Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 2 หลักการสรางงานกราฟกและการใชงานเครื่องมือพื้นฐาน 25
หลักการสรางงานกราฟก 25
การกําหนดมุมมองภาพ 27
การซูมยอ-ขยายภาพ 28
การเปลี่ยนขนาดของภาพ 29
การปรับหมุนภาพ 32
การทํางานกับสี 32
การเลือกสี 33
การเทสีดวย Bucket Fill Tool 35
การเทสีแบบไลเฉดสีดวย Blend Tool 36
การระบายสีดวย Painting Tool 38
การวาดเสนดวย Ink Tool 40
การลบภาพที่ไมตองการ 41
การยอนกลับการทํางานทีละขั้นตอน 43
การยอนกลับการทํางานในหลายขั้นตอน 43
การตัดภาพเฉพาะสวน 44
บทที่ 3 การตัดแตงภาพเฉพาะสวน 46
เลือกพื้นที่ภาพรูปทรงเรขาคณิต 46
การเลือกพื้นที่วงรี และวงกลมดวย Ellipse Selection Tool 48
เลือกพื้นที่แบบอิสระ 50
เลือกพื้นที่ที่มีสีใกลเคียงกัน 53
การปรับโหมดการเลือกพื้นที่ 57
เลือกพื้นที่จากคําสั่ง Select 59
การเลือกพื้นที่อยางปราณีตดวย Quick Mask Toggle 61
การจัดการพื้นที่ที่เลือกดวย Selection Editor 62
การปรับแตงการเลือกพื้นที่ 62
บทที่ 4 การจัดวาง และปรับรูปทรง 68
การแสดงจุดพิกัดบนภาพดวยกริด 72
สรางความแมนยําในการวางภาพดวย Snap 72
วัดระยะของวัตถุดวย Measure Tool 73
รูจักกับการปรับรูปทรงภาพดวยเครื่องมือ Transform Tool 75
การปรับขนาดภาพใหพอดีดวย Scale Tool 76
หมุนภาพใหไดมุมที่ลงตัวดวย Rotate Tool 78
บิดภาพใหลาดเอียงดวย Shear Tool 79
บิดภาพใหผิดสัดสวนดวย Perspective Tool 80
การพลิกกลับดานรูปดวย Flip Tool 81
บทที่ 5 การสรางขอความตกแตงภาพ 84
รูจักกับรูปแบบของตัวอักษรที่ใชในโปรแกรมกราฟก 84
การสรางตัวอักษรแบบ Outline 85
การแกไขขอความที่พิมพผิดพลาด 86
การสรางตัวอักษรแบบ Bitmap 87
แปลงตัวอักษร Outline ใหเปนแบบ Bitmap 88
สรางขอความแบบแฟนตาซีดวย Alpha to Logo 89
บทที่ 6 การทํางานกับเลเยอร 91
ความหมายของ Layer 91
การซอนภาพดวยเลเยอร 91
การสรางเลเยอร 92
การใชงานเลเยอร 93
รวมเลเยอร 102
บทที่ 1 เริ่มตนกับ Gimp
ภาพกราฟก เปนสวนประกอบสําคัญที่เราตางไดพบเห็นอยูในรูปแบบของแผนโฆษณา งานพรีเซนเตชั่น กลอง
สินคา และเว็บไซตตางๆ ทําใหผูชมเกิดความสนใจในสิ่งที่นําเสนอ พรอมกับเขาชมและใชบริการเหลานั้น และที่ใกลตัว
มากขึ้น คือ การตกแตงภาพถาย ที่เราสามารถตกแตงภาพในโอกาส และบรรยากาศตางๆ ใหออกมาอยางนาสนใจ ดังนั้น
เนื้อหาในบทแรกนี้จะเริ่มตนนําเสนอใหรูจักกับภาพ กราฟก การทํางานกับกราฟกบนคอมพิวเตอร และความสามารถใน
การสรางงานกราฟกของโปรแกรม GIMP
ความสําคัญของภาพกราฟก
ภาพกราฟก เปนภาพที่ถูกตกแตงและสรางขึ้น เพื่อแทนความหมายที่จะสื่อไปถึง ผูชมไดรับรูในสิ่งที่เราตองการ
ดังนั้นภาพกราฟกจึงไดรับความนิยมในการประกอบอยูใน สื่อตางๆ ไดแก ขอมูลขาวสาร โฆษณา กลองสินคา งานพรีเซน
เตชั่น และเว็บไซตลวนแตตองใชภาพกราฟกมาเปนสวนประกอบทั้งสิ้น
ตัวอยางกราฟกปกหนังสือ
ภาพบนคอมพิวเตอรเกิดไดอยางไร
ภาพโดยทั่วไป แบงไดเปน 2 ประเภท คือ Physical Image คือ ภาพที่เราเห็นอยูทั่วๆ ไป เชน ภาพถาย
สวนภาพอีกประเภทก็คือ Digital Image หรือ Computer Graphic คือ ภาพที่ใชในการประมวลและเก็บใน
คอมพิวเตอร
Page 2
ภาพที่มีความละเอียดต่ํา ภาพที่มีความละเอียดสูง
คอมพิวเตอรประมวลผลภาพอยางไร
ภาพที่เก็บในคอมพิวเตอรนั้น มีวิธีการประมวลผลภาพ 2 แบบแตกตางกันไปตามแตละโปรแกรมดังนี้ คือ
1. การประมวลผลแบบ Vector
เปนการประมวลผลแบบอาศัยการคํานวณทางคณิตศาสตร โดยมีสีและตําแหนงของสีที่แนนอน ฉะนั้นไมวาเรา
จะมีการเคลื่อนยายที่หรือยอขยายขนาดของภาพ ภาพจะไมเสียรูปทรงในเชิงเรขาคณิต ตัวอยางเชน รูปการตูน โปรแกรมที่
ประมวลผลภาพแบบ Vector ไดแก Illustrator, CorelDraw และ Inkscape เปนตน
2. การเก็บและแสดงผลแบบ Bitmap
เปนการประมวลผลแบบอาศัยการอานคาสีในแตละพิกเซล มีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา Raster Image จะเก็บ
ขอมูลเปนคา 0 และ 1 แตละพิกเซลจะมีการเก็บคาสีที่เจาะจงในแตละตําแหนง ซึ่งเหมาะกับภาพที่มีลักษณะแบบภาพถาย
โปรแกรมที่ประมวลผลแบบ Bitmap ไดแก Photoshop, PhotoPaint และ GIMP เปนตน
GIMP โปรแกรมตกแตงภาพกราฟก
GIMP (GNU Image Manipulation Program) เปนโปรแกรมจัดการรูปภาพที่มีความสามารถสูง
และครบถวน เหมาะสําหรับการจัดการรูปถายดิจิตอล การออกแบบกราฟกสําหรับเว็บ การแปลงไฟลจากฟอรแมตหนึ่งไป
อีกฟอรแมตหนึ่ง หรือการสรางรูป ความละเอียดสูงสําหรับการพิมพ
GIMP ตางจาก Photoshop และโปรแกรมอื่นอยางไร
โปรแกรม Photoshop ของคาย Adobe หรือโปรแกรมเชิงพาณิชย (Commercial Program)
อื่นๆ นั้นตองเสียคาใชสิทธิ์ หรือเรียกวา License ซึ่งคาใชสิทธิ์ตอหนวยคอนขางสูง ตั้งแตหลายพันถึงหลักหมื่น แตถา
หากคุณใช GIMP คุณไมตองเสียคาใชสิทธแมแตบาทเดียว นั่นหมายความวา คุณสามารถสรางงานได โดยไมผิดกฎหมาย
ลิขสิทธิ์
Page 4
ความสามารถโดยรวมของ GIMP
ความสามารถหลักของ GIMP นั้น จะเนนการตกแตงภาพกราฟกแนวตางๆ ใหสวยงามและแปลกตากวาเดิม
นอกจากนั้นยังใชแกไขจุดบกพรองของภาพไดอีกดวย ทําให GIMP ถูกนําไปใชในงานตกแตงภาพในหลายๆ ดาน ดัง
ตัวอยาง
ความตองการระบบของ GIMP
เมื่อทราบถึงความสามารถของโปรแกรมกันแลว เรามาเตรียมเครื่องเพื่อติดตั้งโปรแกรมกัน ซึ่ง GIMP เปน
โปรแกรมที่ทํางานเกี่ยวกับกราฟก ดังนั้น จึงจําเปนที่จะตองใชคอมพิวเตอรที่มีความเร็วสูง มีหนวยความจํา RAM และ
ฮารดดิสกที่มีพื้นที่วางมากพอสมควร โดยความตองการระบบขั้นต่ําของ GIMP มีดังนี้
ชนิดของเครือ่ ง ความตองการระบบ
PC คอมพิวเตอรที่มี CPU รุน Pentium III หรือ 4 หรือเครื่องที่เร็วกวานั้น
ระบบปฏิบัติการ 98/ME/NT4/Windows 2000/Windows XP
หนวยความจํา RAM อยางนอย 128 MB หรือมากกวานั้น
ฮารดดิสกเนื้อที่วางอยางนอย 60 MB
การดจอที่แสดงสีไดระดับ 16 บิตขึ้นไปหรือใชการดวิดีโอ
จอภาพที่แสดงผลดวยความละเอียดอยางนอย 1,024x768 พิกเซลหรือมากกวานั้น
หนาจอของโปรแกรม GIMP
หนาตาง Main Toolbox หนาตาง Image Window หนาตาง Dialogs and Docking
Tool Icon
Tool Options
พื้นที่ในการตกแตงภาพ ไดอะล็อกตางๆ
Page 9
หนาตาง Main Toolbox
เปนหนาตางที่เก็บรวบรวมเครื่องมือและคําสั่งที่ใชในการสราง การปรับแตงและการแกไขภาพ โดยจะแบงกลุม
เครื่องมือและคําสั่งในการจัดการกับภาพตางๆ ไดดังตอไปนี้
Tool Icons
เปนสวนที่เก็บรวบรวมเครื่องมือที่ใชในการสราง การปรับแตงและการแกไขภาพ ซึ่งมีไอคอนใหสามารถเรียกใช
งานไดงายและรวดเร็ว โดยจะแบงกลุมเครื่องมือในการจัดการกับภาพตางๆ ไดดังตอไปนี้
Tool Options
เปนสวนที่เราสามารถกําหนดคุณสมบัติเครื่องมือตางๆ ในการใชงานได โดยมีรายละเอียดของแตละเครื่องมือ
อยางครบถวน ซึ่งเราสามารถจัดเก็บการตั้งคาของเครื่องมือเพื่อเก็บไวใชหลายๆ ครั้ง โดยไมตองตั้งคาใหมได และเรียกใช
คาเหลานั้นไดทันที
รายละเอียดของเครื่องมือ
ลบคาที่เก็บไว
คลิกเพื่อจัดเก็บการตั้งคา คลิกเพื่อกลับไปเปนคาเริ่มตน
เรียกใชคาที่เก็บไว
หนาตาง GIMP
ภายในหนาตาง Docking จะเปนศูนยรวมของไดอะล็อก (Dialog) ซึ่งเปนหนาตางยอยที่รวบรวมคุณสมบัติ
การทํางานของเครื่องมือตางๆ ใหเราเลือกปรับแตงการใชงานไดงายๆ โดยไมตองเปดหาที่แถบคําสั่งอีกตอไป มี
สวนประกอบดังนี้
การเปด/ปด Dialog
เราสามารถเปด/ปดไดอะล็อกไดจากคําสั่ง Windows>Dockable Dialogs ในหนาตาง Image
Window แลวคลิกเลือกชื่อไดอะล็อกที่เราตองการแสดง และถาไมตองการแสดงไดอะล็อกใดใหคลิกเมาสที่ปุม เพื่อ
ปดไดอะล็อก
คําสั่งการใชงาน
คลิกเมาสลากเพื่อยอ/ขยาย คําสั่งเพิ่มเติมในการ ไดอะล็อก Brushes
ขนาดไดอะล็อกไดเอง จัดการไดอะล็อก
Page 12
การแยก/รวมไดอะล็อกดวย Docking drag handles
เราสามารถแยก/รวมไดอะล็อกเพื่อเคลื่อนยายแตละไดอะล็อก โดยการคลิกเมาสคางไวที่แท็บหัวขอไดอะล็อก ให
ตัวชี้เมาสเปลี่ยนเปนรูป แลวลากไดอะล็อกไปไวในตําแหนงที่ตองการของหนาจอโปรแกรมได ดังนี้
ลากเมาสที่แท็บหัวขอ นําไปปลอยไว
ตําแหนงเดิม เพื่อรวมกลุมกับ ไดอะล็อก
อื่นที่ตองการ
ลากเมาสที่แท็บหัวขอ เพื่อแยกกลุมไดอะล็อกออกมา
รูจักกับหนาตางในการตกแตงภาพ Image Window
หนาตาง Image Window เปนหนาตางที่ใชในการตกแตงภาพ ซึ่งมีสวนประกอบที่ใชในการตกแตงและ
คําสั่งตางๆ ดังตอไปนี้
Page 13
Title Bar
Image Menu
Menu Button Image Window
Resize toggle
Image Display
Ruler
Unit Menu
การสรางไฟลใหม
เมื่อเราไดจัดเตรียมภาพที่จะนํามาใชและไดรางชิ้นงานที่จะสรางเรียบรอยแลว ในหัวขอนี้เราจะมาสรางไฟล
ชิ้นงานใหมกัน เริ่มตนดวยการกําหนดขนาดและความละเอียดของชิ้นงานที่จะนําไปใชงาน ซึ่งเราควรกําหนดใหเหมาะกับ
ลักษณะงาน มีขั้นตอนดังนี้
1. เลือกคําสั่ง File>New
3. กําหนดรูปแบบของหนากระดาษ
Page 16
เราจะไดไฟลภาพใหมตามที่เรากําหนด
ลักษณะพื้นหลังของไฟลภาพ
กําหนดขนาดไฟลภาพตามคามาตรฐาน
งานกราฟกที่ตองทําบอยๆ ก็จะมีคาขนาดของไฟลงานมาตรฐานที่กําหนดไวแลว เพื่อใหเราเรียกใชไดที่หัวขอ
Template จะมีขนาดและรายละเอียดของชิ้นงานแบบตางๆ ที่ใชงานบอยใหเราเรียกใชไดเลย โดยไมตองกําหนดคา
ตางๆ เอง โดยมีแบบตางๆ ดังนี้
Page 17
กระดาษจดหมาย
เชน US-Letter
ขนาดหนาจอพรีเซนเตชั่น
เชน 640x480, 800x600
ขนาดกระดาษสิ่งพิมพ
เชน A4, A3, B5
ขนาดของภาพในงานวิดีโอ
เชน NTSC 720 x 486
องคประกอบที่มีผลกับไฟลภาพ
ทดลองสรางชิ้นงานโดยนําภาพมาตกแตง
ในตัวอยางนี้จะสรางงานโฆษณาอยางงายๆ โดยนําภาพที่เราเตรียมไวมาจัดวางใหสวยงาม และจะนําเสนอเปน
หลักการทํางานเบื้องตนของโปรแกรม GIMP ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 กําหนดขนาดของชิ้นงาน
ขั้นตอนที่ 2 เปดไฟลภาพที่ตองการนํามาตกแตง
ขั้นตอนที่ 3 ตกแตงภาพโดยการจัดวาง
ขั้นตอนที่ 4 บันทึกไฟลภาพ
ขั้นตอนที่ 5 ออกจากการทํางานของโปรแกรม
Page 18
ตัวอยางชิ้นงานของแผนโปสการด
ขั้นตอนที่ 1 กําหนดขนาดของชิ้นงาน
เริ่มแรกใหเรากําหนดขนาดของแผนโฆษณาที่เปนชิ้นงานของเรา ดังนี้
1. เลือกคําสั่ง File>New
2. กําหนดขนาดใหกับงานโฆษณา 3. คลิกเมาส
Page 19
4. แสดงขนาดของหนากระดาษใหม
ที่ถูกเปดขึ้นมา
ขั้นตอนที่ 2 เปดไฟลภาพที่ตองการนํามาตกแตง
โดยเปดไฟลภาพที่อยูในเครื่องคอมพิวเตอรของเรา ขึ้นมาตกแตงในหนากระดาษใหมที่เปดอยู จากหนาตาง
Open Image ดังนี้
3. ดับเบิ้ลคลิกเลือกภาพที่จะนํามาตกแตงทีละภาพ แสดงตัวอยางภาพที่เลือก
ขั้นตอนที่ 3 ตกแตงภาพโดยการจัดวาง
ใหนําภาพที่เราเปดขึ้นมาทั้งหมดจากขั้นตอนที่ผานมา นํามาจัดวางในหนากระดาษเปลาๆ ที่ยังเปดไวอยูจาก
ขั้นตอนที่ 1 แลวทําการจัดวางใหเหมาะสมสวยงาม ดังขั้นตอนตอไปนี้
ภาพพื้นหลังที่นํามาวาง
ผลลัพธของภาพที่ได
1. เลือกคําสั่ง File>Save As
2. พิมพชื่อไฟล
3. คลิกเมาสเลือกตําแหนงที่ใชเก็บไฟล
4. เลือกฟอรแมตของไฟล
5. คลิกเมาสเพื่อทําการบันทึกไฟล
ขั้นตอนที่ 5 ออกจากการทํางานของโปรแกรม
1. คลิก เพื่อปดหนาตาง
ไฟลภาพ
2. คลิก เพื่อปดโปรแกรม
Page 25
บทที่ 2
หลักการสรางงานกราฟก
และการใชงานเครื่องมือพื้นฐาน
ในบทนี้ ก็จ ะเปนการแนะนํ าแนวทางในการสร า งงานกราฟ ก ซึ่ง จะเน น ถึง การสร า งชิ้น งานที่ ไ ดจ ากการนํ า
สวนประกอบของภาพเปนหลัก การใสสีขอความ และการจัดซอนภาพ สวนการตกแตงภาพถาย การปรับสีในภาพ และการ
วาดภาพจะกลาวในสวนทายของเลม เพราะเนื้อหาสวนแรกจะปูพื้นฐานการสรางงานกราฟกใหเขาใจกันอยางถูกตอง
เสียกอน รวมทั้งการใชงานเครื่องมือวาดภาพ และลงสีตางๆ ที่เปนเครื่องมือพื้นฐานในการตกแตงภาพ
หลักการสรางงานกราฟก
กอนอื่นเราตองทําการวางแนวทางของชิ้นงานกอนวา จะนําเสนอเรื่องอะไร ใชสี ภาพและขอความอะไร เมื่อเรา
ไดวางแนวทางของชิ้นงานเรียบรอยแลว ตอไปเราก็จะมาทราบถึงแนวทางการสรางชิ้นงานกันตอ ซึ่งอาจจะไมตายตัวเสมอ
ไปแตก็พอเปนแนวทางสรุปโดยรวมได ดังนี้
1. การกําหนดพื้นหลังของภาพ
เปนการกําหนดภาพ หรือสีพื้นหลัง โดยภาพหรือสีพื้นหลังที่ใชนั้นควรมีโทนสีที่ใหอารมณและสื่อความหมายได
ถูกตองตามจุดประสงคของชิ้นงาน (ดูรายละเอียดในหัวขอตอไป)
2. การเลือกพื้นที่ภาพที่ใชงาน
เปนการตัด หรือคัดลอกบางสวนของภาพตางๆ ที่เราจะนํามาใชในชิ้นงานของเรา (ดูรายละเอียดในบทเรื่อง ”การ
แตงและตัดภาพเฉพาะสวน”
Page 26
3. การจัดวางภาพใหเหมาะสม
เมื่อเรานําภาพสวนประกอบมารวมกันในชิ้นงาน อาจมีบางภาพที่มีขนาด และมุมการจัดวางไมลงตัว เราก็สามารถ
ขยาย หมุน และบิดภาพใหเขากัน (ดูรายละเอียดในบทเรื่อง “การจัดวาง และปรับรูปทรงภาพ”)
4. การใสขอความ
เปนการใสขอความที่เปนชื่อ เรื่อง หรือคําบรรยายตางๆ เขาไปตกแตงเพิ่มเติม (ดูรายละเอียดในบทเรื่อง “การ
สรางขอความตกแตงภาพ”
5. การนําภาพสวนประกอบมาจัดซอนกัน
นําภาพสวนประกอบที่เลือกไว มาทําการซอนกัน โดยบางสวนอาจจะอยูดานบน หรือดานลาง ตามจุดประสงคที่
วางไว (ดูรายละเอียดในบทเรื่อง “การทํางานกับเลเยอร”)
Page 27
6. ตกแตงทุกสวนประกอบเขากันอยางกลมกลืน
สุดทาย เราจะพิจารณาภาพรวมชิ้นงานที่ได และปรับแตงรายละเอียดของภาพประกอบแตละสวนใหดูกลมกลืน
กัน เพื่อใหไดผลงานที่สวยงาม (ดูรายละเอียดในบทเรื่อง “เทคนิคการตกแตงภาพในเลเยอร”)
การกําหนดมุมมองภาพ
เปนการกําหนดมุมมองทั่วไปของหนาตางแสดงภาพผาน Image menu ซึ่งเราสามารถทําไดโดยการเลือกที่
เมนูคําสั่ง View และเลือกคําสั่งที่ตองการ
กําหนดหนาตางใหพอดีกับขนาด
กลับไปที่มุมมองเดิม
ยอภาพ
ขยายภาพ
P กําหนดขนาดภาพใหสามารถ
แสดงภาพแบบเต็มหนาจอ
กําหนดขนาดความกวางหรือ มองเห็นภาพทั้งหมดเต็มหนาตาง
ความยาวใหเต็มพืน้ ที่ของ
หนาตาง
Page 28
การซูมยอ-ขยายภาพ
เราสามารถยอ หรือขยายมุมมองของภาพโดยใชเครื่องมือ Magnify Tool เครื่องมือนี้เปนเหมือนแวน
ขยาย ที่ชวยขยายภาพใหเราตกแตงไดอยางละเอียดมากขึ้น และยังสามารถยอภาพใหเล็กลงเพื่อดูภาพโดยรวมไดอีกดวย
การซูมภาพ
เราสามารถขยายภาพที่นําเขามาใหดูชัดเจนขึ้น โดยการใชงานเครื่องมือ Magnify Tool ดังนี้
2. คลิกบริเวณที่ตองการขยายมุมมอง 3. ภาพจะถูกซูมขยายใหใหญขึ้น
การยอภาพ
เมื่อเราตองการยอภาพใหเล็กลง ใหกดคีย <Ctrl> คางไว และคลิกเมาสลงบนภาพ จากนั้นภาพจะคอยๆ ถูกซูม
ออกใหดูเล็กลงตามจํานวนครั้งที่เราคลิกเมาส
การเปลี่ยนขนาดของภาพ
หากตองการนําภาพไปลงเว็บ หรือทําเปนภาพติดบัตร ซึ่งจะเหมาะกับการลดขนาดภาพ เพื่อไฟลภาพจะลดลงไม
ตองเปลืองเนื้อที่ และโปรแกรมจะทํางานไดเร็วดวย แตจะไมเหมาะกับการขยายภาพใหใหญขึ้น เพราะภาพที่ออกมาไม
คมชัดเหมือนภาพตนฉบับ
2. กําหนดขนาดของ
ภาพใหม
3. คลิกเมาส
ภาพตนแบบกอนการลดขนาดภาพ หลังการลดขนาดภาพ
Page 31
การเพิ่ม/ลดพื้นที่การทํางานของภาพ
ในระหวางที่เราตกแตงภาพ อาจจะมีความตองการเพิ่มพื้นที่การทํางานใหมากขึ้นหรือ ลดพื้นที่ของภาพใหเล็กลง
ได ดังนี้
3. เพิ่ม/ลดขนาดของ Layers
o None ไมตองการเพิ่ม/ลดขนาดเลเยอร
o All layers เพิ่ม/ลดขนาดเลเยอรทั้งหมดดวย
o Imaged-sized layers เพิ่ม/ลดขนาดเฉพาะเลเยอรของภาพที่ปรับพื้นที่อยู
o All visible layers เพิ่ม/ลดขนาดเลเยอรที่มองเห็นไดทั้งหมด
o All linkd layers เพิ่ม/ลดขนาดเลเยอรที่ลิงกกับเลเยอรของภาพที่ปรับพื้นที่อยู
4. คลิกเมาสที่ปุม เพื่อสั่งใหโปรแกรมเปลี่ยนขนาดพื้นที่ภาพใหมตามที่เรากําหนด
1. เลือกคําสั่ง
Image>Canvas Size...
