You are on page 1of 107

แสงสว่างของชีวิต

คำำบรรยำยพระอภิธรรมัตถสังคหะ ปริจเฉท ๑ ครั้งที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจิต


โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร
ณ พุทธสมำคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมรำชูปถัมภ์
วันที่ ๓ มกรำคม ๒๕๐๘ เวลำ ๑๑.๐๐ น. - ๑๒.๐๐ น.

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

ท่านสาธุชนผู้มีเกียรติ

รำยกำรธรรมะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุก ๆ วันอำทิตย์ เวลำ ๑๑.๐๐ น. ถึง


๑๒.๐๐ น. นัน้ เป็นกำรบรรยำยพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๑ โดยผมเป็น
ผู้แสดง กำรที่พุทธสมำคมฯ ได้จัดให้มีขึ้นก็เพื่อประสงค์จะช่วยท่ำนนักศึกษำเป็น
จำำนวนมำกที่ได้มำศึกษำภำยหลัง ไม่ได้มำศึกษำเริ่มต้นตั้งแต่ปีกลำย จึงศึกษำไป
ไม่สะดวกใจนัก

นอกจำกนั้นยังมีท่ำนที่ยังไม่เคยศึกษำมำก่อนเลย มำรวมสมทบด้วยอีกจำำนวนหนึ่ง

สำำหรับในวันนี้ ผมจะยังไม่ตั้งต้นแสดงถึงเนื้อหำของพระอภิธรรมแต่ประกำรใด
หำกแต่จะกล่ำวถึงควำมเป็นไปที่เกี่ยวแก่พระอภิธรรม ให้ท่ำนได้เห็นหน้ำตำเอำ
ไว้เสียก่อนว่ำ
กำรที่จะศึกษำพระอภิธรรมนั้น จะศึกษำกันในเรื่องอะไรบ้ำง จะศึกษำกันไปทำำไม
และเมื่อศึกษำแล้ว จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของผู้ศึกษำเองมำกน้อยแค่ไหน และ
กำรบรรยำยทุกครั้งผมจะเหลือเวลำตอนสุดท้ำยไว้เล็กน้อย เพื่อให้ทำ่ นนักศึกษำ
ได้ถำมปัญหำต่ำง ๆ ที่ท่ำนยังไม่สู้จะเข้ำใจทุก ๆ ครำว

ท่ำนนักศึกษำที่ได้มำร่วมประชุมกันในวันนี้ ผมเชื่อแน่ว่ำได้ผ่ำนกำรศึกษำวิชำกำร
ในด้ำนต่ำง ๆ มำมำก และได้มีประสบกำรณ์ต่ำง ๆ ในชีวิตมำมิใช่น้อย ดังนั้นท่ำน
ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยเหตุผลอันเป็นของท่ำนเอง พร้อมทั้งมีหลักกำร
หรืออุดมกำรณ์ที่แน่วแน่

เหตุนี้ท่ำนจึงไม่อยู่ในฐำนะที่ใคร ๆ จะพำไปยังสำรทิศต่ำง ๆ ได้ตำมชอบใจ ท่ำน


จึงไม่อยู่ในฐำนะที่จะรับเอำควำมรู้ที่ปรำศจำกเหตุผลข้อเท็จจริงได้ง่ำย ๆ และ
แน่นอน ท่ำนย่อมอยู่ห่ำงไกลกับอำณำจักรแห่งควำมเพ้อฝัน

กำรศึกษำพระอภิธรรมปิฎกนั้น เป็นกำรศึกษำเรื่องของชีวิต แต่มิใช่เป็นเรื่องของ


ชีวิตที่ตื้น ๆ เผิน ๆ และปรำศจำกเหตุผลข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ได้

ดังนั้นจึงเป็นกำรเหมำะสมอย่ำงยิ่งสำำหรับท่ำนผู้ซึ่งมีควำมรู้ในวิชำกำรต่ำง ๆ มำ
เป็นอย่ำงดี ทั้งมีควำมปรำรถนำใคร่จะพิจำรณำหรือชอบค้นคว้ำหำควำมจริงใน
เรื่องของชีวิตซึ่งเป็นปัญหำที่ออกจะสลับซับซ้อนเป็นอย่ำงยิ่ง

วิชำกำรต่ำง ๆ ที่ท่ำนได้ศึกษำมำแล้วทั้งหมด แม้ว่ำจะก่อให้เกิดควำมรู้ควำม


สำมำรถเป็นอันมำก แม้จะเข้ำใจแน่วแน่ว่ำได้ศึกษำเรื่องของชีวิตมำแล้วก็จริงแต่
หากว่ายังมิได้ศึกษาพระอภิธรรมแล้ว ก็นับว่ายังไม่ได้ศึกษาในเรื่องของชีวิตอย่าง
จริงจังเลย

กำรที่เรำได้ศึกษำในวิชำกำรต่ำง ๆ มำเป็นอันมำกนั้น เรำเพียงศึกษำพฤติกรรมของ


ชีวิต ทั้งนี้ก็เพรำะว่ำในวิชำกำรทำงโลกนั้น เรื่องของชีวิตจริง ๆ ไม่มีกำรศึกษำกัน
เลย ไม่วำ่ จะเป็นนักปรำชญ์รำชบัณฑิตหรือนักวิทยำศำสตร์ในวิชำกำรสำขำใด ๆ
ย่อมจะไม่ทราบว่าชีวิตนั้นมีความเป็นมาอย่างไร และจิตใจนั้นคืออะไร

ในชีวิตที่ว่ำด้วยชีววิทยำ หรือวิชำที่ว่ำด้วยจิตวิทยำ สนใจศึกษำได้แต่พฤติกรรม


ของชีวิตหรือพฤติกรรมของจิตอันเป็นปลำยเหตุเท่ำนั้น ตัวอย่ำงเช่น
สัญชำติญำณที่แสดงออกมำอย่ำงใด ก็นำำมำศึกษำแล้วตีควำมของกำรแสดงออกซึ่ง
พฤติกรรมนั้น ๆ แต่ไม่ทราบว่า สัญชาตญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร?

สัญชำติญำณที่แสดงออกมำอย่ำงใด ก็นำำมำศึกษำแล้วตีควำมของกำรแสดงออกซึ่ง
พฤติกรรมนั้น ๆ แต่ไม่ทรำบว่ำ สัญชำตญำณเกิดขึ้นได้อย่ำงไร

หรือในเรื่องจิตของบุคคลที่แสดงออก ซึ่งควำมรู้สึกสะเทือนใจ หรือแสดง


ปฏิกิริยำสนองตอบต่อสิ่งที่มำเร้ำก็ศึกษำแต่เฉพำะกำรแสดงออกมำของกิริยำวำจำ
แล้วก็คำดคะเนเข้ำไปถึงจิตใจเท่ำนั้นย่อมจะไม่ทรำบว่ำ จิตใจมันทำำงำนอะไรกัน
อย่ำงไร

และแม้กำรนอนหลับซึ่งเกิดอยู่ต่อหน้ำหรือเกิดอยู่เป็นประจำำทุกรูปทุกนำมก็ยัง
อธิบำยไม่ได้

ดังนั้น ท่ำนก็จะเห็นได้ว่ำ วิชำกำรในทำงโลกนั้นไม่มีหนทำงเข้ำถึงเรื่องควำมจริง


ของชีวิต หรือเรื่องจิตโดยพิสดำรเลยทั้งนี้เพรำะว่ำ ในวิสัยของปุถุชน ใช่วิสัยของ
นักปรำชญ์รำชบัณฑิตทั้งหลำยจะเข้ำถึงได้

แม้ในปัจจุบันนี้เป็นสมัยที่วิทยำกำรทำงโลกเจริญขึ้น ได้สร้ำงสรรสิ่งใหม่ ๆ แปลก


ๆ อันน่ำพิศวงขึ้นมำมำกมำยก่ำยกอง แต่ในเรื่องควำมจริงของชีวิตและเรื่องของจิต
อันปรำกฏเฉพำะหน้ำโดยแท้จริงแล้ว เรำเพิ่งจะถึง ก. ไก ข. ไข่ เท่ำนั้นเอง

ขอท่ำนได้ทดลองศึกษำพระอภิธรรมดูสักพัก ก็จะเห็นว่ำผมมิได้เจตนำที่จะกล่ำว
เท็จ และมิได้นำำพำท่ำนไปสู่เรื่องที่ปรำศจำกเหตุผลหรือข้อเท็จจริงอย่ำงใดเลย

มีนักศึกษำทำงโลกจำำนวนมำกได้กล่ำวว่ำ เขำได้ศึกษำวิชำชีววิทยำ และจิตวิทยำ


มำแล้วมำกมำยได้เหตุผลข้อเท็จจริงจำกกำรทดสอบและจำกตำำรำเล่มใหญ่ ๆ มิใช่
น้อย เขำมีควำมเข้ำใจผิดคิดว่ำได้ศึกษำวิชำที่ว่ำด้วยเรื่องของชีวิตจริง ๆ ได้ศึกษำ
วิชำที่ว่ำด้วยเรื่องของจิตใจจริง ๆ

แต่ครั้นเขำได้มำศึกษำพระอภิธรรมจนมีควำมรู้บ้ำง จึงได้พบว่ำ กำรศึกษำดังกล่ำว


มำเป็นกำรศึกษำเพียงพฤติกรรมอันเป็นกำรแสดงออกเท่ำนั้น เช่นชีวิตก็ย่อมแสดง
ให้เรำทรำบถึงกำรกิน กำรนอน กำรสืบพันธุ์ ตลอดจนควำมเป็นไปต่ำง ๆ ของ
ชีวิต
และเมื่อพูดเรื่องจิตในทำงโลก ย่อมมุ่งหมำยถึงกำรแสดงออกมำทำงควำมคิดอ่ำน
หรือควำมสะเทือนใจต่ำง ๆ ที่เกิดขึน้ มำแล้ว

แต่ย่อมจะไม่ทรำบว่ำอะไรคือชีวิตที่แท้จริง ชีวิตมีควำมเป็นมำและเป็นไปอย่ำงไร
?

ทั้งย่อมไม่ทรำบว่ำในขณะที่เกิดควำมคิดหรือควำมสะเทือนใจต่ำง ๆ นัน้ ได้มี


เหตุกำรณ์ที่สำำคัญเกี่ยวกับร่ำงกำยและจิตใจอะไรบ้ำง?

ในขณะที่จิตทำำงำนนั้น มันได้ถำ่ ยทอดอะไรออกมำจำกจิตใจอย่ำงไร?

และจิตใจให้กำำลังพลังแก่ร่ำงกำยอย่ำงไร?

ท่ำนนักศึกษำทั้งหลำยท่ำนย่อมจะเข้ำใจดีว่ำ ผู้ใดเมื่อไม่ควำมเข้ำใจในสิ่งใด ก็จะ


แก้ปัญหำในสิ่งนัน้ ไม่ได้ เมื่อเรำไม่ได้ศึกษำวิชำแพทย์ เรำก็ไม่อำจรักษำคนไข้ได้
ถ้ำเรำไม่ได้ศึกษำวิชำวิทยำศำสตร์ เรำก็จะค้นคว้ำในเรื่องแสงเรื่องเสียงได้อย่ำงไร
ถ้ำเรำไม่เคยเขียนหนังสือมำก่อนเลยสักตัว แล้วเรำจะเป็นนักประพันธ์ขึ้นมำได้
หรือ

ด้วยเหตุนี้เองชีวิตของเรำแท้ ๆ เรำเองก็ไม่เข้ำใจและไม่ได้ศึกษำมำก่อน แล้วจะแก้


ปัญหำให้แก่ชีวิตได้อย่ำงไรเล่ำ ดังนั้นท่ำนก็จะเห็นได้ว่ำ กำรกระทำำทั้งหลำยไม่ว่ำ
ในเรื่องอะไร จำำจะต้องรู้จะต้องเข้ำใจในเรื่องเหล่ำนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงจะ
สำมำรถแก้ปัญหำนั้น ๆ ได้

ท่ำนนักศึกษำ ท่ำนก็มีกำรศึกษำวิชำกำรทำงโลกมำเป็นอันมำก และได้มี


ประสบกำรณ์มำกมำกก็มิใช่น้อย เดี๋ยวนี้ ท่ำนแก้ปัญหำให้แก่ชีวิตของท่ำนแล้ว
หรือ ท่ำนได้เห็นลู่ทำงในเรื่องชีวิตของท่ำนทะลุปรุโปร่งแล้วหรือ

แน่นอนทีเดียว ท่ำนยังกำำลังค้นหำอยู่ และแม้เวลำนี้จะมีอำยุ ๖๐, ๗๐, ๘๐ ปีแล้ว


กำรค้นหำก็ยังมิได้ยุติลง ยังเลิกแก้ปัญหำให้แก่ชีวิตไม่ได้ ยังรู้หนทำงที่เป็นไปของ
ชีวิตไม่ได้
เมื่อผู้ใดได้ศึกษำธรรมะ เฉพำะอย่ำงยิ่งพระอภิธรรมปิฏกที่ว่ำด้วยเรื่องของชีวิต
โดยแท้จริงแล้ว จึงจะทรำบว่ำหนทำงที่ดีที่สุดของชีวิตนั้นคือกำรศึกษำเรื่องชีวิต
ให้เข้ำใจนั่นเอง

เพรำะว่ำเมื่อเข้ำใจชีวิตดีแล้ว ก็จะได้ทรำบที่มำและที่ไปของชีวิตอันน่ำอัศจรรย์ก็
จะทรำบว่ำ มีอะไรบ้ำงที่นับว่ำมีสำระแก่นสำร อันชีวิตจะได้เข้ำไปพึ่งพำอำศัย
อย่ำงถำวร เมื่อเช่นนี้ จิตใจก็จะแช่มชื่นแจ่มใส อันไม่เคยได้คำดหวังไม่เคยได้รู้รส
เช่นนี้มำก่อน

เมื่อได้ที่พึ่งที่มั่นคงถำวรก็ก่อให้เกิดควำมสุข ควำมเยือกเย็นใจ แม้ในยำมทุกข์ร้อน


หรือเจ็บป่วยก็จะไม่ดิ้นรนกระวนกระวำยจนเกินควร ก็จะเข้ำยึดหลักตำมที่ได้
ศึกษำมำ ย่อมจะพยำยำมบุกเบิกหนทำงที่จะไปสู่ควำมหลุดรอดจำกควำมทุกข์
หลุดรอดไปจำกกำรเวียนว่ำยตำยเกิดเป็นกำำไรด้วย เป็นกำรบำำเพ็ญปัญญำบำรมีไป
ทั้งในชำตินี้และชำติหน้ำด้วย

ทั้งนี้ไม่เลือกว่ำจะเป็นบุคคลชั้นไหนหรือมีงำนอำชีพอะไร เช่น ทำำรำชกำร ทหำร


ตำำรวจ หรืออำชีพส่วนตัว ก็ดี ก็ไม่เป็นเหตุสำมำรถขัดขวำงกำรศึกษำเรื่องของชีวิต
แต่ประกำรใด

ท่ำนผู้ศึกษำอำจใช้เวลำว่ำงวันละเล็กละน้อย เพื่อศึกษำชีวิตให้เข้ำใจได้อย่ำง
แตกฉำนภำยในเวลำไม่นำนนัก แล้วท่ำนจะพบควำมจริงว่ำเรื่องของชีวิตนี้น่ำ
ศึกษำเพียงไร ถ้ำศึกษำไปพอสมควรแล้ว จะรู้สึกว่ำมีควำมรู้อันไม่เคยได้เรียนรู้มำ
แต่ก่อนเกิดขึ้นเป็นอันมำก แล้วดูเหมือนมีชวี ิตขึ้นมำใหม่ที่น่ำภำคภูมิใจ

ผมขอให้ท่ำนทั้งหลำยที่ยังไม่เคยได้ศึกษำมำแต่ก่อนเลย ลองถำมท่ำนนักศึกษำเก่ำ
ๆ ดูว่ำ เขำมีควำมสุขควำมเยือกเย็นใจเพียงใดปีกลำยกับปีนี้มีควำมแตกต่ำงกันมำก
ไหม ท่ำนจะได้รับคำำอธิบำยจำกท่ำนนักศึกษำเก่ำ ๆ เขำจะเปรียบเทียบให้ท่ำนฟัง
ควำมเยือกเย็นใจอย่ำงแปลกประหลำด ซึ่งอธิบำยเป็นถ้อยคำำได้ไม่ง่ำยนัก ไม่
เหมือนกับควำมสุขที่ได้รับในทำงโลก

ในเรื่องนี้ท่ำนนักศึกษำทีย่ ังไม่เคยศึกษำ ผมเชื่อแน่ว่ำท่ำนไม่เคยประสบ ไม่เคยรู้


รสของควำมสุขอันนี้ทุกท่ำนถ้ำไม่เคยศึกษำเรื่องของชีวิตแล้ว จะไม่รู้จักควำมสุข
ในเรื่องนี้ได้อย่ำงแท้จริง ท่ำนจะมีควำมสุขเพียงว่ำไปเที่ยวสนุก ๆ ไปกินอำหำร
อร่อย ๆ ไปดูอะไรที่เพลิดเพลิน คิดเรื่องอะไรที่มีควำมพอใจ และทำำอะไรต่ออะไร
ที่ท่ำนเคยคิดว่ำท่ำนมีควำมสบำย ท่ำนก็จะได้เพียงเท่ำนั้น

แต่ท่ำนจะไม่มีควำมสุขอีกชนิดหนึ่งดังเช่นผู้ที่เคยศึกษำมำแล้ว หรือกำำลังศึกษำอยู่
ได้รับ นั่นก็คือควำมรู้สึกเยือกเย็นใจอย่ำงประหลำด มีควำมรู้สึกว่ำชีวิตนี้มีค่ำ ชีวิต
นี้มีควำมหมำย ได้ที่พึ่งยึดเกำะอย่ำงมั่นคง จึงเบำสบำยคลำยจำกควำมเร่ำร้อน ซึ่ง
เป็นไปโดยอัตโนมัติ

ขอให้ท่ำนทั้งหลำยลองพิจำรณำดูชีวิตของตนเองที่ผ่ำนมำจนถึงปัจจุบันนี้ แล้วตั้ง
คำำถำมขึ้นในใจว่ำ ชีวิตของเรำนี้มีควำมเป็นมำอย่ำงไร ต่อไปข้ำงหน้ำจะเป็น
อย่ำงไรชีวิตนี้มำจำกไหน ต่อไปข้ำงหน้ำจะไปไหน ทำำไมในบำงครำวจึงมีควำม
รู้สึกว่ำว้ำเหว่ใจขึ้นมำ มีควำมรู้สึกคล้ำย ๆ กับว่ำ ชีวิตนี้ตกอยู่ในควำมเปล่ำเปลี่ยว
เสียเหลือเกิน ไม่มีที่พึ่งพำทำงใจอันจะทำำให้เกิดควำมมั่นคงได้ หรือมีควำมรู้สึกว่ำ
ชีวิตนี้ยังขำดอะไรสักอย่ำงยังไม่สมบูรณ์ แล้วก็ครุน่ คิดในเรื่องเหล่ำนี้ไปต่ำง ๆ
นำนำ

แต่เมื่อได้ศึกษำพระอภิธรรมปิฎกแล้ว ควำมคิดต่ำง ๆ เหล่ำนี้ก็หำยไปทีละน้อย ๆ


ชีวิตจะมีควำมหมำยมำกขึ้น จะมีควำมสุขควำมเยือกเย็นใจเป็นอันมำก ด้วยเหตุนี้
เอง เมื่อท่ำนผู้ใดได้ศึกษำแล้ว จึงมิอำจนิ่งเฉยอยู่ได้ ต้องหำทำงขยำยควำมดีของ
พระอภิธรรมนี้ไปยังญำติมิตรต่อไป

ผมมำบรรยำยพระอภิธรรม ที่พุทธสมำคมฯ นี้ มำทุกเสำร์ทุกอำทิตย์ เกือบทั้งปีไม่


ค่อยได้ขำดเลย โดยไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเวลำกว่ำ ๑๐ ปีมำแล้ว

กำรที่ทำำได้เช่นนี้ก็เพรำะพระอภิธรรมนั้นมีคุณค่ำมำกมำยเหลือเกิน หรือพูดได้ว่ำ
หำค่ำมิได้ ทำำให้ท่ำนนักศึกษำได้รับควำมสุขใจ ผมเป็นผู้บรรยำยก็มีควำมสุขใจ
ยิ่งท่ำนนักศึกษำบำงท่ำนบอกว่ำเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้เรียน ฐำนะควำมเป็นอยู่
ครอบครัวไม่ดี มีรำยได้ไม่พอ ลูกเต้ำหลำยคนผมเดือดร้อนทำงใจเหลือเกิน นอน
ไม่ค่อยหลับ เป็นห่วงครอบครัวว่ำจะยำกจนอดอยำกประเดี๋ยวจะเป็นอย่ำงนั้นจะ
เป็นอย่ำงนี้

ครัน้ มำศึกษำพระอภิธรรมประมำณ ๑ ปี ก็ไม่ได้คิดอย่ำงเก่ำแล้ว กำรนอนหลับก็


เป็นปกติดี ควำมเจ็บไขได้ป่วยอันเนื่องมำจำกควำมทุกข์ ควำมกังวลก็หำยไปมำก
นี่ก็เป็นเหตุสำำคัญเหตุหนึ่งที่ทำำให้ผมเกิดกำำลังใจบรรยำยพระอภิธรรมมำนำนนับ
สิบปีไม่ได้คิดจะเลิก แม้ผู้บรรยำยท่ำนอื่น ๆ ที่ตำมหลังผมมำและบรรยำยอยู่ใน
เวลำนี้ ก็ได้บรรยำยกันมำคนละหลำย ๆ ปี ก็ด้วยเหตุผลอันเดียวกัน

ตำมที่ผมได้ยกตัวอย่ำงนี้ขึ้นมำก็เพื่อชี้ให้เห็นว่ำ พระอภิธรรมนี้ได้ช่วยให้ความรู้
แก่เราอย่างลึกซึ้งช่วยให้ชีวิตแจ่มใสรื่นเริงใจ ทำำให้ชีวิตมีควำมหมำย ไม่เปล่ำ
เปลี่ยวว้ำเหว่ คล้ำยกับได้ที่ยึดเหนี่ยวที่ดีที่สุดมำเป็นเพื่อนคอยติดตำมไปทุกหนทุก
แห่งไม่ว่ำที่ไหนแม้จะนอนป่อยเจ็บอยู่ในโรงพยำบำลหรืออยู่ในเรื่องจำำ ซึ่งมีคน
อยู่มำกเหมือนกันบอกว่ำช่วยให้เดือดร้อนน้อยลง

ตำมที่ผมยกเรื่องรำวเกี่ยวกับควำมสุขที่ได้รับจำกกำรศึกษำพระอภิธรรมมำแสดงนี้
ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่ำ ประโยชน์ที่ว่ำนี้เป็นประโยชน์อันคุ้มค่ำที่จะเสียสละเวลำมำเรียน
สัปดำห์หนึ่งในวันอำทิตย์เพียง ๑ หรือ ๒ ชัว่ โมงเท่ำนั้น เรำทำำงำนช่วยคนอื่นมำ
ตลอด ๗ วัน เรำมำสละเวลำให้ตัวเองจริง ๆ เพียง ๑ หรือ ๒ ชั่วโมงเท่ำนั้น ย่อมไม่
มำกเลย

มีท่ำนนักศึกษำบำงท่ำนที่มำใหม่ ๆ ผมขอให้พยำยำมมำศึกษำเรื่อย ๆ อย่ำขำดเสีย


บำงท่ำนบ่นว่ำมีธุระมำก ไม่วำ่ งเลย อย่ำงนัน้ อย่ำงนี้ แต่พอมำศึกษำไม่ช้ำไม่นำน
พอมีควำมรู้ควำมเข้ำใจขึ้นบ้ำงเล็กน้อย ก็ต้องมำศึกษำเป็นประจำำ ธุระต่ำง ๆ ที่วำ่
ไม่ว่ำงนั้น ก็หำทำงจัดแจงให้ว่ำงจนได้

ตำมธรรมดำชีวิตของเรำนี้ ย่อมจะมีเหตุต่ำง ๆ เข้ำมำพัวพันทำำให้เรำต้องได้รับ


ควำมลำำบำก หรือได้รับกำรกระทบกระเทือนอยู่ตลอดเวลำ เหตุตำ่ ง ๆ นัน้ ผมขอ
แยกออกไปเป็น ๓ ประกำรด้วยกัน คือ

๑. เหตุจำกบุคคลอื่นที่เข้ำมำพัวพันกับเรำ

๒. เหตุที่มำจำกธรรมชำติ

๓. เหตุที่มำจำกตัวของเรำเอง

เหตุที่เกิดมาจากคนอื่น
ก็เพรำะว่ำบุคคลทั้งหลำยที่มีชีวิตขึ้นมำแล้วจะอยู่แต่ลำำพังคนเดียวไม่ได้ ต้องอำศัย
บุคคลอืน่ ร่วมด้วย อำจจะเป็นญำติมิตรหรือบุคคลที่ไม่รู้จักมำก่อนมำรวมกัน

เมื่อบุคคลหลำยคนมำพัวพันแล้วแต่ละคนย่อมมี โลภะ โทสะ โมหะ มำด้วยกัน


แต่ละคนย่อมมีความคิดเห็นคนละอย่างสองอย่าง ซึ่งมักจะไม่เหมือนกันตามแต่
อำานาจของการอบรมและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมา

ด้วยเหตุนี้ย่อมจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ บำงครั้งก็ก่อควำมสะเทือนใจให้เกิดขึ้น
นอกจำกควำมเห็นขัดแย้งกันแล้ว ก็มำจำกควำมปรำรถนำของสำมี ภรรยำ บุตร
ธิดำ ที่เรำไม่สำมำรถสนองควำมต้องกำรได้

