี่โก ที่ในบางครั้งเธอก็ตองยอมตามความตองการ
ที่จะมี เพศสั มพันธกับเขาทั้ง ๆ ที่เธอไมคอยเต็ มใจนั กเนื่องจากเขาอยูใ นอาการเมา แตเมื่อพี่ โก
หยิ บ ยกเอาเหตุ ผ ลว า การมี เ พศสั ม พั น ธ นี้ จ ะทํ า ให เ ขาไม ไ ปนอนกั บ คนอื่ น ซึ่ ง ก็ ห มายถึ ง
ความสั ม พั นธ ข องเธอกั บ เขาจะยั งมั่ นคงอยู และเธอจะยั ง คงเป น เพี ย งคนรั ก หนึ่ ง เดีย วของเขา
ซึ่งเปนสิ่งที่พิมตองการ ทําใหเธอตองยอมมีเพศสัมพันธกับเขาเพราะเห็นแกผลที่จะเกิดขึ้นตามมา
หลั ง จากนั้ น เช น เดี ย วกั บ การที่ พี่ ต อ หยิ บ ยกเอาเหตุ ผ ลว า เขารั ก เธอ มาเป น เงื่ อ นไขในการ
ขอมีเพศสัมพันธกับเธอในครั้งแรก ทั้งๆ ที่เธอคิดวาตัวเธอเองยังไมพรอม แตเธอก็ตองยอมตาม
เพราะเหตุผลเรื่องของความรักที่เขายกมาอาง การกระทําในลักษณะเชนนี้เปนการสะทอนรูปแบบ
ของเรื่องเพศวิถีที่มีลักษณะของการที่ผูชายเปนฝายครอบงํา (male dominance) และผูหญิงเปนฝาย
ตองสยบยอมตามความตองการ (female submission) (ibid.: 137) โดยมีเงื่อนไขของการตองการ
ความรัก ที่ถูกผูกติดกับการมีเพศสัมพันธเปนขอแลกเปลี่ยน ทําใหเธอเห็นวาถาหากความสัมพันธ
นั้นๆ อาจจะไมสามารถใหสิ่งเหลานี้ตอบแทนกลับมาสูเธอได พิมก็จะพยายามมองหาคนใหม
ที่ เ ธอคิ ด ว า เขาน า จะสามารถมอบความรั ก ความอบอุ น ความมั่ น คงทางใจให กั บ เธอได
เพื่อมาทดแทนความรูสึกจากคนเกาที่ขาดหายไป ไมวาจะเปนการเลิกกับพี่โกเพื่อมาคบกับพี่ตอ
96

การใหนองเอ็มมาเปนตัวชวยในการยุติความสัมพันธกับพี่ตอ และเมื่อคิดวาความสัมพันธของเธอ
กับนองเอ็มไมไดเปนไปตามที่เธอตองการ ยิมจึงกลายเปนตัวชวยที่ทําใหเธอสามารถบอกเลิกกับ
นองเอ็มไดงายขึ้น เปนตน ซึ่งลักษณะดังกลาวของพิมก็อยูในรูปแบบของการใหความสําคัญกับ
การมีเพศสัมพันธกับคนที่ตัวเองรัก เพื่อใหไดมาซึ่งความรักและความรูสึกอื่นๆ ตอบแทนกลับมา
เพื่อทําใหตัวเองมีความสุข
สวนฝายของจูนนั้น จากเรื่องเลาของเธอก็ทําใหเห็นวาประสบการณทางเพศสวนใหญ
ของเธอก็ ส ะท อ นความเชื่อ ในอุ ดมการณ ค วามรั ก แบบโรแมนติ ก ที่ นํ า ไปสู ก ารมี เ พศสั มพั นธ
ที่ตองมีองคประกอบเรื่องความรักดวยเชนเดียวกัน กลาวคือ ตอนที่เธอไดคบหากับโตเปนแฟนและ
มีความสัมพันธทางเพศกับเขา เธอบอกวาเธอไมไดรูสึกผิดเหมือนกับครั้งแรกที่เธอนอนกับแบงค
นั่นเพราะมีความแตกตา งอยูต รงที่ ในขณะนั้นเธอมีสถานภาพเป นแฟนกั บโต และเธอมองวา
การมีความสัมพันธกับคนที่เธอรักในครั้งนั้น ก็เปนไปตามเงื่อนไขของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของ
สังคม ซึ่งแตกตางจากการมีเพศสัมพันธครั้งแรกกับแบงค ที่ทั้งคูเหมือนเปนคนแปลกหนาตอกัน
และทําใหเธอรูสึกผิดอยูในใจลึกๆ เนื่องจากเปนเพศสัมพันธที่ไมไดเกิดขึ้นจากความรัก และไมได
นําไปสูความรัก ความสัมพันธที่มั่นคงนั่นเอง ถึงแมวามันจะเปนการมีเพศสัมพันธเพื่อตอบสนอง
ความอยากรู อ ยากลองของตั ว เธอเอง แต สุ ด ท า ยแล ว ก็ ไ ม ไ ด ทํ า ให เ ธอรู สึ ก ดี ห รื อ มี ค วามสุ ข
ได ทั้ง หมด และกลับแฝงไว ดว ยความรูสึกผิดหรื อความวิตกกังวลกับสิ่งที่ทํา ลงไป หรือกับผล
ที่อาจเกิดขึ้นตามมา เชนเดียวกับการที่จูนไดบอกกับผูเขียนในตอนแรกวาไมอยากเอยถึงเรื่องของโต
เพราะเธอรูสึกวาเหตุการณระหวางเธอกับโตที่เกิดขึ้นภายหลังนั้น เปนเรื่องของการมีเพศสัมพันธ
ที่ไมถูกตองในแงของความรูสึก ที่ถึงแมในตอนแรกเธอตั้งใจจะใหการมีเพศสัมพันธกับเขาเปนแค
การตอบสนองความตองการของตัวเอง ไปจนถึงเพื่อเปนการแกแคนในสิ่งที่เขาเคยทํากับเธอไว
แตสุดทายแลวเธอก็ตองเปนฝายรูสึกผิดในใจเสียเอง เพราะเธอมองวามันเปนการมีเพศสัมพันธ
ที่ไมไดนําไปสูองคประกอบอื่นๆ ที่ถูกตองตามความคิดของเธอเลย ซึ่งแทบจะไมตางจากความรูสึก
ที่เธอมีภายหลังจากการมีเพศสัมพันธกับผูชายคนอื่นที่ไมใชแฟนของเธอ เพราะถึงแมจูนจะบอกวา
ตัวเธอเองสามารถมีเพศสัมพันธกับคนที่ไมไดรักได แตสุดทายแลวในใจของเธอก็ยังมีความรูสึกผิด
เพราะเธอคิดวาเธอไมไดมีเพศสัมพันธกับคนที่เธอรักและรักเธอ แตเปนเพศสัมพันธที่เกิดขึ้นเพื่อ
ตอบสนองความพึงพอใจ ซึ่งเปนเหตุผลที่ไม เพียงพอสํา หรั บผูห ญิ งที่ อยูใ นสัง คมที่อุดมการณ
ความรักแบบโรแมนติกไดกลอมเกลาใหผูหญิงเชื่อวา การมีเพศสัมพันธควรผูกติดอยูกับเรื่องของ
ความรัก ความอบอุน ความมั่นคงทางอารมณและควรเกิดขึ้นกับคนที่เธอรัก [และรักเธอ] เทานั้น
ในขณะที่เพศสัมพันธที่ไมเปนไปตามนี้จะกลายเปนความรูสึกผิดในใจของตัวเอง หรือเปนเรื่อง
ที่ผิดในความคิดของคนในสังคม
97

นอกจากนี้ เรายั ง ไดเ ห็นความเชื่ อ ในเรื่ องของการผูก เรื่อ งเพศไว กับความรั กไดจ าก
ความพยายามของจูน ที่จะทําใหเรื่องเพศกลายเปนที่มาของความรัก ความอบอุน และความมั่นคง
ในความสัมพันธ ดวยการเปนฝายเริ่มตนที่จะทําใหเกิดการมีเพศสัมพันธระหวางตัวเธอกับคนที่เธอ
รู สึ กดี แ ละอยากจะสานสั มพั นธ กั บ เขา โดยไม ต อ งการเป น ฝ า ยรอให ฝ า ยชายเริ่ ม ต นก อ นด ว ย
ยกตัวอยางเชน การที่เธอเปนฝายเอยปากถามนองโอกอนวาอยากมีเพศสัมพันธกับเธอหรือไมนั้น
ก็เปนเพราะเธอรูสึกชอบและประทับใจในตัวของเขามาก และคิดวาการมีเพศสัมพันธกันนาจะ
ทําใหความสัมพันธของพวกเธอพัฒนาไปไดมากขึ้น

“สําหรับนองคนนี้เราคิดไวเลยวายังไงก็คงตองมีอะไรกัน ตั้งแตเริ่มคุยเริ่มไปไหนมา
ไหนกัน เพราะมันคอนขางจะผูกพันกันแลวไง จะถือวาเขาเปนแฟนคนแรกที่คบกัน
ยาวหนอยก็ได”

การเปนฝายเอยถามถึงเรื่องการมีเพศสัมพันธกอนของจูนนั้น หมายถึงการที่เธอไมได
เป น ฝ า ยสยบยอมตามความต อ งการของผู ช ายแต เ พี ย งอย า งเดี ย ว แต เ ธอเป น ฝ า ยเริ่ ม แสดง
ความตองการของตัวเองกอนไดดวย หากแตการเปนฝายเริ่มรุกกอนก็เปนไปตามความคิด ความเชื่อ
ของเธอที่วา การมีเพศสัมพันธกับนองโอในครั้งนี้จะเปนไปเพื่อใหไดมาซึ่งความรัก ความมั่นคง
และความอบอุนใจในความสัมพันธ เพราะถึงแมวานองโอจะมาสารภาพในภายหลังวาตัวเขาเอง
ก็มีแฟนอยูแลว แตจูนก็ไมไดคิดที่จะเลิกคบกับเขาแตอยางใด เพราะเธอยังมองวาความสัมพันธ
ระหวางเธอกับเขายังคงดีอยู และยังสามารถใหในสิ่งที่เธอตองการได เชนเดียวกับการตัดสินใจ
มีเ พศสัมพั นธกั บ นอ งกบหลั ง จากที่ เธอลัง เลอยู พักหนึ่ ง โดยที่ ใ นตอนนั้ นตัว เธอเองก็ ยัง คบหา
เปนแฟนกับอั้มอยู เปนเพราะเธอมองวาการมีเพศสัมพันธกับนองกบซึ่งเปนคนที่แสดงออกวา
ชอบเธอและเธอก็รูสึกชอบเขาดวยแลวนั้น คงจะนํามาซึ่งความรูสึกที่ขาดหายไปจากความสัมพันธ
ระหว า งเธอกับอั้มซึ่ งเป นสิ่ งที่เธอต องการมากกว าในขณะนั้นได แมวา จะตอ งแลกมาดว ยการ
ถูกประณาม หรือถูกตั้งคําถามจากคนรอบขางก็ตาม
โดยเราสามารถมองเห็ นลั ก ษณะของการไม ไ ด เ ป นฝ า ยสยบยอมตามความต อ งการ
ของผูชายเพียงอยางเดียวจากเรื่องของพิมไดดวยเชนกัน จากกรณีของเธอกับนองเอ็มที่เธอเปนฝาย
ริ เ ริ่ ม ในการมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ เขาก อ น ทั้ ง ๆ ที่ กั บ ผู ช ายคนที่ ผ า นๆ มาเธอจะเป น ฝ า ยยอมตาม
ความต อ งการของพวกเขาแทบทั้ ง สิ้ น แต เ พราะในครั้ ง นี้ อาจจะเป นด ว ยเหตุ ผลที่ เ ธอตอ งการ
ออกจากความสัมพันธที่ไมดีระหวางเธอกับพี่ตอ เธอจึงตองมองหาคนที่จะมาทดแทนความรูสึก
ตรงนี้ และเมื่อเธอคิดวานองเอ็มจะเปนคนที่สามารถเขามาแทนตรงสวนนี้ได เธอจึงเปนฝายเริ่มตน
98

สานสัมพันธในครั้งนี้ โดยใชการมีเพศสัมพันธเปนจุดเริ่มเพื่อนําไปสูความรูสึกอื่นๆ ที่เธอเชื่อวา


จะเกิ ดขึ้ น ตามมาหลั ง จากการมี เ พศสั มพั นธ นี้ แต ก็ เ ช นเดี ย วกั นกั บ กรณี ข องจู นที่ ถึ ง แม ตั ว พิ ม
จะเปนฝายเริ่มตนกอน แตก็เปนการกระทําที่เปนไปตามระบบความเชื่อของสังคมที่ผูกเรื่องของ
การมีเพศสัมพันธไวกับความรักและองคประกอบอื่นๆ เพียงแตในครั้งนี้เธอเปนฝายเริ่มตนเอง
โดยที่ไมไดเปนฝายถูกกดดันจากคนที่เปนคูของเธอเหมือนในครั้งอื่นๆ ดังนั้น ถึงแมวาการยอมรับ
ในความสําคัญของการมีเพศสัมพันธเพื่อใหไดมาซึ่งความรัก ความอบอุนใจ และความรูสึกอื่นๆ
ในสังคมที่ค วามสัมพันธแบบรั กตา งเพศเป นใหญจะทํา ให ผูหญิ งกลายเปนฝ ายที่ตองสยบยอม
เพื่อสนองตอบตอความตองการทางเพศของผูชาย เพื่อใหไดมาซึ่งความรักหรือความรูสึกในรูปแบบ
ที่ตัวเธอตองการ แตผู หญิงแต ละคนก็มี ความสามารถในการกํา หนดแนวทางในความสัมพั นธ
ของตั วเองที่ แตกตา งกั นออกไป ขึ้นอยู กับ ตํ า แหน งแหง ที่แ ละองค ประกอบของอั ตลักษณของ
แตละคน รวมไปถึงสถานการณที่แตละคนเผชิญอยู อยางเชนการที่ในบางครั้งจูนและพิมก็เปนฝาย
เริ่ ม ต น ในความสั ม พั น ธ เพื่ อ ให ไ ด ม าซึ่ ง ความรู สึ ก ที่ ทํ า ให พ วกเธอพึ ง พอใจและมี ค วามสุ ข
โดยไมตองรอใหผูชายเปนฝายริเริ่ม หรือเปนฝายยอมตามความตองการของเขาเพียงอยางเดียว
ซึ่ง การที่ พ วกเธอทํ า แบบนี้ ไ ด อาจเป น เพราะในขณะนั้ นพวกเธออยู ใ นสถานการณ ที่ พ วกเธอ
เปนผูหญิงที่มีอายุมากกวาอีกฝายหนึ่ง และผานประสบการณทางเพศมาพอสมควรแลว จึงทําให
ดูราวกับวาตัวเองมีอํานาจในการกําหนด และเปดเผยความตองการของตัวเองไดมากขึ้น ดังนั้น
การใหคําอธิบายหรือการใหคุณคาเรื่องเพศที่เปนสากล โดยละเลยความแตกตางหรือความเฉพาะ
ในแตละกรณี จึงอาจเปนความผิดพลาดหรือมองขามประสบการณที่หลากหลายนี้ เพราะผูหญิง
บางคนอาจจะใชเรื่องเพศเปนการเสริมอํานาจใหกับตัวเอง หรือใชเปนเครื่องมือเพื่อใหไดมา
ซึ่งสิ่งที่ตัวเองตองการก็เปนได (ชลิดาภรณ สงสัมพันธ, 2547 ข: 74)
สตรีนิยมสายรากเหงามองวา การที่สังคมผูกเรื่องของการมีเพศสัมพันธไวกับความรักนั้น
ทํ า ให ก ารมี เ พศสั ม พั น ธ เ พราะสาเหตุ อื่ น กลายเป น ความไม ถู ก ต อ งชอบธรรม กลายเป น
ความสัมพันธที่ไมมีคุณภาพ และเปนเรื่องผิดทั้งในความรูสึกของผูกระทําเองหรือจากคนภายนอก
ทําใหความเชื่อแบบดังกลาวทํารายผูหญิงมากกวาผูชาย เพราะในรูปแบบของเพศวิถีแบบรักตางเพศ
ที่ กํ า หนดให ผู ห ญิ ง เป น ฝ า ยยอมตามความต อ งการของผู ช ายและสร า งเงื่ อ นไขของความรั ก
เขา มากํากับดวย โดยไม มีพื้นที่ใ หกับการมีเพศสัมพันธเพื่ อตอบสนองความปรารถนาทางเพศ
ของผูหญิงเองโดยเฉพาะนั้น ทําใหผูหญิงตองเปนฝายผูกพันตัวเองเขากับผูชายที่ตัวเองรักดวยการ
มีเพศสัมพันธกับเขา ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะถูกผูชายที่เปนคูของตัวเองทําใหเชื่อวาการมีเพศสัมพันธ
นั้นคือการพิสูจนความรักที่มีตอกัน หรือเพราะผูหญิงเชื่อวาการยอมตามความตองการในเรื่องนี้
ของผู ช ายจะทํ า ให ค วามสั ม พั น ธ มั่ น คงมากขึ้ น อย า งเช น ที่ เ รามั ก จะได ยิ น คํ า พู ด ประเภทที่ ว า
99