2. กําหนดขนาด และ
ตําแหนงของภาพใน
พื้นที่
แสดงตัวอยางของ
การเพิ่ม/ลดพื้นที่
ตองการเพิ่ม/ลดขนาด
Layers ดวยหรือไม
3. คลิกเมาส
Page 32
การปรับหมุนภาพ
เปนการปรับหมุน และพลิกภาพ ในองศาตางๆ ผาน Image menu ทําได โดยการเลือกที่เมนูคําสั่ง
Image>Transform และเลือกคําสั่งปรับหมุนภาพตางๆ
พลิกภาพในแนวนอนจากดานซายเปนดานขวา
พลิกภาพในแนวตั้งจากดานบนเปนดานลาง
หมุนภาพตามเข็มนาฬิกาเปนมุม 90 องศา
หมุนภาพทวนเข็มนาฬิกาเปนมุม 90 องศา
หมุนภาพเปน180 องศา
การทํางานกับสี
เมื่อเรากําหนดขนาดชิ้นงาน เรียบรอยแลว กอนที่จะทําการลงสีพื้นหลังของชิ้นงาน เราจะมาเริ่มตนรูจักกับการ
เลือกใชสีกันกอน โดยใน GIMP จะมีสวนที่แสดงการใชงานของสีอยูในสวนของ Main Toolbox
สีโฟรกราวนด
Switch Color
สีแบคกราวนด
Default Color
Page 33
การเลือกสี
มีวิธีการเลือกสีวิธี ไดแก การเลือกสีจาก Foreground/Background, การเลือกสีจากตัวอยางดวย
3
เครื่องมือ Color Picker Tool และเลือกสีจาก Palette
เลือกสีจาก Foreground/Background
ทําไดโดยการคลิกที่โฟรกราวนด หรือแบคกราวนด จะปรากฏหนาตาง Change Color ซึ่งเปรียบไดกับจาน
สีขนาดใหญที่มีสีนับลานๆ สีใหเราเลือก โดยเลือกตามสเปคตรัมสีที่ปรากฏ หรือตามการกําหนดคาเปนตัวเลข ดังนี้
1. คลิกที่โฟรกราวนด
หรือแบคกราวนด แสดงรหัสของสีที่ใชใน
ภาษา HTML และ CSS
แสดงจานสีที่เรา จัดเก็บสีไวใชงาน
คลิก เพื่อจัดเก็บสี
2. เลื่อนสไลดเลือกโทนสี 4. คลิกเมาส
เลือกสีจากเครื่องมือ Color Picker Tool
เปนการเลือกสี โดยดึงสีจากสีตนฉบับมากําหนดเปนสีของโฟรกราวน หรือแบคกราวน
Page 34
2. คลิกเลือกสีจากตนฉบับ
สีของโฟรกราวนดจะเปลี่ยนไป
กําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือ Color Picker Tool
เราสามารถกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมของเครื่องมือ Color Picker Tool ไดที่ Tool Options ดานลางของ
หนาตาง Main Toolbox ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เปนการกําหนดคารัศมีของพื้นที่สีที่เลือก
เปนการกําหนดสีที่เลือกจัดเก็บไวในพาเล็ตสีดวย
เลือกสีจาก Palette
เปนการเลือกสีโฟรกราวนด และเลือกสีแบ็คกราวนด โดยการเปดไดอะล็อก Palette ขึ้นมา ซึ่งจะมีพาเล็ตสี
แบบตางๆ เปนเหมือนจานสีใหเราเลือกใชสีจากจานสีนั้นได
Page 35
2. ดับเบิ้ลคลิกเลือก
พาเล็ตสีที่ตองการ
3. คลิกเลือกสีที่
ตองการ
การเทสีดวย Bucket Fill Tool
Bucket Fill Tool เปนเครื่องมือที่ชวยใหเราเติมสีภาพในบริเวณติดกันและมีคาสีใกลกันเคียงกันกับบริเวณ
ที่เราคลิกเมาสได ทําใหเราไดสีที่มีระดับความเขมเทากันทั้งภาพ เราสามารถเติมสีดวย Bucket Fill Tool ดังนี้
Opacity กําหนดคาความโปรงแสงของสีที่เทลงไป
Mode กําหนดโหมดในการผสมสีระหวางสีที่เทลงไปกับสีของภาพเดิม
3. คลิกเทสีลงบนภาพ
2. กําหนดคาอ็อบชั่นของเครื่องมือ 3. คลิกเทสี
ผลลัพธของภาพเมือ่ เทสี
การเทสีแบบไลเฉดสีดวย Blend Tool
การเทสีพื้นหลังภาพดวยโทนสีเดียว เชน สีแดง จะทําใหผลงานดูแข็งๆ เรียบๆ แตถาลองไลเฉดสีจากสีหนึ่งไปยัง
สีหนึ่ง เชน สีฟาไปยังสีขาว จะชวยใหภาพดูแรงยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถกําหนดการไลเฉดสีไดตามตองการดวย Blend Tool
ดังนี้
Opacity กําหนดคาความโปรงแสงของสีที่เทลงไป
Mode กําหนดโหมดในการผสมสีระหวางสีที่เทลงไปกับสีของภาพเดิม
o None เปนการไลสีแบบปกติตามที่กําหนดไมมีชวงซ้ํา
o Sawtooth wave เปนการไลสีไปทางเดียว
o Triangular Wave จะเปนการไลสีไป และไลกลับมาเปนสีแรกอีก
Dithering กําหนดความกลมกลืนในการไลสีใหมีมากขึ้น
3. คลิกลากเสนเพื่อทําการลงสี
2. กําหนดคาอ็อบชั่นของเครื่องมือ
Page 38
รูปแบบของการไลสี (Shape)
การระบายสีดวย Painting Tool
Painting Tool เปนกลุมเครืองมือที่ใชสําหรับวาดเสน และระบายสีมีอยู 3 ชนิด คือ Pencil Tool ,
Paint Brush Tool และ Airbrush Tool ซึ่งจะใหลักษณะของเสนที่แตกตางกัน
Page 39
การระบายสีดวยพูกัน และดินสอ
พูกัน (Paint Brush Tool) และ ดินสอ (Pencil Tool) เปนเครื่องมือระบายสี และวาดใสลวดลาย
ตางๆ ลงในภาพ ซึ่งจะมีรูปแบบ และคุณสมบัติการใชงานใหเลือกคลายคลึงกันมาก จะแตกตางกันเฉพาะลักษณะของเสนที่
ได โดยเสนที่ไดจาก การวาดดวยดินสอจะเปนเสนที่มีความแข็ง และเสนที่ไดจากการวาดดวยพูกันจะมีลักษณะที่นุมนวล
กวา สามารถใชงานพูกัน หรือดินสอได ดังนี้
3. คลิกระบายสีบนภาพ
การระบายสีดวย Airbrush Tool
เปนเครื่องมือที่ใชระบายสีที่จะใหลักษณะเหมือนกับการพนสี จะมีการกระจายตัวของเม็ดสีมากกวาดินสอ และ
พูกัน สามารถใชงาน Airbrush Tool ได ดังนี้
Page 40
1. คลิกเลือก
Airbrush Tool
2. กําหนดคุณสมบัติ
ของเครื่องมือ
3. คลิกระบายสีบนภาพ
การวาดเสนดวย Ink Tool
เครื่องมือ Ink Tool เปนเครื่องมือที่ใชสําหรับวาดเสนโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถวาดเสนไดในหลายๆ ลักษณะ
เราสามารถใชงานเครื่องมือ Ink Tool ได ดังนี้
Page 41
2. กําหนดคุณสมบัติของเครื่องมือ
3. คลิกวาดเสนบนภาพ
การลบภาพทีไ่ มตองการ
จะใชเครื่องมือ Eraser Tool ซึ่งเปนเครื่องมือสําหรับลบสวนประกอบภายในภาพที่ไมตองการออก
สามารถใชงาน Eraser Tool ไดดังนี้
Page 42
3. คลิกลบสวนที่ไมตองการบนภาพ
Page 43
การยอนกลับการทํางานทีละขั้นตอน
ทันทีที่เราทํางานผิดพลาด เราสามารถทําการยอนกลับไปยังการทํางานลาสุดกอนการผิดพลาด หรือยอนกลับการ
ทํางานทีละขั้นตอนไปเรื่อยๆ จนกวาจะถึงขั้นตอนที่ตองการ โดยยกเลิกขั้นตอนที่เพิ่งทําผานมาดวยคําสั่ง Edit>Undo
State Change หรือกดคีย <Ctrl+Z>
การยอนกลับการทํางานในหลายขั้นตอน
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงภาพ ขั้นตอนการทํางานนั้นจะถูกบันทึกลงในไดอะล็อก Undo History โดย
อัตโนมัติ เราสามารถยอนกลับการทํางานไดตามจํานวน Memory ที่มีอยูในเครื่อง โดยขั้นตอนที่ทํากอนจะถูกเรียงอยูบน
และขั้นตอนลาสุดจะอยูลางสุดในรายการ ดังนั้นถาเราทํางานผิดพลาดมาหลายคําสั่ง จะทําการยอนกลับการทํางานดวย
Undo History ไดรวดเร็วกวาการกดคีย <Ctrl+Z> ดูตัวอยางกันดังนี้
2. คลิกเมาสที่ขั้นตอนแรกเพื่อยกเลิกการ หรือคลิกยอนไปเฉพาะ
แตมสีทั้งหมดที่เราทําไวกอนหนานี้บนภาพ ขั้นตอนที่ตองการ
การตัดภาพเฉพาะสวน
ภาพที่เราใชงานอาจจะมาจากแหลงตางๆ ภายในภาพอาจจะมีสวนที่ไมตองการติดมาดวย ดังนั้นเราสามารถตี
กรอบเลือกเฉพาะสวนที่เราตองการ สวนที่เหลือก็ตัดทิ้งไปได โดยใชเครื่องมือ Crop Tool ซึ่งจะเปนการตัดภาพให
เหลือแตสวนที่เราเลือก โดยเมื่อทําการตัดภาพแลวไมสามารถแกไขอะไรไดอีก ดังนี้
• Guides แสดงเสนไกดในพื้นที่ที่เลือก
• Auto Shrink Selection จะเปนเปนอ็อบชั่นสําหรับการยอขนาดการเลือกพื้นที่อัตโนมัติ
โดยจะตัดพื้นที่วางที่ไมจําเปนทิ้ง
3. คลิกภาพสวนที่เลือกตัดอีกครั้งเพื่อยืนยันการตัดภาพ หรือคลิกนอกบริเวณที่เลือกเพื่อยกเลิก
กําหนดคุณสมบัติตางๆ
2. กําหนดขอบเขตในการ
ตัดภาพ แลวคลิกพื้นที่ที่
เลือกอีกครั้ง ผลลัพธที่ได
.
Page 46
บทที่ 3
การตัดแตงภาพเฉพาะสวน
ถาเราจะตกแตงภาพหรือตัดภาพบางสวนไปใชงาน โดยไมไดมีการตีกรอบกั้นบริเวณไวอาจทําใหการทํางาน
ผิดพลาดสงผลใหภาพออกมาไมสวยก็เปนได และในบทนี้จะทําใหเราสามารถเลือกตกแตงบางสวนของภาพที่ตองการ หรือ
จะตัดบางสวนของภาพออกไปปะซอนอยูบนอีกภาพหนึ่งโดยไมมีผลกระทบตอสวนอื่นๆ
เลือกพื้นที่ภาพรูปทรงเรขาคณิต
เปนการเลือกพื้นที่ภาพในลักษณะที่ตองการขอบเขตตายตัว ซึ่งจะอยูในรูปทรงเรขาคณิต ไดแก สี่เหลี่ยม วงรี และ
วงกลม เปนตน เครื่องมือกลุมนี้จะมี 2 รูปแบบดวยกัน ดังนี้
การเลือกพื้นที่สี่เหลี่ยมดวย Rectangle Selection Tool
ใชสําหรับเลือกพื้นที่สี่เหลี่ยม สามารถทําได ดังนี้
Mode เลือกลักษณะการเลือกพื้นที่
การเลือกพื้นที่เพิ่ม เราสามารถเลือกพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่เดิมที่เลือกไวแลว
การลบพื้นที่ เราสามารถลบพื้นที่ที่เราเลือกออกจากพื้นที่ที่เลือกไวเดิม
Antialiasing จะเปนการกําหนดเกี่ยวกับการกําหนดความกลมกลืนขอบภาพใหมีมากขึ้น
Fixed กําหนดพื้นที่ในการตัดภาพแบบตายตัว
Position กําหนดตําแหนงที่ตองการเลือก
Highlight กําหนดใหไฮไลทพื้นที่ที่เลือก
Guides แสดงเสนไกดในพื้นที่ที่เลือก
3. คลิกเมาสเลือกพื้นที่
การเลือกพื้นที่สี่เหลี่ยมมุมฉาก การเลือกพื้นที่สี่เหลี่ยมมุมมน
Mode เลือกลักษณะการเลือกพื้นที่
การเลือกพื้นที่เพิ่ม เราสามารถเลือกพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่เดิมที่เลือกไวแลว
การลบพื้นที่ เราสามารถลบพื้นที่ที่เราเลือกออกจากพื้นที่ที่เลือกไวเดิม
Antialiasing จะเปนการกําหนดเกี่ยวกับการกําหนดความกลมกลืนขอบภาพใหมีมากขึ้น
Page 49
Fixed กําหนดพื้นที่ในการตัดภาพแบบตายตัว
Position กําหนดตําแหนงที่ตองการเลือก
Highlight กําหนดใหไฮไลทพื้นที่ที่เลือก
Guides แสดงเสนไกดในพื้นที่ที่เลือก
3. คลิกเมาสเลือกพื้นที่
2. กําหนดลักษณะ
การเลือกพื้นที่ใน
Tool Options
3. คลิก ผลลัพธการเลือกพื้นที่
เมาสเลือก
พื้นที่
NOTE
การกําหนดคา Radius จะสงผลตอความฟุงเบลอของขอบภาพ
TIP
นอกจากนี้เรายังสามารถใชการกดคียรวมกับการคลิกเลือกได โดยไมจําเปนที่จะตองคลิกเลือกโหมด โดย
เลือกพื้นที่แบบอิสระ
การเลือกพื้นที่ในลักษณะนี้เหมาะกับภาพที่ไมเปนรูปทรงที่แนนอนเหมือนรูปเรขาคณิต ดังนั้นการเลือกพื้นที่จะ
สามารถลากไปตามขอบภาพไดอยางอิสระ สามารถเลือกได 2 รูปแบบ คือ
Page 51
เลือกพื้นที่แบบอิสระดวย Free Selection Tool
1. คลิกเลือก Free Selection Tool
2. กําหนดลักษณะการเลือกพื้นที่ใน Tool Options ดังนี้
Mode เลือกลักษณะการเลือกพื้นที่
การเลือกพื้นที่เพิ่ม เราสามารถเลือกพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่เดิมที่เลือกไวแลว
การลบพื้นที่ เราสามารถลบพื้นที่ที่เราเลือกออกจากพื้นที่ที่เลือกไวเดิม
Antialiasing จะเปนการกําหนดเกี่ยวกับการกําหนดความกลมกลืนขอบภาพใหมีมากขึ้น
3. คลิกเมาสเลือกพื้นที่
2. กําหนดลักษณะการเลือกพื้นที่ใน
Tool Options
เลือกพื้นที่แบบชิดขอบดวย Scissor Tool
สําหรับภาพที่มีขอบคมชัด และสีของเสนขอบตางกับพื้นหลังของภาพอยางชัดเจน เราสามารถใช Scissor Tool
เลือกพื้นที่ โดยจะติดหนึบเขากับแนวขอบภาพไดอยางงายดาย ดังนี้
Mode เลือกลักษณะการเลือกพื้นที่
การเลือกพื้นที่เพิ่ม เราสามารถเลือกพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่เดิมที่เลือกไวแลว
การลบพื้นที่ เราสามารถลบพื้นที่ที่เราเลือกออกจากพื้นที่ที่เลือกไวเดิม
Antialiasing จะเปนการกําหนดเกี่ยวกับการกําหนดความกลมกลืนขอบภาพใหมีมากขึ้น
3. คลิกเลือกพื้นที่จนครบ และคลิกที่จุดเริ่มตนอีกครั้งเพื่อสิ้นสุดการเลือกพื้นที่
4. คลิกภายในพื้นที่ที่เลือก เพื่อตกลงเลือกพื้นที่ที่เลือก
2. กําหนดลักษณะการเลือกพื้นที่
ใน Tool Options
Page 53
TIP
ขณะที่เราคลิกเลือกขอบภาพ กอนที่จะคลิกเพื่อตกลงเลือกพื้นที่เปนเสนประ หากเราเลือกตําแหนงของภาพ
ผิดพลาด เราสามารถคลิกที่ รอยตอของเสนขอบ เพื่อแกไขการเลือกพื้นที่ได
คลิกเลื่อนจุดรอยตอของเสนขอบ ผลลัพธที่ได
เลือกพื้นที่ทมี่ ีสีใกลเคียงกัน
เปนการเลือกพื้นที่ภาพที่มีสีใกลเคียงกับคาสี ณ จุดพิกเซลที่เราคลิกเมาสเลือก สามารถเลือกได 2 ลักษณะ ดังนี้
เลือกพื้นที่ที่มีสีใกลเคียงกันดวย Fuzzy Select Tool
1. คลิกเลือก Fuzzy Select Tool
2. กําหนดลักษณะการเลือกพื้นที่ใน Tool Options ดังนี้
Mode เลือกลักษณะการเลือกพื้นที่
การเลือกพื้นที่เพิ่ม เราสามารถเลือกพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่เดิมที่เลือกไวแลว
Page 54
การลบพื้นที่ เราสามารถลบพื้นที่ที่เราเลือกออกจากพื้นที่ที่เลือกไวเดิม
Antialiasing จะเปนการกําหนดเกี่ยวกับการกําหนดความกลมกลืนขอบภาพใหมีมากขึ้น
3. คลิกเมาสเลือกพื้นที่
ตัวอยางการกําหนดคา Threshold ที่ตางกัน
กําหนดคา Threshold เทากับ 20 กําหนดคา Threshold เทากับ 150
เลือกพื้นที่ที่มีสีเหมือนกันดวย Select By Color Tool
เปนเครื่องมือที่ใชเลือกพื้นที่ภาพที่มีสีใกลเคียงกับคาสี ณ จุดพิกเซลที่เราคลิกเมาสเลือก คลายกับเครื่องมือ
Fuzzy Select Tool แตจะเลือกพื้นที่ในจุดอื่นๆ ที่มีสีใกลเคียงกันดวย
เลือกพื้นที่โฟรกราวนดดวย Foreground Select Tool
เปนเครื่องมือที่ใชเลือกพื้นที่สวนหนาที่เราตองการ โดยเครื่องมือนี้จะทําการตัดขอบพื้นที่ที่เราตองการออกจาก
พื้นหลังอยางอัตโนมัติ มีวิธีการดังตอไปนี้
Mode เลือกลักษณะการเลือกพื้นที่
การเลือกพื้นที่เพิ่ม เราสามารถเลือกพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่เดิมที่เลือกไวแลว
การลบพื้นที่ เราสามารถลบพื้นที่ที่เราเลือกออกจากพื้นที่ที่เลือกไวเดิม
Contiguous กําหนดใหเลือกเฉพาะพื้นที่ที่อยูบริเวณเดียวกับที่ลากเสนกําหนดพื้นสีที่ตองการ
เทานั้น หากไมเลือกตัวเลือกนี้ โปรแกรมจะทําการเลือกบริเวณสีใกลเคียงกับที่ลากเสนผานทั้งหมด แม
พื้นที่ไมอยูติดกันก็ตาม
3. คลิกเลือกแบงพื้นที่โฟรกราวนดและแบคกราวนดออกจากกันอยางคราวๆ เมื่อเสร็จแลวจะเห็นการการแบงพื้นที่
ออกจากกัน โดยพื้นที่แบคกราวนดถูกไฮลไลทไว
ภาพตนฉบับ 3. เลือกพื้นที่ที่จะใชเปนโฟรกราวนดอยางคราวๆ
การปรับโหมดการเลือกพืน้ ที ่
การเลือกพื้นที่ดวยเครื่องมือแตละชนิดจะเหมาะกับลักษณะของภาพที่แตกตางกัน แตก็มีภาพบางลักษณะที่เรา
จะตองใชเครื่องมือหลายตัวทํางานรวมกัน เพื่อใหการเลือกพื้นที่ครอบคลุมภาพในสวนที่เรา ตองการมากที่สุด ที่ Tool
Options ของเครื่องมือการเลือกพื้นที่ทุกตัวจะมีตัวเลือกในการปรับรูปแบบการเลือกพื้นที่ที่เรามาใชได ดังนี้
การเลือกพื้นที่ใหม
ในกรณีที่เลือกพื้นที่ภาพเรียบรอยแลว ใหกด ที่ Tool Options ใหเราลากเมาสไปบริเวณพื้นที่ๆ ตองการ
เพื่อเลือกพื้นที่ใหม (อาจเปลี่ยนไปใชเครื่องมือเลือกพื้นที่อื่นได)
Page 58
เลือกขอบเขตภาพเพิ่มขึ้นจากเดิม
ในกรณีที่ตองการเลือกขอบเขตภาพเพิ่มขึ้น ใหเลือก หรือกดคีย <Shift> คางไว ตัวชี้เมาสจะเปลี่ยนเปนรูป
(หากเราใชเครื่องมืออื่นในการเพิ่มพื้นที่ เราจะเห็นเครื่องหมายบวกติดอยูดวยเสมอ เชน ) หลังจากนั้น
ใหเราคลิกเมาสคางไว แลวจึงลากเมาสไปบริเวณพื้นที่ๆ ตองการเพิ่ม
การลดขอบเขตภาพที่เลือกไวจากเดิม
ในกรณีการลดขอบเขตที่เลือกไวลง ใหเลือก หรือกดแปน <Control> คางไว ตัวชี้เมาสจะเปลี่ยนเปน
รูป (หากเราใชเครื่องมืออื่นในการตัดพื้นที่ เราจะเห็นเครื่องหมายลบติดอยูดวยเสมอ เชน ) หลังจากนั้น
ใหเราคลิกเมาสคางไว แลวลากเมาสไปบริเวณพื้นที่ๆ ตองการตัด
การเลือกพื้นที่เฉพาะสวนที่ตัดกันของพื้นที่เดิม
ในกรณีที่เราตองการเลือกพื้นที่เฉพาะสวนที่ตัดกัน ใหกด หรือกดคีย <Shift+Ctrl> คางไว ตัวชี้เมาสจะ
เปลี่ยนเปนรูป (หากเราใชเครื่องมืออื่นในการตัดพื้นที่ เราจะเห็นเครื่องหมายตัว u คว่ําติดอยูดวยเสมอ เชน
) หลังจากนั้นใหคลิกเมาสลากพื้นที่สวนที่เราตองการบนภาพ การเลือกพื้นที่จะเหลือเฉพาะสวนของเสนประที่
ตัดกันเทานั้น
Page 59
เลือกพื้นที่จากคําสัง่ Select
นอกจากจะใชเครื่องมือในกลุม Selection Tool ในการเลือกพื้นที่ไดแลว เรายังสามารถเลือกพื้นที่ในลักษณะ
ตางๆ ไดดวยคําสั่ง Select ที่เมนูของหนาตาง Image Window โดยเลือกคําสั่ง Select และเลือกลักษณะการเลือก
พื้นที่
เลือกพื้นที่ภาพทั้งหมด
ยกเลิกการเลือกพื้นที่ภาพทั้งหมด
เลือกพื้นที่ตรงขามกับที่เลือกไว
กําหนดพื้นที่ที่เลือกใหเปนเลเยอรลอย
เลือกพื้นที่ดวยเครือ่ งมือ Select By Color Tool
เลือกพื้นที่จากเสนพาธที่สราง
ตัวอยางการเลือกพื้นที่ตรงขาม
เปนการเปลี่ยนจากพื้นที่ไมถูกเลือกในภาพเปนพื้นที่ที่ถูกเลือก และพื้นที่ที่ถูกเลือกกลายเปนพื้นที่ที่ไมถูกเลือก
(ใชกับเครื่องมือ Selection ทุกประเภท) ไดดังนี้
2. กําหนดคาความแตกตางของ
คาสีใน Tool Options
3. เลือกพื้นที่ในสวนของพื้นหลัง จะไดการเลือกพื้นที่ของพื้นหลัง
ตัวอยางการเลือกพืน้ ที่นําไปตกแตงสีสัน
การเลือกพื้นที่อยางปราณีตดวย Quick Mask Toggle
ในกรณีที่พื้นที่ๆ เลือกเปนพื้นที่อิสระ ไมมีรูปทรงที่แนนอน รวมทั้งมีความแตกตางของสีภาพกับสีพื้นหลังนอย
เราจึงใชสีมาแยกความแตกตางระหวางพื้นที่ๆ ถูกเลือกและพื้นที่ๆ ไมถูกเลือก โดยบริเวณที่มีสีแดงเปนเหมือนกับการใส
หนากาก หามไมใหทําการปรับแตงคาบริเวณนั้น ดังนี้
1. คลิก เพื่อเขาสูโหมดควิกมาสก
2. ใช คลิกลบพื้นที่ในสวนที่เราตองการ
3. คลิก อีกครั้งเพื่อกลับมาที่โหมดปกติ จะไดการเลือกพื้นที่
1. คลิกเพื่อเขาสูโหมดควิกมาสก 3. คลิกอีกครั้งเพื่อกลับมาที่โหมดปกติ
สวนที่ลบเกินออกมา
ใช ระบายสีพื้นที่ใหเปนสี
แดงเหมือนเดิม
แสดงสวนที่ถูกเลือก
ยกเลิกการเลือกพื้นที่ทั้งหมด
สราง Selection Mask ที่ Channel
เลือกพื้นที่ทั้งหมด ใสสีใหเสนขอบของการเลือกพื้นที่
การปรับแตงการเลือกพื้นที ่
เมื่อเราเลือกพื้นที่แลวเราสามารถปรับแตงการเลือกพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อใหไดลักษณะของการเลือกพื้นที่ที่ตองการ
ไดหลายรูปแบบ ดังนี้
ปรับขอบการเลือกพื้นที่ใหฟุงเบลอ
เปนการปรับขอบของการเลือกพื้นที่ใหมีความฟุง เพื่อใหการตกแตงภาพดูกลมกลืนขึ้น ไดดังนี้
1. คลิกเลือกพื้นที่
2. เลือกคําสั่ง Select>Feather...
