Professional Documents
Culture Documents
6
â¤Ã§¡Òà WTO Watch (¨Ñº¡ÃÐáÊͧ¤ì¡ÒáÒäéÒâÅ¡)
ËéͧàÅ¢·Õè 14 ªÑ¹é 4 ¤³ÐàÈÃÉ°ÈÒÊμÃì ÁËÒÇÔ·ÂÒÅѸÃÃÁÈÒÊμÃì
àÅ¢·Õè 2 ¶¹¹¾ÃШѹ·Ãì à¢μ¾Ãй¤Ã
¡ÃØ§à·¾Ï 10200 ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
â·ÃÈѾ·ì 0 2613 2470 áÅÐ 0 2623 5510
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
â·ÃÊÒÃ 0 2623 5510
¹ÔÃÁÅ ÊظÃÃÁ¡Ô¨
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6
â¤Ã§¡Òà WTO Watch (¨Ñº¡ÃÐáÊͧ¤ì¡ÒáÒäéÒâÅ¡)
ä´éÃѺ·Ø¹Íش˹ع¨Ò¡Êӹѡ§Ò¹¡Í§·Ø¹Ê¹ÑºÊ¹Ø¹¡ÒÃÇԨѠ(Ê¡Ç.)
มาตรฐานแรงงานกับการค้าระหว่างประเทศ
นิรมล สุธรรมกิจ
เอกสารวิจัยหมายเลข 6
มิถนุ ายน 2550
ได้รบั ทุนอุดหนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)
โครงการ WTO Watch (จับกระแสองค์การการค้าโลก)
เอกสารวิจยั หมายเลข 6
มาตรฐานแรงงานกับการค้าระหว่างประเทศ
ได้รับทุนอุดหนุนจาก
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)
ชัน้ 14 อาคารเอสเอ็มทาวเวอร์
เลขที่ 979 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนนอก
เขตพญาไท กรุงเทพฯ
10400
พิมพ์ท่ี โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์ โทร. 0 2224 7357-9
ศูนย์รังสิต โทร. 0 2564 3105-11
คณะกรรมการนโยบายโครงการ WTO Watch
ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา ประธานคณะกรรมการ
คุณกวี จงกิจถาวร กรรมการ
รศ.ดร.จุลชีพ ชินวรรโณ กรรมการ
ศ.ดร.ประสิทธิ์ เอกบุตร กรรมการ
คุณพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการ
คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ กรรมการ
รศ.ดร.สุทธิพนั ธุ์ จิราธิวฒ
ั น์ กรรมการ
ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ กรรมการ
รศ.ดร.สมบูรณ์ ศิรปิ ระชัย กรรมการและเลขานุการ
คุณยุวดี ไขมีเพชร ผู้ช่วยเลขานุการ
บทที่ 2 องค์การแรงงานระหว่างประเทศกับ
การกำหนดมาตรฐานแรงงาน...................................19
2.1 องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)......................19
2.1.1 ความเป็นมา.....................................................20
2.1.2 บทบาทขององค์การแรงงาน
ระหว่างประเทศ.................................................22
2.1.3 การกำหนดมาตรฐานแรงงานของ
องค์กร ILO........................................................24
2.2 มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ
ภายใต้ ILO.......................................................................26
2.2.1 มาตรฐานแรงงานขัน้ พืน้ ฐาน...........................30
2.2.2 มาตรฐานแรงงานอื่นๆ
ภายใต้ ILO.......................................................36
สารบัญ (ต่อ)
2.3 กลไกการบังคับใช้มาตรฐานแรงงาน
ของ ILO.............................................................................38
2.4 ประเทศไทยกับมาตรฐานแรงงาน
ภายใต้ ILO.........................................................43
สรุป....................................................................................47
บทที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างมาตรฐานแรงงาน
กับการค้าระหว่างประเทศ...........................................55
3.1 ความสัมพันธ์ระหว่างการค้าระหว่างประเทศ
และมาตรฐานแรงงาน.....................................................57
3.2 ผลประโยชน์ของการใช้มาตรฐานแรงงาน
ในประเทศกำลังพัฒนา...................................................67
3.3 มาตรฐานแรงงานกับความสามารถ
ในการแข่งขันทางการค้า.................................................77
3.4 มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าเพื่อตอบโต้
การไม่บงั คับใช้มาตรฐานแรงงานหลัก...........................83
สรุป....................................................................................89
บทที่ 4 สหรัฐอเมริกาและ สหภาพยุโรป กับ
การกำหนดมาตรฐานแรงงานในระเบียบ
การค้าระหว่างประเทศ.............................................95
4.1 มาตรฐานแรงงานในสหรัฐอเมริกา.................................96
4.2 บทบาทของสหรัฐอเมริกาด้านมาตรฐาน
แรงงานในการค้าระหว่างประเทศของ
สหรัฐอเมริกา..................................................................101
สารบัญ (ต่อ)
4.3 บทบาทของสหรัฐอเมริกาด้านมาตรฐานแรงงาน
ในระเบียบการค้าโลก....................................................104
4.4 มาตรฐานแรงงานในสหภาพยุโรป................................106
4.5 บทบาทของสหภาพยุโรปด้านมาตรฐานแรงงาน
ในระเบียบการค้าโลก....................................................107
4.6 แนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับบทบาท
ของประเทศพัฒนาแล้วต่อการบังคับใช้
มาตรฐานแรงงานในประเทศกำลังพัฒนา...................108
สรุป.................................................................................110
บทที่ 5 มาตรฐานแรงงานภายใต้ GATT/WTO
และภายใต้ข้อตกลงการค้าภูมิภาค
และข้อตกลงการค้าทวิภาคี.......................................117
5.1 มาตรฐานแรงงานภายใต้ GATT/WTO...........................119
5.2 บทบาทของ WTO กับ ILO เกีย่ วกับ
มาตรฐานแรงงาน..........................................................124
5.3 มาตรฐานแรงงานภายใต้
ข้อตกลงการค้าภูมภิ าค...............................................131
5.4 มาตรฐานแรงงานภายใต้ ข้อตกลงการค้า
ทวิภาคี............................................................................136
5.5 ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการนำประเด็น
แรงงานเข้าสูเ่ วทีการเจรจาการค้า...............................140
สรุป.................................................................................147
สารบัญ (ต่อ)
บทที่ 6 บทสรุป และข้อเสนอแนะ..........................................153
บรรณานุกรม...................................................................................171
ภาคผนวก ก อนุสญ ั ญา ILO ทีป่ ระเทศต่างๆ (บางประเทศ)
ให้สตั ยาบัน.................................................................183
ภาคผนวก ข สรุปความอนุสัญญาของ ILO
จำแนกตามหมวด..........................................................187
รายชือ่ หนังสือโครงการ WTO Watch..................................................225
ประวัตผิ เู้ ขียน.........................................................................................233
สารบัญตาราง
ตารางที่ 1 ประเภทของมาตรฐานแรงงาน
จำแนกตามประเภทของสิทธิ...........................................17
ตารางที่ 2 จำนวนประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาที่
เกีย่ วข้องกับมาตรฐานแรงงานหลักของ ILO...................53
ตารางที่ 3 ประเทศภาคีและจำนวนอนุสัญญาของ ILO
ทีใ่ ห้สตั ยาบัน (ค.ศ.2005).................................................115
ตารางที่ 4 เปรียบเทียบประเด็นด้านแรงงานใน
ข้อตกลงการค้าเสรีของสหรัฐอเมริกา..........................151
º··Õè 1
º·¹Ó
ในปัจจุบันนี้ การขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศได้กลายเป็น
ตั ว จั ก รสำคั ญ ในการเจริ ญ เติ บ โตทางเศรษฐกิ จ ของประเทศกำลั ง พั ฒ นา
(developing countries) หรือประเทศพัฒนาน้อยกว่า (less developed
countries) ทั ้ ง หลาย และประเทศกำลั ง พั ฒ นามี ข นาดการเปิ ด ประเทศ
(degree of openness) เพิ่มขึ้นตลอดช่วงเวลาในหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกันการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศของประเทศกำลัง
พัฒนา ก็ได้เอื้อประโยชน์ต่อประเทศพัฒนาแล้ว (developed countries)
ในแง่ที่ว่าประชาชนของประเทศพัฒนาแล้ว สามารถหาซื้อสินค้าราคาถูก
จากการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่านั่นเอง
ซึง่ เป็นไปตามทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage
theory) นอกจากนี ้ ทั ้ ง ประเทศกำลั ง พั ฒ นาและประเทศพั ฒ นาแล้ ว
ยังได้รับผลประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการขยายตัวทางการค้า
ระหว่างประเทศ (gains from trade) อีกด้วย อาทิ การเพิม่ ผลผลิต การบริโภค
เพิม่ สวัสดิการ (welfare) ของสังคมมากขึน้ เป็นต้น
แม้ ว ่ า ในภาพรวม ทุ ก ประเทศให้ ก ารสนั บ สนุ น การค้ า ระหว่ า ง
ประเทศ และพยายามลดอุ ป สรรคทางการค้ า ต่ า งๆ ไม่ ว ่ า จะเป็ น การลด
มาตรการด้านภาษีศุลกากร (tariff barriers) และการขจัดมาตรการอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศที่มิใช่มาตรการด้านภาษี (non-tariff
barriers: NTB) อาทิ การยกเลิกโควตาการนำเข้าหรือโควตาการส่งออก
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
2
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
3
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
จึงอาจเป็นการกำหนดคุณลักษณะของแรงงานที่นายจ้างควรจัดจ้าง เช่น
การกำหนดมาตรฐานแรงงานว่ า แรงงานต้ อ งมิ ใ ช่ แ รงงานเด็ ก หรื อ มิ ใ ช่
แรงงานสตรี ม ี ค รรภ์ ห รื อ มิ ใ ช่ แ รงงานผู ้ ต ้ อ งโทษในเรื อ นจำ หรื อ ห้ า มมิ ใ ห้
แบ่งแยกผิวพรรณ เชื้อชาติ และเพศในการจ้างคนงานหรือพนักงาน เป็นต้น
ความนัยประการที่สอง มาตรฐานแรงงาน หมายถึง การกำหนด "มาตรฐาน
การใช้แรงงาน" หรือ "เงื่อนไขการใช้แรงงาน" หรือ "การกำหนดมาตรฐาน
คุณภาพชีวิตของแรงงาน (ในระหว่างการทำงาน)" เช่น สถานที่ทำงานของ
แรงงานหรือลูกจ้างจะต้องถูกสุขอนามัย หรือมีความปลอดภัยจากการทำงาน
เพื่อคนงานหรือลูกจ้างจะได้ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพอันเกิดจากการทำงาน
เป็นต้น
มาตรฐานแรงงาน ที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางและเป็นที่ตกลง
ร่วมกันระหว่างประเทศต่างๆ คือ มาตรฐานหลักในการใช้แรงงาน (core
labour standards) ซึ่งแสดงถึงการให้สิทธิพื้นฐานของคนงาน (fundamen-
tal labour rights) ที่ปรากฏในข้อตกลงร่วมกันระหว่างสมาชิกขององค์การ
แรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) (ซึ่งมี
สมาชิกประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐ ตัวแทนจากฝ่ายนายจ้าง และตัวแทน
จากฝ่ า ยลู ก จ้ า ง) ข้ อ ตกลงนี ้ เ รี ย กว่ า "Declaration on Fundamental
Principles and Rights at Work" หรือ "ปฏิญญาว่าด้วยหลักการและสิทธิ
พื้นฐานของคนงานในสถานประกอบการ" โดยมีการลงนามกันเมื่อปี ค.ศ.
1998 (พ.ศ. 2541) มาตรฐานแรงงานหลักหรือมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับ
การใช้แรงงาน ในปฏิญญานีป้ ระกอบด้วย 4 ด้านดังนี้
• การให้ อ ิ ส ระแก่ ล ู ก จ้ า งที ่ จ ะเลื อ กเป็ น สมาชิ ก สมาคมองค์ ก ร
สหภาพแรงงานใดก็ได้ และสามารถรวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจ
การต่อรองกับฝ่ายนายจ้างได้ (freedom of association and the
effective recognition of the right to collective bargaining)
• การจ้างแรงงานจะต้องไม่เป็นการบังคับให้ทำงาน ไม่ว่าจะด้วยวิธี
การใดๆก็ ต าม (elimination of all forms of forced or
compulsory labour)
4
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
5
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
มาตรฐานแรงงานดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากประสบการณ์ที่เลวร้าย
ของกลุ่มลูกจ้างในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เช่น ในประเทศจีน
คนงานในโรงงานมักทำงานล่วงเวลา ประมาณ 8-10 ชั่วโมง (ทั้งๆ ที่ทำงาน
วันละ 8 ชั่วโมงอยู่แล้วเป็นปกติ) นอกจากนี้ คนงานส่วนใหญ่ในจีนยังได้รับ
ค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำตามกฎหมาย (legal minimum
wage) และยั ง ไม่ ไ ด้ ร ั บ เงิ น พิ เ ศษ (หรื อ เงิ น โบนั ส ที ่ ส มควรจะได้ ร ั บ ตาม
กฎหมาย) จากการทำงานล่วงเวลาอีกด้วย (แม้ว่าภาครัฐจะมีการจัดสรร
สวั ส ดิ ก ารขั ้ น พื ้ น ฐานให้ แ ก่ ป ระชาชนทั ่ ว ไปแล้ ว ก็ ต าม) ส่ ว นในประเทศ
บังคลาเทศ คนงานในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม (garment industry) ได้รับ
ค่าจ้าง (ที่พอดีสำหรับค่าเช่าบ้านและอาหาร) ล่าช้าเป็นเดือน และในประเทศ
เม็กซิโก การจ้างงานในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ามีการแบ่งแยกหรือเลือก
ปฏิบัติและมีการปฏิบัติที่ดูถูกเหยียดหยามในกระบวนการคัดเลือกรับคนเข้า
ทำงาน (discriminatory and humiliating recruitment practices) [CAFOD,
2005]
การชูประเด็นเรื่องมาตรฐานแรงงานและการค้าระหว่างประเทศใน
เวทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศนั้นเริ่มเห็นได้ชัดในการเจรจา GATT
รอบอุรุกวัย เมื่อสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสได้พยายามนำเรื่องมาตรฐาน
แรงงานเข้าสู่การเจรจา แต่ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จเท่า
ที่ควร ถึงกระนั้นก็ตาม ประเด็นเรื่องมาตรฐานแรงงานก็ยังคงมีอยู่ต่อมาใน
การเจรจาของ WTO ตัง้ แต่การประชุมคณะรัฐมนตรีครัง้ แรกเมือ่ ปี ค.ศ. 1996
(พ.ศ. 2539) ณ ประเทศสิงคโปร์ และในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ณ เมือง
Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 3
โดยมีกระแสความประหวั่นใจว่า การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศที่มี
ความรุนแรงมากขึ้นนั้น อาจนำไปสู่การลดลงของมาตรฐานแรงงานและ
สวัสดิการสำหรับคนงานลูกจ้าง (หรือปัญหา "Race to the Bottom of Labour
Standards") ระหว่างประเทศคู่แข่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การแข่งขันทาง
การค้าที่รุนแรงจะนำไปสู่การลดต้นทุนการผลิต ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการ
หรือนายจ้างไม่สนใจที่จะดูแลสวัสดิการของลูกจ้าง ด้วยการละเลยหรือ
6
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ยกเลิกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการของคนงาน อันจะส่งผลให้ไม่มีการ
บังคับใช้ "มาตรฐานแรงงานหลัก" ในหน่วยผลิตหรือในประเทศนัน้ ๆ ดังนัน้ เพือ่
สร้างความเป็นธรรมให้แก่กรรมกรหรือลูกจ้างในประเทศ และเพื่อรักษาหรือ
ยกระดับมาตรฐานแรงงานในประเทศต่างๆ นักวิชาการและกลุ่มพิทักษ์สิทธิ
มนุษยชนบางกลุ่ม รวมทั้งประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ได้นำเสนอ
ความคิดที่จะให้มีการบรรจุเรื่อง "มาตรฐานแรงงานหลัก" ไว้ในการเจราจา
การค้าพหุภาคีและในการเจรจาการค้าทวิภาคี เช่น WTO และ ข้อตกลงการค้า
เสรี (Free Trade Agreement: FTA) ระหว่างประเทศคูส่ ญ
ั ญา
ข้อเสนอแนะที่จะให้มีการนำเรื่อง "มาตรฐานแรงงาน" เข้าสู่เวทีการ
เจรจาการค้าพหุภาคีนั้น ได้สร้างบรรยากาศของการถกเถียงทางวิชาการ
มากมาย ระหว่างผู้ได้รับประโยชน์กับผู้ที่เสียประโยชน์โดยผู้ได้รับประโยชน์
มักเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือผู้ประกอบการที่มีการจัดทำมาตรฐานแรงงาน
ที ่ เ ป็ น ที ่ ย อมรั บ ส่ ว นผู ้ ท ี ่ เ สี ย ประโยชน์ ม ั ก เป็ น ประเทศกำลั ง พั ฒ นาหรื อ
ผูป้ ระกอบการทีย่ งั ไม่มกี ารจัดทำมาตรฐานแรงงานตามหลักสากลหรือมาตรฐาน
แรงงานของตนยังต่ำกว่าของกลุ่มแรก ข้อถกเถียงนั้นประกอบด้วยอย่างน้อย
6 ประการ ได้แก่
(ก) บทบาทของ WTO กับ ILO ว่าองค์กรใดควรเข้ามาจัดการ
หรือดูแลเรือ่ งมาตรฐานแรงงาน และ เรือ่ งความสัมพันธ์ระหว่างการค้าระหว่าง
ประเทศกับมาตรฐานแรงงาน2
(ข) การบังคับใช้มาตรฐานแรงงาน จะทำให้เกิดประสิทธิภาพ
(efficiency) ของสังคมสูงขึ้นหรือไม่ และสังคมของประเทศนั้นจะได้รับ
ประโยชน์เพิม่ ขึน้ หรือไม่ (เช่น ความยากจนน้อยลง) 3
(ค) มาตรฐานแรงงาน จะกลายเป็นเครื่องมือในการกีดกันทาง
การค้าระหว่างประเทศหรือไม่ และ การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานในการค้า
ระหว่างประเทศ จะทำให้ประเทศนั้นสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
(Competitiveness) หรือไม่ 4
7
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
8
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
9
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
1.5 เจตนารมณ์ของการวิจยั
การวิจยั เอกสารเชิงวิชาการฉบับนี้ จะเป็นพืน้ ฐานความรูใ้ ห้แก่บคุ คล
ทีส่ นใจเรือ่ ง "มาตรฐานแรงงาน" และ "การค้าระหว่างประเทศ" และยังเป็นการ
สร้างองค์ความรู้ให้แก่การวิจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ "มาตรฐานแรงงานของไทยกับการ
แข่ ง ขั น ทางการค้ า " เนื ่ อ งจากสิ น ค้ า ส่ ง ออกของไทยที ่ ส ่ ง ไปขายในตลาด
สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ นั้นเป็นสินค้าที่ใช้
แรงงานเข้มข้น (labour-intensive products) ด้วยเหตุนี้ "มาตรฐานแรงงาน
หลัก" และมาตรฐานแรงงานอื่นๆ อาจกลายเป็นเครื่องมือในการกีดกันทาง
การค้าของประเทศผู้นำเข้าได้ ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในประเด็นนี้
คือ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ เครื่องหนัง อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า
ของเล่น ดอกไม้ประดิษฐ์ เป็นต้น
ดังนั้น การศึกษาผลกระทบของการบังคับใช้ "มาตรฐานแรงงาน"
ในบางอุตสาหกรรมของไทยดังกล่าวข้างต้น น่าจะเป็นการส่งเสริมขีดความ
สามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการ
วางนโยบายและกำหนดกลยุทธ์การพัฒนา "มาตรฐานแรงงาน" ของไทยให้
เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับมาตรฐานแรงงานของประชาชน
ชาวไทยอีกด้วย
1.6 ประเภทของมาตรฐานแรงงาน
"มาตรฐานแรงงาน" (labour standards) โดยทั ่ ว ไปหมายถึ ง
กฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดต่างๆที่ใช้ในเรื่องการใช้แรงงาน เช่น ค่าจ้าง ชั่วโมง
การทำงาน และสวัสดิการต่างๆ มาตรฐานแรงงานสามารถแบ่งออกเป็น
3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ [อร ชวลิตนิธิกุล, 2548: 22-23; มนตรี ชูนามชัย,
2547: 4]
(1) มาตรฐานแรงงานตามกฎหมายภายในประเทศ (national
labour standards) เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อคนงานภายใน
10
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
11
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
12
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ในบรรดามาตรฐานแรงงานที่กล่าวถึงกันทั่วไปนั้น มักหมายถึง
"มาตรฐานแรงงานหลัก" ที่อ้างไว้ในปฏิญญาว่าด้วยหลักการและสิทธิพื้นฐาน
ของคนงานในสถานประกอบการ อย่างไรก็ดีในบรรดาอนุสัญญาของ ILO
นั ้ น ยั ง มี ม าตรฐานแรงงานอื ่ น ๆอี ก มากมาย นั ก วิ ช าการได้ ม ี ก ารจั ด ทำ
มาตรฐานแรงงานตามหลักของสิทธิที่คนงานหรือประชาชนทั่วไปพึงได้รับ
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาแรงงาน (International Institute for
Labour Studies) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ ILO ได้วางแนวทางเกี่ยวกับสิทธิ
ของผู้ใช้แรงงาน (labour rights) ตามหลักเกณฑ์เรื่องมาตรฐานแรงงาน
ไว้อย่างน้อย 4 ประการ (ดังแสดงในตารางที่ 1) ได้แก่
(ก) สิทธิขั้นพื้นฐาน (basic rights) ประกอบด้วย สิทธิในการ
ต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก สิทธิในการต่อต้านการอยู่ภายใต้ภาวะจำยอมโดย
ไม่สมัครใจ (involuntary servitude) สิทธิในการต่อต้านการบังคับขู่เข็น
ทางร่างกาย (physical coercion)
(ข) สิ ท ธิ ใ นความอยู ่ ร อด (survival rights) ประกอบด้ ว ย
สิทธิในการได้รับค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ (living wage) สิทธิใน
การได้รับค่าทดแทนเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน (accident compensa-
tion) สิ ท ธิ ใ นการมี ช ั ่ ว โมงในการทำงานที ่ ม ี ก ำหนดเวลาแน่ น อนในหนึ ่ ง
สัปดาห์ (limited work week)
(ค) สิทธิในสวัสดิการสังคม (security rights) ประกอบด้วย
สิทธิในการต่อต้านการปลดออกตามอำเภอใจ (arbitrary dismissal) สิทธิใน
การได้ผลรับประโยชน์เมื่อเกษียณอายุ (retirement compensation) สิทธิใน
การได้รับค่าชดเชยเมื่อมีชีวิตรอดจากอันตรายจากการทำงาน (survivals'
compensation)
(ง) สิ ท ธิ ใ นฐานะพลเมื อ ง (civil rights) ประกอบด้ ว ย
สิทธิในการจัดตั้งสมาคมอย่างเสรี (free association) สิทธิในการมีผู้แทน
เพื่อร่วมในการเจรจาต่อรอง (collective representation) สิทธิในการยื่น
ข้อเรียกร้อง (free expression of grievances)
13
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
14
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เชิงอรรถ
1
อาทิ การศึกษาของ นิรมล สุธรรมกิจ (2548) อัจฉรี ชไตน์มลึ เลอร์ และ คณะ
(2547) พรทิพย์ วัฒนกิจการ (2546) มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด และ พิสมัย ภูรินสินสิทธิ์
เอีย่ มสกุลรัตน์ (2540) ศูนย์วจิ ยั เศรษฐศาสตร์ (2544) สถาบันสิง่ แวดล้อมไทย (2539) เป็นต้น
(2000); Lee (2000); Rollo and Winter (2000); Eglin (2001); Heintz (2002); Suranovic
(2002); และ Stern and Terrell (2003) เป็นต้น
3
อ่านรายละเอียดใน Swinnerton (1997); van Beers (1998); Stern and Terrell
(2003); Erickson and Mitchell (2000); Lee (2000); และ Heintz (2002) เป็นต้น
4
อ่านรายละเอียดใน Mah (1997); van Beers (1998); Martin and Maskus
(1999); Erickson and Mitchell (2000); Lee (2000); Heintz (2002); Suranovic (2002);
Beaulieu and Gaisford (2002); Busse (2002); และ Stern and Terrell (2003) เป็นต้น
5
อ่านรายละเอียดใน Elliott (2000); Brown (2000) เป็นต้น
อ่านรายละเอียดใน Salazae-Xirinachs (2000); Jafarey and Lahiri (2002);
6
15
µ¦µ¸É 1 ¦³Á£
°¤µ¦µÂ¦µ 嵤¦³Á£
°··
¦³Á£
°·· ´ª°¥nµ¤µ¦µÂ¦µ
··¡ºÊµ ··Äµ¦»o¤¦°Â¦µÁÈ (Right against use of child labour)
(Basic rights) ··Äµ¦·Áµ¦ÎµµÁ¥¸¥É µÃ¥Å¤n¤´¦Ä
(Right against involuntary servitude)
··Äµ¦n°µ¦Äoε¨´´´
¼nÁ
È (Right against physical coercion)
··Äµ¦Îµ¦ ··Äµ¦Åo¦´nµoµÁ¡¸¥¡°Äµ¦Îµ¦¸¡ (Right to a living wage)
¸¡°¥nµÁ}»
··Äµ¦Åo¦´Á·Á¥Á¤ºÉ°¦³°»´·Á®»
(Survival rights) (Right to accident compensation)
··Äµ¦¤¸´ÉªÃ¤µ¦Îµµ¸ÉÂn° (Right to a limited work week)
··Äµ¦Åo¦´ ··Äµ¦¦µµ¦Á¨·oµ¨nª®oµ (Right against arbitrary dismissal)
ªµ¤»o¤¦° ··Äµ¦Åo¦´Á·Á¥Á¤ºÉ°Á¬¸¥ (Right to retirement compensation)
(Security rights) ··Äµ¦Åo¦´Á·Á¥Á¡ºÉ°µ¦Îµ¦¸¡
(Right to surivors’ compensation)
··Äµ¦Åo¦´ ··Äµ¦Á
oµ¦nª¤¤µ¤ (Right to free association)
Á¦¸£µ¡ ··Äµ¦Á¨º°´ªÂ (Right to collective representation)
(Civic rights) ··Äµ¦¥ºÉ Á¦ºÉ°°»¦r¦o°»
r (Right to free expression of grievances)
¸É¤µ: Galli and Kucera (2004), Table 1, p. 810
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
17
º··Õè 2
ͧ¤ì¡ÒÃáç§Ò¹ÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
¡Ñº¡ÒáÓ˹´ÁÒμðҹáç§Ò¹
ในบทนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาและบทบาทขององค์การแรงงาน
ระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) อย่างพอสังเขป
รวมทั้งขั้นตอนการกำหนดมาตรฐานแรงงานขององค์กร ILO (หัวข้อ 2.1)
จากนั้น จะนำเสนอเนื้อหาหรือใจความหลักของมาตรฐานแรงงานภายใต้
อนุสญ
ั ญาขององค์กร ILO (หัวข้อ 2.2) ตลอดจนกลไกการบังคับใช้มาตรฐาน
แรงงานขององค์กร ILO (หัวข้อ 2.3) และ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับ
มาตรฐานแรงงานของ ILO (หัวข้อ 2.4)
เอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง โดยถูกบังคับให้ทำงานเป็นระยะเวลายาวนาน
แต่ได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าที่ควร
2.1.1 ความเป็นมา
ความเคลื ่ อ นไหวด้ า นการคุ ้ ม ครองแรงงานนั ้ น มี ต ั ้ ง แต่ ต ้ น