“ถ า ไม ย อมแสดงว า ไม รั ก กั น จริ ง ” “เป น เรื่ อ งธรรมดาที่ ค นรั ก กั น จะมี อ ะไรกั น ” หรื อ “ใครๆ
ก็ทําแบบนี้กันทั้งนั้น” ฯลฯ ที่ผูชายมักนํามาใชควบคุมใหผูหญิงยอมตามความตองการ และทําให
ผูหญิงคิดวาการยอมตามนั้นไมเปนไร เพราะทําลงไปดวยความรัก และผูหญิงอาจกลัววาถาหาก
ปฏิเสธความตองการของผูชายอาจทํา ใหเกิดผลหลายอยาง เชนถูกทิ้งหรือถูกทําร ายได (Diane
Richardson, 1997: 162) นอกจากนี้ การยอมตามความต อ งการของผู ช ายกลั บ ยิ่ ง ทํ า ให ผู ห ญิ ง
หลายคนรู สึ ก ไม มั่ น คงมากขึ้ น เพราะด ว ยกรอบความเชื่ อ ของสั ง คมไทยที่ ม องว า ผู ห ญิ ง
ไมควรเกี่ยวของกับเรื่องเพศ ทําใหผูหญิงที่ละเมิดตอเรื่องดังกลาวดวยความเชื่อมั่นในตัวผูชายและ
ในความรั ก ที่ ตั ว เองมี จ ะรู สึ ก ว า ตั ว เองโดดเดี่ ย ว และรู สึ ก ว า ตั ว ตนของตั ว เองขึ้ น อยู กั บ ผู ช าย
อั นเป นที่ รั กเพี ย งคนเดี ย วเท า นั้ น เป น ผลให ถ า หากว า เกิ ด ความเปลี่ ย นแปลงในความสั มพั น ธ
จะทําใหผูหญิงเปนฝายตองรองรับความเจ็บปวดและโทษตัวเองมากกวา (นันดา วีรวิทยานุกูล,
2544: 348) และการกําหนดความสัมพันธที่ผูกเรื่องของการมีเพศสัมพันธกับความรักเขาไวดวยกัน
ยั ง ทํ า ให ผู ห ญิ ง ไม ส ามารถปฏิ เ สธการมี เ พศสั ม พั น ธ ที่ ไ ม ต อ งการจากคนรั ก ได เพราะคิ ด ว า
นั่นเปนสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความรัก และตัวเองตองยอมเพราะกลัวสูญเสียความรักไป รวมไปถึง
สังคมภายนอกก็ยังมีการกํากับความคิดแบบนี้ของทั้งผูหญิงและผูชายดวยวา ความสัมพันธทางเพศ
ที่เกิดขึ้ นระหวา งคนที่รักกันนั้นเปนความสัมพันธ ที่ดีและมีคุณภาพ ผานการผลิ ตซ้ํา จากสั งคม
ในรูปแบบตางๆ จนกลายเปนการตอกย้ําชุดความเชื่อหรือมายาคตินี้ใหคนเชื่อตามอยางหนักแนน
มากยิ่งขึ้น โดยไมมีการตั้งคําถามวาตองเปนเชนนี้จริงหรือไม

เรื่องเพศและการแตงงาน
จากเรื่องเลาของผูใหขอมูลทั้งสองคนแสดงใหเห็นวา พวกเธอตางก็ยอมรับวาจริงๆ แลว
ตัวเองก็อยากมีชีวิตทางเพศที่ถูกตองตามกรอบความเชื่อของสังคม ไมวาจะเปนการมีครอบครัว
หรือมีลูก ซึ่งถูกทําใหเชื่อวาเปนสิ่งที่จะเกิดขึ้นไดภายใตการแตงงานเทานั้น ทั้งนี้ เพราะสังคมยังคง
มองวา “การแตงงานเปนหนทางที่ถูกตองของการมีลูกและเพศสัมพันธ” (กําจร หลุยยะพงศ, 2544:
170) เพราะถึงแมพวกเธอจะมีการดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานมาแลวหลายตอหลายครั้ง
แตที่สุดแลวพวกเธอก็ยังคงเผชิญกับความรูสึกผิด และตองการที่จะกลับเขาไปสูแนวทางความเชื่อ
ของสังคม คือการเขาสูการแตงงานอยูดี ถาหากพวกเธออยูในสถานะที่มีความพรอม ซึ่งหมายถึง
ความพรอมในดานคุณสมบัติของคนที่พวกเธอจะเลือกใหมาเปนคูชีวิต หรือความพรอมทางดาน
เศรษฐกิจของตัวเองและคู
อยางเชนในตอนที่พิมคบกับพี่ตอ แมกอนหนานั้นเธอจะมองวา เธออาจจะไมไดคาดหวัง
กับเรื่อ งอนาคตของตั วเองมากนั ก แต เธอก็ ไม ไดคบกับ ผู ช ายแต ละคนแบบเลนๆ เชนเดี ยวกัน
100

แตเพราะผูชายเหลานั้นก็ไมไดพิสูจนใหเธอเห็นวา พวกเขามีคุณสมบัติที่เธอพอจะฝากชีวิตไว
ด ว ยได ในขณะที่ พี่ ต อ เป น คนแรกที่ ทํ า ให เ ธอรู สึ ก อยากจะมี ชี วิ ต ครอบครั ว ด ว ยเป น คนแรก
เพราะเขามีคุณสมบัติที่พรอมทุกอยางตามที่เธอตองการ จนทําใหเธอรูสึกอยากจะมีครอบครัวกับเขา

“พี่ตอเขาก็ดูเหมือนวาพึ่งพาอาศัยไดหรือฝากชีวิตไวดวยได แลวเขาก็พูดกับเราตั้งแต
แรกเลยวา ‘รักเรานะ...อยากจะมีชีวิตครอบครัวกับเรา’ เราก็เลยตองคิดไปวาดีเชียว
เราถึงกับพูดวา ‘เราจะมีลูกสาวใหเขานะ’ เพราะพี่เขามีลูกชายมาแลว เขาก็อยากจะมี
ลูกผูหญิง”

แสดงใหเห็นวา ตัวเธอเองก็ยอมรับวาการมีชีวิตครอบครัวในรูปแบบของพอแมลูกนั้น
เปนสิ่งที่เธอตองการเชนเดียวกัน ซึ่งผูเขียนเคยถามพิมวาเธอมองการแตงงานวาอยางไร เธอตอบวา
การแต ง งานเป น หนทางที่ จ ะทํ า ให เ ธอสามารถมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศกั บ คนที่ เ ธอรั ก
ไดอยางถูกตองชอบธรรม โดยที่แมของเธอจะไดสบายใจ เชนเดียวกับที่จูนเองก็มองวาการแตงงาน
ไมใชเรื่องของคนสองคนเทานั้น แตยังเกี่ยวพันกับครอบครัวของทั้งสองฝายดวย และเปนเรื่องของ
ชื่ อ เสี ย งหน า ตาของพ อ แม ข องเธอด ว ย เพราะอย า งไรเสี ย เธอคิ ด ว า สั ง คมก็ ยั ง ให คุ ณ ค า ว า
การแตงงานคือการรองรับสถานะของการมีเพศสัมพันธที่ถูกตองชอบธรรม

“แตเราก็คิดเหมือนกันนะวาการที่เราคิดวามันเปนแคการมาใชชีวิตรวมกันเฉยๆ แบบนี้
แล ว พ อ แม เ ราล ะ จะคิ ด ยั ง ไง คื อ การแต ง งานมั น ไม ใ ช แ ค เ รื่ อ งของคนสองคนแล ว
มันเปนเรื่องของครอบครัวทั้งสองครอบครัวเลย มันเปนเรื่องใหญนะ”

การยอมรับความถูกตองชอบธรรมของเรื่องเพศในการแตงงาน ยังสงผลตอการพยายาม
ควบคุมการเจริญพันธุของตัวเองไมใหเกิดขึ้นกอนการแตงงานอีกดวย เพราะพวกเธอมองประเด็น
เรื่ องการทองกอ นแต งวา หมายถึ ง “การตายทางสั งคม” (social death) ของผูหญิ งที่ ทํา ผิดพลาด
หรื อ ไม รู จักป องกั น ซึ่ ง หมายถึ ง การสู ญ เสีย คุ ณค า ทุก สิ่ ง ในชี วิ ต และเป น การกระทํา ที่ สมควร
โดนลงโทษ เนื่องจากเปนการกระทําของผูหญิงที่กาวขามผานเสนเพศวิถีของสังคม (Naomi Wolf,
1997: 64) และนอกจากตัวของผูหญิงเองจะโดนลงโทษแลว ยังสงผลถึงชื่อเสียงและความรูสึกของ
ผูเปนพอแมอีกดวย การคํานึงถึงชื่อเสียง ความรูสึกของพอแม/แม รวมถึงตัวอยางที่พบเห็นจาก
ชีวิตจริงรอบๆ ตัว เชนการที่จูนเห็นการลงโทษดวยการไลเพื่อนนักเรียนที่ตั้งทองออกจากโรงเรียน
หรือที่พิมเห็นตัวอยางจากญาติของเธอซึ่งตั้งทองตั้งแตอายุ 14 ป และเธอมองวานั่นเปนผลของ
101

การกระทํ า ที่ ไ ม รู จั ก ระมั ด ระวั ง หรื อ ป อ งกั น ตั ว เองให ดี ทํ า ให พ วกเธอพยายามระมั ดระวั ง ตั ว
ในเรื่องนี้คอนขางมาก เพราะตางก็ตระหนักดีวาการมีเพศสัมพันธนั้นสามารถนําไปสูการเจริญพันธุ
ได และถาหากมันเกิดขึ้นในชวงเวลาที่ไมเหมาะสมก็จะทําใหเกิดปญหากับพวกเธอได
ถึง แมวา โดยสว นตั ว แลวพวกเธอมองวา เพีย งแค การใชชีวิตร วมกันฉั นท สามี ภรรยา
โดยไมไดแตงงานก็อาจจะเพียงพอแลว แตดวยการกําหนดของสังคมที่ทําใหการแตงงานในรูปแบบ
ของพิธีกรรมและกฎหมายเปนการรองรับการมีความสัมพันธทางเพศที่ถูกตองชอบธรรม และ
เพื่อทําใหพอกับแมสบายใจ จนทําใหบางครั้ง พวกเธอก็เกิดความวิตกกังวลในสถานภาพของตัวเอง
วาจะเปนอยางไรถาหากผูชายไมยอมแตงงานดวย เหตุการณแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับผูหญิงไทย
อีกหลายตอหลายคน ที่โดยสวนตัวแลวก็ไมไดเห็นดวยกับการแตงงาน แตจําเปนตองแตงเพื่อทําให
พ อ แม ส บายใจ เพื่ อ ให สั ง คมยอมรั บ หรื อ เพื่ อ ให ไ ด สิ ท ธิ ต ามที่ ก ฎหมายกํ า หนด โดยสั ง คม
มีฐานคิดในเรื่องความไดเปรียบ-เสียเปรียบในเรื่องเพศ เปนตัวกํากับความคิดของผูคนอีกชั้นหนึ่ง
ทําใหผูหญิงเปนฝายที่ตองเรียกรองในความสัมพันธใหมีการแตงงาน ดวยเหตุผลเพื่อตองการรักษา
ชื่อเสียงของพอแมและวงศตระกูลถา หากผานการมีเพศสัมพันธรวมกันมาแลว ในขณะที่ผูชาย
กลับเปนฝายที่สามารถเลือกไดมากกวา วาจะรับผิดชอบกับเพศสัมพันธที่เกิดขึ้นหรือไม เพราะ
กรอบเพศที่จํากัดเรื่องเพศไวภายใตการแตงงานนั้น ไมไดเครงครัดกับเรื่องของการมีเพศสัมพันธ
ของผู ช ายมากเท า กั บ ของผู ห ญิ ง กล า วคื อ ผู ช ายไม จํ า เป น ต อ งรั ก ษาความบริ สุ ท ธิ์ ไ ว จ นกว า
จะแต ง งาน แต ก ลั บ จะเป น การดี ม ากกว า หากผู ช ายได มี ป ระสบการณ ท างเพศก อ นแต ง งาน
ทั้ งในเชิง ขนบธรรมเนี ยมหรือกฎหมาย ที่เ อื้อ อํ า นวยให ผูช ายสามารถมีป ระสบการณท างเพศ
นอกการแต ง งานได ม ากกว า ผู ห ญิ ง โดยไม ถู ก จั ด เป น เรื่ อ งผิ ด บาปแต อ ย า งใด (ชลิ ด าภรณ
สงสัมพันธ, 2549: 102) และความเชื่อในเรื่องดังกลาวสงผลใหผูใหขอมูลทั้งสองคน ซึ่งมีรูปแบบ
ของพฤติกรรมทางเพศนอกกรอบที่สังคมยอมรับ เกิดความรูสึกวาตัวเองไดทําในสิ่งที่ผิดตอกรอบ
ดังกลาวไปแลว จึงพยายามที่จะกํากับหรือทําใหความสัมพันธนอกการแตงงานของตัวเอง มีรูปแบบ
ที่สอดคลองกับรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมใหมากที่สุด อยางเชนการมีเพศสัมพันธดวยเหตุผล
ของความรักและเพื่อความรัก หรือความพยายามที่จะประคับประคองใหความสัมพันธของพวกเธอ
อยูในรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว เฉกเชนรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมที่อยูภายใตการแตงงาน
เพื่ อทํา ใหค วามสั มพันธ นอกการแตง งานของพวกเธอสอดคล อง หรื อเปนไปตามรูปแบบของ
เรื่องเพศที่ยอมรับไดใหมากที่สุด
102

เรื่องเพศและความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว
ในรู ป แบบความสั ม พั น ธ ร ะหว า งคนที่ มี ค วามรั ก ต อ กั น เรื่ อ งของ “ความซื่ อ สั ต ย ”
ดู เ หมื อ นจะเป น คุ ณ สมบั ติ ที่ ทุ ก คู รั ก ต อ งการให คู ข องตนยึ ด ถื อ ความซื่ อ สั ต ย ใ นที่ นี้ ห มายถึ ง
ความรั ก เดี ย วใจเดี ย ว หรื อ การมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ บุ ค คลที่ เ ป น คู ข องเราเท า นั้ น โดยไม ไ ปมี
ความสัมพันธเชิงซอนกับบุคคลอื่น ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อวาความซื่อสัตยหรือความรักเดียวใจเดียว
สามารถรับประกันถึงความมั่นคงทางดานอารมณ ความมั่นคงในความสัมพั นธได โดยเฉพาะ
ในความสัมพันธภายใตการแตงงาน รูปแบบของความสัมพันธแบบผัวเดียว [เมียเดียว] นั้น สามารถ
ทําใหเกิดความมั่นใจในดานการสืบสายโลหิตของลูก ซึ่งเกี่ยวพันกับการสืบทอดมรดกอีกดวย
(Friedrich Engels, 1978 cited in Valerie Bryson, 1992: 70)
จากเรื่องเลาของทั้งพิมและจูนตางก็แสดงใหเห็นวา พวกเธอเองก็ยึดถือในประเด็นของ
ความสัมพันธแบบเฉพาะคู หรือแบบผัวเดียวเมียเดียวเชนเดียวกัน แมวาประสบการณของพวกเธอ
จะเป น ความสั ม พั น ธ ที่ ยั ง ไม ไ ด อ ยู ใ นการแต ง งาน แต พ วกเธอก็ พ ยายามรั ก ษาความสั ม พั น ธ
ของตั ว เองให อยู ใ นรู ป แบบดั ง กล า ว อย า งไรก็ ต าม การให นิย ามความหมายกั บ ความสั มพั นธ
แบบเฉพาะคู หรือผัวเดียวเมียเดียวของพวกเธอนั้นมีความนาสนใจเปนอยางยิ่ง เพราะมันไมได
หมายความถึงในเชิงพฤติกรรม หรือการแสดงออกทางกายแตเพียงอยางเดียว แตพวกเธอทั้งคู
จะเนนที่เรื่องของอารมณ ความรูสึกที่มีใหกับคนรักของพวกเธอมากกวา ซึ่งเปนประเด็นที่นํามาใช
ตัดสินเรื่องของความซื่อสัตย หรือการนอกใจคนรักของตัวพวกเธอเอง
สํ า หรั บ พิ ม นั้ น ในตอนเริ่ ม แรกของเรื่ อ งเล า เธอได แ สดงให เ ห็ น ถึ ง การไม เ ห็ น ด ว ย
ที่พอของเธอแยกไปมีครอบครัวใหม เนื่องจากเธอมองวาเปนสาเหตุที่ทําใหครอบครัวของเธอ
แตกราว และเปนการทํารายความรูสึกของทุกคนที่บาน ทําใหหลังจากนั้นเมื่อเธอไดมีความสัมพันธ
กั บ คนรั ก ของเธอ พิ ม ก็ แ สดงให เ ห็ น ว า ตั ว เธอเป น คนที่ ค อ นข า งยึ ด มั่ น กั บ ความสั ม พั น ธ แ บบ
ผัวเดียวเมียเดียว และพยายามที่จะรักษาความสัมพันธใหอยูในรูปแบบดังกลาวไว ทั้งโดยตัวเธอเอง
และคนรั ก ของเธอด ว ย ตั้ ง แต ก อ นที่ จ ะเริ่ ม มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ ใคร เธอจะมองว า ตั ว เองหรื อ
อีกฝายหนึ่งอยูในสถานะแบบใด ยังโสดหรือกําลังมีแฟนอยู ซึ่งถาหากจะเริ่มตนความสัมพันธ
นั้ น ได เธอก็ ข อให ทั้ ง ตั ว เองและอี ก ฝ า ยมี ส ถานภาพโสดเสี ย ก อ น เพราะเธอไม อ ยากอยู
ในความสัมพันธซอน หรือระหวางที่อยูในความสัมพันธเธอก็จะพยายามทําใหเปนความสัมพันธ
ในรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งเธอจะรูสึกทนไมไดถาหากวามีบางสิ่งที่มากระทบกับความสัมพันธ
ของเธอ ซึ่งอาจจะเปนสาเหตุที่ทําใหเกิดความเปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอยางเชนการที่ทั้งพี่หนึ่งและ
พี่โกตางใชขออางวาจะไปมีผูหญิงคนอื่นถาเธอไมยอมมีเพศสัมพันธดวย มาใชในการตอรองกับเธอ
ทําใหพิมซึ่งเปนคนที่ยึดมั่นตอกรอบดังกลาวอยูแลวไมสามารถนิ่งเฉยอยูได และตองยอมตาม
103