3. กําหนดคา Feather
4. คลิกเมาส
NOTE
หากเราตองการปรับขอบของภาพ ใหไมมีความฟุงเบลออยางรวดเร็ว ก็สามารถทําได โดยใชคําสั่ง Sharpen
Page 64
ลดขนาดการเลือกพื้นที่อัตโนมัต ิ
จะเปนการลดขนาดของการเลือกพื้นที่ลงตามสัดสวนของการเลือกพื้นที่เดิม ตามระยะขอบการเลือกพื้นที่ ดังนี้
1. เลือกพื้นที่
2. เลือกคําสั่ง Select>Shrink
3. จะปรากฏหนาตาง Shink Selection กําหนดระยะจากขอบการเลือกพื้นที่ที่ตองการใหลดลง
4. คลิกปุม เพื่อตกลงใชคาที่กําหนด
5. ขนาดการเลือกพื้นที่จะลดลง
1. เลือกพื้นที่
2. เลือกคําสั่ง
Select>Shrink
3. กําหนดระยะในการ
ลดขนาดพื้นที่
4. คลิกเมาส
5. ผลลัพธการเลือกพื้นที่จะลดลง
Page 65
เพิ่มขนาดการเลือกพื้นที่
จะเปนการเพิ่มขนาดการเลือกพื้นที่ ตามระยะขอบการเลือกพื้นที่โดยรอบคลายกับการเปลงแสงออกมา ดังนี้
1. เลือกพื้นที่
2. เลือกคําสั่ง Select>Glow
3. จะปรากฏหนาตาง Glow Selection กําหนดระยะจากขอบการเลือกพื้นที่ที่ตองการใหเพิ่มขึ้น
4. คลิกปุม เพื่อตกลงใชคาที่กําหนด
5. ขนาดการเลือกพื้นที่จะเพิ่มขึ้น
1. เลือกพื้นที่
2. เลือกคําสั่ง Select>Glow
3. กําหนดระยะในการเพิ่มขนาดพื้นที่
4. คลิกเมาส 5. ผลลัพธการเลือกพื้นที่จะเพิ่มขึ้น
เปลี่ยนการเลือกพื้นที่เปนการเลือกพื้นที่เสน
จะเปนการสรางการเลือกพื้นที่ใหกลายเปนการเลือกพื้นที่ของเสนขอบ ดังนี้
1. เลือกพื้นที่
2. เลือกคําสั่ง Select>Border
3. จะปรากฏหนาตาง Border Selection กําหนดความหนาของเสนที่ตองการ
• Feather border ทําใหขอบพื้นที่ที่เลือกนุมนวลขึ้น
Page 66
4. คลิกปุม เพื่อตกลงใชคาที่กําหนด
5. จะเกิดการเลือกพื้นที่เปนเลนขอบ
1. เลือกพื้นที่
2. เลือกคําสั่ง
Select>Border
กําหนดคุณสมบัติของเสน
5. ผลลัพธจะเกิดการเลือก
พื้นที่เปนเสนขอบ
4. คลิกเมาส
การบันทึกการเลือกพื้นที่ และการนํากลับมาใชใหม
เราสามารถบันทึกการเลือกพื้นที่โดยเก็บเปนมาสกใน Channel ได โดยการใชคําสั่ง Save to Channel
ซึ่งจะเปนประโยชนเมื่อเราตองการเรียกการเลือกพื้นที่นั้นๆ มาใชอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสามารถทําไดดังนี้
4. จะปรากฏการเลือกพื้นที่เดิมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
2. จะปรากฏเลเยอร
Selection Mask Copy
เราสามารถทําการยกเลิก
การเลือกพื้นที่ได
4. จะปรากฏการเลือกพื้นที่เดิม
3. ที่พาเล็ต Channel เลือกคําสั่ง Channel Menu>channel to
ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
Selection เมื่อตองการใหการเลือกพื้นที่กลับมาอีกครั้ง
Page 68
บทที่ 4
การจัดวาง และปรับรูปทรง
หลังจากที่ไดนําภาพสวนประกอบตางๆ มาวางซอนกันจนเขาที่แลว ในขั้นตอนนี้เราจะมาทําการจัดวาง ปรับ
ขนาดภาพ หมุนภาพ และบิดภาพ เพื่อใหสวนประกอบของภาพเหลานี้เขากัน โดยใชเครื่องมือในกลุม Transform Tool
การใชงานเครื่องมือวัดตําแหนงตางๆ
กอนการตกแตงภาพ เชน ภาพคน ภาพสิ่งของที่ตองการระบุตําแหนงของวัตถุเหลานั้นใหแนชัด เพื่อตกแตงภาพเฉพาะ
จุด โปรแกรมจึงจัดใหมีเครื่องมือที่ชวยอํานวยความสะดวกในการจัดวางงานของเรา ซึ่งไดแกเครื่องมือตางๆ ดังนี้
การบอกตําแหนงภาพดวย Ruler
Ruler มีลักษณะเหมือนไมบรรทัดที่อยูบริเวณดานบน และดานซายของหนาตางเปนตัวอางอิงเพื่อใชบอก
ตําแหนงตัวชี้เมาสบนภาพ
เมื่อวางเมาสบนภาพจะแสดงลูกศร
ตําแหนงบนแถบไมบรรทัด
การเปลี่ยนหนวยวัดใหกับไมบรรทัด
เราสามารถเปลี่ยนหนวยวัดที่ไมบรรทัดได โดยคลิกเลือกหนวยที่ดานลางของหนาตาง Image Window
Page 69
คลิกเลือกเพื่อเปลี่ยน
หนวยวัด
ผลลัพธแถบไมบรรทัดเปลี่ยนไป
การซอน/แสดงแถบไมบรรทัด
โดยปกติแลวเมื่อเราเปดไฟล หรือสรางไฟลภาพขึ้นมาใหม จะปรากฏแถบของไมบรรทัดขึ้นมาใหเราใชงานทันที
แตเราสามารถซอนหรือแสดงแถบไมบรรทัดได โดยเลือกที่คําสั่ง View>Show Ruler ถามีเครื่องหมาย จะเปนการ
แสดงไมบรรทัด ถาไมมีเปนการซอนแถบไมบรรทัดไว
แถบไมบรรทัดหายไป
เครื่องหมาย
หายไป
เลือกคําสั่ง View>Show Ruler
แสดงจุดอางอิงบนภาพดวยเสนไกด
เสนไกดเปนเสนที่ใชในการอางอิงระยะบนภาพ โดยเราสามารถใชเสนไกดไดทั้งแนวตั้ง และแนวนอน หรืออาจ
นําเสนไกดทั้ง 2 แนวมาตัดกัน เพื่อเกิดพิกัดที่ชวยบงบอกระยะสําหรับแกไขภาพ การวางวัตถุ เปนตน โดยเสนเหลานี้จะไม
ถูกพิมพออกทางเครื่องพิมพ ซึ่งการสรางเสนไกดมีวิธีดังนี้
1. นําเมาสไปวางที่แนวไมบรรทัดในแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได จากนั้นลากเมาสออกมาในตําแหนงที่ตองการก็จะมี
เสนไกดแสดงออกมาดวย
Page 70
ลากเมาสออกมาในตําแหนงที่ตองการแลว
ปลอยเมาส จะมีเสนไกด แสดงตามออกมา
ดวย
การเคลื่อนยายเสนไกด
หากตองการยายตําแหนงเสนไกด ใหคลิกยังเสนไกดที่ตองการยายตําแหนงคางไว และลากไปยังตําแหนงใหมที่
ตองการ
คลิกเสนไกดคางไวแลวลากไปยัง
ตําแหนงที่ตองการ
การลบเสนไกด
การลบเสนไกดคือ การยายเสนไกดออกไปนอกหนาตางภาพ เสนไกดก็จะหายไป โดยการคลิกเมาสคางไว แลว
ลากออกไปที่แถบไมบรรทัด
Page 71
คลิกที่เสนคางไวแลวลากไปยัง
แถบไมบรรทัด
การซอนและแสดงไกด
หากตองการซอนเสนไกดไว ใหเลือกคําสั่ง View>Show Guides ใหเครื่องหมาย หายไป และในทาง
กลับกัน ถาตองการใหเสนไกดกลับมาแสดงก็ใหเลือกคําสั่ง View>Show Guides อีกครั้ง
เลือกคําสั่ง
View>Show Guides
การแสดงจุดพิกัดบนภาพดวยกริด
กริดเปนจุดที่บอกพิกัดเพื่ออางอิงตําแหนง เกิดจากเสนแนวตั้ง และแนวนอนมาตัดกันจนเกิดจุดตัดระหวางเสน
โดยระยะหางระหวางจุดจะมีระยะหางที่เทากัน เราสามาถทําใหโปรแกรมแสดงเสนกริดได โดยเลือกคําสั่ง
View>Show Grids (สังเกตวาหลังจากเลือกแลวจะปรากฏเครื่องหมาย ขึ้นมา)
3. กําหนดคาตางๆ 4. คลิกเมาส
สรางความแมนยําในการวางภาพดวย Snap
Snap เปนคําสั่งที่จะทําใหวัตถุที่เรานํามาวางถูกดูดติดกับแนวเสนไกด เสนขอบของหนาเอกสาร และเสนกริด
Page 73
การเลือกใช Snap ในลักษณะตางๆ
• ใช Snap ยึดแนวเสนไกด ใหเลือกคําสั่ง View>Snap to Guides คลิกใหเปนเครื่องหมาย
• ใช Snap ยึดแนวเสนกริด ใหเลือกคําสั่ง View>Snap to Grid คลิกใหเปน
เครื่องหมาย
แสดง Snap วางยึดเสนไกด
วัดระยะของวัตถุดวย Measure Tool
เราสามารถวัดระยะทาง และมุมจากตําแหนง 2 ตําแหนงได โดยการใช Measure Tool ซึ่งทําหนาที่
เหมือนไมบรรทัดวัดระยะทาง และไม Protector วัดมุม เพื่อใหการทํางานของเราสะดวกรวดเร็ว และแมนยําขึ้น โดยมี
วิธีการตอไปนี้
3. คลิกเลื่อนเมาสใหจุดปลายทํามุมกับแนวนอน ลากเมาสไปยังจุดที่ตองการ
1. คลิกเลือกเครื่องมือ Measure Tool 2. คลิกลากเมาสระหวางจุดเริ่มตน และจุดปลาย
NOTE
เราสามารถดูระยะทาง และองศาของมุมที่เราใชเครื่องมือ Measure Tool ลากไป โดยคลิกเลือก Use info
Window ที่ Tool Options ของเครื่องมือ Measure Tool จะทําใหปรากฏหนาตาง Measure แสดงระยะทาง
และองศาของมุมที่เราวัดได
ปรากฏหนาตาง Measure
คลิกเลือก Use info
Window ที่ Tool Options แสดงระยะทาง
แสดงคามุม
ความสูง
ความกวาง
จุดปลายของ
ตําแหนงเดิม
คลิกเมาสเลื่อนเสนไปยัง
ตําแหนงใหมที่ตองการ
TIP
ถาเรากดคีย <Ctrl> คางไวขณะที่ ทําการลากเมาส จะบังคับเมาสใหเลื่อนเพิ่มหรือลดลงทีละ 15 องศา
รูจักกับการปรับรูปทรงภาพดวยเครื่องมือ Transform Tool
เปนเครื่องมือที่นําภาพหรือพื้นที่ภาพที่เราเลือกไว มาปรับรูปทรงใหเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เชน ปรับภาพใหมี
ขนาดเล็กลง ปรับทิศทางการวางภาพใหเอียง ยืดและบิดภาพ เปนตน ซึ่งวิธีการเหลานี้ สามารถปรับไดตามที่เราคลิกกําหนด
รูปทรง หรือกําหนดคาในหนาตางของเครื่องมือชนิดตางๆ เพื่อกําหนดคาได
การปรับขนาดภาพใหพอดีดวย Scale Tool
ภาพที่ตัดตอมาซอนอยูนั้น บางครั้งขนาดจะเล็กหรือใหญกวาพื้นที่ที่เราจะวางภาพ ดังนั้นตองปรับขนาดกันสัก
หนอยดวย Scale Tool ดังนี้
1. ใชเครืองมือตัดภาพตัดภาพออกมา
2. กอปปภาพที่ตัดมาวางในภาพอีกภาพหนึ่ง
3. คลิกเลือก Scale Tool เพื่อกํานดขนาด
4. คลิกที่รูปเพื่อปรับขนาด หรือ กําหนดขนาด โดยการตั้งคาที่หนาตาง Scale
5. เมื่อกําหนดขนาดเรียบรอยแลว คลิกที่ปุม เพื่อตกลงใชคา
Page 77
2. กอปปภาพที่ตัดมาวางในภาพอีกภาพหนึ่ง
1. ตัดภาพจากภาพตนฉบับ
3. คลิกเลือก Scale Tool
หรือกําหนดคาตางๆ
5. คลิกเมาสเพื่อตกลงใชคา
ผลลัพธเมื่อเปลี่ยน
4. คลิกบนภาพเพื่อ ขนาดใหพอดี
กําหนดขนาด
กําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือ Scale Tool
เราสามารถกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมของเครื่องมือ Scale Tool ไดที่ Tool Options ดานลางของหนาตาง
Main Toolbox ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
Page 78
เลือกโหมดการจัดการกับวัตถุชนิดตางๆ
เลือกลักษณะการปรับขนาดได 2 แบบ
กําหนดคุณภาพของการปรับภาพ
คือ Normal (Forward) คือการปรับไป
กําหนดการตัดภาพที่ถูกปรับ ตามที่เรากําหนด และแบบ Corrective
เรียบรอยแลวใหมีขนาดเทากับ (Backward) เปนการปรับไปในทิศ
ขนาดภาพตนฉบับโดยอัตโนมัติ ทางตรงขามกับที่กําหนด
กําหนดลักษณะภาพตัวอยาง
กําหนดใหอัตราสวนระหวาง ในการปรับภาพ
ความกวาง และความสูงคงที่
หมุนภาพใหไดมุมที่ลงตัวดวย Rotate Tool
หากภาพที่ตัดตอมานั้นอยูในทิศทาง หรือมุมที่ไมลงตัว อันนี้ก็หมุนใหอยูในที่ควรจะอยูไดดวย Rotate Tool
ดังนี้
3. คลิกเมาส
Page 79
2. คลิกที่รูปเพื่อหมุนภาพ ผลลัพธการหมุนภาพ
กําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือ Rotate Tool
เราสามารถกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมของเครื่องมือ Rotate Tool ไดที่ Tool Options ดานลางของหนาตาง
Main Toolbox ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เลือกโหมดการจัดการกับวัตถุชนิดตางๆ
ใหการหมุนเปลี่ยนมุมไปครั้งละ
15 องศา
บิดภาพใหลาดเอียงดวย Shear Tool
เปนการบิดภาพใหมีลักษณะลาดเอียง โดยใหบิดกรอบดานใดดานหนึ่ง ซึ่งกรอบอีกดานจะอยูคงที่ จะปรากฏ
กรอบสําหรับการบิดภาพใหบิดไปซายขวาหรือบนลางตามตองการ ดังนี้
2. คลิกที่ภาพเพื่อทํา
การบิด
หรือกําหนดระยะเพือทํา
การบิดภาพ
3. คลิกเมาส ผลลัพธการบิดภาพ
2. คลิกที่มุมของภาพเพื่อทําการบิด
Page 81
3. คลิกเมาสเพื่อตกลง ผลลัพธการบิดภาพ
กําหนดลักษณะภาพตัวอยางใน
การปรับภาพ
การพลิกกลับดานรูปดวย Flip Tool
เปนกลับดานของภาพจากซายเปนขวา หรือ จากดานบนเปนดานลาง โดยใช Flip Tool ดังนี้
ตัวอยางการพลิกภาพในแนวตั้ง (กลับดานบนเปนดานลาง)
กอนพลิก หลังพลิก
TIP
เราสามารถเปลี่ยนแนวในการพลิกภาพได โดยกําหนดคุณสมบัติของเครื่องมือที่ Tool Option โดยเลือก Flip
Type เปนแบบ Horizontal (แนวนอน) หรือ Vertical (แนวตั้ง) หรือกดคีย <Ctrl> คางไวขณะคลิกเพื่อ
พลิกภาพ (สังเกตจากรูปลูกศรที่เปลี่ยนไป และ )
NOTE
โหมดการจัดการกับวัตถุ (Affect)
ลักษณะของการแสดงภาพตัวอยางในการปรับภาพ (Preview)
Outline จะแสดงเพียงเสนกรอบใหเห็นวารูปเปลี่ยนไปในลักษณะใด
Image จะแสดงเปนลักษณะของรูปภาพที่เปลี่ยนไป
บทที่ 5
การสรางขอความตกแตงภาพ
การสรางงานกราฟกนอกจากจะประกอบดวยภาพหลายๆ ภาพที่นํามาตกแตงเปนเรื่องราวที่ตองการแลว เรายัง
สามารถใสขอความที่เปนชื่อเรื่อง หรือคําอธิบายรายละเอียดของเรื่องที่ตองการนําเสนอนั้นดวย เนื้อหาในบทนี้เราจะกลาว
กันถึงเรื่องการใสตัวอักษรลงไปในภาพ และการปรับแตงตัวอักษรและขอความตางๆ
รูจักกับรูปแบบของตัวอักษรทีใ่ ชในโปรแกรมกราฟก