บำงทียังเกี่ยวกับธุรกิจกำรงำนหรือผลประโยชน์ขัดกันอีก เช่นคนหนึ่งก็คำ้ อยู่ติด


กันและขำยของอย่ำงเดียวกัน ย่อมกระทบกระเทือนต่อกันบ้ำง เป็นต้น

ใคร ๆ ก็มคี วามปรารถนาที่จะให้ชีวิตของตนมีความสุขเท่าที่จะเป็นไปได้ และ


พยำยำมที่จะกระทำำทุก ๆ ทำงตำมกำำลังอำำนำจของควำมปรำรถนำที่คอยหนุนอยู่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างคนจึงได้พยายามต่อสู้กันอย่างสุดฝีมือ เพื่อหวังว่ำจะได้มีควำม
เป็นอยู่ดีที่สุดตำมที่ตนปรำรถนำหรือวำดภำพเอำไว้

เมื่อแต่ละคนต่ำงมีควำมปรำรถนำด้วยกัน มีจุดหมำยปลำยทำงอันเดียวกันดังนี้แล้ว
จึงต้องต่อสู้เอำรัดเอำเปรียบกันเป็นสำมำรถ มือใครยำวก็สำวเต็มที่ เหตุเพรำะ
ควำมเจริญทำงวัตถุมีมำกขึ้น เมื่อผู้คนเกิดมำกขึ้น ควำมเบียดเบียนจึงต้องมีมำกขึ้น
ด้วย ดังนั้นจึงหนีไปไม่พ้นจำกควำมทุกข์ร้อนกังวลห่วงใย ควำมเศร้ำเสียใจ ไป
จนถึงรบรำฆ่ำฟันกันตำย โลกนี้จึงหำสันติได้ยำกยิ่ง

โลกของเรำทุกวันนี้มีควำมเจริญมำกขึ้น แต่จิตใจหำได้เจริญตำมไปไม่ ทั้งจิตใจ


และวัตถุจะเจริญควบคู่กันไปไม่ได้เลย วัตถุเจริญขึ้นไปมากเพียงใด จิตใจก็ย่อม
บังเกิดความเห็นแต่ตัว ขาดความเมตตากรุณากันมากขึ้นเพียงนั้น เครื่องจักรกลยัง
เดินอยู่ต่อไป หัวใจของคนก็คิดที่จะเอำรัดเอำเปรียบเบียดเบียนกัน ก็หนักหน่วง
รุนแรงต่อไป

ในไม่ช้ำนี้ก็อำจจะถึงระบบกดปุ่ม เมื่อถึงเวลำนั้น หัวใจของคนก็จะถูกกดให้ปวด


ร้ำวย่อยยับ แล้วชีวิตทั้งหลำยก็จะกลำยเป็นเสมือนเครื่องจักรกลที่รู้จัดกดปุ่มได้อัน
หนึ่ง และทุก ๆ ชีวิตก็อำจมีรำคำค่ำงวดไม่เกินไปกว่ำเครื่องจักเล็ก ๆ ชิน้ หนึ่ง
เมื่อมีกำรต่อสู้เบียดเบียนกันหนักขึ้น ต่ำงคนก็หวังจะให้ชีวิตของตนเป็นไปอย่ำงดี
ที่สุด จิตใจจึงได้มีแต่ควำมรุ่มร้อนอยู่เป็นนิตย์ คิดนึกแก้ปัญหำและกังวลใจอยู่ไม่
ได้หยุด

อำานาจจิตก็จะก่อให้เกิดความป่วยเจ็บออกมาทางกาย เป็นโรคเกี่ยวกับทำงเดิน
อำหำร เช่นท้องอือเฟ้อ อำหำรไม่ย่อย เป็นแผลที่ทำงเดินอำหำร ควำมดันโลหิตสูง
โรคหัวใจ วัณโรค จึงต้องรักษำคนป่วยที่เนื่องมำจำกจิตเสีย ๓ คน ในจำำนวน ๕
คน

เพรำะควำมครุ่นคิดกังวลทุกข์ร้อนมีอยู่ประจำำ บำงคนก็ทนอยู่ในควำมทุกข์เหล่ำนี้
ไม่ได้ สุขภำพของจิตจึงได้เสื่อมลง จนกลำยเป็นโรคประสำท โรคจิต ไปจนถึง
กำรฆ่ำตัวตำย

เหตุที่มาจากธรรมชาติ

ที่ทำำให้เรำลำำบำกเร่ำร้อนวุ่นวำย เช่น อัคคีภัย หรือแผ่นดินไหว และนำ้ำท่วม หรือมิ


ฉะนัน้ ก็เกิดจำกควำมวิปริตแปรปรวนของดินฟ้ำอำกำศทำำให้ ร้อนไป เย็นไป ไม่
เป็นปกติ ทำำให้ต้องลำำบำกนำนำประกำร

ท่ำนลองพิจำรณำดูว่ำเรำจะต้องแก้ปัญหำจำกคนที่เข้ำมำเกี่ยวข้องพัวพันกับเรำ
แล้ว เรำยังต้องแก้ปัญหำที่เกี่ยวข้องกับดินฟ้ำอำกำศที่เป็นไปตำมธรรมชำตินี้อีก
ด้วย เมื่อยู่ที่นี่ร้อนไปก็ย้ำยไปที่นั่นเมื่อยุงชุมก็ต้องหำมุ้งมำกำง เมื่อป่วยเจ็บก็ต้อง
ดิ้นรนหำยำรักษำ เหล่ำนี้เป็นต้น

เหตุที่มาจากตัวเราเอง

เป็นเหตุสำำคัญอีกอย่ำงหนึ่งอันเกิดจำกกำรต่อสู้กับตัวของเรำเอง ซึ่งมำจำก ๒ ทำง


ด้วยกัน ทำงหนึ่งมำจำกทางกาย อีกทำงหนึ่งมำจำกทำงจิตใจ

เหตุที่มาจากทางกายก็คือ เรำจะต้องประคบประหงมบำำรุงปรุงแต่งร่ำงกำยของเรำ
อยู่ตลอดเวลำ เมื่อสกปรกก็ต้องอำบนำ้ำ แปรงฟัน ล้ำงหน้ำให้สะอำด แม้กระนั้น
มันก็ไม่ได้ดังใจ แต่ก็สำมำรถแก้ปัญหำให้จบสิ้นลงได้ นอกจำกที่กล่ำวมำแล้ว เมื่อ
หิวก็ต้องไปหำอำหำรกิน กินแล้วก็ต้องถ่ำย ต้องไปเที่ยวเตร่และพักผ่อน ไปจนถึง
หลับนอน และวนเวียนทำำเช่นนั้นซำ้ำแล้วซำ้ำเล่ำ

เหตุนี้จึงนับว่ำเป็นควำมลำำบำกในกำรแก้ปัญหำให้แก่รำ่ งกำยของเรำเองอยู่ตลอด
เวลำ โดยไม่มีวันสร้ำงซำ

น่ำประหลำดเหลือเกิน ที่ตัวของเรำแท้ ๆ เรำยึดถือว่ำเป็นร่ำงกำยของเรำจริง ๆ แต่


ทว่ำเรำยังบังคับอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด

เรำอยำกนั่งสบำย นัง่ นำนนัก ก็ทนไม่ไหว ต้องเดินเพรำะควำมปวดเมื่อยมันบังคับ


เรำ อยำกนอนให้เป็นสุข นอนนำนนักก็ไม่ได้จะต้องพลิกไปพลิกมำเพื่อแก้ทุกข์
เรำไม่อยำกให้ร่ำงกำยของเรำแก่เลย แต่เรำก็ต้องค่อย ๆ แก่ลงไปทีละน้อยๆ แก่ลง
ไปทุกวันไม่มีหยุดหย่อน เรำไม่อยำกจะให้เจ็บปวด มันก็เจ็บปวดขึ้นมำจนได้ แม้
ในที่สุด เรำไม่อยำกตำย แต่ก็ต้องตำย

ผมกล่ำวตำมควำมเป็นจริงเช่นนี้ก็เพื่อให้เห็นว่ำ ร่ำงกำยของเรำนี้ไม่อยู่ในอำำนำจ
บังคับบัญชำของเรำเลย มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยไม่ฟังใครทั้งนั้น เรำต้องแก้ไข
ควำมทุกข์ให้แก่มันอยู่ตลอดเวลำ

ควำมทุกข์นั้นมิได้หมำยถึงควำมลำำบำกที่ไม่มีเงินจะใช้ ไม่มีบ้ำนจะอยู่ หรือร้อน


อกร้อนใจอะไรเท่ำนั้น หำกแต่หมำยรวมถึง ควำมทุกข์คือควำมทนอยู่ไม่ได้ ต้อง
เปลี่ยนแปลงไปมำอยู่เสมอทั้งรูปนำมรวมลงไปด้วย

เมื่อเรำตื่นขึ้นมำในตอนเช้ำ ต้องล้ำงหน้ำ อำบนำ้ำ แปรงฟัน เรำทำำไปทำำไม เรำทำำ


ไปเพรำะต้องแก้ทุกข์นั่นเอง ด้วยเหตุว่ำถ้ำไม่แปรงฟัน อำบนำ้ำ แต่งตัว ก็จะเข้ำ
สังคมกับเขำไม่ได้ แน่ละ เรำต้องได้รับควำมลำำบำก เพื่อแก้ปัญหำทุกข์ร้อนอยู่
เรื่อยไป และจะต้องทำำอย่ำงนั้นโดยไม่มีวันจบสิ้น จนตลอดชีวิตคือตั้งแต่เกิดไป
จนกระทั่งตำย

ท่ำนทั้งหลำยย่อมจะเห็นได้แล้วว่ำ เพียงร่ำงกำยเท่ำนั้นยังทำำให้เกิดควำมลำำบำก
มำกมำยถึงเพียงนี้
ทางจิตของเราก็เหมือนกัน ประเดี๋ยวมีควำมโลภ ประเดี๋ยวมีควำมโกรธ บำงทีเกิด
ควำมเสียใจเศร้ำหมอง กลุ้มอกกลุ้มใจในเรื่องต่ำง ๆ ร้อยแปดประกำยประดังกัน
เข้ำมำกระทบกระเทือนใจให้เรำหวั่นไหวไม่เป็นปกติ

ถึงแม้บำงท่ำนจะรำ่ำรวยอย่ำงล้นเหลือ มีตึกรำมบ้ำนช่องใหญ่โต มีข้ำทำสบริวำร


พ้อม แต่ยังไม่วำยที่จะมีเสียงร้องรำ่ำให้กระซิกกระซี้ภำยในตึกนั้น เพรำะอะไร?
เพรำะควำมทุกข์เข้ำถึงได้ไม่เลือกหน้ำใคร ติดตำมไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ำจะมี
ฐำนะจนหรือรำ่ำรวย จะมียศถำบรรดำศักดิ์หรือหำไม่ ควำมทุกข์มีได้ทั้งนั้น หลบ
หลีกรอดรั้วรอดกำำแพงเข้ำถึงตัวได้หมด

นอกจำกนี้เรำยังจะต้องสู้ขับเคี่ยวกับควำมโลภ ควำมโกรธ ควำมหลงของเรำเอง


เราจะต้องพยายามปรนเปรอใจของเราตลอดเวลา เช่นเรำมีควำมปรำรถนำอย่ำงใด
อย่ำงหนึ่งขึ้น แต่ไม่สำมำรถทำำให้สมควำมปรำรถนำได้ ก็ต้องขับเคี่ยวต่อสู้เพื่อให้
ได้มำ

เช่นฐำนะไม่ค่อยดี แต่อยำกได้เครื่องโทรทัศน์สักเครื่องหนึ่ง เพรำะเบื่อที่จะต้อง


ไปเที่ยวดูตำมชำวบ้ำนเขำ กลุ้มอกกลุ้มใจอยำกจะได้จนถึงกับเร่ำร้อนก็มี จนบำงที
ต้องซื้อเงินผ่อน หรือคอรัปชั่นเอำมำ จึงเป็นกำรต่อสู้ดิ้นรนกับควำมปรำรถนำของ
เรำเอง

ซึ่งแน่ละต้องลำำบำกหรือเมื่อไม่ค่อยมีอำหำรกิน หรือจะกินให้ดี ก็จะต้องต่อสู้กับ


จิตใจของตัวเองกับเงินในกระเป๋ำที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย แน่ทีเดียวต้องลำำบำกอีก
นอกจำกที่ผมได้กล่ำวมำแล้วอำำนำจแห่งควำมทะยำนอยำก เช่นควำมทะยำกอยำก
จะเป็นเศรษฐีรำ่ำรวยเงินทอง อยำกใหญ่โตมีอำำนำจมำก ๆ อยำกจะเป็นข้ำรำชกำร
ชั้นสูง

ถ้ำควำมทะยำนอยำกเกิดขึ้นแก่จิตเมื่อใดก็ให้พยำยำมถดถอยลงมำเสีย จะได้ร้อน
ใจน้อยลงสักหน่อย แต่จะไม่สำำเร็จง่ำยนักต้องพยำยำมที่จะต่อสู้และอดทน ทั้งนี้
เพรำะว่ำมันมีอำำนำจมำกจึงเป็นเหตุให้เรำต้องใช้ควำมคิด ซึ่งบำงทีถึงกับนอนไม่
หลับก็มี

เท่ำที่ผมได้กล่ำวมำทั้งหมดเพียงย่อ ๆ นี้ ก็เพื่อให้ท่ำนนักศึกษำได้เห็นว่ำชีวิตของ


เรำนี้ตกอยู่ในควำมลำำบำกและตกอยู่ในควำมกลัวตั้งแต่กลัวเรื่องเล็กน้อยจนถึง
เรื่องใหญ่ยิ่งตั้งแต่แม้จะข้ำมถนนสักหน่อยเรำก็กลัวรถจะชน ไปจนถึงควำม
อดอยำกป่วยเจ็บทุพพลภำพจนถึงกลัวควำมตำย

เรำตกอยู่ในควำมกลัววันยังคำ่ำ กลัวว่ำได้เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่เป็นมงคล


แม้มำเรียนธรรมะก็กลัวว่ำจะไม่สนุกแล้วเกิดง่วงนอน ด้วยเหตุนี้เองขอให้ท่ำน
นักศึกษำลองพิจำรณำว่ำเรำอยู่ในฐำนะยำกลำำบำกหรือไม่ ที่ต้องตกอยู่ในควำม
กลัวตั้งแต่สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงสิ่งใหญ่ ๆ ดังนี้

ถ้ำเรำไม่ได้เกิด ไม่ได้มีชีวิตขึน้ มำแล้วจะเป็นอย่ำงไร เรำก็ไม่ต้องแก้ปัญหำ ไม่


ต้องกิน ไม่ต้องนอน ไม่ต้องคิดให้เสียสมอง ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องตำย ไม่ต้องกลัว
อะไรสักอย่ำง ไม่ต้องเรำร้อนใจอะไรสักนิด ท่ำนนักศึกษำมีควำมเห็นเป็นอย่ำงไร
เรำเกิดขึ้นมำดี หรือไม่ต้องเกิดขึ้นมำดีกว่ำ

แม้เรำจะอยู่ภำยในตึกอันโอ่อ่ำน่ำสบำย แต่ภำยในใจนั้นรุ่มร้อนรำวกับไฟ แม้เรำ


จะสร้ำงห้องมีเครื่องปรับอำกำศที่จะบังคับได้ตำมชอบใจ แต่เรำก็เร่ำร้อนอยู่
ภำยในจนแทบทนไม่ไหว ด้วยอำำนำจของควำมปรำรถนำที่หำขอบเขตมิได้

แม้เรำจะสร้ำงปรำกำรขึ้นให้แข็งแกร่งสักเพียงใด ปรำกำรที่ว่ำแข็งแกร่งนั้นก็มัก
จะถูกควำมปรำรถนำเข้ำมำทำำลำยจนย่อยยับไป แล้วเรำก็ตกอยู่ในฐำนะต้อง
พยำยำมดับควำมปรำรถนำ หรือพยำยำมให้สมควำมปรำรถนำนั้นจนได้ ทั้งนี้ก็
เพราะดวงจิตของเรานั้นหาใช่นักโทษที่อยู่ภายในที่กักกันไม่

เราไม่ทราบว่า เหตุใดเราจึงได้ยากจนขัดสนนัก สู้อุตส่ำห์พำกเพียรพยำยำมเท่ำไร


ๆ ฐำนะควำมเป็นอยู่ก็ไม่เห็นดีขึ้นสักที เมื่อเรำไม่ทรำบต้นเหตุอันแท้จริง เรำจึงได้
แต่โทษนั่นโทษนี่ โทษคนนั้นโทษคนนี้ให้วนุ่ วำยไป

เราไม่ทราบว่า เหตุใดจึงได้รำ่ารวย เงินทองไหลมำเทมำไม่ขำดสำย เต็มไปด้วย


ควำมสมบูรณ์พูนสุขทุกประกำร เมื่อเรำไม่ทรำบถึงต้นเหตุอันแท้จริง ไม่ทรำบถึง
จังหวะของชะตำกรรมตำมควำมเป็นจริง จึงได้คิดว่ำ เป็นเพรำะเรำเป็นนักธุรกิจ
ตัวยง ควำมคิดควำมอ่ำนของเรำฉลำดเฉลียวกว่ำคนอื่นซึ่งได้ติดตัวเรำมำตั้งแต่เกิด
จึงได้กำำเริบเสิบสำนทะเยอทะยำน

เราไม่ทราบว่า เหตุใดเราจึงมีรูปร่างไม่น่ารัก ใครเห็นใครทักแล้วยังเมินหน้ำหนี ดู


อยู่ตลอดวันจะหำส่วนที่เป็นเสน่ห์เร้ำรึงใจชวนให้มองไม่มีเลย เมื่อเรำไม่มีหนทำง
ทรำบได้เช่นนี้ เรำจึงได้ลงโทษตัวเองว่ำเป็นคนโชคร้ำย ผีสำงนำงไม้หรือซำตำนที่
ประสงค์ไม่ดีมำปั้นแต่งขึน้ ด้วยควำมเกลียดชัง จึงได้เศร้ำเสียใจตลอดมำ

เราไม่ทราบว่า เหตุใดเราจึงมีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามนัก มีส่วนสัดอันเหมำะ


สม ใคร ๆ ก็มองกันด้วยควำมชื่นชม เพรำะทั้งร่ำงเกือบจะหำที่ติไม่ได้เลย เมื่อเรำ
หำหนทำงทรำบต้นเหตุอันลึกซึ้งนี้ไม่ได้ ก็เข้ำใจไปว่ำ เทวดำ อินทร์ พรหม ยม
นำค ผูม้ ีจิตเมตตำตนแต่งขึ้นมำ หรือไม่ก็เป็นเพรำะควำมบังเอิญ คิดแล้วจึงได้ภำค
ภูมิใจ ใจก็จะเตลิดไปไกล หนีควำมเร่ำร้อนไปไม่ได้อีก
เราไม่ทราบว่า การที่เรากระทำาการคดโกงคอรัปชั่น หำทำงให้ได้มำซึ่งประโยชน์
อันมิชอบธรรมอยู่บนควำมทุกข์ยำกของคนอื่นอยู่เสมอจะบังเกิดผลสนองตอบแก่
เรำ เพรำะเคยได้กำำไรอันเกิดแต่กำรกระทำำนั้นเห็นทันตำอยู่เสมอมำ ซึ่งทำำให้กำร
กินอยู่หลับนอนเที่ยวเตร่ดีขึ้นเป็นลำำดับ เรำจึงกล้ำหำญกระทำำลงไปเรื่อย ๆ และ
จะกระทำำให้ดียิ่งขึ้นถ้ำมีโอกำส ทั้งนี้ก็เพรำะเรื่องของกรรมนั้นเร้นลับยำกที่ผู้
ศึกษำ (ที่มีควำมสนใจน้อย) จะเข้ำถึงควำมจริงได้ จึงก่อควำมเร่ำร้อนต่อ ๆ ไป

เราไม่ทราบว่า การกระทำาดีต่าง ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะมีผลอันเป็นควำมดีแก่เรำได้


เพรำะได้รับแต่ผลร้อยสนองตอบกำรกระทำำดีเหล่ำนั้นอยู่รำ่ำไป ผลที่ได้กระทำำดี
ตำมเหตุที่ได้กระทำำดี ไม่ค่อยจะโผล่หน้ำขึ้นมำให้เห็น เหตุนี้จึงได้เศร้ำเสียใจ เบื่อ
หน่ำยท้อถอยที่จะกระทำำดีอีกต่อไป

ควำมร้อนของไฟนัน้ ย่อมจะร้อนไม่เลือกหน้ำ ไม่เลือกสถำนที่ ไม่เลือกเวลำ ทั้งไม่


ฟังเสียงใครห้ำมปรำบทั้งนั้น ในเรื่องของชีวิตก็เหมือนกัน ไม่ว่ำใครจะศึกษำมี
ควำมเข้ำใจมำอย่ำงไร หรือไม่ได้ศึกษำมำเลย จะมีควำมทุกข์หรือควำมสุข (ทำง
โลก) สักเท่ำใด จะมียศฐำบรรดำศักดิ์หรือไม่มี จะยำกจนหรือรำ่ำรวย ทั้งไม่เลือกที่
เลือกเวลำ ควำมทะยำนอยำกย่อมจะก่อควำมเร่ำร้อนขึ้นทั้งนั้น ทั้งจะกำำเริบเสิบ
สำนขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง

และนอกจำกจะก่อควำมเร่ำร้อนให้ในชำตินี้แล้ว ในพระพุทธศำสนำยังแสดงว่ำ
อำานาจของควาททะยานอยากอันเป็นตัณหา ยังก่อกำาลังอำานาจผลักส่งให้ไปเกิดใน
ภพภูมิต่าง ๆ เป็นกำรสร้ำงควำมทุกข์ควำมเร่ำร้อนต่อ ๆ ไป ชำติแล้วชำติอีก
ตำมที่ผมได้กล่ำวมำทั้งหมดนั้น มิได้เพ่งเล็งแต่ในแง่ร้ำยซึ่งจะทำำให้ใจคอไม่ดี ใน
พระพุทธศำสนำไม่ได้สอนให้เพ่งเล็งในแง่ร้ำย แม้ในแง่ดีก็ไม่ให้เพ่งเล็งเข้ำไป แต่
สอนให้เล็งไปยังควำมจริงซึ่งไม่มีใครจะเถียงได้

ผู้ที่ค่อย ๆ ศึกษำไปทีละขั้น ๆ จนมีควำมเข้ำใจพอสมควรแล้วแม้กำรพิจำรณำสิ่งที่


ไม่ดี ที่ไม่มีใครชอบ เช่นควำมตำยเป็นต้น ก็มิได้ทำำให้จิตใจหวั่นไหวขำดควำมสุข
แต่กลับตรงกันข้ำม ควำมสุขใจกลับมำกขึ้นด้วย เพรำะได้พบควำมจริงของตัวเอง
ได้ที่พึ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ตกอยู่ในควำมประมำท

อย่ำงไรก็ดี ในเวลำนี้ยังไม่มีใครมำรับประกันให้เรำเกิดควำมมั่นใจได้ว่ำ ควำมเกิด


จะไม่มีอีก จะสิ้นสุดลงเพียงแค่ตำยชำตินี้เท่ำนั้น

และไม่มีใครอธิบำยได้ว่ำ มีอะไรเกิดขึน้ บ้ำง หรือไม่มีอะไรเลยภำยหลังควำมตำย


เรื่องนี้แม้นักปรำชญ์รำชบัณฑิตก็อยู่ในฐำนะเดียวกันกับเรำ เพรำะแม้แต่เรำตั้ง
คำำถำมง่ำย ๆของชีวิต ก็หำคำำอธิบำยไม่ได้เสียแล้ว

เช่นถำมว่ำ ชีวิตคืออะไร? มำจำกไหน? จิตใจคืออะไร? กำรนอนหลับเป็นอย่ำงไร?


อุปนิสัยใจคอหรือสัญชำตญำณติดมำจำกไหนได้อย่ำงไร?