ความตองการของพวกเขา จนทําใหตัวเองตองรูสึกเจ็บปวด ซึ่งการผูกกรอบความเชื่อดังกลาว


ไว กั บ ผู ห ญิ ง ฝ า ยเดี ย ว ทํ า ให เ ห็ น ถึ ง ความได เ ปรี ย บของฝ า ยชายซึ่ ง ไม ต อ งยึ ด ถื อ กั บ กรอบนี้
นําเอามาใชในการบังคับใหผูหญิงยอมตาม เพื่อไมใหผูหญิงรูสึกวาตัวเองจะตองสูญเสียความมั่นคง
ทางดานจิตใจที่จะไดรับจากความสัมพันธแบบนี้ ซึ่งเปนสิ่งที่เธอไมตองการ ดวยการกดดันจาก
คูของเธอแบบนี้ ทําใหเธอกลายเปนฝายเดียวที่ตองพยายามรักษาความสัมพันธนี้เอาไว ถึงแมจะตอง
ฝนกับความตองการ หรือความรูสึกของตัวเองในขณะนั้นก็ตาม

“แตมันก็มีป ญหาอยูเหมือนกัน คื อพี่โก เนี่ยชอบกิ นเหลา มาก ก็จะชอบเมามาหาเรา


ตอนกลางคื น แล ว ทีนี้ คนเมามั นก็ไ ม มีสติใ ชปะ แลว เวลาจะขอนอนด วยเราก็ แบบ
เซ็งนะ ไมมีอารมณ เพราะวาแบบจะเอาๆ อยางเดียว ไมไดสนใจเลยวาเรารูสึกยังไง
อยากหรื อ ไม อยาก แล ว เราก็ ป ฏิเ สธไม ค อ ยจะได ดว ยนะเพราะถ า เราบอกว า ไม ใ ห
พี่เขาก็จะบอกวา ‘มีคนอื่นใหเอาอีกตั้งเยอะแยะ ถาไมใหเดี๋ยวไปเอาคนอื่นนะ’ เราก็เลย
ตองยอม แลวจริงๆ มันก็นาขยะแขยงนะ เพราะเอากับคนเมานะ มันจะมีน้ําลงน้ําลาย
อะไรแบบนี้ เต็มตัวเราไปหมด บางครั้งมันก็เจ็บดวย”

นอกจากนี้ ถาหากพิมคิดวาตัวเองกําลังมีความสัมพันธเชิงซอนที่ไมเปนไปตามที่สังคม
กําหนดแลว เธอก็จะรูสึกวาตัวเองกําลังทําผิดหรือรูสึกไมดี และเปนผลใหตองดําเนินชีวิตทางเพศ
แบบแอบซ อ น อย า งเช น ในกรณี ข องการเริ่ ม ความสั ม พั น ธ กั บ ยิ ม ที่ แ ม ว า โดยส ว นตั ว แล ว
เธอจะไม ไ ด มี ค วามรู สึ ก กั บ น อ งเอ็ ม ซึ่ ง เป น คนรั ก ก อ นหน า นี้ ข องเธอแล ว ก็ ต ามในขณะที่ มี
ความสัมพันธกับยิม เพราะเธอมักจะใชความรูสึกของตัวเองมาเปนตัวตัดสินพฤติกรรมของตัวเองวา
กําลังทําในสิ่งที่เรียกวาการนอกใจอยูหรือไม ซึ่งถาหากเธอคิดวาเธอไมไดรัก หรือรูสึกดีกับผูชาย
คนหนึ่งแลว เธอก็คิดวาการไปมีความสัมพันธกับผูชายอีกคนหนึ่งในเวลาเดียวกันไมใชเรื่องผิด
เพราะถือวาเธอหมดใจกับคนเกาไปแลว แตดวยความที่กรอบความเชื่อของสังคมมักจะตัดสินเรื่องนี้
ดวยพฤติกรรมของคน มากกวาจะดูที่ความรูสึก จึงทําใหเธอคิดวาตัวเองไดละเมิดกรอบความเชื่อ
เรื่ อ งผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย วหรื อ ความซื่ อ สั ต ย อ ยู เ ช น กั น จนทํ า ให เ ธอต อ งรู สึ ก ผิ ด และต อ งพยายาม
หลบซอนความสัมพันธซอนนี้ไวในชวงแรกอยางที่ไดกลาวไปแลว
เช นเดียวกั นกับ จู น ที่มัก จะนํ า เอาเรื่ องของความรู สึ กของตัว เองมาตั ดสิ นพฤติ กรรม
การนอกใจของตัวเอง วาถึงแมเธอจะมีความสัมพันธทางเพศกับผูชายคนอื่นนอกเหนือจากคนรัก
ของเธอ แตถา หากวาเธอไมไดคิดอะไรกับผูช ายคนอื่ นนั้น เธอก็ ไมคิดวาเธอกําลังนอกใจหรือ
ไมซื่อสัตยกับแฟนของเธอ และไมคิดวาสิ่งที่เธอทําจะสงผลกระทบตอความสัมพันธของเธอดวย
104

แตเมื่อใดก็ตามที่เธอรูสึกวาตัวเองกําลังมีใจใหกับทั้งสองคน เธอจะหาทางจัดการกับความรูสึก
ดั ง กล า ว เพราะเธอก็ ไ ม อ ยากอยู ใ นสภาวะของความสั ม พั น ธ ซ อ น เนื่ อ งจากที่ จ ริ ง แล ว จู น ก็ มี
ความเชื่ อ มั่ น ในความสั มพั นธ แ บบผั ว เดีย วเมี ย เดี ย วเช น เดี ย วกั น ว า จะนํ า มาซึ่ งความมั่ นคงได
ทําใหเธอเองก็พยายามที่จะซื่อสัตยกับคนรักของเธอ โดยพยายามที่จะมีความสัมพันธกับคนที่เธอรัก
ที ล ะคนเท า นั้ น ซึ่ ง ความคิ ด ดั ง กล า วสะท อ นผ า นเรื่ อ งเล า ของเธอ ไม ว า จะเป น ความต อ งการ
ที่อยากจะสะสางความรูสึกกับคนเกาใหเรียบรอยกอนที่จะไปเริ่มตนกับคนใหม อยางเชนการที่เธอ
ตองการอยากบอกเลิกกับนองโอใหเรียบรอยกอนที่จะไปคบกับอั้ม เปนตน

“เราก็เริ่มอยากจะจริงจังกับใครซักคนแลว เพราะยังไงกับนองคนนี้ก็ไมมีทางเปนไปได
อยูแ ล ว ในเมื่ อเขาก็ยัง คบกั บแฟนเขาอยูแ ล ว จะใหเราไปบอกว า ให เ ขาเลิกกั บแฟน
มาเปนแฟนเรา เราก็ไมทําหรอก แลวถาเราจะเริ่มจริงจังหรือเปนแฟนกับผูชายคนนี้แลว
เราก็คิดวาเราควรจะตองซื่อสัตยกับเขากอน ตองเคลียรปญหาตัวเองใหเรียบรอยกอน
ไมใชวาจะยังเปนชูกันอยูร่ําไปแบบนี้ คือมันไมเหมือนกับคนอื่นที่มีอะไรกันแลวจบ
แตมันมีเรื่องความสัมพันธทางใจดวยไง”

หรื อ ในตอนที่ เ ธอมี ค วามสั ม พั น ธ ซ อ นกั บ น อ งกบ ระหว า งที่ ยั ง เป น แฟนกั บ อั้ ม อยู
ซึ่งหมายถึงการมีความสัมพันธภายใตความรูสึกดีที่มีใหกับคนทั้งคู เธอเองก็รูสึกผิดและรูสึกไมดี
ทั้งโดยความรูสึกสวนตัวที่คิดวาเธอไดทําผิดตออั้ม และจากแรงกดดันของคนรอบขางที่ทําใหเธอ
ตองตระหนักถึงกรอบความเชื่อในเรื่องดังกลาววาเธอกําลังทําสิ่งที่ผิดอยู เพราะถือเปนการนอกใจ
ทั้ ง ในด า นของความรู สึ ก และทางร า งกาย ซึ่ ง เป น เรื่ อ งที่ ไ ม ถู ก ต อ งในความรู สึ ก ของเธอเอง
ซึ่งถาหากจะพิจารณาดูใหดีแลวจะพบวา ความเชื่อของสังคมดังกลาวไดบีบใหคนพยายามรักษา
ความสัมพันธไวกับคนเพียงคนเดียว โดยที่ไมไดตั้งคําถามหรือเปดพื้นที่ใหกับความเปลี่ยนแปลง
ที่อาจจะเกิดขึ้นในความสัมพันธนั้น และอาจจะทําใหคนที่อยูในความสัมพันธนั้นทนไมได หรือ
ไมตองการทน หรืออาจกลายเปนเหตุการณการใชความรุนแรงในความสัมพันธได อีกทั้งความเชื่อ
ดังกลาวยังไมเปดโอกาสใหคนมีทางเลือกกับความสัมพันธแบบนี้มากนัก นอกจากการแสดงออก
ใหเห็นวาตัวเองพรอมที่จะกลับเขาไปสูกรอบดังกลาว เพื่อใหไดรับการยอมรับจากสังคมตอไป
เหมื อ นอย า งที่ จู น ประกาศตั ว กั บ เพื่ อ นร ว มงานของเธอ ว า จริ ง ๆ แล ว เธอก็ ยั ง อยู ใ นรู ป แบบ
ความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียวอยู หรือไมก็เลือกทางที่ตองโดนประณามจากสังคมภายนอก
และสงผลตอความรูสึกผิดของตัวเอง อยางเชนการตัดสินใจมีความสัมพันธซอ นตอไป
105

จะเห็นไดวา เรื่องเลาประสบการณทางเพศนอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคน
ตางก็ไดสะทอ นมุมมอง หรือความเขาใจที่มีตอเรื่องเพศที่ถูกตองของสังคม วา มีองคประกอบ
อะไรบ าง ดวยความพยายามที่จะทําตาม หรือทํา ใหสอดคลองกับกรอบของสังคมใหมากที่สุด
เพราะเชื่อวาเรื่องเพศในรูปแบบดังกลาวเปนสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติ แมวาเรื่องเพศของพวกเธอ
จะไม ไ ด เ ป น เรื่ อ งเพศที่ เ กิ ด ขึ้ น ภายใต ก ารแต ง งานก็ ต าม ซึ่ ง เป น อิ ท ธิ พ ลของกรอบเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรม ที่ทํางานกํากับความคิด รวมถึงพฤติกรรมในเรื่องเพศของผูคนในสังคมอยางแนบเนียน
โดยที่ เ ราอาจจะยั ง ไม ทั น ได ต ระหนั ก หรื อ ตั้ ง คํ า ถามกั บ มั น ซึ่ ง อิ ท ธิ พ ลของกรอบดั ง กล า ว
ไดถูกสะทอนผานเรื่องเลาประสบการณทางเพศของพวกเธอในรูปแบบตางๆ ไมวาจะเปนรองรอย
ความเชื่อของพวกเธอที่มีตอนิยามเรื่องเพศของสังคม ที่กําหนดใหเรื่องเพศหมายถึงการสอดใส
อวัยวะเพศชายเขาไปในชองคลอดเทานั้น ทําใหพวกเธอมองไมเห็นรูปแบบของความสัมพันธ
ระหวางเพศเดียวกัน ซึ่งความเชื่อดังกลาวสงผลใหมองตอไปอีกวา การมีเพศสัมพันธกับผูชายนั้น
เป น หนทางที่ จ ะทํ า ให ไ ด ม าซึ่ ง ความรั ก ความอบอุ น และความมั่ น คงทางจิ ต ใจ โดยมองว า
การมีเพศสัมพันธเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตัวเองเพียงอยา งเดียวนั้น เปนรูปแบบของ
เพศวิ ถี ที่ ผิ ด จากการที่ พ วกเธอจะมี ค วามรู สึ ก ผิ ด หรื อ รู สึ ก ไม ดี ภ ายหลั ง จากมี เ พศสั ม พั น ธ
กับคนที่ไมไดเปนคนรักของตัวเอง หรือไมมีความสุขกับเพศสัมพันธในรูปแบบดังกลาวมากเทากับ
การไดมีความสัมพันธกับคนที่ตัวเองรัก นอกจากนี้ การผูกเรื่องของการมีเพศสัมพันธไวกับความรัก
ซึ่งเปนสิ่งที่พวกเธอใหความสําคัญ ยังสงผลตอมุมมองในเรื่องการแตงงานของพวกเธอ ที่ถึงแม
โดยสวนตัวแลวพวกเธอจะมองวาตัวเองไมจําเปนตองแตงงานก็ได แคการใชชีวิตรวมกับคนรัก
ก็เพียงพอแลว แตในเมื่อสังคมกําหนดวาการแตงงานนั้นคือวิถีทางที่ถูกตองของการมีเพศสัมพันธ
กั บ คนรั ก และการมี เ พศสั ม พั น ธ ภ ายใต ก ารแต ง งานเท า นั้ นที่ สั ง คมให ก ารยอมรั บ รวมไปถึ ง
เปนเงื่อนไขของการเจริญพันธุดวย ความเชื่อในเรื่องดังกลาวจึงเปนเหตุผลใหพวกเธอพยายาม
ระมั ดระวั งไมใหการมี เพศสัมพันธนอกการแตงงานของตัวเองนํา ไปสูการตั้งครรภ เพื่อไมให
เกิดปญหากับตัวเองและครอบครัว และหากวาถึงจุดที่คิดวาตัวเองมีความพรอม พวกเธอก็คงจะ
เลือกเขาสูการแตงงานเชนเดียวกัน แต ณ สถานการณปจจุบันที่การแตงงานยังเปนเรื่องที่ไกลตัว
และพวกเธอยังคงดําเนินชีวิตทางเพศนอกการแตงงานอยู สิ่งที่พวกเธอทําในขณะนี้คือ การกํากับ
ให ค วามสั มพั นธ ข องตั ว เองมี ค วามสอดคล อ งกั บ รู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คม
ด ว ยการทํ า ให รู ป แบบของความสั ม พั น ธ เ ป น แบบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย ว ทั้ ง เพื่ อ ให เ กิ ด ความมั่ น คง
ในความสัมพันธ และเพื่อใหเกิดการยอมรับจากคนรอบขาง จึงทําใหกลาวไดวา การเลาเรื่องเพศ
นอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคน ตางก็สะทอนมุมมองที่ไดรับอิทธิพลจากกรอบเรื่องเพศ
106

ที่ ช อบธรรมของสั ง คมอยู อ ย า งมาก แม ว า พวกเธอจะดํ า เนิ น ชี วิ ต ทางเพศนอกกรอบ