ตัวอักษรที่ใชในโปรแกรมกราฟก โดยทั่วไปแบงออกเปน 2 ประเภท เชนกัน คือ
แบบ Outline หรือแบบ Vector
ตัวอักษรแบบ Outline จะถูกจัดเก็บในลักษณะการประมวลผลเปนสูตรคณิตศาสตร ทําใหไมเกิดปญหารอย
หยัก แตก บนขอบตัวอักษรเมื่อเกิดการยอ/ขยายตัวอักษร จึงเหมาะสําหรับนํามาใชในงานสิ่งพิมพและงานศิลป อยางไรก็
ตาม ตัวอักษรแบบนี้จะนําไปตกแตงเอฟเฟกตโดยใชฟลเตอรไมได
แบบ Bitmap
ตัวอักษรแบบ Bitmap จะถูกจัดเก็บในรูปแบบพิกเซล ทําใหสะดวกในการประมวลผลเรื่องสี โดยเฉพาะอยาง
ยิ่งการลงสีและการตกแตงภาพ ฉะนั้นขอดีของอักษรแบบ Bitmap คือ สามารถใชไดกับการใสเอฟเฟกตและฟลเตอร
ในขณะที่ขอเสีย คือ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขนาด เชน การขยายขนาดจะทําใหตัวอักษรแตก
การสรางตัวอักษรแบบ Outline
ตัวอักษรแบบ Outline เหมาะสําหรับการนําเสนอขอความที่มีความคมชัด และมีสีสันเรียบงาย เพราะตัวอักษร
แบบ Outline ไมสามารถใสเอฟเฟกตไดมากนัก สามารถสรางไดดังนี้
3. พิมพขอความ
5. คลิกเมาส
2. คลิกบริเวณภาพที่ตองการใสขอความ
4. กําหนดลักษณะตัวอักษร ผลลัพธที่ได
การแกไขขอความที่พิมพผิดพลาด
ถาเราพิมพขอความผิด หรืออยากปรับรูปแบบใหม มีขั้นตอนดังนี้
ลากเมาสบนตัวอักษรใหเกิดแถบสีน้ําเงินครอบตัวอักษรเพื่อพิมพคําใหมทับลงไป
ลากเมาสบนตัวอักษรใหเกิดแถบสีน้ําเงินครอบตัวอักษรเพื่อพิมพคําใหมทับลงไป
Page 87
การสรางตัวอักษรแบบ Bitmap
ทําไดโดยการเลือกพื้นที่เปนรูปขอความที่ตองการ และใชเครื่องมือเติมสี หรือระบายสีตางๆ ลงสีใหกับพื้นที่รูป
ตัวอักษรที่เลือกไว ทําใหสามารถตกแตงสีของขอความไดมากขึ้น สามารถทําได ดังนี้
1. พิมพขอความที่ตองการเหมือนกับการสรางขอความแบบ Outline
2. คลิกเลือกที่ปุม ใน Tool Options เพื่อสรางขอความใหเปนเสนพาธ
3. คลิกปุม เพื่อสิ้นสุดการกําหนด และแกไขขอความ
4. ไปที่ไดอะล็อก Path คลิกเมาสขวาที่พาธขอความเลือกคําสั่ง Path to selection เพื่อสรางการเลือก
พื้นที่เปนรูปขอความ
5. ใช ระบายสีใหกับพื้นที่รูปขอความที่เลือก
1. พิมพขอความ
2. คลิกเมาส
3. คลิกเมาส
Page 88
4. คลิกเมาสขวาเลือก จะไดการเลือกพื้นที่เปนรูปขอความ
คําสั่ง Path to Selection
1. พิมพขอความที่ตองการ
2. คลิกเมาสขวาที่เลเยอรของขอความในไดอะล็อก Layers เลือกคําสั่ง Discard Text Information เพื่อ
แปลงขอความ
3. ขอความ Outline จะเปลี่ยนไปเปนแบบ Bitmap
1. พิมพขอความ
Page 89
3. ขอความ Outline จะ
เปลี่ยนไปเปนแบบ Bitmap
สรางขอความแบบแฟนตาซีดวย Alpha to Logo
เปนการสรางขอความที่มีรูปแบบสวยงาม โดยเปนรูปแบบขอความสําเร็จรูปกําหนดมาใหเราเลือกใช และทําการ
กําหนดคาเพิ่มเติมนิดหนอยเทานั้น เชน มีการเติมสีขอความเปนลวดลาย มีแสงรอบๆ ขอความ เปนตน (ซึ่งก็คือฟลเตอร
Script-Fu ในเวอรชั่นกอนๆ) จะใชงานขอความจาก Alpha to Logo ได ดังนี้
4. คลิกเมาส
Page 90
ผลลัพธของขอความที่ได
ตัวอยางขอความรูปแบบตางๆ
Page 91
บทที่ 6
การทํางานกับเลเยอร
ในบทแรกเราไดทราบถึงวิธีการเลือกพื้นที่ภาพ การตัดภาพจากไฟลตางๆ มารวมกันเปนชิ้นงาน และการใส
ขอความลงไปประกอบในชิ้นงาน ดังนั้นในบทนี้เราจะมา สรางชิ้นงานกันอยางตอเนื่อง โดยการจัดวางภาพที่ซอนกันอยูให
ลงตัวมากยิ่งขึ้น ใน GIMP เรียกการทํางานนี้วา “เลเยอร” ซึ่งชวยอํานวยความสะดวกในการจัดวางภาพแตละสวนที่วาง
ซอนกันอยูเปนชั้นๆ ทําใหสามารถทํางานกับภาพเฉพาะสวนไดโดยไมมีผลกระทบกับสวนอื่นๆ ของภาพที่ไมเกี่ยวของ
ความหมายของ Layer
เลเยอร (Layer) เปนการซอนภาพเหมือนกับนําแผนใสที่มีภาพซอนทับกันเปนชั้นๆ ซึ่งบริเวณของแผนใสที่ไม
มีรูปก็จะสามารถมองเห็นทะลุถึงแผนใสที่อยูชั้นลางได และเมื่อนําทุกแผนใสทุกชั้นมาวางซอนทับกัน จะทําใหเกิดเปน
รูปภาพที่สมบูรณ การใชเลเยอรจะชวยใหเราจัดวางงานไดงาย เนื่องจากแตละเลเยอรทํางานเปนอิสระตอกัน มีคุณสมบัติ
ตางๆ เปนของตัวเอง จึงทําใหการแกไขที่เราทําในแตละเลเยอรนั้นไมสงผลตอเลเยอรอื่นๆ
ภาพในแตละเลเยอรจะซอน แผนใสภาพขอความ
กันเหมือนแผนใส
แผนใสตกตาหมี
แผนพื้นหลัง
การซอนภาพดวยเลเยอร
ตัวอยางนี้ เราจะลองนําภาพและขอความมาซอนกัน เพื่อจะสรางสรรคงานออกมาใหดูนาสนใจมากยิ่งขึ้น มี
ขั้นตอนดังนี้
o ขั้นตอนที่ 1 เปดภาพที่สรางเปนฉากหลัง
o ขั้นตอนที่ 2 ซอนภาพมาในเลเยอรที่ 2
o ขั้นตอนที่ 3 ใสขอความลงในภาพ
Page 92
1. เปดภาพที่สรางเปนฉากหลัง ลากภาพตุกตาหมีมาซอน
ใสขอความลงในภาพ
การสรางเลเยอร
หลังจากที่เราเปดภาพจากไฟล background.psd ขึ้นมาเพื่อสรางฉากหลัง จะ เห็นวาที่ไดอะล็อก Layers
จะมีเพียงเลเยอรเดียว คือ Background เราตองทําการสรางเลเยอรใหมเพื่อใสภาพดอกไม ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. ที่หนาตาง Image Window เลือกคําสั่ง Layer>New Layer หรือใน หนาตาง Docking ที่ไดอะล็อก
Layers คลิกเมาสที่ เพื่อทําการสรางเลเยอรใหม
2. จะปรากฏหนาตาง New Layer ใหเราพิมพชื่อลงในชอง Layer Name จากนั้นกําหนดรูปแบบของ
Layer
3. คลิกปุม สรางเลเยอรใหมตามที่เรากําหนด
Page 93
หรือคลิกเมาส เพื่อสรางเลเยอร
2.พิมพชื่อเลเยอร
เลเยอรจะถูกสราง
กําหนดรูปแบบ ขึ้นใหม
ของเลเยอร
3. คลิกเมาส
หลังจากทําการสรางเลเยอรใหมเรียบรอยแลวใหเราทําการคัดลอกภาพตุกตาหมีที่เตรียมไวมาวางบนเลเยอรที่
สรางใหม
ผลที่ไดจากการ
ซอนเลเยอรตุกตา
หมีกับพื้นหลัง
วางภาพตุกตาหมีบนเลเยอรที่สรางใหม
การใชงานเลเยอร
ในหัวขอนี้เราจะมาเรียนรูจักวิธีการใชงานเลเยอรเบื้องตน เพื่อใหเราสามารถประยุกตไปใชกับงานเลเยอรเรื่อง
อื่นๆ ได
Page 94
ทํางานกับ Active Layer
ในการใชงานโปรแกรม GIMP แมชิ้นงานจะประกอบไปดวยหลายเลเยอร แตเราจะทํางานไดเพียงทีละเลเยอร
เทานั้น โดยเลเยอรที่เรากําลังทํางานอยูเรียกวา “Active Layer” ซึ่งในพาเล็ต Layers จะปรากฏเปนแถบสีน้ําเงิน
แสดงวากําลังทําการปรับแตงใหกับเลเยอรนั้น
ซอนและแสดงเลเยอร
ถาชิ้นงานที่เราแกไขประกอบไปดวย เลเยอรจํานวนมาก เราอาจตองการซอนบางเลเยอรที่ยังไมไดใช เพื่อความ
สะดวกในการทํางาน เมื่อเสร็จแลวก็ใหแสดงเลเยอรนั้นใหเห็นดังเดิม ดังตัวอยางเราจะทดลองซอนเลเยอรขอความ ดังนี้
ซอนเลเยอร
1. คลิกเมาสที่ เพื่อซอนเลเยอร (ชองสถานะนั้นจะเปลี่ยนเปน )
2. ผลลัพธที่ได คือ เลเยอรภาพหมีจะหายไป
ภาพตนฉบับ
1. คลิกเมาสเพื่อซอนเลเยอร
2. เลเยอรภาพหมีจะ
หายไป
Page 95
แสดงเลเยอร
1. แสดงเลเยอร โดยคลิกเมาสที่ อีกครั้งหนึ่ง (ชองสถานะจะเปลี่ยนกลับมาเปน )
2. ผลลัพธที่ไดคือ เลเยอรตุกตาหมีจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
คลิกเมาสเพื่อแสดงเลเยอร
ภาพในเลเยอรตุกตาหมีกลับมา
TIP
เราสามารถทําการซอนและแสดงเลเยอรไดทีละหลายๆ เลเยอรพรอมกัน เพียงแตทําการคลิกชอง เพื่อเลือก
ซอนและแสดงในเลเยอรที่ตองการ
คัดลอกเลเยอร
ในการทํางานกับเลเยอรอาจมีขอผิดพลาดเกิดขึ้นได หากเราตองการปองกันไมใหเลเยอรนั้นสูญหายไปดวย ขอ
แนะนําใหทําการคัดลอกเลเยอรสํารองไว โดยเลเยอรใหมที่ถูกคัดลอกออกมานั้นจะมีคุณสมบัติเหมือนเลเยอรตนแบบทุก
ประการ เพียงแตชื่อของเลเยอรจะมีคําวา Copy ตอทาย เชน ถาเราคัดลอก Layer 1 เราจะไดเลเยอรใหมที่มีชื่อวา
“Layer 1 Copy” เราสามารถทําไดดังนี้
1. เลือกเลเยอรที่ตองการทําการคัดลอก
2. คลิกไอคอน Duplicate layer เพื่อทําการคัดลอกเลเยอร
1. เลือกเลเยอรที่
ตองการคัดลอก
จะไดเลเยอรใหม
หลังการคัดลอก
2. คลิกเมาส
Page 96
NOTE
การคัดลอกเลเยอรเขาไปไวในตางไฟลภาพ สามารถทําโดยเลือกเลเยอรที่ตองการในหนาตาง Docking และทํา
การคัดลอกภาพในหนาตาง Image Window ไปวางยังไฟลที่ตองการ ทั้งนี้ตองระวังเรื่อง Resolution ที่ตางกัน
ระหวางตนทางและปลายทาง หากปลายทางมีคา Resolution ต่ํากวาตนทาง รูปที่ปรากฏที่ปลายทางจะมีขนาดเล็กลง
เปลี่ยนลําดับของเลเยอร
โดยปกติภาพที่ซอนกันจะถูกเรียงเลเยอรเปนลําดับตามการสรางงานของเรา (สรางกอนจะอยูชั้นลางสุด) แตเพื่อ
ความเหมาะสม เราก็สามารถสลับตําแหนงการวางของเลเยอรแตละเลเยอรได โดยคลิกที่ปุม เพื่อเลื่อนเลเยอรขึ้น
หรือ เพื่อเลื่อนเลเยอรลงดานลาง
กอนการเปลี่ยนลําดับเลเยอร หลังการเปลี่ยนลําดับเลเยอร
การรวมเลเยอรลอยเขากับเลเยอรหลัก
เมื่อเราทําการใช Selection Tool เลือกพื้นที่แลวเคลื่อนยายภาพที่เลือก หรือคัดลอกไฟลภาพจากที่อื่นมาวาง
ในหนาตาง Image Window ภาพดังกลาวจะเปนเลเยอรลอย ทําใหเราไมสามารถทําการแกไขในสวนอื่นตอได ดังนั้น
เราตองทําการรวมเลเยอรลอยเขากับเลเยอรหลักเสียกอน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
ไฟลภาพผีเสื้อทีค่ ัดลอกมา
1. เลือกเลเยอรหลัก
2. เลือกคําสั่ง
Edit>Paste
ปรากฏเลเยอร
Floating Selection
3. คลิกเมาส
เลเยอรลอยถูก
รวมกับเลเยอร
ที่เลือกไว
เลเยอรภาพผีเสื้อถูกรวมกับเลเยอรภาพดอกไมเรียบรอยแลว
Page 98
เมื่อเราคัดลอกภาพผีเสื้อมาวางในงานเรียบรอยแลว แตไมตองการรวมไฟลภาพผีเสื้อที่เปนเลเยอรลอยเขากับเล
เยอรหลักที่มีอยูแลว ใหไปที่ไดอะล็อก Layers คลิกเมาสที่ปุม (New Layer) จะปรากฏเลเยอรภาพผีเสื้อขึ้นมา
เปนเลเยอรใหมทันที
คลิกเมาสเพื่อสรางเลเยอรลอยใหเปนเลเยอรใหม จะปรากฏเลเยอรลอย
เปนเลเยอรใหม
NOTE
เลเยอรลอยที่ยังไมรวมเขากับเลเยอรหลักสามารถทําการแกไขได เชน การปรับขนาด เปลี่ยนสี และเปลี่ยนขนาด
ได แตไมสามารถทําการแกไขเลเยอรอื่นภายในภาพได
การเชื่อมโยงเลเยอรเขาดวยกัน
บางครั้งเราตองการแกไขเลเยอรหลายเลเยอรในลักษณะเดียวกัน เชน ตองการเลื่อนภาพที่อยูตางเลเยอรใหอยูใน
ลักษณะเดียวกัน ซึ่งการเลือกทีละภาพจะเปนการเสียเวลามาก ทางออกของปญหานี้ที่จะชวยประหยัดเวลาใหกับเรานั่นคือ
การเชื่อมเลเยอรนั้นๆ เขาดวยกัน เรียกวา “การลิงคเลเยอร (Link Layer)” ซึ่งในโปรแกรม GIMP นั้น การลิงคเปนการ
สรางความเกี่ยวโยงของเลเยอร 2 เลเยอรหรือมากกวา
1. คลิกเมาสที่ หนาเลเยอรที่เราตองการลิงค
2. ชองสถานะนั้นจะเปลี่ยนเปน แสดงถึงการทําการงานลิงคกัน
3. จากนั้นทดลองเคลื่อนยายเลเยอรดวย Move Tool และลดขนาดโดยใช Scale Tool จะสังเกตเห็น
วาภาพที่ลิงคกันอยูก็จะเคลื่อนยายและลดขนาดตามไปดวย
Page 99
ภาพตนฉบับ ภาพตุกตาหมีจะเลื่อนและลดขนาดตามขอความไปดวย
3. ทดลองลดขนาด และเลื่อนเลเยอร
ขอความ
ลบเลเยอร
เมื่อเราไมตองการใชเลเยอรใดก็ควรจะลบทิ้งไปเสีย เนื่องจากการเก็บเลเยอรที่ไมใชไวเยอะๆ จะเปลือง
หนวยความจําของเครื่อง ทําใหโปรแกรมทํางานไดชา การลบเลเยอรสามารถทําไดดังนี้
1. คลิกเลือกเลเยอรที่ตองการลบ
2. คลิกที่ไอคอน
3. เลเยอรผีเสื้อที่ลบทิ้งจะหายไป
ภาพกอนลบเลเยอรผีเสื้อ ภาพหลังลบเลเยอรผีเสื้อ
Page 100
1. คลิกเลือกเลเยอร
3. เลเยอรภาพผีเสื้อ
หายไป
2. คลิก
เพื่อลบเลเยอร
การเปลี่ยนขนาดของเลเยอร
ในการตกแตงภาพดวยโปรแกรม GIMP เราสามารถกําหนดขนาดของภาพในเลเยอรได 2 ลักษณะ คือ
การเปลี่ยนขนาดภาพในเลเยอร
เปนการเปลี่ยนขนาดของเลเยอร ซึ่งจะสงผลถึงขนาดของภาพในเลเยอรดวย คือ เมื่อยอ/ขยายขนาดของเลเยอร
ขนาดของภาพจะยอ/ขยายตาม สามารถทําไดดังนี้
2. กําหนดขนาด และคุณภาพของเลเยอร
การเปลี่ยนขนาดพื้นที่ในเลเยอร
เปนการเปลี่ยนขนาดพื้นที่ของเลเยอร ซึ่งจะไมสงผลถึงขนาดของภาพในเลเยอร คือ เมื่อยอ/ขยายขนาดของเลเยอร
ขนาดของภาพจะเทาเดิม แตพื้นที่ภายในเลเยอรจะมากขึ้น/นอยลง สามารถทําได ดังนี้
3. คลิกเมาสที่ปุม เพื่อสั่งใหโปรแกรมเปลี่ยนขนาดเลเยอรใหมตามที่เรากําหนด
2. กําหนดขนาด
1. คลิกที่ ในเลือก
และตําแหนง
คําสั่ง Layer Menu>Layer
Boundary Size...