ด้วยเหตุที่ไม่มีใครรับประกันเรำว่ำ ชำติหน้ำไม่มี ดังนั้น เรำจะต้องหำทำง


หำควำมรู้ให้เกิดขึ้นให้ได้ ถ้ำปีนี้ไม่ได้ก็ปีหน้ำ ปีหน้ำไม่ได้ก็ปีต่อไป เพรำะเป็นผล
ประโยชน์ได้เสียอันสำำคัญยิ่งยวดของชีวิต

เพรำะควำมแก่เฒ่ำก็กำำลังคืบคลำนเข้ำมำอยู่ทุกวี่ทุกวัน ควำมตำยก็มำเรียกร้องถำม
หำอยู่เสมอ ขณะนี้อำยุเรำก็ไม่ใช่เล็กน้อยแล้ว แต่เรำก็ยังแก้ปัญหำให้แก่ชีวิตอย่ำง
เต็มที่อยู่ทั้งวัน ไม่มีเว้นตลอดเวลำอันยำวนำนมำจนถึงปัจจุบันนี้

และถ้ำหำกว่ำชำติหน้ำมีอีกเรำก็จะต้องแก้ปัญหำอย่ำงนี้อีก หรือแก้ไขในชำติ
โน้นๆ ต่อ ๆ ไปอีกร้อยชำติ กี่พันชำติ โดยไม่รจู้ ักจบจักสิ้นเลย แล้วถ้ำหำกไปเกิด
ในที่ ๆ ไม่ดีเช่นสัตว์เดรัจฉำนก็ยิ่งน่ำกลัวขึ้นอีกตั้งพันเท่ำ

ด้วยเหตุดังกล่ำวนี้เอง ความไม่เข้าใจชีวิตจึงนับว่าเป็นภัยอันใหญ่หลวงน่าเกรง
ขามยิ่งกว่าใดๆ ทั้งสิน้ เพรำะควำมทุกข์ที่จะต้องแก้ มิใช่ติดตำมเรำไปเพียงครั้ง
หนึ่งครำวเดียว หรือชำติหนึ่งชำติเดียวเท่ำนั้น
พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำจึงได้แสดงธรรมเพื่อแก้ทุกข์ หรือแก้ปัญหำชีวิตโดยแบ่ง
ออกเป็น ๓ ประกำรด้วยกัน คือ

๑. สอนเพื่อให้ได้รับประโยชน์สำาหรับในชาตินี้

คือให้คนเรำอยู่เย็นเป็นสุข มีกำรสอนให้ขยันหมั่นเพียรทำำมำหำกินตั้งตัวให้ได้
สอนให้รู้จักรักษำทรัพย์สินที่ทำำมำหำได้ สอนให้คบกัลยำณมิตร สอนให้ดำำรงชีวิต
ชอบโดยสมำ่ำเสมอ ที่รู้กันทัว่ ไปคือ คำถำเศรษฐี

“อุอากะสะ” ซึ่งย่อมำจำก อุฎฐำนสัมปทำ อำรักขสัมปทำ กัลยำณมิตตำ สมชีวิตตำ


รวมควำมแล้วสอนประโยชน์ในชำตินี้ให้บุคคลอยู่ได้ด้วยควำมสุข

๒. ให้รจู้ ัดทำาบุญทำากุศล

มีกำรให้ทำน รักษำศีล เจริญภำวนำ เพื่อประโยชน์สำำหรับจะได้ปลูกเพำะอุปนิสัย


ใจคอให้ดีขึ้น จะได้มีควำมสุขควำมเจริญทั้งชำตินี้และชำติหน้ำ จะได้สมบูรณ์
พูนสุข มีควำมเป็นอยู่ดีขึ้นกว่ำเดิม

๓. สอนปรมัตถประโยชน์

คือประโยชน์อย่ำงยิ่ง ซึ่งได้แก่พระอภิธรรม ที่เรำกำำลังศึกษำอยู่นี้ ท่ำนทั้งหลำย


คงจะได้ศึกษำธรรมะที่เกี่ยวกับประโยชน์ชำตินี้ชำติหน้ำมำบ้ำงแล้ว ต่อจำกนี้ไปก็
จะได้ศึกษำปรมัตถประโยชน์อันเป็นประโยชน์อย่ำงยิ่งกันดูบ้ำง

กำรศึกษำพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่ำงยิ่ง ก็เพื่อว่ำ เมื่อศึกษำแล้วจะได้


เข้ำใจเรื่องชีวิตได้เป็นอย่ำงดี และผู้ศึกษำจะรู้หนทำงที่จะไปสู่ควำมสุขอย่ำงถำวร
รู้วธิ ีจะทำำให้ชีวิตนี้พ้นจำกควำมวุ่นวำยทุกข์ร้อน พ้นไปจำกควำมเวียนว่ำยตำยเกิด

ในสมัยหนึ่งท่ำนทั้งหลำยก็ทรำบมำแล้ว เมื่อพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำเสวยพระ
กระยำหำรแล้ว ในสมัยนั้นพระองค์ได้บรรลุมรรคผลใหม่ ๆ หลังจำกปัญจวัคคีย์
ได้เดินทำงหนีไป ปัญจวัคคีย์มองเห็นว่ำพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำมีควำมมักมำก เมื่อ
ก่อนไม่ยอมฉันอำหำรมำกเวลำนี้มำฉันอำหำรเพิ่มขึ้น ปัญจวัคคีย์ก็ขำดควำม
เลื่อมใส จึงเดินทำงหนีไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
เมื่อพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำตรัสรู้แล้ว พระองค์มีควำมปรำรถนำจะโปรดปัญจวัคคีย์
เป็นเบื้องต้น ควำมจริงปัญวัคคีย์เหล่ำนั้นได้เพียรพยำยำมค้นคว้ำหำหนทำงมำเป็น
เวลำนำนแล้ว หนทำงนั้นคือ “อมตธรรม” แปลว่ำ ธรรมที่ไม่ตำย แต่คน้ คว้ำเท่ำใด
ก็มิได้พบจนกระทั่งมำถึงสมัยพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ ด้วยควำมหวังว่ำจะได้รับผล
คือ “ธรรมที่ไม่ตำย” จำกพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ

แต่ครั้นมำบัดนี้ พระองค์เสวยพระกระยำหำรเสียแล้วจึงได้ชวนกันหลีกหนีไปอยู่
ยังที่อีกแห่งหนึ่ง ครั้งเมื่อพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำตรัสรู้อนุตรสัมมำสัมโพธิญำณแล้ว
พระองค์ก็เพ่งเล็งว่ำจะต้องไปแสดงธรรมโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ก่อนเพรำะว่ำมีกิเลส
เบำบำง

เมื่อพระองค์เดินทำงไปถึงแล้ว ปัญจวัคคีย์เหล่ำนั้นเห็นพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำเสด็จ
มำแต่ไกล จึงลงมติกันว่ำพวกเรำจะไม่ต้อนรับและจะไม่รับใช้ตำมที่เคยมำแต่ก่อน
เมื่อพระองค์ปรำรถนำอะไรก็ให้พระองค์ชว่ ยตัวเอง

ครัน้ เมื่อพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำเสด็จเข้ำมำถึงแล้ว เหตุกำรณ์กลับตรงกันข้ำม


ปัญจวัคคีย์ได้ลืมข้อตกลงกันไว้เสียแล้วต่ำงคนต่ำงชุลมุนปรนนิบัติรับใช้กัน
เป็นกำรใหญ่ จัดนำ้ำ จัดอำสนะพร้อมบริบูรณ์ ทั้งนี้เป็นเพรำะเหตุใด อะไรทำำให้
ปัญจวัคคีย์ทั้งหลำยเปลี่ยนใจ อะไรเป็นตัวกำรสำำคัญที่ทำำให้ข้อตกลงของ
ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ต้องล้มเหลวลง

ทั้งนี้ก็เพรำะได้ฟังคำำตรัสของพระองค์ท่ำนเพียงประโยคเดียวเท่ำนั้นที่เป็นแรง
ดลใจ คือพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำได้ตรัสแล้ว “บัดนี้เรำได้พบอมตธรรมแล้ว”
พระองค์ทรงทรำบแน่ว่ำปัญจวัคคีย์ได้ค้นคว้ำหำอมตธรรมกันมำนำนนักหนำแล้ว

พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำได้ประกำศให้ปัญจวัคคีย์ทรำบว่ำ บัดนี้ ได้พบอมตธรรมเข้ำ


แล้วเท่ำนั้น ปัญจวัคคีย์จึงได้กลับควำมคิดใหม่ เพรำะคิดว่ำคงจะได้พบธรรมที่ไม่
ตำยที่พวกเขำได้ค้นหำกันอยู่ แท้จริงคำำนี้ในพุทธกำลมีควำมหมำยหลำยอย่ำง

ผมจะไม่ขออธิบำยให้ยืดยำว กำรที่พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำแสดงให้ปัญจวัคคีย์เห็น
ว่ำ ควำมสุขอันสถำพรนั้น ก็คือว่ำไม่ต้องหมุนเวียน เกิดแล้วเกิดอีกต่อไป เพรำะ
เมื่อชีวิตมิได้มีเสียแล้ว ควำมทุกข์ก็ไม่มีโอกำสที่จะเกิดขึ้นมำไดเพรำะเมื่อชีวิต
ไม่มีเสียแล้ว จะเอำควำมทุกข์ไปวำงลงตรงไหน และเมื่อชีวิตมิได้เกิดมีเสียแล้ว จะ
เอำควำมตำยไปใส่ไว้ตรงที่ใด
คือเมื่อผู้ใดได้มรรคผลเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ สิ้นชีวิตลงแล้วไม่มีกำร
เกิดอีกต่อไป แล้วควำมตำยก็มีไม่ได้ ดังนัน้ กำรแก้ไม่ให้ตำยก็ต้องอย่ำให้เกิด
เท่ำนั้นเอง

ตำมที่ผมได้แสดงมำทั้งหมดนี้ เพื่อให้ท่ำนนักศึกษำได้เห็นว่ำ ปรมัตถประโยชน์


หรือประโยชน์อย่ำงยิ่งนั้นหมำยควำมว่ำกระไร กำรพ้นไปจำกกำรหมุนเวียนเกิด
อยู่ในภพภูมิต่ำง ๆ นัน้ เป็นยอดปรำรถนำของบัณฑิตทั้งหลำย ผูซ้ ึ่งเห็นแจ้งต่อทุกข์
โทษภัยในวัฏฏะว่ำหำอะไรมำเปรียบปำนมิได้เลย

ปัญหำสำำคัญจึงอยู่ที่ว่ำ ทำาอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเสีย
ได้

ในพระพุทธศำสนำได้แสดงถึงหนทำงที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด สำำหรับเรื่องนี้อยู่


แล้วโดยกำรศึกษำเรื่องของชีวิตเสียให้เข้ำใจ นั่นก็คือ ต้องศึกษำพระอภิธรรมปิฎก

เพรำะว่ำพระอภิธรรมปิฎกได้กล่ำวถึง เรื่องควำมเป็นมำและเป็นไปของชีวิต
โดยตรง เมื่อเข้ำใจชีวิตดีแล้วก็จะแก้ปัญหำให้แก่ชีวิตได้ ทำำให้ควำมทุกข์ควำม
เดือดร้อนเบำบำงลง ไปจนถึงกำรพ้นจำกควำมทุกข์โดยเด็ดขำดสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้เอง ท่ำนทั้งหลำยที่มำศึกษำหำหนทำงดังกล่ำวจึงนับว่ำมีประโยชน์
มำกมำยต่อชีวิตของท่ำน ถ้ำจะว่ำไปแล้วก็มำกกว่ำวิทยำกำรใด ๆ ในโลกนี้

ในวันนี้ ผมเพียงนำำทำงเพื่อให้ท่ำนได้เห็นหน้ำตำของพระอภิธรรมเพียงเล็ก ๆ
น้อย ๆ เท่ำนั้น

เพื่อให้ท่ำนได้ทรำบถึงประโยชน์จะได้นำำมำประกอบกำรตัดสินใจว่ำ สมควรจะ
เริ่มต้นศึกษำกันหรือยัง ควรจะสละเวลำที่มีค่ำเพียงสัปดำห์ละไม่กี่ชั่วโมงนี้หรือ
หำไม่

ถ้ำเห็นสมควรก็ขอให้มำศึกษำเป็นประจำำ ผมขอให้ท่ำนสละเวลำมำศึกษำให้
ติดต่อกันสัก ๒ เดือน รวมกันเข้ำก็ ๘ ครั้งเท่ำนั้น แล้วต่อจำกนั้นไป ถ้ำท่ำนเห็นว่ำ
ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่ำไร ไม่คุ้มค่ำกับกำรเสียเวลำมำก ท่ำนจะหยุดเสียก็แล้วแต่ใจ
ของท่ำน
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่ำนทดลองดูว่ำกำรศึกษำพระอภิธรรมจะมีประโยชน์จริงหรือไม่
เป็นวิชำกำรที่น่ำศึกษำเพียงใดเท่ำที่ผมได้บรรยำยอยู่ที่พุทธสมำคมฯ นีม้ ำนำนแล้ว
สังเกตเห็นว่ำมีท่ำนนักศึกษำบำงท่ำนพอมำฟังเริ่มต้นครั้ง ๒ ครั้ง ต่อจำกนั้นบำงที
ก็ไม่มำอีกเลย ซึ่งเป็นกำรน่ำเสียดำยอย่ำงยิ่ง

ผมเหลือเวลำในตอนท้ำยเพื่อเปิดโอกำสให้ท่ำนได้ซักถำม เพื่อให้ท่ำนทั้งหลำยได้
แสดงควำมคิดเห็นอะไรบ้ำง เพรำะว่ำบำงทีผมพูดฝ่ำยเดียวก็ไม่ทรำบควำมคิดเห็น
ของท่ำนว่ำมีควำมคิดเห็นอย่ำงไร หรือว่ำท่ำนจะถำมปัญหำอะไรที่คิดมำจำกบ้ำน
ก็ได้ หรือจะขอร้องให้ผมวำงแนวกำรบรรยำยอย่ำงไรก็ขอเชิญ

ถาม ในพระพุทธศำสนำนั้นว่ำ เมื่อโลกเรำถูกสร้ำงขึ้นใหม่ ๆ มีพรหมลงมำเกิด


ก่อน จะเป็นเหตุผลที่ตรงต่อควำมเป็นจริงหรือไม่? มีแสดงไว้ในพระอภิธรรมบ้ำง
ไหม?

ตอบ พระนักศึกษำท่ำนถำมในเรื่องของพรหม ผมอยำกจะตอบคำำถำมนี้ทั้งหมด


แต่เรื่องนี้ค่อนข้ำงยืดยำวผมขอถือโอกำสตอบเพียงย่อ ๆ เท่ำนั้น เพรำะต่อไปท่ำน
ก็จะได้ศึกษำ เมื่อเรำศึกษำกันถึงเรื่องนีโ้ ดยตรงเสียก่อนแล้วจึงค่อยพูดกันใหม่

อีกประกำรหนึ่ง ถ้ำผมบรรยำยเรื่องพรหมมำกนัก ท่ำนนักศึกษำใหม่ ๆ อำจจะ


ตกใจว่ำ เรื่องพรหมอะไรกัน เหมือนเมื่อหลำยปีมำแล้ว ผมชวนท่ำนผู้หนึ่งให้มำ
ศึกษำพระอภิธรรม ทีผ่ มชวนมำก็เพรำะผมรู้จักกับเขำ เขำมำนั่งฟังสักพักหนึ่งใน
วันนั้น เป็นวันที่ศึกษำถึงปริจเฉกที่ ๕ ต้องกล่ำวเรื่องเทวดำ ผมก็ลืมไปว่ำเขำนั่งอยู่
ที่นนั่ ด้วย

ผมพูดถึงเรื่องเทวดำแต่ไม่ใช่เป็นกำรเริ่มเรื่องเป็นเรื่องเทวดำที่ต่อมำจำกครำวก่อน
ๆ ดังนัน้ เหตุผลในเรื่องเทวดำก็ไม่ได้พูดอะไรมำกนัก ตั้งแต่วันนั้นมำ ท่ำนผู้นั้นก็
ไม่มำอีกเลย ผมไปพบเข้ำเขำก็บอกว่ำ "พูดเรื่องเทวดำอะไร เป็นกำรเพ้อฝัน เทวดำ
ไม่มีจริง ๆ เขำบอกว่ำเขำฟังต่อไปไม่ไหว"

แล้วพูดว่ำ "ผมเป็นนักศึกษำไปเมืองนอกเมืองนำมำเรียนอะไรหลำยอย่ำง ทุกอย่ำง


ก็เป็นเรื่องที่ประกอบด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริง จะมำเพ้อฝันเป็นเรื่องเทวดำ ผมทน
ไม่ไหว"
ผมก็อธิบายว่า เรื่องของเทวดำในพระอภิธรรมนั้นมีจริง ๆ แต่ไม่ใช่เทวดำอย่ำงที่
คนทั้งหลำยพำกันเข้ำใจ เพียงแต่ชื่อว่ำเทวดำไปซำ้ำกันเข้ำ พระพุทธศำสนำไม่ได้
สอนเรื่องเพ้อฝัน

กำรแสดงเรื่องเทวดำก็เป็นกำรแสดงถึงสัตว์ประเภทหนึ่งที่มีรำ่ งกำยละเอียดเป็น
ปรมำณู (ปรมำณูในทำงธรรมะ) นอกจำกนั้นยังได้นำำไปเข้ำถึงเหตุผลตำมหลัก
วิทยำศำสตร์ ที่เรำกำำลังศึกษำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เขำก็ได้รับฟัง

เรื่องพรหมนี่ก็เหมือนกัน ผมจึงตอบย่อ ๆ สั้น ๆ เพียงว่ำ พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ


ทรงแสดงถึงเรื่องพรหมจริง นอกจำกเรื่องพรหมแล้วก็ควรจะเติมเรื่องพรหมลิขิต
เข้ำไปด้วยตำมที่มีผู้เข้ำใจ และเชื่อถือกันมำว่ำพรหมนั้นมี ๔ หน้ำ แล้วมีตัวสีเขียว
พรหมนัน้ สร้ำงชีวิต สร้ำงสรรสิ่งสำรพัดทั้งปวงขึน้ มำทั้งสิ้น จะให้ใครสุขสบำย
หรือทุกข์ร้อนอย่ำงไร เวลำไหน ก็เป็นฝีมือของพรหมนั้น

ในพระอภิธรรมปิฎกมีสอนเรื่องพรหม แต่มิได้มีพรหม ๔ หน้ำ มิได้มีพรหมตัว


เขียว และมิได้ลิขิตชีวิตสัตว์ หรือทำำให้สัตว์ทุกข์หรือสุขได้ตำมชอบใจของพรหม
รำยละเอียดเรื่องนี้มีมำก แต่ผมตอบเพียงเท่ำนี้คงจะไม่มีใครหำว่ำกำำลังเพ้อฝัน
แล้วหนีหำยไปไม่ยอมมำศึกษำในวันต่อไปเป็นแน่

ถาม เพรำะอะไรจึงว่ำไม่มีเกิดอีก เป็นอมตธรรม ?

ตอบ อมตธรรม คือธรรมอันไม่ตำยนั้นมีควำมหมำยได้หลำยนัย ส่วนที่ผมได้


แสดงไปแล้ว ผมหมำยถึงกำรพ้นจำกกำรเวียนว่ำยตำยเกิด เพรำะว่ำเมื่อไม่เกิด แล้ว
ก็ไม่ตำยนั่นเอง มีควำมมุ่งหมำยว่ำ ต้องทำำชีวิตของเรำให้พ้นจำกกำรเกิด เมื่อพ้น
จำกกำรเกิด ก็พ้นจำกควำมตำยไปด้วย

ท่ำนที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อ จิต เจตสิก รูป สลำยตัวลงแล้ว คือตำย ก็จะ


ไม่มีกำรสืบต่อไป เกิดได้อีกต่อไป ย่อมพ้นจำกกำรเกิดแล้ว คือ เข้ำถึงอมตธรรม
นัน่ เอง

ถาม เมื่อเรำเอำเรื่องธรรมะไปบรรยำยที่มหำวิทยำลัยหลำยแห่งพอพูดถึงธรรมะ
แล้ว นักศึกษำคุยกัน หัวเรำะกัน ไม่ค่อยสนใจ ทำำไมจึงเป็นดังนั้น? ทำำไมคนสมัยนี้
จึงไม่ชอบธรรมะเหมือนในครั้งพุทธกำล
ตอบ คนส่วนมำกกล่ำวว่ำ ที่มหำวิทยำลัยนั้นนักศึกษำไม่สนใจในธรรมะเท่ำใดนัก
ผมคิดว่ำผู้บรรยำยธรรมะไม่สอดคล้องกับปัญญำของผู้รับ เพรำะสถำนที่แห่งนั้น
นักศึกษำเป็นผู้มีปัญญำ มีเหตุผลมำก ถ้ำผู้แสดงธรรมะเอำเรื่องศีลธรรมจรรยำ
เบื้องต้นไปแสดง หรือเอำนิทำนชำดกไปเล่ำ หรือนักศึกษำถำมว่ำคนตำยแล้วไป
เกิดได้อย่ำงไร ก็หำทำงหลีกเลี่ยงไม่ตอบ หรือตอบไปโดยขำดเหตุผล นักศึกษำจะ
มีควำมสนใจอย่ำงไรได้

ผมเอำพระอภิธรรมไปแสดงที่จุฬำลงกรณมหำวิทยำลัยหลำยครั้ง นักศึกษำสนใจ
กันมำก เลิกบรรยำยแล้วยังตำมผมไปจนถึงรถ เพื่อซักถำมต่อไปอีก ที่พูดว่ำทำำไม
คนทั้งหลำยในสมัยนี้จึงไม่พำกันศึกษำให้มำก ก็เพรำะคนในสมัยนี้ไม่ใช่คนใน
สมัยพุทธกำล ยิ่งขณะนี้วัตถุกำำลังเจริญ คนก็เพลิดเพลินไปกับวัตถุโดยไม่ต้องคิด
พิจำรณำในปัญหำที่ลึกซึ้งอะไร

ควำมจริงเรื่องชีวิตในพระอภิธรรมลึกซึ้งมำกเหลือเกิน ถ้ำไม่เอำใจใส่จริง ๆ แล้ว


กำรศึกษำก็จะเป็นได้โดยยำก เหมือนเรำเรียนวิชำวิทยำศำสตร์ เรำจะเกณฑ์คนทั้ง
หลำยให้ชอบวิชำวิทยำศำสตร์เบื้องต้น เช่น เรื่องแสง เรื่องเสียง เรื่องแม่เหล็ก
ไฟฟ้ำ ที่ไม่ใช่เรียนได้ง่ำย ๆ นอกจำกนี้ยังต้องเรียนวิชำต่ำง ๆ เพื่อให้เป็นผู้ที่
ประกอบไปด้วยควำมรู้กว้ำงขวำง ทั้งมีเหตุผลดีด้วย

ดังนั้นผู้ที่ศึกษำวิชำวิทยำศำสตร์ก็มีจำำนวนจำำกัดเหมือนกัน อย่ำงไรก็ดีถ้ำในอดีต
ชำติ ไม่ได้อบรมปัญญำบำรมีมำให้เพียงพอ หรือชำตินี้อกุศลยังมีกำำลังมำกอยู่แล้ว
ถึงจะพูดอย่ำงไรก็ไม่มีทำง เพรำะว่ำเขำยังไม่สนใจหรือไม่ศรัทธำ แต่ในวันนี้กลับ
ตรงกันข้ำม แม้จะยังอยู่ในท่ำมกลำงวัตถุที่กำำลังเจริญอย่ำงสูงสุด ท่ำนทั้งหลำยยัง
อุตส่ำห์มำนั่งศึกษำกันเป็นจำำนวนมำก จึงนับว่ำเป็นกุศลอย่ำงยิ่ง และกุศลเป็นแรง
ผลักส่งมำเป็นแน่

นักศึกษำทุกท่ำนที่มีควำมเข้ำใจดีพอใช้ เขำก็จะกระจำยควำมรู้ของเขำออกไปอยู่
เรื่อย ๆ และในที่สุดจะกว้ำงขวำงมำกขึน้ ยกตัวอย่ำงเช่น พุทธสมำคมฯเปิดกำร
บรรยำยครั้งแรก มีนักศึกษำประมำณ ๔๐ คน เรียนไปเรียนมำเหลือประมำณ ๒๐
คน ค่อย ๆ หำยไปทีละคนสองคน แต่เดี๋ยวนี้ถ้ำรวมทั้งนักศึกษำต่ำงจังหวัด ที่เรียน
โดยอำศัยหนังสือจำกวำรสำร "ชีวิต" ที่อภิธรรมมูลนิธิจัดพิมพ์ออกสู่มือประชำชน
ก็มิใช่จำำนวนร้อยสองร้อย แต่เป็นจำำนวนพัน ๆ
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับวันเริ่มเปิดโรงเรียนพุทธสมำคมฯเรำมีชั้นเรียนชั้นเดียว
จนถึงวันนี้ เป็นเวลำ ๑๒ ปีแล้ว เรำก็มีชั้นเรียนหลำยชั้นและผู้บรรยำยหลำยคน
แล้วยังได้ขยำยกำรศึกษำไปยังอีกหลำยจังหวัดด้วย ท่ำนนักศึกษำบำงท่ำนไปเปิด
กำรบรรยำยขึ้นใหม่ก็มี แต่อย่ำงไรก็ดี จะเอำจำำนวนของผู้ที่มีควำมสนใจเหมือน
โรงหนัง ที่ผู้ดูพำกันเข้ำแย่งซื้อตั๋วนั้นยำก เพรำะว่ำเรื่องของพระอภิธรรมนั้นลึกซึ้ง
ยิ่งนัก ต้องศึกษำมำก ต้องสนใจ และต้องใช้ควำมคิดพิจำรณำมำกจึงจะเข้ำใจได้ ผู้
ศึกษำเริ่มต้นไปไม่กี่ครำวพำกันท้อถอยเสียก็มีอยู่เป็นอันมำก

เมื่อสัปดำห์ที่แล้ว ผมได้แสดงให้ท่ำนนักศึกษำทรำบว่ำ พระอภิธรรมนั้นเป็น


วิชำกำรที่ว่ำด้วยเรื่องของชีวิตที่มีควำมพิสดำร มีควำมลึกซึ้ง อย่ำงไร ผูศ้ ึกษำจะได้
รับประโยชน์จำกกำรศึกษำพระอภิธรรมโดยจะเกิดปัญญำเข้ำถึงแก่นแท้ของควำม
จริงในเรื่องชีวิต จะแก้ปัญหำให้แก่ชีวิตได้ จะก่อให้เกิดควำมสุข ควำมเยือกเย็นใจ
และจะเห็นหนทำงที่จะพ้นไปเสียจำกควำมทุกข์ พ้นไปจำกกำรเวียนว่ำยตำยเกิด
อีกต่อไป

ต่อไปนี้ท่ำนจะได้ศึกษำว่ำ ในพระอภิธรรมนั้นมีระเบียบกำรศึกษำอย่ำงไร ไป
จนถึงเรื่องของจิต ว่ำจิตคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่ำงไร เป็นต้น

พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมำสัมโพธิญำณแล้ว
พระองค์มีพระมหำกรุณำอันยิ่งใหญ่แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลำย เพรำะพระองค์ได้
เทศนำสั่งสอนเรื่องสำำคัญอันเกี่ยวแก่ชีวิต และหนทำงที่พ้นไปจำกควำมทุกข์ มำ
เป็นเวลำยำวนำนถึง ๔๕ ปี ตลอดเวลำ ๔๕ ปีนี้ รวมคำำสอนได้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระ
ธรรมขันธ์ เมื่อรวมรวมกันเข้ำจัดเป็นหมวดเป็นหมู่ก็ได้ ๓ หมวด ซึ่งได้แก่พระ
ไตรปิฎกนั่นเอง

หมวดที่ ๑ พระวินัยปิฎก
หมวดที่ ๒ พระสุตตันตปิฎก
หมวดที่ ๓ พระอภิธรรมปิฎก

๑. พระวินัยปิฎก ได้แก่ธรรมที่วำงไว้เป็นกฎข้อบังคับ หรือระเบียบสำำหรับผู้


ประพฤติ เป็นกำรปูพื้น เป็นกำรจัดสรรให้งดงำม ดังนั้น ผู้ใดล่วงละเมิดกฎข้อ
บังคับเหล่ำนี้ จึงต้องได้รับโทษตั้งแต่ชั้นสูงลงไปตำมลำำดับ
พระวินัยปิฎกมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยจำำแนกออกเป็น ๕ คัมภีร์ คือ คัมภีร์
อำทิกรรม คัมภีร์ปำจิตตีย์ คัมภีร์มหำวัคค คัมภีร์จุลวัคค คัมภีร์ปริวำร