ที่กําหนดใหเรื่องเพศเกิดขึ้นภายใตการแตงงานเทานั้นอยูก็ตาม

2. การตอรองกับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรม

จากมุมมองในเรื่องเพศของผูใหขอมูลทั้งสองคนทําใหเห็นวา พวกเธอเองก็มีความเชื่อ
และพยายามดํ า เนิ น ชี วิ ต ทางเพศนอกการแต ง งานของตนให ส อดคล อ งกั บ กรอบเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรมของสังคมใหมากที่สุด ดวยการยึดเอาองคประกอบตางๆ ของกรอบเพศที่ชอบธรรม
มาใชเปนเหตุผลใหกับการกระทําของตัวเอง แสดงใหเห็นถึงอิทธิพลของกรอบที่ทํางานกํากับ
ความเชื่ อ ของผู ค นในสั ง คมอย า งแนบเนี ย น ซึ่ ง ถึ ง แม เ รื่ อ งเพศของพวกเธอจะมี ลั ก ษณะตาม
องคประกอบของเรื่องเพศที่ชอบธรรม แตพวกเธอก็ยังรูสึกวาตัวเองไดละเมิดแนวทางที่ถูกตองของ
การมี เ พศสั ม พั น ธ อ ยู ดี เพราะการกระทํ า ของพวกเธอขั ด แย ง กั บ ความต อ งการของพ อ แม / แม
ที่ทําหนาที่เหมือนเปนสัญลักษณ หรือตัวแทนของกรอบของสังคมไทย ที่พยายามจํากัดเรื่องเพศ
ของผู ห ญิ ง ไว ใ ห เ กิ ด ขึ้ น ภายใต ก ารแต ง งานเท า นั้ น ปฏิ บั ติ ก ารต อ รองกั บ กรอบดั ง กล า ว
จึงเกิดขึ้น
อาจกลาวไดวาพอแมหรือแมของผูใหขอมูลทั้งคูมีอิทธิพลอยางยิ่งตอการกํากับ ควบคุม
ความคิด และพฤติกรรมของพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องเพศกอนแตงงานเปนอยางมาก ไมวาจะเปน
เรื่องของการปลูกฝงความคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศ ที่ทําใหเห็นวาเรื่องเพศเปนเรื่องอันตราย ไมควร
เข า ไปเกี่ ย วข อ งก อ นวั ย อั น ควร อย า งเช น การที่ พิ ม ถู ก พ อ ตี และการเห็ น แม ร อ งไห ต อนที่ เ ธอ
มีความสัมพันธกับญาติในวัยเด็ก หรือการลงโทษลูกพี่ลูกนองโดยพอของจูน การพูดถึงประเด็น
ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ไดพบเห็นในชีวิตประจําวันไปในทิศทางลบ ตลอดจนการที่พวกทานเอยปาก
พู ด กั บ พวกเธอ เกี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ ตั ว ในเรื่ อ งเพศโดยตรง ปฏิ กิ ริ ย าเหล า นี้ ข องพ อ กั บ แม / แม
สงผลใหพวกเธอเองก็มองเรื่องเพศไปในทิศทางดังกลาวดวยเชนกัน และพยายามกํากับใหตัวเอง
ทําตามในสิ่งที่พวกทานตองการใหมากที่สุด แตเมื่อพวกเธอไมสามารถทําตามกรอบของสังคม
ที่อยูในรูปแบบของความตองการของพวกทานได จากการไปมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน กลไก
ดั ง กล า วก็ ส ง ผลกลายเป น ความรู สึ ก ผิ ด ที่ ไ ด ล ะเมิ ด กรอบทางสั ง คม ที่ อ ยู ใ นรู ป แบบของ
ความตองการของพอแม/แมไป และทําใหตองหาวิธีการที่คิดวาจะทําใหพวกทานไมทราบเรื่องนี้
หรือทําใหทราบนอยที่สุด การทํางานของกรอบดังกลาวเขมแข็งมาก เพราะถึงแมวาในบางครั้ง
พวกเธอจะไมไดอยูใกลตัวพวกทาน แตพวกเธอก็จะคิดถึงความรูสึก หรือคําพูดของพอกับแม/แม
อยูตลอดเวลา วาพวกทานตองการอะไร ซึ่งเปนรูปแบบของกลไกการควบคุมในระดับจิตใจ และ
107

ทําใหพวกเธอพยายามปฏิบัติตามที่พวกทานตองการ อยางเชน การที่พิมไมอยากทําตัวไมดีตอนที่


ไปอยูที่อเมริกา เนื่องจากกลัววาแมจะเสียใจ การปฏิเสธไมยอมมีเพศสัมพันธกับพี่หนึ่งในชวงแรก
เพราะคิดถึงคําพูดของแม หรือภายหลังจากการมีเพศสัมพันธครั้งแรกแลว เธอรูสึกวาไดทําผิดตอแม
อยางมาก ตลอดจนการที่ตัวเองมีความรูสึกอยากจะสารภาพความจริงกับแมอยูตลอดเวลา เรียกไดวา
“ภาพของแม ” ในความคิ ด ของพิ ม นั้ น มี อิ ท ธิ พ ลต อ การกํ า กั บ ความคิ ด ความรู สึ ก ของตั ว เธอ
ในเรื่องดังกลาวอยางมาก
เชนเดียวกับจูน ที่ถึงแมวาพอกับแมจะเคยเอยปากพูดกับเธอวาถาจะไปมีอะไรกับใคร
ก็ขอไวสองอยางคือไมทองกับไมติดโรค แตเธอก็มองวานั่นไมใชการเปดทางใหเธอมีเพศสัมพันธ
ไดอยางสบายใจแตอยางใด เพราะจากที่ไดมีการเรียนรูมาโดยตลอดและมีความรูสึกอยูลึกๆ วา
พอกับแมมองเรื่องดังกลาวอยางไร ทําใหเธอเขาใจวาการมีเพศสัมพันธกอนแตงงานไมใชสิ่งที่
พอแมตองการ แตเมื่อเธอไมสามารถทําตามความตองการที่แทจริงของพวกทานได เธอก็ไดยึดเอา
สิ่งที่พอกับแมพูดไวมาเปนกฎเกณฑของตัวเองตลอดเวลา วาจะตองมีเพศสัมพันธอยาง “ปลอดภัย”
เพื่อไมใหเกิดปญหาที่จะทําใหพอกับแมตองมาเดือดรอนภายหลัง การคํานึงถึงชื่อเสียงหรือหนาตา
ของพอแมของจูน สงผลใหเธอแสดงออกในรูปแบบของการที่เธอตองโกหกญาติเพื่อออกไปหาอั้ม
เพื่ อ ไม ใ ห มี ค นไปต อ ว า พ อ กั บ แม ว า เลี้ ย งลู ก สาวอย า งไร ถึ ง ออกไปค า งอ า งแรมกั บ ผู ช ายได
หรือแมแตการคิดถึงความสําคัญของพิธีกรรมการแตงงาน เพราะคิดวาเปนสิ่งที่พอกับแมตองการ
ถึ ง แม จ ะขั ด กั บ ความต อ งการของตั ว เอง แต ก็ อ ยากทํ า เพื่ อ ให พ อ กั บ แม มี ค วามสุ ข เป น ต น
จึงอาจกลาวไดวา “ความรูสึกของพอแม/แม” ที่ปรากฏอยูในความรูสึกของพวกเธอทั้งคูเปนลักษณะ
ของ Superego หรือมโนธรรมในจิตใจ ที่ทําใหพวกเธอตระหนักวาสังคมคาดหวังใหพวกเธอ
เปนอยางไร และพวกเธอควรจะปฏิบัติตัวอยางไร เพื่อใหสอดคลองกับความตองการหรือความเชื่อ
นั้น เพื่อใหเกิดการยอมรับจากสังคมภายนอก (ยศ สันตสมบัติ, 2542: 65) โดยเปนการควบคุม
ที่ไมตองใชกําลังบังคับ แตเปนการควบคุมในระดับจิตใจ และสงผลตอความรูสึกใหพวกเธอ
อยากจะปฏิบัติตาม และเกิดความรูสึกผิดเมื่อไมสามารถปฏิบัติตามได
ดัง นั้ น เมื่ อ พวกเธอได ล ะเมิ ดคุ ณ ค า ของสั ง คมที่ มี พ อ แม / แม เ ป น สั ญ ลั ก ษณ ห รื อ เป น
ตั ว แทนไปแล ว และเกิ ดเป น ความรู สึ กผิ ด อยู ใ นใจ เพราะคิ ดว า การกระทํ า ของพวกเธอทํ า ให
พ อ แม ผิ ด หวั ง หรื อ เสี ย ใจ ส ง ผลให วิ ธี ก ารที่ พ วกเธอนํ า มาใช จั ด การกั บ ความรู สึ ก ดั ง กล า ว
ของตัวเองอยูในรูปแบบของการไมพูดถึงเรื่องดังกลาว หรือพยายามปกปดเพื่อไมใหพอกับแม/แม
ได รั บ รู เ รื่ อ งนี้ แม แ ต เ มื่ อ อยู ใ นสถานการณ ที่ พ วกเธอคิ ด ว า พ อ กั บ แม / แม อ าจจะได รั บ ทราบ
เรื่องดังกลาวแลว อยางเชนสถานการณของพิมที่ไมแนใจวาแมไดมาเห็นชุดทดสอบการตั้งครรภ
แลวหรือยัง หรือเพื่อนของแมจะมาบอกแมวาไดเจอเธอกับพี่ตอที่หัวหินหรือไม พิมก็ยังคงไมพูดถึง
108

เรื่องดังกลาวกับแม เชนเดียวกับที่แมก็ไมไดเอยถึงเรื่องนี้กับเธอดวยเชนกัน หรือในกรณีของจูน


ที่ ภ ายหลั ง จากที่ พ อ กั บ แม ท ราบเรื่ อ ง ว า เธอเคยผ า นการมี ป ระสบการณ ท างเพศมาแล ว
จูนก็ใชวิธีการนิ่งเงียบและขอมาใชชีวิตอยูหางจากที่บาน โดยพยายามระมัดระวังไมทําใหเรื่องเพศ
ของเธอเป น ที่ เ ดื อ ดร อ นของครอบครั ว ดั ง นั้ น ชี วิ ต ทางเพศของพวกเธอจึ ง เหมื อ นเป น อี ก
อาณาบริเวณของชีวิตที่ถูกแยกออกจากอาณาบริเวณอื่นๆ ของความเปนลูกสาวที่ดีของพอแม/แม
และเปนอาณาบริเวณที่ไมมีการพูดถึงภายในครอบครัว อยางไรก็ตาม การไมพูดถึงเรื่องดังกลาว
ก็ ไ ม ไ ด ห มายความว า จะทํ า ให พ วกเธอรู สึ ก สบายใจหรื อ โล ง ใจโดยสิ้ น เชิ ง เพราะพวกเธอ
ก็ ยั ง ตระหนั กถึ ง ความผิ ดในส ว นนี้ ข องตั ว เองอยู ต ลอดเวลา เพราะพวกเธอรู ตั ว ดี ว า ได ล ะเมิ ด
แนวทางของความเป น “ผู ห ญิ ง ดี ” ตามความคาดหวั ง ของสั ง คม ที่ ต อ งการให ผู ห ญิ ง รั ก ษา
ความบริสุทธิ์ของตัวเองไว หรือไมยุงเกี่ยวกับเรื่องเพศจนกวาจะแตงงาน
นอกจากการแบงแยกอาณาบริเวณของชีวิตในแงมุมตางๆ ออกจากกันโดยทําใหเรื่องเพศ
ของพวกเธอเปนเรื่องที่ไมถูกพูดถึงกับพอแม/แม และทําใหพวกเธอดําเนินชีวิตเปนลูกสาวที่ดีของ
พวกท า นไปตามปกติ เ พื่ อ ให พ วกท า นสบายใจ จะเป น รู ป แบบหนึ่ ง ของการต อ รองกั บ กรอบ
ทางสังคมที่จํากัดเรื่องเพศของผูหญิงไวภายใตการแตงงานแลว การตอรองในรูปแบบดังกลา ว
ยังเปนไปเพื่อใหคนอื่นๆ เขาใจวา พวกเธอยังคงดําเนินชีวิตไปตามกรอบของสังคมอยูโดยเฉพาะ
ในเรื่ อ งเพศ นอกจากนี้ ในส ว นของการดํ า เนิ น ชี วิ ต ทางเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอนั้ น
ยังพบวา มีรูปแบบของการตอรองกับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมซึ่งประกอบไปดวยองคประกอบ
ต า งๆ ที่ ผู ค นเชื่ อ ว า ถู ก ต อ งตามที่ ไ ด ก ล า วไปแล ว ด ว ยเช น เดี ย วกั น กล า วคื อ ในเรื่ อ งเพศ
นอกการแตงงานของพวกเธอก็มีสถานการณที่พวกเธอไมสามารถทําตามบางองคประกอบของ
เรื่องเพศดังกลาวได พวกเธอจึงมีการเลือกใหความสําคัญกับองคประกอบอื่นๆ ของเรื่องเพศขึ้นมา
แทน เพื่อทําใหการตัดสินใจของพวกเธอมีเหตุผลเพียงพอ และทําใหมันเปนเรื่องเพศที่พวกเธอ
คิ ดว า มี ลั กษณะที่พ อจะยอมรั บได ซึ่ง ผู เ ขีย นขอแบ ง การตอ รองของพวกเธอกั บ กรอบดัง กล า ว
ดวยวิธกี ารเลือกใหเหตุผลออกเปนหัวขอตางๆ ดังนี้

การใหความสําคัญกับการมีเพศสัมพันธ
ความรูสึกของพิมเมื่อเสียความบริสุทธิ์ไปแลวก็เหมือนกับตัวเองมีความเปลี่ยนแปลง
ในแงของความรูสึกที่คิดวาไมมีอะไรใหยึดเหนี่ยวอีกตอไป พิมจึงมองวาการจะมีอะไรกับผูชายที่
ตัวเองรักในครั้งตอๆ มาทําไดงายกวาครั้งแรก เพราะไมตองกังวลกับเรื่องการรักษาความบริสุทธิ์
ของตัวเองอีก ซึ่งเธอคิดวาคนที่มองวาความบริสุทธิ์ของเธอเปนสิ่งสําคัญก็คือแม ดังนั้น เธอจึง
ไมบอกใหแมรูเรื่องนี้เพื่อใหแมเขาใจวาเธอยังคงเปนสาวบริสุทธิ์ตามที่แมตองการอยากใหเธอ
109

เปนอยู แตการที่จะบอกวาเธอไมไดกังวลกับมันอีกตอไปก็ไมถูกตองนัก เพราะเธอก็ยังคงรูสึกวา


ตัวเองทําผิดที่ไดทําลายคุณคานั้นลงไปแลวอยูตลอดเวลา ทั้งจากความรูสึกที่กังวลวาจะทําอยางไร
หากแมมารูเรื่อง หรือกลัววาคูรักของเธอที่มีความเปนผูใหญกวามากๆ อยางพี่ตอจะรังเกียจที่เธอ
ไมใชสาวบริสุทธิ์แลว อยางไรก็ตาม แมเธอจะรูวาการมีเพศสัมพันธกอนแตงงานเปนเรื่องที่ผิด
ในขณะเดียวกับที่เธอเองก็คิดวาการมีเพศสัมพันธคือหนทางที่ทําใหไดมาซึ่งความรัก ความอบอุน
ในความสัมพันธ และเธอก็ไมสามารถปฏิเสธการมีเพศสัมพันธจากคนรักได การหยิบยกเหตุผลที่วา
ในเมื่อตัวเองก็ไมไดเปนสาวบริสุทธิ์แลวจึงไมมีความจําเปนที่จะตองรีรอหรือเหนียมอายมาใช
จึ ง กลายเป น อี ก เหตุ ผ ลหนึ่ ง ที่ เ ธอหยิ บ ยกมาใช ส นั บ สนุ น การที่ เ ธอได ตั ด สิ น ใจมี เ พศสั ม พั น ธ
ในครั้งตอๆ มาของตัวเอง
เชนเดียวกันกับจูนที่มองวา การสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแลวทําใหเธอคิดวาสามารถ
ตัดสินใจดําเนินความสัมพันธกับผูชายคนตอมาไดงายมากขึ้น เนื่องจากไมมีอะไรตองคิดกังวลอีก
และทําใหเธอมองวา เรื่องเพศสามารถนํามาใชเปนเครื่องมือในการเรียนรูซึ่งกันและกันได แตก็เปน
เช นเดี ยวกันกั บกรณี ของพิมที่ เธอเองก็ยั งตระหนั กถึง ความรู สึ กของพอ กั บแม ใ นประเด็นนี้ อ ยู
จูนจึงใชวิธีการในการตอรองกับความรูสึกผิดดังกลาวของตัวเอง ดวยการพยายามรักษาระยะหาง
จากที่บาน เพื่อไมใหพอกับแมทราบเรื่องราวของเธอ และเลือกดําเนินความสัมพันธทางเพศกับ
คู ข องเธอไปตามที่ เ ธอต อ งการ อย า งเช น การใช ชี วิ ต ร ว มกั น แบบอยู ก อ นแต ง ที่ เ ธอมองว า
เปนความสัมพันธเชิงแลกเปลี่ยนที่ใหประโยชนกับเธอและคูของเธอได ไมวาจะเปนเรื่องของ
ความใกลชิด ความผูกพัน หรือเรื่องเศรษฐกิจของเธอกับคนรัก
นอกจากนี้ เมื่ อ พวกเธอเองก็ ย อมรั บ ว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งานเป น เรื่ อ งที่
ไม ถูกตอ ง แต การมี เ พศสั ม พั นธ กั บคนรั กก็ เ ป น เรื่ องที่สํ า คั ญ ในความสั มพั นธ การดํ า เนิ นชี วิ ต
ทางเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอจึ ง ต อ งเป น ไปอย า งระมั ด ระวั ง โดยไม ใ ห มี เ รื่ อ งของ
การเจริ ญ พั น ธุ เ กิ ด ขึ้ น เพราะด ว ยสรี ร ะของผู ห ญิ ง ที่ เ อื้ อ ต อ การตั้ ง ครรภ จึ ง ทํ า ให เ กิ ด แนวคิ ด
ที่ตองการควบคุม กํากับเรื่องเพศของผูหญิงไวภายใตการแตงงานหรือระบบครอบครัวเทานั้น
ในเมื่อสถานการณในปจจุบันของพวกเธอยังไมเอื้ออํานวยกับการแตงงาน มีครอบครัว เพราะ
ยั ง ไม มี ค วามพร อ มในทุ ก กรณี และพวกเธอก็ รู ดี ว า ไม มี ใ ครยอมรั บ การตั้ ง ครรภ ข องพวกเธอ
ในชวงเวลานี้ไดแนนอน ดังนั้น พวกเธอจึงมีการควบคุมเนื้อตัวรางกายของตัวเอง เพื่อไมใหเกิด
การตั้งครรภ จ นทํ า ให เ รื่ องเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอกลายเป นปญ หาในภายหลัง และ
การควบคุมเนื้อตัวรางกายของตัวเองในประเด็นดังกลาว ยังทําใหพวกเธอสามารถมีเพศสัมพันธ
กับคนรักโดยไมตองกังวลถึงปญหานี้ตอไปเรื่อยๆ ไดอีกดวย
110