3. คลิกเมาส
Page 102
รวมเลเยอร
หลังจากที่เราไดแกไขชิ้นงานเสร็จสิ้น และไมจําเปนตองใชเลเยอรตางๆ อีกตอไป ก็อาจจะรวมเลเยอร ทั้งหมดให
เปนเลเยอรเดียว ซึ่งการทําเชนนี้จะทําใหลดขนาดไฟลชิ้นงาน และทําใหเครื่องทํางานไดรวดเร็วขึ้นทําได 2 วิธี โดยการ
• วิธีที่ 1 ลบเลเยอรที่ไมตองการออกไป
• วิธีที่ 2 รวมเลเยอรตั้งแต 2 เลเยอร ขึ้นไปไวเปนเลเยอรเดียวกัน เราเรียกวิธีนี้วาการ “Merge” เลเยอร
1. รวมเลเยอร 2 เลเยอรที่อยูติดกันใหเปนเลเยอรเดียวกัน
2. รวมเลเยอรที่มองเห็นอยูใหเปนเลเยอรเดียวกัน
3. รวมทุกเลเยอรใหเปนเลเยอรเดียว
Warning
รวมเลเยอร 2 เลเยอรที่อยูติดกันใหเปนเลเยอรเดียวกัน
การทํางานลักษณะนี้ เราเรียกวา “Merge Down” เปนการรวมเลเยอร 2 เลเยอรที่อยูติดกันใหเปนเลเยอร
เดียวกัน โดยเลเยอรที่เราเลือกให Active จะยุบลงไปรวมกับเลเยอรขางลาง จากตัวอยางเราตองการรวมเลเยอร Miss
You.. และเลเยอร bear ใหเปนเลเยอรเดียวกัน คือ เลเยอร butterfly
1. คลิกเมาสเลือกเลเยอร Text
2. เลือกคําสั่ง Layer>Merge Down ในหนา Image Window หรือใชวิธีคลิกที่ ในไดอะล็อก
Layers แลวเลือกคําสั่ง Layer Menu>Merge Down
3. ผลลัพธที่ไดคือเลเยอร Text จะยุบไปรวมกับเลเยอร bear
Page 103
1. เลือกเลเยอรที่ตองการ
Merge
3. เลเยอรจะถูกรวมเขาดวยกันในเลเยอร
butterfly
รวมเลเยอรที่มองเห็นอยูใหเปนเลเยอรเดียวกัน
การทํางานลักษณะนี้เราเรียกวา “Merge Visible” เปนการรวมเลเยอรทั้งหมด ที่มองเห็น (เลเยอรที่มี
สัญลักษณ ) ใหเปนเลเยอรเดียว ดังตัวอยางเราตองการรวม เลเยอร Background, เลเยอร bear และเลเยอร Miss
You.. ใหเปนเลเยอรเดียว โดยจะไดเปนเลเยอร Background เสมอ มีวิธีการดังตอไปนี้
2. เลือกลักษณะการรวมเลเยอร
3. คลิกเมาส
4. เลเยอรจะถูกรวมเขาดวยกันในเลเยอร
Background
รวมทุกเลเยอรใหเปนเลเยอรเดียว
การทํางานลักษณะนี้เราเรียกวา “Flatten Image” เปนการรวมเลเยอรทั้งหมดเขาไวเปนเลเยอรเดียว ภาพที่
ถูกรวมจะเปลี่ยนชื่อเปน Background ไมวาเราจะทํางานอยูในเลเยอรใดก็ตาม
WARNING
บทที่ 7
เทคนิคการตกแตงภาพในเลเยอร
หลังจากที่เราไดจัดเตรียมภาพ และนําภาพมาจัดเรียงในแตละเลเยอรใหเขากันแลว ตอไปเราจะทําการตกแตงภาพ
ในแตละเลเยอรใหกลมกลืนกัน และทําเทคนิคผสานเลเยอรใหดูสวยงามได
ปรับเลเยอรที่ซอนใหมองทะลุถงึ กัน
เปนลักษณะการปรับภาพใหจางลง จนกระทั่งกลายเปนภาพใสที่สามารถมองทะลุไปยังพื้นหลังได เราเรียก
คุณสมบัตินี้วา “Opacity” ซึง่ การปรับคา Opacity นี้จะเกิดขึ้นกับภาพทั้งภาพในเลเยอรนั้นรวมทั้งเอฟเฟกตที่ใชดวย
โดยมากเทคนิคนี้มักจะนิยมใชกับเลเยอรที่วางซอนกัน
เทคนิคการสราง Layer Mask
เปนการเจาะภาพดานบนใหโปรงใส เพื่อใหภาพดานลางลอดขึ้นมาดานบนตามชองของหนากาก เราเรียกเทคนิค
นี้วา “Layer Mask”
สวนสีดําโปรงแสง
สวนสีขาวจะทึบแสง
สวนสีเทาโปรงแสงเล็กนอย
Page 107
ภาพดานบน
กําหนดการ
ไลโทนสี ภาพพื้นหลัง
ภาพพื้นหลังแสดงผาน
ขึ้นมาดานบนได
• สวนที่เปนสีดํา เปนสวนที่โปรงแสง คือ ภาพจากดานลางสามารถแสดงลอดเขามาได 100%
• สวนที่เปนสีเทา จะโปรงแสงนอยกวาสีดําแตไมทึบแสง ภาพจะแสดงไดตามขนาดความโปรงแสง
• สวนที่เปนสีขาว จะทึบแสง ภาพสวนนี้จะทึบแสง ภาพจากเลเยอรดานลางไมอาจแสดงลอดขึ้นมาได
สราง Layer Mask โดยการไลโทนสี
จากความรูที่กลาวไปขางตน เราสามารถนํา Layer Mask มาใชตกแตงภาพไดอยางกลมกลืน โดยการนําภาพ 2
ภาพมาซอนกัน แลวใหภาพหนึ่งเปน Mask หรือเปนหนากากเพื่อใหภาพในเลเยอรลางลอดออกมาจากชองของหนากาก
1. เรียง 2 ภาพตามลําดับ
3. เลือกเปน White
(full opacity)
7. เลือกใหไลโทนสี
จากโฟรกราวนดไป 9. แสดงผลการ
ยังแบ็คกราวนด ซอนเลเยอรโดยการ
ใช Layer Mask
สราง Layer Mask จากการคัดลอกภาพ
ในตัวอยางนี้เราจะเปลี่ยนพื้นหลังของภาพดอกไม ดวยการสราง Mask บังสวนของดอกไมไว จากนั้นใชการคัดลอกพื้น
หลังใหม (ภาพใหม) ที่ตองการนําไปแทนที่พื้นหลังของดอกไม ก็จะไดพื้นหลังใหมอยางแนบเนียน
Page 110
สราง Layer Mask โดยการเลือกพื้นที่
การสราง Layer Mask อีกรูปแบบหนึ่ง คือการใช Selection Tool เลือกสวนที่เราตองการ และลบสวนที่
ไมตองการออก โดยในตัวอยางเราตองการนําบางสวนของภาพไปตกแตงงานกราฟกของเรา
แสดงการ Mask ใน
หนาตาง Layers
3. เลือกเปน
Selection
สวนที่อยู
นอกเหนือจากสวน
ที่เลือกจะหายไป
สามารถนําพื้นที่นั้นไป
สรางงานอื่นตอไป
Page 112
ตกแตง Layer Mask อยางอิสระ
เทคนิคตอไปนี้เปนอีกวิธีหนึ่งที่ชวยใหเรากําหนด Mask ไดอยางมีอิสระ โดยจะใชพูกันระบายเพื่อใหเกิดมาสก
ในสวนของภาพที่ตองการใหแสดงออกมาดังตัวอยางตอไปนี้
กําหนดใหสีโฟรกราวนดเปนสีดํา และแบ็คกราวนดเปนสีขาว
คลิกเมาสเพื่อทํางาน
กับ Mask
เมื่อใช ระบาย
สวนที่เปนภาพซอนจะ
ถูกบังหายไปบางสวน
เปนเหมือนการลด
พื้นที่ Mask
เมื่อใช สวนที่
เปน Mask ภาพจะ
เพิ่มขึ้น
NOTE
เราสามารถลบ Mask Layer ไดเชนเดียวกับการลบเลเยอรแบบธรรมดา โดยลากเลเยอรไปจะทิ้งใน
Page 113
ทําความเขาใจกับ Layer Blending Mode
Layer Blending Mode เปนการปรับสีภาพที่ซอนกันอยูใหผสมสีใหมออกมา ดูนาสนใจ กอนที่เราจะทํา
ความเขาใจเกี่ยวกับ Blending Mode ตางๆ มีคําศัพทพื้นฐาน 3 คําที่เราควรรูกอน คือ
เลเยอร Background เปน Base Color เลเยอรที่ซอนทับเลเยอร Background เปน Result Color ผลจากการใช Blending
Blend Color
ภาพกอนการเปลี่ยนแปลง 1. คลิกเมาสเลือกเลเยอรที่ตองการใช
Blending Mode ผสมสี
Page 114
ภาพกอนการเปลี่ยนแปลง ภาพหลังการเปลี่ยนแปลง
1. คลิกเมาสเลือก
Brush Tool
2. คลิกเลือก
สีโฟรกราวนด
3. คลิกเลือกสีที่ตองการ
แลวคลิกเมาสตกลง
4. ระบายในสวนที่เราตองการสรางภาพ
ใหเดนขึ้น
Page 117
บทที่ 8
การวาดภาพ และระบายสี
ไมเพียงความสามารถในการตัดตอ และซอนภาพดังที่กลาวมาแลว เราสามารถใชโปรแกรม GIMP วาดภาพ
หรือระบายสีภาพได นอกจากนี้เรายังเอาใจคนที่ชอบวาดการตูน โดยจะกลาวถึงเทคนิคการนําภาพการตูนที่วาดมาลงสีดวย
โปรแกรม GIMP
วาดรูปทรงดวย Path tool
การวาดภาพใน GIMP จะเปนการวาดภาพโดยใชเสนพาธ (Path) ซึ่งเสนพาธเหลานี้สามารถดึงใหตรง หรือ
ดัดโคงใหเกิดเปนรูปรางตางๆ ไดตามที่เราตองการดวยเครื่องมือ Path Tool โดยลากเสนพาธ และดัดเสนใหเกิด
ความโคง พื่อใหไดภาพเปนรูปทรงที่เราตองการ คลายๆ กับการใชตะปูยึดสายไฟในแตละจุดเพื่อใหเราสามารถลากสายไฟ
ไปตามสวนตางๆ ของผนังบานได
รูจักกับเสนพาธ
เสนพาธ คือ เสนที่วาดเชื่อมตอกันจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง โดยที่ปลายทั้งสองของเสนจะมีจุดที่ใชยึดใหเสน
เชื่อมตอกันจุดนี้ เรียกวา จุดยึด (Anchor point) ซึ่งสามารถปรับจุดยึดเพื่อกําหนดรูปทรง และทิศทางของเสนได โดยมี
สวนประกอบดังตอไปนี้
A: สวนโคงของเสนพาธ
B: จุดปรับความโคงสามารถปรับทิศทางความโคงของเสนพาธ
C: แขนปรับความโคง เปนแขนที่ยื่นออกมาจากจุดยึด
D: จุดยึดใหเสนเชื่อมตอถึงกัน
E: จุดปลายของเสนพาธ
โดยทั่วไป เราจะแบงเสนพาธออกเปน 2 ประเภท คือ แบบเปด (Open Path) และแบบปด (Close Path)
มีลักษณะ ดังนี้
Page 118
ฝกวาดเสนพาธ
เราจะวาดเสนพาธตามรูปอมยิ้มรูปหัวใจ โดยจะมี ขั้นตอนในการสรางและปรับแตงดังนี้
• ขั้นตอนที่ 1 สรางเสนพาธ
• ขั้นตอนที่ 2 การเพิ่มจุดรอยตอของเสนพาธ
• ขั้นตอนที่ 3 การเคลื่อนยายจุดรอยตอของเสนพาธ
• ขั้นตอนที่ 4 ลบจุดรอยตอของเสนพาธ
• ขั้นตอนที่ 5 ปรับสวนโคงของเสนพาธ
เสนพาธรูปหัวใจ
ขั้นตอนที่ 1 สรางเสนพาธ
เริ่มตนเลือกใชงานเครื่องมือ Pen Tool ทําการสรางเสนพาธดังนี้
2. เลือกโหมดการใช
งานเครื่องมือแบบ
Design
4. คลิกเมาสที่ตําแหนงปลาย
ขั้นตอนที่ 2 การเพิ่มจุดรอยตอของเสนพาธ
จากหัวขอที่ผานมา เราจะไดลักษณะของเสนพาธที่มีรอยตอของเสนพาธ อยู 3 จุด ตอไปเราสามารถเพิ่มจุดรอยตอ
เหลานี้ไดโดยเปลี่ยนโหมดของเครื่องมือ Path Tool เปน แบบ Edit เพื่อแกไขโดยการเพิ่มจุดแองเคอรไวใชในการ
ปรับแตงภาพ
1. เลือกโหมดการใชงานเครื่องมือ
แบบ Edit
2. คลิกเพิ่มจุด 3. จะไดจุดรอยตอที่เพิ่มขึ้น
พรอมแขนทั้งสองขาง
ขั้นตอนที่ 3 เคลื่อนยายจุดรอยตอของเสนพาธ
อีกขั้นตอนหนึ่งของการสรางเสนพาธ คือ การเคลื่อนยายจุดรอยตอ โดยอาศัยการทํางานรวมกับจุด Anchor
โดยตรง ซึ่งเราจะตองเปลี่ยนโหมดของเครื่องมือกลับไปเปนแบบ Design ดังตัวอยางเราจะเคลื่อนยายเสนพาธไปยังขอบ
ของรูปหัวใจ
1. เลือกโหมดการใช
งานเครื่องมือแบบ
Design
ขั้นตอนที่ 4 ลบจุดรอยตอของเสนพาธ
ในขณะที่เรากําลังทํางานกับเสนพาธอยูนั้น หากเกิดการผิดพลาด เชน วาดเสนในตําแหนงที่ผิด วางจุด Anchor
ไมถูกตามแบบที่คิดไว เราสามารถทําการแกไขไดโดยการลบจุดรอยตอของเสน หรือลบจุด Anchor นั้นเอง โดยเปลี่ยน
โหมดการใชงานเครื่องมือเปนแบบ Edit และทําการลบจุดที่ไมตองการออก ดังตัวอยางเราจะลบจุด Anchor ที่อยูบนรูป
หัวใจออกไป
ขั้นตอนที่ 5 ปรับสวนโคงของเสนพาธ
เราสามารถปรับเสนพาธใหเปนเสนโคงตามทิศทางที่เราตองการ โดยกําหนดโหมดในการใชเครื่องมือ Path
Tool เปนแบบ Edit และทําการแกไขสวนโคงของเสน ดังตัวอยางเราจะปรับเสนพาธใหพอดีกับเสนโคงของรูปหัวใจดังนี้
NOTE
ในการปรับเสนพาธในขั้นตอนตอๆ ไป เราจะใชการเพิ่ม/ลดจุด ปรับความโคง และการยายตําแหนงของจุดตาม
วิธีที่ไดกลาวมาแลว เพื่อสรางรูปพาธใหไดอยางที่ตองการ
ลากเมาสปรับจุดตางๆ จนไดรูปทรง
ตามตองการ
การเคลือ่ นยายพาธ
เราสามารถเคลื่อนยายเสนพาธทั้งชิ้นได โดยกําหนดโหมดในการใชเครื่องมือ Path Tool เปนแบบ Move
และคลิกเคลื่อนยายตําแหนง ดังนี้
Page 123
1. เลือกโหมดการใชงานเครื่องมือแบบ Move
2. คลิกยายตําแหนงพาธ
กําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือ Path Tool
เราสามารถกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมของเครื่องมือ Path Tool ไดที่ Tool Options ดานลางของหนาตาง
Main Toolbox ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เลือกโหมดการใชงานเครื่องมือ
กําหนดใหสรางเสนพาธเปนเสนตรง
คลิกเพื่อสรางการเลือกพื้นที่จากพาธที่เราสราง
คลิกเพื่อกําหนดการเติมสีใหกับเสนพาธ
TIP
ในขณะที่เราวาดรูปภาพในโหมด Design เราสามารถเปลี่ยนโหมดการใชงานไปเปนโหมดตางๆ โดย
การทํางานกับเสนพาธที่วาดขึ้น
เมื่อเราทําการวาดชิ้นพาธที่ตองการแลว ชิ้นพาธที่ไดจะไปปรากฏอยูที่ไดอะล็อก Paths เพื่อทําใหเราสามารถ
จัดการกับพาธไดงายๆ
ทําความรูจักกับไดอะล็อก Paths
Page 124
แท็ปแสดงไดอะล็อก Paths
ปุมแสดงเมนูของ Paths
ใสสีใหกับเสนพาธ แสดงเสนพาธที่มีอยู
ใสสีใหกับเสนพาธ สรางเสนพาธใหเปนการเลือกพื้นที่
กอปปพาธ
เลื่อนลําดับพาธลงไปดานลาง สรางการเลือกพื้นที่ใหเปนเสนพาธ
เลื่อนลําดับพาธขึ้นไปดานบน ใสสีใหกับเสนพาธ
สรางพาธใหม
ลบเสนพาธ
การสรางพาธใหม
ในกรณีที่ตองการสรางเสนพาธใหม สามารถทําไดโดยการคลิกที่ปุม (New Path) ซึ่งการทํางานนั้นจะ
คลายกับเปนการสรางเลเยอรใหมใหกับชิ้นงานของเรา ดังนี้
1. คลิกเลือก
2. จะปรากฏหนาตาง New Path ใหเราตั้งชื่อของภาพที่จะสราง
3. คลิกที่ปุม พาธใหมที่ตองการจะปรากฏทันที
2. ตั้งชื่อพาธ
การซอน/แสดงเสนโครงรางของพาธ
เมื่อเราใสสีใหกับเสนพาธ เราจะยังคงเห็นเสนโครงรางของพาธที่วาดขึ้น ซึ่งเราสามารถซอนและแสดงเสนโครง
รางของพาธได โดยคลิกที่
Page 125
คลิกแสดงพาธ
ผลลัพธเมื่อแสดงพาธ
คลิกซอนพาธ
ผลลัพธเมื่อซอนพาธ
การคัดลอกพาธ
หากเราไมตองการสรางเสนพาธรูปเดิมใหม หรือตองการคัดลอกไปวางในไฟลภาพอื่น ใหเราทําการคัดลอกได
โดยคลิกที่ปุม จะปรากฏพาธที่คัดลอกขึ้นมาใหมทันที ดังนี้
1. คลิกเลือกพาธทีต่ องการกอปป
3. จะไดพาธที่กอปป
ขึ้นมาใหม
2. คลิกเมาส
Page 126
การเปลี่ยนลําดับพาธ
โดยปกติพาธที่ซอนกันจะถูกเรียงเปนลําดับตามการสรางงานของเรา (สรางกอนจะอยูชั้นลางสุด) แตเพื่อความ
เหมาะสม เราก็สามารถสลับตําแหนงการวางของพาธแตละชิ้นได โดยคลิกที่ เพื่อเลื่อนลําดับพาธจากลางขึ้นขางบน
และ เพื่อเลื่อนลําดับพาธจากขางบนลงมาขางลาง
1. คลิกเลือกพาธ
2. คลิกเลื่อนพาธขึน้
การปรับพาธที่เราสรางขึ้นใหเปนการเลือกพื้นที่
หากเราจะเติมสี หรือตัดพื้นที่ในเสนพาธที่สรางขึ้น เพื่อนําไปใชงานตางๆ จะตองเปลี่ยนเสนพาธนั้นใหอยูในรูป
ของการเลือกพื้นที่เสียกอน จากตัวอยางที่ผานมาเราจะมาศึกษาตอถึงการปรับเสนพาธที่เราวาดใหเปนการเลือกพื้นที่ได โดย
คลิกเลือกที่ปุม ดานลางของไดอะล็อก Paths หรือใชคําสั่ง Path to selection ที่ปุมแสดงเมนูของ Paths
ดังตอไปนี้
1. คลิกเมาสที่
2. เลือกคําสั่ง Paths Menu>Path to selection
1. คลิกเมาส
NOTE
นอกจากนี้แลวเรายังสามารถสรางการเลือกพื้นที่จากเสนพาธได โดยคลิกที่ ใน
Tool Options ของเครื่องมือ Path Tool
TIP
นอกจากจะสามารถสรางการเลือกพื้นที่จากเสนพาธไดแลว ยังสามารถสรางเสนพาธจากการเลือกพื้นที่ได โดย
คลิกที่ปุม หรือเลือกคําสั่ง Paths Menu>Selection to Path ที่ปุมแสดงเมนูของ Paths ในไดอะล็อก
Paths ก็ได
การรวมเสนพาธกับการเลือกพื้นที่ที่ซอนทับกัน
ตอไปเมื่อเรามีการเลือกพื้นที่อยูแลว เราสามารถสรางพาธขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง และ ทําการจัดการพื้นที่ระหวางเสน
พาธ และการเลือกพื้นที่ที่มีอยูไดหลายลักษณะ ดังนี้
1. สรางเสนพาธขึ้นมาอีก 1 ชิ้น
2. คลิกเมาสที่ เลือกคําสั่ง Paths Menu
3. คลิกเลือกคําสั่งที่ตองการ ตัวอยางจะเลือกคําสั่ง Add to selection
1. สรางเสนพาธ
2. คลิกเมาส เลือก
คําสั่ง Paths Menu
Page 128
ผลลัพธการเลือกพื้นที่
ตัวอยางการรวมพื้นที่แบบอื่นๆ
การใสสีใหกับเสนพาธ
นอกจากการสรางพื้นที่ภาพดวยเสนพาธ เรายังสามารถสรางพาธใหเปนเสนไดตามตองการ โดยคลิกเลือกที่
ปุม ดานลางของไดอะล็อก Paths หรือใชคําสั่ง Stroke Path ที่ปุมแสดงเมนูของ Paths ดังตอไปนี้
1. คลิกเมาสที่
2. เลือกคําสั่ง Paths Menu>Stroke Path
3. จะปรากฏหนาตาง Stroke Path ใหเราเลือกลักษณะของการเติมสีใหเสนพาธสามารถเลือกได 2 ลักษณะ คือ
o Stroke line กําหนดเสนพาธเอง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
o Line Width กําหนดความกวางของเสน
o Line Style กําหนดรูปแบบเสน มีรายละเอียดดังนี้
แบบปลายตัดพอดีเสนพาธ
แบบปลายมน
แบบปลายตัดเลยออกมารอบเสนพาธ