๒. พระสุตตันตปิฎก เป็นธรรมที่ยกสัตว์ ยกบุคคลขึ้นมำแสดงเป็นตัวอย่ำงไม่ว่ำ


จะเป็นในทำงดีหรือในทำงชั่วก็ตำม ปิฎกนี้เรียกกันในที่บำงแห่งว่ำพระสูตรก็มี
ควำมมุ่งหมำยก็เพื่อจะให้เกิดควำมรู้ควำมเข้ำใจตำมที่ชำวโลกทั่วไปพอจะเข้ำใจ
ได้ กำรแสดงก็ใช้โวหำรของชำวโลกเสียส่วนมำก เพื่อมุ่งหมำยให้สัตว์ทั้งหลำยมี
จิตใจประกอบด้วยศีลธรรมดีงำม พร้อมด้วยควำมสงบเยือกเย็นตำมสมควร

พระสุตตันตปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๕ นิกำย คือ ทีฆนิกำย


มัชฌิมนิกำย สังยุตตนิกำย อังคุตตรนิกำย ขุททกนิกำย

๓. พระอภิธรรมปิฎก เป็นธรรมที่แสดงแตกต่ำงกับ ๒ ปิฎกแรกมำก เพรำะแสดง


ถึงควำมจริงอย่ำงแท้จริงของธรรมชำติของสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ไม่มีกำรกล่ำว
ถึงเรื่องที่ผนั แปรเปลี่ยนแปลงได้ หำกแต่เป็นเนื้อควำมที่แสดงถึงสภำวธรรมชำติ
ทั้งปวงที่ปรำกฏ และเป็นไปตำมควำมเป็นจริงโดยไม่จำำกัดบุคคล เวลำ และสถำน
ที่ เช่นไม่ว่ำเวลำนี้หรือเวลำไหน ทั้งไม่ว่ำจะอยู่ในโลกนี้หรือในโลกใด ธรรมชำติ
นัน้ ก็จะยืนหยัดอยู่อย่ำงเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ตัวอย่ำงเช่นควำมร้อน
ควำมร้อนของไฟ เกิดไฟขึน้ เมื่อใดที่ไหน มันก็จะทรงควำมร้อนของมันอยู่ตลอด
ไป หรือจิตนั้นมีควำมไม่เที่ยงเป็นลักษณะไม่ว่ำจะเป็นจิตของคนหรือสัตว์
เดรัจฉำน จิตที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน อนำคต อย่ำงไรมันก็จะทรงควำมไม่เที่ยง
ต้องเกิดดับอยู่เสมอ ไม่มีใครบังคับบัญชำได้

พระอภิธรรมปิฎกนั้น แสดงธรรมชำติล้วน ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชีวิต โดยมิได้ยก


บุคคลหรือสัตว์ขึ้นมำเลย เหมือนเรียนเรื่องควำมร้อน แสง เสียง ไฟฟ้ำ เป็นต้น
เพื่อประโยชน์ให้ผู้ศึกษำเกิดมีสติปัญญำหลักแหลมต่อปัญหำในเรื่องชีวิต แล้วเห็น
หนทำงไปสู่สันติสุขตลอดกำลนิรันดร

พระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ด้วยกันคือ

๑. ธัมมสังคณี- รวมปรมัตถธรรมตั้งเป็นหัวข้อเรียกมำติกำ แสดงธรรมที่เป็นกุศล เป็นอกุศล และ


อพพยำกต เป็นต้น
๒. วิภังค์ - จำำแนกปรมัตถธรรมออกเป็นส่วน ๆ เช่น ขันธ์ อำยตนะ ธำตุ สัจจะ เป็นต้น
๓. ธาตุกถา - จัดปรมัตถธรรมเอำไว้เป็นพวก โดยสังเครำะห์พวกที่เข้ำกันได้ และเข้ำกันไม่ได้ด้วย
ขันธ์ อำยตนะ ธำตุ เป็นต้น
๔. ปุคคลบัญญัติ - แสดงปรมัตถโดยบัญญัติ ยกบุคคลขึ้นมำแสดง เช่น ขันธบัญญัติ เป็นต้น
๕. กถาวัตถุ - ยกปรมัตถธรรมขึ้นโต้ตอบกัน เช่นเดียวกับปุจฉำวิสัชนำ
๖. ยมก - ยกปรมัตถธรรมขึ้นปุจฉำวิสัชนำเป็นคู่ ๆ
๗. มหาปัฏฐาน - แสดงปรมัตถธรรมอย่ำงกว้ำงขวำง วิจิตรพิสดำร จำำแนกปัจจัยออกไปเป็น ๒๔ มี
เหตุปัจจัยเป็นต้น
ธรรมะที่ท่ำนจะได้ศึกษำต่อไปนี้ เป็นพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ดังนัน้ จึงมิได้เป็น
ชื่อคัมภีร์ใดคัมภีร์หนึ่งใน ๗ คัมภีร์ ดังที่กล่ำวมำแล้ว พระอภิธรรมมัตถสังคหะที่
ท่ำนจะได้ศึกษำนี้ เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นั้นอีกทีหนึ่ง

เพรำะในพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ มีเนื้อควำมที่แสนยำก ซับซ้อนเป็นอย่ำงยิ่ง ผู้


ใดมิได้เริ่มต้นสร้ำงพื้นฐำนโดยศึกษำจำกพระอภิธรรมมัตถสังคหะให้มคี วำม
เข้ำใจดีเสียก่อนแล้ว ก็จะไม่อำจศึกษำคัมภีร์ทั้ง ๗ นัน้ ได้เลยแม้แต่คัมภีร์เดียว

พระอภิธรรมมัตถสังคหะ พระอนุรุทธำจำรย์ ท่ำนเป็นชำวเมืองกำวิลกัญจิอยู่ใน


แคว้นมัทรำฐ ทำงภำคใต้ของประเทศอินเดีย ได้รับกำรยกย่องว่ำเป็นผู้เชี่ยวชำญ
แตกฉำนในพระอภิธรรม เป็นผู้รจนำพระอภิธรรมมัตถสังคหะนี้ขึ้น เมื่อประมำณ
พุทธศักรำช ๙๐๐

ถ้ำเรำไม่ได้พระคันถรจนำจำรย์ผู้นี้แล้ว กำรศึกษำพระอภิธรรมก็แทบว่ำจะเป็นไป
ไม่ได้เลย ท่ำนได้รวบรวมพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ ซึ่งละเอียดประณีตนัน้ ออกมำ
โดยย่อแล้วตั้งชื่อว่ำพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ซึ่งมีอยู่ ๙ ปริจเฉทด้วยกัน เพื่อ
ประโยชน์สำำหรับอนุชนจะได้ศึกษำกันง่ำยขึ้น โดยได้อำศัยบำลี อรรถกถำ ฎีกำ
และอนุฎีกำ เป็นหลัก

นับว่ำเป็นพระคุณแก่นักศึกษำรุ่นต่อมำเป็นอันมำก ผู้ศึกษำมีควำมรู้ในอภิธรรม
มัตถสังคหะนี้ดีแล้ว ก็จะได้ใช้เป็นพื้นฐำนหรือเป็นบันไดก้ำวขึ้นไปสู่พระ
อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีรน์ ั้นต่อไป อภิธรรมมูลนิธิได้ดำำเนินกำรอยู่ คือ เวลำนี้มีกำร
บรรยำยพระอภิธรรมมัตถสังคหะ และบรรยำยพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ด้วย

คัมภีร์พระอภิธรรมมัตถสังคหะนี้ จะปรำกฏอยู่ท่ำมกลำงประชำชนจำำนวนมำก
เสมอ ตำมวัดวำอำรำมที่มีกำรฌำปนกิจศพ เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งถึงแก่กรรมลม เรำเรียก
กันว่ำสวดพระอภิธรรม ประชำชนถือว่ำเป็นคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธ
ศำสนำ ใครสวดแล้วได้บุญมำก แต่ก็สวดเป็นภำษำบำลีอยู่เช่นนี้นำนนับร้อย ๆ ปี
ถึงแม้มีผู้ใดแปลแล้วถ่ำยทอดออกมำเป็นภำษำไทยให้อ่ำนได้ง่ำยสำำหรับ
ประชำชนจะได้ใช้ศึกษำยังไม่มี

ทั้งนี้ก็เพรำะพระอภิธรรมนี้มีข้อควำมละเอียดและสุขุมคัมภีรภำพยิ่งนัก ศัพท์ภำษำ
บำลีบำงทีก็จะแปลไปตรง ๆ ไม่ได้ เช่นคำำว่ำ “ชีวิต” ซึ่งแปลว่ำอำยุหรือควำมเป็น
อยู่ แต่อธิบำยตำมแนวของพระอภิธรรมแล้ว คำำว่ำชีวิตจำำเป็นต้องใช้เวลำไม่ตำ่ำกว่ำ
๑ ชั่วโมง ท่ำนนักศึกษำจึงจะเข้ำใจดี

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้มีควำมเข้ำใจในพระอภิธรรมเป็นจำำนวนน้อย นอกจำกนี้พระ
อภิธรรมยังประกอบไปด้วยตัวเลขเป็นอันมำก ประชำชนส่วนใหญ่ก็ได้แต่ฟังพระ
ท่ำนสวดเพื่อเอำบุญเท่ำนั้น ควำมเข้ำใจดีมีไม่มำก หรือไม่มีเลย แล้วหลำยท่ำนก็
กล่ำวหำว่ำพระอภิธรรมนั้นไม่ใช่พุทธพจน์ เป็นธรรมที่ไม่จำำเป็นต้องศึกษำ เป็น
ธรรมที่กล่ำวแต่ทฤษฎีไม่มีภำคปฏิบัติ และเป็นธรรมที่เอำไว้สนทนำโต้ตอบ
ปัญหำต่ำง ๆ กัน เพื่อควำมสนุกสนำนพอสมควรแล้ว ก็จะพบว่ำ

พระอภิธรรมนั้นเป็นพุทธพจน์ มีทั้งภำคทฤษฎีและภำคปฏิบัติมำกมำย และไม่มีผู้


ใดอำจชี้ลงไปได้ว่ำ ตรงไหนแห่งใดที่ไม่ใช่พุทธพจน์ เพรำะไม่ว่ำจะศึกษำถึงตอน
ไหนก็เป็นกำรแสดงถึงเรื่องชีวิต และเป็นกำรพำผู้ศึกษำให้เข้ำใจชีวิตอย่ำงลึกซึ้ง
จริง ๆ จะรู้หนทำงว่ำทิศทำงใดจะนำำตนให้พ้นไปจำกควำมทุกข์ พ้นไปจำกกำร
เวียนว่ำยตำยเกิดอีกต่อไป

ซึ่งคำำสอนเช่นนี้ นอกจำกพระพุทธเจ้ำแล้ว ไม่มีใครในโลกที่จะเข้ำถึงได้เลยเป็น


อันขำด เมื่อผู้ใดได้ศึกษำแล้วก็จะตัดสินเอำได้ด้วยตนเอง

อภิธรรมมัตถสังคหะ คืออะไร?

อภิธรรมมัตถสังคหะแยกออกเป็น อภิ + ธรรม + อัตถะ + สัง + คหะ

อภิ = ประเสริฐยิ่ง

ธรรม = สภำพที่ทรงไว้ไม่มีกำรผันแปร
อภิธรรม แปลว่ำ ธรรมอันยิ่ง ธรรมอันประเสริฐ เป็นธรรมที่มีอยู่จริงมิได้สมมติ
ขึ้น ได้แก่พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นั่นเอง

ที่ว่ำเป็นธรรมอันประเสริฐนั้นมิได้หมำยถึงควำมประณีต หำกแต่หมำยถึงอวิปริต
คือไม่มีกำรเปลี่ยนแปลง สภำพของตนเป็นอย่ำงไรก็จะเป็นอย่ำงนั้น ไม่เลือกชั้น
วรรณะ ไม่เลือกคนหรือสัตว์เดรัจฉำน ทั้งไม่เลือกว่ำที่ใดเวลำไหน

นอกจำกนี้ยังเป็นธรรมที่นำำให้ผู้ศึกษำเข้ำใจในเรื่องชีวิตและหนทำงที่จะพ้นไป
จำกควำมทุกข์ ตำมที่อรรถกถำจำรย์ได้แสดงไว้ในอัฎฐสำลินีอรรถกถำ ว่ำ

“อภิธมฺโม นาม น อญฺเสสำ วิสโย สพฺพญฺญุพุทธานำ เยว วิสโย เตสำ วเสน เทเสตพฺพ
เทสนา”

แปลควำมว่ำ ทีช่ ื่อว่ำพระอภิธรรม เพรำะไม่ใช่วิสัยของผู้อื่น เป็นวิสัยของพระ


สัพพัญญูสัมพุทธเจ้ำเท่ำนั้น และกำรแสดงพระอภิธรรมที่ปรำกฏขึ้นมำได้ก็โดย
อำำนำจแห่งพระสัพพัญญูสัมมำสัมพุทธเจ้ำทั้งหลำยนั่นเอง

อตฺถ แปลว่ำ เนื้อควำม หมำยถึง ข้อควำมสำำคัญที่เป็นเนื้อหำของพระอภิธรรมนั้น


เมื่อว่ำโดยย่อที่สุดก็ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพำน และบัญญัติ

สำ แปลว่ำ โดยย่อ

คหะ แปลว่ำ รวบรวม

ถ้ำจะประมวลคำำเหล่ำนี้แล้วก็มีควำมหมำยว่ำ ได้รวบรวมธรรมที่พระสัมมำสัม
พุทธเจ้ำแสดงเอำไว้ในอภิธรรมปิฎกนั้นโดยย่อ ซึ่งได้แก่เรื่อง จิต เจตสิก รูป
นิพพาน และบัญญัติ

พระอภิธรรมสอนเรื่องอะไร ?

พระอภิธรรม เป็นธรรมที่สอนควำมจริงในเรื่องของชีวิต ให้ผู้ศึกษำเข้ำใจในเรื่อง


ของตัวเอง และหนทำงที่จะไปสู่กำรพนทุกข์ พ้นจำกกำรเวียนว่ำยตำยเกิดอีกต่อไป

พระอภิธรรมแสดงถึงควำมจริงในเรื่องของชีวิต ๒ ประกำร คือ


๑. ปรมัตถธรรม ได้แก่ เนื้อควำมที่จริงแท้แน่นอน ไม่ผันแปร ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่
ว่ำจะตั้งอยู่ที่ไหน ทั้งมีอยู่จริง ๆ ด้วย เช่น รูปนั้นย่อมไม่เที่ยง มันจะยืนควำมไม่
เที่ยงนี้ตลอดไป มันจะไม่มีวนั กลับมำเทีย่ งเลยเป็นอันขำด และนิพพำนนั้นเป็น
สันติสุขก็จะไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอย่ำงอื่นได้อีกเลย เป็นต้น ที่เรียก ปรมัตถะ ว่ำเป็น
ธรรมอันประเสริฐก็เพรำะว่ำ

ก. ไม่มีกำรผันแปร เปลี่ยนแปลงแต่อย่ำงใด
ข. เป็นที่โคจรแห่งญำนอันประเสริฐของพระอริยะและบุคคลผู้มีปัญญำทั้งหลำย

๒. บัญญัติธรรม เป็นกำรสมมติหรือตั้งกันขึน้ เพื่อใช้เรียกชื่อให้รู้จักกันในหมู่ใน


พวกของชำวโลกจะได้ไม่ซำ้ำกัน จะได้เข้ำใจกันว่ำหมำยถึงอะไร เช่น คน สัตว์ โต๊ะ
เก้ำอี้ หญิง ชำย อ้วน ผอม เป็นต้น ไม่ได้มีจริง ๆ

ปรมัตถธรรม ไม่สำมำรถแสดงออกเพื่อควำมเข้ำใจซึ่งกันและกันได้ จึงต้องอำศัย


บัญญัติคำำขึ้นมำใช้เพื่อควำมเข้ำใจอันนั้น เช่น มือกระทบไฟ ควำมรู้สึกร้อนเป็น
ปรมัตถะ แต่คำำพูดว่ำ ร้อน หรือตัวหนังสือที่เขียนว่ำร้อนนั้นเป็น บัญญัติ หรือเมื่อ
ตำเห็นเก้ำอี้ ควำมรู้สึกในกำรเห็นรูปก็เป็นปรมัตถ์ คำำว่ำเก้ำอี้ไม่มีจริง ๆ เป็นกำร
สมมติตั้งชื่อขึ้น คนชำติแขก ชำติฝรั่ง ก็ตั้งชื่อเก้ำอี้ไปคนละอย่ำง
พระอภิธรรมมัตถสังคหะแบ่งหมวดออกศึกษาอย่างไร ?

พระอภิธรรมมัตถสังคหะ อันพระอนุรุทธำจำรย์รจนำขึ้นจำกพระอภิธรรมทั้ง ๗
คัมภีร์นั้น ท่ำนได้แบ่งออกเป็น ๙ปริจเฉท

ปริจเฉทที่ ๑ ชื่อ จิตตสังคหวิภำค เป็นกำรแสดงเรื่องจิตปรมัตถ์


ปริจเฉทที่ ๒ ชื่อ เจตสิกสังคหวิภำค เป็นกำรแสดงเรื่องเจตสิกปรมัตถ์
ปริจเฉทที่ ๓ ชื่อ ปกิณณกสังคหวิภำค เ ป็นกำรแสดงธรรม ๖ หมด คือ เวทนำ เหตุ
ทวำร กิจ อำรมณ์ และวัตถุ
ปริจเฉทที่ ๔ ชื่อ วิถีสังคหวิภำค เป็นกำรแสดงกำรทำำงำนของจิต
ปริจเฉทที่ ๕ ชือ่ วิถีมุตตสังคหวิภำคเป็นกำรแสดงเรื่องจิตที่พ้นวิถี เช่น จุติ
ปฏิสนธิยังภพภูมิต่ำง ๆ
ปริจเฉทที่ ๖ ชื่อรูปสังคหวิภำค เป็นกำรแสดงเรื่องรูปปรมัตถและนิพพำน
ปริจเฉทที่ ๗ ชื่อ สมุจจยสังคหวิภำค เป็นกำรแสดงธรรมที่สงเครำะห์เข้ำเป็น
หมวดเดียวกันได้
ปริจเฉทที่ ๘ ชื่อปัจจยสังคหวิภำค เป็นกำรแสดงธรรมที่เป็นปัจจัย คืออุปกำระซึ่ง
กันและกัน ตลอดจนบัญญัติธรรม
ปริจเฉทที่ ๙ ชื่อ กัมมัฎฐำนสังคหวิภำค เป็นกำรแสดงถึงกำรปฏิบัติสมถะ และ
วิปัสสนำ

จิตตสังคหวิภาค

พระอภิธรรมมัตถสังคหะปริจเฉทที่ ๑ ชื่อว่ำ จิตตสังคหวิภำคนี้ ท่ำนพระอนุรุทธำ


จำรย์ ได้ประพันธ์ขึ้นเป็นคำถำสังคหะ รวมทั้งสิ้น ๒๑ คำถำ

๑. สมฺมำสมฺพุทฺธมตุลำ สสทฺธมฺมคณุตฺตมำ
อภิวำทิย ภำสิสฺสำ อภิธมฺมตฺถสงฺคหำ ฯ

แปลควำมว่ำ ข้ำพระพุทธเจ้ำ (พระอนุรุทธำจำรย์) ขอถวำยอภิวำทสมเด็จพระ


สัมมำสัมพุทธเจ้ำผู้ทรงอุดมด้วยปัญญำธิคุณหำผู้เสมอเหมือนมิได้ พร้อมด้วยพระ
สัทธรรมและหมู่พระอริยสงฆ์เจ้ำ แล้วจะกล่ำวคัมภีร์พระอภิธรรมมัตถสังคหะต่อ
ไป
๒. ตตฺถ วุตฺตำภิธมฺมตฺถำ จตุธำ ปรมตฺถโต
จิตฺตำ เจตสิกำ รูปํ นิพฺพำนมิติ สพฺพถำ ฯ

แปลควำมว่ำ เนื้อควำมแห่งพระอภิธรรม ที่พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำตรัสเหล่ำนั้น (ว่ำ


โดยย่อ) คือปรมัตถธรรม ๔ ประกำร อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพำน เท่ำนี้

ต่อจำกนี้ไป ท่ำนจะได้ศึกษำเรื่องของจิต ซึ่งในพระอภิธรรมได้แยกออกเป็น


ประเภทต่ำง ๆ เหมือนกับกำรถอดนำฬิกำข้อมือออกมำตรวจดูชิ้นส่วนต่ำง ๆ ว่ำ
แต่ละชิ้นส่วนนั้นมันชื่อว่ำอะไร เช่น ลำน เฟือง เป็นต้น ว่ำมันทำำงำนอะไรบ้ำง
และทำำอย่ำงไร

จิตคืออะไร ?
จิตเป็นธรรมชำติอย่ำงหนึ่งที่มีลักษณะรู้ หรือรู้อำรมณ์ อีกนัยหนึ่ง จิตเป็น
ธรรมชาติที่รับอารมณ์ หรือคิดอ่ำนซึ่งอำรมณ์นั้น
ตำมบำลีว่ำ จิตฺเตตีติ จิตฺตำ อำรมฺมณำ วิชฺชำนำตีติ อตฺโถ ฯ ซึ่งแปลว่ำ ธรรมชาติใด
ย่อมคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต มีอรรถว่ำ ธรรมชำติที่รู้อำรมณ์คือจิต

จิตเป็นธรรมชาติที่รู้ในเรื่องอะไร?

จิตเป็นธรรมชำติที่รู้ในเรื่อง เห็น, ได้ยนิ , ได้กลิ่น, รู้รส, รู้สัมผัส, และคิดนึก เช่น


เห็น คนหรือสัตว์ได้ ได้ยินเสียง นกร้องได้ ได้กลิ่น หอม หรือเหม็นได้ รู้รส หวำน
หรือขมได้ รู้สัมผัสเย็นร้อนได้ และ คิดนึก เรื่องต่ำง ๆ ได้

ตำมธรรมดำ “รูป” นัน้ เป็นอนารัมมณัง แปลว่ารู้อารมณ์ไม่ได้ เช่นร่ำงกำยของเรำ


แม้แต่มันสมอง ในเซลล์ ในยีนส์ หรือสรรพสิ่งทั้งหลำย มีต้นไม้ บ้ำนเรือน โต๊ะ
เก้ำอี้ เป็นต้น ย่อมไม่มีหน้ำที่ที่จะเห็น ได้ยิน หรือคิดนึก รู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข รูจ้ ักดี
รู้จักชั่ว รู้จักคิดอ่ำนจดจำำเลยเป็นอันขำด แม้ว่ำมันจะวิวัฒนำกำรมำกี่พันกี่หมื่น
ล้ำนปีก็ตำม
รูปบางอย่างที่อยู่ตำมร่ำงกำย แสดงเหมือนหนึ่งรู้อำรมณ์ได้ ทำำให้ผู้ที่ขำดกำร
พิจำรณำเข้ำใจผิด เช่นเห็นรูปได้ด้วยตำ ได้ยนิ เสียงได้ด้วยหู เป็นต้น บางคนเข้าใจ
ว่าตาเป็นผู้เห็น หูเป็นผู้ได้ยิน

ความจริงรูปเหล่านั้นรู้อารมณ์ไม่ได้เลย หากแต่เป็นสถานที่ซึ่งจิตเข้าไปทำาการงาน
“เห็น” และมีสถำนที่ซึ่งจิตเข้ำไปทำำกำรงำน “ได้ยนิ ” เป็นต้น ส่วนกำรทำำงำนของ
จิต และสถำนที่คือรูป ทำำกำรงำนอย่ำงไรโดยพิสดำร จะได้ศึกษำต่อไป

มีอยู่บ่อยครั้งทีเดียวที่รูปมำกระทบตำแล้วเรำไม่เห็น และเสียงมำกระทบหูแต่เรำ
ไม่ได้ยิน ทั้งนี้ก็เพราะเรามิได้ยกจิตขึ้นมาสู่อารมณ์เหล่านั้นด้วย เหตุนี้ เมื่อเรำเดิน
ไปตำมถนนคลื่นแสงที่สะท้อนจำกสิ่งต่ำงๆ เป็นอันมำกเข้ำกระทบตำเรำจึงได้เห็น
บำงอย่ำง และเสียงต่ำง ๆ มำกมำยที่เข้ำมำกระทบหูในเวลำที่เรำหลับสนิทจึงไม่
ได้ยิน ทั้งนี้ก็เพรำะร่ำงกำยของเรำทั้งหมดนั้นเป็นรูป จึงไม่มีควำมสำมำรถรับรู้
อำรมณ์ได้

จิตเกิดขึ้นที่ไหน?
บุคคลทั้งหลำยอำศัยประตูบ้ำน เพื่อออกไปทำำกิจกำรงำนต่ำงๆ ดังนัน้ บ้ำนเรือนจึง
ต้องมีประตูสำำหรับจะได้ออกไปข้ำงนอก บำงบ้ำนต้องกำรควำมสะดวกมำกขึ้น
จึงมีประตูหลำยประตู

ในเรื่องของจิตก็เช่นเดียวกัน จิตจะต้องอาศัยประตูออกมาทำาการงานต่างๆ เช่น


เห็น ได้ยิน คิดนึกเหมือนกัน ถ้ำจิตมิได้มีประตูสำำหรับจะได้ออกมำทำำกำรงำนแล้ว
จิตก็จะทำำงำนเห็น ได้ยิน คิดนึก ไม่ได้เลยเป็นอันขำด

ประตูที่จิตออกมำทำำงำนนั้นมี ๖ ประตู และประตูทั้งสิ้นเป็นเพียงรูป แต่เป็นรูปที่


ละเอียดประณีตมำก คือ เป็นรูปที่ประกอบไปด้วยปรมำณู (เป็นปรมำณูทำงธรรม)

รูปเหล่ำนี้เรียกว่ำ "ปสาท" เขียนกันในภำษำไทยว่ำ "ประสาท" แต่มิได้หมำยถึง


ประสำทที่นำยแพทย์ดึงออกมำเป็นเส้นๆ

จิตจะมำทำำกำรงำนเห็นที่ประสำทตำ ได้ยินที่ประสำทหู ได้กลิ่นที่ประสำทจมูก


ลิ้มรสที่ประสำทลิ้น กระทบเย็น - ร้อน - อ่อน - แข็ง ที่ประสำทกำย และคิดนึกที่
มโนอันได้แก่ใจ

แต่อย่ำงไรก็ดี จิตจะทำำกำรงำนทำงปัญจทวำร คือประตูทั้ง ๕ นี้ เฉพำะในขณะ


เห็น ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น ขณะรู้รส ขณะรู้สัมผัสเท่ำนั้น โดยที่ยังไม่ทราบว่าได้
เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รูส้ ัมผัส ในเรื่องเหล่ำนั้นจริงๆ เพรำะกำรจะรู้เรื่องเหล่ำ
นัน้ ได้ต้องผ่ำนมโนทวำรเสียก่อน

นอกจำกนั้น จิตจะทำำกำรงำนที่มโนทวำรคือประตูใจ แต่ส่วนกำรงำนของจิตโดย


ละเอียดตำมทวำรต่ำงๆนั้น จะแสดงเมื่อถึงตอนที่วำ่ ด้วยอเหตุกจิต
จิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? จิตอาศัยเหตุอะไรจึงเกิดขึ้นมาได้?

ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาจากเหตุ หรืออีกนัยหนึ่งว่ำ สรรพสิ่งทั้งหลำยในโลกนี้


จะเกิดขึ้นมำมิได้เลย ถ้ำหำกปรำศจำกเหตุ แม้จะกระดิกตัวสักนิด หรือจะยิ้มสัก
หน่อยก็หนีเหตุไปไม่พ้น

ทั้งนี้ไม่เลือกว่ำจะเป็นรูปหรือนำมก็ตำม แต่ทว่ำเหตุนั้นมีหลำยชั้น เช่น เหตุใกล้


เหตุไกล เหตุในชำตินี้ เหตุในชำติหน้ำ เหตุในชำติก่อน เหตุที่ตื้นๆเผินๆ หรือเหตุ
ที่ลึกซึ้ง
ผู้ใดมิได้ศึกษำพระอภิธรรม มิได้พิจำรณำให้ละเอียดเข้ำไปถึงเหตุไกล คือเหตุใน
อดีต หรือเหตุที่ลึกซึ้งแล้วก็จะตัดสินควำมจริงที่เกี่ยวกับชีวิตผิดพลำดไปได้โดย
ง่ำย

เช่น เข้ำใจว่ำจิตหรือวิญญำณนั้น ล่องลอยไปเกิดได้เพรำะเป็นสิ่งกำยสิทธิ์

หรือเข้ำใจว่ำ เมื่อคนตำยลงไปแล้วยังไปเกิดอีกไม่ได้ ต้องไปอยู่ในสถำนีกลำงเสีย


ก่อน แล้วจึงไปเกิดภำยหลัง

หรือเข้ำใจว่ำ คนเรำเมื่อตำยลงไปแล้วก็จมฝังดินหรือเผำเป็นเถ้ำถ่ำนไปเกิดอีกไม่
ได้ เป็นต้น

"เหตุ" คืออะไร?

คำำว่ำเหตุนนั้ เรำพูดกันอยู่เสมอจนเคยชิน ตั้งแต่เด็กๆมำจนถึงบัดนี้ ทั้งใช้กันทัว่ ไป


ไม่ว่ำในฝ่ำยวิชำกำรหรือฝ่ำยธุรกำร ทั้งในภำคทฤษฎีและภำคปฏิบัติ แม้ว่ำจะเป็น
คำำถำมที่ง่ำยๆ ใช้กนั บ่อยๆก็จริง แต่จะตอบให้สั้นให้ตรงเป้ำหมำยได้ควำมดีนั้นคง
ไม่ง่ำยนัก

ในหลักธรรมะมีคำำแปลคำำอธิบำย เข้ำใจง่ำย สั้น และตรงกับคำำถำมมำก ดังบำลีว่ำ,


"หิโนติ ผลำ ปวตฺตตีติ เหตุ" ซึ่งแปลว่า เหตุคือธรรมชาติที่ทำาให้ผลเกิด

ในพระพุทธศำสนำยังแยกเหตุออกไปอีก เช่น เหตุประกอบ เหตุประจวบ เป็นต้น


แต่จะยังไม่แสดงในขณะนี้

นอกจำกคำำว่ำ"เหตุ"แล้ว ท่ำนนักศึกษำจะได้พบคำำว่ำ"ปัจจัย"อีกคำำหนึ่ง คำำนีใ้ ช้


กันอยู่ทั่วไปเหมือนกัน โดยมำกมักเอำมำใช้ปะปนกับเหตุเสียอีก เช่นกล่ำวว่ำ เหตุ
ปัจจัยมีอยู่ในวิชำกำรต่ำงๆเป็นอันมำก ในวิชำกฏหมำยจะพบมำกที่สุด

ผมเคยถำมบำงท่ำนที่กล่ำวถึงคำำนี้ เมื่อขอคำำแปลและคำำอธิบำยในควำมแตกต่ำง
กันของเหตุกับปัจจัย ก็จะได้รับคำำอธิบำยไม่เหมำะสมเหมือนในธรรมะ
คำำว่ำ "ปัจจัย" นัน้ มิได้หมำยถึงตัวต้นเหตุที่ทำำให้ผลเกิด หำกแต่หมำยถึงตัวกำรที่
สนับสนุนเหตุอีกทีหนึ่ง ในพระพุทธศำสนำแยกปัจจัยออกถึง ๒๔ ปัจจัย แล้วใน
๒๔ ปัจจัย ยังแยกย่อยออกไปอีกมำก ซึ่งปรำกฏอยู่ในพระอภิธรรมปิฎก

ผู้ศึกษำจะเข้ำถึงควำมลึกซึ้งถึงเรื่องชีวิต ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนำคต จะหำยสงสัย


ในปัญหำที่เรียกกันว่ำโลกแตก เช่น เข้ำใจถึงเรื่องตำย เรื่องเกิด เรื่องผลกรรมที่ตำม
มำให้ผลได้

ถ้ำเรำจะตั้งคำำถำมว่ำ โรงเรียนที่เรำกำำลังนั่งกันอยู่นี้ ใครเป็นคนสร้ำงมันขึ้นมำ คำำ


ตอบข้อนี้ก็คือ โรงเรียนที่ถูกสร้ำงจนสำำเร็จขึ้นมำได้ก็ต้องอำศัยช่ำงไม้ ถ้ำช่ำงไม้
ไม่มีเสียแล้ว โรงเรียนก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น ช่ำงไม้จึงเป็นเหตุ โรงเรียนจึงเป็น
ผล

อย่ำงไรก็ดี ลำำพังแต่ตัวของช่ำงไม้อย่ำงเดียว ก็หำผลิตสร้ำงโรงเรียนนี้ขึ้นมำได้ไม่


ช่ำงไม้ก็จำำเป็นจะต้องหำเครื่องมือต่ำงๆเข้ำมำช่วยเหลือมี เลื่อย กบ ฆ้อน สิ่ว
เป็นต้น ดังนั้น เครื่องมือของช่ำงไม้มี เลื่อย กบ ฆ้อน สิ่ว จึงเป็นตัวปัจจัย
สนับสนุนเหตุ ซึ่งได้แก่ช่ำงไม้อีกทีหนึ่ง

ถ้ำเรำจะตั้งคำำถำมว่ำ ต้นมะม่วงที่เรำเห็นงอกงำมสมบูรณ์อยู่นี้ เกิดขึ้นมำจำกไหน

คำำตอบก็มีว่ำต้นมะม่วงนี้เกิดขึ้นมำจำกเม็ด เม็ดมะม่วงก็เป็นเหตุ ต้นมะม่วงก็เป็น


ผล แต่อย่ำงไรก็ดี มะม่วงจะเจริญงอกงำมขึน้ มำได้ก็ต้องอำศัยกำรบำำรุง คือกำร
รดนำ้ำพรวนดิน ด้วยเหตุนี้เอง กำรรดนำ้ำพรวนดินจึงเป็นปัจจัยสนับสนุนเหตุ คือ
เม็ดมะม่วงอีกทีหนึ่ง
ผมได้กล่ำวมำแล้วว่ำ สรรพสิ่งทั้งหลำยในโลกนี้ จะเกิดเป็นผลขึ้นมำเองโดย
ปรำศจำกเหตุหำได้ไม่ ไม่ว่ำสิ่งนั้นจะเป็นสสำรหรือพลังงำน ไม่ว่ำจะเป็นรูปหรือ
นำมก็ตำม

ด้วยเหตุนี้เอง ถ้ำมีท่ำนผู้ใดมำแสดงว่ำจิตใจนั้นมีพระผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์
เป็นผู้บันดำลขึ้นมำ มันเป็นสิ่งกำยสิทธิ์เกิดขึ้นมำได้เอง ไม่ได้อำศัยเหตุเป็นแดน
เกิดแต่ประกำรใดแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลย ควำมเชื่อของเรำก็คงจะหมดสิ้นลงเป็น
แน่
ตำมหลักของพระอภิธรรมหรือปรมัตถธรรม ซึ่งพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำทรงสั่งสอน
นัน้ จิตใจก็อยู่ในฐำนะเหมือนสรรพสิ่งทั้งหลำยในข้อที่ว่ำ จะต้องมีเหตุจึงจะมีผล
เกิดขึ้นมำได้ มิได้มีผู้หนึ่งผู้ใดมีอิทธิพลมำบันดำล มิได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร
เสกสรรขึน้ มำ ทั้งตัวของจิตเองก็มิได้เป็นสิ่งกำยสิทธิ์ที่จะอธิบำยไม่ได้ และมันก็
มิได้มีควำมสำมำรถเกิดขึ้นมำเองเลย

เหตุที่จิตจะเกิดขึ้นมำได้นั้น ถ้ำจะว่ำโดยละเอียดแล้วก็มีมำกมำย ปัจจัยซึ่งเป็นตัว


สนับสนุนเหตุก็มีมิใช่น้อย สำำหรับผู้ที่ศึกษำในบทที่สูงขึ้นไปก็จะได้ทรำบละเอียด
เป็นชั้นๆ ในขณะนี้ท่ำนนักศึกษำก็เพิ่งจะเริ่มต้น ดังนั้นจึงจำำเป็นที่จะต้องศึกษำ
เฉพำะที่เห็นได้ง่ำยๆ ไม่ยุ่งยำกซับซ้อนเสียก่อน
เหตุที่จะให้เกิดจิตนั้นมี ๒ เหตุ แบ่ง ๔ ประกำร คือ

เหตุไกล ได้แก่ อดีตกรรม และอำรมณ์


เหตุใกล้ ได้แก่ เจตสิก และวัตถุรูป

๑.อดีตกรรม

กรรมได้แก่กำรกระทำำ และไม่เลือกว่ำจะเป็นกำรกระทำำทำงทวำรตำ หู จมูก ลิ้น


กำย หรือใจ เมื่อได้แสดงควำมรู้สึกในกำรเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้ถูกต้อง
สัมผัส และได้คิดนึก

กำรกระทำำที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่วำ่ ดีหรือชั่ว ไม่วำ่ บุญหรือบำป และไม่ว่ำจะเป็นทำง


ทวำรตำ ทวำรหู หรือใจก็ตำม ย่อมจะไม่สูญหำยไปไหน ย่อมจะเก็บประทับเอำไว้
ในจิตใจอยู่เสมอตลอดเวลำเหมือนกับผ้ำที่ถูกสีต่ำงๆย้อมเข้ำไว้
กำรกระทำำทั้งหลำยที่เกิดแล้วเก็บประทับเอำไว้ในจิตนั้น แม้มันจะไม่มีตัวตน
สัมผัสถูกต้องไม่ได้ก็จริง แต่มันก็มีกำำลัง มีอำำนำจที่จะโผล่ออกมำอยู่เสมอ
ตัวอย่ำงเช่น เมื่อเห็นภำพเขียนนั้นมีสีแดงมำก เรำก็ประกำศขึ้นในใจว่ำ มีสีแดงเสีย
เป็นส่วนมำก

ทั้งนี้ก็ด้วยอำศัยสีแดงที่เก็บอยู่ภำยในใจในอดีตออกมำตัดสินรวมกับอำรมณ์
ปัจจุบัน ซึ่งเด็กเล็กๆที่ยังไม่รู้จักสีแดง ย่อมวำดภำพสีแดงเอำไว้ในใจไม่ได้ หรือรู้
ว่ำสีแดงก็ไม่ได้
เมื่อได้ยินเสียงคนนินทำว่ำร้ำย ก็ยังเกิดควำมไม่พอใจ ควำมไม่พอใจหรือควำม
โกรธนี้ มีเก็บไว้ในจิตใจนำนหนักหนำแล้ว แม้ในขณะนี้ท่ำนนักศึกษำจะมิได้
โกรธเพรำะกำำลังเรียนธรรมะอยู่ แต่ควำมโกรธก็ยังแอบแฝงหลบซ่อนอยู่ในใจ

เมื่อได้รับอำรมณ์ที่ไม่ดี จึงได้ยกเอำโทสะที่ซ่อนอยู่ในอดีตนั้น ออกมำร่วมกับ


อำรมณ์ปัจจุบัน จึงโกรธขึ้นมำได้
เมื่อคิดถึงเรื่องเก่ำๆในอดีต แล้วก็ดีใจหรือเสียใจ เรื่องเก่ำๆในอดีตเหล่ำนั้น ได้มำ
เกิดร่วมกับจิตใจขณะปัจจุบัน เหมือนภำพยนต์ที่มำฉำยอยู่ต่อหน้ำ

เมื่อได้ยินคำำว่ำ "ไก่" ภำพของไก่ก้ปรำกฏอยู่ในใจ คือ หน้ำ ตำ หงอน ตัว หัว หำง


ทั้งนี้ก็เพรำะรูปร่ำงของไก่เป็นอย่ำงไร จิตใจเคยเก็บเอำไว้แล้ว กำรที่เรำรู้ว่ำไก่ได้
ก็เพรำะเรำเอำ"ไก่" ในอดีตมำสร้ำงมโนภำพขึ้น

ตำมที่ผมยกตัวอย่ำงย่อๆขึ้นมำนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่ำ อดีตกรรมไม่มี จิตเห็น จิต


ได้ยิน จิตนึกคิด ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ในเรื่องนี้ถ้ำท่ำนนักศึกำษำยังสงสัย ว่ำจิตจะเกิด
ขึ้นมำได้โดยไม่ต้องอำศัยอดีตกรรมแล้ว ผมขอให้ยกตัวอย่ำงมำลองฟังกัน

๒. อารมณ์

ในทำงโลก คำำว่ำ"อำรมณ์"มีผใู้ ช้กันอยู่ทั่วไป เช่น อำรมณ์ร้อน อำรมณ์ไม่ดี ไม่มี


อำรมณ์ เป็นต้น ซึ่งถ้ำว่ำไปตำมควำมเป็นจริงแล้ว ควำมเข้ำใจนั้นก็หำได้ตรงกับ
ควำมหมำยตรงกับปรมัตถธรรมไม่

เพรำะปรมัตถธรรมนั้น "อำรมณ์" ได้แก่ธรรมชำติที่จิตเข้ำไปจับหรือเป็นตัวที่จิต


เข้ำไปกำำหนดรู้ เช่น ท่ำนนักศึกษำเห็นกระดำนดำำที่อยู่ตรงหน้ำของท่ำน "กระดำน
ดำำ"เป็นตัวกำรที่จิตเข้ำไปยึดจับ หรือเข้ำไปกำำหนดรู้คือ"เห็น" ดังนัน้ "กระดำน
ดำำ"ก็เป็นอำรมณ์ของท่ำน

หรือท่ำนนักศึกษำได้ยินเสียงที่ผมพูด หรือเข้ำไปกำำหนดรู้คือได้ยิน เสียงที่ผมพูดก็


เป็นอำรมณ์ของท่ำน และเมื่อท่ำนนักศึกษำคิดถึงสำมีหรือภรรยำ สำมีหรือภรรยำ
ที่คิดถึงก็เป็นอำรมณ์ของท่ำน
เท่ำที่ผมได้กล่ำวมำแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ำ อำรมณ์ทั้งหลำยจะมำปรำกฏทำงทวำร
ต่ำงๆ มีทำงตำ หู และทำงใจ เป็นต้น ถ้าไม่มีทวาร ไม่มีอารมณ์แล้ว จิตจะเกิดขึ้น
มาเองหาได้ไม่
อนึ่ง ควรจะได้ทำำควำมเข้ำใจเสียด้วยว่ำ สรรพสิ่งต่ำงๆ เช่น บ้ำน เรือน คน สัตว์
มันก็จะเป็นบ้ำน เรือน คน สัตว์ ตรำบเท่ำที่จิตยังมิได้กำำหนดรู้ ในทำงธรรมะเรียก
ว่ำเป็นรูป ซึ่งได้แก่สสารและพลังงาน แต่เมื่อสิ่งนั้นมำเป็นตัวยืนให้จิตกำำหนดรู้
แล้ว สิ่งนั้นเรำจึงเรียกว่ำเป็น "อำรมณ์"
อย่ำงไรก็ดี เมื่อจิตเห็นเกิดขึน้ ก็จะต้องมีคลืน่ แสง(รูปำรมณ์)ที่สะท้อนจำกรูปมำก
ระทบกับจิตที่ประสำทตำ

จิตได้ยินเกิดขึ้น ก็จะต้องมีคลื่นเสียง (สัททำรมณ์)มำกระทบกับจิตที่ประสำทหู

จิตนึกคิดเกิดขึ้น ก็จะต้องมีเรื่องที่คิดนึกเหล่ำนั้น เรียกว่ำ ธรรมำรมณ์มำกระทบ


กับจิตทำงมโนทวำร

ดังนั้น ท่ำนก็จะได้บทพิสูจน์วำ่ ถ้าไม่มเี หตุแล้ว ผลก็จะเกิดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อ


อำรมณ์มิได้มำกระทบกับจิตแล้ว จิตก็ไม่อำจจะเกิดขึ้นมำเองได้ เช่น เสียงมิได้มำก
ระทบ(ผัสสะ)หู แล้วจะได้ยินไม่ได้ เป็นต้น มิได้มีใครมาดลบันดาลให้จิตเกิดขึ้น
มาได้เลยเป็นอันขาด
ข้อควรสังเกตก็คือ ถ้าจิตมิได้กำาหนดรู้ในสิ่งใด สิ่งนั้นจะเรียกว่าอารมณ์หาได้ไม่
เช่นเสียงที่เกิดจำกลมพัด นักร้อง คนพูด หรือรูปที่มีอยู่ แต่เรำมิได้เห็น เช่น โต๊ะ
เก้ำอี้ เป็นต้น จิตมิได้เข้ำไปกำำหนดรู้ จิตมิได้ไปยึดจับสิ่งเหล่ำนั้นทั้งหมดก็มิใช่
อำรมณ์ แต่เป็นรูป ซึ่งได้แก่สสำรและพลังงำนในวิชำกำรทำงโลก ต่อไปนี้ผมจะ
ขอถำมสักหน่อย ...

ท่ำนนักศึกษำเห็นอะไรทีผ่ มเขียนไว้บนกระดำนดำำ (มีภำพวงกลมอยู่บนกระดำน)


อะไรเป็นอำรมณ์ อะไรเป็นจิต "วงกลม"ในกระดำนเป็นอำรมณ์ "เห็น"ก็เป็นจิต

ท่ำนนักศึกษำได้ยนิ เสียงทีผ่ มพูดหรือไม่ อะไรเป็นอำรมณ์ อะไรเป็นจิต "เสียง"


เป็นอำรมณ์ "ได้ยิน"ก็เป็นจิต

ท่ำนนักศึกษำลองคิดถึงบุตรธิดำดูทีหรือ อะไรเป็นอำรมณ์ อะไรเป็นจิต "บุตร


ธิดา"ที่คิดถึงก็เป็นอำรมณ์ ธรรมชำติที่"คิด" ก็เป็นจิต
ตำมที่ผมได้แสดงมำแล้ว ก็ย่อมจะได้หลักสำาคัญขึ้นมาว่า จิตเกิดขึ้นมาที่ไหน
อารมณ์ก็จะต้องอยู่ในที่นั้น อารมณ์เกิดขึ้นในที่ใด จิตก็จะอยู่ในที่นั้น ตัวอย่ำงเช่น
จิตเห็นเกิดขึ้นที่ตำ อำรมณ์จะไปอยู่ที่หูก็ย่อมไม่ได้เลย
อีกประกำรหนึ่ง จิตกับอารมณ์นั้นจะต้องอยู่เป็นคู่กันเสมอ พรำกจำกกันไปคนละ
ทิศละทำงไม่ได้เลยเป็นอันขำด เมื่อพูดว่ำจิต ก็จะต้องมีอำรมณ์ เมื่อพูดว่ำอำรมณ์
แล้วจะไม่มีจิตย่อมไม่ได้ เพราะจิตเกิดขึ้นเองเฉยๆโดยไม่อาศัยอารมณ์ไม่ได้

เหมือนเรำพูดว่ำ "ภรรยำ" ก็หมำยถึงว่ำต้องมีสำมี เรำพูดว่ำ"ครู"ก็จำำเป็นจะต้องมี


ศิษย์ ถ้ำสำมีมิได้มี ศิษย์ก็ไม่มีเลย แล้วเรำจะเรียกว่ำ ภรรยำหรือเรียกว่ำครูกระไร
ได้

๓.เจตสิก

ไม่ว่ำสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นรูป อันได้แก่สสำรและพลังงำน จะเกิดขึน้ มำโดยอิสระ


โดดเดี่ยวตำมลำำพังก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลย มันจะต้องมีสิ่งอื่นเข้ามาพัวพันร่วม
ด้วยเสมอไป

เช่นหนังสือทีผ่ มถืออยู่ในมือนี้ มันก็ย่อมจะมีเซลลูโลสอันเป็นเยื่อใจของไม้ ต้องมี


วัตถุเคมีหลำยอย่ำง ต้องมีกำว ต้องมีหมึกพิมพ์ ตัวหนังสือ เป็นต้น

ถ้ำจะว่ำในทางปรมัตถธรรมแล้ว เล่มหนังสือนี้ก็จะมีธาตุดินเป็นตัวยืน มีธาตุนำ้าที่


จะเกาะกุมธาตุดนิ เอาไว้ (ธำตุนำ้ำไม่ใช่นำ้ำดื่ม ธำตุนำ้ำมองไม่เห็น ถูกต้องไม่ได้ ชัง่
ตวงไม่ได้) และจะต้องมีอุณหเตโช คือควำมร้อน
ถ้ำมีผู้ใดมำบอกกับท่ำนว่ำ มีธรรมชำติอยู่อย่ำงหนึ่ง เป็นอยู่อย่ำงอิสระ โดดเดี่ยว
ไม่มีอะไรมำปะปนเลย เป็นสิ่งกำยสิทธิ์ ไม่มีเกิด ไม่มีดับ อำศัยอยู่ในร่ำงกำยของ
คน ของสัตว์ เมื่อคนหรือสัตว์ตำยลงแล้วก็ล่องลอยไปเที่ยวหำที่เกิดใหม่ได้ และ
เกิดใหม่อยู่เรื่อยๆไปเช่นนี้

ท่ำนจะคิดว่ำเป็นสิ่งที่น่ำอัศจรรย์ เหลือที่จะติดตำมไปด้วยหรือไม่ ท่านจะเชื่อถือ


ธรรมชาติที่ผิดธรรมชาตินี้หรือไม่ (อำำนำจของจิตมีอย่ำงไรโดยพิสดำร ท่ำนจะได้
ศึกษำต่อไปภำยหลัง)

แน่นอน อย่ำงน้อยท่ำนก็จะต้องสงสัย และควำมสงสัยนี้ก็เกิดขึ้นแก่ชำวโลกทั่วไป


เป็นไปอยู่ตลอดเวลำตั้งแต่โลกนี้อุบัติขึ้นมำแล้วแตกทำำลำยลงไปก็ยั งหำคำำอธิบำย
ให้เข้ำใจในเหตุผลไม่ได้ว่ำ เหตุใดจึงมีสิ่งที่ผิดธรรมชำติเหล่ำนั้น
ปรมัตถธรรมได้ขุดค้นเรื่องเร้นลับเหล่านี้ออกมา พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำมิได้สร้ำง
ธรรมชำติขึ้น แต่ได้อธิบำยธรรมชำติที่ลึกซึ้งนี้ไปตำมควำมเป็นไปของมัน โดย
พระองค์ได้แสดงว่ำ จิตใจนั้นมิได้อยู่อย่ำงโดดเดี่ยวลำำพัง แต่มีเจตสิก ซึ่งแปลว่า
เป็นธรรมชาติที่ประกอบกับจิต กระทำำให้จิตเป็นไปต่ำงๆเกิดร่วมด้วย

ถ้ำจะยกตัวอย่ำงให้เห็นง่ำยๆ ก็เหมือนกับศำลำที่เรำนั่งกันอยู่หลังนี้ ที่จะเรียกว่ำ


เป็นศาลาได้ มันก็จะมีของหลำยอย่ำงมำรวมกัน และของแต่ละอย่ำงนั้นก็มี
คุณภำพ มีปริมำณและมีกำรงำนต่ำงๆ กัน

เช่น เสามีหน้ำที่คำ้ำยัน ฝามีหน้ำที่ยึดโยงและกั้นเป็นขอบเขต หลังคากันแดดกันฝน


และตะปูมีหน้ำที่ตรึงทุกๆส่วนมิให้กระจัดกระจำยออกไป ถ้ำไม่มีสิ่งเหล่ำนี้แล้ว
คำำว่ำศาลาก็หำบังเกิดขึน้ ไม่
เจตสิกก็เหมือนกัน ย่อมจะมีหลำยประเภทประกอบร่วมกัน ทำางานต่างๆคนละ
อย่างตามหน้าที่