การใหความสําคัญกับความพึงพอใจที่มีตอกัน
การมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ รุ น พี่ ผู ห ญิ ง ของพิ ม นั้ น เกิ ด จากความรู สึ ก อยากรู อ ยากลอง
ในเรื่องเพศในขณะที่ เ ปนวัย รุน รวมถึง การที่ ตัวเองก็รูสึ กพึง พอใจในตัวรุ นพี่คนนี้ดวยเชนกัน
และเธอมองวาการมีความสัมพันธทางเพศกับผูหญิงก็ไมไดเปนการละเมิดความตองการของแม
ที่ไมตอ งการใหเธอยุงเกี่ ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งในความคิดของเธอหมายถึงการมีความสัมพันธกับ
เพศตรงข า มเท า นั้ น เธอจึ ง ไม ไ ด รู สึ ก ว า ความสั ม พั น ธ ใ นครั้ ง นั้ น เป น การเสี ย ตั ว แต เ ป น การ
มี ค วามสั ม พั น ธ เ พื่ อ ตอบสนองความต อ งการของตั ว เองที่ อ ยากมี ป ระสบการณ ท างเพศ
แตยังไมสามารถมีกับผูชายไดดวยเงื่อนไขอะไรหลายๆ อยาง แตสําหรับในกรณีนี้ การใหเหตุผลกับ
เรื่องของความพึงพอใจที่พวกเธอมีใหตอกัน จึงเปนสิ่งที่พิมหยิบยกมาใชตอรองกับการที่สังคม
กําหนดใหรูปแบบของความสัมพันธระหวางเพศตรงขามเทานั้นถึงจะเปนเรื่องที่ถูกตอง เพราะ
เธอมองว า หากคนสองคนมี ค วามรู สึ ก ที่ ดี ใ ห กั น ก็ ส ามารถมี ค วามสั ม พั น ธ กั น ได แม จ ะเป น
เพศเดี ย วกั น ก็ ต าม แต เ ธอก็ ยั ง คงต อ งป ด บั ง ความสั ม พั น ธ นี้ จ ากคนที่ บ า น เนื่ อ งจากเธอรู ว า
อยางไรเสีย มันก็เปนรูปแบบของความสัมพันธที่คนอื่นๆ ก็ไมยอมรับอยูดี
สํ า หรั บ จู น นั้ น การมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ น อ งโอ เป น ตั ว อย า งที่ เ ห็ น ได ชั ด ว า
เธอใหความสําคัญกับความพึงพอใจที่มีใหกับเขา มากกวาที่จะยึดถือองคประกอบในเรื่องอื่นๆ
ไมวาจะเปนจากจุดเริ่มแรกที่เธอเปนฝายเริ่มตนถามเรื่องการมีเพศสัมพันธกับเขากอน ทั้งๆ ที่ตัวเธอ
เคยเปนฝายรองรับการเขาหาของผูชายมากอน ไมวาจะเปนจากแบงคหรือโต แตครั้งนี้เมื่อเธอรูสึก
วา เธอชอบเขามาก เธอจึง เป นฝ า ยเริ่ มต นที่ จ ะมีเพศสั มพั นธ กอนได และแมก ระทั่งเมื่อนองโอ
มาสารภาพกับเธอภายหลังวาเขาเองมีแฟนอยูแลว ซึ่งเธอก็ตัดสินใจที่จะคบกับเขาตอไป เพราะเธอ
เห็นวามันเปนความสัมพันธที่ดี และเธอก็มีความพึงพอใจในตัวของเขามาก จนยอมละเลยรูปแบบ
ของความสัมพันธที่ถูกตองในดานของความซื่อสัตยไป และเปนเพราะเธอมองวาความสัมพันธ
ในครั้งนี้คุมคา แมจะตองเปนฝายรอคอยหรือตองแอบคบแบบหลบๆ ซอนๆ ก็ตาม ตามที่ไดอธิบาย
รายละเอี ย ดเรื่ อ งไปแล ว ในส ว นแรก แม สุ ด ท า ยแล ว เธอก็ เ ลื อ กกลั บ มาสู ค วามสั ม พั น ธ ที่ มี
องคประกอบอยางอื่นมากกวาความพึงพอใจที่มีใหตอกัน อยางเชนเธอเลือกที่จะมีความสัมพันธ
ที่ มี ค วามมั่ นคงแน นอนแทน ซึ่ง คิดวา น า จะเกิ ดขึ้น จากการสานสัมพั นธกั บ อั้ม แต จู นก็ บอกว า
เธอไม เ คยรู สึ กเสี ย ใจเลยที่ เ คยมี ค วามสั ม พั นธ ลั ก ษณะนั้ นกั บ น อ งโอ แม จ ะเป น ความสั มพั นธ
ที่ไมถูกตองก็ตาม
นอกจากนี้ มีหลายครั้งที่จูนใหเหตุผลกับการมีเพศสัมพันธนอกการแตงงานของเธอวา
เปนไปเพื่อตองการตอบสนองความตองการของตัวเอง โดยไมจําเปนวาจะตองเปนเพศสัมพันธ
กั บ คนรั ก ของตั ว เองเท า นั้ น เพราะจู น มองว า เธอสามารถแบ ง แยกเรื่ อ งของความรั ก ออกจาก
111

การมี เ ซ็ ก ส ไ ด ไม ว า จะเป น การมี เ พศสั ม พั น ธ ค รั้ ง แรกของเธอกั บ แบงค การเรี ย กโตให ม า
มีความสัมพันธทางเพศดวยในภายหลัง หรือการมีความสัมพันธกับผูชายคนอื่นๆ ที่รูจักผานทาง
อิ น เทอร เ น็ ต เป น ต น ซึ่ ง การตั ด สิ น ใจมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ คนเหล า นี้ เธอได ใ ห ค วามสํ า คั ญ กั บ
เรื่ อ งของการตอบสนองความต อ งการของตั ว เองเป น หลั ก โดยไม ไ ด ม องว า ผู ช ายเหล า นั้ น
จะเปนแฟน หรือเปนคนที่เธอรักหรือไม แตอยางนอยก็เปนคนที่เธอคุนเคย หรือมีความพึงพอใจ
อยูบาง และนอกจากความสัมพันธแบบนี้จะเปนไปเพื่อตอบสนองความตองการ หรือความพึงพอใจ
ของตั ว เองแล ว บางครั้ ง ยัง เป น ผลพลอยได อื่ น ๆ ให กับ เธอดว ย เชน การที่ จู นเรีย กให โตมาหา
เพราะเธอตองการมีเพศสัมพันธดวยเพียงอยางเดียว และไลใหเขากลับไปทันทีนั้น กลับกลายเปน
ความรูสึกว าตัวเองไดแกแคนในสิ่งที่เขาเคยทํากับเธอไว และทําใหเธอรูสึกมี อํานาจในตั วเอง
มากขึ้น
อย า งไรก็ ต าม เมื่ อ เวลาผ า นไปและเธอได ม าทบทวนความรู สึ ก ของเธอเกี่ ย วกั บ
การกระทําดังกลาว จูนกลับรูสึกวาสิ่งที่ตัวเองทําไปตอนนั้นไมไดเปนผลดีตอตัวเธอเองเลย และ
ทํ า ให เ ธอรู สึ ก ผิ ด ในสิ่ ง ที่ ไ ด ทํ า ลงไปด ว ยซ้ํ า ว า ทํ า ไปแล ว ได อ ะไร เธอได ค วามสุ ข ใจจริ ง หรื อ
และทํ า ไมต อ งแสดงออกกั บ เขาอย า งรุ น แรงแบบการไล เ หมื อ นหมู เ หมื อ นหมาขนาดนั้ น ด ว ย
ซึ่งเปนเหตุผลที่ทําใหเธอรูสึกไมดี รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธกับผูชายคนอื่นๆ ที่ไมไดเปนคนรัก
ก็ทําใหจูนรูสึกผิดอยูในใจลึกๆ ดวยเชนเดียวกัน วาการทําตามความตองการของตัวเองดวยวิธีการ
มีเพศสัมพันธกับ คนที่ไมไดรักนั้นเปนเรื่องที่ไมถู กตอง ทําใหเห็ นวาจริงๆ แลว ความพยายาม
ของจู น ที่ จ ะต อ รองกั บ กรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คม ด ว ยการเลื อ กให ค วามสํ า คั ญ
กั บ ความรู สึ ก ของตั ว เองซึ่ ง เป นสิ่ ง ที่ ขั ด แยง กั บ กรอบดั ง กล า วนั้ น แม ว า เธอจะสามารถกระทํ า
ไปแล ว แต ใ นที่ สุ ด ตั ว เธอก็ ต อ งนํ า กรอบมาใช เ ป น ตั ว ตั ด สิ น การกระทํ า ของตั ว เองอยู ดี
และกลายเปนความรูสึกผิดที่ตัวเองไดกระทําในสิ่งที่ผิดไปจากกรอบดังกลาว โดยไมจําเปนตอง
อาศัยการประณาม หรือการลงโทษจากภายนอกเลย แสดงใหเห็นถึงพลังอํานาจของกรอบที่ทํางาน
กํากับคนใหเชื่อตามไดถึงในระดับความรูสึกและจิตสํานึกของตัวเอง

การใหความสําคัญกับความมั่นคงในความสัมพันธ
ตามที่ ไ ด ก ล า วไปแล ว ในส ว นแรกว า ผู ใ ห ข อ มู ล ทั้ ง สองคนต า งก็ เ ชื่ อ ในเรื่ อ งที่ ว า
การมีเพศสัมพันธกับคนรัก จะทําใหไดมาซึ่งความรัก ความอบอุน และความสัมพันธที่มั่นคง ทําให
พวกเธอมองว า การมี เ พศสั ม พั น ธ ก อ นแต ง งานนั้ น ไม ใ ช เ รื่ อ งผิ ด ไปทั้ ง หมด ถ า หากว า เป น
ความสัมพันธที่จะนําไปสูความรูสึกดังกลาวได ตัวอยางเหตุการณที่ทําใหเห็นวาพิมใหความสําคัญ
กับความมั่นคงในความสัมพันธมากกวาองคประกอบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมในประเด็นอื่นๆ
112

ก็คือเรื่องของเธอกับพี่ตอ ที่ถึงแมพิมจะไดรูวาพี่ตอยังคงตองติดตอกับภรรยาเกาของเขาอยู และ


กําลังจะมีลูกดวยกันอีกหนึ่งคน แตเธอกลับฝาฝนความตองการของแมที่อยากใหเธอเลิกคบกับเขา
เนื่องจากแมเห็นวาเขาไมซื่อสัตยตอเธอ ดวยการยังแอบคบกับเขาตอไป นั่นเพราะเธอเชื่อวาพี่ตอ
ยังสามารถมอบความมั่ นคงในความสั มพั นธ ให กับเธอได เพราะเขายื นยันกับเธอวา เขารักเธอ
คนเดีย ว ในขณะที่เรื่ องราวกับภรรยาเกา ของเขานั้นเปนความจําเป นที่หลีกเลี่ยงไมได และเขา
ก็ไมไดรูสึกรักใครใยดีในตัวภรรยาเกาแลว แตเมื่อเธอไดมารูภายหลังวาเขาแอบไปมีความสัมพันธ
กับอดีตเพื่อนรวมงานของเธอ ซึ่งเหตุการณนี้หมายถึงการสั่นคลอนความมั่นคงในสัมพันธระหวาง
เธอกับเขา เพราะเทากับเขากําลังแบงความรักไปใหคนอื่น จนทําใหเธอเกิดความรูสึกไมมั่นคงและ
ตองการที่ จะยุ ติความสัมพันธ ในครั้ง นี้ลง แสดงให เห็ นวา ตัว เธอนั้ นมี การเลื อกใหความสํา คัญ
กับความมั่นคงของความสัมพันธ ที่เกิดจากความเชื่อมั่นในตัวคูรักของเธอ ซึ่งอาจจะเปนในรูปแบบ
ของความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว หรือเปนความสัมพันธในรูปแบบอื่นก็ได แตเขาตองทําให
เธอมั่นใจไดวา เธอยังมีความสําคัญมากที่สุดอยู ซึ่งเปนสิ่งที่สําคัญที่สุด และนํามาซึ่งความรูสึก
ที่มั่นคงสําหรับเธอได
สํ า หรั บ จู น นั้ น เหตุ ผ ลในการสานต อ ความสั ม พั น ธ ข องเธอกั บ น อ งกบก็ เ ป น
อี ก ตั ว อย า งหนึ่ ง ที่ ทํ า ให เ รามองเห็ นถึ ง การเลื อ กที่ จ ะให ค วามสํ า คั ญ กั บ ความสั ม พั น ธ ที่ มั่ น คง
ซึ่งใหความแนนอนไดมากกวา แมวาในขณะนั้นจูนจะมีสถานภาพเปนแฟนกับอั้มอยู แตก็เปน
ความสัมพันธที่มีลักษณะคลุมเครือ เนื่องจากไมเธอไมรูวาอั้มกําลังทําอะไรหรืออยูที่ไหน และ
เธอตองรอใหเขาเปนฝายติดตอกลับมา ซึ่งทําใหเธอรูสึกวาเปนความสัมพันธที่ไมมั่นคง เมื่อนองกบ
เขามาทําใหเธอเกิดความรูสึกวาผูชายคนนี้ใหความอบอุน หรือความมั่นคงทางจิตใจไดมากกวา
เธอจึงเลือกใหความสําคัญกับความสัมพันธที่เธอคิดวามีความมั่นคง มากกวาที่จะใหความสําคัญวา
ตองซื่อสัตยกับอั้ม ดวยการยอมเปดใจรับนองกบเปนแฟนอีกคนหนึ่งโดยที่ก็ยังไมไดเลิกกับอั้ม
และเลือกใชวิธีการที่ทําใหคนอื่นเขาใจวาเธอเลิกกับอั้มไปแลว ดวยการประกาศกับเพื่อนรวมงาน
เพื่อตัดปญหาในเรื่องมุมมองของคนนอกที่ตั้งคําถามกับความสัมพันธครั้งนี้ เพื่อใหพวกเขาเขาใจวา
เธอไม ไ ด มี ค วามสั ม พั น ธ ที่ ล ะเมิ ด รู ป แบบของความสั ม พั น ธ ที่ ช อบธรรมในแบบของสั ง คม
แต อ ย า งใด ซึ่ ง ในกรณี ดั ง กล า วนี้ ทํ า ให เ ห็ น ว า ถ า หากครั้ ง ใดที่ พ วกเธอคิ ด ว า เรื่ อ งเพศ
นอกการแตงงานของพวกเธอเปนความสัมพันธที่ใหความมั่นคงกับพวกเธอได พวกเธอก็พรอม
ที่ จ ะยอมกดองค ป ระกอบอื่ น ๆ ของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมที่ พ วกเธออาจจะเคยยึ ด ถื อ
หรือใหความสําคัญลงไปกอน เพื่อใหน้ําหนักกับความสัมพันธที่ใหความมั่นคงหรือความมั่นใจ
กับพวกเธอไดเชนนี้
113