Page 129
แบบมุมฉาก
แบบมุมมน
แบบมุมตัดฉาก
Antialiasing คลิกเพื่อกําหนดการตัดเหลี่ยมขอบของเสนใหดูสวยงามขึ้น
o Solid กําหนดใหเปนการใสสีใหกับเสน
o Pattern กําหนดใหเปนการใสลวดลายใหกับเสน
o Stroke with a paint tool กําหนดใหเติมสีเสนดวยเครื่องมือเติมสีตางๆ
o Paint Tool เลือกเครื่องมือเติมสีที่ตองการ
4. คลิกปุม เพื่อตกลงใชลักษณะการเติมสีเสนที่กําหนด
1. คลิกเมาส
ลักษณะของเสนพาธ
2. เลือกคําสั่ง Paths
Menu>Stroke Path
Page 130
3. กําหนดลักษณะการเติมสีเสน
ผลลัพธของเสนที่ได
4. คลิกเมาส
Workshop การวาดภาพการตูนดวยเครื่องมือ Path Tool
o ขั้นตอนที่ 1 สรางเสนพาธภาพการตูน
o ขั้นตอนที่ 2 ใสสีภาพการตูน
o ขั้นตอนที่ 3 ใสลวดลายเสื้อการตูน
o ขั้นตอนที่ 4 ตกแตงสีสันเพิ่มเติม
ขั้นตอนที่ 1 สรางเสนพาธภาพการตูน
เราจะเริ่มจากการนําภาพการตูนที่สเก็ตไวเขามา และสรางเสนพาธตามภาพ ดังนี้
Page 131
2. ใช ลากพื้นที่
ภาพที่เราตองการลงไป
โดยการแบงพื้นที่ภาพ
ออกเปนสวนๆ เพื่อ
นําไปใสสีพื้นในหัวขอ
ตอไป
1. ทําการสเก็ตภาพการตูนลงบนกระดาษ จากนั้นใชเครื่อง
สแกนเนอร ทําการสแกนภาพลงในเครื่องคอมพิวเตอร
3. แสดงการลากเสน
พาธในสวนใบหนา
และลําตัวเปนพื้นที่
เดียวกันในเลเยอร
ใหมที่ชื่อวา body
5. แลวทําการใสสีเนื้อลง
บนภาพ ดังรูป
4. คลิกเปลี่ยนเสนพาธ
เปนการเลือกพื้นที่
ขั้นตอนที่ 3 ใสลวดลายเสื้อการตูน
Page 133
13. แปลงเสนพาธในสวนเสื้อผาให
เปลี่ยนเปนเสนของการ เลือกพื้นที่
และใช เทสีพื้นเปนแบบ
Pattern ในสวนของเสื้อ
ขั้นตอนที่ 4 ตกแตงสีเพิ่มเติม
แสดงภาพเลเยอร
ภาพทั้งหมด
Page 135
บทที่ 9
ความรูเรื่องสี และการเลือกใชสี
โมเดลการมองเห็นสีทั่วไป
โดยทั่วไปแลวสีตางๆ ในธรรมชาติและสีที่ถูกสรางขึ้น จะมีรูปแบบการมองเห็นสีที่แตกตางกัน ซึ่งรูปแบบการ
มองเห็นสีนี้เรียกวา ”โมเดล (Model)” ดังนั้น จึงทําใหมีโมเดลหลายแบบดังที่เราจะไดศึกษาตอไปนี้คือ
โมเดลแบบ HSB ตามหลักการมองเห็นสีของสายตามนุษย
เปนลักษณะพื้นฐานของการมองเห็นสีดวยสายตาของมนุษย โมเดล HSB จะ ประกอบดวยลักษณะของสี 3
ลักษณะคือ
H+S แทนคาสีทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากที่
Hue+Saturation
โมเดล RGB ตามหลักการแสดงสีของเครื่องคอมพิวเตอร
โมเดล RGB เกิดจากการรวมกันของสเปกตรัมของแสงสี แดง (Red), เขียว (Green) และน้ําเงิน (Blue) ใน
สัดสวนความเขมขนที่แตกตางกัน โดยจุดที่แสงทั้งสามสีรวมกันจะเปนสีขาว นิยมเรียกการผสมสีแบบนี้วา “Additive”
แสงสี RGB มักจะถูกใชสําหรับการสองแสงทั้งบนจอภาพทีวีและจอคอมพิวเตอร ซึ่งสรางจากสารที่ใหกําเนิดแสงสีแดง สี
เขียวและสีน้ําเงิน ทําใหสีดูสวางกวาความเปนจริง
Page 137
โมเดล CMYK ตามหลักการแสดงสีของเครื่องพิมพ
โมเดล CMYK มีแหลงกําเนิดสีอยูที่การซึมซับ (Absorb) ของหมึกพิมพบนกระดาษ โดยมีสีพื้นฐานคือ สีฟา
(Cyan), สีบานเย็น (Magenta) และเหลือง (Yellow) โดยเรียกการผสมสีทั้ง 3 สีขางตนวา “Subtractive
Color” แตสี CMYK ก็ไมสามารถผสมรวมกันใหไดสีบางสี เชน สีน้ําตาล จึงตองมีการเพิ่มสีดํา (Black) ลงไป ฉะนั้น
เมื่อรวมกันทั้ง 4 สี คือ CMYK สีที่ไดจากการพิมพ จึงจะครอบคลุมทุกสี
โมเดลการมองเห็นสีในโปรแกรม GIMP
จากการมองเห็นสีโดยทั่วไปมาสูหลักการมองเห็นสีใน GIMP ที่เราจะเรียกวา “โหมด (Mode)” ซึ่งโหมด
ของสีใน GIMP จะแบงออกเปน 3 กลุม ดังนี้
o กลุมที่ 1 โหมดที่อางอิงตามโมเดล
o กลุมที่ 2 โหมดทีถ่ ูกกําหนดขึ้นพิเศษหรือที่เรียกวา ”โหมด Specialized”
o กลุมที่ 3 โหมดทีใ่ ชกับการควบคุมคาของพิกเซลหรือที่เรียกวา “โหมด Blending”
ซึ่งมีรายละเอียดดังตอไปนี้
กลุมที่ 1 โหมดที่อางอิงตามโมเดล
โหมด RGB
ใชหลักการของโมเดล RGB โดยมีการกําหนดคาความเขมขนของสีแดง เขียว และน้ําเงินที่มาผสมกันในแตละ
พิกเซล เปนคาตั้งแต 0-255 ตัวอยางเชน สี Bright Red เกิดจาก R (สีแดง) ที่ 246 และ G (สีเขียว) ที่ 20 และ B (สี
น้ําเงิน) ที่ 50 ภาพที่เกิดจากโหมด RGB จะเปนการซอนสีหลัก 3 ชั้น และสามารถมองทะลุผาน 3 สีนี้ จนกลายเปนภาพ
ซึ่งเรียกชั้นของสีเหลานี้วา “Channel” โดยปกติสีทั่วไปในการแสดงผลจะมีถึง 16.7 ลานสี หรือ 224
โหมด CMYK
ใชหลักการของโมเดล CMYK โดยมีการกําหนดคาสีจากเปอรเซ็นตความเขมขนของสีแตละสีที่มาผสมกัน เชน
สี Bright Red เกิดจาก C = 2%, M = 93%, Y = 90% และ K = 0% (หรือสีขาว)
Page 139
โหมด LAB
ใชหลักการของโมเดล LAB ในการผสมสี โดยโปรแกรมจะยึดโหมดนี้เปนเหมือนตัวกลางในการแปลงจาก
โหมดสีหนึ่งไปอีกโหมดสีหนึ่ง เนื่องจากหลักการของ LAB นี้เปนมาตรฐานที่ไมขึ้นอยูกับโมเดลใดๆ จึงใชเปนโหมด
ตัวกลางนั่นเอง
โหมด Indexed color
ถึงแมบางภาพจะมีสีไดมากถึง 16.7 ลานสี แตสวนใหญจะใชไมถึง ในกรณีที่เราตองการลดขนาดไฟลภาพก็อาจ
ใชโหมดนี้ ซึ่งจะทอนสีใหเหลือใกลเคียงกับที่ตองใช โหมดนี้สามารถแสดงสีได 256 สี โดยคุณภาพไมลดลงมากนัก
การเปลี่ยนโหมดสีของภาพ
โดยปกติแลว ภาพที่เราเก็บไวในคอมพิวเตอรนั้นจะเปนโหมด RGB แตถาเราตองเปลี่ยนโหมดของภาพเพื่อให
เหมาะสมกับลักษณะของงานที่จะนําไปใชก็สามารถเปลี่ยนโหมดสีได ดังนี้
เลือกคําสั่ง
Image>Mode>Grayscale
1. เลือกคําสั่ง Image>Mode>Indexed...
2. จะปรากฏหนาตาง Indexed Color Conversion ใหเรากําหนดคาตางๆ
Dithering กําหนดความกลมกลืนในการผสมเฉดสีในภาพซึ่งมีใหเลือกหลายรูปแบบ
3. คลิกปุม เพื่อตกลงการใชคาที่กําหนด
Page 142
1. เลือกคําสั่ง
Image>Mode>Indexed..
2. กําหนดคาตางๆ 3. คลิกเมาส
เปลี่ยนโหมดสีแบบอื่นๆ
นอกจากนี้ยังสามารถกําหนดสีเปนโหมดอื่นๆ ได ดังนี้
1. เลือกคําสั่ง Color>Components>Decompose…
2. เลือกโหมดภาพที่ตองการ
Page 143
การเลือกใชสกี ับงานกราฟก
งานกราฟกที่เราสรางนั้น ลวนแตมีจุดประสงคที่จะสื่อใหผูชมเขาใจถึงความหมาย และมีความรูสึกรวมกับงาน
ชิ้นนั้น ตัวอยางเชน โฆษณาขายบานที่ตองการแสดงถึงความรักและความอบอุน การโฆษณาขายเสื้อผาของคนแตละวัยก็
ตองการดีไซนที่ตางกัน หากเปนผูชายวัยทํางานก็ตองดูภูมิฐาน และผูหญิงวัยรุนก็ตองมีความอินเทรน ดังนั้นการใชสีที่สื่อ
ถึงกลุมคนและความรูสึกเหลานี้ลวนแตมีความสําคัญ
สีและวงลอของสี
ในวงลอของสีเราสามารถแบงสีไดเปน 3 หมวดหมู ดังนี้
สีโทนรอนและสีโทนเย็น
จากวงลอของสี เราสามารถนําไปใชงานใหเหมาะสม โดยแยกเปนโทนสีไดดังนี้
สีโทนรอน
สีโทนเย็น
Page 144
สีและการสื่อความหมาย
สีที่เรานิยมเลือกนํามาใชเปนสีหลักในชิ้นงาน จะเปนตัวสื่อถึงความหมาย และเขาถึงอารมณของผูชมไดเปนอยาง
ดี ซึ่งเพื่อการความเขาใจแบบงายๆ จะขอสรุปเปนแนวทางได ดังนี้
สี สื่อความหมาย
สีแดง เปนสีของไฟและเลือด พลังงาน สงคราม อันตราย ความแข็งแรง พละกําลัง ความปรารถนา และ
ความรัก
สีแดงออน ความสนุกสนาน ความออนไหว ความยั่วยุทางเพศ ความปรารถนา และความรัก
สีชมพู สื่อถึงความเปนผูหญิง ความโรแมนติก ความรัก มิตรภาพ และความละเอียดออน
สีแดงเขม คือความโกรธ บาคลั่ง ความมุงมั่น ความกลาหาญ ผูนํา ความใคร ความกระฉับกระเฉง และความมุง
ราย
สีน้ําตาล สื่อถึงการชวนคิด ความเสถียรภาพ แข็งแกรง และคุณภาพ
สีน้ําตาลแดง ความหมายในทางบวกสื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว การเกิดผลสําเร็จ เกาแก และโบราณ นอกจากนี้จะพบบอย
ในการโฆษณาขายบาน และสื่อถึงครอบครัว
สีสม เกิดจากสีแดงที่มีพลังและสีเหลืองที่สื่อถึงความสุข มาเปนสีสมจึงหมายถึง ความสนุก ความสดใส
แสงแดด ความรอนแรง ความกระตือรือรน ชวนใหหลงรัก ชางคิด ชางฝน ความตั้งใจ ความสําเร็จ
การชวยเหลือ นิยมใชในการโฆษณาผลไม ผลไมเพื่อสุขภาพ และของเลน
สีสมเขม หมายถึง โกหก หลอกลวง มีอุบาย ไมนาไวใจ และนาสงสัย
สีสมแดง หมายถึง ความปรารถนา การยั่วยุทางเพศ ความเพลิดเพลิน ดูมีอํานาจ กาวราว และแสดงถึงความ
กระหาย
สีเหลือง เปนสีของแสงอาทิตย สื่อถึง ความสนุกสนาน ความสุข ความฉลาด ความยินดี ชัยชนะ มั่นคง
ปลอดภัย พลัง และความกระปกระเปรา นอกจากนี้ ยังใชในการโฆษณาอาหาร สินคาเด็ก รถแทกซี่
สินคาราคาแพง ใชคาดกับสีดําสําหรับการแจงเตือนวาอันตราย เพราะมองเห็นไดเดนชัด ใชระบาย
เนนในจุดสําคัญ
สีเหลืองหมน สื่อถึงความเสื่อมสลาย ความเจ็บปวย อิจฉา ขี้หึง และหวงแหน
สีเหลืองออน สื่อถึงสติปญญา ความสดใหม จืด ทะลึ่ง ความสนุกสนาน และราเริง
สีเขียว เปนสีของธรรมชาติ ความเจริญเติบโต ความสามัคคี ความอุดมสมบูรณ การเริ่มตน และความหวัง
Page 145
นอกจากนี้ยังใชสื่อถึงความปลอดภัยในการโฆษณายา
สีเขียวเขม สื่อถึง เงิน ธนาคาร ความทะเยอทะยาน ความโลภ และความอิจฉา
สีเขียว-เหลือง ชี้ถึงความเจ็บปวย ความขี้ขลาด ความอิจฉา และริษยา
สีเขียวผลมะกอก สื่อถึงสันติภาพ และความสงบสุข
สีน้ําเงิน เปนสีของทองฟาและน้ําทะเล ใชสื่อถึงความลึก ความมั่นคง ความเสถียรภาพ เปนสัญลักษณของ
ความเชื่อใจ ความไวใจ ความซื่อสัตย จงรักภักดี สุขุมรอบคอบ ฉลาด และความศรัทธา นอกจากนี้จะ
พบบอยในโฆษณาสินคาและบริการที่ใหดูวาสะอาด เชน เครื่องกรองน้ํา และน้ํายาทําความสะอาด
ถาเปนโฆษณาที่สื่อถึงอากาศและทองฟา ก็มีสายการบิน และเครื่องปรับอากาศ ถาสื่อถึงน้ําและทะเล
ก็จะเปนการโดยสารผานเรือ และน้ําแร สินคาไฮเทคโนโลยีตางๆ รวมทั้งเปนสีประจําเพศชาย จะพบ
โดยมากในโฆษณาสินคาของผูชาย
สีน้ําเงินออน สื่อถึงความสงบ รมรื่น เยือกเย็น เห็นอกเห็นใจ และความออนนุม
สีน้ําเงินเขม สื่อถึงความรู ความมั่นคง ความขรึม ความเปนผูใหญ และเอาจริงเอาจัง
สีมวง เปนสีของกษัตริย อํานาจ ความเปนผูดี ชนชั้นสูง ฟุมเฟอย หรูหรา ความทะเยอทะยาน ความสงา
ความอิสระ และใชกับอํานาจวิเศษ-เวทมนตร
สีมวงออน สื่อถึงความโรแมนติก และความคิดถึง
สีมวงเขม สื่อถึงความมืดมน ความโศกเศรา และการหักลาง
สีขาว สื่อถึงความสวาง ความดี บริสุทธิ์ และไรเดียงสา เราจะเห็นสีขาวในชุดพยาบาล หมอ ชุดเจาสาว ฤดู
หนาว-หิมะ และสินคาลดน้ําหนัก
สีดํา สื่อถึงความชั่วราย ความตาย การสูญเสีย ความลึกลับ การมีแบบแผน และดูมีมารยาท เปนสัญลักษณ
ของความโศกเศรา แตยังพบเห็นในการใชกับสินคาที่หรูหรา และมีเกียรติ
สีเหลือง : สื่อถึงความ
สนุกสนาน มีพลัง และชัยชนะ
สีน้ําเงิน : นิยมใชกับสินคาที่เจาะ
กลุมผูซื้อที่เปนผูชาย
แบบแผนในการใชส ี
การทราบความหมายของสี จะชวยใหเราเลือกสีหลักที่ใชสื่อความหมายของชิ้นงานไดอยางเหมาะสม แตมี
มากกวานั้นคือ ในงานกราฟกนอกจากจะประกอบดวยสีพื้นหลังแลว ยังตองมีภาพประกอบ ขอความ และวัตถุตางๆ ซึ่ง
จะตองมีการกําหนดสี เพื่อใหภาพโดยรวมมีสีที่ดึงดูดนาสนใจ ไมกลมกลืน หรือขัดแยงกันมากจนเกินไป
Page 146
สีแบบสีเดียว (Monochromatic)
เปนการใชสีเพียงสีเดียว คือ สีหลักที่เราเลือก โดยจะนําสีนั้นมาผสมไลโทนให แตกตางกันบางในบางจุดของ
ชิ้นงาน การผสมสีมี 2 แบบ คือ Shade เปนการใสสีดําใหเขมขึ้น และ Tint ใสสีขาวผสมสีใหออนลง ตัวอยางเชน สีแดง
เพิ่มสีดําก็จะได สีแดงเขมเหมือนอิฐแดง และเพิ่มสีขาวก็จะกลายเปนสีชมพู
สีที่คลายคลึงกัน (Analogous)
จะเปนสีที่เราเลือกและอีก 2 สีที่อยูขางเคียง ตัวอยางเชน เราเลือกสีแดง จากนั้นก็มีสีสมแดง และมวงแดงที่อยู
ขางเคียง
สีที่ตรงขามกัน (Complementary)
เปน 2 สี ที่อยูตรงขามกันในตําแหนงวงลอของสี หากเราใชสีหนึ่งยืนพื้น ก็จะชวยขับใหอีกสีหนึ่งดูแรงกลา โดด
เดนขึ้นมา ตัวอยาง เชน สีแดงจะอยูตรงขามกับสีเขียว
Page 147
สีหลักและสีขางเคียงสีตรงขาม (Split complementary)
สีแรก คือสีที่เราเลือกจะยืนพื้นเปนหลักกับอีก 2 สีที่อยูขางๆ สีตรงขามของสีหลักที่เราเลือกนั่นเอง ตัวอยางเชน สี
แดง (สีหลัก) สีเขียวเหลือง และสีเขียวน้ําเงิน
สีสามเสา (Triadic )
เปน 3 สีที่อยูหางเทาๆ กันบนวงลอของสี เชน สีแดง สีเหลือง และสีน้ําเงิน
2 คูสีตรงกันขาม (Double complement)
จะประกอบดวย 2 คูสีที่อยูตรงขามกัน ตัวอยางเชน คูสีเหลืองกับสีมวง และคูสีน้ําเงินกับสีสม
สีสามเสาและสีตรงขาม (Alternate complement)
จะมีดวยกัน 4 สี โดย 3 สีแรกจะเปนสี 3 เสา และสีที่ 4 จะเปนสีตรงขามกับสีหลัก ตัวอยางเชน สีแดง สีเหลือง สี
น้ําเงิน และสีมวงซึ่ง (เปนสีตรงขามกับสีแดงที่เปนสีหลัก)
Page 148
สี่สีที่หางเทากัน (Tetrad)
ประกอบดวย 4 สี โดยแตละสีอยูระยะหางเทากันบนวงลอของสี และสามารถแจกแจงออกมาไดเปน 1 สีที่เปนสี
ขั้นที่ 1 อีก 1 สีในสีขั้นที่ 2 และอีก 2 สีในสีขั้นที่ 3 ตัวอยางเชน สีแดง สีเขียว สีสมเหลือง และสีมวงน้ําเงิน
Page 149
บทที่ 10
การปรับแตงภาพ
ปรับแตงความสมดุลของสีภาพดวย Color Balance Tool
ในการปรับแตงแกไขสีของภาพเราจะพิจารณาวงลอสี ดังรูป ซึ่งเราจะเห็นไดวา ใน โหมดสี RGB และ CMYK
มีสีที่ตรงขามกันอยู ซึ่งเราเอาความรูเรื่องนี้ไปปรับแตงสีของภาพดวยการเลือกเครื่องมือ Color Balance Tool ดัง
ตัวอยาง เมื่อเราตองการปรับสีแดง (Red) ใหเพิ่มขึ้น ในขณะที่เราทํางานอยูในโหมด RGB ทําไดโดยการเพิ่มความเขม
ของสีเหลือง (Yellow) และสีมวง (Magenta) หรือลดความเขมของสีฟา (Cyan) ลง ซึ่งเปนสีตรงกันขามในวงลอ
เราก็จะไดสีแดงเขมขึ้น ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
2. คลิกเมาสภายในภาพที่ตองการปรับแตงสี
3. เลือกสวนของสีภาพที่เรา
ตองการปรับ
4. เลื่อนแถบสไลดกําหนดสี
5. คลิกเมาส
TIP
ภายในหนาตางของเครื่องมือการปรับแตงภาพจะมีชองคําสั่ง ใหเราคลิกเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของ
ภาพขณะที่เราทําการปรับแตงอยู
Page 151
ปรับความเขมและความจางของสีภาพดวย Hue/Saturation Tool
การปรับภาพโดยใชคําสั่ง Hue/Saturation จะอาศัยพื้นฐานของการมองภาพในโมเดลของ HSB ดัง
รายละเอียดที่กลาวมาแลวในบท “ความรูเรื่องสีและการเลือกใชโหมดสี” ซึ่งจะเปนการปรับสีภาพโดยรวมทั้งหมด และ
ปรับภาพใหเปนโทนสีเดียวได
1. คลิกเลือก color>Hue-Saturation…
2. คลิกเมาสภายในภาพ
ที่ตองการปรับแตงสี
4. เลื่อนสไลดเพือ่ คลิกเพื่อรีเซ็ตคาไป
3. กําหนดชวงของสีที่ตองการปรับ ปรับคา เปนคาเริ่มตน
(ในที่นี้คือสีเหลือง)
Page 152
ผลลัพธเมื่อทําการ
เลื่อนสไลดเพือ่
เปลี่ยนสีภาพ เฉดสี
ในสวนตางๆ ก็จะ
เปลี่ยนไปดวย
5. คลิกเมาส
ปรับสีใหภาพดวย Colorize Tool