บำงครั้งขณะที่เห็น ที่ได้ยิน เจตสิกเหล่ำนี้เข้ำมำช่วยกัน รวมทั้งสิ้นหลำยสิบ


ประเภท เหมือนกับวงกลมวงใหญ่ที่เปรียบเสมือนจิต แล้วมีวงกลมเล็กๆที่เปรียบ
เสมือนเจตสิกเกำะกุมกันอยู่ภำยใน (ซึ่งท่ำนจะได้ศึกษำโดยละเอียดภำยหลัง)
๔. วัตถุรูปเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิต

เรำทั้งหลำย ไม่วำ่ ท่ำนนักศึกษำหรือผมหรือใครๆ มิได้อยู่นิ่งๆเฉยๆแต่ในบ้ำน


หำกจะต้องออกไปทำำธุรกิจต่ำงๆมิได้หยุดหย่อน ดังนั้น บ้านเรือนจึงต้องมีประตู
สำาหรับที่เราจะออกไปภายนอก เพรำะถ้ำใช้หน้ำต่ำงเป็นทำงเข้ำออกก็คงจะไม่
สะดวก เรำมีหน้ำต่ำงเอำไว้มำกมำยก็เพื่อใช้เป็นช่องทำงมองดูออกไปภำยนอก เอำ
ไว้ให้แสงสว่ำงเข้ำมำและให้อำกำศถ่ำยเทได้

ด้วยเหตุนี้เอง คงจะไม่มีบ้านของใครเลยที่มิได้มีประตูแม้แต่บานเดียว แม้แต่กระ


ท่อมเล็กๆหรือบ้ำนตุ๊กตำก็ไม่ยกเว้น และเพื่อจะให้เกิดควำมสะดวกสบำยยิ่งขึ้น
บางบ้านจึงมีประตูตั้งหลายประตู

จิตใจของเรำก็ไม่ต่ำงอะไรกัน มีกำำลังของควำมว่องไวอย่ำงเหลือแสน พูดให้วำ่ เร็ว


ยิ่งกว่ำปรอท มันมีควำมขยันหมั่นเพียรในกำรงำนก็มำกเหลือเกิน บำงครั้งก็ทำำงำน
ตลอดวันยังคำ่ำโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งเป็นงำนที่สนุกหรือได้ผลประโยชน์
สมใจด้วยแล้วทำำ ๓ วัน ๓ คืนก็ไม่บ่น
อย่ำงไรก็ดี การงานทัง้ หลายที่จติ ใจกระทำานั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าจิตใจไม่มี
ประตูทจี่ ะออกไป จิตใจก็ต้องมีประตูสำำหรับออกไปทำำงำนเหมือนกัน

ทวารซึ่งได้แก่ประตูที่จิตออกไปตั้งทำางานนั้นเรียกว่า วัตถุ แต่ไม่ใช่คำำว่ำวัตถุ


สสำรเหมือนในวิชำกำรทำงโลกที่นำำคำำนี้จำกภำษำบำลีมำใช้ แล้วไปกำำหนดกฎ
เกณฑ์ขึ้นเสียใหม่ ทำำให้กำรบรรยำยธรรมเป็นไปด้วยควำมยำกลำำบำก

หำกแต่หมำยถึงที่ที่จิตเกิดขึ้น หรือเป็นประตูที่จิตออกมำทำำงำน เช่น เรียกว่ำ จักขุ


ปสำท = ปสำทตำ เป็นต้น แต่คำำว่ำปสำท หรือประสำท ก็เป็นอีกคำำหนึ่งที่ในทำง
ธรรมะมิได้มุ่งหมำยเหมือนกับในวิชำทำงแพทย์ที่ดึงประสำทออกมำได้เป็นเส้นๆ
จิตออกมำที่ประตูเพื่อทำำงำน ๖ อย่ำงด้วยกัน และออกมำทำำงำนแต่ละประตูด้วย
งำนเฉพำะเท่ำนั้น คือ

ทำำงำนเห็นที่จักขุปสำท = จักขุทวาร

ทำำงำนได้ยนิ ที่โสตปสำท = โสตทวาร

ทำำงำนได้กลิ่นที่ฆำนปสำท = ฆานทวาร

ทำำงำนลิ้มรสที่ชิวหำปสำท = ชิวหาทวาร

ทำำงำนรู้สึกสัมผัสที่กำยปสำท = กายทวาร

ทำำงำนคิดนึกที่ใจ = มโนทวาร

ตำมที่ผมอธิบำยมำแล้วทั้งหมดนี้ ท่ำนทั้งหลำยก็จะเห็นได้ว่ำ จิตนั้นไม่ใช่เป็นสิ่ง


กายสิทธิ์ ไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรำจะเข้ำไปศึกษำถึงควำมเป็นไปของมันไม่ได้ แต่
จิตนัน้ เป็นธรรมชำติอย่ำงหนึ่งที่อำศัยเหตุเป็นแดนเกิดเหมือนสรรพสิ่งทั้ งหลำย
มิได้มีผู้ใดเสกสรรปัน้ แต่งหรือบันดำลขึ้นมำ

กำรที่ผมได้แสดงเหตุ ๔ ประการดังกล่ำวมำแล้วว่ำ เป็นตัวกำรทำำให้จิตเกิดขึ้นมำ


ได้นนั้ เป็นกำรแสดงในหลักกำรซึ่งเหตุปัจจัยต่ำงๆโดยละเอียดนั้นยังมีอีกมำก ที่
ท่ำนนักศึกษำจะได้ศึกษำเป็นลำำดับไป
เมื่อผมได้พูดถึงเหตุให้จิตเกิดแล้ว ผมคิดว่ำ ท่ำนนักศึกษำควรจะได้ทรำบถึงเหตุที่
ให้จิตเกิดตามทวารต่างๆเป็นตัวอย่ำงด้วย เพื่อที่จะได้มองเห็นแนวทำงที่จะได้
ศึกษำต่อไปข้ำงหน้ำ ทั้งจะได้ทรำบว่ำ พระอภิธรรมปิฎกนั้นมีเหตุผลหนักแน่น
เพียงใด

เหตุที่ให้เกิดจักขุวิญญาณ ในขณะที่เกิดจิต"เห็น" (ยังไม่ทรำบว่ำเห็นอะไร) นัน้


ต้องอาศัยเหตุ ๔ ประการ คือ
๑. จักขุปสาท มีประสำทตำดี
๒. รูปารมณ์ รูป คือสีต่ำงๆ (คลื่นแสง)
๓. อาโลกะ แสงสว่ำง
๔. มนสิการ มีควำมสนใจ

เหตุที่ให้เกิดโสตวิญญาณ ในขณะที่เกิดจิต " ได้ยิน" (ยังไม่ทรำบว่ำได้ยินเรื่อง


อะไร) นัน้ ต้องอำศัยเหตุ ๔ ประกำร คือ
๑. โสตปสาท มีประสำทหูดี
๒. สัททารมณ์ มีเสียง (คลื่นเสียง)
๓. วิวรากาส มีช่องว่ำงในหู (อำกำศ)
๔. มนสิการ มีควำมสนใจ
ท่ำนทั้งหลำยก็คงเห็นได้แล้วว่ำ การเห็น การได้ยิน จะเกิดขึ้นมาได้นั้นจะต้อง
อาศัยเหตุ ไม่ว่ำจะเป็นกำรเห็นของคนหรือของสัตว์เดรัจฉำนก็หนีเหตุเหล่ำนี้ไป
ไม่พ้น ถ้ำปรำศจำกเหตุทั้ง ๔ ประกำรนี้แล้ว แม้จะเป็นอริยบุคคลชั้นไหนก็จะเห็น
ไม่ได้เหมือนกัน

เมื่อเข้ำถึงเหตุผลดังนี้ เรำก็จะได้ปัดเอำการดลบันดาลของพระผู้เป็นเจ้ำ หรือของ


พระพรหมออกไปเสีย และเมื่อมีกำรศึกษำต่อไปมำกขึ้นกว่ำนี้ ท่ำนนักศึกษำก็จะ
ได้ทรำบต่อไปว่ำ กำรเห็นอยู่ทุกวันนี้ ที่เห็นดี ได้ยนิ ดี เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ก่อให้
เกิดควำมสุขและควำมเร่ำร้อนใจขึ้นด้วยอำศัยเหตุอะไร จะหลีกเลี่ยงได้อย่ำงไร
หรือไม่

แต่ละคนก็เพียรพยำยำมแสวงหำอำรมณ์ที่ดีๆที่ชอบใจอยู่เสมอ ด้วยเหตุผลใด จึง


ไม่ได้สมควำมปรำรถนำ และตัวกำรจูงพำอำรมณ์ที่ดีที่ไม่ดีไม่ชอบใจมำให้อยู่
เสมอนั้น เพรำะเหตุใด
ในพระพุทธศำสนำ เฉพำะอย่ำงยิ่งพระปรมัตถธรรมนั้น ย่อมแสดงเหตุผลเป็นอัน
มำก ทั้งละเอียดสุขุมยิ่งนัก ที่ผมแสดงมำตั้งแต่เริ่มต้นท่ำนก็คงจะมองเห็นได้รำงๆ
แล้ว

เมื่อศึกษำต่อไปในไม่ช้ำควำมลึกซึ้งของชีวิตที่เป็นปัญหำโลกแตก เป็นปัญหำดำำ
มืดก็จะค่อยๆคลี่คลำยลงทีละน้อยๆ ควำมสุข ควำมเยือกเย็นใจก็จะมำกขึ้นๆ ตำม
ควำมเข้ำใจที่ได้ศึกษำติดต่อกันไปตำมลำำดับ

จิตตั้งอยู่อย่างมัน่ คงหรือไม่?

ถ้ำเรำจะหำสิ่งใดในโลกนี้สักอย่ำงหนึ่ง แล้วค้นคว้ำทดสอบดูว่ำ มันตั้งอยู่อย่าง


มัน่ คงไม่มีเปลี่ยนแปลงอะไรเลย มีบ้างหรือไม่?

ตัวอย่ำงเช่น ก้อนหิน หรือเหล็กท่อนโตๆที่เรำเห็นเมื่อวำนนี้อย่ำงไร วันนี้เรำก็เห็น


มันอย่ำงนั้น เมื่อปีกลำยเรำเห็นอย่ำงไร ปีนี้เรำก็เห็นอย่ำงนั้น ทั้งนี้เท่ำที่ตำของเรำ
มองเห็นตำมที่เป็นไปด้วยสำมัญสำำนึก เรำก็เข้ำใจว่ำเป็นอย่ำงไรก็อย่ำงนั้น

วิทยำกำรสมัยใหม่ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งวิชาวิทยาศาสตร์ ได้อธิบำยให้เรำเข้ำใจว่ำ


ก้อนหินหรือเหล็กก้อนนั้นประกอบไปด้วยส่วนที่เล็กที่สุดจนส่องกล้องมองไม่
เห็นมำรวมกันเข้ำ เรำเรียกส่วนที่เล็กที่สุดนัน้ ว่ำ "ปรมาณู"
นักฟิสิกส์ช่วยให้นักเคมีทรำบว่ำ ส่วนประกอบของปรมำณูของแต่ละธำตุนั้นเป็น
อย่ำงไร แม้ว่ำปรมำณูของแต่ละธำตุนั้นมีหลำยชนิด แต่สรุปแล้วก็มีลักษณะ
ประจำำตัวของมันเพียง ๓ คือ โปรตอน นิวตอน และอิเลคตอน

ซึ่งเป็นประจุไฟฟ้ำที่ทุกๆปรมำณูก็มีครบ ต่ำงกันที่จำำนวนและคุณภำพเท่ำนั้น และ


ประจุไฟฟ้ำนี้ถ้ำเป็นประจุไฟฟ้ำอย่ำงเดียวกันมันก็จะผลักกัน เช่นประจุไฟฟ้ำบวก
กับบวกที่นิวเคลียสเป็นต้น แต่อย่ำงไรก็ดี ถ้ำประจุไฟฟ้ำต่ำงกันมันก็จะดึงดูด
เข้ำหำกัน
นักวิทยำศำสตร์ได้ให้ควำมรู้แก่เรำว่ำ ปรมาณูนั้นไม่ได้นิ่งอยู่เฉยๆ หากแต่
เคลื่อนไหวอยู่เสมอตลอดเวลา กำรที่เรำทรำบว่ำมันเคลื่อนไหวก็เพรำะการ
เคลื่อนไหวนั้นก่อให้เกิดความร้อนขึ้น

ด้วยเหตุจำกกำรค้นคว้ำหลำยด้ำน นักวิทยำศำสตร์ก็ทรำบว่ำ ถ้าทำาให้ปรมาณูเกิด


ความร้อนมากขึ้นก็จะไหวตัวเร็วขึ้น แต่ถ้ำทำำให้อุณหภูมิของปรมำณูลดลงถึงศูนย์
องศำอนันต์ก็จะทำำให้ปรมำณูหยุดเคลื่อนไหวโดยทันที แต่กำรที่จะทำำให้อุณหภูมิ
หมดสิ้นลงก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ก้อนหินหรือเหล็กที่เรำเห็นอยู่ทุกวันๆ ว่ำมันมิได้เปลี่ยนแปลงนั้น ก็
เพรำะตำของเรำมีควำมสำมำรถเห็นลึกเข้ำไปถึงควำมจริงแท้ได้เพียงเท่ำนั้น
เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปให้เห็นได้ทีละน้อยๆเหลือเกิน

บ้านหลังใหม่ที่เรำสร้ำงเสร็จลงในวันนี้ ทันทีที่สร้ำงเสร็จลงมันก็เริม่ เก่าตั้งแต่


วินาทีแรกเป็นต้นไป เมื่อจำกไปสัก ๑๐ ปีกลับมำก็จะเห็นว่ำผิดตำไปมำกทีเดียว
ด้วยเหตุว่ำทุกๆวินำทีที่ผ่ำนไปมันก็เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆมิได้หยุดนิ่งเลย

ถ้ำหำกทุกวินำทีเหล่ำนั้นมันคงอยู่ในสภำพเดิม มันมิได้เปลี่ยนแปลงไปได้แล้ว
นำนนำทีที่ผ่ำนไป เป็น ๑ วัน ๑ เดือน และ ๑ ปี เรำก็จะต้องเห็นมันเหมือนเมื่อยัง
ทำำเสร็จใหม่ๆ
ผู้ที่มิได้ศึกษำพระอภิธรรมก็คิดว่ำ พระพุทธศำสนำนั้นสอนแต่เรื่องของศีล
ธรรมจรรยำและเรื่องของจิตใจเท่ำนั้น ซึ่งเป็นควำมเข้ำใจที่ไม่ถูกต้อง

เพรำะในอภิธรรมนั้นได้สอนเรื่อง"รูป"มำกมำยเหลือเกิน เรำจะพบเรื่องของรูปอยู่
ทั่วไปในพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ แต่มิได้เป็นรูปโดยทั่วไปเหมือนวิชา
วิทยาศาสตร์

เพรำะสอนแต่เฉพาะรูปทีเ่ กี่ยวข้องกับชีวิตทั้งนั้น เป็นเรื่องรูปที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง


เป็นอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลำเรียนกันเป็นปีส่วนมำกนักปรำชญ์รำชบัณฑิตทั้งหลำย
ค้นคว้ำเข้ำไปไม่ถึง และบำงอย่ำงอำศัยปัญญำคิดพิจำรณำอย่ำงสำมัญมิได้เลย

ในพระพุทธศำสนำแสดงเรื่องรูปว่า ประกอบกันขึ้นเป็นปรมาณู โดยแยกรูปให้


เล็กลงๆเป็นลำำดับ ตั้งแต่เม็ดข้ำวสำร ๑ เม็ดแยกออกเป็นหลำยสิบล้ำนส่วน ส่วน
หนึ่งเหล่ำนั้นเรียกว่ำปรมาณู

ทุกๆปรมำณูมิได้ติดกันมีปริจเฉทรูปคือช่องว่ำงคั่นอยู่ และทุกๆปรมำณู
เปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อยๆ ด้วยอำำนำจของอุณหเตโชคือควำมร้อน ด้วยเหตุนี้ รูป
ทั้งหลายจึงเป็นอนิจจังคือควำมไม่เที่ยง เป็นทุกขังคือควำมทุกข์ ด้วยทนอยู่ใน
สภำพเดิมไม่ได้ และเป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตนคนสัตว์ ทั้งไม่อำจบังคับบัญชำได้
นอกจำกเรื่องรูปแล้ว ในพระพุทธศำสนำยังได้แสดงถึงเรื่องจิตใจด้วยว่า มีความ
เกิดขึ้น ตัง้ อยู่ สลายตัวไปอยู่ตลอดเวลาโดยรวดเร็ว ดังนั้นจิตใจจึงอยู่ในฐำนะที่
เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เช่นเดียวกันกับรูป

ด้วยเหตุที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั้น จึงเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ จึงเป็นทุกข์ ทั้งจิตใจก็ไม่ใช่


คนไม่ใช่สัตว์ เป็นแต่ปรำกฏกำรณ์ของธรรมชำติอย่ำงหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีเหตุก็จะเกิด
ขึ้นมำ แต่ไม่อำจบังคับบัญชำให้เป็นไปตำมใจชอบ

ท่ำนนักศึกษำอำจสงสัยในเรื่องจิตใจที่ว่ำมิได้เที่ยงแท้แน่นอน มีควำมเกิดดับอยู่
เสมอเป็นนิจ ทั้งควำมเกิดขึ้น สลำยตัวไปเหล่ำนี้ก็รวดเร็วเสียด้วย แม้ควำมเร็วของ
แสงที่ว่ำเร็วมำกอยู่แล้วก็ไม่อำจเทียบเคียงกันได้ เพรำะแสงเดินทำงได้เร็วเพียง
๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินำทีเท่ำนั้น ส่วนจิตใจมีควำมเกิดดับรวดเร็วแม้จะบอกว่ำเป็น
ร้อยเป็นพันเท่ำของแสงก็ยังนับว่ำน้อยไป

ในเรื่องนี้ผมขอยกตัวอย่ำงจำกเรื่องที่ผมได้เขียนเอำไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งเป็นการ
สนทนาระหว่างลุงกับหลานมำเปรียบให้เข้ำใจได้ง่ำยขึ้น
ลุง : ศำสนำในโลกนี้มีมำกมำย ต่ำงก็มีหลักคำำสอนต่ำงๆกัน แต่ในเรื่องของจิตนัน้
บางศาสนาถือว่าเรามีวิญญาณ คือ โซล (Soul) สัตว์เดรัจฉานหามีโซลไม่ กำรที่จะ
ไปเกิดชำติหน้ำนั้นแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ำองค์เดียวเท่ำนั้นที่จะทรง
บังคับบัญชำให้โซลของผู้ใดไปสวรรค์หรือลงนรก แม้จะไปอยู่ในที่นั้นชั่วนิรันดร

เหตุนี้ทุกคนจึงต้องคำรวะอ่อนน้อม ยอมตัวลงอ้อนวอนเคำรพนับถือพระผู้เป็นเจ้ำ
เพื่อจะได้ทรงพระกรุณำช่วยให้หลุดรอด ช่วยใไถ่บำป ช่วยให้ได้ขึ้นสวรรค์

ศำสนำพรำหมณ์บำงลัทธิถือว่ำ เมื่อเรำได้ปฏิบัติควำมดีควำมงำมอยู่เสมอๆ ก็จะ


สำมำรถชำำระล้ำงสิ่งสกปรกโสโครกรุงรังที่หุ้มห่ออาตมัน คือวิญญำณอมตะอยู่
ปฏิบัติเช่นนี้ทุกชำติๆไปนำนๆ อำตมันก็จะบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นทุกทีๆ ถ้ำได้ตำยไป
แล้วหลำยๆชำติ อำตมันจะหลุดออกมำได้จำกโลกียธรรม แล้วก็จะไปรวมอยู่เข้ำ
กับอำตมันใหญ่ เรียกปรมาตมัน

เขำถือว่ำจิตคือตัวตนไม่มีวันตำย ที่เห็นตำยก็แต่ร่ำงกำยเท่ำนั้น ตัวตนของจิตเป็น


ของเที่ยงแท้ ถำวรมัน่ คงไม่มีกำรแตกดับ ไม่มีกำรเสื่อมสลำย
ศำสนำอื่นโดยมำกถือกันว่ำในกำยของเรำนี้มีธรรมชำติอันเป็นทิพย์ หรือเป็นสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ หรือกำยสิทธิ์ชนิดหนึ่ง สิงสถิตอยู่เป็นตัวตนของเรำแท้ๆไม่รู้จักตำย
เรียกว่ำ โซล ว่ำอีโก้ ว่ำจิต ว่ำวิญญำณ ว่ำอนัตตำ และอำตมัน ทั้งนี้ตรงกันข้ามกับ
หลักของพระพุทธศาสนา

พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำทรงสอนเรื่องจิตไว้พิสดารกว่าศาสนาอื่นมากนัก แล้วยังมี
เจตสิกอันเป็นเรื่องใหญ่และสำาคัญประกอบกับจิตอีกซึ่งศาสนาอื่นไม่มี ทั้งจิตก็
มิได้คงทนถำวรอยู่ได้ ไม่มีวนั ตำยเหมือนศำสนำอื่นเช่นอำตมัน จิตย่อมเกิดดับ
ติดต่อกันอยู่เป็นนิจ ถี่ยิบไม่มีวันหยุดหย่อนกันเลยเป็นสันตติ คือกำรสืบต่อจิตที่
ดับไปแล้วจะเป็นปัจจัยให้จิตใหม่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แล้วก็เป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดต่อๆไป คือ เกิด-ดับ-เกิด-ดับอยู่ไม่ขำดสำยติดต่อกันไป เรื่องนี้หลำนจะ
เข้ำใจยำกอยู่สักหน่อย แต่ถ้ำเข้ำใจดีแล้วก็จะเป็นกุศลอย่ำงยิ่ง
หลาน : ผมไม่เข้ำใจเรื่องสันตติและจิตเก่ำกับจิตใหม่ ที่คุณลุงว่ำ เกิด-ดับ เกิด-ดับ
เลย

ลุง : จะยกตัวอย่ำงให้ฟังสักเล็กน้อย แต่จะหันเข้ำหำวิชำวิทยำศำสตร์ที่หลำนได้


ศึกษำมำบ้ำงเพื่อจะได้เข้ำใจได้ดีขึ้น

ถ้ำเรำนำำตะเกียงนำ้ำมันมำดวงหนึ่ง มีไส้มนี ำ้ำมันพร้อม เมื่อเรำจุดขึ้น หลานจะบอก


ได้หรือไม่ว่า ไฟที่จุดขึ้นใหม่ๆในครั้งแรก กับที่เห็นลุกอยู่เดี๋ยวนี้เป็นไฟดวง
เดียวกัน

หลาน : ผมบอกไม่ได้ขอรับ เพรำะไฟที่จุดขึ้นในครั้งแรกถ้ำพูดตำมทำง


วิทยำศำสตร์ก็ย่อมดับไปหมดแล้ว ไฟที่เห็นลุกอยู่ต่อๆมำนั้น เป็นไฟดวงใหม่ซึ่ง
ต้องอำศัยไฟในครั้งแรกเป็นเหตุให้ลุกขึ้น แต่ก็ต่อๆกันไปเรื่อยๆจนหมดนำ้ำมัน
เหมือนนำ้ำก๊อกที่ไหลรินอยู่นั้นนำ้ำที่ไหลออกทีแรกย่อมผ่ำนไปแล้ว นำ้ำที่เห็นว่ำ
กำำลังไหลอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นนำ้ำที่มำใหม่ แต่เรำเห็นติดต่อเป็นสำยเดียวกัน กำรที่เห็น
มันเกิดติดต่อกันไปนั้น คือสันตติกระมังขอรับ
ลุง: ถูกของหลำนแล้ว เมื่อเรำจุดตะเกียงขึ้น นำ้ำมันที่ซึมขึน้ มำตำมไส้ตะเกียงเมื่อ
ได้รับควำมร้อน ก็จะระเหยเป็นไอแล้วไหม้ไป ตัวกำรที่ทำำให้เกิดแสงสว่ำงขึ้นมำ
ได้นนั้ ก็เป็นเพรำะละอองของนำ้ำมันถูกควำมร้อนจัดจนสุกปลั่งจนเกิดควำมวิโรจน์
เป็นแสงสว่ำงแล้วก็กลำยเป็นคำร์บอนไดอ๊อกไซด์ไป
ควำมสุกปลั่งของละอองนำ้ำมัน ถ้ำจะเปรียบก็เหมือนเหล็กที่ถูกเผำไฟจนสุกแดง
นัน่ เอง เหตุนนี้ ำ้ำมันจึงต้องซึมขึน้ มำเรื่อยๆติดต่อกันไป ขำดจังหวะไม่ได้ จนกว่ำ
นำ้ำมันจะหมดตะเกียง ไอนำ้ำมันก็ถูกเผำอยู่เสมอไม่ขำดระยะ

ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปนี้รวดเร็วยิ่งนัก แล้วต่อเนื่องกันไม่ขาดตอนเสียด้วย ตา
ของเราจึงจับไม่ได้ เห็นแต่ไฟตะเกียงลุกโพลงอยู่ แต่ควำมจริงนั้นไฟที่จุดครั้งแรก
ดับไปเสียนำนแล้ว แต่ไฟที่ลุกขึน้ ครั้งแรกเป็นปัจจัยให้ไฟดวงหลังเกิดขึ้นแล้วก็
ต่อๆกันไป ถ้ำไฟดวงแรกมิได้ลุกขึน้ ไฟดวงหลังและดวงต่อๆมำก็จะมีไม่ได้

เหตุฉะนั้น เราจะว่าเป็นไฟดวงแรกหรือดวงหลังหาได้ไม่ เพรำะถ้ำไม่มีไฟดวงแรก


เกิดขึ้น ไฟดวงหลังก็มีไม่ได้ และถ้ำไม่มีไฟดวงหลังมำต่อไฟก็ดับกันหมด อำศัย
กันเกิดดับอยู่เช่นนี้
ลุงจะเทียบให้เห็นง่ำยๆอีกอย่ำงหนึ่ง เช่น ไฟฟ้าที่สว่างอยู่ในหลอดนั้น ความจริง
มันเกิดดับอยู่เรื่อยโดยรวดเร็ว เราจับไม่ทัน ไฟฟ้ำจะไหลต่อเนื่องกันไปมิได้ขำด
สำยเหมือนนำ้ำในลำำธำร คือไฟฟ้ำแล่นมำถึงหลอดทำำให้เกิดแสงสว่ำงแล้วก็ดับไป
ไฟฟ้ำต่อๆมำก็ไหลแทนให้แสงสว่ำงแล้วดับต่อกันเรื่อยๆติดต่อกัน ถ้ำเรำปิดส
วิทซ์ไฟเสีย ไฟก็จะดับทันที

ในต่ำงจังหวัดที่ไฟส่งมีกำำลังอ่อน เรำจะเห็นไฟฟ้ำวิบๆอยู่ถี่ยิบ กำรที่เรำเห็นไฟ


สว่ำงอยู่ตลอดเวลำโดยมิได้ดับเลยนั้น ก็เพรำะมันเกิดดับรวดเร็วเหลือเกิน จนเรำ
จับมันไม่ทัน ในไฟสลับที่เรำใช้อยู่ตำมบ้ำนนั้น เกิดดับรวดเร็วถึงวินำทีละ ๕๐
ครั้ง ตาของเราจึงเห็นความดับของมันไม่ได้

ในเรื่องควำมเกิดดับสืบต่อกันไปของจิจเป็นเรื่องละเอียดมำก ในระยะเริ่มต้นนี้ ขอ
ให้ท่านนักศึกษาจำาไว้เพียงเท่านั้นก่อน ยังเข้ำใจไม่ดีหรือหำเหตุผลอะไรยังไม่ได้
มำกก็ไม่เป็นไร เพรำะในปริจเฉท ๑ นี้วำ่ กันด้วยเรื่องจิตทั้งนัน้ ก็จะเข้ำใจดีในดอก
ำสต่อไป
จิตล่องลอยไปเกิดได้หรือไม่?