การใหความสําคัญกับความสัมพันธครั้งใหมที่คิดวาดีกวา
ในการมี เ พศสั ม พั นธ นอกการแต ง งานของพิม นั้น ในบางครั้ ง ก็ มีค วามตอ งการที่ จ ะ
ใช ค วามสั ม พั น ธ กั บ ผู ช ายคนอื่ น มาเป น ตั ว ช ว ยในการยุ ติ ค วามสั ม พั น ธ กั บ ผู ช ายคนก อ นหน า
ที่เธอเห็นวาความสัมพันธระหวางเธอกับเขาไมเปนไปตามที่ตองการแลว ทําใหพิมไดตอรองกับ
กรอบเพศวิถีของสังคมที่มองวา ผูหญิงตองเปนฝายสนองตอบในความสัมพันธ ดวยการเปนฝาย
เขาหาผูชายคนใหมกอน จากความเชื่อของเธอที่วา การมีความสัมพันธทางเพศหมายถึงการทําให
ความสัมพันธแนนแฟนมากขึ้น ซึ่งปกติแลวเธอจะเปนฝายตอบสนองความตองการของคูของเธอ
แตสําหรับภาวะที่เธอตองการหลุดออกจากความสัมพันธกับพี่ตอใหได ทําใหเธอเปนฝายใชวิธีการ
ริ เ ริ่ ม ที่ จ ะมี เ พศสั ม พั น ธ กั บ น อ งเอ็ ม ก อ น เช น เดี ย วกั บ กรณี ข องยิ ม ที่ เ ธอเองก็ เ ป น ฝ า ยเข า หา
เขากอน เพื่อที่จะใชความสัมพันธนี้เปนตัวชวยยุติความสัมพันธกับนองเอ็ม แมวาจะตองอยูใน
สภาพของการลักลอบแอบคบกั น ซึ่ งเป นรูปแบบของความสัมพันธที่เธอเองก็คิดวา ไมถูกตอง
ไปก อ นก็ ต าม แต ก ารเป นฝ า ยริ เ ริ่ ม ความสั ม พั น ธ กั บ น อ งเอ็ ม ก อ นทํ า ให พิ ม ตระหนั กว า ตั ว เอง
ไดทําผิดพลาดที่เลือกมีความสัมพันธกับคนที่ยังไมถึงขั้นพัฒนาไปเปนความชอบเลยดวยซ้ํา ทําให
ความสัมพันธในครั้งนี้ไมไดใหความสุขอยางที่เธอตองการ เพราะเธอเองก็ยังยึดติดกับความเชื่อที่วา
ความสัมพันธที่ดีต องเกิดจากคนที่ รักกันเทานั้นอยู ซึ่งการกลับมาใหความสําคัญกับประเด็นนี้
ก็กลายเปนสาเหตุที่ทําใหเธอหันไปพัฒนาความสัมพันธกับยิมแทน เพื่อทําใหเธอหลุดออกจาก
ความสัมพันธกับนองเอ็มได
และความตองการออกจากความสัมพันธที่ไมตองการ อยางเชนความสัมพันธระหวางเธอ
กับนองเอ็มนั้น นอกจากการใชวิธีการมีความสัมพันธกับคนอื่นเพื่อมาเปนตัวชวยแลว ยังมีเรื่องของ
การตัดสินใจกระทําในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อ และความตองการของตัวเองอีกดวย ซึ่งก็คือการที่พิม
ตองยอมมีเพศสัมพันธกับนองเอ็มในคืนที่เธอตั้งใจจะไปบอกเลิกกับเขา ทั้งๆ ที่เธอไมไดรูสึกอะไร
กับผูชายคนนี้อีกตอไป ซึ่งเปนสิ่งที่เธอไมเคยทํามากอนเลยตั้งแตเริ่มมีความสัมพันธทางเพศมา
ซึ่ง ก็เ ปนเพราะว าเธอรู สึกผิดที่ ตัวเองไดนอกใจเขา การมีเพศสั มพั นธ เ พื่อชดเชยความผิด และ
เพื่อทําใหการบอกเลิกนั้นงายขึ้นตามความคิดของเธอจึงเกิดขึ้น แมวาเธอจะมีความรูสึกขัดแยงในใจ
อยางรุนแรงก็ตาม เพราะมันเปนเพศสัมพันธที่ไมไดเกิดกับคนที่เธอรัก แตก็เปนวิธีที่เธอคิดวา
จะแกปญหาและความรูสึกผิดที่คางคาใจตัวเองได แตจากเหตุการณดงั กลาวทําใหเห็นวาในเรื่องเพศ
ของแตละคนนั้น แมวาจะเปนเรื่องเพศที่เกิดขึ้นกับคนๆ เดียวกัน แตสถานการณและบริบทของ
ความสัมพันธก็ มีความเปลี่ย นแปลงไปมาได สงผลใหก ารให เหตุผลของคนที่หยิบ ยกนํ า มาใช
กับการกระทําแตละครั้งในความสัมพันธชุดเดียวกันนั้นมีความแตกตางกันออกไปดวย นอกจากนี้
ประสบการณ ข องพิ ม ก็ ไ ด ส ะท อ นให เ ห็ น ถึ ง อิ ท ธิ พ ลของกรอบเรื่ อ งเพศของสั ง คมที่ ทํ า ให
114

คนเชื่อ ตาม โดยไม ตั้ ง คํ า ถามกับ กรอบดัง กลา วว า เปน เรื่องที่ ถูกตอ งหรื อไม อยา งเช นมายาคติ
ที่ผูกเรื่องเพศสัมพันธที่ดีกับอุดมการณความรักแบบโรแมนติกเขาไวดวยกัน จนดูราวกับวาเปน
เรื่ อ งเดี ย วกั น และต อ งมาพร อ มกั น ทํ า ให เ มื่ อ มี ป ญ หาในความสั ม พั น ธ ที่ ค วามรั ก ความรู สึ ก
เริ่ ม มี ก ารเปลี่ ย นแปลง และส ง ผลไปถึ ง การมองว า เพศสั ม พั น ธ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในความสั ม พั น ธ นั้ น
ก็เริ่มไมดีตามไปดวย ทําใหตองเริ่มมองหาคนใหมที่เชื่อวาจะสามารถทําใหความสัมพันธครั้งใหม
เปนไปตามรูปแบบที่ตองการได โดยไมไดมองวาแทจริงแลวความเชื่อดังกลาวตางหากที่อาจจะ
เป น ป ญ หา เพราะเพศสั ม พั น ธ ที่ ดี อ าจจะไม จํ า เป น ต อ งเกิ ดจากความรั ก ก็ ไ ด แต เ พราะคนเชื่ อ
ในกรอบดังกลาว ทําใหคิดวาเมื่อตัวเองรูสึกเจ็บปวดที่ไมสามารถเติมเต็มความรูสึกจากรูปแบบ
ความสัมพันธที่ผูกความรักกับเซ็กสไวดวยกันได จึงตองมองหาความสัมพันธครั้งใหมกับคนใหม
ที่เชื่อวาจะทําใหเกิดความสัมพันธที่ดีในรูปแบบดังกลาวไดมาทดแทนอยูเรื่อยไป

ปฏิบัติการตอรองกับกรอบความเชื่อเรื่องเพศของสังคมของผูใหขอมูลทั้งสองคนนั้น
เริ่ ม ต น จากการต อ รองกั บ กรอบความเชื่ อ ของสั ง คมที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว ภ ายใต
การแตงงานที่ถูกแสดงออกผานพอแม/แมของพวกเธอ ทั้งในดานที่เปนตัวบุคคลและดานที่เปน
สัญลักษณที่อยูในจิตใจและความรูสึกของพวกเธอ ซึ่งเมื่อพวกเธอไดละเมิดกรอบดังกลาวไปแลว
ดวยการมีเพศสัมพันธกอนแตงงาน ทําใหพวกเธอเกิดความรูสึกผิดในใจและพยายามหาวิธีการ
จัดการกับความรูสึกผิดดังกลาว ซึ่งวิธีการที่พวกเธอใชก็คือการแบงแยกอาณาบริเวณของเรื่องเพศ
ออกจากอาณาบริเวณอื่นๆ ของชีวิตความเปนลูกสาวที่ดีของพวกทาน เพื่อใหเรื่องเพศเปนเรื่องที่
ไมถูกพูดถึง เพื่อทําใหพอแม/แมสบายใจ ไมวาจะดวยวิธีการปลอยใหเรื่องเพศเปนเรื่องที่คลุมเครือ
หรือการเลือกใชชีวิตอยูหางจากการรับรูของที่บาน เพราะพวกเธอคิดวาวิธีการเหลา นี้จะทําให
พวกทา นไมตอ งเปนหวงพวกเธอมาก และทํ าใหพวกเธอสามารถดํา เนินชีวิตทางเพศนอกการ
แตงงานตอไปได เนื่องจากพวกเธอมองวาเรื่องเพศนั้นเปนเรื่องที่สําคัญตอการดําเนินความสัมพันธ
แต ใ นขณะเดี ย วกั น ก็ ยึ ด ติ ด กั บ รู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คมอยู ด ว ย พวกเธอ
จึ ง พยายามกํ า กั บ ให เ รื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของตั ว เองสอดคล อ งกั บ รู ป แบบของเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรมใหมากที่สุดดวย และเมื่อมีสถานการณที่ทําใหพวกเธอรูสึกวาเรื่องเพศของพวกเธอ
อาจจะไม ส อดคล อ งกั บ องค ป ระกอบของเรื่ อ งเพศดั ง กล า ว พวกเธอก็ จ ะใช วิ ธี ก ารเลื อ ก
ใหความสําคัญกับองคประกอบอื่นๆ ของกรอบเพื่อนํามาใชสนับสนุนการตัดสินใจของพวกเธอเอง
เพื่อทําใหเรื่องเพศของพวกเธอในแตละสถานการณนั้นมีเหตุผลที่พอยอมรับได และสอดคลองกับ
ความเชื่อในกรอบดังกลาว เปนการสะทอนใหเห็นวา คนที่ถูกกรอบเรื่องเพศดังกลาวครอบงําอยูนั้น
มี ทั้ ง มิ ติ ข องการเชื่ อ ยอมตาม และการขั ด ขื น ต อ รองกั บ กรอบไปพร อ มๆ กั น ไม ว า จะเป น
115

การใหความสําคัญกับการมีเพศสัมพันธ ดวยการหยิบยกเหตุผลวาในเมื่อตัวเองก็ไมไดบริสุทธิ์
อีกตอไปแลว จึงไมเปนไรถาหากจะมีเพศสัมพันธในครั้งตอๆ ไป และพยายามทําใหเพศสัมพันธ
ของตัวเองเปนเพศสัมพันธที่ปลอดภัยเพื่อไมใหเกิดปญหา การใหความสําคัญกับความพึงพอใจ
ที่พวกเธอและคูมีใหตอกันและเพื่อตอบสนองความตองการของตัวเอง จนยอมละเลยองคประกอบ
ของเรื่ อ งเพศในแง มุ ม อื่ น ๆ ไป การให ค วามสํ า คั ญ กั บ ความมั่ น คงในความสั ม พั น ธ ม ากกว า
ความรูสึกวาตองซื่อสัตย และเมื่อตองการหลุดพนออกจากความสัมพันธที่ไมดี ก็จะใชวิธีการเปน
ฝายเขาหาและเริ่มตนมีเพศสัมพันธกับผูชายคนใหมกอนเพื่อใหเขามาเปนตัวชวยในการออกจาก
ความสั ม พั น ธ แม จ ะต อ งขั ด กั บ ความเชื่ อ ที่ ว า ผู ห ญิ ง ต อ งเป น ฝ า ยสยบยอมตามความต อ งการ
ของผู ช ายก็ ต าม หรื อ ต องฝ นกั บ ความเชื่ อ ของตั ว เองที่ จ ะตอ งมี อ ะไรกั บ คนที่ ตั ว เองรัก เท า นั้ น
โดยไมไดตั้งคําถามกับมายาคติชุดดังกลาวของสังคมเลย

สรุป
ในบทนี้เปนการวิเคราะหถึงมุมมองของผูใหขอมูลทั้งสองคนในเรื่องเพศจากเรื่องเลา
ของพวกเธอ และพบวาพวกเธอทั้งคูตางก็มีมุมมองที่สะทอนถึงความเชื่อในรูปแบบของเรื่องเพศ
ที่ชอบธรรมตามที่สังคมกําหนด ไมวาจะเปนความเชื่อในนิยามความหมายของเรื่องเพศของสังคมที่
กําหนดใหเรื่องเพศเปนเรื่องของความสัมพันธระหวางหญิงชาย และนําไปสูความเชื่อที่ผูกเรื่องของ
การมีเพศสัมพันธไวกับความรัก ทําใหพวกเธอมักจะเปนฝายยอมทําตามความตองการของผูชาย
เพื่อใหไดมาซึ่งความรัก ความอบอุน ความผูกพัน และความมั่นคงในความสัมพันธ นอกจากจะเปน
แคการมีเพศสั มพันธ เ พื่อตอบสนองความตอ งการของรา งกายเทา นั้ น นอกจากนี้ พวกเธอยั งมี
มุมมองที่คลอยตามกับกรอบของสังคมวาเรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรมนั้นควรจะตองเกิดขึ้นภายใต
การแตงงาน ทั้งนี้เพื่อใหการมีเพศสัมพันธเปนที่ยอมรับ และเพื่อทําใหพอแมหรือแมของพวกเธอ
สบายใจ ตลอดจนความพยายามที่จะทําใหความสัมพันธของพวกเธออยูในรูปแบบของผัวเดียว
เมียเดียว หรือพยายามมีความสัมพันธกับคนที่พวกเธอรักหรือมีความรูสึกดีดวยทีละคน (serial
monogamy) เพราะเชื่อวาเปนรูปแบบของความสัมพันธที่ถูกตอง
อยางไรก็ตาม แมวาพวกเธอจะเชื่อในรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และ
พยายามทํ า ใหเ รื่องเพศนอกการแตง งานของตัว เองสอดคลองกั บรูป แบบดั ง กลา วให มากที่ สุ ด
แตพวกเธอก็รูดีวาการมีเพศสัมพันธกอนแตงงานนั้นเปนเรื่องที่ไมถูกตอง ทําใหพวกเธอตองตอรอง
กับกรอบความเชื่อเรื่องเพศที่อยูในรูปแบบของความรูสึกของพอกับแม/แมของพวกเธอ ดวยการ
ไมพูดถึงเรื่องดังกลาวกับพวกทาน หรือพยายามแยกตัวไปใชชีวิตใหอยูหางจากการรับรูของที่บาน
เปรียบเสมือนเปนการแบงแยกอาณาบริเวณของชีวิตทางเพศออกจากดานอื่นๆ ที่แสดงออกถึง
116

ความเปนลูกสาวที่ดี เพราะเชื่อวาวิธีการดังกลาวจะทําใหพอแมสบายใจ และมองวาพวกเธอยังคง


อยูในกรอบอยู แมตัวเองจะยังคงรูสึกไมดีอยูก็ตาม นอกจากการตอรองในรูปแบบดังกลาวแลว
ในเรื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอยั ง ปรากฏเรื่ อ งของการเลื อ กให ค วามสํ า คั ญ กั บ
บางองคประกอบของเรื่องเพศที่ชอบธรรม เมื่อเห็นวาเรื่องเพศของตัวเองเริ่มดําเนินไปในทิศทางที่
ไมเปนไปตามกรอบ ซึ่งการเลือกนี้ก็เปนไปเพื่อใหเรื่องเพศนอกการแตงงานของตัวเองยังคงมี
รูปแบบที่ตัวเองคิดวาถูกตองและผูอื่นพอจะยอมรับได ในเวลาที่ไมสามารถทําตามทุกองคประกอบ
ของเรื่องเพศที่พวกเธอเชื่อตามไดทั้งหมด รูปแบบของการตอรองจึงมีทั้งเรื่องของการสยบยอม
ยอมทํ า ตามโดยไม ตั้ ง คํ า ถามกั บ กรอบดั ง กล า วในบางเรื่ อ ง และการต อ รองที่ จ ะทํ า ตาม
บางองคประกอบของกรอบเรื่องเพศ ดวยการเลือกใหความสําคัญกับบางองคประกอบมากกวา
องคประกอบอื่นๆ ในชวงเวลาเดียวกัน ทําใหมองเห็นความซับซอนของการอยูกับกรอบเพศวิถี
กระแสหลั กของสั งคมที่ ทรงอิท ธิพลและมีพลั งอํ า นาจอยา งมหาศาล โดยคนที่รับ มาใชอ าจจะ
ไมตระหนักหรือรูเทาทันอิทธิพลและการทํางานของกรอบดังกลาวเลยก็ได
แม สุ ดท า ยแล ว การกระทํ า และผลที่ ต ามมาจากการเลื อ กให เ หตุ ผ ลของพวกเธอนั้ น
ก็ ยังคงผู กอยูกั บ ความเชื่ อในกรอบเรื่อ งเพศที่ช อบธรรมของสัง คม ที่ มีเ รื่ องของความสั มพั นธ
เชิ ง อํ า นาจที่ ไ ม เ ท า เที ยมกั น ระหว า งเพศเข า มาเกี่ ย วข อ งด ว ย และทํ า ให เ ราเห็ นว า ในที่ สุ ด แล ว
พวกเธอก็ไมสามารถเปนอิสระจากกรอบดังกลาวได โดยเฉพาะในดานความคิด หรือความรูสึก
ของพวกเธอที่ยังคงยึดติดกับกรอบอยู สิ่งที่พวกเธอทําไดคือการตอรองที่จะทําตามบางเรื่อง และ
ไม ทํา ตามในบางเรื่อง ทั้งโดยตั้ งใจและไมตั้ งใจ ขึ้นอยู กับ สถานการณเ ฉพาะของแต ละบุ คคล
แตอยางนอยพวกเธอก็ยอมรับกับสิ่งที่ไดกระทําลงไป และคิดวาไดทําในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ และทําให
ตัวเองรูสึกดีที่สุดในตอนนั้นแลว เพื่อทําใหชีวิตทางเพศของตัวเอง รวมถึงชีวิตในมิติอื่นๆ ดวยยังคง
ดําเนินตอไปได
บทที่ 6
สรุปและขอเสนอแนะ