คริสต์ทศวรรษ 1800 เช่น ปีค.ศ. 1818 โรเบอร์ต โอเวน (Robert Owen)
นักอุตสาหกรรมชาวสกอตแลนด์ ได้ริเริ่มแนวคิดเรื่องสวัสดิภาพของคนงาน
โดยจัดทำจดหมายถึงตัวแทนรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจในยุโรป เพื่อ
จัดตั้ง "คณะกรรมการแรงงาน" ขึ้น [อร ชวลิตนิธิกุล, 2548: 10] ส่วนชาล์ส
ฮิ น ด์ เ ลย์ (Charles Hindley) สมาชิ ก ผู ้ แ ทนราษฎรอั ง กฤษ (ในช่ ว งปี
ค.ศ.1835-1857) ได้ยืนยันว่า การกำหนดมาตรฐานแรงงานระดับสากล
จะเป็นการป้องกันมิให้คนงานต้องได้รับผลพวงจากการแข่งขันทางการค้า
อย่างรุนแรงในตลาดภายในประเทศและตลาดโลก (เช่น คุ้มครองมิให้คนงาน
ทำงานเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมง เป็นต้น) สำหรับเดเนียล ลีแกรนด์
(Daniel Legrand) ผู้ประกอบการธุรกิจหัตถอุตสาหกรรมจากเมือง Alsace
ก็มีแนวคิดสนับสนุนการส่งเสริมมาตรการด้านแรงงานในภูมิภาคยุโรป ซึ่งได้
รับอิทธิพลจากกลุ่มบุคคล (เช่น Christian Socialist Tradition) ที่ต้องการ
ให้มีการปฏิรูประบบทุนนิยมโดยคำนึงถึงสวัสดิการและสวัสดิภาพของคนงาน
[Heintz, 2002: 13]
แต่ ใ นขณะนั ้ น ประเทศยุ โ รปต่ า งให้ ค วามสำคั ญ กั บ เรื ่ อ งอำนาจ
ทางการทหารมากกว่ า เรื ่ อ งความเป็ น อยู ่ ข องคนงานหรื อ กรรมกรแม้ ว ่ า
ต่ อ มากลุ ่ ม คนงานได้ พ ยายามเรี ย กร้ อ งให้ ม ี ม าตรการระหว่ า งประเทศ
เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ด้านแรงงานอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
จนกระทัง่ ปี ค.ศ. 1866 สภาสมาคมคนงานระหว่างประเทศ (The Congress
of the International Association of Workers) จึงมีมติเรียกร้องให้มี
กฎหมายแรงงานระหว่างประเทศขึ้น และในการประชุมระหว่างประเทศใน
ยุโรป ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อปี ค.ศ. 1890 ได้มีมติว่า ไม่ควร
20
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
อนุญาตให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าทำงานและไม่ควรอนุญาตให้สตรี
และเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี ทำงานในเหมือง รวมทั้งเรื่องการหยุดพักประจำ
สัปดาห์และความปลอดภัยในการทำงาน การประชุมครั้งนี้นับว่าเป็นการ
สร้างความตื่นตัวให้แก่รัฐบาลต่างๆในภูมิภาคยุโรปในการคำนึงถึงมาตรฐาน
แรงงานระหว่างประเทศ แม้ว่าต่อมาในปี ค.ศ. 1897 ได้มีการทบทวนมติ
ที่ประชุมดังกล่าวอีกครั้งและมีการศึกษาแนวทางเพื่อจัดตั้งองค์การแรงงาน
ระหว่างประเทศขึ้น จนมีการจัดตั้ง สมาคมกฎหมายแรงงานระหว่างประเทศ
(The International Association for Labour Legislation) ขึน้ ในปี ค.ศ. 1900
แต่ความร่วมมือด้านมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศก็ต้องชะงักลง เมื่อเกิด
สงครามโลกครัง้ ที่ 1 ในทวีปยุโรป [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 10-11]
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ในปีค.ศ. 1919 จึงได้มีการจัด
ประชุมสันติภาพที่กรุงปารีส และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกฎหมาย
แรงงานระหว่างประเทศ (The Commission on International Labour Leg-
islation) ขึ้น อันประกอบด้วยบุคคล 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง
และฝ่ายรัฐบาล และในทีส่ ดุ มีการจัดตัง้ "องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ
ILO" ขึ้นในปีเดียวกันนี้ (ในที่ประชุมสันติภาพแวร์ซายส์-Versailles Peace
Conference) มูลเหตุสำคัญในการก่อตัง้ องค์กร ILO ประกอบด้วย 3 ประการ
ได้แก่
(ก) มูลเหตุดา้ น "สถานะความเป็นมนุษย์" เนือ่ งจากสภาพการ
ทำงานและสภาพความเป็นอยูข่ องคนงานและครอบครัวไม่ได้รบั การเหลียวแล
จากนายจ้างและจากภาครัฐและยังถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมจนไม่อาจ
เป็นที่ยอมรับได้ของประชาชนทั่วไป
(ข) มูลเหตุด้านสังคมและการเมืองเนื่องจากการพัฒนาและ
การขยายตั ว ด้ า นอุ ต สาหกรรมที ่ ต ้ อ งใช้ ป ริ ม าณคนงานเป็ น จำนวนมาก
หากไม่มีการปรับปรุงสภาพชีวิตการทำงานของคนงานแล้วอาจนำไปสู่การ
ก่อความไม่สงบในสังคม โดยอาจจะถึงขั้นการก่อจลาจลและการปฏิวัติได้
และ
21
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
(ค) มูลเหตุจูงใจในการรักษาความสงบสุขของสังคมอันเป็น
ผลสืบเนื่องจากการประชุมสันติภาพภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเห็นว่า
กลุ่มคนงานหรือกรรมกรมีส่วนร่วมสำคัญในสมรภูมิรบและในการผลิตสินค้า
และบริการ จึงควรได้รับการดูแลเอาใจใส่และได้รับการคุ้มครองและเพื่อให้
เกิดความยุติธรรมในสังคม
ต่อมาองค์การสหประชาชาติได้จัดทำ "ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิ
มนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights)" ในปี ค.ศ. 1948 เพือ่ ให้
ความสำคัญแก่การคุ้มครองสิทธิของมนุษย์ปุถุชนทุกคน รวมทั้งคนงานหรือ
ลูกจ้างด้วย ดังเช่นมาตรา 23 และ 24 ของปฏิญญา ที่ระบุให้ทุกคนมีสิทธิ
ที่จะทำงานในสภาพการทำงานที่ดี มีชั่วโมงการทำงานและวันพักผ่อนที่
เหมาะสม ปราศจากการเลื อ กปฏิ บ ั ต ิ แ ละการมี ส ิ ท ธิ ใ นอั น ที ่ จ ะได้ ร ั บ ค่ า
ตอบแทนที่เท่าเทียมกันจากการทำงานที่เท่าๆกัน เป็นต้น
ประเทศไทยได้ ร ่ ว มลงมติ ร ั บ รอง ปฏิ ญ ญาสากลว่ า ด้ ว ยสิ ท ธิ
มนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ แม้ว่าปฏิญญานี้จะมิได้ก่อให้เกิดพันธะ
กรณีใดๆ แต่ประเทศไทยได้พยายามปฏิบัติตามหลักพื้นฐานของปฏิญญา
หลายประการ อาทิ รั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจั ก รไทย พ.ศ. 2540
ซึ่งได้มีการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การห้ามการเลือกปฏิบัติเพราะ
เหตุ ค วามแตกต่ า งในเรื ่ อ งถิ ่ น กำเนิ ด เชื ้ อ ชาติ ภาษา เพศ อายุ ศาสนา
การยอมรับในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือเสรีภาพในการประกอบ
อาชีพและการห้ามการเกณฑ์แรงงาน เป็นต้น1
2.1.2 บทบาทขององค์การแรงงาน
ระหว่างประเทศ
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้
การกำกับดูแลขององค์การสหประชาชาติ (UN: United Nations) ก่อตั้งขึ้น
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1919 (พ.ศ.2462) ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลก
ครั้งที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์ในอันที่จะแสวงหาสันติภาพขจัดความยากจน
22
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพของคนงานในการรวมตัวกันเป็นองค์กร
ILO มีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศและ
ให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่ประเทศสมาชิก เพื่อสร้างมาตรฐาน
แรงงานขั้นพื้นฐาน (fundamental labour standards) ในรูปของอนุสัญญา
(convention) และข้อเสนอแนะ (recommendation)2 ตลอดจนสนับสนุน
ส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกปรับปรุงกฎหมายภายในที่เกี่ยวกับแรงงานให้
สอดคล้องกับอนุสัญญาของ ILO อย่างไรก็ดี องค์กร ILO และเนื้อหาของ
อนุสัญญาด้านแรงงานของ ILO ก็มิได้ระบุบทลงโทษสำหรับประเทศที่ให้
สัตยาบันแต่มิได้ปฏิบัติตามอนุสัญญา เพราะ ILO เน้นเรื่องการปฏิบัติตาม
อนุ ส ั ญ ญาแบบสมั ค รใจ อี ก ทั ้ ง การสมั ค รเข้ า เป็ น สมาชิ ก และลงนามใน
อนุสัญญาก็เป็นไปโดยความสมัครใจเช่นกัน ดังเช่น ประเทศมหาอำนาจ
อย่ า งสหรั ฐ อเมริ ก าได้ ใ ห้ ส ั ต ยาบั น อนุ ส ั ญ ญาที ่ เ กี ่ ย วข้ อ งกั บ มาตรฐาน
แรงงานหลักของ ILO เพียง 2 ฉบับ จากทัง้ หมด 8 ฉบับ (ดูภาคผนวก ก)
ในปี ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) องค์กร ILO ได้รับการสนับสนุนจาก
สหรัฐอเมริกาและประเทศพัฒนาแล้วต่างๆให้ออก "ปฏิญญาว่าด้วยหลักการ
และสิ ท ธิ ข ั ้ น พื ้ น ฐานของคนงานในสถานประกอบการ (Declaration on
Fundamental Principles and Rights at Work)" ที่เน้นเรื่องมาตรฐาน
แรงงานหลัก 4 ประการ และในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) องค์กร ILO ก็มกี าร
ปรับปรุงอนุสัญญาใหม่ เพื่อป้องกันมิให้เด็กทำงานที่เป็นอันตราย (worst
forms of child labour) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนานาประเทศ โดยนับว่า
เป็นอนุสัญญาที่มีการให้สัตยาบันเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
ของ ILO และในปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) องค์กร ILO ได้รณรงค์การขจัด
แรงงานบังคับในพม่า
องค์กร ILO มีลักษณะเป็นองค์กรไตรภาคีที่ต้องอาศัยการตัดสินใจ
ร่วมกัน 3 ฝ่ายทุกขั้นตอน (ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายรัฐบาล) ไม่ว่า
จะเป็ น การประชุ ม ใหญ่ ป ระจำปี เพื ่ อ เลื อ กองค์ ค ณะผู ้ ท ำการแทน (the
governing body) การรับรองงบประมาณของ ILO การรับรองมาตรฐาน
23
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
2.1.3 การกำหนดมาตรฐานแรงงานของ
องค์กร ILO
ในการกำหนดมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศของ ILO นัน้ ต้องใช้
ระยะเวลาประมาณ 2 ปี โดยมีขน้ั ตอนต่างๆ 8 ขัน้ ตอน ดังนี้ [อร ชวลิตนิธกิ ลุ ,
2548: 20]
24
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
25
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
(ซ) คณะกรรมการไตรภาคีจะทำการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนเสนอให้มีการรับรองโดยที่ประชุมใหญ่เป็นครั้งที่ 2 ในการประชุมครั้งนี้
การรับรองอนุสัญญาจะมีผลเมื่อมีการลงคะแนนรับรองเป็นจำนวน 2 ใน 3
ของประเทศสมาชิก
ด้วยเหตุนี้ อนุสัญญาหรือข้อเสนอแนะของ ILO นั้นจะต้องมีความ
ยืดหยุ่นและสามารถใช้กับประเทศสมาชิกให้ได้มากที่สุด ความยืดหยุ่นนี้
อาจอยู่ในรูปของ "การให้โอกาสประเทศสมาชิกในการเลือกขอบเขตข้อผูกพัน
ที่จะปฏิบัติในช่วงเวลาการให้สัตยาบัน หรือเกิดจากความยืดหยุ่นในตัว
อนุสัญญาเอง (เช่น คำจำกัดความ ขอบเขต หรือเนื้อหา หรือวิธีการนำไป
ปฏิบัติ) [อร ชวลิตนิธิกุล, 2548: 21]" ทั้งนี้เพราะประเทศสมาชิกแต่ละ
ประเทศมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแตกต่างกัน
หากอนุสัญญาหรือข้อเสนอแนะของ ILO ไม่ได้มีความยืดหยุ่นอาจส่งผล
ต่อจำนวนประเทศที่ให้สัตยาบันน้อยกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้
2.2 มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ
ภายใต้ ILO
มาตรฐานแรงงานระหว่ า งประเทศภายใต้ อ นุ ส ั ญ ญาของ ILO
นัน้ มีลกั ษณะสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ [นิคม จันทรวิทรู , 2531: 26-27 อ้างใน
อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 23]
(1) เป็ น มาตรฐานที ่ ไ ด้ ร ั บ รองในรู ป ของสถาบั น กล่ า วคื อ
ต้องผ่านการรับรองโดยที่ประชุมใหญ่ของ ILO โดยมีขั้นตอนและการอภิปราย
ในทีป่ ระชุมคล้ายกับการประชุมในรัฐสภา มิใช่การใช้วธิ ที างการทูตเหมือนการ
จัดทำสนธิสัญญาหรืออนุสัญญาอื่นๆทั่วไป
(2) เนื่องจากมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศเกิดขึ้นจาก
โครงสร้างที่เป็นไตรภาคี การรับรองอนุสัญญาและข้อเสนอแนะจึงต้องกระทำ
ทัง้ 3 ฝ่ายด้วยเช่นกัน และ
26
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
27
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
28
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
สวัสดิการกรณีไม่มีงานทำ ผลประโยชน์จากการลาคลอดและสวัสดิการ
ครอบครัว เป็นต้น
(8) หมวดว่ า ด้ ว ยการทำงานของสตรี (employment of
women) ซึ่งประกอบด้วยสิทธิตามหมวด (1) แล้ว ยังมีการคุ้มครองการ
ลาคลอด การทำงานเวลากลางคืน และ การทำงานใต้ดิน เป็นต้น
(9) หมวดว่าด้วยการทำงานของเด็กและเยาวชน (employ-
ment of children and young persons) ซึ่งประกอบด้วย การกำหนดอายุ
ขั้นต่ำในการทำงานในแต่ละภาคเศรษฐกิจและเวลาทำงาน การตรวจร่างกาย
ทางการแพทย์เพื่อดูความพร้อมของเด็ก เป็นต้น
(10) หมวดว่าด้วยคนงานสูงอายุ (older workers) ในปัจจุบนั นี้
ยังไม่มีอนุสัญญาเรื่องนี้
(11) หมวดว่าด้วยคนงานอพยพ (migration workers) ซึ่ง
ประกอบด้ ว ยเงื ่ อ นไขในการอพยพแรงงานและการส่ ง เสริ ม การมี โ อกาส
เท่ า เที ย มกั น ในการจ้ า งงาน เพื ่ อ ผลประโยชน์ ส ำหรั บ บุ ค คลที ่ ท ำงานใน
ประเทศอืน่ เป็นต้น
(12) หมวดว่าด้วยชนพื้นเมืองและชนเผ่า (indigenous and
tribal people) และคนงานในดิ น แดนอาณานิ ค ม (workers in non-
metropolitan territories) ซึ่งประกอบด้วย การคัดเลือกคนงานชนพื้นเมือง
เข้าทำงาน การทำสัญญาว่าจ้าง การเลิกโทษอาญา (คนงานพื้นเมือง) และ
การยกเลิกการปฏิบตั อิ นั ไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนงานทัง้ 2 ประเภท (คนงาน
พืน้ เมือง และคนงานทีไ่ ม่ได้เป็นชาวพืน้ เมือง) เป็นต้น
(13) หมวดว่าด้วยอาชีพเฉพาะ (particular occupational
sectors) ซึ่งประกอบด้วยอาชีพเดินเรือทะเล คนทำงานบริเวณท่าเรือ อาชีพ
การทำไร่ อาชีพพยาบาล
(14) หมวดอืน่ ๆ ซึง่ ประกอบด้วย การแก้บทบัญญัติ เป็นต้น
29
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
• อนุสัญญาฉบับที่ 87 ให้สิทธิเท่าเทียมกันแก่นายจ้างและ
ลูกจ้าง ในการรวมตัวกันเป็นสมาคมได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต
ล่วงหน้าและปราศจากการเลือกปฏิบัติ โดยหน่วยงานรัฐต้องละเว้นการ
แทรกแซงใดๆหรื อ การขั ด ขวางการจั ด ตั ้ ง องค์ ก รของนายจ้ า งและองค์ ก ร
ลูกจ้าง นอกจากนี้ องค์กรของนายจ้างและของลูกจ้าง มีสทิ ธิกอ่ ตัง้ เป็นสหพันธ์
หรือสมาพันธ์ รวมทั้งการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับองค์กรระหว่างประเทศด้วย
ขณะเดี ย วกั น องค์ ก รของนายจ้ า งและของลู ก จ้ า งก็ ต ้ อ งเคารพกฎหมาย
ของบ้านเมืองด้วย [มาตรา 2-9] 3
• อนุสัญญาฉบับที่ 98 เป็นการคุ้มครองลูกจ้างมิให้ถูกเลือก
ปฏิบตั โิ ดยสาเหตุสบื เนือ่ งมาจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน (เช่น การจ้าง
งานที ่ ม ี เ งื ่ อ นไขว่ า ลู ก จ้ า งจะต้ อ งไม่ เ ข้ า ร่ ว มเป็ น สมาชิ ก สหภาพแรงงาน
หรือต้องสละสถานภาพของการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน หรือมีอคติ
ต่ อ ลู ก จ้ า งที ่ เ ป็ น สมาชิ ก สหภาพแรงงาน เป็ น ต้ น ) และกำหนดให้ อ งค์ ก ร
นายจ้างและลูกจ้างต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเพียงพอจากการกระทำใดๆ
อันเป็นการแทรกแซงกัน และส่งเสริมให้มีการพัฒนาและการใช้ประโยชน์
จากกลไกการเจรจาต่อรองร่วมกันโดยสมัครใจระหว่างนายจ้างหรือองค์กร
นายจ้ า งกั บ องค์ ก รลู ก จ้ า งเพื ่ อ ให้ ไ ด้ ม าซึ ่ ง กฎเกณฑ์ แ ละเงื ่ อ นไขเกี ่ ย วกั บ
สภาพการจ้าง [มาตรา 1-6 ของอนุสญ ั ญา] 4 (อนึง่ หลักเกณฑ์นไ้ี ม่บงั คับใช้กบั
ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารของรัฐ)
2.2.1 (ข) การคุม้ ครองการใช้แรงงานบังคับ 5
การกำจัดการบังคับใช้แรงงาน โดยมีอนุสญ
ั ญาทีส่ ำคัญ 2 ฉบับ คือ
อนุสัญญาฉบับที่ 29 ว่าด้วยการเกณฑ์แรงงานหรือแรงงานบังคับ (Force
Labour Convention, 1930) และอนุสัญญาฉบับที่ 105 ว่าด้วยการยกเลิก
แรงงานบังคับ (Abolition of Force Labour Convention, 1957) โดยมีสาระ
สำคัญคือ ประเทศสมาชิกต้องปราบปรามการใช้แรงงานบังคับทุกรูปแบบ
และไม่ใช้รูปแบบใดๆของกฎเกณฑ์แรงงานเพื่อการข่มขู่ทางการเมือง หรือเป็น
การลงโทษต่อการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางด้านการเมือง หรือเพื่อการ
31
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
32
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
33
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
34
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
35
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
แรงงานหลักในปัจจุบัน เพียงแต่มีปรากฏเป็นรูปอนุสัญญาที่มิได้เกี่ยวข้องกับ
มาตรฐานแรงงานหลัก ดังเช่น อนุสัญญาฉบับที่ 158 ว่าด้วยการเลิกจ้าง
อันเกี่ยวกับเหตุผลในการเลิกจ้าง (Termination of Employment Conven-
tion, 1982) เป็นต้น
2.2.2 มาตรฐานแรงงานอืน่ ๆ ภายใต้ ILO
นอกจากมาตรฐานแรงงานขั ้ น พื ้ น ฐานดั ง กล่ า วข้ า งต้ น แล้ ว
อนุสัญญาของ ILO อีกหลายฉบับก็ได้กล่าวถึงมาตรฐานแรงงานในด้านอื่นๆ
ด้วย อาทิ มาตรฐานแรงงานที่เกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของ
แรงงาน และมาตรฐานแรงงานที่เกี่ยวกับการคุ้มครองความปลอดภัยและ
อนามั ย ในงานก่ อ สร้ า ง มาตรฐานแรงงานเหล่ า นี ้ แ ตกต่ า งจากมาตรฐาน
แรงงานหลักตรงที่ มาตรฐานแรงงานหลักเป็นมาตรฐานที่ ILO เสนอว่า
ทุกประเทศสมาชิกต้องมีการบังคับใช้ ในขณะที่มาตรฐานแรงงานอื่นๆนั้น
แต่ละประเทศจะบังคับใช้หรือไม่และเมื่อใดนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมและ
ระดับการพัฒนาของแต่ละประเทศ มาตรฐานแรงงานอื่นๆ นั้นจะขอกล่าวถึง
ในที่นี้เพียง 2 ด้านเท่านั้น คือ การคุ้มครองความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
และการคุ้มครองความปลอดภัยและอนามัยในงานก่อสร้าง ซึ่งจะกล่าวพอ
สังเขปดังต่อไปนี้
2.2.2 (ก) การคุ ้ ม ครองความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย
ประกอบด้วยอนุสญ
ั ญาอย่างน้อย 2 ฉบับ ได้แก่
• อนุสัญญาฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีว
อนามัย (Occupational Safety and Health and the Working Environment,
1984) ซึ่งบังคับใช้ทุกสาขากิจกรรมทางเศรษฐกิจ (รวมทั้งบริการสาธารณะ
ด้วย) ที่มีการจ้างคนงาน [มาตรา 3] โดยประเทศสมาชิกต้องดำเนินนโยบาย
ในเรื ่ อ งความปลอดภั ย อาชี ว อนามั ย และสภาพแวดล้ อ มในการทำงาน
พร้อมทั้งนำมาปฏิบัติและทบทวนเป็นระยะๆ โดยคำนึงถึงแนวปฏิบัติและ
สภาพภายในประเทศ ด้วยการปรึกษาหารือกับผู้แทนองค์กรนายจ้างและ
36
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
37
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
อนุสัญญานี้นอกจากจะคุ้มครองคนงานแล้วยังคุ้มครองบุคคลที่อยู่ใกล้กับ
บริเวณที่มีการก่อสร้างด้วย เช่น การจัดให้มีนั่งร้านและบันไดที่มีความ
ปลอดภัยและเหมาะสม มาตรการป้องกันอันตรายจากสารเคมีและอัคคีภัย
การออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนส่งขนดินและขนวัสดุในการก่อสร้าง
ให้อยูใ่ นสภาพปลอดภัย เป็นต้น [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 36-37]
นอกจากนี้ยังมี การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (minimum wage)
ทีเ่ พียงพอแก่การดำรงชีพและเลีย้ งครอบครัว เช่น อนุสญ
ั ญาฉบับที่ 26 ว่าด้วย
การกำหนดอัตราค่าจ้างขัน้ ต่ำ (Minimum Wage Fixing Convention, 1970)
สำหรับคนงานที่ทำงานในโรงงานที่มีการใช้เครื่องจักรเป็นหลักสำหรับคนงาน
ในภาคอุตสาหกรรม และยังมีอนุสัญญาเรื่องการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับ
คนงานในภาคเกษตรกรรม (อนุ ส ั ญ ญาฉบั บ ที ่ 99) และผู ้ ด ้ อ ยโอกาส
(อนุ ส ั ญ ญาฉบั บ ที ่ 131) รวมถึ ง การกำหนดชั ่ ว โมงการทำงานขั ้ น ต่ ำ
(Limitation on Hours of Work) เช่น อนุสัญญาฉบับที่ 1 ว่าด้วยชั่วโมง
การทำงาน (งานอุตสาหกรรม) (Hours of Work (Industry) Convention, 1919)
โดยกำหนดว่าการทำงานนั้นโดยเฉลี่ยไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมง
ต่อสัปดาห์ (รวมการทำงานล่วงเวลาแล้ว ต้องไม่เกิน 57 ชัว่ โมงต่อสัปดาห์ แต่
สำหรับงานใต้ดินเช่นเหมืองแร่ ให้ไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) เป็นต้น
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในภาคผนวก ข)
2.3 กลไกการบังคับใช้มาตรฐานแรงงาน
ของ ILO
หากมีการรณรงค์เรื่องมาตรฐานแรงงานหลักให้มีการบังคับใช้ใน
ประเทศสมาชิก ILO อย่างจริงจัง องค์กรนี้จะมีบทลงโทษอย่างไร หรือจะมี
มาตรการอะไรที่จะทำให้มีการใช้มาตรฐานแรงงานหลักให้เกิดขึ้นจริง
นับตั้งแต่ที่มีการหยิบยกเรื่องแรงงานเข้าสู่เวทีการเจรจาของ WTO
ครั้งแรก องค์กร ILO ก็เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น เพราะ WTO ได้ปฏิเสธที่จะนำ
38
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เรื่องมาตรฐานแรงงานมาเป็นเงื่อนไขในการจำกัดการค้า และมีมติเห็นควรให้
ILO เข้ า มามี บ ทบาทมากขึ ้ น ในการกำกั บ ดู แ ลเรื ่ อ งมาตรฐานแรงงานใน
ประเทศสมาชิกของ WTO เอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ (พ.ศ.2548-9) ILO ให้ความ
สำคั ญ เรื ่ อ งการใช้ แ รงงานเด็ ก มากกว่ า เรื ่ อ งใดๆ (ในบรรดามาตรฐาน
แรงงานหลัก)
อย่างไรก็ดี ในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา ILO ไม่สามารถผลักดันหรือ
บังคับให้ประเทศสมาชิก ILO ดำเนินการจัดตั้งมาตรฐานแรงงานหลักได้
ครบถ้วน หรือไม่สามารถชักจูงให้นานาประเทศมาร่วมกันลงนามให้สัตยาบัน
ในอนุสัญญาต่างๆของ ILO ได้ (ยกเว้นบางอนุสัญญาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่
สอดคล้องกับทุกประเทศ เช่น มาตรฐานแรงงานในอุตสาหกรรมการประมง
ทางทะเล) แม้แต่สหรัฐอเมริกาประเทศมหาอำนาจในเวทีระดับโลกทุกเวที
ยังลงนามให้สัตยาบันเพียง 2 ฉบับจาก 8 ฉบับอนุสัญญาที่เป็นมาตรฐาน
แรงงานหลักของ ILO
ด้ ว ยบทบาทของ ILO ที ่ ม ี อ ยู ่ ใ นปั จ จุ บ ั น นี ้ เครื ่ อ งมื อ ที ่ ILO มี
ประกอบด้วย 3 ประเภท คือ การส่งเสริมในรูปของการให้คำแนะนำ (หรือ
เรียกว่ามาตรการ Sunshine) การให้ผลตอบแทนในรูปของความช่วยเหลือ
ทางเทคนิคและการเงิน (หรือเรียกว่ามาตรการ Carrot) และ การทำโทษในรูป
ของการสร้างแรงกดดันทางการเมืองและการรณรงค์ต่อต้านในรูปแบบต่างๆ
(หรือเรียกว่ามาตรการ Stick) ซึ่งจะกล่าวพอสังเขปดังนี้ [Elliot, 2000]
กลไกการส่งเสริม หรือมาตรการ Sunshine เพือ่ เข้าร่วมเป็นสมาชิก
อนุสัญญาของ ILO ประกอบด้วย การให้คำแนะนำในการรวบรวมข้อมูลเพื่อ
สมัครเป็นสมาชิก การจัดทำรายงานประจำปี การทบทวนมาตรการและ
การปฏิบัติการเพื่อรองรับข้อร้องเรียนต่างๆจากฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง
ทั้งนี้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ Committee of Experts on the Application
of Conventions and Recommendations (CEACR) เป็นผูด้ ำเนินการด้านนี้
เป็นการเฉพาะ โดยจะนำเสนอรายงานต่อที่ประชุมใหญ่ จากนั้นจึงเชิญ
ประเทศที ่ ส มั ค รเป็ น สมาชิ ก เข้ า ร่ ว มลงนามให้ ส ั ต ยาบั น ภายหลั ง การให้
39
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
40
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
โครงการความร่วมมือนี้ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินจนทำให้โรงเรียน
ในบังคลาเทศเพิ่มขึ้น 353 แห่ง และจำนวนแรงงานเด็กลดลงอย่างฮวบฮาบ
[Elliott, 2000: 4] นอกจากนี้ ยังมีโครงการความร่วมมือระหว่าง ILO-UNICEF-
ผู้ประกอบการและผู้นำเข้าเพื่อรณรงค์ลดการใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรม
ผลิตลูกฟุตบอล (ในกระบวนการเย็บหนังหรือ Stitching) ในบังคลาเทศ
และปากีสถาน การรณรงค์นี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการรายใหญ่
อย่างบริษัทไนกี้และบริษัทอาดิดาสอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)
โครงการความร่ ว มมื อ นี ้ ไ ด้ จ ั ด ทำบั น ทึ ก ความเข้ า ใจกั บ สภาหอการค้ า
ปากีสถาน (Sialkot Chamber of Commerce) โดยมี ใจความสำคัญว่า
ผู้ประกอบการปากีสถานจะต้องจัดตั้ง "ศูนย์เย็บลูกฟุตบอล (stitching cen-
tre)" ที ่ ม ี ส ภาพแวดล้ อ มเหมาะสมสำหรั บ เด็ ก และง่ า ยต่ อ การตรวจสอบ
(เนื่องจากโดยทั่วไป การเย็บลูกฟุตบอลหนังมักจะกระทำกันที่บ้านเป็นหลัก)
และจะต้องอำนวยความสะดวกในบริการด้านการศึกษา การฝึกอบรม และ
บริ ก ารฟื ้ น ฟู อ าชี พ อื ่ น ๆ สำหรั บ เด็ ก ที ่ ท ำงานในโรงงานหรื อ ในศู น ย์ เ ย็ บ
ลูกฟุตบอล การณ์ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไป 18 เดือน นับจากการตกลง
ดังกล่าวผู้ประกอบการในปากีสถานประมาณร้อยละ 70 เข้าร่วมโครงการ
และเด็กจำนวน 5,400 คน ได้เข้าเรียนในโรงเรียนประจำท้องถิ่นที่ได้รับ