เมื่อจิตมีแต่ควำมเกิดดับสืบต่อเนื่องกันไปดังนี้แล้ว จิตก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะล่อง
ลอยไปเที่ยวหาที่เกิด จิตมิได้ล่องลอยไป ทั้งกำรเกิดใหม่ก็มิได้มีแต่จิตใจเพียงอย่ำง
เดียวดังที่ประชำชนส่วนใหญ่เข้ำใจกัน ถ้ำเช่นนั้นจิตไม่ไปเกิดดอกหรือ?
ในพระพุทธศำสนำถือว่ำ ตรำบใดที่บุคคลยังมีกิเลสอยู่แล้ว ควำมเกิดก็ไม่มีปัญหำ
จะต้องเกิดอีกอย่ำงแน่นอนทีเดียว หำกแต่ควำมเกิดอีกมิได้เป็นไปในรูปแบบของ
กำรล่องลอย หรือที่พูดกันว่ำวิญญำณล่องลอยไปหำที่เกิดใหม่ หากแต่เป็นไปแบบ
ของการสืบต่อ (สันตติ) ซึ่งมีทั้งจิตทั้งรูปที่เป็นปรมาณูเกิดร่วมกัน

เรื่องจุติปฏิสนธิ หรือกำรตำยกำรเกิดนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ท่ำนนักศึกษำจะได้พบ


ตั้งแต่นี้ไปครำวละเล็กละน้อย จนถึงปริจเฉทที่ ๙ แต่ทว่ำจะละเอียดลออยิ่งขึ้นเป็น
ลำำดับ จะได้ศึกษำเรื่องของควำมตำย และชีวิตภำยหลังควำมตำยโดยพิสดำรแล้วก็
จะได้เหตุผลข้อเท็จจริง พร้อมทั้งจะมีควำมแน่นอนใจในกำรเกิดใหม่โดยไม่ต้อง
สงสัย
จิตเป็นอะไร เป็นสสารหรือเป็นพลังงาน?

นักศึกษำได้ฟังผมบรรยำยมำแล้วตำมลำำดับ ก็ย่อมจะเห็นได้ว่ำ จิตนั้นมิได้เป็น


สสาร มิได้เป็นพลังงาน หากแต่เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอย่างหนึง่ ซึ่งต้องอาศัย
เหตุต่างๆ ทำาให้เกิดขึ้นมาแล้วก็สลายตัวไปโดยรวดเร็วมาก มิได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
มิได้เป็นอมตะ มิได้เกิดขึ้นมำโดยกำรดลบันดำลของใคร และอยู่ในฐำนะอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตำ เช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลำย

แต่อย่ำงไรก็ดี ถ้ำท่ำนักศึกษำได้ศึกษำไปให้มำกขึ้น ก็จะพบควำมจริงว่ำจิตใจนั้น


แม้ว่ามันจะมองไม่เห็นเป็นตัวเป็นตน ซำ้ายังถูกต้องไม่ได้ก็ดี แต่ถึงกระนั้นมันก็มี
อำานาจหรือมีอิทธิพลหลายอย่าง เช่น รู้อำรมณ์ก็ได้ เก็บบำปเก็บบุญเอำไว้ก็ได้ ทำำ
หน้ำที่ปฏิสนธิคือสืบต่อเกิดใหม่ในภพต่อไปก็ได้ เมื่อมีสมำธิดีมำกๆแล้ว จะแสดง
อิทธิบำงอย่ำงก็ได้
จิตกับวิญญาณต่างกันหรือไม่?

ในปฏิสัมภิทำพระบำลีมหำวรรค แสดงว่ำจิตนี้มีชื่อตั้ง ๑๐ ชื่อ เพื่อแสดงให้รวู้ ่ำจิต


คืออะไร

ยำ จิตฺตำ มโน หทยำ มำนสำ ปณฺฑรำ มนำยตนำ มนินฺทฺริยำ


วิญญ ฺ ำนำ วิญญำณกฺขนฺโธ ตชฺชำ มโนวิญฺญำณธำตุ อิทำ จิตฺตำฯ
ในอัฏฐสำลินีอรรถกถำอธิบำยว่ำ

๑. ธรรมชำติใดย่อมคิด ธรรมชำตินั้นชื่อว่ำ จิต


๒. ธรรมชำติใดย่อมน้อมไปหำอำรมณ์ ธรรมชำตินั้นชื่อว่ำ มโน

๓. จิตนั่นแหละได้รวบรวมอำรมณ์ไว้ภำยใน ดังนัน้ จึงชื่อว่ำ หทัย

๔. ธรรมชำติคือฉันทะที่มีในใจนั่นเอง ชื่อว่ำ มำนัส

๕. จิตเป็นธรรมชำติที่ผ่องใส จึงชื่อว่ำ ปัณฑระ

๖. มนะนั่นเองเป็นอำยตนะ คือเป็นเครื่องต่อ จึงชื่อว่ำ มนำยตนะ

๗. มนะอีกนั่นแหละที่เป็นอินทรีย์ คือควำมเป็นใหญ่ จึงชื่อว่ำ มนินทรีย์

๘. ธรรมชำติใดรู้แจ้งอำรมณ์ ธรรมชำตินั้นชื่อ วิญญำณ

๙. วิญญำณนั่นแหละเป็นขันธ์ จึงชื่อว่ำ วิญญำณขันธ์

๑๐. มนะนัน่ เองเป็นธำตุชนิดหนึ่งที่รู้แจ้งซึ่งอำรมณ์ จึงชื่อว่ำ มโนวิญญำณธำตุ

ตำมธรรมดำคนไทยเรำก็ชอบตั้งชื่อคำำว่ำจิตนี้ออกไปหลำยอย่ำง และใช้กันมำจน
ชินเลยไม่ได้รู้สึกตัวว่ำทำำไมจึงได้ตั้งชื่อไว้ซำ้ำๆกัน เช่น จิต ใจ หทัย มโน หัวใจ
ดวงกมล เป็นต้น
เหตุใดจิตจึงมีถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท

คนเป็นอันมำกพำกันเข้าใจไปตามสามัญสำานึกของตนว่า กำรกระทำำบำปนั้นจะ
ต้องมีผู้เสียหำยหรือผู้ที่ได้รับควำมเดือดร้อน เช่น จะต้องไปคดโกงคนอื่น ไปฆ่ำ
สัตว์ หรือลักทรัพย์ เป็นต้น

ในกำรทำำบุญก็เหมือนกัน มักจะพากันคิดว่า จะต้องมีผู้รับ จะต้องเป็นกำรทำำบุญ


ใส่บำตร จะต้องบริจำคสิ่งของให้เป็นทำน จะต้องสร้ำงวัด สร้ำงโรงพยำบำล

ความจริงหาได้เป็นดังกล่าวมานั้นไม่ เพรำะกำรที่จะได้บำปนั้น ไม่จำำเป็นที่ผู้ใดจะ


ต้องเสียหำยแล้วจึงจะได้บำป การทีบ่ าปจะเกิดขึ้นนั้นอยู่ที่ตรงเจตนา การกระทำา
แก่ตนเองให้เกิดความเดือดร้อนก็รวมด้วย เช่นมีควำมเศร้ำหมองใจ ครุ่นคิดแต่
เรื่องไม่ดีจนนอนไม่หลับ หรือมีควำมโกรธแค้น เป็นต้น
บุญก็เหมือนกัน แม้แต่เพียงควำมปรำรถนำดีต่อคนอื่น หรือแผ่ส่วนกุศลไปยังผู้อื่น
ทำำจิตใจให้อยู่ในสมำธิมีอำรมณ์อันเดียว ตั้งใจไว้ว่ำจะไม่พูดเท็จหรือจะไม่ทำำบำป
จิตเหล่ำนี้ก็ล้วนเป็นกุศลทั้งนั้น
ในปรมัตถธรรม บาปหรือบุญแม้แต่เพียงน้อยนิดเดียวก็จำาจะต้องแสดงออกให้
ทราบ เพรำะไฟนิดเดียวก็ร้อน ทำำให้ไฟไหม้ตลำดทั้งตลำดก็ได้ นำ้ำหยดเดียวก็แก้
กระหำยคลำยควำมร้อนลงได้บ้ำง

ด้วยเหตุผลดังนี้เอง จิตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นบำปเป็นบุญ และที่ไม่บำปไม่บุญ (กุสลำ


ธัมมำ อกุสลำธัมมำ อพยำกตำธัมมำ) จึงต่ำงกันเป็นชั้นๆหลำยระดับ
จิตของสัตว์ทั้งหลำยนั้นแตกต่ำงกันไปเป็นชั้นๆ คือ แตกต่ำงกันนิดหน่อยไปจนถึง
แตกต่ำงกันรำวฟ้ำกับดิน เพียงแต่โลภะคือความโลภตัวเดียวก็แยกจิตออกไปเป็น
หลายอย่างเสียแล้ว เช่น

ควำมโลภเกิดขึ้นมำพร้อมกับควำมเห็นผิดว่ำ ควำมโลภนี้ไม่เป็นบำป
ควำมโลภเกิดขึ้นมำแม้จะเคยรู้ว่ำ ควำมโลภนี้เป็นบำป
ควำมโลภเกิดขึ้นมำพร้อมกับควำมยินดีมำก
ควำมโลภเกิดขึ้นมำพร้อมกับควำมยินดีน้อย

นอกจำกนี้ จิตประเภทที่เป็นสมาธิ ก็ย่อมจะแตกต่ำงกับจิตของคนธรรมดำ ดังนั้น


จึงแยกออกอีกเป็นหลำยประเภท

ด้วยเหตุนี้ เมื่อแจกแจงจิตออกไปแล้วจึงมีจำานวนมากมาย ผูศ้ ึกษำเข้ำใจดีแล้วก็จะ


ทรำบว่ำอำรมณ์ของตนเกิดขึ้นแล้วเป็นจิตประเภทไหน มีคุณมีโทษมำกหรือน้อย
อย่ำงไร ควรจะปฏิบัติตนไปในทำงใดจึงจะดีที่สุด

แต่เมื่อสรุปรวบยอดในประเภทต่างๆแล้ว ก็มี ๘๙ ประเภท แล้วยังมีจิตประเภทที่


เป็นสมำธิ ตั้งแต่ขนั้ ต้นไปจนถึงขั้นสูงสุด เพิ่มขึ้นอีกจนรวมถึง ๑๒๑ ประเภท

คนที่ไม่เคยได้ศึกษำบำงท่ำนจึงได้พูดว่ำ จิตอะไรมีตั้งร้อยตั้งพัน แล้วก็หันหลัง


กลับไปไม่ยอมศึกษำ ดังนั้นผลประโยชน์อันเป็นคุณค่ำแก่ชีวิตเหลือหลำยจึงหลุด
ลอยไป จึงเป็นที่น่ำเสียดำยและเสียใจแทน
บุญบาปเก็บเอาไว้ที่ไหน แล้วผลของบุญบาปที่เก็บเอาไว้นั้นแสดงออกมาได้
อย่างไร?
ผู้ที่ศึกษำวิชำกำรทำงโลกมำมำกๆ รอบรู้ในเรื่องรำวสำรพัด มีควำมเฉลียวฉลำดมี
ควำมสำมำรถไปทุกอย่ำงเป็นจำำนวนไม่น้อยเลย ที่มีควำมเข้ำใจว่ำ กำรกระทำำดี
กระทำำชั่นนั้น ไม่มีผลไปถึงชำติหน้ำหรือชำติโน้นได้ อย่ำงดีที่สุดก็เพียงให้ผลใน
ชำติปัจจุบัน

เช่น ลักขโมยแล้วก็ถูกจับไปติดตะรำง หรือถ้ำระแวดระวังให้ดีสักหน่อย ผลร้ำยก็


จะไม่เกิดขึ้นมำเลย เช่นกระทำำกำรคดโกงคอรัปชั่นด้วยมีหลักกำรที่รัดกุม มีทำง
หนีทีไล่ไม่ให้ใครจับได้ ผลที่ได้รับนั้นก็คือเงินทอง ข้ำวของควำมสมบูรณ์พูนสุข
ทุกประกำร ตัวอย่ำงดังกล่ำวนี้ก็มีกลำดเกลื่อนในประเทศไทย เห็นๆกันอยู่ทั่วไป
ความเข้าใจดังกล่าวนี้ เป็นความเข้าใจที่ยังคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เพรำะ
ธรรมชำติของชีวิตนั้นเร้นลับลึกซึ้งเป็นอย่ำงยิ่ง เรื่องของกรรมดีกรรมชั่วที่ให้ผล
สนองตอบแก่ผู้กระทำำ รวมทั้งเรื่องของกำรตำย กำรเกิด ก็ยิ่งจะทำำควำมเข้ำใจได้
ยำกไม่ใช่น้อย

ด้วยเหตุนี้ บุคคลผู้ซึ่งมิได้ศึกษำเล่ำเรียน เฉพำะอย่ำงยิ่งพระอภิธรรมปิฎก บุคคลผู้


ซึ่งมิได้พิจำรณำในปัญหำชีวิตอย่ำงลึกซึ้ง แม้ว่ำจะได้ศึกษำค้นคว้ำวิชำกำรทำงโลก
มำสักเท่ำใด จะมีควำมรอบรู้เฉลียวฉลำดสักเพียงไหน บุคคลเหล่ำนั้นก็จะได้แต่
เหตุผลตื้นๆ เผินๆ เข้าถึงความละเอียดลึกซึ้งในเรื่องของชีวิตไม่ได้

เมื่อจับเอำเหตุผลตื้นๆเผินๆ เข้ำมำเป็นหลักแล้ว ก็ตัดสินใจกระทำำไปตำมควำมคิด


เห็นที่ผิดๆเหล่ำนั้น ชีวิตจึงต้องเดินไปในสำยทำงที่ขรุขระทุรกันดำรในอนำคต
โดยไม่รู้สึกตัว

เหมือนเด็กเล็กที่คลำนป้วนเปี้ยนอยู่บนนอกชำนด้วยไม่ทรำบเลยว่ำตรงไหนเป็น
หลุมเป็นบ่อ เป็นร่องเป็นคู และที่ตรงไหนเป็นที่สุดกระดำนแล้วจะตกลงไป ดัง
นัน้ จึงคลำนไปพลำง เล่นสนุกสนำนไปพลำง โดยมิได้คำำนึงถึงอะไรเลย
ในเรื่องเหล่ำนี้ แม้ว่ำชำวโลกจะพำกันถือว่ำเป็นปัญหำโลกแตก ตั้งแต่สร้ำงโลกขึน้
มำก็ไม่มีใครแก้ปัญหำ หรืออธิบำยได้ก็จริง แต่ถ้ำได้ศึกษำพระอภิธรรมละเอียดลึก
ซึ้งขึน้ ไปเรื่อยๆแล้ว ก็จะเห็นว่ำเป็นเรื่องมิได้ใหญ่โตอะไรเลย เหตุผลตลอดจนข้อ
เท็จจริงก็มีอยู่ทั่วไปที่จะกลับควำมคิดเห็นของคนที่มีควำมรู้ดีๆ เฉลียวฉลำดมำกๆ
ได้ ข้อสำำคัญจึงอยู่ที่ว่ำจะยอมศึกษำจริงๆหรือไม่เท่ำนั้น

ท่ำนนักศึกษำทั้งหลำย ถ้ำท่ำนจำำเรื่องอะไรไม่ได้เลย ออกจำกสถำนที่ศึกษำนี้แล้ว


เดินเปะปะไป ท่ำนจะกลับบ้ำนก็ไม่ทรำบว่ำบ้ำนอยู่ที่ไหน ไม่ทรำบว่ำจะขึ้นรถลง
เรืออะไรไป ใบหน้ำของบุตร ภรรยำ สำมี ท่ำนก็นึกไม่ออกว่ำหน้ำตำเป็นอย่ำงไร
แล้วท่ำนจะทำำอย่ำงไร

แน่นอนทีเดียว ท่ำนก็คงจะว่ำเป็นไปไม่ได้ เรำก็ออกจำกบ้ำนมำทุกวัน เรำก็กลับ


บ้ำนทุกวัน ใบหน้ำของบุตร ภรรยำ สำมี ก็เห็นกันอยู่ทุกวัน พอโผล่เข้ำประตูบ้ำน
ก็พำกันออกมำต้อนรับด้วยควำมยินดีทุกวัน

ผมก็ขอให้เป็นเช่นนั้น ผมก็ขอแสดงควำมยินดีด้วยที่ไม่เป็นไปอย่ำงที่ผมตั้งคำำถำม
แต่ผมก็จะขอตั้งปัญหำใหม่ถำมว่ำ เหตุใด ท่ำนจึงกลับไปบ้ำนของท่ำนได้ถูกต้อง
ทรำบได้อย่ำงไรว่ำ บ้ำนของท่ำนอยู่ที่ไหน ขึ้นรถ ลงเรืออะไรไป หน้ำตำของบุตร
ภรรยำ สำมี เป็นอย่ำงไร เหตุใดท่ำนจึงจำำได้ ไม่เคยไปตู่เอำบุตร ภรรยำ สำมีของ
คนอื่นเขำเลยแม้แต่หนเดียว
ผมเชื่อว่ำคำำถำมนี้คงตอบไม่ได้ง่ำยนัก ในชั้นต้นนี้เรำมำพูดกันให้เข้ำใจง่ำยๆ
สะดวกๆใจ ไม่ต้องคิดมำกเสียก่อนว่ำ กำรที่เรำไม่ได้หลงลืมอะไรไปก็เป็นเพรำะ
เรำจำำได้ และที่เรำจำำได้ก็เพรำะเรำขุดเอำควำมจำำที่เรำเก็บไว้ในอดีตขึ้นมำจำก
จิตใจ แน่ละ เรำเก็บเอำสิ่งเหล่ำนี้ไว้ในจิตใจ จึงระลึกขึน้ มำได้

ถ้ำเช่นนั้นควำมดีควำมชั่วเก็บเอำไว้ในจิตใจบ้ำงไม่ได้หรือ และควำมดีควำมชั่วที่
เก็บไว้ในจิตใจจะโผล่หน้ำขึ้นมำไม่ได้หรืออย่ำงไร

ในเรื่องนี้ย่อมไม่มีใครโต้เถียงได้ เพรำะอย่ำงน้อยก็เกิดอยู่ทุกรูป ทุกนำม เช่น


ระลึกถึงในเรื่องเก่ำๆ ในสมัยที่ยังเด็กๆ ในควำมยำกลำำบำกแสนสำหัส แล้วก็เศร้ำ
เสียใจ

เมื่อเด็กๆเคยขโมยเป็นเซียน ครั้นมำบัดนี้เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ขโมยแล้ว เพรำะมีอำชีพ


เป็นหลักฐำน แต่อย่ำงไรก็ดี ถ้ำกำรเงินกำรทองเป็นไปไม่เรียบร้อย หรือมีช่อง
โอกำสเปิดเอำไว้บ้ำง บุคคลนี้ก็จะไม่รีรอที่จะกระโดดใส่ทันที อำำนำจของอดีตที่
เคยทำำมำย่อมเข้ำร่วมสนับสนุนอยู่เสมอ ในเรื่องของควำมดีก็โดยทำำนองเดียวกัน
วันนี้ก็เลยเวลำไปมำกแล้ว เรื่องของชีวิตเป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่ำเอำไว้ศึกษำต่อกัน
ในวันหลังจะดีกว่ำ ต่อจำกนี้ท่ำนผู้ใดจะถำมปัญหำอะไรสักข้อสองข้อก็ได้

ถาม : กำรพูด กำรทำำ กำรคิด เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีอดีตกรรมเข้ำมเกี่ยวข้องเลย


จะได้หรือไม่
ตอบ : กำรเกิดอำรมณ์ขึ้นดังที่กล่ำวมำนั้น ถ้าจะว่าโดยทั่วไป หรือที่เป็นไปตาม
ธรรมดาสามัญ มิใช่เข้าสู่การปฏิบัตวิ ิปัสสนาที่กำาลังได้ปัญญาแล้ว จะไม่มีอดีต
กรรมเข้ามาร่วมด้วยนั้นไม่มีเลย ตัวอย่ำงเช่น มีคนมำบ่นว่ำเรื่องที่ไม่ดี เช่นกำรติ
เตียนเป็นต้น

เรำก็เกิดควำมไม่พอใจ กำรทีเ่ รำไม่พอใจนั้นก็เพรำะเรำทรำบว่ำเขำติเตียนว่ำเรำไม่


ดีอย่ำงไร ถ้อยคำำที่ไม่ดีต่ำงๆ เป็นเรื่องของอดีตที่เก็บอยู่ในจิตใจ ก็ออกมำร่วมกัน
ตัดสินในอำรมณ์ที่ได้ยินนั้นด้วย ถ้ำติเตียนเด็กเล็กๆ หรือคนต่ำงภำษำพูดไทยไม่
เป็น ก็จะไม่รู้เรื่องว่ำอะไรเลย ควำมไม่พอใจในเรื่องที่ติเตียนก็จะเกิดขึ้นไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ ก็จะเห็นได้ว่ำต้องอาศัยกรรมเก่าที่ทำำเอำไว้นั้นๆ ออกมำร่วมด้วย


อนึ่ง ถ้ำในอดีต คือตั้งแต่ยังเล็กๆ ได้ถูกอบรมหรือสิ่งแวดล้อมอยู่ในหมู่ของพวก
ยกตัว ถือตัวว่ำรำ่ำรวย มีเกียรติ มียศสูง ก็จะสนับสนุนให้เกิดควำมสะเทือนใจแรง
ขึ้น คือควำมรู้สึกไม่พอใจที่ถูกติเตียนก็จะสูง

ยิ่งในอดีตชาติเคยได้อบรมความถือตัวไว้มาก เช่นในชำติก่อนเคยเป็นเจ้ำคุณมียศ
ถำบรรดำศักดิ์ ใครๆต้องคำรวะกรำบไหว้ยำำเกรงมำมำกด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะเป็นคนที่
สำมัญชนทั้งหลำยเข้ำถึงได้ยำกทีเดียว กระทบนิดเดียวอาจเป็นฟืนเป็นไฟก็ได้

บำงคนเพียงเพื่อนฝูงพูดเป็นเชิงแสดงถึงควำมยำกจนเข้ำสักเล็กน้อยเท่ำนั้นก็โกรธ
เสียยกใหญ่ เพรำะไปกระทบกระเทือนเอำกำรอบรมที่ได้สั่งสมประทับไว้ในใจ
ของเขำ ส่วนเรื่องหนักหรือเบำนั้นก็แล้วแต่ได้สั่งสมมำมำกน้อยอย่ำงไร
ถาม : ผลของกรรมคือกำรกระทำำนั้น เก็บเอำไว้ในจิตใจทั้งหมดหรือว่ำมีกำร
สูญหำยไปได้

ตอบ : ผลของกำรกระทำำที่เก็บเอำไว้ในจิตนั้น มิได้สูญหายไปไหนเลย มีโอกาส


เมื่อใดมันก็จะให้ผลเมื่อนั้น (ยกเว้นอโหสิกรรม) ส่วนโอกำสอย่ำงไร ขณะไหน
มันแสดงผลกรรมนัน้ ออกมำได้อย่ำงไร เป็นเรื่องที่เรำจะได้ศึกษำกันต่อไป

อย่ำงไรก็ดี ผูท้ ี่มิได้ศึกษำเล่ำเรียนในธรรมะที่ลึกซึ้งแล้วคิดนึกเอำเอง ก็ย่อมจะ


เข้าไปไม่ถึงว่าผู้ที่ทำาความชั่วอยู่เสมอแล้ว เหตุใดจึงได้กินดีอยู่ดีมีความสุข และผู้ที่
กำาลังทำาความดีอยู่ตลอดเวลากลับกินไม่ดี อยู่ไม่ดี มีความทุกข์
ในเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่จำำจะต้องศึกำำมำกสักหน่อย ผมหวังว่ำกำรบรรยำยอีกไม่กี่
ครั้งข้ำงหน้ำนี้ ท่ำนนักศึกษำก็คงจะสว่ำงขึ้น แล้วควำมสงสัยในเรื่องนี้ก้จะน้อยลง
เป็นลำำดับๆไป ตำมควำมเข้ำใจที่เพิ่มขึ้น

คำำบรรยำยพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ปริจเฉท ๑ (ครั้งที่ ๓)


ณ พุทธสมำคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมรำชูปถัมภ์
วันที่ ๑๗ มกรำคม ๒๕๐๕ เวลำ ๑๑.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.