เรื่ อ งเพศจั ดเป นแง มุ ม ของชี วิ ต ที่ มี เ รื่ อ งของการกํ า กั บ /ควบคุ ม มี ก ารให ค วามหมาย
และใหคุณคา เพื่อใหเปนไปตามรูปแบบหรือกรอบของเรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรม หรือเปนที่
ยอมรับของสังคม การควบคุม/กํากับเรื่องเพศเกิดขึ้นจากแนวคิดที่มองเรื่องเพศไปในทางลบและ
อาจกอใหเกิดเรื่องวุนวายไดหากไมเปนไปตามแนวทางที่สังคมกําหนด ดังนั้นเรื่องเพศที่ยอมรับได
ของคนในสั ง คมจึ ง อยู ใ นรู ป แบบที่ จํ า กั ด กล า วคื อ ต อ งเป น เรื่ อ งเพศที่ เ กิ ด ขึ้ น ภายใต ส ถาบั น
การแต ง งานที่ สั ง คมให ก ารยอมรั บ และเป น ความสั ม พั น ธ แ บบผั ว เดี ย วเมี ย เดี ย วเพื่ อ ให เ กิ ด
การเจริญพันธุ ซึ่งก็หมายถึงตองเปนเรื่องเพศที่เกิดขึ้นระหวางเพศตรงขาม และเกิดขึ้นจากความรัก
หรือมีความผูกพันเขามาเกี่ยวของ จึงจะถือวาเปนความสัมพันธที่ดี ไมใชเปนเรื่องเพศเพื่อการคา
ซึ่งถูกมองวาเปนเรื่องเพศที่ไมมีคุณภาพ กรอบที่มองเรื่องเพศไปในแนวทางดังกลาวทําใหเรื่องเพศ
ที่อยูในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ถูกมอง หรือตัดสินวาเปนเรื่องเพศที่ “ผิด” หรือเปนพฤติกรรม
ที่อาจนํามาซึ่งปญหาตางๆ ได เรื่องเพศที่ไมเปนไปตามกรอบนี้กลายเปนสิ่งบงชี้ความเสื่อมถอย
ของระบบคุณคาทางสังคมตางๆ ไมวาจะเปนเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี จารีต วัฒนธรรม
ศีลธรรม หรือแมแตเปนตัวชี้วัดความลมเหลวของสถาบันตางๆ ทางสังคมที่เกี่ยวของกับการปลูกฝง
ขัดเกลาพลเมือง ดังนั้น พฤติกรรมทางเพศที่ปจเจกแตละคนแสดงออกมา หรือแมแตภายในระดับ
ความคิดจิตใจของผูคนในสังคมนั้น ก็มีการนํากรอบหรือรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมมาเปน
ตัวชี้วัดวาสิ่งที่ตัวเองหรือคนอื่นๆ ไดกระทํานั้น ถูกตองหรือเปนไปตามกรอบหรือไม อยางไร และ
ถ า หากไม เ ป น ไปตามกรอบก็ จ ะส ง ผลให เ กิ ด การลงโทษในรู ป แบบต า งๆ เช น การลงโทษ
ทางกฎหมาย หรื อ การประณามทางสั ง คม รวมไปถึ ง การเกิ ด ความรู สึ ก ผิ ด ภายในใจที่ ตั ว เอง
ไมสามารถทําตามกรอบของสังคมหรือทําใหเกิดการมองตัวเองไปในทิศทางลบ โดยไมจําเปน
ตองมีคนอื่นหรือคนนอกมาตัดสินลงโทษเลยก็ได
การศึกษาในครั้งนี้เปนการศึกษามุมมองที่มีตอเรื่องเพศนอกการแตงงานของผูหญิงไทย
ชนชั้นกลางสองคน วาทามกลางสังคมไทยที่มีการจํากัดเรื่องเพศของผูหญิงไวภายใตการแตงงาน
ด ว ยการปลู ก ฝ ง อุ ด มการณ “รั ก นวลสงวนตั ว ” ให กั บ ผู ห ญิ ง และมี แ นวทางการมองเรื่ อ งเพศ
นอกการแตงงานวาเปนเรื่องไมเหมาะสมหรือเปนเรื่องอันตรายนั้น พวกเธอซึ่งมีประสบการณ
ทางเพศนอกการแตงงานมาแลว มีมุมมองตอเรื่องเพศของตัวเองอยางไร และมุมมองของพวกเธอ
ไดสะทอนความเชื่อ ความหมายในเรื่องเพศวิถีชุดหลักของสังคมอยางไรบาง และการดําเนินชีวิต
118

ทางเพศนอกการแตงงานของพวกเธอนั้นมีการตอรองกับความเชื่อเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม
ในลักษณะใดหรือไม อยางไร
ผลการศึกษาพบวา เรื่องเพศนอกการแตงงานของผูใหขอมูลทั้งสองคนนี้ไดสะทอน
ความเชื่อในเรื่องเพศวิถีของสังคมที่มีลักษณะแบบชายเปนใหญ ที่กําหนดใหเรื่องเพศเปนเรื่องของ
การมี ค วามสั ม พั น ธ ท างเพศระหว า งชายกั บ หญิ ง เท า นั้ น เนื่ อ งจากพวกเธอไม ไ ด นั บ การ
มีความสัมพันธในรูปแบบอื่นๆ เชนความสัมพันธระหวางเพศเดียวกันวาเปนการมีเพศสัมพันธ
ซึ่ ง หากจะมองในมุ ม ของนั ก สตรี นิ ย มสายรากเหง า แล ว การมองเรื่ อ งเพศอย า งจํ า กั ด เช น นี้
เป น การสะท อ นมุ ม มองที่ มี ก ารเชื่ อ มโยงการมี เ พศสั ม พั น ธ ซึ่ ง ถื อ เป น กิ จ กรรมที่ เ กิ ด ขึ้ น เพื่ อ
ตอบสนองความตองการทางเพศ เขากับการใชประโยชนบนเนื้อตัวรางกายของผูหญิง เพื่อใหผูหญิง
เป น วั ต ถุ ท างเพศสํ า หรั บ ผู ช ายเท า นั้ น โดยเบี ย ดขั บ ความสั ม พั น ธ ใ นรู ป แบบอื่ น ๆ เช น
การมีเพศสัมพันธของคนเพศเดียวกันออกไปจากรูปแบบของเพศวิถี หรือเพศสัมพันธที่ถูกตอง
ชอบธรรม ทําใหความสัมพันธแบบรักตางเพศกลายเปนสถาบันโดยที่ไมถูกตั้งคําถาม นอกจากนี้
เรื่องเพศนอกการแตงงานของพวกเธอยังสะทอนเรื่องของการผูกความรักกับการมีเพศสัมพันธ
เขาไวดวยกัน เพราะพวกเธอตางมีความเชื่อ หรือถูกทําใหเชื่อโดยคนที่เปนคนรักของพวกเธอวา
การมีเพศสัมพันธกันจะเปนหนทางที่นําไปสูการมีความสัมพันธที่มั่นคง และทําใหเพศสัมพันธ
ที่ เ กิ ดขึ้ น เพื่ อ ต อ งการตอบสนองความอยากรู อ ยากลอง หรื อ ความต อ งการทางเพศของตั ว เอง
ที่เกิดขึ้นกับคนที่พวกเธอไมไดรักหรือไมมีความผูกพันดวย กลายเปนเพศสัมพันธที่ทําใหพวกเธอ
รูสึกไมสบายใจ หรือไมมีความสุขกับมันเทาที่ควร แมพวกเธอจะบอกวาตัวเองเปนคนที่ชื่นชอบ
ในเรื่องของการมีเพศสัมพันธก็ตาม แตก็ตองเปนเพศสัมพันธตามเงื่อนไขของอุดมการณความรัก
แบบโรแมนติกเทานั้น
มุ ม มองของพวกเธอยั ง สะท อ นแนวคิ ด ที่ ย อมรั บ ว า การแต ง งานคื อ การรั บ รอง
การมี เ พศสั ม พั น ธ ที่ ถู ก ต อ งอี ก ด ว ย เพราะพวกเธอมองว า ที่ สุ ด แล ว ถ า หากชี วิ ต ของพวกเธอ
ในวันขางหนาจะลงเอยกับใครก็คงตองผานการแตงงานใหถูกตองตามประเพณีเสียกอน เพื่อให
พอแมหรือผูใหญเกิดความสบายใจ ถึงแมวาโดยสวนตัวแลวพวกเธออาจจะไมไดเห็นความสําคัญ
ของการจัดพิธีแตงงาน หรือมองวาการไดใชชีวิตรวมกับคนที่รักก็เพียงพอแลว โดยไมตอง
จั ด พิ ธี ก รรมใดๆ ก็ ไ ด แต ใ นตอนนี้ พ วกเธอก็ ยั ง คงมองว า การมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งาน
ของพวกเธอก็ไมใชเรื่องที่ถูกตอง หรือสามารถเปดเผยตอพอแมของพวกเธอไดแตอยางใด และ
การตระหนักวาเรื่องเพศนอกการแตงงานของตัวเองไมใชสิ่งที่ถูกตอง ยังสงผลใหพวกเธอพยายาม
แยกเรื่องของการมีเพศสัมพันธออกจากการเจริญพันธุอีกดวย เพื่อไมใหเรื่องเพศของพวกเธอทําให
ตัวเองและผูอื่นตองเดือดรอน นอกจากนี้ เรื่องเพศของพวกเธอยังถูกผูกเขากับความเชื่อในรูปแบบ
119

ของความสัมพันธแบบผัวเดียวเมียเดียว เนื่องจากพวกเธอจะพยายามรักษาความสัมพันธของตัวเอง
ใหอยูในรูปแบบดังกลาวเสมอ โดยเฉพาะในแงของความรูสึก ที่พวกเธอตางก็ย้ําวาไมตองการ
ใหเกิดความรูสึกรัก หรือรูสึกดีกับคนสองคนพรอมๆ กันในชวงเวลาเดียวกัน ถึงแมจะไมถึงขั้น
มีความสัมพันธทางเพศกันก็ตาม เพราะนั่นหมายถึงเปนการนอกใจ หรือการไมซื่อสัตยที่มีตอคนรัก
ของพวกเธอ ซึ่งถาหากเกิดเหตุการณความสัมพันธซอนขึ้น พวกเธอก็จะหาวิธีจัดการกับความรูสึก
หรือความสัมพันธดังกลาว เพื่อทําใหความสัมพันธของตัวเองกลับมาอยูในรูปแบบของเรื่องเพศ
ที่ถูกตองชอบธรรมตอไป โดยการพยายามขอยุติความสัมพันธกับคนเกา หรือการทําใหคนรอบขาง
เขาใจวาตัวเองไมไดละเมิดรูปแบบของความสัมพันธที่ถูกตอง เปนตน จะเห็นไดวาจากเรื่องเพศ
นอกการแตงงานของพวกเธอไดสะทอนมุมมอง และวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศที่ผูกติดอยูกับความเชื่อ
ในกรอบหรือรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม ถึงแมวาเรื่องเพศของพวกเธอจะไมได
เป น ไปตามรู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมพร อ มๆ กั น ทุ ก องค ป ระกอบ คื อ เป น เรื่ อ งเพศ
ที่อยูภายใตสถาบันการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียว เปนไปเพื่อการเจริญพันธุ และเกิดจากความรัก
แต พ วกเธอก็ พ ยายามกํ า กั บ ให เ รื่ อ งเพศของตั ว เองเป น ไปตามกรอบดั ง กล า วให ม ากที่ สุ ด
โดยวิธีการตอรองกับกรอบดังกลาว
ไม ว า จะเป น การต อ รองกั บ กรอบของสั ง คมที่ จํ า กั ด เรื่ อ งเพศของผู ห ญิ ง ไว ภ ายใต
การแตงงาน ดวยการจัดการกับความรูสึกของตัวเองภายหลังจากการฝาฝนความตองการของพอแม/
แมดวยการมีเพศสัมพันธครั้งแรกกับผูชาย วิธีการที่พวกเธอใชตอรองกับความเชื่อดังกลาวก็คือ
การแบงแยกอาณาบริเวณเรื่องเพศของตัวเองออกจากมิติอื่นๆ ในชีวิต เพื่อทําใหเรื่องเพศเปนเรื่องที่
ไม ถู ก พู ด ถึ ง หรื อ การต อ รองกั บ กรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมด ว ยการเลื อ กให ค วามสํ า คั ญ กั บ
บางองค ป ระกอบของกรอบดั ง กล า ว ในช ว งเวลาหรื อ สถานการณ ที่ แ ตกต า งกั น ในแต ล ะ
ความสัมพันธของพวกเธอ ทําใหความสัมพันธ “นอกกรอบ” ของพวกเธอยังมีลักษณะสอดคลอง
กับรูปแบบของเรื่องเพศที่ชอบธรรมอยูบาง เพื่อทําใหเรื่องเพศนอกการแตงงานของพวกเธอเปน
ไปตามรู ป แบบของเรื่ อ งเพศที่ พ วกเธอคิ ด ว า ควรจะเป น หรื อ ไม ไ ด ผิ ด ไปจากกรอบทุ ก อย า ง
โดยสิ้นเชิง เพราะอยางไรเสี ย พวกเธอก็ยั งคงใหความสํ าคั ญกั บเรื่องเพศ และมองว า เรื่ องเพศ
เป น เครื่ อ งมื อ ที่ จ ะได ม าซึ่ ง สิ่ ง ที่ พ วกเธอต อ งการ แม ว า ในบางครั้ ง ความรั ก และความสั มพั น ธ
ของพวกเธอ จะนํามาซึ่งความเสียใจ ความผิดหวัง หรือความรูสึกขัดแยงภายในใจของพวกเธอ
ก็ ต าม ซึ่ ง ความรู สึ ก ต า งๆ เหล า นี้ หรื อ แม แ ต ก ารต อ รองของพวกเธอก็ ล ว นเกิ ด ขึ้ น จากการ
ผูกเรื่องเพศและความสัมพันธของตัวเอง เขากับกรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม และเปนการ
สะทอนวากรอบดังกลาวทํางานกํากับใหผูคนในสังคมเชื่อ และพยายามปฏิบัติตามอยางทรงพลัง
ไดอยางไร
120

จุดเริ่มตนของการทําวิทยานิพนธในหัวขอนี้ของผูเขียนเกิดจากมุมมองสวนตัวที่มีตอ
ประสบการณทางเพศของเพื่อนผูหญิงรอบตัว ในเบื้องตนผูเขียนมองวาพวกเธอเปนผูหญิงที่ไมยอม
ทําตามกรอบของสังคม ในประเด็นเรื่องเพศที่ชอบธรรมของสังคม เนื่องจากพวกเธอสามารถ
มีความสัมพั นธทางเพศกอนแตง งานได โดยแสดงออกเหมือนกับเป นเรื่อ งธรรมดา และไมใช
เรื่องผิดแตอยางใด มุมมองของผูเขียนที่มีตอพวกเธอในขณะนั้นจึงเปนไปในทิศทางที่มองพวกเธอ
ในลักษณะของการเปนผูหญิงที่เปยมไปดวยอํานาจ ผูซึ่งสามารถลิขิตชีวิตทางเพศของตัวเองได
อย า งเป น อิ ส ระ ไม ยึ ด ติ ด กั บ กรอบใดๆ เช น เดี ย วกั บ ที่ มี ค นพู ด กั บ ผู เ ขี ย นว า สมั ย นี้ ค นไม ไ ด
ให ค วามสนใจกั บ ประเด็ น เรื่ อ งการมี เ พศสั ม พั น ธ น อกการแต ง งานอี ก แล ว เพราะดู เ หมื อ น
จะกลายเปนเรื่องธรรมดาในสายตาของผูคนสมัยนี้ไปแลว แตเมื่อการศึกษาของผูเขียนดําเนินมา
ถึ ง จุ ด สุ ดท า ยนี้ ผู เ ขี ย นพบว า มุ ม มองของผู เ ขี ย นที่ มี ต อ เรื่ อ งเพศนอกการแต ง งานของพวกเธอ
ไดเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เพราะจากผลการศึกษาไดชี้ใหเห็นวาชีวิตทางเพศนอกการแตงงาน
ของพวกเธอถู กผู กติ ด และร อ ยเรี ย งไปด ว ยกรอบ หรื อ การกํ า กั บ ควบคุ ม จากสั ง คมในรู ป แบบ
ที่แตกตางกัน โดยเฉพาะอยางยิ่งการกํากับจากภายในตัวเองเพื่อทําใหเรื่องเพศของตัวเองเปนไปตาม
รูปแบบของเรื่องเพศที่ถูกตองชอบธรรมดวยเชนเดียวกัน แมแตกรณีของ “ณวรรณ” เพื่อนของ
ผูเขียนอีกคนหนึ่งที่ขอถอนตัวออกจากการเปนผูใหขอมูล ดวยเหตุผลที่วาเธอไมอยากใหเรื่องราว
ในอดี ต ของเธอมากระทบกั บ ชี วิ ต แตง งานในป จ จุ บั นของตัว เอง เนื่ องจากตอนนี้ ชีวิ ตทางเพศ
ของเธอได เ ป น ไปตามกรอบดั ง กล า วแล ว และไม อ ยากจะเข า ไปเกี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งเพศ
นอกการแตงงานอีก แมวาจะเปนเพียงรูปแบบของการทบทวนความทรงจําในอดีตของตัวเองก็ตาม
แสดงใหเห็นความทรงพลังอํานาจของกรอบดังกลาว ที่กํากับควบคุมความคิดและมุมมองของ
คนในสังคมไดเปนอยางดี
กรอบเรื่องเพศเปนกรอบที่ทรงพลัง และมีอิทธิพลตอความคิดและการมองโลกของผูคน
ในสั ง คมอย า งมาก และส ง ผลต อ การกระทํ า หรื อ พฤติ ก รรมทางเพศของคนในที่ สุ ด ทั้ ง ๆ ที่
การประกอบกิจกรรมทางเพศนาจะเปนไปเพื่อการตอบสนองความตองการทางเพศของแตละคน
เช น เดี ย วกั บ การรั บ ประทานอาหารหรื อ การดื่ ม น้ํ า แต เ รื่ อ งเพศกลั บ เป น เรื่ อ งที่ มี ข อ จํ า กั ด
และข อ กํ า หนดต า งๆ มากมาย ที่ ทํ า ให เ ราไม ส ามารถแสดงออกซึ่ ง ความต อ งการทางเพศได
อยางเปนอิสระ หรือตอบสนองความตองการที่แทจริงของเราได โดยเฉพาะอยางยิ่ง การนําเอา
เรื่องเพศมาเปนเครื่องมือตัดสินคุณคาของผูหญิง ทําใหเราไดเห็นการตอสูหรือการประณามกันเอง
ของผูที่มีเพศหญิงเหมือนกัน แตมีความเชื่อหรือความตองการที่ตางกัน หรือมีการลงโทษผูหญิง
ที่ เ ห็ น ต า งออกไปในรู ป แบบที่ ห ลากหลายจากผู ห ญิ ง ด ว ยกั น เอง ทั้ ง ๆ ที่ มี ค วามคาดหวั ง หรื อ
ความตั้ ง ใจของนั ก สตรี นิ ย มที่ ต อ งการเห็ น ผู ห ญิ ง ในฐานะที่ มี ค วามเป น พี่ เ ป น น อ งกั น หรื อ
121