เปนการเปลี่ยนสีภาพที่เหมือนกับการใสฟลเตอรสีตางๆ ลงบนภาพแบบ Grayscale โดยเราสามารถทําการ
ปรับคา Hue-Saturation และ Lightness ไดเหมือนกับเหมือน กับ Hue-Saturation Tool ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกเลือก
Colors>Colorize…
4. คลิกเมาส
ปรับแตงความคมชัดและความสวางของภาพดวย Brightness/Contrast Tool
เปนการปรับคาสีในพิกเซลภาพใหเกิดความสวาง และความคมชัด โดยจะมีคาใหปรับอยู 2 คา คือ
o Brightness ปรับคาความมืด-สวางใหกับเม็ดสี
o Contrast ปรับความคมชัดใหกับภาพ
1. คลิกเลือก
Colors>Brightness-
Contrast…
2. คลิกเมาสภายในภาพที่ตองการ
ปรับแตงสี
3. เลื่อนแถบสไลดเพื่อใหไดภาพตามที่ตองการ
4. คลิกเมาส
1. คลิกเลือก
Colors>Threshold…
2. คลิกเมาสภายในภาพที่
ตองการปรับแตงสี
5. คลิกเมาส
กําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือ Threshold
เราสามารถกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมของเครื่องมือ Threshold ไดที่ Tool Options ดานลางของหนาตาง
Main Toolbox ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ปรับแตงสีของภาพดวย Level Tool
เปนการปรับความสวางของภาพ โดยอาศัยขอมูลของกราฟ Histogram สามารถปรับระดับสีของภาพใหเขม
ขึ้นหรือจางลงได โดยอาศัยหลักการเพิ่มสีดํา (Shadow) และโทนสีขาว (Highlight) และปรับระดับสีภาพใหอยู
ระดับกลาง (Midtone) โดยจุดประสงคในการปรับนั้นเนนเรื่องความสวาง-มืดของภาพและความชัดเจนของสีเปนสําคัญ
ตอไปนี้เรามาลองใชงาน Level โดยมาปรับใหภาพมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไปดังนี้
Page 156
2. คลิกเมาสภายในภาพที่ตองการ
ปรับแตงสี
1. คลิกเลือก Colors>Level…
Page 157
5. ลากลูกศรไป ทางซายหรือขวาเพื่อปรับโทนสี
ของภาพ
6. คลิกเมาส
ปรับระดับแสงเงาภาพดวย Curve Tool
เปนการปรับความสวางของภาพ สามารถปรับระดับสีของภาพใหเขมขึ้นหรือจางลงได โดยอาศัยหลักการเพิ่มสีดํา
(Shadow) และโทนสีขาว (Highlight) และปรับระดับสีภาพใหอยูระดับกลาง (Midtone) โดยจุดประสงคในการ
ปรับนั้นเนนเรื่องความสวาง-มืดของภาพและความชัดเจนของสี สามารถตั้งคาความสวางเฉพาะจุดได ทําใหภาพที่ออกมามี
มิติมากขึ้น กราฟ Curve จะแสดงการเปรียบเทียบคาสีเดิมกับและคาสีใหม กอนปรับแตงมาดูรายละเอียดของหนาตาง
Curve ดังนี้
Page 158
คลิกเลือกลักษณะของ
เลือก Channel ที่ Histograms ที่แสดง
ตองการปรับ
แกน Y แทนคาเดิมของสีมี
คาตั้งแต 0-255 แกน X แทนใหมของสี หลังปรับแตงมี
คาตั้งแต 0-255
เลือกชนิดของ Curve
1. คลิกเลือก
Colors>Curve…
2. คลิกเมาสภายใน
ภาพที่ตองการ
ปรับแตงสี
Page 159
3. เลือก Channel
5. คลิกเมาส
ปรับ/ลดโทนสีในภาพดวย Posterize Tool
เปนการกําหนดลักษณะโทนสีใหแตละ Channal ตัวอยางเชน ถาเราเลือกเปน 2 ระดับในโหมดภาพ RGB
จะทําใหภาพนั้นมี 6 สีประกอบดวย สีแดง 2 ระดับ สีเขียว 2 ระดับ และสีน้ําเงิน 2 ระดับ ซึ่งเอฟเฟกตนี้จะเหมาะกับการ
แตงภาพขนาดใหญ เชน ภาพโปสเตอรโฆษณา สังเกตวาถากําหนด Level (ระดับ) นอยๆ จะทําใหเห็นการไลโทนสีอยาง
เดนชัด หากกําหนด Level (ระดับ) มากๆ ก็จะไมเห็น ซึ่งมีขั้นตอนในการปรับ/ลดโทนสี ดังนี้
Page 160
1. คลิกเลือก
Colors>Posterize
2. คลิกเมาสภายในภาพที่ตองการ
ปรับแตงสี
3. ทําการเลื่อนแถบสไลด เพื่อปรับระดับสีซึ่งมีคา
ระหวาง 0-256
4. คลิกเมาส
Page 160
บทที่ 11
ตกแตงภาพดวยการรีทัช
Retouch เทคนิคการแตงภาพสําหรับ GIMP
รีทัช (Retouch) เปนคําศัพทที่เรียกใชการแตงภาพเฉพาะจุด เพื่อใหภาพในสวนที่เปนตําหนิไดรับการแกไข
ใหดียิ่งขึ้น และรวมไปถึงการผสมผสานภาพที่นํามาตัดตอใหดูเขากันอยางกลมกลืน ใน GIMP นั้น มีเครื่องมือสําหรับการ
Retouch ดังนี้
Heal Tool
Blur / Sharpen Tool Smudge Tool
ปรับความคมชัดของภาพดวย Convolve Tool
Convolve Tool เปนเครื่องมือในหนาตาง Main Toolbox ที่ใชสําหรับตกแตงภาพใหมีความเบลอ
(Blur) หรือชัดเจน (Sharpen) มากยิ่งขึ้น จะเห็นไดวาคุณสมบัติการใชงานของ Convolve Tool แบงอยางไดอยาง
ชัดเจน ซึ่งเราทําการกําหนดชนิดของ Convolve Tool ใหเปนแบบ Blur หรือ Sharpen ไดจาก Tool Option
ซึ่งแตละชนิดมีขั้นตอนดังนี้
สรางภาพเบลอ (Blur)
จะทําใหภาพดูเบลอพลามัว ซึ่งเราสามารถนําไปประยุกตในการปรับแตงภาพ ดังตัวอยางเราจะปรับภาพพื้นหลัง
รอบๆ นางแบบใหดูเบลอ เพื่อเสริมใหตัวนางแบบดูโดดเดนขึ้นมา
Page 161
1. คลิกเลือก
Convolve Tool
3. ลากเมาสไปมาบริเวณที่ตองการทําใหภาพเบลอ
Page 162
สรางความคมชัดใหกับภาพ (Sharpen)
ชวยเนนความเขมของขอบภาพและเพิ่มความคมชัดของภาพ (มีลักษณะการใชงานตรงขามกับการทําภาพเบลอ)
เครื่องมือนี้จะชวยทําใหภาพดูชัดขึ้น แตตองระวังตรงที่วาถาใชมากอาจทําใหภาพที่ไดดูแข็งกระดางไป
กอนปรับภาพ หลังปรับภาพ
1. คลิกเลือก
Convolve Tool
4. ลากเมาสไปมาบริเวณที่ตองการทําให
ภาพคมชัดขึ้น
Page 163
เกลี่ยสีภาพดวย Smudge Tool
Smudge Tool เปนเครื่องมือที่มีลักษณะการทํางานคลายๆ กับการเอานิ้วเกลี่ยสีที่เปยก เพื่อกระจายไป
ตามทิศทางที่นิ้วเกลี่ยนั้น โดยในตัวอยาง เราจะเกลี่ยภาพนางแบบใหกลมกลืนกับฉากหลังที่เปนเปลวไฟ ทําใหภาพดูแปลก
ตาออกไปเหมือนกับภาพกราฟก
กอนปรับภาพ หลังปรับภาพ
1. คลิกเลือก
Smudge Tool
3. ลากเมาสบริเวณที่ตองการเกลี่ยสี
Page 164
ปรับโทนสีของภาพโดยใช Dodge/Burn Tool
Dodge/Burn Tool เปนเครื่องมือในการปรับความสวาง (Dodge) และความมืด (Burn) ของภาพเพียง
บางสวน จะเห็นวาเครื่องมือเดียวไดทําการรวมชนิดการใชงานไวทั้ง 2 รูปแบบ ซึ่งเราสามารถเลือกชนิดการใชงานไดจาก
ออปชั่นในหนา Main Toolbox
ปรับภาพใหสวางขึ้นเฉพาะสวน (Dodge)
ใชปรับความสวางของภาพเฉพาะบางสวนใหสวางขึ้นดวยสีของภาพเอง หรือเรียกงายๆ วาเปนการสราง
Highlight ใหกับภาพ โดยในตัวอยางนี้ เราจะปรับภาพดอกไมที่คอนขางมืดใหสวางขึ้น ดังนี้
2. กําหนดคุณสมบัติ
ของเครื่องมือ
ปรับภาพใหสีเขมขึ้นเฉพาะสวน (Burn)
ใชปรับใหภาพมืดลงในบางสวนหรือเรียกงายๆ วา เปนการสราง Shadow (เงา) ใหกับภาพ ซึ่งในตัวอยางนี้
เราจะลองปรับแตงภาพวิวชายทะเลในบางสวนใหดูมีแสงเงา
2. กําหนดรายละเอียดของ Dodge/Burn Tool ใน Tool Option เลือก Type เปน Burn จะปรากฏตัวชี้
เมาสรูป กําหนดคา Exposure ถาปรับคานอยการสรางแสงเงาจะนอย และถาคามากก็มีการสรางเงามาก
ในที่นี้กําหนดใหคา Exposure มีคาเทากับ 50%
3. ลากเมาสบริเวณที่ตองการสรางเงาของภาพ (จากตัวอยาง เราทําใหภาพวิวในบางสวนที่ไมโดนแสงอาทิตยใหมี
แสงเงาที่มืดลง)
2. กําหนดคุณสมบัติ
ของเครื่องมือ
เลือกชนิดของเครื่องมือเปน Burn
1. คลิกเลือก
Dodge/Burn Tool
TIP
ในขณะใชเครื่องมือ Convolve Tool และ Dodge/Burn Tool ทําการปรับแตงภาพอยูนั้น เราสามารถ
เปลี่ยนชนิดของ เครื่องมือไดงายๆ โดยการกด <Ctrl> ที่คียบอรดคางไว
การทําสําเนาภาพดวย Clone Tool
Clone Tool สามารถทํางานได 2 ลักษณะไดแกเปนเครื่องมือที่ใชสําหรับการคัดลอกภาพ และใส
ลวดลายลงในภาพ เราสามารถกําหนดลัษณะการทํางานของเครื่องมือจาก Tool Option
โคลนนิ่งภาพ (Image source)
ใชทําสําเนาแบบหนึ่งตอหนึ่ง หรือเรียกวา “โคลนนิ่งภาพ” โดยจะใชบางสวนของภาพที่เลือกไวมาสรางเปนภาพ
ที่เหมือนกันในพื้นที่ใหม ดังตัวอยางเราจะสําเนารูปประสาทหินใหเปนหลายชุดเพื่อตกแตงภาพใหดูนาสนใจมากขึ้น
Page 167
2. กําหนดคุณสมบัติ
ของเครื่องมือ เลือก
Image source เปนที่มา
ของการทําสําเนา
การใชงาน Perspective Clone Tool
เครื่องมือนี้จะชวยเราในการคัดลอกรูปภาพโดยรักษาสัดสวน Perspective ที่ถูกตอง โดยมีวิธีการดังตอไปนี้
7. จะไดภาพผลลัพทที่คัดลอกที่มีสัดสวน
และทิศทาง Perspective สมจริง
Page 171
สรางลวดลายใหกับภาพดวย (Pattern source)
ใชสําหรับสรางลวดลายใหกับภาพ โดยมีวิธีคราวๆ คือเราตองกําหนดหรือสรางรูปแบบภาพ (Pattern)
เสียกอน หลังจากนั้นจึงระบายภาพนั้นลงไปไดตามตองการ ดังตัวอยางนี้ เราจะสรางลวดลายใหกับเสื้อของนางแบบ โดยจะ
เปลี่ยนใหเปนเสื้อมีแขนจากลวดลาย ดังกลาว ดังนี้
2. กําหนดคุณสมบัติ
ของเครื่องมือ เลือก
Pattern source เปน
ที่มาของการทํา
1. คลิกเลือก
Clone Tool
เลือกลวดลายที่จะใช
Page 172
บทที่ 12
การตกแตงภาพอยางสรางสรรคดวยฟลเตอร
ฟลเตอรคืออะไร
ฟลเตอร (Filter) เปนคําสั่งพิเศษที่ตกแตงภาพไดสวยงามภายในคําสั่งเดียว โดยจะชวยลดความยุงยากในการ
ตกแตงภาพที่มีขั้นตอนมากมายใหนอยลง เชน เราจะสรางแสงใหกับภาพ แทนที่เราตองมาทําทีละขั้นตอน คือ สรางเลเยอร
ใหม คัดลอกภาพลงเลเยอร แลวลงสี ปรับคา Opacity ฯลฯ แตเมื่อเราเรียกใชคําสั่งฟลเตอร เพียงครั้งเดียว ก็สามารถ
กําหนดคาตางๆ ดังที่กลาวมาและไดผลลัพธออกมาในเวลาที่รวดเร็ว
กฏการใชงานฟลเตอร
ลักษณะของการตกแตงภาพดวยการใชฟลเตอรนั้น เปนเหมือนกับการซอนภาพดวยแผนฟลมบางๆ ที่ชวยเปลี่ยน
ใหภาพปกติแปลกตาออกไป เหมือนกับการถายภาพดวยการใสฟลเตอรใหกับเลนสของกลอง สีที่ออกมาหรือรูปแบบที่
ออกมานั้นจะทําใหภาพตางออกไปจากความเปนจริง ซึ่งการทํางานของฟลเตอรมีกฏงายๆ ดังนี้
วิธีการใชงานฟลเตอร
เราสามารถเรียกใชฟลเตอรไดโดยเลือกที่คําสั่ง Filter ที่หนาตาง Image Menu และเลือกฟลเตอรที่ตองการ
ใส ตัวอยางจะทําการใสฟลเตอร Gaussian Blur ดังนี้
หนาตาง Preview
1. เลือกคําสั่ง
Filter>Blur>Gaussian Blur
2. กําหนดคาตางๆ 3. คลิกเมาส
TIP
หากเราตองการใสฟลเตอรที่ เพิ่งใสซ้ําลงไปอีกครั้ง สามารถทําไดอยางรวดเร็ว โดยการกดคีย <Ctrl+F> หรือ
ถาตองการใสฟลเตอรชนิดเดิมซ้ําแตตองการเปลี่ยนคาที่กําหนดใหตางไปจากเดิม สามารถทําไดโดยกดคีย
<Shift+Ctrl+F> จะปรากฏ หนาตางกําหนดคาของฟลเตอรชนิดนั้นเพื่อใหเรากําหนดคาได
Page 175
ตัวอยางฟลเตอรใน GIMP
กลุมฟลเตอรแบบ Blur
เปนกลุมฟลเตอรที่ชวยใหภาพออนนุม ลง ดูกลมกลืน โดยใชคําสั่ง Filter>Blur> ฟลเตอรที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
กลุมฟลเตอรแบบ Colors
เปนกลุมฟลเตอรในการตกแตงสีให กับภาพ โดยใชคําสั่ง Filter>Colors>ฟลเตอรที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
Page 176
Page 177
กลุมฟลเตอรแบบ Noise
เปนกลุมฟลเตอรที่จะเพิ่มจุดเม็ดสีเขา ไปในภาพโดยใชคําสั่ง FilterNoise>ฟลเตอรที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
กลุมฟลเตอรแบบ Edge‐Detect
เปนกลุมฟลเตอรที่ใชสําหรับตกแตง เสนของขอบภาพ โดยโปรแกรมจะทําการคนหาขอบภาพ และโครงรางของ
วัตถุในภาพ โดยประมวลผลจากความตางสี โดยใชคําสั่ง Filters>Edge-Detect>ฟลเตอรที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
Page 178
กลุมฟลเตอรแบบ Enhance
เปนกลุมฟลเตอรที่ใชสําหรับปรับภาพ ใหดูคมชัดหรือโดดเดนขึ้น โดยใชคําสั่ง Filters>Enhance>ฟลเตอร
ที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
กลุมฟลเตอรแบบ Generic
เปนกลุมฟลเตอรที่ใหเราสามารถสรางฟลเตอรดวยตนเอง โดยใชคําสั่ง Filters>Generic>Convolution
Matrix และสวนฟลเตอรอื่นๆ ในกลุมจะเปนตัวอยางฟลเตอรที่สรางจาก Convolution Matrix
Page 179
ภาพตนฉบับ
กลุมฟลเตอรแบบ Glass Effect
เปนกลุมฟลเตอรที่สรางภาพใหเหมือนกับการมองภาพผานเลนส หรือกระจกใสที่มีลวดลาย โดยใชคําสั่ง
Filter> Glass Effect>ฟลเตอรที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
กลุมฟลเตอรแบบ Lighting Effect
เปนกลุมฟลเตอรที่สรางแสงไฟสอง หรือแสงสะทอน โดยใชคําสั่ง Filter> Lighting Effect>ฟลเตอรที่
กําหนด
Page 180
ภาพตนฉบับ
กลุมฟลเตอรแบบ Distort
เปนกลุมฟลเตอรที่ใชปรับเปลี่ยน รูปรางของภาพในหลายๆ รูปแบบ โดยใชคําสั่ง Filter>Distort>ฟลเตอรที่
กําหนด
ภาพตนฉบับ
Page 181
กลุมฟลเตอรแบบ Artistic
เปนกลุมฟลเตอรที่เปลี่ยนภาพถายใหเปนภาพวาดงานศิลปะตางๆ โดยใชคําสั่ง Filter>Artistic>ฟลเตอรที่
กําหนด
ภาพตนฉบับ
Page 182
กลุมฟลเตอรแบบ Map
เปนกลุมฟลเตอรในการนําภาพจากตนแบบมาสรางเปนลวดลายในรูปแบบตางๆ โดยใชคําสั่ง Filter>Map>
ฟลเตอรที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
Page 183
กลุมฟลเตอรแบบ Render
เปนกลุมฟลเตอรสําหรับสรางภาพ แพทเทิรนขึ้นมาใชงานในหลายๆ ลักษณะ โดยไมมีการอางอิงมาจากรูป
ตนแบบเหมือนในกลุม Map โดยใชคําสั่ง Filter>Map> ฟลเตอรที่กําหนด
ภาพตนฉบับ
Page 184
Page 185
บทที่ 13
การนําภาพกราฟกไปใชงาน
เรานําภาพไปใชงานอะไรไดบาง
ภาพที่สราง และตกแตงใหสวยงามเรียบรอยแลวเรามักนิยมนําไปใชงานไดหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
การพิมพภาพผลงาน
ภาพถายที่เรารีทัช หรือตัดตอไว สามารถพิมพออกมาเปนภาพสติกเกอร หรือ นําภาพพิมพที่ไดไปใชงานไดหลาย
รูปแบบ
นําภาพไปแสดงโชวบนเว็บ
เว็บไซตบนอินเทอรเน็ต จัดเปนสื่ออยางหนึ่งที่เรามักจะนําภาพไปประกอบ หรืออาจจะสรางเปนเว็บที่ใชแสดง
ภาพผลงาน
เตรียมพรอมกอนพิมพภาพ
เครื่องพิมพกับงานกราฟก
เครื่องพิมพในปจจุบันที่เราใชกันอยูทั่วไป จะแบงออกเปน 2 ประเภทใหญๆ คือ
1) เครื่องพิมพแบบเลเซอร
เปนเครื่องพิมพที่ใชเทคโนโลยีสูง และคลายกับเครื่องถายเอกสาร โดยจะใชแสงสองเขาไปเปลี่ยนประจุไฟฟา
บนดรัมไวแสง (Photo-sensitive drum) ใหเขมหรือจาง เมื่อกระดาษเคลื่อนที่ผานดรัม และแทงความรอน
ภายในเครื่อง จะทําใหผงหมึกในโทนเนอร (Toner) ละลายเกิดเปนจุดสีบนบริเวณที่มีประจุ ทําใหเกิดตัวอักษรหรือ
ภาพบนกระดาษอยางคมชัด และคุณภาพสูง เครื่องพิมพแบบเลเซอรมีทั้งแบบขาวดําเหมาะกับการพิมพเอกสารใน
สํานักงาน เพราะคุณภาพดี ราคาหมึกประหยัด และแบบสีเหมาะกับการพิมพรายการสินคาที่ตองการคุณภาพมีสีที่
สวยงาม
Page 186
2) เครื่องพิมพแบบอิงคเจ็ต
เปนเครื่องพิมพที่ใชหลักการพนหมึกสีผสมกัน จาก 4 สี คือ CMYK สีฟา (Cyan), สีมวงบานเย็น
(Magenta), สีเหลือง (Yellow) และสีดํา (Black) ทําใหเกิดภาพชิ้นงานสีที่ไดคุณภาพตามตองการ และราคา
เครื่องไมแพงเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพเลเซอรแบบสี
การพิมพงานสีดวยเครื่องพิมพแบบอิงคเจ็ต จะเหมาะกับการพิมพตัวอยางชิ้นงานจริงกอนที่จะสงพิมพเขาโรง
พิมพ เพื่อจะตรวจสอบคุณภาพสีใหมั่นใจกอน และยังเหมาะกับงานกราฟกที่ไมเนนความละเอียดสูง เชน การพิมพ