เงินช่วยเหลือจากโครงการความร่วมมือนี้ [Elliott, 2000: 4]
นอกจากนี้ ILO ยังไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงทวิภาคีระหว่าง
สหรัฐอเมริกากับกัมพูชา กรณีผลิตภัณฑ์สิ่งทอ (ค.ศ. 1998/พ.ศ. 2541) โดย
สหรัฐอเมริกาจะให้โควตาการนำเข้าสิ่งทอจากกัมพูชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 14
ถ้าสภาพการทำงาน (working conditions) ในโรงงานสิ่งทอและอุปกรณ์
ตกแต่งเสื้อผ้ามีการปรับให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานหลักหรือมาตรฐาน
แรงงานสากล แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ปรากฏว่า ผู้ประกอบการกัมพูชามิได้
ดำเนินการใดๆให้เป็นทีพ่ อใจ ด้วยเหตุน้ี ILO จึงเข้ามาช่วยเหลือ โดยขอให้ทาง
สหรัฐอเมริกาบริจาคเงิน 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือด้านเทคนิค
และการฝึ ก อบรมแก่ เ จ้ า หน้ า ที ่ ก ระทรวงแรงงานของกั ม พู ช า นอกจากนี ้
สหรัฐอเมริกายังให้เงินอุดหนุน 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโครงการ
41
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
42
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
โดยด่วนในการต่อต้านการใช้แรงงานบังคับ และยินดีที่จะรับข้อเสนอแนะของ
ILO ไปปฏิบัติในอนาคต และพร้อมที่จะร่วมปรึกษาหารือกับฝ่ายเทคนิค
ของ ILO และในที่สุดที่ประชุมมีมติให้เลื่อนการทำโทษพม่าออกไปก่อน
เพื่อให้รัฐบาลพม่าปรับปรุงนโยบายภายในประเทศตามที่ได้ชี้แจงไว้จนกว่า
จะพบว่า รัฐบาลพม่าเพิกเฉยต่อการปฏิบัติดังกล่าวอีก จึงจะดำเนินการ
ทำโทษอย่างจริงจัง ซึ่งในปัจจุบันนี้ (พ.ศ.2548-9) รัฐบาลพม่าก็ยังมิได้
ดำเนินการขจัดการใช้แรงงานบังคับอย่างเพียงพอและจริงจังเท่าที่ควร17
อีกทั้งยังมีผู้ไม่ประสงค์ดีได้ทำการข่มขู่ตัวแทนของ ILO ที่ไปปฏิบัติงาน
ในพม่าด้วย อย่างไรก็ดี ที่ประชุมใหญ่มีมติให้คงดำเนินมาตรการกดดัน
รัฐบาลพม่าต่อไป18 และได้ขยายเวลาให้รฐั บาลพม่าต่อไปอีก 2 ปี นับตัง้ แต่ปี
ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) เพื่อให้มีการปรับปรุงนโยบายภายในประเทศด้าน
แรงงานบังคับ
2.4 ประเทศไทยกับมาตรฐานแรงงาน
ภายใต้ ILO
ประเทศไทยเป็นสมาชิกภาคีขององค์กร ILO และได้ให้สัตยาบัน
แก่อนุสัญญาของ ILO ทั้งสิ้น 14 ฉบับ (ปัจจุบันยกเลิกไป 1 ฉบับ จึงเหลือ
13 ฉบับ) ประกอบด้วย 2 กลุม่ ใหญ่ คือ
(ก) มาตรฐานแรงงานพื ้ น ฐาน รวม 5 ฉบั บ ด้ ว ยกั น ได้ แ ก่
อนุสญ ั ญาฉบับที่ 29 ว่าด้วยการเกณฑ์แรงงานหรือแรงงานบังคับ (ให้สตั ยาบัน
เมือ่ 26 ก.พ. 2512) อนุสญ ั ญาฉบับที่ 100 ว่าด้วยค่าตอบแทนทีเ่ ท่าเทียมกัน
(ให้สัตยาบันเมื่อ 8 ก.พ. 2542) อนุสัญญาฉบับที่ 105 ว่าด้วยการยกเลิก
แรงงานบังคับ (ให้สตั ยาบันเมือ่ 2 ธ.ค. 2512) อนุสญั ญาฉบับที่ 138 ว่าด้วย
อายุขั้นต่ำในการจ้างงาน (ให้สัตยาบันเมื่อ 11 พ.ค. 2547) และ อนุสัญญา
ฉบับที่ 182 ว่าด้วยรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก (ให้สัตยาบัน
เมือ่ 16 ก.พ. 2544)
43
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
44
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
45
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
46
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
สรุป
นับตั้งแต่การประชุมที่เมือง Seattle ประเทศสมาชิก WTO ต่างๆ
ได้หันมาให้ความสนใจองค์กร ILO มากขึ้นในฐานะที่องค์กร ILO เกี่ยวข้อง
กั บ การยกระดั บ มาตรฐานแรงงานของประเทศภาคี รวมถึ ง การให้ ค วาม
ช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ในปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) คณะกรรมการของ ILO
ได้มีการประชุมและมีมติร่วมกันในการพยายามผลักดันให้ประเทศภาคีให้
ความสำคัญกับมาตรฐานแรงงานหลักมากขึ้นและให้กลไกของการดำเนิน
งานของ ILO มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะคณะทำงานร่วมด้านสังคม
(working party social dimension of globalization) และต่างเห็นพ้อง
ต้องกันว่าประเด็นเรื่องการค้าเสรี การจ้างงาน และการลงทุนมีความสัมพันธ์
กั น อย่ า งใกล้ ช ิ ด และคณะทำงานร่ ว มนี ้ ต ้ อ งนำประเด็ น เหล่ า นี ้ ม าศึ ก ษา
เพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวข้องกับการลดปัญหาความยากจน (poverty
reduction) ในประเทศภาคีที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้บทบาทของ
ILO ที ่ ม ี ต ่ อ กรอบนโยบายระหว่ า งประเทศอั น เนื ่ อ งมาจากกระบวนการ
โลกาภิวัฒน์ต้องมีเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
อย่างไรก็ดี Elliott (2000: 7) ตั้งข้อสังเกตว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของ
WTO มีมากกว่าของ ILO เพราะ WTO มีบทลงโทษทีร่ นุ แรงกว่า (เช่น ห้ามการ
นำเข้า) หรือมี "เขีย้ ว (WTO has teeth)" ทีจ่ ะดำเนินการลงโทษได้อย่างชัดเจน
(ซึ่งปรากฏในความตกลงทั้งหลายของ WTO) ส่วน ILO นั้นมีเพียง "ความน่า
เชือ่ ถือ (credibility)" เท่านัน้ ทีจ่ ะใช้บงั คับให้ประเทศต่างๆปฏิบตั ติ าม นอกจากนี้
ILO ต้องพยายามรักษาความน่าเชื่อถือนี้ให้ยาวนานที่สุด และต้องถ่วงดุล
ระหว่างความประสงค์ของ ILO ที่จะยกระดับมาตรฐานแรงงานให้ประชาคม
โลกกับความเสียหายหรือต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการผลักดันเรียกร้องให้
ประเทศต่างๆปฏิบัติตามอนุสัญญา (ซึ่งมีแนวโน้มว่ายากที่จะชนะประเทศ
เหล่านี้ได้) การต่อสู้กับการถ่วงดุลดังกล่าวนี้ ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์
(creativity) กับการสร้างนวัตกรรม (innovation) ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นใน
47
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
àªÔ§ÍÃö
1
นอกจากนี้ประเทศไทยยังให้ความร่วมมือในอนุสัญญาหรือข้อตกลงระหว่าง
ประเทศทีเ่ กีย่ วกับสิทธิมนุษยชนอีกหลายฉบับ เช่น อนุสญั ญาว่าด้วยสิทธิทางการเมืองของ
สตรี ค.ศ. 1952 อนุสญ ั ญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบตั สิ ตรีในทุกรูปแบบ ค.ศ. 1979 และ
อนุสญั ญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1985 เป็นต้น [บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒ,ิ 2548: 19]
ความแตกต่างระหว่างอนุสญ
2
ั ญากับข้อเสนอแนะคือ "อนุสญ ั ญา" เป็นเครือ่ งมือที่
กำหนดขึ ้ น เพื ่ อ สร้ า งข้ อ ผู ก พั น ให้ แ ก่ ป ระเทศต่ า งๆที ่ ไ ด้ ใ ห้ ส ั ต ยาบั น แก่ อ นุ ส ั ญ ญานั ้ น
ส่วน "ข้อเสนอแนะ" ถูกกำหนดขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ
ให้แก่ประเทศต่างๆโดยไม่สร้างข้อผูกพันใดๆ
"Freedom of association is the right of workers and employers: to
3
and for which the person has not volunteered. "'Menace pf penalty' includes loss of
rights or privileges as well as penal sanctions." [ILO, 1988; และ Swinnerton, 1997:
76]
48
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
6
ทั้งนี้ไม่รวมไปถึง (ก) การเกณฑ์เพื่อราชการทหารตามกฎเกณฑ์ระเบียบ
ที่กำหนด (ข) งานหรือบริการใดๆซึ่งรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่พลเมืองดีโดยปกติ
ประชาชนต้องปฏิบัติ (ค) งานหรือบริการใดๆซึ่งเกณฑ์จากบุคคลใดๆอันเนื่องมาจาก
การตัดสินลงโทษโดยบุคคลนั้นมิได้ถูกจ้างหรือถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้อำนาจจัดการ
ของสมาคมบริษัทหรือบุคคลซึ่งเป็นเอกชน (ง) งานหรือบริการใดซึ่งเรียกเกณฑ์ในกรณี
ฉุกเฉิน และ (จ) บริการต่างๆของชนกลุม่ น้อยซึง่ ดำเนินงานโดยสมาชิกเพือ่ ประโยชน์โดยตรง
ของชุมชนนัน้ เอง
กฎหมายหรือระเบียบภายในประเทศอาจอนุญาตให้มีการจ้างงานหรือทำงาน
7
50
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
51
µ¦µ¸É 2 媦³Á«¸É¨µ¤Ä°»´µ¸ÉÁ¸É¥ª
o°´
¤µ¦µÂ¦µ®¨´
° ILO
´¸É °»´µ 媦³Á«¸ÉÄ®o
´¥µ´
C87 Freedom of Association 138
C98 Rights to Organise and Collective Bargaining 150
C29 Prohibition of Forced Labour 159
C105 Abolition of Forced Labour 157
C100 Equal Remuneration 1951 162
C111 Prohibition of Discrimination 1958 152
C138 Minimum Employment Age 115
C182 Worst Forms of Child Labour, 1999 158
¸É¤µ: www. ilo.org
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
53
º··Õè 3
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ìÃÐËÇèÒ§
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº
¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กร
ระหว่างประเทศขึ้นมาเพื่อความสันติสุข และเพื่อเร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ของประเทศที่ตกอยู่ในภาวะสงครามและได้รับผลกระทบจากสงคราม เช่น
การจั ด ตั ้ ง องค์ ก ารสหประชาชาติ (UN) และการจั ด ตั ้ ง องค์ ก ารการค้ า
ระหว่างประเทศ (International Trade Organization: ITO) ภายใต้กฎบัตร
ฮาวานา (Havana Charter) เพื่อส่งเสริมการค้าเสรีระหว่างประเทศ ตามร่าง
กฎบั ต รฮาวานานี ้ ได้ ม ี ก ารกล่ า วถึ ง ประเด็ น ด้ า นมาตรฐานแรงงานไว้ ใ น
มาตรา 7 ว่า
" (1) ประเทศสมาชิกมีผลประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ
เพื ่ อ บรรลุ ถ ึ ง หรื อ คงไว้ ซ ึ ่ ง มาตรฐานแรงงานที ่ เ ป็ น ธรรมซึ ่ ง จะส่ ง
ผลถึ ง ประสิ ท ธิ ภ าพในการผลิ ต การพั ฒ นาระดั บ ค่ า จ้ า งและ
สภาพการทำงานให้ดีขึ้น สภาพการทำงานที่ไม่เป็นธรรมย่อมสร้าง
ปั ญ หาต่ อ การค้ า ระหว่ า งประเทศ ดั ง นั ้ น ประเทศสมาชิ ก แต่ ล ะ
ประเทศจึงควรดำเนินการตามความเหมาะสมและเท่าที่จะกระทำ
ได้เพื่อขจัดความไม่เป็นธรรมนั้นภายในอาณาเขตประเทศตน
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
56
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ดังนั้นในบทนี้ จึงเป็นการรวบรวมผลการศึกษาวิจัยในอดีตที่กล่าว
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างมาตรฐานแรงงานหลักกับการค้าระหว่างประเทศ
(หัวข้อ 3.1) ผลประโยชน์ที่ได้จากการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลักอย่าง
เข้มงวดในประเทศกำลังพัฒนาจะเป็นอย่างไร (หัวข้อ 3.2) และจะทำให้
ความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศกำลังพัฒนาลดลงหรือไม่
(หัวข้อ 3.3) ตลอดจนมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าเพื่อตอบโต้การละเลย
การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลักนั้น จะเป็นผลดีหรือผลเสียต่อประเทศ
กำลังพัฒนาในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของลูกจ้างหรือไม่ (หัวข้อ 3.4)
3.1 ความสัมพันธ์ระหว่างการค้า
ระหว่างประเทศและมาตรฐานแรงงาน
โดยทฤษฎี ก ารค้ า ระหว่ า งประเทศแบบเสรี น ั ้ น ได้ ก ล่ า วถึ ง เรื ่ อ ง
แรงงานและค่าจ้างแรงงานไว้ว่า ถ้าสมมติไม่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่าง
ประเทศ ก่ อ นเปิ ด การค้ า เสรี อั ต ราค่ า จ้ า งของแรงงานแต่ ล ะประเทศถู ก
กำหนดโดยอุปทานและอุปสงค์ของแรงงานที่เกิดขึ้นภายในประเทศ อันอาจ
ทำให้คา่ จ้างแรงงานของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน (โดยสมมติให้ปจั จัยอืน่ ๆคงที)่
ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน และในที่สุด
ราคาสินค้าของแต่ละประเทศก็ย่อมไม่เท่ากันนั่นเอง ดังนั้น ถ้ามีการเปิด
การค้ า เสรี แ ล้ ว ภายหลั ง การค้ า เสรี จ ะทำให้ ม ี ก ารเคลื ่ อ นย้ า ยสิ น ค้ า จาก
ประเทศที ่ ม ี ส ิ น ค้ า ราคาถู ก ไปยั ง ประเทศที ่ ม ี ส ิ น ค้ า ราคาแพง กล่ า วคื อ
ประเทศใดมีต้นทุนในการผลิตต่ำ (สมมติประเทศ A) จะสามารถผลิตสินค้า
ส่งออกไปขายยังประเทศทีม่ ีตน้ ทุนการผลิตสูง (สมมติประเทศ B) ซึง่ ส่งผลให้
ประเทศ A และ B ได้รบั ประโยชน์ทง้ั คู่ โดยประเทศ A สามารถเพิม่ ผลผลิตและ
สินค้าของตนจะมีราคาสูงขึ้น เพราะมีอุปสงค์จากประเทศ B ส่วนประเทศ B
จะลดการผลิตภายในประเทศเล็กน้อย แต่สามารถสั่งซื้อจากประเทศ A
ได้ในราคาต่ำกว่าต้นทุนที่ตนผลิตเอง ซึ่งจะทำให้ประชาชนในประเทศ B
ได้รับสวัสดิการสูงขึ้น (มีสินค้าบริโภคเพิ่มขึ้นและซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง)
57
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
58
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
59
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
60
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
จากประเทศที่มีมาตรฐานแรงงานต่ำในราคาที่แพงกว่าเดิม การลดลงของ
สวัสดิการผู้บริโภค (consumers' welfare) มักมีขนาดใหญ่กว่าการเพิ่มขึ้น
ของสวัสดิการผู้ผลิต (producers' welfare) และของสวัสดิการคนงานในภาค
อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น
การศึกษาเชิงประจักษ์จากกลุ่มประเทศ OECD ของ Van Beers
(1998) นอกจากจะสนใจเรื่องการเคลื่อนย้ายสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นแล้ว
ยังแยกแยะผลกระทบตามประเภทของแรงงานอีกด้วย โดยแบ่งออกเป็น
แรงงานไร้ฝีมือหรือฝีมือต่ำกับแรงงานมีฝีมือหรือฝีมือสูง โดยมีสมมติฐานว่า
ถ้าการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานเข้มข้นกวดขันอย่างจริงจังจะมีผลทำให้
ต้นทุนด้านแรงงานสูงขึ้น และต้นทุนแรงงานมีฝีมือมักจะสูงกว่าแรงงาน
ไร้ฝีมือ 2 ดังนั้น การใช้มาตรฐานแรงงานน่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อทั้ง
แรงงานมีฝีมือและไร้ฝีมือในสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น3 ผลจากการศึกษา
พบว่า
(ก) โดยทั่วไปความเข้มข้นและความเข้มงวดของมาตรฐาน
แรงงานทั้งในประเทศผู้ส่งออกและประเทศผู้นำเข้ามิได้มีผลกระทบต่อกระแส
การเคลือ่ นย้ายสินค้าระหว่างประเทศ (trade flow) อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติ
(ข) ในการค้ า ขายสิ น ค้ า ที ่ ใ ช้ แ รงงานเข้ ม ข้ น หากประเทศ
ที ่ ใ ช้ แ รงงานมี ฝ ี ม ื อ และมี ม าตรฐานแรงงานเข้ ม งวดมี แ นวโน้ ม จะส่ ง ออก
สินค้านั้นน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(ค) หากประเทศส่งออกบังคับใช้มาตรฐานแรงงานเข้มงวด
มากขึ้น การส่งออกสินค้าที่ใช้ทุน (เครื่องจักร) เข้มข้นร่วมกับแรงงานมีฝีมือ
จะลดลง เพราะแรงงานมีฝีมือกับสินค้าทุนเป็นสินค้าประกอบกัน (comple-
mentary) ในการผลิต ในขณะทีก่ ารส่งออกสินค้าทีใ่ ช้ทนุ เข้มข้นร่วมกับแรงงาน
ไร้ฝีมือจะเพิ่มขึ้น (เพราะสินค้าทุนและแรงงานไร้ฝีมือเป็นสินค้าทดแทนกัน
(substitute) ในการผลิต) และ
(ง) การเพิ่มความเข้มงวดของมาตรฐานแรงงานในประเทศ
ผูน้ ำเข้ามิได้ทำให้ผบู้ ริโภคหันไปซือ้ สินค้านำเข้า (ทีม่ มี าตรฐานแรงงานต่ำกว่า)
61
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะราคาสินค้าภายในขยับสูงขึ้นไม่มาก
นักก็ได้
สำหรับการศึกษาเชิงประจักษ์ในเกาหลีใต้ของ Lee (2000) พบว่า
การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลักไม่มบี ทบาทสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศ
อย่างมีนัยสำคัญ เพราะการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงานในเกาหลีใต้มาจาก
ภาวะตลาดแรงงานภายในประเทศมากกว่ า เนื ่ อ งจากก่ อ น ค.ศ. 1987
เกาหลีใต้มีกฎหมายห้ามก่อตั้งสหภาพแรงงานหรือการต่อรองกับฝ่ายนายจ้าง
แม้ว่าต่อมาได้มีการอนุญาตให้มีการก่อตั้งสหภาพแรงงานแล้ว แต่อัตรา
ค่าจ้างแรงงานก็มิได้สูงมากพอที่จะลดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า
นอกจากนี้จากประสบการณ์ของเกาหลีใต้พบว่า เมื่อเศรษฐกิจของตนยิ่ง
เกี ่ ย วข้ อ งกั บ การค้ า ระหว่ า งประเทศมากขึ ้ น เท่ า ใด มาตรฐานแรงงาน
ของเกาหลี ใ ต้ ก ็ ย ิ ่ ง มี ก ารยกระดั บ ให้ ส ู ง ขึ ้ น เรื ่ อ ยๆ เพราะเมื ่ อ เศรษฐกิ จ
เจริ ญ เติ บ โต ระดั บ การพั ฒ นาสู ง ขึ ้ น กลุ ่ ม แรงงานและภาครั ฐ บาลให้
ความสำคัญกับมาตรฐานแรงงานหลักมากขึ้น เกาหลีใต้เข้าร่วมเป็นสมาชิก
ของ ILO เมื่อ ค.ศ. 1991 และได้เข้าเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งแน่นอนว่า
เกาหลีใต้ต้องปรับปรุงมาตรฐานแรงงานภายในประเทศของตนให้สอดคล้อง
หรือใกล้เคียงกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
การศึกษาเชิงประจักษ์ของ 58 ประเทศในกลุ่ม non-OECD ของ
Hasnat (2002) พบว่า การคุ้มครองสิทธิแรงงานในการก่อตั้งองค์กรและ
การเจรจาต่อรอง มีความสัมพันธ์เชิงลบกับการส่งออก (การส่งออกจาก
ประเทศในกลุ่ม non-OECD ไปยังกลุ่มประเทศ OECD) อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ ไม่ว่าระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้จะเป็น
อย่ า งไรก็ ต าม (โดยศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บระหว่ า งประเทศที ่ ม ี ร ายได้ ต ่ ำ กั บ
ประเทศที่มีรายได้สูง) ซึ่งตรงกันข้ามกับผลการศึกษาของ Mah (1997)
ที่พบว่า การก่อตั้งสหภาพแรงงานไม่มีความสัมพันธ์กับการส่งออก ส่วน
มาตรฐานแรงงานหลักประเภทอื่นๆนั้นไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกของ
ประเทศเหล่านี้ ซึง่ สอดคล้องกับของ OECD (1994) ทีว่ า่ ไม่พบความสัมพันธ์
ใดๆระหว่างการค้ากับมาตรฐานแรงงาน
62
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
63
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
64
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
กล่าวโดยสรุป ความสัมพันธ์ระหว่างการค้าระหว่างประเทศ
และมาตรฐานแรงงานนั้นมีความไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย
ได้แก่ มิติหรือประเภทของมาตรฐานแรงงาน ปัจจัยกำหนดมาตรฐานแรงงาน
และ ตั ว แปรที ่ เ ป็ น ดั ช นี ห รื อ ตั ว บ่ ง ชี ้ ข องมาตรฐานแรงงานแต่ ล ะประเภท
ปัจจัยทีม่ คี วามสำคัญมากทีส่ ดุ คือ คำนิยามเรือ่ ง "มาตรฐานแรงงาน" ทีใ่ ช้ หรือ
การหยิบยกประเภทของมาตรฐานแรงงานมาวิเคราะห์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ
คำนิยามของ "มาตรฐานแรงงาน" ที่ใช้ทั่วไปมีความหมายกว้างและอาจ
ไม่สอดคล้องกันในแต่ละหมู่นักวิชาการและนักเคลื่อนไหว ในบางกลุ่มเห็นว่า
มาตรฐานแรงงานควรครอบคลุมถึงกฎระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสภาพ
การทำงาน (working conditions) ขณะทีอ่ กี กลุม่ หนึง่ เห็นว่ามาตรฐานแรงงาน
ควรครอบคลุมถึงการบังคับใช้แรงงานเด็กด้วย และสิทธิขั้นพื้นฐานของ
แรงงานในการจัดตั้งสมาคม เป็นต้น ซึ่งคำนิยามประการหลังนี้สอดคล้องกับ
แนวความคิดของสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ส่วนมาตรฐานแรงงาน
ทีเ่ กีย่ วกับค่าจ้างขัน้ ต่ำ (minimum wage) หรือคุม้ ครองทางสังคม (social pro-
tection) มิ ไ ด้ เ กี ่ ย วข้ อ งกั บ สิ ท ธิ ม นุ ษ ยชนโดยตรง แต่ ม ี ค วามสั ม พั น ธ์
อย่างใกล้ชิดหรือมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (endogenous) กับระดับการ
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศนัน้ ๆ [Torres, 1996: 10]
นอกจากนี้ การที่ข้อมูลเชิงประจักษ์ทางด้านการบังคับใช้มาตรฐาน
แรงงานหลัก อาจหาได้ยากโดยมีสาเหตุมาจาก 5 ปัจจัย ได้แก่ [Torres, 1996:
11; และ Van Beers, 1998: 59-60]
ประการแรก หลายประเทศมีการปกครองแบบเผด็จการ เช่น
จีน อิหร่าน พม่า และ ซีเรีย ซึง่ รัฐบาลในประเทศเหล่านีไ้ ม่ให้ความสนใจเรือ่ ง
มาตรฐานแรงงานหลักเท่าใดนัก
ประการที่สอง หลายประเทศขาดเครือ่ งมือ เงินทุน และบุคลากร
ในการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลัก เช่น อินเดีย
ประการที่สาม บางประเทศดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุน
จากต่างประเทศหรือเขตเศรษฐกิจส่งเสริมการส่งออก (export-processing
66
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
zone) ด้วยการไม่อยากยกระดับมาตรฐานแรงงานของตนให้เทียบเท่ากับ
ระดับสากล เช่น บังคลาเทศ ศรีลังกา จาไมก้า ปากีสถาน ปานามาและตุรกี
เป็นต้น
ประการที่สี่ ข้อมูลด้านมาตรฐานแรงงานมีจำกัด โดยเฉพาะ
ในประเทศกำลังพัฒนา และ
ประการที่ห้า มาตรฐานแรงงานมี ห ลายมิ ต ิ แ ละมี ด ั ช นี ช ี ้ ว ั ด
หลายตัว รวมทั้งการวัดหรือการนิยามความเข้มงวดของมาตรฐานแรงงาน
แต่ละประเภทก็ค่อนข้างยาก
3.2 ผลประโยชน์ของการใช้มาตรฐานแรงงาน
ในประเทศกำลังพัฒนา
ประเด็ น สำคั ญ ของข้ อ ขั ด แย้ ง ระหว่ า งประเทศพั ฒ นาแล้ ว กั บ
ประเทศกำลังพัฒนา ในการนำเรื่องมาตรฐานแรงงานเข้าสู่เวทีการค้าระหว่าง
ประเทศ คือ การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานในประเทศกำลังพัฒนา จะทำให้
เกิดประสิทธิภาพของสังคม (efficiency) สูงขึ้นหรือไม่ และสังคมของประเทศ
กำลังพัฒนานั้นจะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นหรือไม่ (เช่น ความยากจนน้อยลง
หรือไม่)
ความสัมพันธ์ระหว่างมาตรฐานแรงงานกับการเจริญเติบโตทาง
เศรษฐกิจนั้นมีอย่างน้อย 2 แนวคิดใหญ่ๆคือ แนวคิดแรกเชื่อว่า การบังคับใช้
มาตรฐานแรงงานประเภทกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ (minimum wage)
จะกระตุ ้ น ให้ เ กิ ด การเจริ ญ เติ บ โตทางเศรษฐกิ จ หรื อ เรี ย กว่ า wage-led
growth เพราะเหตุว่าเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพขายแรงงานได้รับ
ค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างพอยังชีพ (subsistence wage หรือ reservation
wage) ย่อมเป็นการส่งเสริมอำนาจซื้อให้กับประชาชนหรือเป็นการยกระดับ
อุปสงค์มวลรวม (aggregate demand) เมือ่ ประชาชนสามารถจับจ่ายใช้สอย
67
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
68
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
69
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
70
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
71
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
72
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
73
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
74
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
75
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
76
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
3.3 มาตรฐานแรงงานกับความสามารถ
ในการแข่งขันทางการค้า
ด้วยเหตุที่นักวิชาการบางรายมีทัศนคติว่า การที่ประเทศพัฒนาแล้ว
รีบเร่งหรือกระตุ้นให้ประเทศกำลังพัฒนาออกมาตรการบังคับใช้มาตรฐาน
แรงงานที่มีระดับหรือเงื่อนไขเหมือนของประเทศพัฒนาแล้ว เป็นการกระจาย
รายได้ (redistribution of wage income) จากคนงานของประเทศกำลังพัฒนา
ไปยังคนงานในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นการสนับสนุนแนวคิดที่ว่า การนำ
ประเด็นเรื่องมาตรฐานแรงงานเข้าสู่เวทีการเจรจาการค้านั้นอาจเป็นการ
กลายเป็นการกีดกันทางการค้าแบบแอบแฝง (disguised protectionism)
ก็ได้ [Heintz, 2002: 4] คำถามจึงเกิดขึ้นว่า มาตรฐานแรงงานจะกลายเป็น
เครื่องมือในการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศได้หรือไม่ การกีดกันทาง
การค้าลักษณะนี้จะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการส่งออกสินค้า
หรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานในการค้าระหว่าง
ประเทศ จะทำให้ประเทศนั้นสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน (competi-
tiveness) หรือไม่
การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลักจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตได้
อย่างไรนั้นต้องพิจารณาเป็นกรณีๆได้ดังนี้
(1) การมีเสรีภาพในการจัดตั้งสหภาพแรงงานนั้น เพื่อให้กลุ่ม
ผู้ใช้แรงงานมีองค์กรที่จะใช้ในการเจรจาต่อรองกับฝ่ายนายจ้าง โดยเฉพาะ
การเรียกร้องให้ขึ้นค่าจ้างเพื่อความอยู่รอด และการเรียกร้องสวัสดิการและ
สวัสดิภาพภายในโรงงานหรือสถานประกอบการ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต
และทรัพย์สิน ดังนั้น มาตรฐานแรงงานประเภทนี้มีแนวโน้มจะทำให้ค่าจ้าง
แรงงานสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการให้สวัสดิการ (ค่ารักษาพยาบาล ค่า
เล่าเรียนบุตร) และการรักษาความปลอดภัยเพิม่ ขึน้ ซึง่ ส่งผลให้ตน้ ทุนการผลิต