มีประสบการณรวมกันไดมารวมตัวกันเพื่อตอตานการถูกกดขี่จากระบอบปตาธิปไตย อยางไรก็ตาม
การศึกษาในครั้งนี้ก็ทําใหเห็นถึงความแตกตางหลากหลายของเรื่องเพศของแตละคน ที่แมจะมี
กรอบหรื อ รูป แบบของเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรมของสั ง คมชุ ดเดี ย วกั นเปน แนวทางให ป ฏิ บั ติ ต าม
แตแทจริงแลวเรื่องเพศของแตละคนก็มีรายละเอียดที่แตกตางกันออกไป หรือแมแตการตอรอง
กับกรอบดังกลาวของแตละคนก็มีความแตกตางกันออกไปดวย สงผลใหมีการปรากฏรูปแบบของ
พฤติกรรมทางเพศที่มีความหลากหลาย เพราะฉะนั้น การเปดพื้นที่ใหกับคนที่มีความแตกตา ง
หลากหลายไดมีโอกาสในการอธิบาย หรือเปดเผยมุมมองโลกทัศน ตามความเขาใจของตัวเอง
นาจะเปนสิ่งที่สําคัญและควรใหความเคารพ มากกวาที่จะมุงประณามหรือลงโทษคนที่ไมทําตาม
กรอบแตเพียงอยางเดียว โดยมองขามความแตกตางหลากหลายของแตละคนที่มีอยู

ขอเสนอแนะ
ผูเ ขีย นทราบดี ว า การศึ กษาในครั้ ง นี้ ไม ใ ช ง านวิ จั ย ที่ ส มบู รณ นั ก ดว ยความอ อ นด อ ย
ประสบการณในการทําวิจัยของผูเขียน ที่ทําใหขอมูลบางสวนที่จะทําใหเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น
ขาดหายไป อยางเชนผูเขียนไมไดใหความสําคัญกับมุมมองของผูใหขอมูลที่มีตอความบริสุทธิ์ของ
พวกเธออย า งลึ ก ซึ้ ง เท า ที่ ค วร ซึ่ ง อาจเป น ข อ มู ล อี ก ด า นที่ ทํ า ให เ ห็ น ความเกี่ ย วพั น ระหว า ง
กรอบเรื่ อ งเพศที่ ช อบธรรม กั บ การตั ด สิ น ใจหรื อ การมองตั ว เองของผู ใ ห ข อ มู ล ภายหลั ง จาก
ผานการมีเพศสัมพันธครั้งแรกและครั้งอื่นๆ ไดชัดเจนมากขึ้น เพราะการใหคุณคากับความบริสุทธิ์
ของผูหญิงนั้นเปนอุดมการณที่มีอิทธิพลตอความคิด ความรูสึกของผูคนในสังคมไทย และเปน
เครื่องมือที่ผูหญิงใชประทับตราตัวเอง และผูอื่นเมื่อไดละเมิดกรอบเรื่องเพศของสังคม ดังนั้น
ถา หากมีผูที่ส นใจจะทํ า วิจั ยในหัวขอ ที่เ กี่ยวข องกั บเรื่อ งเพศของผู คนในสั งคมในครั้ง ต อๆ ไป
ผูเขียนเสนอวานาจะใหความสําคัญกับมุมมองของกลุมเปาหมาย ที่มีตอองคประกอบตางๆ ของ
กรอบเรื่องเพศที่ชอบธรรมอยางละเอียดมากขึ้นกวาที่ปรากฏในงานศึกษาของผูเขียนครั้งนี้ และ
อาจจะเปลี่ยนเปนการศึกษาทําความเขาใจกลุมคนที่อยูในชวงอายุ เพศ หรือชนชั้นที่แตกตางออกไป
ด ว ย เพื่ อ ที่ จ ะได มี ง านวิ จั ย เพื่ อ ทํ า ความเข า ใจ หรื อ มองเห็ น การทํ า งานของกรอบเรื่ อ งเพศ
ที่ชอบธรรมที่มีตอผูคนกลุมตางๆ ในสังคมไดอยางรอบดานมากขึ้น
บรรณานุกรม

กรุงเทพวันอาทิตย. (2547). “กิ๊ก”. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา:


http://www.elib-online.com/doctors47/teen_love002.html (3 มีนาคม 2549).
กําจร หลุยยะพงศ. (2544). “ครอบครัวกับความสัมพันธที่ไมมีวันแปรเปลี่ยน”. ใน กนกศักดิ์
แกวเทพ (บก.), สตรีศึกษา 2: ผูหญิงกับประเด็นตางๆ (หนา 131-218), กรุงเทพฯ:
อรุณการพิมพ.
จูน. สัมภาษณ, ระหวางวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2548–30 มิถุนายน พ.ศ. 2549.
ชลิดาภรณ สงสัมพันธ. (2547 ก). “ฐานคติเรื่องเพศวิถีในนโยบายเรื่องโรคเอดสของรัฐไทย”.
รัฐศาสตรสาร, ปที่ 25 ฉบับที่ 3: 1-75.
ชลิดาภรณ สงสัมพันธ. (2547 ข). ภาษาเพศ: อํานาจ เรื่องทางเพศ กับพหุนิยมทางจริยศาสตร.
เชียงใหม: วนิดาการพิมพ.
ชลิดาภรณ สงสัมพันธ. (2549). เมื่อผูหญิงคิดจะมีหนวด: การตอสู “ความจริง” ของเรื่องเพศใน
สภาผูแทนราษฎร. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพคบไฟ.
เชื้อชื่น ศรียาภัย และ นล นรากร (รวบรวม). (2520). สุนทรภูสอนหญิง. กรุงเทพฯ: คลังวิทยา.
ไชยันต ไชยพร. (2548). “ทางออกเรื่องเพศในสังคมสมัยใหม”. โอเพน, ปที่ 6 ฉบับที่ 49: 56-57.
ณัฐกานต อมาตยกุล. (2548). “ปจจัยที่ทาํ ใหนักศึกษาหญิงมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร”.
วิทยานิพนธศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
ณัฐพร จาดยางโทน. (2542). “ภาพสะทอนสังคมในกฎหมายตราสามดวง”. วิทยานิพนธ
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร.
เทพชู ทับทอง. (มปป.). ผูหญิง ความรัก และเซ็กสในอดีต. กรุงเทพฯ: ประมวลสาสน.
นภาภรณ หะวานนท. (2547). คุณูปการดานสตรีศึกษาตอสังคมไทย. เชียงใหม: วนิดาการพิมพ.
นันดา วีรวิทยานุกูล. (2544). “สตรีกับอัตลักษณ”. ใน กนกศักดิ์ แกวเทพ (บก.), สตรีศึกษา 2:
ผูหญิงกับประเด็นตางๆ (หนา 280-364), กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ.
นันทกา โรจนวิภาต. (2546). “ทัศนคติตอพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธกอนการสมรสของ
นักศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐ”. วิทยานิพนธสังคมวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชา
สังคมวิทยา จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
นิธิ เอียวศรีวงศ. (2529). สุนทรภู ดูโลกและสังคม. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม.
123

นิธิ เอียวศรีวงศ. (2538). ปากไกและใบเรือ: วาดวยการศึกษา ประวัตศิ าสตร-วรรณกรรม


ตนรัตนโกสินทร. กรุงเทพฯ: แพรวสํานักพิมพ.
นิภา จีรภัทร. (2539). “การควบคุมเรื่องเพศในผูหญิงไทยปจจุบัน: กรณีศึกษาการควบคุมเรื่อง
เพศในวัยรุน”. วิทยานิพนธสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชา
มานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
นิมิตร มั่งมีทรัพย. (2541). “ความสัมพันธระหวางเพศและเพศสัมพันธกอนแตงงานในวัยรุน”.
วิทยานิพนธดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร.
บุญยงค เกศเทศ. (2532). สถานภาพสตรีไทย. กรุงเทพฯ: โอ เอส พริ้นติ้งเฮาส.
พรทิพย วงศเพชรสงา. (2529). “การยินยอมใหมีเพศสัมพันธกอนสมรสของนักศึกษา
มหาวิทยาลัย: การศึกษาเบื้องตน”. วิทยานิพนธสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
พิม. สัมภาษณ, ระหวางวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2548–30 มิถุนายน พ.ศ. 2549.
ภาวัน ภูวจรูญกุล. (2546). “ความคิดเห็นของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรที่มีตอการ
มีเพศสัมพันธกอนสมรส”. วิทยานิพนธศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยา
ประยุกต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.
ยศ สันตสมบัติ. (2542). ฟรอยดและพัฒนาการของจิตวิเคราะห: จากความฝนสูทฤษฎีสังคม.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
ยศ สันตสมบัติ. (2544). มนุษยกับวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
วรรณวิมล สุรินทรศักดิ์. (2546). “การมีเพศสัมพันธกอนการแตงงานของวัยรุน”. วิทยานิพนธ
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแกน.
วรวิทย เจริญเลิศ. (2536). “ชนชั้นกลางกับเหตุการณพฤษภาคม: ฝายประชาธิปไตยหรือ
รัฐปฏิการ”. ใน สังศิต พิริยะรังสรรค และผาสุก พงษไพจิตร (บก.), ชนชั้นกลาง
บนกระแสประชาธิปไตยไทย (หนา 117-153), กรุงเทพฯ: ศูนยศึกษาเศรษฐศาสตร
การเมือง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
วารุณี ภูริสินสิทธิ์. (2543). “ความเปนผูหญิงในสังคมไทย”. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา:
http://www.midnightuniv.org (6 มิถุนายน 2549).
วารุณี ภูริสินสิทธิ์. (2545). สตรีนิยม: ขบวนการอุดมคติแหงศตวรรษที่ 20. กรุงเทพฯ: โครงการ
จัดพิมพคบไฟ.
124

ศรีเกษ ธัญญาวินิธกุล. (2536). “เหตุผลในการตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนชั้น


มัธยมศึกษาปที่ 6 ในเขตเมืองเชียงใหม”. วิทยานิพนธศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาการสงเสริมสุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
สายพิณ ศุพุทธมงคล. (2543). คุกกับคน: อํานาจและการตอตานขัดขืน. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
สุพัตรา บุญญานุภาพพงศ. (2548). “ปจจัยที่มีผลตอคานิยมทางเพศของวัยรุนในเขต
กรุงเทพมหานคร”. วิทยานิพนธวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเพศศาสตร
(สหสาขาวิชา) จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
โสพิน หมูแกว. (2545). “อยูกอนแตง: การอยูรวมกันโดยไมแตงงานของนักศึกษามหาวิทยาลัย”.
วิทยานิพนธสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
โสภิดา วีรกุลเทวัญ. (2543). “การนําเสนอความเปนตัวตนของผูหญิงบริการในสถานบันเทิง
บารเบียร จังหวัดเชียงใหม”. วิทยานิพนธศิลปศาสตรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
การพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
หนังสือพิมพเอ็กซไซส ไทยโพสต. 18-19 กันยายน 2547. หนา 3.
อุดมศิลป ศรีแสงนาม (นพ.). (2546). ใน เอกรงค ภานุพงษ, กนกวลี ตรีวัฒนากุล และทีมขาว
เหยี่ยวเดือนเกา (ผูเขียน), เซ็กสทีนไทยแลนด (หนา 3), กรุงเทพฯ: กิเลนการพิมพ.
Andermahr, Sonya., Lovell, Terry and Wolkowitz, Carol. (2000). A Glossary of Feminist Theory.
London: Arnold.
Bordo, Susan. (1993). Unbearable Weight: Feminism, Western Culture, and the Body. Berkeley
and Los Angeles: University of California Press.
Bryson, Valerie. (1992). Feminist Political Theory. Hampshire: The Macmillan Press Ltd.
Danaher, Geoff., Schirato, Tony and Webb, Jen. (2000). Understanding Foucault. Sydney:
Allen & Unwin.
Firestone, Shulamith. (1972). The Dialectic of Sex: The Case for Feminist Revolution. New York:
Bantam.
Foucault, Michel. (1990). The History of Sexuality Volume 1: An Introduction. Trans. by Robert
Hurley. New York: Vintage Book.
Harding, Sandra. (1987). “Is there a Feminist Method?”. In Harding, Sandra (ed.), Feminism and
Methodology (pp. 1-14), Bloomington: Indiana University Press.
125

Lemoncheck, Linda. (1997). Loose Women, Lecherous Men; A Feminist Philosophy of Sex.
New York: Oxford University Press.
MacKinnon, Catherine A. (1995). “Sexuality, Pornography, and Method: Pleasure under
Patriarchy”. In Tuana, Nancy and Tong, Rosemarie (eds.) Feminism and Philosophy
(pp. 134-161), Oxford: Westview Press.
Reinharz, Shulamit. (1992). Feminist methods in Social Research. New York: Oxford University
Press.
Rich, Adrienne. (1994). “Compulsory Heterosexuality and Lesbian Existence”. In Okin, Susan
M. and Mansbridge, Jane (eds.), Feminism Volume II (pp. 13-65), Aldershot: Edward
Elgar Publishing.
Richardson, Diane. (1997). “Sexuality and Feminism”. In Robinson, Victoria and Richardson,
Diane (eds.), Introducing Women’s Studies (pp. 152-174), London: The Macmillan
Press Ltd.
Rubin, Gayle. (1982). “Thinking Sex: Notes for a Radical Theory of the Politics of Sexuality”.
In Vance, Carole S. (ed.), Pleasure and Danger: Exploring Female Sexuality (pp. 267-
319), Boston: Routledge & Kegan Paul.
Scott, Joan W. (1999). “The Evidence of Experience”. In Hesse-Biber, Sharlene. Gilmartin,
Christina and Lydenberg, Robin (eds.), Feminist Approaches to Theory and
Methodology (pp. 79-99), New York: Oxford University Press.
Segal, Lynne. (1997). “Sexualities”. In Woodward, Kathryn (ed.), Identity and Difference
(pp. 184-235), London: Sage and the Open University Press.
Tong, Rosemarie. (1989). Feminist Thought. London: Westview Press, Inc.
Wolf, Naomi. (1997). Promiscuities: A Secret History of Female Desire. London: Chatto &
Windus Ltd.
Zalewski, Marysia. (2000). Feminism after Postmodernism. New York: Routledge.
126

ประวัติผเู ขียน

ชื่อ นางสาวปลินดา ระมิงควงศ รหัสนักศึกษา 4524807

วัน เดือน ป เกิด 14 เมษายน 2522

ประวัติการศึกษา สําเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย โรงเรียนปรินสรอยแยลสวิทยาลัย


เชียงใหม ปการศึกษา 2539
สําเร็จการศึกษาปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยเชียงใหม (เกียรตินิยมอันดับ 2) ปการศึกษา 2543

You might also like