ภาพถาย พิมพสติ๊กเกอร และ นามบัตร เปนตน
เลือกกระดาษสําหรับพิมพงานกราฟกและภาพ
ชนิดของกระดาษก็มีสวนสําคัญตอการรองรับหมึกที่พิมพลงไป และเครื่องพิมพแตละชนิดก็ใชหมึกที่ตางกัน จึง
ตองเลือกใชกระดาษที่เหมาะสมดวย นอกจากนี้ยังมีงานกราฟกบางชนิดที่ตองใชกระดาษแบบพิเศษที่ใชเฉพาะตองาน
เหลานั้น เชน การลอกลายภาพบนผา การพิมพสติ๊กเกอร และการพิมพแผนใสสําหรับงานพรีเซนเตชั่น เปนตน
Page 187
กระดาษสําหรับภาพถาย (Photo Paper)
เนื้อกระดาษขาวเรียบและละเอียด สามารถรองรับเม็ดสีในการพิมพไดดี จะทําใหไดภาพที่คมชัด สีสัน สดใส
สวนใหญทุกยี่หอจะสามารถกันน้ําได เหมาะสําหรับงานพิมพภาพถาย, กราฟก และงานพิมพทั่วไปใชกับเครื่องพิมพอิงค
เจ็ต
กระดาษสําหรับภาพถายแบบมัน (Glossy Photo Paper)
เนื้อกระดาษขาวมันเงา เนื้อจะหนากวากระดาษแบบ Photo Paper ทั่วไป สามารถรองรับเม็ดสีจากการพิมพ
ไดเปนอยางดี งานพิมพที่ไดแหงเร็วทันทีและยังกันน้ําไดดีอีกดวย เหมาะสําหรับงานพิมพภาพถายเหมือนจริง
กระดาษสําหรับภาพถายขนาดการด (Photo Card)
เนื้อกระดาษหนา 220 แกรม รองรับเม็ดสีในการพิมพไดอยางดี บางรุนสามารถพิมพ 2 ดาน กันน้ําไดดี เหมาะ
สําหรับงานพิมพภาพถาย สีไมซึมเลอะเทอะ งานพิมพสวยสด คมชัด
กระดาษลอกลายภาพลงบนผา (Fabric Transfer Paper)
กระดาษลอกลายบนผา สามารถนําภาพที่ชื่นชอบมาลอกลายบนปลอกหมอน, เสื้อยืด หรือแผนรองเมาส เปนตน
กระดาษแบบสติกเกอร
กระดาษทําสติกเกอร ที่ใหภาพชัดเจน แผนกระดาษมีคุณสมบัติพิเศษ ชวยใหสีแหงเร็วขึ้น และรองรับเม็ดสีไดดี
กระดาษสําหรับพิมพลงซีดีดวยตัวเอง
กระดาษผิวเรียบ ชวยใหสีมีความเดนชัดขึ้นและสวางใส ผลลัพธที่ไดจะเปนรูปซีดี ที่พรอมแปะลงบนแผนซีดีได
ทันที
กระดาษสําหรับพรีเซนงานเปนแบบฟลมใส (งานสไลด)
ฟลมใสสําหรับงานพรีเซนต สําหรับใชกับเครื่องฉายแผนใส (Overhead) สามารถแสดงคุณภาพสีไดอยาง
ยอดเยี่ยม ใชกับเครื่องพิมพแบบอิงคเจ็ตไดอยางไมมีปญหา
การกําหนดคุณสมบัติตางๆ ในการพิมพงาน
เราจะเริ่มตนสั่งพิมพงานโดยการกําหนดคุณสมบัติตางๆ เชน การเลือกเครื่องพิมพและกระดาษ ดวยคําสั่ง
File>Page Setup จะปรากฏหนาตาง Page Setup ขึ้น ดังรูป
Page 188
ตัวอยางขนาด
กระดาษที่เราเลือก
กําหนดลักษณะ
กระดาษ
กําหนดระยะเวนขอบของ
กําหนดแนวการพิมพ กระดาษพิมพ
คลิกเมาสเพื่อเขาไปตั้งคา
เครื่องพิมพ
กําหนดชนิดของ
กําหนดคุณสมบัติใน
เครื่องพิมพ
การพิมพ
การพิมพงานออกสูเครื่องพิมพ
ขั้นตอนสุดทายเราสามารถพิมพงานได โดยการใชคําสั่ง File>Print ซึ่งจะปรากฏหนาตางการพิมพงานดังรูป
เลือกรุนของ กําหนดคาตางๆ ใน
เครื่องพิมพ การพิมพ
กําหนดจํานวนที่พิมพ
คลิกเมาสเพื่อสั่งพิมพ
Page 189
สรางงานสําหรับเว็บเพจ
อินเทอรเน็ต นับเปนระบบการสื่อสารที่สรางปรากฏการณใหมในยุคสหัสวรรษนี้ ขอมูลที่เราเคยมีใน
หนากระดาษถูกนํามาสื่อสารใหคนทั่วโลกอานในเวลาพรอมๆ กันโดยระบบ อินเทอรเน็ตผานหนาเว็บเพจตางๆ ที่ไดรับ
การสรางสรรคอยางสมบูรณ และหลากหลายความคิด
ความรูทั่วไปเกี่ยวกับการแสดงภาพบนเว็บ
การออกแบบสื่อสิ่งพิมพและการออกแบบภาพบนเว็บ มีรายละเอียดที่แตกตางกันพอสมควร ฉะนั้น หากเราจะ
ออกแบบภาพบนเว็บไซตไดดี เราจําเปนตองมีความรูพื้นฐานของอินเทอรเน็ตและเว็บดวย ซึ่งพอสรุปไดดังนี้
ความแตกตางระหวางระบบเครื่อง ระบบปฏิบัติการและเว็บบราวเซอร
เนื่องจากอินเทอรเน็ตเปนระบบที่เชื่อมโยงกับเครื่องคอมพิวเตอรทั่วโลก ความแตกตางที่เกิดจากเครื่องแตละ
เครื่องจึงเปนสิ่งที่เราควรรูคราวๆ เชน จอภาพที่ตางกัน ระบบการแสดงผลที่ตางกันจะใหสีที่ตางกัน จอภาพของเครื่องแมค
จะใหสีที่มีความสวางกวาจอภาพของเครื่องพีซี ฉะนั้นเมื่อเราออกแบบภาพบนเครื่องพีซี เราตองกําหนดความสวางใหลดลง
กวาปกติเล็กนอย เพราะหากแสดงผลบนเครื่องแมค ความสวางจะเขมขึ้นอีก นอกจากนี้บราวเซอรที่แตกตางกัน ทําใหการ
แสดงผลของภาพบนเว็บแตกตางกัน เชน บราวเซอรบางประเภทไมสามารถแสดงตัวอักษรบางชนิดได เปนตน
หนวยวัดมาตรฐานของภาพบนเว็บ
ภาพที่แสดงบนเว็บใชหนวยวัดขนาดเปนพิกเซล ซึ่งเปนหนวยวัดมาตรฐานสําหรับการแสดงผลบนจอภาพ ตาง
กับการสรางสื่อสิ่งพิมพซึ่งจะกําหนดหนวยวัดเปนนิ้ว
ความละเอียดของภาพ
ภาพบนเว็บไมจําเปนตองใชความละเอียดเทากับภาพบนสื่อสิ่งพิมพ ความละเอียดโดยทั่วไปที่ยอมรับได คือ 72
จุดตอนิ้ว (dpi) ในขณะที่สิ่งพิมพใชความละเอียดภาพ 300 จุดตอนิ้ว (dpi)
ขนาดของไฟล
ขนาดของไฟลภาพ จะมีผลอยางมากตอความเร็วของการแสดงภาพบนเว็บ ถาขนาดไฟลภาพมากก็จะใชเวลา
โหลดนานขึ้น ดังนั้นเราควรคํานึงเสมอวา ไมมีผูเขาชมรายใดที่จะสามารถอดทนรอคอยนานๆ ได ซึ่งวิธีแกปญหา ควรใช
หลักการดังนี้
Dither
เปนกระบวนการสรางพาเล็ตสี (จานสี) ขึ้นใหมตามจํานวนสีที่กําหนดแลวแทรกลงไปบนภาพในลักษณะการ
แทรกจุดสี ซึ่งเปนการไลระดับสีเพื่อหลอกตาใหเห็นวามีสีนั้นอยูในภาพอยางกลมกลืน ใชสําหรับการแปลงภาพจากภาพที่
มีสีมากกวา ไปยังภาพที่มีสีนอยกวาเชนจากภาพโดยทั่วไป 16.7 ลานสี ปรับใหเปน 256 สี โดยโปรแกรมจะคํานวนคาสี
เพื่อสรางจานสีใหม (ซึ่งสีที่อยูในจานสีใหมอาจมาจากสีเดิมหรืออาศัยการคํานวณจากคาสีใกลเคียง)
ฟอรแม็ตของไฟลสําหรับเว็บกราฟก
จากที่กลาวมาขางตนแลววา ภาพบนเว็บตองมีขนาดไฟลที่เล็ก ฉะนั้น ฟอรแม็ตที่ใชตองมีการบีบอัดขอมูลทําให
ขนาดไฟลเล็กลง โดยรูปแบบของไฟลนั้นไดแก GIF, JPEG และ PNG เราตองทําความเขาใจลักษณะการบีบอัดขอมูล
ของแตละฟอรแม็ต เพื่อใหเราสามารถเลือกใชงานไดอยางถูกตอง ดังนี้
ฟอรแม็ต GIF
o ถูกพัฒนาโดย CompuServe ในป 1980 เพื่อบีบอัดขอมูลภาพลายเสน
o มีขอจํากัดการใชงานอยูที่ 256 สีเทานั้น (8 บิต)
o ใชการบีบอัดแบบสรางพาเล็ตสีขึ้นใหม ทําใหไมสูญเสียคุณภาพของภาพ เพราะไมมีการตัดสีภาพออก แตเปน
ลักษณะการแทนสีภาพในแตละพิกเซลดวยสีที่กําหนดขึ้นใหม ฉะนั้นคุณภาพไฟลจะไมเสีย
o ความสามารถในการแสดงภาพโปรงแสงและภาพเคลื่อนไหว
o Gif สามารถกําหนด Transparency ได 2 ระดับคือ โปรงใส และไมโปรงใส
Page 191
ฟอรแม็ต JPEG
o ถูกพัฒนาขึ้นโดย Joint Photographic Experts Group สําหรับบีบอัดขอมูลของไฟลรูปภาพ มีจุดเดน
คือ หลังการบีบอัด ยังสามารถใชสีไดถึง 16.7 ลานสี ในขณะที่ .GIF ใชไดเพียง 256 สีเทานั้น
o ไมจําเปนตองกําหนดพาเลตสีเพื่อการใชงาน เพราะรองรับขอมูลสีไดมากถึง 16.7 ลานสีอยูแลว
o ลักษณะการบีบอัด เปนการลบขอมูลสวนที่ซ้ําซอนกันมากที่สุดออกจากภาพ ยิ่งมีการบีบอัดขอมูลมากขึ้นเทาไหร
คุณภาพก็จะสูญเสียมากขึ้นเทานั้น
o ผลของการบีบอัดขอมูล จะไดไฟลภาพที่มีขนาดเล็กยิ่งกวาฟอรแม็ต GIF ซึ่งจะทําใหใชเวลาการดาวนโหลดนอย
แตใชเวลาในการแสดงผลนานกวา เพราะตองขยายขอมูลการบีบอัดกอนการแสดงผล
o ไมสนับสนุนการบีบอัดขอมูลที่มีภาพโปรงแสง เพราะหลังการบีบอัดพิกเซลที่ โปรงแสงจะถูกแทนที่ดวยสีของ
Background
ฟอรแม็ต PNG
o บีบอัดขอมูลไดดีกวา GIF 20 -30 เปอรเซ็นต ไมเสียขอมูลเหมือนกับแบบ JPEG
o สามารถเลือกการจัดเก็บขอมูลไดทั้งแบบ 8, 24 และ 32 บิต ตางกับ .GIF
o ถูกพัฒนาโดย Thomas Boutell และ Tom Lane สําหรับการทํางานขามระบบ ทําใหสามารถแสดงผลได
อยางถูกตองกับเครื่องทุกระบบ
o แสดงผลไดเร็วกวาแบบ .GIF เพราะภาพใน .GIF จะเริ่มแสดงผลเมื่อดาวนโหลดขอมูลมาได 1 ใน 18 สวน
ขณะที่ PNG จะแสดงผลเมื่อขอมูลถูกโหลดเขามา 1 ใน 64 สวน
o สนับสนุนการทํางานกับภาพโปรงใสแบบหลายระดับ แตคุณสมบัตินี้ไมสามารถแสดงไดในบางเว็บบราวเซอร
แปลงภาพสําหรับเว็บ
การนําภาพกราฟกไปประกอบบนเว็บเพจ เราจะตองปรับขนาดความละเอียด และสีของภาพ โดยจะสงผลใหภาพ
มีขนาดเล็ก และเหมาะสมที่จะแสดงผลบนหนาเว็บไดอยางรวดเร็ว ซึ่งโดยสวนใหญเรามักจะพบบอยกับการแปลงไฟลภาพ
ใน 2 ฟอรแม็ต คือ
แปลงภาพแบบ JPEG
แปลงภาพแบบ GIF
Page 192
แปลงภาพแบบ JPEG
ไฟลภาพ JPEG แสดงสีไดถึง 16.7 ลานสี จึงเหมาะกับภาพที่คมชัด เชน ภาพสินคา และภาพถาย เปนตน
1. เปดไฟลภาพที่ตองการแปลง และทําการยอขนาดภาพใหเรียบรอย
2. จัดเก็บภาพ โดยเลือกคําสั่ง File>Save as จะปรากฏหนาตาง Save Image ตั้งชื่อ และกําหนดที่เก็บภาพ
3. เลือกฟอรแม็ตภาพแบบ JPEG Image
4. คลิกปุม
5. ปรากฏหนาตาง Save as JPEG กําหนดคุณภาพของ และคาอ็อบชั่นเพิ่มเติม
6. คลิกเมาสที่ปุม เพื่อจัดเก็บภาพเพื่อนําไปใช
Page 193
2. ตั้งชื่อ และ
กําหนดที่เก็บภาพ
1. เปดไฟลภาพ และ
ทําการยอขนาดภาพ
ใหเรียบรอย
คลิกเพื่อเลือกชนิดของไฟลที่
ตองการจัดเก็บ
3. เลือกฟอรแม็ตภาพแบบ 4. คลิกเมาส
JPEG Image
5. กําหนดคุณภาพของรูปภาพ และคาอ็อบชั่นเพิ่มเติม
6. คลิกเมาส
แปลงภาพแบบ GIF
ภาพ GIF จะรักษาคุณภาพสีอยูที่ 256 สี จึงเหมาะกับภาพวาด และที่นิยมที่สุดก็คือ ภาพที่มีความโปรงใส ซึ่ง
สามารถนําไปวางซอนบนพื้นหลังแบบใดก็ได
Page 194
วางภาพโปรงแสงที่ทําดวย GIMP
หนาเว็บเพจ
ภาพโปรงแสงจะวาง
ซอนอยูบนลวดลายของ
พื้นหลัง
กําหนดคุณสมบัติตางๆ
Workshop 1
ตกแตงแกไขภาพที่มีตําหนิ
การลบริ้วรอยบนใบหนา
ในการลบริ้วรอยบนใบหนานี้จะเปนการตกแตงแกไขภาพเฉพาะจุด โดยจะใชเครื่องมือในกลุมรีทัชภาพ เชน
Clone Tool, Smudge Tool และ Blur Tool เพื่อตกแตงภาพ
ภาพตนฉบับ ผลลัพธหลังการปรับแตง
ขั้นตอนการลบริ้วรอยบนใบหนามีดังนี้
1.2 เลือกไฟลภาพที่ตองการ
1.4 ไฟลภาพที่เลือกถูกเปดขึ้นมา
1.3 คลิกเมาส
2. คลิกเลือก Clone Tool คลิกเลือกรูปแบบหัวแปรง Circle Fuzzy (15) กําหนด Source แบบ
Image Source เพื่อเลือกโคลนนิ่งจากภาพตนแบบ และเลือก Alignment แบบ Aligned เพื่อใหจุดที่
เปนภาพตนแบบเปลี่ยนไป ซึ่งจะสัมพันธกับตําแหนงที่เราวาด
Page 197
2.2 เลือกรูปแบบหัวแปรง
4.3 เลือกตนแบบ
บริเวณแกม 4.4 คลิกระบายทับ
แกมที่มีตําหนิ ผลลัพธที่ได
1.2 เลือกรูปแบบ
ของหัวแปรง
1.1 คลิกเลือก
Smudge Tool
2.5 คลิกปรับภาพให
2.2 เลือกรูปแบบ เบลอ
ของหัวแปรง
2.3 เลือกการปรับ
ภาพแบบ Blur
ขั้นตอนการเปลี่ยนสี และปรับสีภาพจืดชืดใหดูสดใสขึ้น
1. เปดไฟลภาพ และเปลี่ยนสีภาพ
2. ปรับสีภาพใหดูสดใสขึ้น
Page 200
2. คลิกเลือก Hue-Saturation
3. คลิกที่ภาพเพื่อ
ปรับแตงสี
5. คลิกเลื่อนสไลดบารเพื่อปรับ
สีหรือตั้งคาเทากับ 120
4. คลิกเลือกเฉดสีที่
ตองการปรับ
6. คลิกเพื่อดูภาพผลลัพธ
ผลลัพธที่ได
Page 201
ขั้นตอนที่ 2 ปรับสีภาพใหดูสดใสขึ้น
ปรับสีภาพทั้งภาพใหดูสดใสขึ้น โดยคลิกเลือก และคลิกเลื่อนสไลดบาร Saturation หรือตั้งคา
เทากับ 100 เมื่อปรับสีภาพเรียบรอยแลวคลิกปุม เพื่อตกลงใชงานคาสีที่ตั้ง
1. คลิกเมาสเพื่อเลือกใหปรับสี
ภาพทั้งภาพ
3. คลิกเมาส ผลลัพธที่ได
2. คลิกเลื่อนสไลดบารเพื่อ
ปรับสีหรือตั้งคาเทากับ 100
การปรับภาพมืดใหดสู วางขึ้น
ในสภาวะที่มีแสงนอย หรือมีความผิดพลาดในการวัดแสงขณะที่ถายภาพ อาจจะทําใหภาพที่ไดมืดเกินไป จนไม
สามารถเห็นรายละเอียดของภาพไดอยางชัดเจน แตเราสามารถปรับสีของภาพใหดูสวางขึ้นได ดวยเครื่องมือ Curve
ขั้นตอนการปรับภาพมืดใหดูสวางขึ้น
เราจะใช Curve Tool และคลิกเลือกตําแหนงสีในภาพที่ตองการปรับ จากนั้นคลิกบริเวณจุดที่ปรากฏบนกราฟ
เพื่อปรับสีใหสวางขึ้น
Page 202
2. คลิกเลือก Curve
3. คลิกเลือกสีบริเวณพื้นที่ภาพที่ตองการ
แกไข จะปรากฏจุดที่หนาตาง Curve
5. คลิกเลื่อนจุดเพือ่
ปรับสี
ผลลัพธที่ได
6. คลิกเมาส
Page 203
Workshop 2
เปลี่ยนรูปรางของเชอรี่
ความสามารถของโปรแกรม GIMP นอกจากจะสามารถตกแตงภาพใหดูสวยงามแลว ยังสามารถตกแตงดัดแปลงภาพให
ผิดไปจากความเปนจริงได ดังตัวอยางนี้จะเปนการเปลี่ยนลักษณะของลูกเชอรี่กลมๆ ใหกลายเปนสี่เหลี่ยมไดงายๆ
หลักการเปลีย่ นรูปรางของเชอรี่เปนสี่เหลี่ยม
จากรูปทรงสี่เหลี่ยมโดยปกติแลวจะตองมีมุม และดาน ซึ่งเราจะตองทําการสรางมุม และดานใหกับลูกเชอรี่ของ
เรา จากนั้นจึงทําการตกแตงรูปรางรอบนอกใหสัมพันธกับมุมที่สรางใหดูเหมือนรูปทรงสี่เหลี่ยม จากนั้นจึงตกแตงบริเวณ
พื้นผิวใหมีแสงเงา และสรางเงาตกทอดที่พื้นใหดูสมจริง
ลักษณะของกลองสี่เหลี่ยม
Page 204
ขั้นตอนในการเปลี่ยนรูปรางของลูกเชอรี่
1. ปรับขนาดลูกเชอรี่เพื่อเตรียมกอนจะทําเปนสี่เหลี่ยม
2. วาดเงาของมุมเหลี่ยม และแตงลูกเชอรี่ใหเปนสี่เหลี่ยม
3. ตกแตงพื้นผิวใหสวยงาม
4. ใสกานใหผลเชอรี่ และวาดเงาตกแตง
ขั้นตอนที่ 1 ปรับขนาดลูกเชอรี่เพื่อเตรียมกอนจะทําเปนสี่เหลี่ยม
เพราะวาเราตองการเปลี่ยนรูปรางของลูกเชอรี่ใหเปนรูปสี่เหลี่ยม เราจึงตองเพิ่มพื้นที่บริเวณดานขาง และมุมโคง
ใหดูเหลี่ยมและมีพื้นที่มากขึ้น โดยเราจะเลือกพื้นที่บางสวนของภาพตนแบบมาแปะเพื่อเพิ่มพื้นที่ และใช Eraser
Tool ลบขอบที่ไมตองการออก เพื่อชวยใหสวนที่นํามาแปะดูกลมกลืนกัน
1.2 กําหนดขนาด
ของรูปภาพ
1.3 เลือกโหมดสี
RGB Color
1.4 กําหนด
Background เปน
แบบ White
1.5 คลิกเมาส
Page 205
จะไดไฟลภาพใหม
2.3 คลิกเมาส
ผลลัพธภาพที่ Image
Window
6.3 คลิกปรับขนาดภาพ
6.4 คลิกเมาส
หรือ กําหนดขนาดภาพใหม
ผลลัพธที่ได
7.3 คลิกเมาส
Page 208
8.3 กดคีย
<Ctrl+V> เพื่อวาง 8.5 ภาพที่กอปปมา
ภาพ จะถูกวางในเลเยอร
ใหม
8.4 คลิกเมาสเพื่อ
สรางเลเยอรใหม
11.4 คลิกลบขอบใหดูกลมกลืน
11.2 คลิกเลือกรูปแบบของยางลบ
1.3 คลิกเลือกลักษณะ
การรวมเลเยอร
1.5 เลเยอรจะถูก
รวมเปนเลเยอรเดียว
1.6 คลิกแสดงเลเยอร
1.4 คลิกเมาส
2.3 คลิกเมาส
3.5 ใสรหัสสี
3.4 คลิกกําหนด
สีโฟรกราวนด
3.6 คลิกเมาส
3.7 คลิกวาดเงาของมุมสี่เหลี่ยม
Page 212
4.2 คลิกเลือกรูปแบบหัวแปรง
4.4 คลิกลบขอบภาพ
ขั้นตอนที่ 3 ตกแตงพื้นผิวใหสวยงาม
จะเปนการตกแตงเพิ่มเติมบริเวณพื้นผิว เพราะวาบริเวณดานซายของลูกเชอรี่จะตองเปนเงามืด เราจึงตองปรับ
ภาพบริเวณนี้ใหดูเขมขึ้น จากนั้นจึงเปนการตกแตงสวนตางๆ เพิ่มเติมทั้งพื้นผิว และบริเวณเงา
1.5 คลิกเลือกรูปแบบหัวแปรง
Page 213
2.1 คลิกเลือกสี
2.2 คลิกระบายสี
ตนแบบ
3.1 คลิกเลือก
Convolve Tool
1.5 คลิกสรางเลเยอรใหม
1.5 คลิกสรางเลเยอรใหม
4.2 คลิกเลือกสีตนแบบ
4.3 คลิกเลือกที่ใชวาดเงา
5.3 คลิกเลือกลักษณะ
5.1 คลิกเลือก
หัวพน
Airbrush Tool
5.5 คลิกวาดเงา
6. เกลี่ยสีของเงาใหดูเรียบ โดยคลิกเลือก Convolve Tool กําหนด Convolve Type แบบ Blur เพื่อ
ปรับภาพใหฟุงเบลอ
ผลลัพธของภาพที่ได
6.3 คลิกเกลี่ยสีภาพ