ทั้งหมดสูงขึ้น
77
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
78
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
79
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
80
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ มีความสัมพันธ์กับการลดลงของการส่งออกของ
ประเทศอย่ า งมี น ั ย สำคั ญ ทางสถิ ต ิ ในขณะที ่ ไ ม่ พ บความสั ม พั น ธ์ เ ชิ ง ลบ
ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงกว่า 2,100 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้อาจอธิบายได้ว่า
การปฏิบัติตามอนุสัญญา อาจจะส่งผลให้ต้นทุนด้านแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งย่อม
ส่งผลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ในการแข่งขันทางการค้า
ในตลาดโลก (เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มิได้พึ่งพิงการส่งออกสินค้าที่ใช้
แรงงานเข้มข้น) ยิ่งกว่านั้น การลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานบังคับ
ก็มิได้มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการส่งออกของประเทศ
กำลังพัฒนาที่ยากจน และ
(จ) โดยรวมแล้ว การส่งออกที่ลดลงของประเทศกำลังพัฒนา
ไม่น่าจะเป็นผลมาจากการบังคับใช้มาตรฐานแรงงาน แต่น่าจะเป็นผลมาจาก
ปัจจัยอืน่ ๆ เช่น ต้นทุนด้านดอกเบีย้ ระดับการพัฒนาประเทศ ระดับเทคโนโลยี
เป็นต้น
การศึกษาเชิงทฤษฎีของ Martin and Maskus (1999) ก็ให้ผล
เช่นเดียวกับของ Mah (1997) กล่าวคือ
(ก) การฝ่ า ฝื น มาตรฐานแรงงานด้ า นการเลื อ กปฏิ บ ั ต ิ ใ น
อุตสาหกรรมส่งออก จะทำให้การจ้างงาน ผลผลิต และ ความสามารถในการ
แข่งขันลดลง
(ข) ถ้ า การให้ เ สรี ภ าพในการก่ อ ตั ้ ง สมาคมและการรวมตั ว
เพื่อเจรจาต่อรอง ทำให้มีการเรียกร้องค่าจ้างแรงงานให้สูงขึ้นและเรียกร้อง
ให้ลดเวลาการทำงานลง (ลดการผลิตลง) การยกเลิกมาตรฐานแรงงานนี้
จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และ
(ค) ถ้าอุตสาหกรรมส่งออกเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (ผู้ผลิต
และผูบ้ ริโภคไม่มอี ำนาจในการตัง้ ราคา - price takers) ดังนัน้ การให้เสรีภาพ
ในการตั ้ ง สมาคมและการเจรจาต่ อ รอง ก็ อ าจจะทำให้ ผ ลผลิ ต และความ
สามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ซึ่งเป็นหนทาง
เดียวที่แรงงานจะได้รับค่าจ้างหรือรายได้เพิ่มขึ้น
81
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
82
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
3.4 มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าเพื่อตอบโต้
การไม่บังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลัก
หากมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้า (trade sanction) กับ
ประเทศที่มิได้มีการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลัก มาตรการคว่ำบาตร
ทางการค้ า นี ้ จ ะสร้ า งผลเสี ย ต่ อ ประเทศผู ้ ส ่ ง ออก (ประเทศกำลั ง พั ฒ นา)
หรือไม่ และอย่างไร
การศึกษาของ Salazar-Xirinachs (2000) วิพากษ์ว่า การใช้
มาตรการคว่ำบาตรทางการค้า ตอบโต้ประเทศที่ไม่ยอมบังคับใช้มาตรฐาน
83
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
แรงงานหลักอย่างเข้มงวดนั้น จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนา
ของประเทศ และลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศนั้นๆ
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของ Hefeker and Wunner (2002) บ่งบอกว่า
ความต้องการให้ประเทศคู่แข่งยกระดับมาตรฐานแรงงานนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย
หลายอย่ า งและมี ค วามแตกต่ า งกั น ไปตามประเภทของผู ้ ป ระกอบการ
ดังนั้น การใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าจากประเทศพัฒนาแล้ว อาจ
สร้างความไม่พอใจแก่บริษัทข้ามชาติที่มีฐานการผลิตในประเทศกำลังพัฒนา
เหล่านี้ได้
ในการศึกษาเรื่องมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าต่อประเทศที่ไม่มี
การบั ง คั บ ใช้ ม าตรฐานแรงงานหลั ก อย่ า งเข้ ม งวดนั ้ น นั ก วิ ช าการมั ก ให้
ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานแรงงานที่เกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็ก มากกว่า
มาตรฐานแรงงานประเภทอื่นๆ ดังเช่น การศึกษาของ Rollo and Winters
(2000) และของ Jafarey and Lahiri (2002) ซึง่ สามารถสรุปใจความสำคัญ
ได้ดังนี้
มาตรการคว่ำบาตรทางการค้า ทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง
ส่ ง ผลต่ อ รายได้ ข องครอบครั ว คนงานหรื อ ลู ก จ้ า งลดลงและส่ ง ผลต่ อ การ
เพิม่ ขึน้ ของการใช้แรงงานเด็ก เนือ่ งด้วยปัจจัย 3 ประการ ได้แก่
ประการแรก เรียกว่า ผลการทดแทน (substitution
effect) กล่าวคือ เมื่อรายได้จากการทำงานลดลง ดังนั้น ต้นทุนเสียโอกาส
(opportunity cost) ในการส่งเด็กเข้าโรงเรียนลดลงผู้ปกครองจึงให้เด็กไป
เรียนหนังสือ
ประการที่สอง เรียกว่า ผลทางรายได้ (income effect)
กล่าวคือเนื่องจากเดิมมีระดับรายได้ต่ำ ดังนั้น ถ้าต้องส่งเด็กไปเรียนหนังสือ
รายได้ จ ะลดลง และอรรถประโยชน์ ห รื อ ความพึ ง พอใจของผู ้ ป กครองจะ
ลดลงด้วย และ
84
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
85
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ประการที่สอง การใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้า
อาจไม่เหมาะสมหรือเกินความจำเป็นในการส่งเสริมมาตรการห้ามใช้แรงงาน
เด็กในการผลิต เพราะจะยิ่งเป็นการทำร้ายเด็กทางอ้อมกล่าวคือ จะทำให้
ภาคเศรษฐกิจการส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานเด็กล่มสลาย ผู้ประกอบการ
อาจต้องเลิกจ้างงานเด็กแล้วหันไปจ้างแรงงานผู้ใหญ่ (ถ้าต้องการส่งสินค้า
ไปยังประเทศพัฒนาแล้ว) ซึ่งอาจจะทำให้เด็กและครอบครัวเผชิญปัญหา
ความยากจน และมีความเป็นไปได้ยากมากที่เด็กจะหันกลับไปเรียนหนังสือ
ถ้าถูกเลิกจ้าง แรงงานเด็กที่ถูกเลิกจ้างเหล่านี้ก็จะพยายามหางานใหม่ที่
ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกหรือเกี่ยวข้องน้อยที่สุด ซึ่งอาจ
เป็นอาชีพทีเ่ ป็นอันตรายมากกว่าและจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าภาคเศรษฐกิจทีเ่ กีย่ วข้อง
กับการส่งออก เช่น การรับจ้างเก็บขยะ การขายบริการทางเพศ เป็นต้น14
การศึกษาเชิงทฤษฎีของ Jafarey and Lahiri (2002) ยืนยันให้
เห็ น ว่ า การดำเนิ น มาตรการคว่ ำ บาตรทางการค้ า จะส่ ง ผลให้ เ กิ ด ความ
ยากจน และผลักดันให้ครอบครัวส่งเด็กออกไปหางานทำมากขึ้น ดังนั้น
มาตรการคว่ ำ บาตรทางการค้ า แทนที ่ จ ะช่ ว ยแก้ ป ั ญ หาเรื ่ อ งมาตรฐาน
แรงงานกลับเป็นการทำให้ปัญหาเรื่องมาตรฐานแรงงานแย่ลงไปอีก โดย
เฉพาะปัญหาการใช้แรงงานเด็ก อนึ่ง ปัญหาแรงงานเด็กจะหมดไปก็ต่อเมื่อ
มีปจั จัยอืน่ ๆสนับสนุน เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเงินกู้ (credit market) ของ
ครอบครัวยากจนนั้นเพื่อที่ผู้ปกครองจะได้นำเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัว
และส่งเด็กเข้าเรียนตามปกติ (ถ้าสมมติให้มีการกระจายระบบการศึกษา
อย่างทั่วถึง)
ในประเด็นการหลีกเลี่ยงข้อโต้แย้งเรื่องการเป็นเครื่องมือในการ
กีดกันทางการค้า และ เรื่องความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของ
ประเทศผู้ส่งออก ดังกล่าวข้างต้นนั้น มีนักวิชาการบางท่านได้เสนอให้ใช้
มาตรการอื่นแทนมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า นั่นคือ มาตรการติดฉลาก
(labeling scheme) เช่น การศึกษาของ Beaulieu and Gaisford (2002)
และ Brown (2004) ซึ่งพอสรุปผลการศึกษาของงานทั้งสองชิ้นได้ดังนี้
86
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
87
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ที่ไม่มีฉลากแรงงานมากกว่า ทั้งๆที่ผู้บริโภคก็ยังมีจิตสำนึกต่อต้านการกดขี่
แรงงานอยู่ในใจก็ตาม
ดั ง นั ้ น การบั ง คั บ ใช้ ม าตรฐานแรงงาน (ในกระบวน
การผลิต) กับสินค้านำเข้า อาจส่งผลกระทบต่อสวัสดิการสังคมเฉกเช่นกรณี
การห้ามนำเข้าทั้งหมด (full embargo) หรือกรณีการห้ามนำเข้าบางส่วน
(partial embargo) อีกทัง้ ยังเป็นการขัดต่อหลักการของ GATT/WTO อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ Beaulieu and Gaisford จึงเสนอว่า การเปิดโอกาสให้ผู้บริโภค
เป็นผู้ตัดสินใจเลือกสินค้าด้วยระบบการติดฉลากด้านแรงงาน (และด้าน
สิ่งแวดล้อม) ย่อมเป็นมาตรการที่น่าจะส่งเสริมมากกว่ามาตรการจำกัด
การนำเข้าหรือมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า
อย่างไรก็ดี Brown (2004) ตั้งข้อสังเกตว่า การใช้กลไกตลาด
โดยการติดฉลาก โดยเฉพาะการติดฉลากแสดงว่าไม่ได้ใช้แรงงานเด็ก (label
against child labour) บนผลิตภัณฑ์สง่ ออกนัน้ อาจจะไม่เหมาะสม และอาจ
ไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กในประเทศกำลังพัฒนาได้
อย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ผ ล เพราะถึ ง อย่ า งไรเสี ย ประเทศกำลั ง พั ฒ นาก็ ย ั ง มี
ความจำเป็นต้องมีการจ้างแรงงานเด็กอยู่ดี ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 4 ประการ
ได้ แ ก่ ประการแรก เด็ ก ไม่ ม ี อ ำนาจต่ อ รองในครอบครั ว ประการที ่ ส อง
ข้อมูลข่าวสารไม่สมบูรณ์ ระบบการศึกษายังกระจายไม่ทั่วถึง ประการที่สาม
ตลาดแรงงานไม่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ภายในประเทศ และ ประการที่สี่
การบริหารจัดการด้านนโยบายของภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพ ภาคเอกชน
ส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีที่ใช้แรงงานไร้ฝีมือเป็นหลัก ดังนั้น จึงขาดแรงจูงใจ
ให้มีการพัฒนาฝีมือแรงงานและไม่เลิกใช้แรงงานเด็ก
88
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
สรุป
แม้ ว ่ า ประเด็ น ด้ า นมาตรฐานแรงงานที ่ ต ่ ำ จะเป็ น ข้ อ อ้ า งที ่ เ ป็ น
สาเหตุให้ค่าจ้างแรงงานถูกและต้นทุนการผลิตต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในสหรัฐ
อเมริกาและประเทศพัฒนาแล้วจนเป็นแรงกระตุ้นให้มีการผลักดันประเด็น
ด้านกฎหมายแรงงานเข้าสู้เวทีการค้าโลก แต่มาตรฐานแรงงานหลักของ
ILO ที่อ้างอิงในข้อเสนอเรื่องมาตรฐานแรงงานของสหรัฐอเมริกาและประเทศ
พัฒนาแล้วอืน่ ๆนัน้ มีบางมาตรฐานไม่นา่ จะเกีย่ วข้องกับประเด็นทางการค้าได้
เช่น การขจัดโสเภณีเด็กหรือการบังคับใช้แรงงานเด็กเพื่อขายบริการทางเพศ
อันเป็นอาชีพอันตรายและเลวร้ายสำหรับเด็ก และการขจัดหรือการจำกัด
การใช้แรงงานเด็กเพื่อผลิตสินค้าส่งออกนั้น ก็มีเป้าหมายหลักเพื่อคุ้มครอง
สวัสดิภาพและสิทธิมนุษย์ชนของเด็กมากกว่าประเด็นการแข่งขันทางการค้า
ที่ไม่เป็นธรรม16 นอกจากนี้การศึกษาเชิงประจักษ์ในอดีตทั้งหลายไม่สามารถ
นำมายืนยันความสัมพันธ์ระหว่างมาตรฐานแรงงานกับการค้าระหว่างประเทศได้
อย่างชัดเจนว่าจะเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ยิ่งกว่านั้น การลงนาม
ในอนุสัญญา (ที่ใช้เป็นตัวแปรในการศึกษาต่างๆนั้น) มิได้เป็นสัญญาณ
บ่งบอกว่าประเทศนั้นมีการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลักอย่างเข้มงวด
ดั ง นั ้ น เรื ่ อ งมาตรฐานแรงงานในการเจรจาทางการค้ า ระหว่ า ง
ประเทศนั้น จึงประกอบไปด้วย มุมมอง 2 ด้าน ด้านหนึ่ง เล็งประโยชน์ทาง
เศรษฐกิจ หรือ ความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและความอยู่รอดของ
ผู้ประกอบการหรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ในอีกด้านหนึ่ง เล็งถึงศีลธรรม (moral)
และการคุ้มครองกลุ่มบุคคลที่ด้อยโอกาสและถูกกลั่นแกล้งเอารัดเอาเปรียบ
ซึ่งมุมมองทั้งสองนี้อาจมีความขัดแย้งกัน ยกตัวอย่างเช่น การคุ้มครองหรือ
การห้ า มใช้ แ รงงานเด็ ก อาจจะเป็ น การช่ ว ยเหลื อ เด็ ก แต่ อ าจทำให้ เ กิ ด
ความยากจนเพิ ่ ม ขึ ้ น ก็ ไ ด้ หรื อ กรณี ท ี ่ ม ิ ใ ห้ ม ี ก ารเลื อ กปฏิ บ ั ต ิ ก ารจ้ า งงาน
ระหว่างเพศชายและเพศหญิง ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้สตรีมีงาน
ทำและเป็ น การเพิ ่ ม อุ ป ทานแรงงานให้ แ ก่ ต ลาดแรงงาน แต่ อ าจเป็ น การ
ผิดประเพณีหรือขัดแย้งกับวัฒนธรรมของบางประเทศได้
89
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
90
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
àªÔ§ÍÃö
เช่น จำนวนอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันกับ ILO จำนวนสิทธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับ
1
กับการใช้แรงงานเด็กและการค้าระหว่างประเทศ นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ในเอกสารวิจัย
ฉบับนี้ นอกจากนีย้ งั ได้ชป้ี ระเด็นเรือ่ งเทคนิคการวิจยั ในอดีตทีป่ ระสบปัญหา Endogeneity
91
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
แสดงให้เห็นว่าการก่อตัง้ สหภาพแรงงานมีผลกระทบเชิงบวกต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในขณะทีก่ ารศึกษาบางชิน้ พบผลกระทบเชิงลบ และการศึกษาบางชิน้ บ่งบอกว่าความสัมพันธ์
ระหว่างสหภาพแรงงานกับตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคมีคอ่ นข้างอ่อน (weak relationship)
[OECD, 1996 และ Blanchflower, 1996-อ้างใน Swinnerton, 1997: 87]
10
อนึ่ง กรณีนี้สามารถพิจารณาปลีกย่อยได้เป็น 2 กรณี ได้แก่ (1) ถ้าเด็กไม่มี
โอกาสเข้าเรียน เนื่องด้วยระบบการศึกษากระจายไปไม่ทั่วถึง ดังนั้น การให้เด็กไปทำงาน
ไม่จัดว่าเป็นการกดขี่แรงงานเด็กหรือเป็นการเอารัดเอาเปรียบเด็ก (2) ถ้าเด็กสามารถ
เข้ า เรี ย นได้ แต่ เ ด็ ก ตั ด สิ น ใจไม่ เ รี ย นเพราะเด็ ก จะได้ ป ระโยชน์ ส ู ง สุ ด (child's best
interest) จากการทำงานมากกว่ า การเข้ า เรี ย น กรณี น ี ้ ก ็ ไ ม่ ถ ื อ ว่ า เป็ น การขู ด รี ด หรื อ
เอารัดเอาเปรียบแรงงานเด็ก
11
สำหรับประเทศพัฒนาแล้วการส่งเสริมการเรียนหนังสือของเด็กจะทำให้สังคม
มีประสิทธิภาพมากกว่าการให้เด็กทำงาน เพราะรายได้ของการทำงานในวัยเด็กน้อยกว่า
ความสู ญ เสี ย ผลิ ต ภาพ (productivity) ของเด็ ก เมื ่ อ เติ บ โตเป็ น ผู ้ ใ หญ่ (ในอนาคต)
เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ
92
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
12
เช่น บางประเทศห้ามใช้แรงงานสตรี (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่นับถือศาสนา
อิสลาม) และการจ่ายค่าจ้างแรงงานแตกต่างกันระหว่างเพศชายและเพศหญิง จะกระตุน้ ให้
แรงงานสตรีออกจากตลาดแรงงาน (เพราะได้รับค่าจ้างต่ำกว่าแรงงานชาย) แล้วหันไป
ประกอบอาชีพส่วนตัวหรือเป็นแม่บ้าน อันส่งผลให้อัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ยในตลาดแรงงาน
(ซึง่ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย) สูงกว่ากรณีไม่มกี ารเลือกปฏิบตั ิ
13
ถ้าสหภาพแรงงานปกป้องคุ้มครองมิให้ม ีการกดขี่แรงงานผลกระทบต่อ
ความสามารถในการแข่งขันนั้นไม่มีความชัดเจน แต่ถ้าสหภาพแรงงานเรียกร้องค่าจ้าง
เป็นหลัก จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันแน่นอน
14
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกกรณีหนึ่งคือกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้อง
กั บ การห้ า มใช้ แ รงงานเด็ ก และแรงงานบั ง คั บ (Hawkins-Sanders Amendment)
ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตน้ำส้ม (orange juice) รายใหญ่ในบราซิล (ซึ่งใช้แรงงานเด็ก)
ต้องเลิกกิจการในบราซิล แล้วหันไปซื้อไร่ส้มในสหรัฐอเมริกาเพื่อผลิตขายในสหรัฐอเมริกา
[Rollo and Winters, 2000: 537] ทำให้แรงงานเด็กจำนวนมากในบราซิลตกงาน
15
Akerlof (1970) กล่าวถึง ตลาดมะนาวที่มีคุณภาพต่างกัน (ซึ่งไม่สามารถ
จำแนกได้ด้วยตาเปล่า) แต่ต้องเผชิญกับระดับราคาเดียวกัน จึงทำให้มะนาวที่มีคุณภาพดี
(แต่มตี น้ ทุนการผลิตสูง) ถูกมะนาวทีม่ คี ณ
ุ ภาพต่ำ (ต้นทุนการผลิตต่ำ) ครองตลาด จนเกิดวลี
"Bads drive out goods."
16
การใช้แรงงานเด็กทำให้ต้นทุนค่าจ้างต่ำกว่าแรงงานผู้ใหญ่ซึ่งทำให้สินค้า
ที่ใช้แรงงานเด็กในการผลิตสามารถขายได้ในราคาที่ต่ำกว่า
93
º··Õè 4
ÊËÃÑ°ÍàÁÃÔ¡ÒáÅÐÊËÀÒ¾ÂØâû
¡Ñº¡ÒáÓ˹´ÁÒμðҹáç§Ò¹
ã¹ÃÐàºÕº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
4.1 มาตรฐานแรงงานในสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญแก่การคุ้มครองแรงงาน
ประเทศหนึ่ง โดยพิจารณาจากกฎหมายด้านแรงงาน เช่น รัฐบัญญัติว่าด้วย
การจ้างงานที่เป็นธรรม (The Fair Labor Standard Act)1 และรัฐบัญญัติ
ว่าด้วยอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (The Occupation Safety and Health
Act) เป็นต้น [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 38] อีกทัง้ มีการกำหนดกฎหมายแรงงาน
เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานหลายฉบับ อาทิ ข้อปฏิบัติในสถานประกอบการ
(Workplace Code of Conduct) และมาตรฐานแรงงานว่ า ด้ ว ย
ความรับผิดชอบทางสังคม (Social Accountability 8000: SA 8000) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรฐานแรงงานที่กำหนดขึ้นโดยความเห็นชอบ
ของภาคเอกชน ยิ่งกว่านั้นสหรัฐอเมริกายังได้พยายามเสนอแนวคิดเรื่อง
การเชื่อมโยงประเด็นการคุ้มครองแรงงานเข้ากับการดำเนินการทางการค้า
ระหว่างประเทศในฐานะเป็นข้อกำหนดทางสังคม (social clauses) อีกด้วย
96
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
97
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
98
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
99
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
100
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
4.2 บทบาทของสหรัฐอเมริกา
ด้านมาตรฐานแรงงานในการค้า
ระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
นอกจากสหรัฐอเมริกาจะมีการกำหนดมาตรฐานแรงงานบังคับใช้
ภายในประเทศแล้ว ยังมีการบังคับใช้เรื่องมาตรฐานแรงงานเป็นเงื่อนไขใน
การนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา โดยผ่าน
กลไกหรือกฎหมายอย่างน้อย 4 ช่องทาง ซึง่ จะกล่าวพอสังเขป ดังนี้
ระบบทั่วไปว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษ (General
System of Preferences: GSP)4
มาตรฐานแรงงานที่สหรัฐอเมริกานำมาใช้เป็นข้อกำหนดเงื่อนไข
การให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญมี 5 ประการ ได้แก่ (ก)
เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการจัดตั้งองค์การและร่วมเจรจาต่อรอง
(ข) ห้ามการใช้แรงงานบังคับอายุขั้นต่ำในการจ้างแรงงานเด็ก (ค) สภาพการ
ทำงานทีย่ อมรับได้เกีย่ วกับค่าจ้างขัน้ ต่ำ (ง) ชัว่ โมงการทำงาน และ (จ) ความ
ปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานมาตรฐานแรงงานทั้งสามประการ
หลังนี้มิได้ปรากฏอยู่ในมาตรฐานแรงงานหลักของ ILO
เงื่อนไขสำคัญเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานที่สหรัฐอเมริกาจะให้
สิทธิพิเศษ GSP นั้นมีด้วยกัน 2 ประการ ได้แก่ กรณีที่ประเทศนั้นต้อง
ดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้มีการคุ้มครองแรงงานภายในประเทศ และกรณีที่
ประเทศนั้นต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันในอันที่จะขจัดการใช้แรงงานเด็กใน
รู ป แบบเลวร้ า ยที ่ ส ุ ด อย่ า งไรก็ ด ี หากประเทศใดไม่ ป ฏิ บ ั ต ิ ต ามเงื ่ อ นไข
ดังกล่าว แต่สหรัฐอเมริกาก็อาจให้ GSP ได้ถ้าการนำเข้าสินค้านั้นจะเป็น
ประโยชน์ตอ่ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 49-50]
101
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ในการกำหนดเงื่อนไขเรื่องการคุ้มครองแรงงานของสหรัฐอเมริกา
เพื่อให้สิทธิพิเศษ GSP แก่ประเทศผู้ส่งออกนั้น มีข้อพิจารณาว่า กรณีเช่นนี้
จะถือว่าเป็นการขัดต่อหลักการไม่ตา่ งตอบแทน (non-reciprocity) ของมาตรา
36 (8) ของ GATT5 หรือไม่ เนือ่ งจากการให้ GSP แก่ประเทศคูค่ า้ ทีป่ ฏิบตั ติ าม
มาตรฐานแรงงานของสหรั ฐ อเมริ ก า เปรี ย บเสมื อ นเป็ น การคาดหวั ง การ
ตอบแทนจากประเทศคูค่ า้ นัน้ เอง6 [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 46-52]
มาตรา 301 และมาตรา 301พิเศษและมาตรา 301
ซุปเปอร์แห่งรัฐบัญญัตกิ ารค้า ค.ศ. 1974 (Trade
Act of 1974)
เป็นบทบัญญัตติ า่ งตอบแทน ทีส่ ามารถใช้ในการจัดการกับข้อพิพาท
ทางการค้าต่างๆระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้า โดยให้อำนาจ
ทางการค้าระหว่างประเทศแก่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหรือผู้แทนการค้า
สหรัฐอเมริกาในการตัดสินใจว่าพฤติการณ์ในลักษณะใดถือเป็นการปฏิบตั กิ ารค้า
ที่ไม่เป็นธรรม และให้อำนาจในการตอบโต้ทางการค้าต่อประเทศดังกล่าว
ด้วย7 ซึ่งสหรัฐอเมริกาสามารถนำมาตรา 301 นี้มาเป็นข้ออ้างในการตอบโต้
ทางการค้าได้ ถ้าสหรัฐอเมริกาสรุปความว่าการค้าสินค้านั้นๆได้ปฏิบัติ
ทางการค้าอย่างไม่สมเหตุสมผลหรือไม่เป็นธรรม ด้วยการปฏิเสธการคุ้มครอง
สิ ท ธิ แ รงงานตามเกณฑ์ ข องสหรั ฐ อเมริ ก า (ดั ง ได้ ก ล่ า วมาแล้ ว ข้ า งต้ น ) 8
[อร ชวลิต-นิธกิ ลุ , 2548: 53-59]
มาตรา 307 ของ รัฐบัญญัตศิ ลุ กากร ค.ศ. 1930
(Tariff Act of 1930)
มาตรา 307 มีหลักการสำคัญคือ การห้ามการนำเข้าสินค้าและ
ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่มีส่วนหนึ่งส่วนใดผลิตขึ้นโดยแรงงานบังคับ ซึ่งหมายถึง
งานหรือการบริการทุกชนิดซึ่งได้มาจากการข่มขู่หรือการลงโทษบุคคลใดๆ
เพราะเหตุ ท ี ่ เ ขาไม่ ป ระสงค์ จ ะทำงานนั ้ น ซึ ่ ง สอดคล้ อ งกั บ มาตรฐาน
102
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
103
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
การกำหนดเรื่องการคุ้มครองสิทธิแรงงานในการเจรจาการค้าตาม
รัฐบัญญัติการส่งเสริมการค้านี้ มีวัตถุประสงค์คือ ประเทศคู่สัญญามีสิทธิ
ที่จะตัดสินใจในเรื่องการกำหนดการบังคับใช้กฎหมายแรงงานของตนเอง
ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานหลักของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม
การกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิ บ ั ต ิ ท างด้ า นแรงงานของประเทศคู ่
สัญญานั้นจะต้องไม่ทำไปโดยมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติตามอำเภอใจ
ไม่สมเหตุสมผลหรือเป็นการสร้างอุปสรรคทางการค้าแบบแอบแฝงต่อการ
ส่งออกของสหรัฐอเมริกา [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 68]
4.3 บทบาทของสหรัฐอเมริกาด้าน
มาตรฐานแรงงานในระเบียบการค้าโลก
สหรั ฐ อเมริ ก ามี ค วามพยายามที ่ จ ะผลั ก ดั น ให้ ม ี ก ารระบุ เ รื ่ อ ง
แรงงานในบทบัญญัติของ GATT อยู่หลายครั้ง11 รวมทั้งเสนอให้การประชุม
คณะมนตรี WTO ด้ ว ย แต่ ก ็ ไ ม่ ป ระสบความสำเร็ จ เหตุ ผ ลของสหรั ฐ
อเมริกา (สมัยรัฐบาลคลินตัน) คือ เพื่อต้องการคุ้มครองแรงงานของตนเอง
จากการแข่งขันกับประเทศที่ส่งสินค้ามาขายยังสหรัฐอเมริกา ด้วยราคา
ที่ถูกกว่าเพราะมีค่าจ้างต่ำกว่า (อันเนื่องมาจากการกดขี่แรงงานและขัดกับ
สิ ท ธิ ม นุ ษ ยชนขั ้ น พื ้ น ฐาน มิ ใ ช่ อ ั น เนื ่ อ งมาจากปั จ จั ย ทางตลาดแรงงาน
ตามธรรมชาติ เช่น การมีแรงงานมากมายอันทำให้ค่าจ้างแรงงานต่ำ) สหรัฐ
อเมริกาเล็งเห็นว่า มาตรการคว่ำบาตรทางการค้า (trade sanction) เป็น
หนทางเดียวที่จะปกป้องสิทธิมนุษยชนและแรงงานของตน [Brown, 2000:
105] อย่ า งไรก็ ด ี แม้ ว ่ า ความพยายามของสหรั ฐ อเมริ ก าในเวที WTO
จะไม่ ส ำเร็ จ แต่ ก ็ ส ามารถสร้ า งแรงกดดั น ให้ ILO เข้ า มามี บ ทบาทเรื ่ อ ง
มาตรฐานแรงงานมากขึ้น จนสามารถจัดตั้งปฏิญญาว่าด้วยหลักการและ
สิทธิพื้นฐานของคนงานในสถานประกอบการ ปี ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541)
ได้สำเร็จ
104
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
105
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
แต่เมื่อสหรัฐอเมริการวมทั้งประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆไม่สามารถ
ผลักดันให้ WTO เข้ามาจัดการเรื่องมาตรฐานแรงงานในเวทีการค้าโลกได้
สหรัฐอเมริกาจึงหาทางออกด้วยการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคี
(FTA) กั บ ประเทศต่ า งๆ โดยนำประเด็ น เรื ่ อ งมาตรฐานแรงงาน (และ
สิ่งแวดล้อมและเงื่อนไขอื่นๆ) บรรจุไว้ในข้อตกลงนั้นด้วย (รายละเอียด
ของมาตรฐานแรงงานใน FTA จะกล่าวไว้ในบทที่ 5)
4.4 มาตรฐานแรงงานในสหภาพยุโรป
สำหรับมาตรฐานแรงงานในสหภาพยุโรปนัน้ เริม่ มีการนำมาใช้ตง้ั แต่
ก่อตัง้ ตลาดร่วมยุโรปตามสนธิสญ ั ญากรุงโรม (Treaty of Rome) และในสนธิ
สั ญ ญามาสตริ ช ท์ (Maastricht Treaty 1991) โดยระบุ ใ นข้ อ กำหนด
ด้านสังคม (social clauses) เพือ่ ป้องกันปัญหาการลดลงของสวัสดิการสังคม
(social dumping) ในประเทศที่มีการพัฒนาสูงกว่า (เช่น ฝรั่งเศส) และยังมี
การก่อตั้งองค์กรระดับชาติเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแล เช่น Ethical Trading
Initiative (ETI) และ Clean Clothes Campaign ของสหภาพยุโรป ซึ่งมี
มาตรฐานที่สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานหลักของ ILO เช่น ชั่วโมงการ
ทำงาน การให้คำปรึกษาแก่คนงาน (worker consultation) สิทธิแรงงานอพยพ
ที่จะได้รับสวัสดิการสังคม (rights of migrant workers to social security)
ความเท่าเทียมกันด้านโอกาส (equal opportunities) และสุขอนามัย และ
ความปลอดภัยในการทำงาน การจำกัดการใช้แรงงานเด็ก เป็นต้น [Rollo and
Winters, 2000: 565; และ Heintz, 2002: 17] สำหรับมาตรฐานจริยธรรม
พื ้ น ฐานทางการค้ า ของ ETI จั ด เป็ น มาตรฐานแรงงานโดยสมั ค รใจของ
บริษัทเอกชนซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในสหราชอาณาจักรเป็นส่วนใหญ่ และเป็น
ระบบมาตรฐานที่ไม่ได้ให้การรับรอง แต่เป็นการสนับสนุนการคุ้มครองและ
การปฏิ บัติต่อคนงานและองค์กรลูกจ้าง และองค์กรอิสระที่ไม่ใช่ภาครัฐ
เพื่อปรับปรุงการคุ้มครองคนงานให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
106
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
4.5 บทบาทของสหภาพยุโรปด้าน
มาตรฐานแรงงานในระเบียบการค้าโลก
สหภาพยุโรปได้รับรองอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานแรงงาน
หลักของ ILO นอกจากนีส้ หภาพยุโรปยังมีมาตรฐานแรงงานของตนทีร่ ะบุไว้ใน
Charter of Fundamental Rights of the European Union ด้วย อย่างไรก็ดี
สหภาพยุโรปก็ได้มีการนำเรื่องการคุ้มครองสิทธิด้านแรงงานมาเป็นเงื่อนไข
ในการให้สิทธิในการค้าด้วย กล่าวคือสหภาพยุโรปมีข้อตกลงพิเศษเพื่อ
คุม้ ครองสิทธิแรงงาน (Special Arrangement for the Protection of Labour
Rights) เพื ่ อ ให้ ส ิ ท ธิ พ ิ เ ศษทางภาษี (GSP) เพิ ่ ม เติ ม แก่ ป ระเทศที ่ ม ี ก าร
คุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานแรงงานหลักของ ILO ภายใต้ข้อตกลง
พิ เ ศษนี ้ สิ น ค้ า จะได้ ร ั บ การลดหย่ อ นภาษี เ พิ ่ ม เติ ม อี ก ร้ อ ยละ 5 เป็ น การ
ลดหย่อนทัง้ สิน้ ร้อยละ 8.5 และยังได้รบั การลดหย่อนภาษีอกี ร้อยละ 20 สำหรับ
สิ่งทอ และร้อยละ 30 สำหรับภาษีจำเพาะอื่นๆ สหภาพยุโรปจะใช้เรื่อง
มาตรฐานแรงงาน (ในการผลิตสินค้าที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ) มาเป็น
เงื่อนไขในการถอดถอน (หรือยกโทษเป็นการชั่วคราว) สิทธิพิเศษทางภาษี
อากรนำเข้ า แต่ ส หภาพยุ โ รปมั ก มี เ งื ่ อ นไขอื ่ น ๆมากกว่ า เรื ่ อ งมาตรฐาน
แรงงาน เช่น เงือ่ นไขเรือ่ งการทุม่ ตลาด ความปลอดภัยด้านอาหาร การจัดการ
ของเสียอุตสาหกรรม และการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
โดยทั่วไป สหภาพยุโรปเน้นส่งเสริมและพัฒนาประชาธิปไตยและ
การรับรองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเป็นสำคัญ ยิ่งกว่านั้น การดำเนินการ
ทางการค้าระหว่างประเทศของสหภาพยุโรป ให้ความสำคัญต่อกรอบของ
ASEM และ ASEAN มากกว่าการเจรจาแบบทวิภาคี โดยสหภาพยุโรปจะ
107
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
4.6 แนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับบทบาท
ของประเทศพัฒนาแล้วต่อการบังคับใช้
มาตรฐานแรงงานในประเทศกำลังพัฒนา
จากแนวคิ ด ด้ า นเศรษฐศาสตร์ ก ารเมื อ ง การศึ ก ษาเชิ ง ทฤษฏี
ของ Hefeker and Wunner (2002) เน้นเรือ่ งความสนใจของผูผ้ ลิต (producer
interest) ในประเทศพัฒนาแล้วที่มีต่อมาตรฐานแรงงานในต่างแดน (foreign
labour standards) ว่าเป็นอย่างไร โดยแบ่งผูผ้ ลิตออกเป็น 3 กลุม่ คือ บริษทั
ข้ามชาติ บริษทั ผลิตสินค้าแข่งกับสินค้านำเข้า (import-competing firm) และ
บริษัทผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก (exporting firm) ผลการศึกษาพบว่า
(1) ความสนใจของผู ้ ป ระกอบการแต่ ล ะประเภทที ่ ม ี ต ่ อ
มาตรฐานแรงงานในต่างแดนแตกต่างกันเพราะผู้ประกอบการทุกประเภท
108
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
109
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
สรุป
จากการพิจารณาเปรียบเทียบจำนวนอนุสัญญาของ ILO ที่ประเทศ
พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศได้ให้สัตยาบันนั้นดังแสดง
ในตารางที่ 3 พบว่า ประเทศพัฒนาแล้วให้สัตยาบันในอนุสัญญาของ ILO
เป็นจำนวนที่น้อยกว่าประเทศกำลังพัฒนา (ยกเว้นบางประเทศ) ตัวอย่างเช่น
แคนาดาและสหรัฐอเมริกาได้ให้สตั ยาบัน 30 และ 14 ฉบับตามลำดับ ในขณะที่
เม็กซิโกให้สัตยาบันถึง 78 ฉบับ ส่วนฝรั่งเศสและอิตาลีได้ให้สัตยาบันไว้
124 และ 111 ฉบับตามลำดับ ส่วนจีนและเกาหลีใต้ได้ให้สตั ยาบันไว้ 47 และ
20 ฉบั บ ตามลำดั บ ทั ้ ง นี ้ อ าจเป็ น เพราะการลงนามให้ ส ั ต ยาบั น แก่
อนุสัญญาของ ILO เป็นความสมัครใจของประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ การให้
สัตยาบันแก่อนุสัญญา ILO อาจเปรียบเสมือนกลไกในการผลักดันให้รัฐบาล
ของประเทศนั้นต้องดำเนินการจัดทำมาตรฐานแรงงานให้เป็นสากลมากขึ้น
อีกทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากองค์กร ILO อีกด้วย อย่างไรก็ดี การที่
ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศได้ลงนามให้สัตยาบันแก่อนุสัญญา ILO
อาจจะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ต้องการให้อนุสัญญาสามารถมีผล
บังคับใช้ (เพราะต้องมีการลงนามให้สตั ยาบันเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของประเทศ
ภาคี) และต้องการแสดงให้ประเทศภาคีอื่นๆเห็นถึงความจริงใจของประเทศ
พัฒนาแล้วในการส่งเสริมการคุ้มครองแรงงาน อีกทั้งอาจใช้เป็นข้ออ้างในการ
เจรจาการค้า เช่น สหรัฐอเมริกาได้ให้สตั ยาบันอนุสญ
ั ญาฉบับที่ 182 (รูปแบบ
เลวร้ายในการใช้แรงงานเด็ก) ทั้งๆที่ภายในสหรัฐอเมริกาเองก็มิได้มีปัญหา
110
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เชิงอรรถ
1
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน Mutari (2000) ที่วิพากษ์เรื่อง ค่าจ้างขั้นต่ำ
(minimum wage) กับ อัตราค่าจ้างเพือ่ ดำรงชีพ (living wage) และ ความแตกต่างระหว่าง
ค่าจ้างของแรงงานหญิงกับของแรงงานชาย
2
ค่าใช้จ่ายในการรับรองมาตรฐานแรงงาน SA8000 นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของ
ผูป้ ระกอบการ ขนาด และจำนวนคนงานทีจ่ า้ งผูป้ ระกอบการทีม่ คี นงานประมาณ 1,500 คน
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการรับรองในครั้งแรกและการตรวจสอบต่อเนื่องในระยะ
เวลาสามปี ประมาณ 1.2 ล้านบาท
3
ค่าใช้จา่ ยในการรับรองมาตรฐานแรงงาน WRAP นัน้ ผูป้ ระกอบการต้องเสียค่า
ใช้จ่ายในเบื้องต้น 750 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนแก่ WRAP เพื่อลงทะเบียน หลังจากนั้นจะได้รับ
เอกสารที่เกี่ยวกับการรับรอง เมื่อพร้อมที่จะรับการตรวจสอบจะต้องติดต่อกับตัวแทนซึ่ง
111
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษีระหว่างกันนั้น ประเทศพัฒนาแล้วจะไม่คาดหวังการปฏิบัติต่าง
ตอบแทนจากประเทศที่พัฒนาน้อยกว่า
6
โดยหลักการแล้ว การกำหนดเงือ่ นไขบางประการให้ผไู้ ด้รบั GSP ปฏิบตั เิ พือ่ ให้
ได้มาซึง่ สิทธิพเิ ศษนี้ อาจกล่าวได้วา่ ไม่ถอื ว่าเป็นการหวังผลตอบแทน แต่ถา้ ขยายไปถึงขนาด
ที่ประเทศผู้รับ GSP ต้องทำกิจกรรมการค้าเสียก่อน จึงจะได้รับ GSP ดังนั้น เงื่อนไขนี้
ก็ย่อมจัดว่าเป็นการหวังผลตอบแทนโดยปริยาย เช่น ประเทศที่จะได้รับ GSP จะต้องมี
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอเมริกาอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ
[อร ชวลิตนิธิกุล, 2548: 52]
112
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ครอบคลุมเรื่องการปกป้องและสงวนรักษาสิ่งแวดล้อมและการเพิ่มมาตรฐาน
10
การดำรงชีพของประชากรและส่งเสริมการเคารพสิทธิแรงงานและสิทธิเด็กโดยสอดคล้อง
กับมาตรฐานแรงงานหลักของ ILO
11
สมัยรัฐบาลไอเซนฮาว มีการเสนอให้แก้ไขบัญญัตขิ อง GATT เพือ่ เพิม่ ข้อกำหนด
ทางสังคม (social clauses) สมัยรัฐบาลคาร์เตอร์มีการเสนอเพิ่มมาตรฐานแรงงานเข้าไป
ซึง่ นำไปสูก่ ารโต้เถียงในบรรดาประเทศสมาชิกสมัยรัฐบาลเรแกนเสนอให้มกี ารเพิม่ เรือ่ งสิทธิ
ของผู้ใช้แรงงานเข้าไปเป็นหัวข้อหนึ่งในการเจรจาในรอบอุรุกวัยสมัยรัฐบาลบุช (จูเนียร์)
เสนอให้มกี ารจัดตัง้ คณะทำงานเพือ่ ศึกษาเรือ่ งแรงงาน เป็นต้น [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 16]
นอกจากนีย้ งั มีเครือ่ งหมายทางการค้า ลิขสิทธิ์ สิทธิบตั ร การคุม้ ครองทรัพย์สนิ
12
113
µ¦µ¸É 3 ¦³Á«£µ¸Â¨³Îµª°»´µ
° ILO ¸ÉÄ®o´ ¥µ´ (.«.2005)
115
º··Õè 5
ÁÒμðҹáç§Ò¹ÀÒÂãμé
GATT/WTO áÅÐÀÒÂãμé
¢éÍμ¡Å§¡ÒäéÒÀÙÁÀÔ Ò¤
áÅТéÍμ¡Å§¡ÒäéÒ·ÇÔÀÒ¤ี
118
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
119
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
120
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
121
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
122
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
123
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
124
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
125
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
กลุ่มคัดค้าน ซึ่งประกอบด้วยประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ที่
พยายามยับยั้งมิให้มีการนำเรื่อง "การคุ้มครองสิทธิแรงงาน" มาเป็นเครื่องมือ
ในการกีดกันทางการค้า และพยายามคัดค้านการเข้ามามีบทบาทของ WTO
ในประเด็นด้านแรงงาน โดยมีเหตุผลอย่างน้อย 5 ประการ ได้แก่
ประการแรก องค์การการค้าโลก (WTO) มิใช่เวทีเหมาะสม
สำหรับการเจรจาเรื่องมาตรฐานแรงงาน
ประการที่สอง ความสัมพันธ์ระหว่างการค้าเสรีกับมาตรฐาน
แรงงานยังไม่มีความเชื่อมโยงกันชัดเจน ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการแข่งขันทาง
การค้าอย่างไม่เท่าเทียมกันแทบจะไม่เกิดขึ้น
ประการที่สาม เป็นที่สงสัยอย่างมากว่า การนำเรื่องการบังคับ
ใช้มาตรฐานแรงงานหลักหรือการคุม้ ครองแรงงานมาเป็นเงือ่ นไขทางการค้านัน้
อาจเป็นไปตามครรลองของลัทธิกดี กันทางการค้า (protectionism) แม้วา่ จะมี
ความพยายามที่จะบอกว่าเงื่อนไขนี้จะไม่ทำให้ประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำ
สู ญ เสี ย ความสามารถในการแข่ ง ขั น (competitiveness) แต่ ป ระการใด
[Torres, 1996: 10; Heintz, 2002: 15-16; และ Rollo and Winters, 2000:
572-3] ประกอบกับองค์กร ILO ก็เป็นหน่วยงานตรงที่ดูแลเรื่องมาตรฐาน
แรงงานหลักอยู่แล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่ WTO ต้องเข้ามายื่นเงื่อนไขด้าน
แรงงานในระเบียบการค้าระหว่างประเทศ
ประการที่สี่ กฎการละเมิดสิทธิแรงงาน อาจเกิดขึ้นโดยลำพัง
หรือแยกจากการค้าระหว่างประเทศก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนำเรื่องการคุ้มครอง
แรงงานและการค้ามาเชื่อมโยงไว้ด้วยกันเสมอไป ตัวอย่างเช่น หากประเทศ
กำลังพัฒนามีการใช้แรงงานเด็กเพื่อการผลิตสินค้าเกษตรสำหรับการบริโภค
ภายในประเทศ มิใช่เพื่อการส่งออก ดังนั้น การค้าระหว่างประเทศสำหรับ
สินค้าอุตสาหกรรม (ที่ใช้แรงงานผู้ใหญ่) ก็มิควรได้รับอุปสรรคทางการค้า
อันเนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาใช้แรงงานเด็กในประเทศ กล่าวอีกนัย
หนึ่งหากมีการนำเรื่องมาตรฐานแรงงานมาเป็นข้อบังคับใน GATT/WTO
(โดยมิ ไ ด้ ม ี ก ารกำหนดเฉพาะเจาะจงไปยั ง การผลิ ต สิ น ค้ า ใดๆ) ย่ อ ม
126
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
หมายความว่าแม้ว่าประเทศนั้นมีการใช้แรงงานเด็ก แต่มิใช่เพื่อผลิตสินค้า
ส่งออก ประเทศนั้นก็ต้องมีกฎระเบียบเพื่อการคุ้มครองแรงงานตามมาตรฐาน
แรงงานระหว่างประเทศ (เช่นการห้ามใช้แรงงานเด็ก) ถ้าต้องการค้าขายกับ
ประเทศสมาชิก GATT/WTO ซึง่ กลุม่ คัดค้าน (ประเทศกำลังพัฒนา) เห็นว่าเป็น
การไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำนโยบายกิจการภายในประเทศไปเกี่ยวข้อง
กับการค้าระหว่างประเทศ
ประการที่ห้า สำหรับประเด็นเรื่องการห้ามใช้แรงงานเด็กนั้น
Rollo and Winters (2000: 572-3) ได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ผู้ประกอบการ
ในสหรัฐอเมริกาปฏิเสธที่จะผลิตหรือสั่งซื้อลูกฟุตบอล (soccer ball) จาก
ภูมิภาคเอเชียที่มีการใช้แรงงานเด็กในการผลิตสินค้า (เช่น ปากีสถาน จีน
อินเดีย และไทย) แต่กม็ ไิ ด้หนั ไปผลิตลูกฟุตบอลในสหรัฐอเมริกา (หรือไปเพิม่
การจ้างงานของคนสหรัฐอเมริกา) กลับหันไปสั่งซื้อหรือผลิตจากประเทศอื่น
แทน หรือเกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (trade diversion) และโอกาสจะเกิด
ปัญหา race-to-the-bottom ด้านมาตรฐานแรงงานในสหรัฐอเมริกาก็แทบจะ
ไม่มีหรือเท่ากับศูนย์ เพราะสหรัฐอเมริกาเองก็คงไม่ถึงกับยกเลิกมาตรฐาน
แรงงานการห้ามใช้แรงงานเด็กในประเทศของตน ด้วยเหตุนี้ การห้ามใช้
แรงงานเด็กจึงน่าจะเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน (สิทธิของเด็ก) หรือ "Just
do something" และเพื่อประโยชน์ของเด็กมากกว่าเรื่องการค้าระหว่าง
ประเทศ โดยเฉพาะแรงงานเด็กในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจน (มากกว่า
แรงงานเด็กในประเทศพัฒนาแล้ว)
Stern and Terrell (2003: 8-10) เสนอแนะว่า การบีบบังคับให้มี
การใช้ ม าตรฐานแรงงานในประเทศกำลั ง พั ฒ นาที ่ ย ากจนภายในกำหนด
ระยะเวลาใดๆนั้นมิใช่การแก้ไขปัญหาด้านแรงงานในประเทศกำลังพัฒนา
และมิใช่เครื่องมือในการเจรจาทางการค้า ดังนั้นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่
เหมาะสมทีส่ ดุ มีอยูด่ ว้ ยกัน 4 ประการ คือ
(1) ประเทศพัฒนาแล้วต้องมีนโยบายรองรับการตกงานของ
บรรดาลูกจ้างบริษทั ทีต่ อ้ งเลิกกิจการเพราะแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกไม่ได้
127
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
เช่น การโยกย้ายคนงานไปยังภาคเศรษฐกิจที่กำลังเจริญเติบโตหรือการให้
ความช่วยเหลือด้านเงินทุนเพื่อนำไปประกอบอาชีพส่วนตัว ซึ่งเป็นมาตรการ
ที่ไม่สร้างภาระให้แก่ภาครัฐเท่าใดนัก
(2) องค์ ก รระหว่ า งประเทศและประเทศพั ฒ นาแล้ ว บาง
ประเทศก็ ค วรให้ เ งิ น ช่ ว ยเหลื อ แก่ ร ั ฐ บาลประเทศกำลั ง พั ฒ นาที ่ ย ากจน
เพื่อจะได้นำไปใช้ช่วยเหลือหรือแก้ไขความยากจนและยกระดับการศึกษา
เพื่อจักได้ช่วยแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและการพัฒนาฝีมือ/ทักษะ
ความรู้ของประชาชนให้สูงเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของนายจ้าง
ที่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย
(3) บริ ษ ั ท ข้ า มชาติ ก ็ ส ามารถช่ ว ยยกระดั บ มาตรฐาน
แรงงานในประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นแหล่งลงทุนของตนได้ โดยการกำหนด
หลักจริยธรรม (code of conduct) ด้านแรงงาน เพื่อใช้ในบริษัทหรือโรงงาน
ในประเทศเหล่านี้ซึ่งเป็นการช่วยให้ลูกจ้างชาวท้องถิ่นได้รับสวัสดิการที่ดี
ในการทำงานในบริษัทข้ามชาติ และ
(4) บทบาทของผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้วก็สามารถยก
ระดับมาตรฐานแรงงานในประเทศกำลังพัฒนาที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยัง
ประเทศพัฒนาแล้วโดยการรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าที่ผลิตจากแรงงานบังคับหรือ
จากแรงงานเด็กหรือจากการกดขี่แรงงาน (หรือที่มักจะเรียกว่า sweatshop)
โดยรณรงค์การติดฉลาก (label) เช่น Rugmark (ฉลากบ่งบอกการไม่ใช้
แรงงานเด็กในผลิตภัณฑ์พรม) และการก่อตั้ง Child Labour Coalition
(ก่อตัง้ เมือ่ ค.ศ. 1989/พ.ศ. 2532) เพือ่ ต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก
อย่ า งไรก็ ด ี การส่ ง เสริ ม การบั ง คั บ ใช้ ม าตรฐานแรงงานหลั ก ใน
ประเทศกำลั ง พั ฒ นาทั ้ ง หลายจำเป็ น ต้ อ งอาศั ย ความช่ ว ยเหลื อ ทางการ
เงินจาก ILO เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้การศึกษาทั้งฝ่ายนายจ้างและ
ฝ่ายลูกจ้างถึงความสำคัญและการบริหารจัดการเรื่องมาตรฐานแรงงาน
หลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้แรงงานเด็ก นอกจากนี้ Rollo and Winters
(2000) ยังเสนอว่าองค์กรที่ดูแลเด็กหลายองค์กรก็สามารถเข้ามาคุ้มครอง
128
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
129
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
130
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ประเด็นด้านการค้าเสรีไปปะปนกับประเด็นด้านสังคม และสิทธิมนุษยชน
จนมากเกินไป
(6) WTO ต้องเคารพสิทธิของประเทศสมาชิกในการดำเนิน
นโยบายภายในประเทศ ซึง่ แต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องดำเนินนโยบายภายใน
เหมือนกัน
5.3 มาตรฐานแรงงานภายใต้ข้อตกลง
การค้าภูมิภาค
สำหรับเรื่องมาตรฐานแรงงานในข้อตกลงการค้าภูมิภาคนั้น ในที่นี้
จะกล่าวถึงข้อตกลงเพียง 5 กรณีเท่านั้น5 เพื่อให้เห็นความแตกต่างของข้อ
ตกลงเหล่านี้ อันได้แก่ ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American
Free Trade Agreement: NAFTA) ซึ่งประกอบด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา
แคนาดา และเม็กซิโก ข้อตกลงการค้าเสรีของประชาคมยุโรป (European
Communities: EC) หรือสหภาพยุโรปในปัจจุบนั ซึง่ ประกอบด้วย 25 ประเทศ
ข้ อ ตกลงการค้ า เสรี ข องยุ โ รป (European Free Trade Association:
EFTA) ซึ ่ ง ประกอบด้ ว ยประเทศไอซ์ แ ลนด์ ลิ ก เตนสไตน์ นอร์ เ วย์ และ
สวิตเซอร์แลนด์ ข้อตกลงความร่วมมือในอาฟริกาตะวันออก (East African
Cooperation: EAC) ซึง่ ประกอบด้วยประเทศเคนยา แทนซาเนียและอูกานดา
และ ตลาดร่ ว มแคริ บ เบี ย น (Caribbean Community and Common
Market: CARICOM)
ข้ อ ตกลงการค้ า เสรี อ เมริ ก าเหนื อ (NAFTA) มี เ นื ้ อ หาเกี ่ ย วกั บ
ความร่วมมือด้านแรงงานด้วย ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสภาพการ
ทำงานให้ดีขึ้นและคุณภาพชีวิตของคนงานให้สูงขึ้นในประเทศสมาชิก รวมทั้ง
เห็นพ้องต้องกันให้ประเทศสมาชิกดำเนินมาตรการทางกฎหมายแรงงานให้
เข้มงวดยิ่งขึ้น ทั้งนี้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านแรงงาน (commission
for labour cooperation) โดยแต่ละประเทศจัดตั้งคณะกรรมการบริหาร
131
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
132
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
กรณีตัวอย่างนี้เป็นข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายเพราะสหรัฐอเมริกาและ
เม็กซิโกมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นด้านการเคลื่อน
ย้ายแรงงานข้ามพรมแดน การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน การโยกย้ายฐาน
การผลิตไปยังเม็กซิโกการตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบในเม็กซิโก
เพื ่ อ ป้ อ นโรงงานประกอบในสหรั ฐ อเมริ ก าและการไหลเวี ย นของข้ อ มู ล
ข่าวสารเพราะอาณาเขตของประเทศติดกัน ถึงกระนั้นก็ตาม ประเด็นด้าน
มาตรฐานแรงงานหลักในประเทศคู่สัญญา (เม็กซิโก) ของสหรัฐอเมริกาก็ยัง
เป็นจุดอ่อนที่สหรัฐอเมริกาสามารถหยิบยกขึ้นมาเจรจาต่อรองเพื่อให้ประเทศ
คู่สัญญาดำเนินมาตรการด้านแรงงานให้เข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับ
อำนาจต่อรองของสหภาพหรือสหพันธ์แรงงานในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ในสหภาพยุโรป (European Union) นับว่ามีกฎหมายสนับสนุนระบบ
สวัสดิการสังคม (social welfare) ได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ (มากกว่าสหรัฐ
อเมริกาเสียอีก) ทัง้ นีแ้ ผนปฏิบตั ดิ า้ นสวัสดิการสังคมของยุโรป (social action
plan) เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงที่เป็นตลาดร่วมยุโรป (European Economic
Community) ตอนต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 และต่อมามีการจัดตัง้ สหภาพยุโรป
ในปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) จึงได้จดั บทบัญญัตดิ า้ นสวัสดิการสังคมทีเ่ รียกว่า
Social Charter ซึ่งครอบคลุมเรื่องการคุ้มครองสวัสดิการแรงงานชั่วคราว
(protection of temporary workers) การปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน (equal
treatment of the sexes) การคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยในสถานที่
ทำงาน (health and safety in the workplace) และการห้ามและจำกัดการใช้
แรงงานเด็ก (bans and limits on child labour) [Erickson and Mitchell,
2000: 295-6]
เมื่อสหภาพยุโรปได้ขยายจำนวนสมาชิกมากขึ้นซึ่งเป็นประเทศที่มี
ค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าประเทศสมาชิกดังเดิมและยังมีระดับมาตรฐานแรงงาน
ต่ำกว่าอีกด้วย (เช่น ประเทศโปรตุเกส กรีซ โปแลนด์) จึงเกิดความหวัน่ เกรงว่า
จะเกิดปัญหาการลดลงของสวัสดิการสังคม (social dumping) กล่าวคือเมือ่ มี
การส่งเสริมการค้าเสรีภายในกลุ่มสหภาพยุโรป ประเทศที่มีค่าจ้างถูกกว่า
หรือมีมาตรฐานแรงงานต่ำกว่าจะมีความได้เปรียบทางการค้า ซึ่งสามารถ
133
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ผลิตสินค้าส่งออกไปขายยังประเทศอื่นๆที่มีค่าจ้างสูงกว่าหรือมีมาตรฐาน
แรงงานสูงกว่า (สมมติให้ปจั จัยอืน่ ๆคงที)่ ดังนัน้ จึงมีแนวโน้มทีป่ ระเทศในยุโรป
พยายามที ่ จ ะลดค่ า จ้ า งแรงงานของตนมิ ใ ห้ ส ู ง เกิ น ไปหรื อ พยายามที ่ จ ะ
ลดความเข้มงวดด้านมาตรฐานแรงงานลง เพื่อจะได้ผลิตสินค้าแข่งขันกับ
ประเทศอื่นๆได้ ด้วยเหตุนี้ จึงคาดการณ์ว่า ในภาพรวมแล้วอาจเกิดปัญหา
การลดลงของสวัสดิการสังคม (social dumping) ในสหภาพยุโรปนั้นเอง
อย่างไรก็ดี ยังไม่ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า ได้เกิด
ปัญหาการลดลงของสวัสดิการทางการสังคม (social dumping) จริงใน
สหภาพยุโรป แต่กลับพบว่า เกิดการขยับตัวของค่าจ้างแรงงานให้เข้าใกล้กัน
(wage convergence) และยังช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงานของบางประเทศ
ได้อีกด้วย รวมทั้งมาตรฐานแรงงานของประเทศสมาชิกใหม่ก็มีแนวโน้มจะ
สูงขึน้ ให้ใกล้เคียงกับประเทศสมาชิกดัง้ เดิม [Erickson and Mitchell, 2000:
297]
ในข้อตกลงการค้าเสรีของยุโรป (EFTA) มีเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการ
ส่งเสริมการค้าเสรีระหว่างประเทศภาคี แต่ก็ได้บรรจุเรื่องแรงงานหรือคนงาน
เข้ า ไว้ ด ้ ว ย โดยเฉพาะอย่ า งยิ ่ ง เรื ่ อ งการเคลื ่ อ นย้ า ยแรงงานได้ อ ย่ า งเสรี
(บทบัญญัติ 8 มาตรา 20-22) ที่ประเทศภาคีจะต้องปกป้องคุ้มครองแรงงาน
สัญชาติของอีกฝ่ายหนึ่งที่ไปทำงานในประเทศตน โดยต้องให้การคุ้มครองว่า
คนงานเหล่านี้ต้องมีวิถีชีวิตและได้รับโอกาสในการจ้างงาน-ได้รับเงื่อนไข
ในการทำงาน-ได้รับสวัสดิการสังคม ที่เหมือนกับประชาชนในประเทศที่อาศัย
ทำงานอยูน่ น้ั (same living, employment, working conditions and social
security system) รวมถึงการยอมรับมาตรฐานการศึกษา (ยอมรับใบรับรอง
ด้านการศึกษา) ของแรงงานที่มาจากประเทศภาคีโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มี
ฝีมือหรือแรงงานระดับปัญญาชนหรือผู้เชี่ยวชาญ (professional qualifica-
tion) อย่างไรก็ดีประเทศภาคีจะต้องตระหนักถึงความสำคัญและส่งเสริม
การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานหลัก และต้องยึดมั่นว่าการส่งเสริมการค้า
ระหว่างกัน อันนำมาสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นจะผลักดันให้เกิด
134
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
การยกระดับมาตรฐานแรงงานให้สูงขึ้น (ซึ่งก็มีเนื้อหาสาระด้านแรงงานที่ไม่
แตกต่างจากของสหภาพยุโรปเท่าใดนัก)
สำหรับ ข้อตกลงความร่วมมือในแอฟริกาตะวันออก (EAC) นั้น
ส่วนใหญ่เป็นความร่วมมือที่ต้องการให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาคไม่ว่าจะ
เป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยมีเนือ้ หาเรือ่ งการเคลือ่ นย้าย
แรงงานได้อย่างเสรี เช่นกัน (บทบัญญัติ 17 มาตรา 104) โดยเน้นการปฏิบัติ
ที่เท่าเทียมกันระหว่างแรงงานที่ถือสัญชาติของประเทศภาคี ไม่ว่าจะเป็นการ
ดำรงชีพ การเดินทาง การจ้างงาน การแลกเปลี่ยนข่าวสารด้านแรงงาน
และการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างรวมถึงการ
ก่อตั้งองค์กรนายจ้างและลูกจ้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ของฝ่าย
ลูกจ้าง ตลอดจนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของประเทศภาคีในการส่งเสริม
การจ้างงานและการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศภาคี อนึ่ง ไม่มีการ
กล่าวถึง การยกระดับมาตรฐานแรงงานหลักในข้อตกลงนี้
กรณีของตลาดร่วมแคริบเบียน (CARICOM) เป็นข้อตกลงทีเ่ กีย่ วข้อง
กับการค้าเสรีเป็นส่วนใหญ่โดยมีเนื้อหาเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่าง
เสรีและการคุ้มครองแรงงาน การส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพแรงงานทั้งด้าน
การศึกษาและการปรับปรุงความเป็นอยู่ของแรงงานและปรับปรุงสภาพการ
ทำงานให้ดขี น้ึ อีกทัง้ ต้องมีการจัดสรรระบบสวัสดิการสังคมอย่างทัว่ ถึงสำหรับ
แรงงานที่ถือสัญชาติของประเทศภาคี รวมถึงการพัฒนาระบบสาธารณสุข
ของประเทศภาคีด้วย (มาตรา 17) นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ
มาตรฐานแรงงานหลัก นั่นคือ มีการยินยอมให้มีมาตรการกีดกันการค้า
ได้ถ้าสินค้านั้นเกี่ยวพันกับการใช้แรงงานนักโทษและแรงงานเด็ก (มาตรา 26)
ซึ่งมาตรานี้สอดคล้องกับมาตรา 20 (e) ของ GATT และยังได้รวมเรื่อง
แรงงานเด็กเข้าไปด้วย
135
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
5.4 มาตรฐานแรงงานภายใต้ข้อตกลง
การค้าทวิภาคี
ในที่นี้จะขอกล่าวถึง การจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีของสหรัฐ
อเมริกาและของสหภาพยุโรปเท่านั้น เพื่อให้เห็นความแตกต่างในเนื้อหาสาระ
ของการกำหนดเรื่องมาตรฐานแรงงานในข้อตกลงดังกล่าว
สหรั ฐ อเมริ ก าประสบความสำเร็ จ เท่ า ที ่ ค วรในการขยายการ
จัดทำข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคี (FTA) กับประเทศต่างๆทั่วโลก ได้แก่
FTA กับชิลี กับสิงคโปร์และกับออสเตรเลีย เป็นต้น สำหรับการเจรจาการค้า
เพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศต่างๆ ใน
ประเด็นการคุ้มครองแรงงานมีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่องใหญ่คือ หลักการคุ้มครอง
แรงงานที่ใช้ในการเจรจาและกลไกการดำเนินการ ดังแสดงในตารางที่ 4
ซึ่งจะกล่าวพอสังเขปดังนี้
ประเด็นแรก หลักการคุ้มครองแรงงานที่ใช้ในการเจรจานั้น
ข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคีของสหรัฐอเมริกาได้อิงมาตรฐานแรงงาน
หลักของ ILO และมาตรฐานแรงงานของตนโดยประเทศคูส่ ญ ั ญาจะต้องมีการ
บังคับใช้กฎหมายแรงงานอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ หากพบว่าประเทศ
คูส่ ญ
ั ญามิได้ให้ความคุม้ ครองแรงงานตามข้อตกลงอย่างเต็มที่ จะมีบทลงโทษ
โดยการปรับเป็นเงินไม่เกิน 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าสหรัฐอเมริกา
มิได้บังคับว่าประเทศคู่สัญญาจะต้องให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาต่างๆของ ILO
แต่สหรัฐอเมริกาอาจใช้สิทธิตามข้อตกลง ในการเร่งรัดให้ประเทศคู่สัญญา
ต้องดำเนินการปรับปรุงกฎหมายแรงงานภายในประเทศของตนไปโดยปริยาย
[อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 73-74; และ www.ustr.gov]
่ เนื้อหาของข้อตกลงด้านการคุ้มครองด้านแรงงานที่มีความสำคัญ
ที่สุดคือ เรื่องการปฏิบัติตามและการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน (application
and enforcement of labour laws) กล่าวคือประเทศคูส่ ญ
ั ญาจะต้องไม่ละเลย
136
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ในอันที่จะบังคับใช้กฎหมายแรงงานภายในประเทศอย่างจริงจัง โดยการ
กระทำหรือไม่กระทำการใดๆในลักษณะที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการค้าของ
ประเทศคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย และจะต้องยอมรับถึงสิทธิในการใช้ดุลพินิจ
ของประเทศคู ่ ส ั ญ ญาแต่ ล ะฝ่ า ยอั น เกี ่ ย วกั บ การสื บ สวน การดำเนิ น คดี
การออกระเบียบและการปฏิบัติตามและการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรร
ทรัพยากรในการบังคับกฎหมายโดยคำนึงถึงลำดับความสำคัญของประเด็น
อื่นๆด้านแรงงานด้วย
นอกจากนี้ ประเทศคู่สัญญาจะต้องยอมรับว่า เป็นการไม่สมควรใน
การชักจูงด้านการค้า หรือการลงทุนโดยการหย่อนหรือลดทอนการคุ้มครอง
แรงงาน ซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายแรงงานภายในประเทศยิ่งกว่านั้น ประเทศคู่
สัญญาต้องประกันว่าบุคคลที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องโดยชอบมีสิทธิต่างๆภายใต้
กฎหมายแรงงานของตนและมีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานอย่างเป็นธรรม
เสมอภาคและโปร่งใสและพยายามส่งเสริมจิตสำนึกเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน
แก่ประชาชนของตนด้วยวิธีต่างๆ และเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทด้านแรงงาน
จึงต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วม (joint committee) ในการสร้างกลไก
ความร่วมมือด้านแรงงาน [อร ชวลิตนิธกิ ลุ , 2548: 73-75; และ www.ustr.gov]
ประเด็นที่สอง กลไกในการดำเนิ น การความร่ ว มมื อ ด้ า น
แรงงาน กล่าวคือ ประเทศคู่สัญญาจะต้องให้ความร่วมมือในการส่งเสริม
การเคารพต่อกฎหมายแรงงานหลักของ ILO และต้องให้ความร่วมมือในการ
ปฏิบตั ติ ามอนุสญ
ั ญาฉบับที่ 182 (การห้ามและการขจัดรูปแบบทีเ่ ลวร้ายทีส่ ดุ
ของการใช้แรงงานเด็ก) โดยทันที หากประเทศคู่สัญญาไม่บังคับใช้กฎหมาย
แรงงานอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อตกลงแล้ว ประเทศคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
อาจร้องขอให้มีการปรึกษาหารือกับประเทศคู่สัญญาฝ่ายนั้นได้ และหาก
ประเทศคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในฐานะที่เป็นสมาชิก
ของ ILO ประเทศคู ่ ส ั ญ ญานั ้ น อาจเสนอเรื ่ อ งให้ ม ี ก ารปรึ ก ษาหารื อ ตาม
กระบวนการระงับข้อพิพาทได้ โดยข้อตกลงนี้มีการจัดตั้งคณะพิจารณา
ข้อพิพาท (Panel) เรื่องแรงงานเป็นการเฉพาะ หากมีการลงโทษโดยการปรับ
เป็นเงิน เงินค่าปรับจะถูกเก็บเข้ากองทุน เพื่อนำมาพัฒนาด้านแรงงานของ
137
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ประเทศที่เป็นผู้เสียค่าปรับ โดยมีคณะกรรมการร่วมเป็นผู้บริหารจัดการ
[อร ชวลิตนิธิกุล, 2548: 75-78] ทั้งนี้ ยกเว้นกรณีของออสเตรเลียที่ไม่มี
การระบุเรือ่ งการปฏิบตั ติ ามอนุสญ
ั ญา ILO ฉบับที่ 182 เนือ่ งจากออสเตรเลีย
ได้พิสูจน์ให้ฝ่ายสหรัฐอเมริกาเห็นว่ากฎหมายภายในประเทศของออสเตรเลีย
ได้คุ้มครองแรงงานเด็กอย่างรัดกุมและครอบคลุมเรื่องการห้ามใช้แรงงานเด็ก
ตามอนุสญ ั ญาฉบับที่ 182 นีแ้ ล้ว [www.ustr.gov]
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า เนื้อหาสาระด้านแรงงานของข้อตกลงการค้าเสรี
ทวิภาคีของสหรัฐอเมริกากับประเทศต่างๆ นั้นมิได้แตกต่างกันเท่าใด ยกเว้น
รายละเอียด เช่น การนิยามเรื่อง "สิทธิแรงงาน" ซึ่งอิงมาตรฐานแรงงานหลัก
ของสหรัฐอเมริกา (5 ด้าน)7 ที่มีจำนวนมากกว่ามาตรฐานแรงงานหลักของ
ILO (4 ด้าน) ตามปฏิญญาว่าด้วยหลักการและสิทธิคนงานในสถานประกอบ
การของ ILO (มาตรา 18.7) อนึ่ง ข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคีของสหรัฐ
อเมริกานั้น มีการกำหนดบทบัญญัติข้อยกเว้น (general exception) ด้วย
โดยมีบางมาตราที่คล้ายคลึงกับมาตรา 20 ของ GATT แต่ครอบคลุมเพียง
เรื่องที่เกี่ยวกับด้านศีลธรรมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น มิได้มีเรื่องการใช้แรงงาน
บังคับ (หรือแรงงานนักโทษ ตามมาตรา 20 (e) ของ GATT)
แม้วา่ ข้อตกลง FTA ระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศคูส่ ญ
ั ญาต่างๆ
จะเกิดขึ้นโดยสมัครใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายแต่ก็เป็นที่เห็นชัดว่าคู่สัญญา
ทั้งสองฝ่ายมีความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจในการเจรจาต่อรอง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งกรณีที่คู่สัญญาของสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศกำลังพัฒนา เช่น ชิลี
กล่าวคือ สหรัฐอเมริกามีความพร้อมด้านกฎหมายแรงงานและสิ่งแวดล้อม
(รวมทั้งกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา) ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน
สากลหรือเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ดังนั้น พันธกรณีด้านแรงงาน (และ
ด้านอื่นๆ) ได้กลายเป็นภาระแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า สหรัฐอเมริกาได้พยายามใช้อำนาจของตน
ไปบังคับการออกกฎหมายนอกดินแดนของตน หรืออาจกล่าวว่า สหรัฐอเมริกา
ได้ใช้อำนาจนอกสิทธิอาณาเขต (extra-territorial jurisdiction)8 ซึ่งในหลาย
กรณีที่รัฐเจ้าของดินแดนมิได้ยินยอมด้วย
138
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
139
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
5.5 ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการนำประเด็น
แรงงานเข้าสู่เวทีการเจรจาการค้า
กลุ ่ ม สนั บ สนุ น มี แ นวความคิ ด ว่ า การค้ า ระหว่ า งประเทศอย่ า ง
กว้างขว้างและอย่างเสรีสามารถนำไปสู่กระแสโลกาภิวัฒน์ (globalization)
อย่างรวดเร็ว ซึ่งการรองรับกระแสโลกาภิวัฒน์ที่รวดเร็วเกินไปอาจก่อให้เกิด
ปัญหาสังคมตามมาโดยเฉพาะปัญหาการเลียนแบบการบริโภค การเลิก
จ้ า งงาน และปั ญ หาขยะโดยเฉพาะในประเทศกำลั ง พั ฒ นา ด้ ว ยเหตุ น ี ้
การเจรจาการค้าในเวทีนานาชาติจึงควรนำประเด็นเรื่องปัญหาทางสังคม
อันเนื่องมาจากการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศ มาวิเคราะห์เพื่อ
บรรเทาปัญหาสังคมเหล่านั้น
140
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
กลุ่มคัดค้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศผู้ส่งออกที่เป็นประเทศกำลัง
พัฒนามีแนวความเชื่อว่า ประเด็นด้านแรงงานอาจนำไปสู่การสร้างอุปสรรค
ทางการค้าเพื่อปกป้องคุ้มครองอุตสาหกรรมและการจ้างงานภายในประเทศ
ผู้นำเข้า (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว) ทั้งนี้เพราะประเทศกำลัง
พั ฒ นามี ค ่ า จ้ า งแรงงานถู ก กว่ า และมี ม าตรการคุ ้ ม ครองแรงงานเข้ ม งวด
น้อยกว่า ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงานต่ำกว่า
สินค้าที่ผลิตในประเทศผู้นำเข้า (ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว)
กลุ่มคัดค้านมีแนวความคิดว่า ถ้าเมื่อใดเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโต
และสังคมเศรษฐกิจมีระดับการพัฒนาที่เหมาะสม ก็จะทำให้มีการเพิ่มความ
เข้มงวดในการคุ้มครองแรงงานเอง ดังนั้น การนำมาตรการด้านแรงงานเป็น
เงื่อนไขในการกีดกันทางการค้าย่อมนำไปสู่การชะลอการเจริญเติบโตของ
ประเทศผูส้ ง่ ออก (ซึง่ ส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา) และยิง่ เป็นการซ้ำเติม
มิ ใ ห้ ป ระเทศผู ้ ส ่ ง ออกสามารถพั ฒ นาระบบคุ ้ ม ครองแรงงานให้ ไ ด้ ต าม
มาตรฐานสากล
กลุ่มสนับสนุนส่งเสริมให้มีการนำประเด็นด้านมาตรฐานแรงงาน
เข้าสู่เวทีการเจรจา WTO ด้วยเหตุผลเรื่องหลักความเป็นธรรม (fairness
principle) อย่างน้อย 6 ประการดังนี้
(1) การแข่งขันทางการค้า อาจนำไปสู่ปัญหา "race to the
bottom" ของมาตรฐานแรงงาน กล่าวคือ เพื่อต้องการแข่งขันในการขาย
สินค้าในตลาดการค้าเสรี การลดต้นทุนการผลิตจะทำให้ผู้ประกอบการเอกชน
สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าคู่แข่งขันได้ หนทางหนึ่งในการลดต้นทุนคือ
การละเลยการคุ้มครองแรงงานหรือลดมาตรฐานแรงงานหรือกดขี่แรงงาน
โดยการจ่ายค่าจ้างต่ำและชั่วโมงการทำงานยาวขึ้นหรือการใช้แรงงานเด็ก
(ซึ่งมีค่าจ้างต่ำกว่าแรงงานผู้ใหญ่) หรือการใช้แรงงานนักโทษ (ซึ่งอาจไม่ต้อง
จ่ายค่าจ้างเลย) หรือการลดรายจ่ายในการปกป้องอันตรายจากการทำงาน
ของคนงาน รวมทั ้ ง การไม่ ส นั บ สนุ น ให้ ม ี ก ารจั ด ตั ้ ง องค์ ก รลู ก จ้ า งภายใน
หน่ ว ยงาน เพื ่ อ จั ก ได้ ไ ม่ ต ้ อ งมี ก ารเรี ย กร้ อ งการขึ ้ น ค่ า จ้ า งแรงงานและ
141
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
142
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
การที่ประเทศกำลังพัฒนาพยายามที่จะรักษามาตรฐาน
แรงงานของตนให้ ต ่ ำ ไว้ อาจทำให้ เ กิ ด ปั ญ หาเศรษฐกิ จ และสั ง คมในอี ก
ประเทศหนึ่งที่มีระดับมาตรฐานแรงงานสูงกว่า กล่าวคือผู้ประกอบการใน
ประเทศพัฒนาแล้ว (ซึ่งมักมีมาตรฐานแรงงานสูง) อาจไม่สามารถผลิตสินค้า
แข่งขันกับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา จนอาจต้องเลิกกิจการ
ภายในประเทศ (แล้วอาจจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศกำลังพัฒนาก็ได้)
ซึ ่ ง ย่ อ มส่ ง ผลให้ เ กิ ด การว่ า งงานและเศรษฐกิ จ ชะลอตั ว ได้ (ในประเทศ
พัฒนาแล้ว) ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่วิจารณ์ว่า การรักษาระดับมาตรฐานแรงงาน
ให้ ต ่ ำ นั ้ น เป็ น กิ จ กรรมที ่ ไ ม่ ย ุ ต ิ ธ รรมหรื อ ไม่ เ ป็ น ธรรม (unjust or unfair)
ต่อประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศผู้นำเข้าที่มีมาตรฐานแรงงานเข้มงวดกว่า
ถึงแม้ว่าผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้วจะได้ประโยชน์
จากราคาสินค้านำเข้าที่ถูกกว่าสินค้าที่ผลิตเองภายในประเทศแต่การนำเข้า
สินค้านี้เป็นการส่งเสริมให้มีการขูดรีดแรงงานในต่างประเทศหรือในโรงงาน
ประเภท sweatshop ด้วยเหตุน้ี การส่งเสริมการใช้มาตรฐานแรงงานระดับต่ำ
เปรียบเสมือนการไร้ศีลธรรม (immorality) เช่นกัน
(3) การปล่อยให้การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานมีความหย่อน
ยานอาจก่อให้เกิดช่วงห่างของการกระจายรายได้เพิ่มขึ้น (widening income
distribution gap) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำหนดอัตราค่าจ้างต่ำกว่าความ
เป็นจริงและการให้สวัสดิการแก่แรงงานน้อยเกินควรยิ่งเป็นการทำให้ผู้ใช้
แรงงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนได้รับรายได้ (ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน)
น้อยกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ถ้าบริษัทต่างชาติมาแสวงหาประโยชน์
โดยการลงทุนในประเทศที่มีมาตรฐานแรงงานต่ำและจะดูเหมือนว่าบริษัท
ต่างชาติเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากการกดขี่แรงงาน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
อาจเปรียบได้ว่าคนรวย (บริษัทต่างชาติ) เอาเปรียบคนจน (แรงงานราคาถูก)
อันอาจเป็นการไม่ยุติธรรม (unfair) สำหรับคนจน (ในประเทศกำลังพัฒนา)
[Suranovic, 2002: 235]
(4) การเลื อ กปฏิ บ ั ต ิ (discrimination) ในการค้ า ระหว่ า ง
ประเทศจะลดลงถ้ามีการปรับระดับมาตรฐานแรงงานให้เหมือนกันหรือใกล้เคียง
143
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
144
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
แรงงานหลักอาจสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมได้ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งมาตรฐานแรงงานที่เกี่ยวกับการกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำและ
การห้ามใช้แรงงานเด็ก กล่าวคือการกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำสามารถ
ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานได้ซึ่งจะกลายเป็นโทษแก่คนงานบางกลุ่มที่ไม่
สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้12 ดังนั้น กลุ่มผู้ว่างงานเหล่านี้อาจปรับตัวโดย
การประกอบอาชี พ อิ ส ระ (ค้ า ขายหาบเร่ / แผงลอย) ซึ ่ ง อาจมี ร ายได้ แ ละ
สวัสดิการน้อยกว่า หรือโดยการเป็นขอทาน (beggar) ข้างถนนหรือโดยการ
เดินทางกลับบ้านเกิดและกลายเป็นการผลักภาระเพิ่มขึ้นให้กับครอบครัวใน
ชนบทซึง่ อาจนำไปสูป่ ญ ั หาความยากจนในชนบทหรือทำให้ความยากจนในชนบท
มีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนการห้ามใช้แรงงานเด็กนั้นก็อาจเป็นการผลักดัน
ให้ ป ระกอบอาชี พ นอกระบบและผิ ด กฎหมาย เช่ น โสเภณี เ ด็ ก เนื ่ อ งจาก
ผู้ปกครองหรือครอบครัวของเด็กต้องการให้เด็กออกจากโรงเรียนมาทำงาน
หาเงิ น เพิ ่ ม เติ ม เพื ่ อ เลี ้ ย งครอบครั ว หรื อ จุ น เจื อ ครอบครั ว [Suranovic,
2002: 238]
(ข) การกำหนดมาตรฐานแรงงานมิได้เป็นหลักประกันเสมอ
ไปว่า คุณภาพชีวิตของคนงาน ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะดีขึ้น
ทัง้ นีข้ น้ึ อยูก่ บั ปัจจัยหลายประการ เช่น พฤติกรรมของนายจ้างในการจ้างงานที่
อาจจ้างคนงานน้อยลง เนื่องจากนายจ้างต้องมีต้นทุนด้านมาตรฐานแรงงาน
มากขึน้ พฤติกรรมของลูกจ้างทีต่ อบสนองต่อมาตรฐานแรงงาน13 ความจำเป็น
ด้านความมั่นคงทางรายได้ ซึ่งครอบครัวอาจต้องส่งเสริมการใช้แรงงานเด็ก
เพื่อให้หารายได้เพิ่มเติมให้เพียงพอแก่การดำรงชีพเป็นอย่างน้อย (เช่น
การขายของริมถนนหรือในแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว/ศาสนสถาน/สถานบันเทิง)
เป็นต้น
(ค) การบังคับให้มีข้อกำหนดเรื่องมาตรฐานแรงงานในเวที
การค้าระหว่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเข้ามาก้าวก่ายในการบริหาร
นโยบายภายในประเทศ หรื อ การสู ญ เสี ย อธิ ป ไตยการบริ ห ารนโยบาย
(sovereignty) ซึ่งแต่ละประเทศควรมีเสรีภาพในการกำหนดและบริหาร
145
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
146
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
สรุป
นอกจากเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์ผลได้-ผลเสีย
ของการกำหนดหรือบังคับใช้มาตรฐานแรงงานทั้งภายในประเทศและเวที
การเจรจาการค้าระหว่างประเทศทุกระดับแล้ว ยังมีเหตุผลทางการเมืองการ
ปกครองหรือกระบวนการทางการเมือง (political process) ที่มีส่วนผลักดัน
ให้มีการใช้มาตรฐานแรงงานอีกด้วย กล่าวคือ ถ้าการบังคับใช้มาตรฐาน
แรงงานมาจากแรงกดดั น ทางการเมื อ งระหว่ า งประเทศ (เช่ น ประเทศ
พัฒนาแล้วกดดันหรือผลักดันประเทศกำลังพัฒนาให้รีบดำเนินการจัดตั้ง
มาตรฐานแรงงานหลัก หรือออกกฎหมายด้านแรงงานที่เข้มงวดมากกว่าเดิม)
การกดดันทางการเมืองจากประเทศพัฒนาแล้วจะกลายเป็นปัญหาความ
ขั ด แย้ ง หรื อ ก่ อ ให้ เ กิ ด ความหวาดระแวงจากประเทศกำลั ง พั ฒ นาได้
โดยเฉพาะการหยิ บ ยกประเด็ น เรื ่ อ ง การบั ง คั บ ใช้ ม าตรการฝ่ า ยเดี ย ว
(unilateralism) กับเรื่องลัทธิกีดกันทางการค้าแอบแฝง (disguised protec-
tionism) มาโจมตีประเทศกำลังพัฒนา ยิ่งกว่านั้น ความขัดแย้งนี้ได้ถูกนำไป
เจรจาในเวทีของ WTO หรือในเวทีของธนาคารโลก (World Bank) หรือในเวที
ขององค์ ก ารสหประชาชาติ (UN) ทั ้ ง ทางตรงและทางอ้ อ มซึ ่ ง องค์ ก รทั ้ ง
สามแห่งนี้ย่อมได้รับอิทธิพลจากประเทศพัฒนาแล้วพอสมควร จึงกลายเป็น
หน้าที่สำคัญขององค์กร WTO และธนาคารโลกหรือ ILO (ซึ่งอยู่ภายใต้ UN)
ที ่ จ ะต้ อ งถ่ ว งดุ ล อำนาจการเจรจาของทั ้ ง ฝ่ า ยประเทศพั ฒ นาแล้ ว และ
ประเทศกำลังพัฒนาให้ได้อย่างเหมาะสม [Heintz, 2002: 5]
147
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
เชิงอรรถ
1
ในขณะเดียวกันประธานาธิบดี บิล คลินตัน กลับให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์
ท้องถิ่นในระหว่างเดินทางไปประชุมว่า "trade sanction might one day be used in
retaliation for labor-standard violations" ซึ่งได้สร้างผลกระทบต่อการประชุมครั้งนี้
เป็นอย่างมาก และทำให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่แสดงความไม่พอใจต่อข้อเสนอ
ของตัวแทนสหรัฐอเมริกาและของสหภาพยุโรป [www.wto.org/English/thewto_e/minist_e/
min01_e/brief_e/brief16_e.html]
2
และยังอาจมีบทบาทของ WTO ในการควบคุมมิให้มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติ
ด้านสิง่ แวดล้อม ตามมาตรา 20 (g) อีกด้วย
นัน่ คือ การส่งเสริมมาตรฐานแรงงานให้เข้มงวด อาจไม่สนับสนุนให้ประเทศนัน้
3
148
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
149
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ตลาดแรงงานเสรีจะกระตุ้นให้มีบุคคลเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นอันเป็นการเพิ่มอุปทาน
แรงงาน ในขณะที ่ อ ุ ป สงค์ ข องแรงงานลดลงอั น เนื ่ อ งมาจากอั ต ราค่ า จ้ า งขั ้ น ต่ ำ ที ่
กำหนดโดยภาครัฐหรือองค์กรไตรภาคี
150
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
µ¦µ¸É 4 Á¦¸¥Á¸¥¦³ÁÈoµÂ¦µÄ
o°¨µ¦oµÁ¦¸
°®¦´°Á¤¦·µ
®¦´°Á¤¦·µ-·¨¸ ®¦´°Á¤¦·µ-·Ã¦r ®¦´°Á¤¦·µ-°°Á¦Á¨¸¥
´´·¸ÉÁ¸É¥ª
o°´Â¦µ ´´·¸ÉÁ¸É¥ª
o°´Â¦µ ´´·¸ÉÁ¸É¥ª
o°´Â¦µ
- ´´·¸É 9 µ¦´ºÊ°´oµ - ´´·¸É 15 µ¦´ºÊ°´oµ - ´´·¸É 15 µ¦´ºÊ°´oµ
°£µ¦´
°£µ¦´
°£µ¦´
- ´´·¸É 18 ¦µ - ´´·¸É 17 ¦µ - ´´·¸É 18 ¦µ
- ´´·¸É 23
o°¥Áªo´ÉªÅ - ´´·¸É 21
o°¥Áªo´ÉªÅ - ´´·¸É 22
o°¥Áªo´ÉªÅ
Īµ¤¦n ª ¤¤º ° ¦³®ªn µ ´ ´Ê Īµ¤¦n ª ¤¤º ° ¦³®ªn µ ´ ´Ê --Ťn¦µ
o°ªµ¤Á¦ºÉ° °»´µ
³o°Á}µ¦nÁ¦·¤µ¦´´Äo ³o°Á}µ¦nÁ¦·¤µ¦´´Äo ´¸É 182
° ILO Á¨¥--
¤µ¦µÂ¦µ®¨´
° ILO ¨³ ¤µ¦µÂ¦µ®¨´
° ILO
o ° °¨o ° ´ °» ´ µ´ ¸É ¨³o ° °¨o ° ´ °» ´ µ
182 oª¥ (¤µ¦µ 18.5) ´¸É 182 oª¥ (¤µ¦µ 17.5)
´´·oµÂ¦µ¸É¤¸ÁºÊ°ªµ¤Á®¤º°´ ÅoÂn
x ĵ³¸É´Ê°Á}¤µ·
° ILO ´´Ê ¹ÎµÁ} o°¤¸
o°¨oµÂ¦µ¸É°¨o°´··Â¦µ
µ¨ ¨³ o°®µÂªµÄµ¦´´Äo··Â¦µ£µ¥Äo®¤µ¥Â¦µ
x ´Ê°¦³Á«¥º¥´ªnµµ¦´»µ¦oµÂ¨³µ¦¨»Ã¥µ¦n°¨µ¥®¤µ¥Â¦µÁ}·É¸ÉŤnÁ®¤µ³¤
x µ¦´·Ä
°´Ê° iµ¥ÄÁ¦ºÉ°ÄÇo°¦³µ«Ä®oµµ¦¦´¦µ
x o°Ä®o®¨´¦³´ªnµ¼o¸ÉÁ¸É¥ª
o°µ¤µ¦Á
oµ¦³ªµ¦¡·µ¦µ¸µoµÂ¦µÅo°¥nµÁ®¤µ³¤ ¨³ ¤¸µ¦
¦·®µ¦Â¨³´µ¦¦ª¤´Ê´·Ã¥«µ¨Â¦µo°¤¸ªµ¤Á}¦¦¤ ÁnµÁ¸¥¤´Â¨³Ã¦nÄ
x o°¤¸ªµ¤¦nª¤¤º°Â¨³¡¥µ¥µ¤®µµ°°
°{®µ¸ÉεĮo´Ê°¦³Á«¡°Ä ¨³Ä®oε³ε®¦º°ªµ¤
nª¥Á®¨º°µ»¨®¦º°®nª¥µ¸ÉÁ®¤µ³¤
x ··Â¦µµ¨ ¦³°oª¥ ··Äµ¦¤µ¤ ··Äµ¦¦ª¤´ªÂ¨³n°¦° µ¦®oµ¤Äo¦µ´´
j°»o¤¦°Â¦µÁÈ (°µ¥»
´ÊÉε ¨³¥Á¨·¦¼Âµ¦oµµ¸ÉÁ¨ª¦oµ¥¸É») ¨³ ÁºÉ°Å
µ¦Îµµ
(nµoµ
´ÊÉε εª´ÉªÃ¤Îµµ ¨³ »o¤¦°ªµ¤¨°£´¥Â¨³»
£µ¡µµ¦Îµµ)
Ä´´·oµµ¦´ºÊ°´oµ
°£µ¦´ ¸É¤¸ÁºÊ°ªµ¤oµÂ¦µÁ®¤º°´ ÅoÂn
x ³o°Å¤nÄoÁ®»¨Á¦ºÉ°«¸¨¦¦¤ ·Éª¨o°¤ ªµ¤¨°£´¥ µ¦»o¤¦°¸ª·Â¨³»
£µ¡
°´ªr¡º µ¦
»o¤¦°¦´¡¥r·µ{µ ¨³ÁºÉ°Å
Á¦ºÉ°·oµ¸ÉÁ¸É¥ª
o°´µ¦Äo¦µ¼o¡·µ¦ ´Ã¬ ¨³®nª¥µµ¦
»«¨ ĵ¦°°¦³Á¸¥°¥nµÂ°Â ¨³°¥nµÁ¨º°·´· Á¡ºÉ°¸´µµ¦oµ
Ä´´·ªnµoª¥
o°¥Áªo´ÉªÅ ¸É¤¸ÁºÊ°ªµ¤oµ¦´¡¥µ¦¤»¬¥rÁ®¤º°´ ÅoÂn
x ¦³»´Áªnµ ÁºÊ°®µ
°
o°¨ÄÁ¦ºÉ°µ¦oµ´Ê Åo®¤µ¥¦ª¤¹ ¤µ¦µ 20
° GATT oª¥ ¨³´Ê°¦³Á«
¤¸ªµ¤Á
oµÄ¦´ªnµ¤µ¦µ 20 (b)
° GATT ¦ª¤¹¤µ¦µ¦oµ·Éª¨o°¤¸ÉεÁ}Á¡ºÉ°j°»o¤¦°
´ªr¡ºÂ¨³¤µ¦µ 20 (g)
° GATT ¦ª¤¹ ¤µ¦µ¦ÄǸɻo¤¦°¦´¡¥µ¦¸É¤¸¸ª·Â¨³Å¤n¤¸¸ª·¸ÉĨo¼¡´»r
(¤µ¦µ 22.1)
¸É¤µ: Á°¡¨ ª·´¥ª¦¦Â¨³°ºÉÇ (2547: 25) ¨³
www.ustr.gov/trade_agreeements/bilateral/section_index.html
151
º··Õè 6
154
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
155
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
156
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
157
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
158
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
159
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ประการที่ห้า กระแสโลกาภิวัฒน์จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบ
การมีการปรับปรุงมาตรฐานแรงงานเอง เพราะมีการเรียนรู้จากบริษัทต่างชาติ
หรือบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในประเทศ นอกจากนี้ การยกระดับมาตรฐาน
แรงงาน อาจกลายเป็นการเครื่องมือในการสร้างภาพพจน์ที่ดีของบริษัท
เพื่อเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอนาคต ยิ่งกว่านั้น กลุ่มผู้ใช้แรงงาน
ย่อมประสงค์ที่จะทำงานในบริษัทที่มีมาตรฐานแรงงานสูง มากกว่าบริษัทที่มี
มาตรฐานแรงงานต่ำ และ
ประการที่หก บริ ษ ั ท ข้ า มชาติ ท ี ่ ไ ปลงทุ น ในประเทศกำลั ง
พัฒนา มักจะใช้มาตรฐานแรงงานที่สูงกว่าบริษัทท้องถิ่น อันอาจเป็นการ
ช่วยเสริมให้มีการปรับระดับมาตรฐานแรงงานภายในประเทศให้สูงขึ้นตาม
เช่น เงื่อนไขหรือสภาพการทำงานอาจดีขึ้น เป็นต้น
โดยสรุป ผลการศึกษาวิจัยเชิงเอกสารวิชาการครั้งนี้ สามารถแบ่ง
ได้เป็น 3 เรือ่ งใหญ่ๆ ได้แก่
(1) กรอบทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ที่มักใช้วิเคราะห์เรื่อง
ความสัมพันธ์ระหว่างมาตรฐานแรงงานกับการค้าระหว่างประเทศนั้นมีอยู่
ด้วยกันหลายทฤษฎี เช่น
(ก) การวิเคราะห์ต้นทุนที่อาจจะเพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการจัด
ทำมาตรฐานแรงงานให้เข้มงวดมากขึ้น
(ข) การวิเคราะห์ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบทางการค้า
อั น เนื ่ อ งมาจากการบั ง คั บ ใช้ ม าตรฐานแรงงานที ่
หย่อนยาน
(ค) การวิ เ คราะห์ ผ ลประโยชน์ แ ละผลเสี ย (cost-benefit
analysis) ของการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานให้เข้มงวด
ยิ่งขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ที่มีต่อทั้งประเทศกำลัง
พัฒนาเองและในประเทศคู่ค้าที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว
ตลอดจนการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง
160
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
161
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
162
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
163
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
แม้ว่าในสายตาของประเทศพัฒนาแล้วจะมองว่า ความ
หย่อนยานในการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานในประเทศกำลังพัฒนา อาจนำไป
สู ่ ก ารค้ า อย่ า งไม่ ย ุ ต ิ ธ รรม (unfair trade) หรื อ อาจจั ด เป็ น การอุ ด หนุ น
(จากภาครัฐ) เพือ่ ทุม่ ตลาด แต่ในสายตาของประเทศกำลังพัฒนา กลับมองว่า
การบังคับใช้มาตรฐานแรงงานนั้นสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็น
ต้องใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้า (เช่นความช่วยเหลือทางเทคนิคและ
การเงินขององค์กร ILO) ดังนั้นการนำมาตรฐานแรงงานมาเป็นข้ออ้างในการ
จำกั ด การค้ า จึ ง อาจจั ด ว่ า เป็ น การกี ด กั น ทางการค้ า และยั ง อาจนำไปสู ่
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา และในที่สุดจะกลายเป็น
การลดขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาในการยกระดับมาตรฐาน
แรงงานของตนในอนาคต
(1.6) เมื่อมาตรการคว่ำบาตรทางค้ามีความไม่เหมาะสม จึงมี
นักวิชาการบางท่านเสนอให้ใช้มาตรการติดฉลากที่บ่งบอกว่าสินค้าชนิดนี้
มิได้ใช้แรงงานเด็ก หรือสินค้าชนิดนี้มีการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานตามหลัก
สากล เพือ่ เป็นการบอกให้ผบู้ ริโภคเป็นผูต้ ดั สินใจในการรณรงค์เรือ่ งมาตรฐาน
แรงงานหรือสิทธิพื้นฐานของแรงงาน หรือสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้องค์การระหว่างประเทศอื่นๆ นอกเหนือ
จาก ILO เข้ามาช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการยกระดับมาตรฐาน
แรงงานให้อยู่ในระดับสากลมากขึ้น เช่น องค์การสหประชาชาติ องค์การ
UNICEF และธนาคารโลก เพื่อประโยชน์ของประชาชนและกลุ่มกรรมกร
ที่ยากจน
(2) จากการศึกษาบทบัญญัติของ GATT พบว่า ประเทศพัฒนาแล้ว
พยายามหาช่องทางที่จะนำเสนอเรื่องมาตรฐานแรงงานเข้าสู่บทบัญญัติ
ของ GATT แต่ เ มื ่ อ คณะทำงานและที ่ ป ระชุ ม คณะรั ฐ มนตรี ข อง WTO
พิจารณาแล้วว่า ช่องทางต่างๆที่เสนอมานั้นยังไม่หนักแน่นเพียงพอ อีกทั้ง
องค์กร ILO ได้ทำหน้าที่ด้านมาตรฐานแรงงานอยู่แล้วด้วย ประกอบกับ
ข้อเสนอเรื่องมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า ได้รับการคัดค้านจากประเทศ
164
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
กำลังพัฒนาทั้งหลาย ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพ
ยุโรปจึงได้นำประเด็นเรื่องมาตรฐานแรงงานนี้เข้าสู่เวทีการเจรจาการค้า
แบบทวิภาคีแทน
จากการศึ ก ษาข้ อ ตกลงการค้ า ภู ม ิ ภ าคของประเทศต่ า งๆ และ
ข้ อ ตกลงการค้ า เสรี ข องสหรั ฐ อเมริ ก าและของสหภาพยุ โ รปแล้ ว พบว่ า
มาตรการด้านแรงงานในข้อตกลงการค้าภูมิภาค มีน้อยกว่าในข้อตกลงการค้า
เสรีแบบทวิภาคี กล่าวคือ มาตรการด้านแรงงานในข้อตกลงการค้าภูมิภาค
เน้นเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีและการคุ้มครองแรงงานที่ห้ามมีการ
เลือกปฏิบัติระหว่างคนงานที่ถือสัญชาติของประเทศภาคี ในขณะที่ มาตรการ
ด้านแรงงานในข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคี เน้นการส่งเสริมการปรับปรุง
กฎหมายภายในประเทศภาคีให้สอดคล้องกับอนุสัญญาของ ILO ที่ประเทศ
คู่สัญญาเป็นสมาชิก และต้องปรับปรุงหรือยกระดับมาตรฐานแรงงานภายใน
ประเทศ โดยคำนึงถึงสิทธิพื้นฐานของแรงงานที่มักเป็นเกณฑ์ของสหรัฐ
อเมริกาและสหภาพยุโรปใช้อยู่ในปัจจุบัน (ซึ่งมีมิติมากกว่ามาตรฐานแรงงาน
หลักของ ILO) นอกจากนี้ ยังมีการระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามประเทศคู่สัญญา
ลดหย่อนผ่อนปรนมาตรการด้านแรงงาน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน
ระหว่างประเทศสำหรับประเทศของตนเอง มิเช่นนัน้ จะต้องมีขอ้ พิพาทเกิดขึน้
และหากประเทศใดถูกตัดสินว่าละเมิดข้อตกลง ประเทศนั้นจะเผชิญกับ
บทลงโทษทีช่ ดั เจน คือ จะถูกปรับเป็นเงินจำนวน 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะได้ลงนามในข้อตกลง
การค้าเสรีแบบทวิภาคีกับประเทศจีน ออสเตรเลียและญี่ปุ่น แล้ว (ซึ่งมิได้
มีบริบทด้านมาตรฐานแรงงาน) และขณะนี้ (2548 - 9) รัฐบาลไทยกำลังดำเนิน
การพิจารณาลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่คาด
กันว่า ข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคีกบั สหรัฐอเมริกา ในบริบทของมาตรการ
ด้ า นแรงงานนั ้ น อาจจะไม่ ส ่ ง ผลกระทบที ่ ร ุ น แรงต่ อ ไทยมากนั ก เพราะ
ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 182 แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ระบุ
ชั ด เจนในข้ อ ตกลงการค้ า เสรี แ บบทวิ ภ าคี ท ี ่ ส หรั ฐ อเมริ ก าลงนามร่ ว มกั บ
ประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมิได้มีการลงนามในอนุสัญญาที่
165
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
166
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
167
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
(ค) การศึกษาประเด็นเฉพาะเรื่องของมาตรฐานแรงงานหลัก
ในบางสถานประกอบการ เช่น การให้หรือจำกัดเสรีภาพของพนักงานหรือ
ลูกจ้าง5 การเลือกปฏิบัติของฝ่ายนายจ้าง การอำนวยความปลอดภัยชีว
อนามัยในการทำงานและสวัสดิการอื่นๆ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบตามลักษณะ
ของผู้ประกอบการ หรือ ตามประเภทของอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นในการ
จัดการหรือการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานที่แตกต่างกัน เป็นต้น
(ง) การศึกษาบทบาทของกลุ่มธุรกิจเอกชน กลุ่มผู้ใช้แรงงาน
รัฐบาล ประชาชนทัว่ ไปและองค์กรอืน่ ๆ (เช่น องค์กรคุม้ ครองผูบ้ ริโภค องค์กร
สหภาพแรงงาน) ที ่ เ กี ่ ย วข้ อ งกั บ การกำหนดหรื อ การส่ ง เสริ ม การจั ด ตั ้ ง
"มาตรฐานแรงงาน" ในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา เพื่อจะได้
ทราบกลไกการเจรจาและการต่อรองของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เช่น การศึกษา
กระบวนการและกลไกการเจรจาต่อรองของกลุ่มบุคคลต่างๆเพื่อการกำหนด
เงื่อนไขการจ้างงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน หรือ การศึกษากระบวนการ
และกลไกการจั ด ตั ้ ง "มาตรฐานแรงงานไทย มรท 8001-2546" ของ
กระทรวงแรงงาน และความพยายามของภาครั ฐ และภาคเอกชนที ่ จ ะนำ
มาตรฐานแรงงานนี้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าของไทย
เป็นต้น
168
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
169
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
เชิงอรรถ
อนุสัญญาฉบับที่ 87 ว่าด้วยเรื่องการให้เสรีภาพในการจัดตั้งองค์กรแรงงาน
1
อนุสญ
ั ญาฉบับที่ 98 ว่าด้วยการรวมตัวกันเจรจาต่อรอง และอนุสญั ญาฉบับที่ 111 ว่าด้วย
การเลือกปฏิบตั ใิ นการจ้างงานและการประกอบอาชีพ
2
เป็นทีค่ าดหมายว่า ประเทศไทยอาจจะต้องดำเนินการให้สตั ยาบันแก่มาตรฐาน
แรงงานหลักของ ILO ทุกฉบับ เนื่องจากประเทศไทยเองมีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
แรงงานที่มีความสอดคล้องกับมาตรฐานขององค์กร ILO อยู่บ้างแล้วและประเทศไทยอาจ
ต้ อ งเผชิ ญ กั บ แรงกดดั น จากการกำหนดมาตรฐานแรงงานจากประเทศที ่ พ ั ฒ นาแล้ ว
ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย (เช่น สหรัฐอเมริกา) ดังที่ปรากฏในเนื้อหาของข้อตกลงการค้า
เสรีแบบทวิภาคีกบั สหรัฐอเมริกา
ประกอบด้วย การไม่ใช้แรงงานบังคับ การกำหนดค่าตอบแทนการทำงาน
3
170
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
ทวีวัฒน์ เสนะล้ำ (2542). "องค์การการค้าโลก กับ แนวคิดเรื่องมาตรฐาน
แรงงานขั้นพื้นฐาน: ประเด็นปัญหาและทางเลือก" วิทยานิพนธ์
นิติศาสตร์มหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นิคม จันทรวิทูร (2531). ประเทศไทยกั บ ประมวลกฎหมายแรงงาน
ระหว่างประเทศ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-อ้างใน อร ชวลิตนิธกิ ลุ (2548)
นิรมล สุธรรมกิจ (2548). มาตรฐานสิง่ แวดล้อมกับระเบียบการค้าระหว่าง
ประเทศ เอกสารวิ ช าการหมายเลข 2 โครงการ WTO Watch
(จั บ กระแสองค์ ก ารการค้ า โลก) โดยได้ ร ั บ การสนั บ สนุ น จาก
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มกราคม
บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ (2548). "สิทธิแรงงานในกระแสโลกาภิวัตน์พัฒนา
(Worker's rights in globalization era)" เอกสารประกอบการ
สัมมนาวิชาการประจำปี 2548 เรื่อง สู่สังคมสมานฉันท์ จัดโดย
มูลนิธิชัยพัฒนา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม กระทรวงแรงงาน และ มูลนิธสิ ถาบันวิจยั
เพือ่ การพัฒนาประเทศไทย ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิต้ี จอมเทียน
ชลบุรี ระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2548
พรรณทิพย์ วัฒนกิจการ (2546). "WTO กับสิ่งแวดล้อม: เน้นการกีดกันทาง
การค้าระหว่างประเทศในประเด็นสิ่งแวดล้อม" วิทยานิพนธ์นิติ
ศาสตร์มหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
171
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
172
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ภาษาอังกฤษ
Aggarwal, M. (1995). "International trade labor standards and labor
market conditions; an evaluation of linkages." Working Paper
No. 95-06-C. Washington, D.C.: US International Trade
Commission, Office of Economics. -อ้างใน Busse (2002) Stern
and Terell (2003)
Akerlof, G.A. (1970). "The market for lemons: quality uncertainty
and the market mechanism." Quarterly Journal of Economics.
Vol. 84: 488-500.
Basu, Kaushik (2005). "Child labor and the law: notes on possible
pathologies." Economics Letters. Vol. 87: 169-174.
Beaulieu, Eugene; and James Gaisford (2002). "Labour and
Environmental Standards: The 'Lemon Problem' in
International Trade Policy." World Economy. Vol. 25 (1): 59-78.
173
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
174
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
175
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
176
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
177
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
Martin, Will; and Keith E. Maskus (1999). "Core Labor Standards and
Competitiveness: Implications for Global Trade Policy."
Review of International Economics. Vol. 9 (2) (May): 317-328.
Maskus, Keith; Thomas J. Rutherford; and Steven Selby (1995).
"Implications of changes in labor standards: a computational
analysis for Mexico." North American Journal of Economics
and Finance. Vol. 6 (2): 171-188.
Mutari, Ellen (2000). "The Fair Labor Standards Act of 1938 and
competing visions of the living wage." Review of Radical
Political Economics. Vol. 32 (3): 408-416.
Neumayer, Eric; and Indra de Soysa (2005). "Do trade openness,
foreign direct investment and child labor." World Development.
Vol.33 (1) (January): 43-63.
Neumayer, Eric; and Indra de Soysa (2006) "Globalization and the right
to free association and collective bargaining: an empirical
analysis." World Development. Vol.34 (1) (January): 31-49.
OECD (1994). Employment Outlook. Paris: Organisation for Economic
Cooperation and Development. -อ้างใน Van Beers(1998)
Swinnerton (1997) Torress (1996)
OECD (1996). Trade, Employment and Labour Standards: A Study
of Core Workers' Rights and International Trade. Paris:
Organisation for Economic Cooperation and Development.
-อ้างใน Busse (2002) Hefeker and Wunner (2002) Martin and
Maskus (1999)
178
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
179
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
180
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เอกสารอ้างอิงอืน่ ๆ
"Labour Issue is 'False Debate', Obscures Underlying Consesus,
WTO Chief Mike Moore Tells Unions." WTO NEWS: 1999 Press
Releases. Press/152 (28 November 1999).
"A Difficult Issue for Many WTO Member Governments." DOHA WTO
Ministerial 2001: Briefing Notes. Download from www.wto.
org/english/thewto_e/min01_e/brief16_e.htm
Websites
www.ustr.gov
www.ilo.org.
www.ilo.org/ilolex/index.html
181
°»´µ ®¦´- ®¦µ- Á¥°¦¤¸ ¸É»i °°Á¦Á¨¸¥ ¸ Å¥
อนุสญ
´¸É °Á¤¦·µ °µµ´¦
C 182* Dec 99 June 01 April 02 June 01 - Aug 02 Feb 01
C 176 Feb 01 - Sep 98 - - - -
C 160 June 90 May 87 April 91 - May 87 - -
C 150 Mar 95 March 80 Feb 81 - Sep 85 March -
02
C 147 June 88 Nov 80 Jul 80 May 83 - - -
C 144 June 88 Feb 77 Jul 79 June 02 June 79 Nov 90 -
C 138* - June 00 April 76 June 00 - April 99 May 04
ภาคผนวก ก
C 127 - - - - - - Feb 69
C 122 - June 66 June 71 June 86 Nov 69 Dec 97 Feb 69
C 116 - March 62 Oct 63 April 71 June 63 - Sep 62
C 105* Sep 91 Dec 57 June 59 - June 60 - Dec 69
C 104 - - - - - - Jul 64
ั ญา ILO ทีป่ ระเทศต่างๆ (บางประเทศ) ให้สตั ยาบัน
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
183
184
°»´µ ®¦´- ®¦µ- Á¥°¦¤¸ ¸É»i °°Á¦Á¨¸¥ ¸ Å¥
´¸É °Á¤¦·µ °µµ´¦ อนุสญ
C 100* - June 71 June 56 Aug 67 Dec 74 Nov 90 Feb 99
C 88 - Aug 49 June 54 Oct 53 Dec 49 - Feb 69
C 80 June 48 May 47 - May 54 Jan 49 Aug 47 Dec 47
C 74 April 53 May 52 - - - - -
C 58 Oct 38 - - Aug 55 June 92 - -
C 57 Oct 38 - - - - - -
C 55 Oct 38 - - - - - -
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
(ต่อ)
C 54 Oct 38 - - - - - -
C 53 Oct 38 - Nov 88 - - - -
C 29* - June31 - Nov 32 Jan 32 - Feb 69
C 19 - Oct 26 Sep 28 Oct 28 June 59 April 34 April 68
C 14 - - - - - May 34 April 68
´¥µ´ 14 86 77 54 58 24 14
¥Á¨· - 17 9 7 8 3 1
¦ª¤»· 14 69 68 40 50 21 13
(.«.2005)
ั ญา ILO ทีป่ ระเทศต่างๆ (บางประเทศ) ให้สตั ยาบัน
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ภาคผนวก ก (ต่อ)
185
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
186
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
ภาคผนวก ข
สรุปความอนุสญ
ั ญาของ ILO จำแนกตามหมวด
187
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
188
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
189
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ลูกจ้างไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม อย่างเท่าเทียมกันสำหรับคนงานชายและ
หญิงในงานที่มีค่าเท่ากันมา
C 111 Discrimination (Employment and Occupation)
Convention (1958) หรือ อนุสญ ั ญาว่าด้วยการเลือกปฏิบตั ิ (การจ้างงานและ
อาชีพ) ซึ่งเป็นการกำหนดให้ประเทศที่อยู่ภายใต้อนุสัญญารับรองว่าจะ
ประเทศและดำเนินการเพือ่ ส่งเสริมความเสมอภาคกันในโอกาสและการปฏิบตั ิ
ซึง่ ถือหลักจากเชือ้ ชาติ ผิว เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองการสืบเชือ้
สายหรือสังคมเดิมอันเป็นการลบล้างหรือทำให้เสื่อมเสียซึ่งความเสมอภาค
ในโอกาสหรือการปฏิบัติการจ้างทำงานและอาชีพ
C 156 Workers with Family Responsibilities Convention
(1981) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยคนงานซึ่งมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว
ซึ่งคำนึงถึงคนงานเพศชาย/หญิงที่มีภาระต้องเลี้ยงดูเด็ก หรือบุคคลอื่นใน
ครอบครัวที่ต้องได้รับการดูแล ให้ได้รับการปฏิบัติจากนายจ้างอย่างเท่าเทียม
กับคนงานที่ไม่มีภาระหน้าที่ต้องดูแลครอบครัว โดยไม่มีการแบ่งแยก
II. การจ้างงาน (EMPLOYMENT)
A. นโยบายการจ้างงาน (employment policy)
C2 Unemployment Convention, (1919) หรืออนุสัญญา
ว่ า ด้ ว ยการว่ า งงานซึ ่ ง เป็ น การให้ ป ระเทศสมาชิ ก ต้ อ งรายงานข้ อ มู ล การ
ว่างงาน อย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน และส่งเสริมให้นายจ้างลูกจ้าง ทั้งภาครัฐ
และเอกชนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการว่างงาน
C 122 Employment Policy Convention (1964) หรือ อนุสญ ั ญา
ว่าด้วยนโยบายการทำงาน เพื่อเป็นการกระตุ้นการเจริญเติบโตและพัฒนา
ทางเศรษฐกิจ การยกระดับการครองชีพความต้องการกำลังคน และการ
เอาชนะการว่างงานและการจ้างระดับต่ำ สมาชิกแต่ละประเทศต้องประกาศ
ใช้และดำเนินการตามนโยบายเชิงรุกซึ่งกำหนดขึ้น เพื่อส่งเสริมการจ้างงาน
190
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
191
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ว่ามีบริการจัดหางานโดยให้เปล่าแก่ประชาชน และต้องมีสำนักงานบริการ
จัดหางานในท้องถิ่น และเขตต่างๆ ตามความเหมาะสมในจำนวนที่เพียงพอ
และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สะดวกต่อนายจ้างและลูกจ้าง และให้มีคณะกรรมการ
ที่ปรึกษาเพื่อความร่วมมือระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในการดำเนินงาน
ของสำนั ก งานจั ด หางานและการพั ฒ นานโยบายจั ด หางาน พนั ก งานจั ด
หางานต้ อ งประกอบด้ ว ยเจ้ า หน้ า ที ่ ข องรั ฐ (ซึ ่ ง มี ส ถานภาพและสภาพ
การทำงานเป็ น อิ ส ระจากการเปลี ่ ย นแปลงใดๆ ของรั ฐ บาลและอิ ท ธิ พ ล
ภายนอกที่ไม่เหมาะสม) หน่วยงานที่มีอำนาจต้องดำเนินมาตรการที่จำเป็น
เพื ่ อ สร้ า งความมั ่ น คงในการร่ ว มมื อ อย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพระหว่ า งบริ ก าร
จัดหางานของรัฐและหน่วยงานจัดหางานของเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร
C. การส่งเสริมการฝึกอาชีวศึกษาและการอมรม
(vocational guidance and training)
C 142 Human Resources Development Convention (1975)
หรือ อนุสัญญาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งประเทศสมาชิกต้อง
จั ด ทำโครงการฝึ ก อบรมอาชี พ ด้ า นอาชี ว ะ ที ่ ส อดคล้ อ งกั บ สภาวะความ
ต้องการแรงงานในแต่ละประเทศ และปัจจัยทางสังคมของประเทศนั้นๆ ทั้งนี้
จะต้องอยู่บนหลักพื้นฐานของการไม่เลือกปฏิบัติ (non-discrimination)
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนงาน
D. การฟื้นฟูการทำงานของผู้พิการ
(rehabilitation and employment of
disabled persons)
C 159 Vocational Rehabilitation and Employment (Disabled
Persons) Convention (1983) หรือ อนุสัญญาว่าด้วย การฟื้นฟูด้านการฝึก
อาชีพและการจ้างงาน (บุคคลพิการ) ซึ่งเป็นการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการ
โดยเปิดโอกาสให้เข้าสมัครงานและได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันกับ
บุ ค คลธรรมดา ในการจ้ า งงานทั ้ ง ในเขตเมื อ งและเขตชนบท นอกจากนี ้
192
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
193
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
194
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
E. การปรึกษาหารือของไตรภาคี
(tripartite consultation)
C 144 Tripartite Consultation (International Labour
Standards) Convention (1976) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยการปรึกษาหารือ
ระบบไตรภาคี (มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ) โดยการให้สิทธิเท่าเทียม
กันแก่ฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ในการให้ข้อคิดเห็นในที่ประชุมใหญ่ข้อคิดเห็น
เกี่ยวกับมาตรฐานแรงงานของร่างอนุสัญญาต่างๆ ก่อนมีการลงนามให้
สัตยาบัน
V. แรงงานสัมพันธ์
(INDUSTRIAL RELATION)
เหมือนกรณีของหมวด I.A ข้างต้น
VI. สภาพการทำงาน
(CONDITION OF WORK)
A. ค่าจ้าง (wages)
1. ค่ า จ้ า งขั ้ น ต่ ำ (minimum wage-fixing machinery)
C 26 Minimum Wage-Fixing Machinery Convention (1928)
C 99 Minimum Wage Fixing Machinery (Agriculture)
Convention (1951)
C 131 Minimum Wage Fixing Convention (1970)
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ สำหรับคนงานที่ทำงานในโรงงานที่มีการ
ใช้ เ ครื ่ อ งจั ก รเป็ น หลั ก สำหรั บ คนงานในภาคอุ ต สาหกรรม (C26) ภาค
เกษตรกรรม (C99) และผู้ด้อยโอกาส (C131)
196
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
B. เงื่อนไขทั่วไปในการทำงาน
(general conditions of employment)
1. ชัว่ โมงการทำงาน (hours of work)
C1 Hours of Work (Industry) Convention (1919) หรือ
อนุ ส ั ญ ญาว่ า ด้ ว ยชั ่ ว โมงการทำงาน (งานอุ ต สาหกรรม) โดยกำหนดว่ า
การทำงานนั้นโดยเฉลี่ยไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
(รวมการทำงานล่วงเวลาแล้ว ต้องไม่เกิน 57 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่สำหรับ
งานใต้ดนิ เช่นเหมืองแร่ ให้ไม่เกิน 48 ชัว่ โมงต่อสัปดาห์)
C 30 Hours of Work (Commerce and Offices) Convention
(1930) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยชั่วโมงการทำงาน (งานพานิชยกรรมและ
สำนักงาน) โดยกำหนดว่าการทำงานนัน้ โดยเฉลีย่ ไม่เกิน 10 ชัว่ โมงต่อวัน หรือ
48 ชัว่ โมงต่อสัปดาห์ สามารถขาดงานได้ไม่เกิน 30 วันต่อปี
197
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
198
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
199
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
C. ความปลอดภัยในอาชีพและสุขอนามัย
(occupational safety and health)
1. บททัว่ ไป (general provisions)
C 31 Hours of Work (Coal Mines) Convention, 1931
(withdrawn) -ถอน
C 97 Migration for Employment Convention (Revised) (1949)
หรื อ อนุ ส ั ญ ญาว่ า ด้ ว ยการอพยพเพื ่ อ การทำงาน ซึ ่ ง กำหนดการให้
ประเทศสมาชิกต้องจัดเตรียมบริการช่วยเหลือเพือ่ ให้ผอู้ พยพ และชาวต่างชาติ
ได้รับการจ้างงาน รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (การบริการนี้
ยังอาจรวมถึงการอำนวยความสะดวกด้านการเปลี่ยนที่อยู่ การเดินทาง
และการรั บ รองต้ อ นรั บ ชาวต่ า งชาติ ตามแต่ ค วามเหมาะสมของประเทศ
สมาชิก) โดยต้องปฏิบัติกับบุคคลเหล่านี้เสมือนเป็นคนในชาติ ไม่มีการ
แบ่งแยกในเรือ่ ง เพศ สัญชาติ สีผวิ ศาสนา เป็นต้น และต้องจัดให้มกี ารดูแล
ทางการแพทย์ แ ละสุ ข อนามั ย ระหว่ า งการเดิ น ทางแก่ ช าวต่ า งชาติ แ ละ
ครอบครัว
C 155 Occupational Safety and Health Convention (1981)
หรื อ อนุ ส ั ญ ญาว่ า ด้ ว ยความปลอดภั ย และสุ ข ภาพอนามั ย ในการทำงาน
โดยต้องมีการวางมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและ
การบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการทำงานและมีการออกแบบ ตรวจสอบ ดูแล
ซ่อมบำรุง วัสดุต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรม
เตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เพื่อความปลอดภัย และจัดให้มีการติดต่อ
ประสานงานกันระหว่างกลุ่มคนงานเพื่อช่วยยกระดับด้านความปลอดภัย
ถ้าให้ดีควรประสานงานกันในระดับประเทศด้วย
C 161 Occupational Health Services Convention (1985)
หรืออนุสัญญาว่าด้วยการบริการด้านอาชีวอนามัย โดยการป้องกันคนงาน
จากการเจ็บป่วย ติดเชื้อ และได้รับบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการทำงาน ทั้งนี้
200
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
201
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ป้องกันอันตรายจากการระเหยของสารเบนซินแล้ว และควรมีการตรวจสอบ
ดูแลจากภาครัฐด้วย
C 139 Occupational Cancer Convention (1974) หรือ อนุสญ
ั ญา
ว่ า ด้ ว ยโรคมะเร็ ง จากการทำงาน โดยประเทศสมาชิ ก ต้ อ งพยายามลด
การทำงานที่มีเกี่ยวข้องกับสารก่อมะเร็ง โดยให้งานเหล่านั้นหันไปใช้สาร
ที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งแทน และต้องมีระบบการตรวจร่างกายคนงาน เพื่อวัดผล
การทำงานว่าระยะเวลาการทำงานสัมพันธ์กับการก่อมะเร็งหรือไม่
C 162 Asbestos Convention (1986) หรือ อนุสัญญาว่าด้วย
แร่ใยหิน โดยเน้นความปลอดภัยในการใช้แร่ใยหิน อนุสัญญานี้บังคับกับงาน
ที ่ ล ู ก จ้ า งต้ อ งเกี ่ ย วข้ อ ง หรื อ ใช้ ส ารแร่ ใ ยหิ น ในการทำงาน การจะยกเว้ น
การบั ง คั บ ใช้ บ ทบั ญ ญั ต ิ บ างส่ ว นของอนุ ส ั ญ ญานี ้ ก ั บ งาน หรื อ กิ จ การใด
ต้องมีเหตุผลเพราะไม่จำเป็นต้องบังคับใช้กับงานหรือกิจการนั้นๆ รัฐบาล
ต้องกำหนดกฎหมายและข้อบังคับ เพื่อวางมาตรการป้องกัน ควบคุม และ
คุ ้ ม ครองคนงานจากอั น ตรายต่ อ สุ ข ภาพอั น เนื ่ อ งจากการได้ ร ั บ แร่ ใ ยหิ น
รวมทั้งรัฐบาลต้องปรึกษากับผู้แทนองค์กรลูกจ้าง และนายจ้างข้างมาก
เกี่ยวกับมาตรการทั้งหลายที่จะดำเนินการเพื่อให้ได้ผลตามอนุสัญญานี้
ในกรณีที่จำเป็น กฎหมายของประเทศต้องกำหนดมาตรการทดแทนการใช้
สารแร่ ใ ยหิ น ด้ ว ยสารอื ่ น ที ่ อ ั น ตรายน้ อ ยกว่ า หรื อ ห้ า มใช้ ส ารแร่ ใ ยหิ น
ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในกระบวนการงานบางประเภท
เครือ่ งจักร (machinery)
C 119 Guarding of Machinery Convention (1963) หรื อ
อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันอันตรายจากเครื่องจักร ว่าด้วยการให้ความ
คุ้มครองแก่ผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักรโดยกำหนดให้มีเครื่องป้องกันอันตราย
จากเครื ่ อ งจั ก รในกรณี ท ี ่ ม ี ก ารขาย การให้ เ ช่ า การโยกย้ า ยและการนำ
ออกแสดง ตลอดจนการห้ า มใช้ เ ครื ่ อ งจั ก รที ่ ไ ม่ ม ี เ ครื ่ อ งป้ อ งกั น อั น ตราย
อั น เหมาะสมตรงส่ ว นที ่ ท ำงานของเครื ่ อ งจั ก ร ซึ ่ ง ประเทศที ่ ใ ห้ ส ั ต ยาบั น
202
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
203
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
3. การปกป้องคุ้มครองการทำงาน
ในกิจกรรมบางประเภท
(protection in given branches of activity)
อุตสาหกรรมก่อสร้าง (building industry)
C 62 Safety Provisions (Building) Convention (1937) หรือ
อนุสัญญาว่าด้วยบทบัญญัติเรื่องความปลอดภัย (อาคาร) โดยเน้นการ
ออกแบบและวางผังการสร้างโรงงานต้องมีความปลอดภัยต่อคนงานก่อสร้าง
เช่น นัง่ ร้าน และเครือ่ งมือก่อสร้าง
การพาณิชย์และสำนักงาน (commerce and office)
C 120 Hygiene (Commerce and Offices) Convention (1964)
หรือ อนุสัญญาว่าด้วยสุขลักษณะ (งานพาณิชย์และสำนักงาน) โดยเน้นให้
คนงานต้ อ งได้ ร ั บ เครื ่ อ งมื อ ที ่ ผ ่ า นการทำความสะอาด อากาศที ่ บ ริ ส ุ ท ธิ ์
แสงสว่างพอเพียง อุณหภูมิพอเหมาะ สถานที่ทำงานที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
และการเจ็บป่วย น้ำดื่มที่สะอาดและต้องมีเครื่องมือสำหรับคนงานในการ
ชำระล้างทำความสะอาด เป็นต้น
การทำงานบนเรือ (dock work)
C 27 Marking of Weight (Packages Transported by
Vessels) Convention (1929) หรือ อนุสญ ั ญาว่าด้วยการระบุนำ้ หนัก (หีบห่อ
ที่ขนส่งโดยเรือเดินทะเล) ซึ่งต้องมีการระบุน้ำหนักของหีบห่อ สำหรับหีบห่อ
ทีม่ นี ำ้ หนักอย่างน้อย 1 ตัน โดยมีการ marked ระบุนำ้ หนักรวมไว้ทภ่ี ายนอก
หีบห่อ ก่อนทีจ่ ะบรรทุกขึน้ เรือขนส่ง
C 28 Protection against Accidents (Dockers) Convention,
1929 (shelves)
C 32 Protection against Accidents (Dockers) Convention
(Revised) (1932) หรือ อนุสญ
ั ญาว่าด้วยการคุม้ ครองอุบตั เิ หตุ (คนงานท่าเรือ)
204
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
โดยต้องคุ้มครองอุบัติเหตุคนงานที่ทำงานกับการยกสิ่งของขึ้น (loading)
หรือ การยกสิ่งของลง (unloading ships) โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวางที่เป็น
อั น ตราย, ที ่ ว ่ า งระหว่ า งท่ า จอดเรื อ ต้ อ งมี ก ว้ า งไม่ น ้ อ ยกว่ า 3 ฟุ ต (90
เซนติเมตร) โดยปราศจากต้นไม้หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ , ทางโค้งทางเบี่ยงหรือ
ทางเดิ น ที ่ อ ั น ตราย ต้ อ งมี ร ั ้ ว กั ้ น สู ง อย่ า งต่ ำ 2 ฟุ ต ครึ ่ ง (75 เซนติ เ มตร)
และต้องล้อมรัว้ เป็นระยะทางไม่นอ้ ยกว่า 5 หลา (4 เมตรครึง่ )
C 152 Occupational Safety and Health (Dock Work)
Convention (1979) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยและสุขภาพ
อนามัยในการทำงาน (งานท่าเรือ) โดยต้องมีสภาพที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
และการบาดเจ็บจากการทำงาน
D. สวัสดิการสังคม ที่อยู่อาศัยและการพักผ่อน
(social service, housing and leisure)
ยังไม่มีอนุสัญญาใดกล่าวถึงเรื่องนี้
VII. การประกันสังคม (SOCIAL SECURITY)
A. สวัสดิการสังคมพืน้ ฐาน (comprehensive standards)
ที่ครอบคลุมด้านต่างๆตามที่ปรากฏในส่วน
B ข้างล่างนี้
C 102 Social Security (Minimum Standards) Convention
(1952) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยการประกันสังคม (มาตรฐานขั้นต่ำ) ซึ่งต้อง
คำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้ การดูแลทางการแพทย์ ผลที่ได้รับจากการเจ็บป่วย,
ผลที่ได้รับจากการว่างงาน, ผลที่ได้รับจากการชราภาพ, ผลที่ได้รับจาก
บาดเจ็บระหว่างทำงาน, ผลประโยชน์ของครอบครัว (เช่น การให้ปัจจัย 4
แก่เด็ก และการจัดให้มีวันหยุดพักผ่อนเพื่อครอบครัว) ผลที่ได้รับจากการ
ทุพพลภาพ ผลที่ได้รับจากการลาคลอด ผลประโยชน์ที่ทายาทหรือผู้รับผล
ประโยชน์ได้รับจากการที่ผู้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้เสียชีวิต จนกระทั่ง
บุคคลเหล่านั้นช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว (incapable of self-support)
205
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
207
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
3. การบาดเจ็บจากการทำงาน
(employment injury benefit)
C 12 Workmen's Compensation (Agriculture) Convention
(1921) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยค่าทดแทน (งานเกษตรกรรม) โดยประเทศ
สมาชิกที่ลงนามต้องออกกฎหมายที่ครอบคลุมรวมผู้ได้รับค่าจ้างทั้งหมด
จากภาคเกษตรกรรมให้ได้รับการจ่ายค่าทดแทน ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บหรือ
อุบัติเหตุอันเนื่องมาจากการทำงาน
C 17 Workmen's Compensation (Accidents) Convention
(1925) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยค่าทดแทน (อุบัติเหตุ) โดยประเทศสมาชิก
ต้องให้การรับรองว่าคนงานในภาคอุตสาหกรรมที่จะได้รับอุบัติเหตุจากการ
ทำงานจะได้รับค่าชดเชยโดยจ่ายให้ผู้ประสบเหตุหรือผู้พึ่งพิง (dependants)
ในกรณีทบ่ี าดเจ็บจนถึงขัน้ พิการถาวรหรือเสียชีวติ ค่าชดเชยจะจ่ายเป็นงวดๆ
โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือครอบคลุมเพียงบางส่วน แต่ต้องเพียงพอ
ตามความเหมาะสม
C 18 Workmen's Compensation (Occupational Diseases)
Convention (1925)
C 42 Workmen's Compensation (Occupational Diseases)
Convention (Revised) (1934) หรือ อนุสญ ั ญาว่าด้วยค่าทดแทน (โรคอันเนือ่ ง
จากการทำงาน) โดยประเทศสมาชิกต้องจัดให้มีการจ่ายค่าทดแทนแก่คนงาน
ทีป่ ว่ ยเป็นโรคอันเนือ่ งมาจากการทำงาน และจ่ายให้กบั ผูพ้ ง่ึ พิง(dependants)
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคจนเสียชีวิต ระเบียบต่างๆให้อิงตามค่าทดแทนที่
จ่ายให้กับอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม
C 19 Equality of Treatment (Accident Compensation)
Convention (1925) หรือ อนุสญ ั ญาว่าด้วยการปฏิบตั ทิ เ่ี ท่าเทียมกัน (ค่าตอบ
แทนกรณีประสบอุบัติเหตุ) ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในเรื่องค่าทดแทน
สำหรับคนงานชาติในบังคับและคนงานต่างชาติ กำหนดให้ประเทศสมาชิก
208
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
209
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ต้องกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมการมีงานทำที่ก่อให้เกิดผลผลิต โดยควร
มี ก ารจั ด ตั ้ ง โครงการพิ เ ศษขึ ้ น เพื ่ อ ส่ ง เสริ ม โอกาสในการทำงานเพิ ่ ม ขึ ้ น
สำหรั บ บุ ค คลด้ อ ยโอกาสโดยเฉพาะ รวมทั ้ ง คนงานที ่ ไ ด้ ร ั บ ผลจากการ
เปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง นอกจากนี้ต้องมีการประกันการว่างงานเต็มเวลา
(สำหรั บ ผู ้ ท ี ่ ย ั ง หางานที ่ เ หมาะสมทำไม่ ไ ด้ และพยายามหางานทำอยู ่ )
หรื อ อาจขยายไปถึ ง การว่ า งงานบางเวลา การไม่ ไ ด้ ร ั บ เงิ น เดื อ นชั ่ ว คราว
หรือถูกลดเงินเดือน เนื ่ อ งจากหยุ ด งานชั ่ ว คราวก็ ไ ด้ สำหรั บ การจ่ า ยผล
ประโยชน์ทดแทนสำหรับการว่างงานเต็มเวลา หรือการหยุดงานชั่วคราว
กำหนดระยะเวลาการจ่ายไว้ 26 สัปดาห์ สำหรับการว่างงานแต่ละครั้ง หรือ
ถึง 39 สัปดาห์ในกรณีการว่างงานมากกว่า 24 ชั่วโมง
5. สวัสดิการกรณีการลาคลอด (maternity benefits)
C3 Maternity Protection Convention, 1919
C 103 Maternity Protection Convention (Revised) (1952) หรือ
อนุ ส ั ญ ญาว่ า ด้ ว ยการคุ ้ ม ครองการเป็ น มารดา โดยครอบคลุ ม ลู ก จ้ า ง
ในภาคอุตสาหกรรมทั้งภาครัฐและเอกชน (ให้รวมงานเหมืองแร่ งานขาย
งานซ่อมแซม งานทำความสะอาด งานขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ
ฯลฯ) และภาคนอกอุตสาหกรรม (ให้รวมถึง งานพาณิชย์ งานบริการตาม
โรงแรม คลับ บาร์ สโมสร งานโรงภาพยนตร์ งานบ้าน) ประเทศสมาชิกควรออก
กฎหมายกำหนดระยะเวลาการลาคลอดไม่นอ้ ยกว่า 12 สัปดาห์ (รวมระยะพัก
ฟื้นหลังคลอดบุตรด้วย) และระยะพักฟื้นหลังคลอดบุตรต้องไม่น้อยกว่า 6
สัปดาห์
6. สวัสดิการครอบครัว (family benefits)
เหมือนกับกรณี A ข้างต้น
210
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
VIII. การทำงานของสตรี
(EMPLOYMENT OF WOMEN)
นอกเหนือจากสิทธิที่พึงได้รับตามที่ปรากฏในหมวด (I) แล้ว ยัง
ประกอบด้วย
A. การคุม้ ครองการลาคลอด (maternity Protection)
C3 Maternity Protection Convention, 1919
C 103 Maternity Protection Convention (Revised) (1952) หรือ
อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองการลาคลอด โดยใช้กับสตรีทำงานในภาค
อุตสาหกรรม และในงานทีม่ ใิ ช่กบั หญิง และอาชีพเกีย่ วกับเกษตรกรรม รวมทัง้
สตรี ท ี ่ ม ี ร ายได้ เ ป็น ค่ า จ้ า งจากการทำงานที ่ บ ้ า น เงื ่ อ นไขในการลาคลอด
ประโยชน์ทดแทนที่เป็นตัวเงินและประโยชน์ทดแทนด้านการรักษาพยาบาล
B. การทำงานเวลากลางคืน (night work)
ประกอบด้วยอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการห้ามไม่ให้จ้างแรงงาน
ผู้หญิงเข้าทำงานไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตามในการทำงานเวลากลางคืน ไม่ว่า
จะเป็นอุตสาหกรรมใดๆก็ตามทัง้ ได้แก่ C 4 Night Work (Women) Conven-
tion (1919) C 41 Night Work (Women) Convention (Revised) (1934) และ
C 89 Night Work (Women) Convention (Revised) (1948)
C. การทำงานในใต้ดนิ (underground work)
C 45 Underground Work (Women) Convention (1935) หรือ
อนุสัญญาว่าด้วยการทำงานใต้ดิน ซึ่งมีการระบุว่า สตรีไม่ว่าอายุเท่าใดก็ตาม
จะต้องไม่ได้รับการจ้างงานในเหมืองแร่ทุกแห่ง
211
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
IX. การทำงานของเด็กและเยาวชน
(EMPLOYMENT OF CHILDREN AND
YOUNG PERSONS)
A. อายุขน้ั ต่ำ (minimum age)
C5 Minimum Age (Industry) Convention,1919
C 59 Minimum Age (Industry) Convention (Revised) (1937)
เป็นอนุสัญญาที่กำหนดเงื่อนไขอายุขั้นต่ำที่เด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีต้องไม่ได้
รับการจ้างงานจากอุตสาหกรรมทั้งภาครัฐและภาคเอกชนหรือสาขาต่างๆ
C 10 Minimum Age (Agriculture) Convention (1921) เป็น
อนุสัญญาที่กำหนดเงื่อนไขเด็กอายุต่ำกว่าสิบสี่ปีจะต้องไม่ได้รับการจ้างงาน
จากภาคการเกษตรทั้งภาครัฐและเอกชนหรือสาขาต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริม
ให้เด็กได้รับการศึกษาเป็นเวลาหกชั่วโมงในโรงเรียน ถ้าเป็นการจ้างงาน
นอกจากเวลาเรียนต้องไม่จ้างงานที่ส่งผลกระทบหรือผลเสียต่อการเข้าเรียน
ของเด็ก
C 33 Minimum Age (Non-Industrial Employment) Conven-
tion, 1932
C 60 Minimum Age (Non-Industrial Employment) Conven-
tion (Revised) (1937) เป็นอนุสัญญาที่กำหนดเงื่อนไขอายุขั้นต่ำที่เด็กอายุ
ต่ำกว่าสิบห้าปีหรือเด็กที่มีอายุมากกว่าสิบห้าปี ที่ต้องได้รับการศึกษาภาค
บังคับจะต้องไม่ได้รับการจ้างงาน เด็กอายุมากกว่าสิบสามปีสามารถได้รับ
การจ้างงานในงานเบาๆได้ นอกเหนือเวลาที่เด็กต้องเข้าเรียน
C 123 Minimum Age (Underground Work) Convention (1965)
เป็นอนุสัญญาที่กำหนดอายุขั้นต่ำที่อนุญาตให้ทำงานในเหมืองใต้ดิน แต่ละ
ประเทศสมาชิกต้องไม่จ้างหรือให้บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าที่กำหนดทำงานใต้ดิน
212
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
213
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
214
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
215
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
216
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
B. คนงานในเขตดินแดนการปกครอง
(workers in non-metropolitan territories )
ประกอบด้วยอนุสัญญาที่เกี่ยวกับนโยบายทางสังคม มาตรฐาน
แรงงานที่กำหนด สิทธิในการรวมตัวกัน และการตรวจสอบแรงงานในชนบท
ตลอดจนถึงการพัฒนาคนให้มีความเท่าเทียมกับคนในเขตเมืองอันได้แก่
C 82 Social Policy (Non-Metropolitan Territories) Convention (1947)
C 83 Labour Standards (Non-Metropolitan Territories) Convention (1947)
C 84 Right of Association (Non-Metropolitan Territories) Convention
(1947) และ C 85 Labour Inspectorates (Non-Metropolitan Territories)
Convention (1947)
C. ประชากรพื้นเมืองและชนเผ่า
(indigenous and tribal populations)
C 107 Indigenous and Tribal Populations Convention (1957)
หรือ อนุสัญญาว่าด้วยประชากรพื้นเมืองและชนเผ่า โดยเน้นการให้การ
คุ ้ ม ครองและการรวบรวมชนพื ้ น เมื อ งและประชากรที ่ เ ป็ น ชนเผ่ า และกึ ่ ง
ชนเผ่าอื่นๆ ให้เข้ากับประชากรของชาติในประเทศเอกราช เพราะคนเหล่านี้
มักด้อยสิทธิและโอกาสในด้านต่างๆ จึงควรก่อให้เกิดบูรณะภาพโดยใช้วิธีการ
ปฏิบัติเท่าเทียมกันแก่พลเมืองทุกคน
XIII.อาชีพเฉพาะ (OTHER SPECIAL CATEGORIES)
A. คนเดินเรือ (seafarers)
ประกอบด้วยอนุสัญญาที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่างๆเกี่ยวกับคนงาน
เดิ น เรื อ เงื ่ อ นไขในการรั บ เข้ า ทำงาน อายุ ข ั ้ น ต่ ำ ในการทำงานการตรวจ
ทางการแพทย์สำหรับผู้ที่ทำงาน การกำหนดค่าจ้าง ชั่วโมงการทำงานและ
การจัดการ อาหารและที่อยู่ของลูกเรือตลอดจนสวัสดิการต่างๆที่ลูกเรือ
ควรได้รับ การได้รับการปกป้องสุขภาพร่างกายและการดูแลรักษาทางการ
217
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
218
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
219
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
220
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
221
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
ตรวจดูสุขภาพสมาชิกในครอบครัวผู้อพยพด้วย หากครอบครัวคนงานไม่ได้
อพยพไปด้ ว ย ให้ ก ำหนดระยะเวลาทำงานยาวที ่ ส ุ ด (ไม่ ร วมระยะเวลา
เดินทาง) ต้องไม่เกิน 12 เดือน แต่ถา้ มีครอบครัว ต้องไม่เกิน 2 ปี และรัฐต้อง
มี ก ารกำหนดค่ า จ้ า งขั ้ น ต่ ำ โดยให้ จ ่ า ยเป็ น เงิ น ตราตามกฎหมายรวมทั ้ ง
พิจารณาวันหยุดพักผ่อนและการสงเคราะห์ทางแพทย์ด้วย
F. ผู ้ เ ช่ า และผู ้ ไ ด้ ร ั บ การแบ่ ง ปั น ผลผลิ ต (tenants
and share-croppers)
-ไม่มีอนุสัญญาเรื่องนี้
G. อาชีพพยาบาล (nursing personnel)
C 149 Nursing Personnel Convention (1977) หรือ อนุสัญญา
ว่าด้วยผู้ที่ทำงานด้านพยาบาล โดยมีการกำหนดด้วยเงื่อนไขในการจ้างงาน
และการทำงาน ชั่วโมงในการทำงาน วันหยุดงาน การลาคลอด การลาป่วย
รวมทั้งการให้การศึกษาและการอบรมผู้ที่ทำงานด้านพยาบาลนั้นจะต้อง
มีกฎหมายมารองรับ ผู้ที่ทำงานด้านพยาบาลในที่นี้หมายถึงผู้ที่ให้การรักษา
และการให้บริการด้านสาธารณสุข
222
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
223
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เอกสารข้อมูล
หมายเลข 1 ระเบียบการค้าสินค้าเกษตรภายใต้ GATT/WTO
โดย จิตติมา เกรียงมหศักดิ์
มิถนุ ายน 2547
หมายเลข 2 ข้อมูลเปรียบเทียบข้อตกลงการค้าเสรี
US-Australia FTA และ Thailand-Australia FTA
โดย ทิวารัตน์ ลาภวิไล
ประภาภรณ์ ซือ่ เจริญกิจ
กรกฎาคม 2547
หมายเลข 3 ข้อมูลเปรียบเทียบข้อตกลงการค้าเสรี
US-Chile FTA
US-Singapore FTA
และ US-Australia FTA
โดย ทิวารัตน์ ลาภวิไล
ประภาภรณ์ ซือ่ เจริญกิจ
เอกพล จงวิลัยวรรณ
ตุลาคม 2547
หมายเลข 4 การเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮา
โดย สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล
พฤศจิกายน 2547
หมายเลข 5 คลังข้อมูล FTAs
โดย อิสร์กลุ อุณหเกตุ
เมษายน 2548
225
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
226
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เอกสารวิชาการ
หมายเลข 1 GMOs ภายใต้ระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
โดย สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล
ตุลาคม 2547
หมายเลข 2 มาตรฐานสิ่งแวดล้อมกับระเบียบการค้าระหว่างประเทศ
โดย นิรมล สุธรรมกิจ
มกราคม 2548
หมายเลข 3 GATS ความตกลงว่าด้วยการค้าบริการ
โดย พรเทพ เบญญาอภิกลุ
พฤษภาคม 2548
หมายเลข 4 การเจรจาการค้าพหุภาคีรอบอุรุกวัย
โดย สิทธิกร นิพภยะ
พฤษภาคม 2548
หมายเลข 5 สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication)
โดย ศิรยา เลาหเพียงศักดิ์
มิถนุ ายน 2548
227
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
หมายเลข 6 มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด:
ข้อตกลงและประสบการณ์
โดย ธรรมวิทย์ เทอดอุดมธรรม
มิถนุ ายน 2548
หมายเลข 7 สิทธิบัตรกับการเข้าถึงยา
โดย สิทธิกร นิพภยะ
กันยายน 2548
หมายเลข 8 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม :
การปรับตัวยุคการค้าเสรี
โดย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ (บรรณาธิการ)
ตุลาคม 2548
หมายเลข 9 ประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจของ
มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
มาตรการตอบโต้การอุดหนุน มาตรการ SPS
สิง่ แวดล้อม และแรงงานของ WTO
โดย ทัชชมัย ฤกษะสุต
พฤศจิกายน 2548
หมายเลข 10 ข้าวภายใต้องค์การการค้าโลก
โดย มณเฑียร สติมานนท์
มกราคม 2549
หมายเลข 11 MFA กับการจัดระเบียบการค้าสิ่งทอระหว่างประเทศ
โดย ศันสนีย์ ลิม้ พงษ์
พฤศจิกายน 2549
228
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เอกสารเหตุการณ์ปัจจุบัน
หมายเลข 1 การประชุมแคนคูน :
ความผลิบานและโรยราของการค้าเสรี
โดย สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล
พฤษภาคม 2547
หมายเลข 2 รายงานการประชุมทางวิชาการ
“รัฐบาลควรมีจุดยืนในการเจรจา
การค้าทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกาอย่างไร”
โดย สิทธิกร นิพภยะ (บรรณาธิการ)
กรกฎาคม 2547
229
ÁÒμðҹáç§Ò¹¡Ñº¡ÒäéÒÃÐËÇèÒ§»ÃÐà·È
หมายเลข 3 รายงานการบรรยายทางวิชาการ
“ระบบทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ FTAs”
โดย จักรกฤษณ์ ควรพจน์ (ผูบ้ รรยาย)
สิทธิกร นิพภยะ (เรียบเรียง)
กุมภาพันธ์ 2548
หมายเลข 4 ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐอเมริกา
โดย ทิวารัตน์ ลาภวิไล
ประภาภรณ์ ซือ่ เจริญกิจ
เอกพล จงวิลัยวรรณ
สมบูรณ์ ศิรปิ ระชัย (บรรณาธิการ)
มีนาคม 2548
หมายเลข 5 FTA ไทย - สหรัฐอเมริกา
ผลได้ ผลเสีย และข้อเสนอแนะ
โดย สมเกียรติ ตัง้ กิจวานิชย์ (ผูบ้ รรยาย)
อิสร์กลุ อุณหเกตุ (เรียบเรียง)
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ (บรรณาธิการ)
ตุลาคม 2549
หมายเลข 6 Trade and Competition
โดย เดือนเด่น นิคมบริรกั ษ์ (ผูบ้ รรยาย)
ประสพสุข สังข์บญ
ุ มาก (เรียบเรียง)
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ (บรรณาธิการ)
มกราคม 2550
หมายเลข 7 โบอิ้งกับแอร์บัส: กรณีพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ
กับสหภาพยุโรป
โดย สุนทร ตันมันทอง
เมษายน 2550
230
àÍ¡ÊÒÃÇÔ¨ÂÑ ËÁÒÂàÅ¢ 6 â¤Ã§¡Òà WTO Watch
เอกสารวิจัย
หมายเลข 1 การเจรจาการค้าพหุภาคีสินค้าเกษตร : ความไม่สมดุล
ความล้มเหลว และอนาคตของรอบการพัฒนา (โดฮา)
โดย นิพนธ์ พัวพงศกร
สิรลิ กั ษณา คอมันตร์
กุมภาพันธ์ 2548
หมายเลข 2 ผลกระทบของการเปิดเสรีการค้าบริการด้านสุขภาพ
ต่อประเทศไทย
โดย ศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัย
ครรชิต สุขนาค
มีนาคม 2548
หมายเลข 3 การเปิดเสรีภาคสถาบันการเงินไทยภายใต้กรอบ WTO
และแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
โดย กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ดอน นาครทรรพ
หฤษฏ์ รอดประเสริฐ
สิงหาคม 2548
หมายเลข 4 ผลกระทบของการเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุน
สาขาโทรคมนาคมต่อประเทศไทย
โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
ธราธร รัตนนฤมิตศร
สิงหาคม 2548
หมายเลข 5 นโยบายการค้าระหว่างประเทศของไทย
ในช่วงปี 2543 - 2549
โดย ชยันต์ ตันติวสั ดาการ
ตุลาคม 2549
231
หมายเลข 6 มาตรฐานแรงงานกับการค้าระหว่างประเทศ
โดย นิรมล สุธรรมกิจ
มิถนุ ายน 2550
»ÃÐÇÑμ¼Ô àéÙ ¢Õ¹
¹ÔÃÁÅ ÊظÃÃÁ¡Ô¨