เมื่อครำวที่แล้วผมได้กล่ำวถึงเรื่องของจิต เช่น จิตคืออะไร จิตเกิดขึ้นมำได้อย่ำงไร


บำปและบุญเก็บเอำไว้ที่ไหน สำมำรถแสดงออกซึ่งผลของบำปและบุญนั้นได้
อย่ำงไร เป็นต้น

กำรแสดงเมื่อครำวที่แล้ว จำกหัวข้อมำกหัวข้อด้วยกัน ในบำงหัวข้อก็เป็นเรื่องที่


สำำคัญควรจะได้ทำำควำมเข้ำใจให้ดี แต่ในวันนั้นเวลำก็มีไม่มำก ผมจึงอธิบำยออก
จะสั้นไปสักหน่อย จนอำจทำำให้ท่ำนนักศึกษำเข้ำใจไม่ดี หรือเข้ำใจไม่สู้จะกว้ำง
ขวำงไปก็ได้

ดังนั้น ในวันนี้ ผมจึงขออธิบำยเพิ่มเติมในบำงข้อซำ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็จะไม่ให้ยืด


ยำวนัก เสร็จแล้วจึงจะได้บรรยำยเรื่องควำมวิจิตรของจิตต่อไป
จิตเกิดดับอย่างไร?

เรื่องจิตทีว่ ่ำมิได้เป็นอมตะ (คือไม่มีวันตาย) และมิได้อยู่นิ่งๆ หากแต่เกิดดับสืบต่อ


กันไปอยู่เสมอนัน้ ถ้ำจะเปรียบเทียบอีกอย่ำงหนึ่งก็เหมือนกับลูกคลื่นในนำ้ำ ซึ่งผม
ก็เคยอธิบำยเมื่อแสดงถึงกำรเกิดดับของจิตมำหลำยครั้งแล้ว คือ

ถ้ำเรำโยนก้อนอิฐลงไปกลำงสระนำ้ำอันสงบนิ่ง นำ้ำที่สงบนิ่งนั้นได้ถูกก้อนอิฐเบียด
ลงไป อณูของนำ้ำที่ถูกเบียดก็จะจมลง แล้วก็จะกลับขึ้นมำเพรำะนำ้ำเป็นของเหลว
ย่อมรักษำระดับ แต่ด้วยกำำลังแรงของมัน มันก็จะดันนำ้ำที่อยู่ข้ำงๆให้นูนสูงขึ้น
สมมุติวำ่ เกิดเป็นคลื่นลูกที่ ๑

คลื่นลูกนี้อยู่สูงกว่ำระดับของนำ้ำ มันก็ย่อมจะจมตัวลึกลงไป แต่กำรที่กลับขึ้นมำ


เพื่อรักษำระดับมันก็จะดันอณูของนำ้ำที่อยู่ข้ำงตัวของมันให้สูงขึ้นเป็นคลื่นลูกที่ ๒
และลูกที่ ๒ นี้ก็จะดันอณูของนำ้ำให้เป็นคลื่นลูกที่ ๓ ต่อไป แล้วมันก็จะเป็นไป
โดยทำำนองเดียวกันนี้จนคลื่นไปสิ้นสุดลงที่ขอบสระ
ด้วยเหตุดังกล่ำวนี้ จึงเห็นได้ว่ำ หำกคลืน่ ลูกที่หนึ่งมิได้มีแล้ว คลื่นลูกที่ ๒ ไป
จนถึงคลื่นลูกสุดท้ำยก็จะมีไม่ได้ แต่ทว่ำคลื่นลูกที่ ๑ ก็มิใช่คลื่นลูกที่ ๒ และคลื่น
ลูกที่ ๒ ก็มิใช่คลื่นลูกที่ ๑ แค่คลื่นลูกที่ ๒ เกิดขึน้ มำได้เพรำะคลื่นลูกที่ ๑ คลื่นลูก
ที่ ๓ เกิดขึน้ มำได้ก็เพรำะคลื่นลูกที่ ๒ แต่ละลูกมิใช่เป็นอันเดียวกัน

ถ้ำเรำเอำจอกหรือแหนไปลอยไว้ใกล้ขอบสระ เรำก็จะเห็นจอกแหนกระเพื่อมขึ้น
ลง ครั้งตั้งคำำถำมว่ำคลื่นลูกที่ ๑ เป็นตัวกำรทำำให้จอกแหนกระเพื่อมขึ้นลง หรือคำำ
ตอบที่ถูกต้องก็วำ่ หำมิได้ คลื่นลูกที่ ๑ มิได้เป็นตัวกำร หำกแต่เป็นคลื่นลูกต่อๆมำ
ต่ำงหำก

คลื่นลูกที่ ๑ เป็นเหตุ คลื่นลูกที่ ๒ เป็นผล เมื่อคลืน่ ลูกที่ ๒ ซึ่งเป็นผลมีกำำลังมำก


พอจึงกลับเป็นเหตุดันนำ้ำให้บังเกิดเป็นคลื่นลูกที่ ๓ ซึ่งเป็นผลขึ้น แล้วคลื่นลูกที่ ๓
ก็กลับเป็นเหตุต่อไปอีก
ถ้ำจะเปรียบอีกอย่ำงหนึ่งก็เหมือนกับพ่อแม่เป็นเหตุทำาให้ลูกเกิดขึ้นมา ในขณะนี้
พ่อแม่ก็เป็นเหตุ ลูกก็เป็นผล ครั้นลูกซึ่งเป็นผลนี้เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสำวขึ้นมำ
แล้ว แต่ลูกซึ่งเป็นผลนี้ ก็กลับเป็นเหตุก่อให้เกิดลูกขึ้นมำอีก

ถ้ำจะเปรียบเรื่องของเสียงก็จะทำำให้บังเกิดควำมเข้ำใจได้ดีเหมือนกัน เพรำะเสียง
นัน้ มิได้หยุดนิ่ง มีควำมเกิดดับสืบต่อกันไปอยู่เสมอ นีว่ ่ำตำมหลักของสภำวธรรม
ในทำงโลกอธิบำยเรื่องของเสียงดังนี้

ถ้าจะถามว่าเสียงคืออะไร? คำำตอบสั้นๆง่ำยๆก็คือ "เสียงคือสิ่งที่ได้ยิน" แต่ถ้ำจะ


ตอบให้กว้ำงขวำงและเข้ำหลักเกณฑ์ยิ่งขึ้น เรำก็ต้องตอบว่ำ เสียงนัน้ เป็นผลจำก
กำรสั่นสะเทือนของอำกำศทำำให้อำกำศเกิดเป็นคลื่นขึ้นแล้วมำกระทบกับหูของ
เรำ ฉะนั้น ถ้ำอำกำศไม่มีกำรสั่นสะเทือนเลย เสียงก็จะไม่มี

ถ้ำเรำตีกลองหรือตีระฆังให้แรงสักหน่อย แล้วจึงเอำมือวำงลงไปบนกลองหนัง
หรือระฆังนั้นเบำๆ ก็จะรู้สึกว่ำมันสั่น ขณะนี้เสียงก็ยังคงดังอยู่ แต่ถ้ำเรำเอำมือกด
แรงๆ กลองหรือระฆังมันก็จะหยุดสั่น เสียงก็จะหยุดดัง
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ำ เทหวัตถุที่กำาลังสั่นนั่นเองก่อให้เกิดเสียงขึ้น ถ้ำลองดีดสำย
ไวโอลินที่ขึงไว้ตึงก็จะมองเห็นได้ง่ำยว่ำมันสั่นอย่ำงไร และอำกำศก็จะต้องถูกสำย
กระทบกระเทือน แม้เรำจะมองไม่เห็นอำกำศว่ำมันสั่นอย่ำงไรก็ตำม
ถ้าการทำาให้สายนี้สั่นในสูญญากาศเสียงก็จะมีขึ้นไม่ได้ และกำรสั่นนี้ถำ้ เป็นกำร
สั่นอย่ำงสมำ่ำเสมอมันก็จะได้ยินเป็นเสียงดนตรี ถ้ำเป็นกำรสั่นไม่สมำ่ำเสมอมันก็
จะเป็นเสียงอึกทึกไป

เรำชอบพูดกันว่ำเสียงเป็นคลื่น ซึ่งผู้ฟังส่วนมำกคิดไปถึงคลื่นใต้นำ้ำ เพรำะมันนูน


ขึ้นแล้วยุบตัวลง แต่คลื่นเสียงกับคลื่นของนำ้ำแตกต่ำงกันมำก เรำพูดเพื่อเอำมำ
เปรียบเทียบให้เข้ำใจได้ง่ำยเท่ำนั้นเอง เพรำะคลื่นของอำกำศนั้นมันเดินหน้ำถอย
หลัง ถ้ำเสียงนั้นดังมำกอนุภำคของอำกำศก็จะถอยหน้ำถอยหลังยิ่งขึ้น

อัตรำเร็วของเสียงนัน้ มีควำมเคลื่อนตัวไปเร็วมำกหรือน้อยก็ย่อมแล้วแต่ที่ๆมันไป
ถ้ำมันไปในอำกำศในเวลำที่คลื่นลมสงบนิ่งมันก็เดินทำงหรือเคลื่อนตัวไปเร็ว
ประมำณ ๑,๑๐๐ ฟุตต่อวินำที แต่ถ้ำมันไปในนำ้ำก็เร็วประมำณ ๕,๐๐๐ ฟุตต่อ
วินำที
คำำว่ำเสียงในพระพุทธศำสนำได้แก่ "สัททะ" สัททะหรือเสียงนัน้ มิได้วิ่งไป
กระทบหูโดยตรง หำกแต่ว่ำมีควำมเกิดดับสืบต่อกันไป เรียกว่ำเป็น "สันตติ" คือ
จำกอันหนึ่งไปทำำให้อีกอันหนึ่งเกิดแล้วก็ต่อๆกันไป

แม้ว่ำกำรยกเรื่องของเสียงขึ้นมำเปรียบเทียบกับจิตจะไม่เหมือนกันทีเดียว แต่ก็
เป็นกำรทำำให้ผู้ศึกษำได้พิจำรณำเพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจมำกขึ้น เพรำะธรรมชำติ
ของจิตก็อยู่ในลักษณะเช่นนั้น คือจิตดวงหนึ่งดับลงก็เป็นปัจจัยให้จิตอีกดวงหนึ่ง
เกิดขึ้น แล้วก็ต่อๆไปเป็นเช่นนี้โดยเร็ว ไม่ว่ำจะเป็นจิตของมนุษย์หรือของสัตว์
เดรัจฉำน หรือแม้ของพระอรหันต์ผู้ไม่มีกิเลสเลย

กำรที่เสียงมีควำมเกิดดับสืบต่อๆกันไปนั้น มันก็มิได้เกิดดับขึ้นมำเองเฉยๆ หำกแต่


มีเหตุปัจจัยสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นมำ โดยทำำนองเดียวกันนี้เอง จิตที่มีควำมเกิด
ดับต่อๆกันไปก็ต้องอำศัยเหตุ ปัจจัย หลำยประกำรทำำให้มันเกิดขึ้นและดับลงสืบ
ต่อกันไปเช่นนั้นเหมือนกัน ซึ่งท่ำนจะได้ศึกษำในกำลต่อไป
จิตใจตั้งอยู่ที่ไหน?

สิ่งทั้งหลำยในโลกนี้ย่อมจะมีที่ตั้งอยู่ของมัน ทุกๆคนก็จะต้องมีที่อำศัยคือ บ้ำน


แม้แต่คนขอทำน คนจรจัด ก็ยังอำศัยทำงเท้ำ สวนสำธำรณะ หรือชำยคำบ้ำนของผู้
อื่น เก้ำอี้ตัวนี้ก็อยู่บนพื้นของโรงเรียน พัดลมอันนี้ก็ตั้งอยู่ใต้ผิวพื้นของเพดำน
แม้แต่พลังงำนที่เรำเรียนกันในวิชำวิทยำศำสตร์ เช่นพลังงำนแสงเสียงเป็นต้น อัน
เรำไม่สำมำรถที่จะชั่งตวงหรือวัดได้ ทั้งไม่กินเนื้อที่ด้วย มันก็มีตำำแหน่งหรือที่ตั้ง
ว่ำอยู่บริเวณไหน ตำำบลใด ด้วยเหตุนี้เอง จิตก็จะเกิดขึ้นมำและตั้งอยู่โดยมิได้มีที่ๆ
จะเกิดและตั้งอยู่กระไรได้
ในครำวที่แล้วผมได้แสดงให้นักศึกษำทรำบว่ำ จิต"เห็น" เกิดขึ้นที่ประสำทตำ
จิต"ได้ยิน" เกิดขึน้ ที่ประสำทหู จิต"ได้กลิ่น" เกิดขึ้นที่ประสำทจมูก จิต"ลิ้มรส"
เกิดขึ้นที่ประสำทลิ้น จิตรับ"สัมผัส" ทำงกำย เกิดขึ้นที่ประสำทกำย

เหล่านี้ย่อมแสดงว่า จิตเกิดขึ้นยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่งแน่นอน จิตมิได้โผล่ขึ้นมำ


ลอยๆ เหมือนสิ่งของตกลงมำจำกอำกำศโดยไม่มีสำเหตุอันใด

จิตจะทำำกำรเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รูร้ ส รู้สัมผัส ตำมประสำทต่ำงๆดังกล่ำวมำแล้ว


นัน้ ตัวการที่มากระทบนี้ ในทางธรรมะเรียกว่า "อารมณ์" เกิดขึน้ ทำงปัญจทวำร
คือประตูทั้ง ๕

นอกจำกประตูทั้ง ๕ แล้วจิตจะเกิดขึ้นอีกทำงหนึ่งเรียกว่ำ มโนทวำรอันเป็นประตู


ที่ ๖ ซึ่งได้แก่ควำมนึกคิดนั่นเอง แต่ประตูที่ ๖ นั้นอยู่ที่ไหน
ในธรรมบทมีแสดงถึงกำรสังวรและสภำพของจิตไว้ดังนี้

ทูรังคมำ เอกจรำ อสรีรำ คูหำสยำ


เย จิตฺตำ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มำรพนฺธนำฯ

แปลควำมว่ำ ชนทั้งหลำยเหล่ำใด ระวังจิตซึ่งไปไกล ไปเดี่ยว ไม่มีสรีระ (รูปร่ำง)


มีคูหำเป็นที่อำศัยไว้ได้ ชนทั้งหลำยนั้น จะพ้นจำกเครื่องผูกแห่งมำร

นอกจำกนี้มีวจนัตถแสดงว่ำ "หทนฺติ สตฺตำ ตำตำ อตฺถำ อนตฺถำ วำ ปูเรนฺติ เอเตนำติ


หทยำ"

สัตว์ทั้งหลำยย่อมทำำสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ให้เกิดขึ้นโดยอำศัย
รูปนั้น ฉะนั้นรูปที่เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลำยทำำสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็น
ประโยชน์นั้น จึงชื่อว่ำ หทยรูป

หมำยถึงกำรงำนทั้งหลำยจะเกิดขึ้นมำได้จะต้องอาศัยหทยวัตถุรูป (ในปัญจโวการ
ภูมิ) ถ้ำไม่มีหทยวัตถุรูปแล้ว ย่อมทำำกำรงำนต่ำงๆ เช่น เห็น ได้ยนิ คิดนึกไม่ได้เลย
อย่ำงไรก็ดี จิตจะเกิดขึ้นทำางานอยู่เสมอที่หทยวัตถุ และทำางานในที่นี้มากที่สุด
นอกจำกจิตจะขึ้นวิถีรับอำรมณ์ทำงตำ หู จมูก ลิ้น กำย เท่ำนั้น เต่ทำ่ นนักศึกษำก็
ต้องไม่ลืมว่ำ ในขณะเห็นและขณะได้ยิน เป็นต้น จิตจะทำำงำนที่ตำและที่หูก็จริง
แต่ยังไม่รู้ควำมอะไร ได้ชื่อว่ำ "เห็น" หรือ "ได้ยิน" เท่ำนั้นเอง

และแม้ว่ำขึ้นวิถีทำำงำน กำรเห็น กำรได้ยิน จิตก็ทำำงำนที่หทยวัตถุเป็นส่วนมำก


สำำหรับในข้อนี้ท่ำนจะมีควำมเข้ำใจดีในเวลำข้ำงหน้ำ เมื่อกล่ำวถึงเรื่อง อเหตุกจิต
แล้วจะได้ศึกษำถึงกำรงำนที่จิตทำำตำมทวำรต่ำงๆ ซึ่งมีภำพประกอบคำำอธิบำยด้วย
บุคคลเป็นอันมากพากันเข้าใจว่า มันสมองเป็นตัวจิต เพรำะเห็นว่ำสมองเป็นผู้
บงกำรสั่งให้กำรงำนต่ำงๆเกิดขึ้น เช่นสมองส่วนใดทำำงำนอะไร ถ้ำไปรบกวนหรือ
ทำำให้เกิดควำมเสียหำยแก่สมองส่วนนั้นแล้ว ควำมผันแปร ควำมวิปริตก็จะเกิดขึ้น
ได้กับร่ำงกำยหรือจิตใจ

แต่ในพระพุทธศำสนำแสดงว่ำสมองเป็นรูป ธรรมดำรูปก็จะต้องเป็นอนารัมมณัง
แปลว่ารู้อารมณ์ไม่ได้ คิดนึกไม่ได้ รูจ้ ักคิดรู้จักอ่ำน รูจ้ ักดี รู้จักชั่ว รู้จักบุญ รูจ้ ัก
บำป ไปจนถึงรู้จักทำำลำยกิเลสของตนเองไม่ได้

หำกแต่ควำมรู้สึกนึกคิดเหล่ำนี้จะเกิดขึ้นได้กับธรรมที่เป็นนำมที่เรียกว่ำ จิตใจ
เท่ำนั้น ส่วนสมองเป็นสถำนที่หรือทำงแสดงออกของจิตใจอีกต่อหนึ่ง เหมือน
ประสำทกำยเป็นทำงออกของควำมรู้สึก เย็นหรือร้อน และรู้สึกเย็น ร้อนด้วยใจ
ไม่ใช่ที่ตัวของประสำทกำย เป็นต้น
ในพระพุทธศำสนำแสดงว่ำ จิตใจ วิญญาณ หรือมโน นัน้ เกิดอยู่ภายในหัวใจ หรือ
ภำยในกล้ำมเนื้อหัวใจที่โตเท่ำกำำมือบุคคลและมีหน้ำที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยง
ร่ำงกำยนั่นเอง

แต่เป็นรูปของปรมำณูที่แฝงอยู่ภำยในกล้ำมเนื้อหัวใจอีกทีหนึ่ง มีขนำดที่เล็กมำก
จนไม่อำจเห็นได้ด้วยตำ หรือแม้แต่จะส่องดูด้วยกล้องขยำย

เมื่อผมศึกษาพระอภิธรรมใหม่ๆ มีความรู้สึกไม่พอใจเลยที่พระอภิธรรมแสดงว่า
จิตใจนั้นอยู่ในหัวใจ เพรำะมีควำมเชื่อมั่นมำตั้งแต่เด็กว่ำ มันสมองของเรำนี่เองที่
เป็นจิตใจ
ฉะนัน้ จึงได้พูดว่ำมันสมองส่วนไหนที่ทำำหน้ำที่เห็นหรือได้ยิน คิดนึกหรือจำำ
ตลอดจนกำรเคลื่อนไหวอิริยำบถต่ำงๆ อยำกจะให้ธรรมะย้ำยจิตใจไปเป็นมัน
สมองเสียตำมควำมเข้ำใจเดิม เพรำะควำมรู้อันใหม่มำขัดขวำงควำมเข้ำใจเดิมที่เชื่อ
มั่นจริงๆจังๆมำตั้งแต่เด็กๆ ตลอดจนมำเป็นครูอีกสิบกว่ำปีก็ได้สอนนักเรียนอยู่
เช่นนั้น
ครัน้ ศึกษำพระอภิธรรมมำกขึ้น ได้เหตุผลข้อเท็จจริงมำกขึ้น ก็ทนต่ออำำนำจของ
เหตุผลจำกพระอภิธรรมไม่ได้ เพรำะพระอภิธรรมนั้นมีทฤษฎีที่จะเข้ำถึงควำมลึก
ซึ้งจริงๆ ยิ่งไปถึงการปฏิบัติด้วยแล้ว คนไหนก็คนนั้น ย่อมจะต้องยอมจำานน

ในพระอภิธรรมแสดงไว้หมดสิ้น ถึงที่ๆจิตเกิด อันเรียกว่า หทยวัตถุ นัน้ เกิดขึน้ มำ


ได้อย่ำงไร ใครเป็นผู้สร้ำงมันขึ้น สร้ำงขึ้นมำได้ด้วยวิธีใด ประกอบไปด้วยปรมำณู
อย่ำงไร มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้รูปอันเป็นที่อำศัยของจิตใจที่เรียกว่ำ หทย
วัตถุ นีเ้ กิดขึ้นมำ ในเรื่องเหล่ำนี้ท่ำนก็จะได้ศึกษำในโอกำสข้ำงหน้ำต่อไป

บาปและบุญมาสนองผู้กระทำาอย่างไร?

ในเรื่องการให้ผลของกรรมนัน้ ผมเคยแสดงมำแล้วตั้งแต่ครำวก่อน แต่เป็นกำร


แสดงเพียงย่อๆ พอให้ได้เห็นหนทำงเท่ำนั้น บัดนี้จึงขอเพิ่มเติมขึน้ อีกเล็กน้อย ขอ
ให้ท่ำนนักศึกษำได้ทรำบไว้ด้วยว่ำ ในเรื่องกำรให้ผลของกรรมนั้น จะมีกล่ำวถึง
เสมอเรื่อยไปจนตลอดในพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ แต่ก็จะละเอียดมำกขึ้นไปเป็น
ลำำดับ

หำกท่ำนผู้ใดคิดหรือเล็งผลเลิศที่จะให้มีควำมเข้ำใจเร็วนักก็ย่อมไม่ได้ ต้องให้
เหมือนนำ้ำลอดใต้ทรำยไปทีละน้อยๆแล้วก็จะได้เหตุผลหนักแน่นมำกขึ้นด้วย ผม
ขอยกตัวอย่ำงขึ้นมำให้พิจำรณำสักตัวอย่ำงหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ให้ทำ่ น
เข้ำใจเรื่องกำรให้ผลของกรรม

มีเด็กคนหนึ่ง เกิดอยู่ในประเทศไทย บิดำเป็นคนจีน มำรดำเป็นคนไทย เด็กคนนี้


เป็นผู้ชำย ขณะนั้นอำยุได้ ๕-๖ ขวบ พูดไทยเก่ง ร้องเพลงไทยก็ไม่เลว เล่ำเรียนอยู่
ในโรงเรียนไทยพออ่ำนออกเขียนได้

ต่อมำบิดำได้ส่งให้ไปอยู่กับญำติสนิทที่ประเทศจีน ซึ่ง ตลอดเวลำที่เขำอำศัยอยู่ใน


ประเทศนั้น เขำไม่เคยพูดภำษำไทยเลย ควำมเป็นอยู่ ควำมเป็นไปตลอดจนสิ่ง
แวดล้อมเป็นจีนไปหมด ภำยในระยะเวลำไม่กี่ปีเขำก็ลืมเมืองไทยไปเกือบหมดสิ้น
เมื่อเด็กคนนี้อำยุได้ ๒๘ ปี จึงได้เดินทำงกลับมำประเทศไทยพร้อมกับเพื่อนคนจีน
ของเขำคนหนึ่ง อำยุรุ่นรำวครำวเดียวกัน แต่ไม่เคยมำประเทศไทยเลย ทั้งสองเมื่อ
มำถึงประเทศไทยไม่มีใครพูดไทยได้เลยแม้แต่สักคำำเดียว อ่ำนหนังสือไทยก็ไม่
ออกแม้แต่ตัวเดียว

เขำทั้งสองต้องมำฝึกหัดพูดภำษำไทย และตั้งต้นเรียนหนังสือไทยกันใหม่เหมือน
กับคนจีนแท้ๆทั้งสองคน

ในเรื่องนี้ผมขอให้ท่ำนนักศึกษำช่วยตัดสินให้ด้วยว่ำ คนทั้งสองนี้จะมีควำม
สำมำรถแตกต่ำงกันหรือไม่ คือใครจะเก่งกว่ำใครในหัวข้อต่อไปนี้ เพรำะเหตุใด?

๑.ใครจะหัดพูดภำษำไทยได้เร็วกว่ำกัน?
๒.ใครจะพูดภำษำไทยได้ชัดเจนกว่ำกัน?
๓.ใครจะเรียนหนังสือไทยได้ดีกว่ำกัน?
๔.ถ้ำให้หัดร้องเพลงไทย ใครจะมีควำมสำมำรถหัดได้ง่ายไม่หนักใจครู ทั้งร้องได้
ดีมีสุ้มเสียงใกล้เคียงกับคนไทยมำกที่สุด?
ผมหวังว่ำ ท่ำนคงจะพิจำรณำได้แล้วว่ำอย่ำงไร และผมก็มีควำมเชื่ออย่ำงที่ท่ำน
นักศึกษำตอบมำ เพรำะว่ำเด็กที่ไปจากเมืองไทยย่อมจะชนะเพื่อนของเขาอย่ำงเห็น
ได้ชัดเจน

เขำจะต้องพูดภำษำไทยได้ง่ำยและเร็วกว่ำ เขำจะต้องพูดภำษำไทยได้ชัดเจนใกล้
เคียงคนไทยยิ่งกว่ำ เขำจะเรียนหนังสือไทยได้ดีกว่ำ และเขำจะต้องร้องเพลงได้ชัด
ได้ดี มีสุ้มเสียงคล้ำยคนไทยมำกที่สุด

แต่อย่ำงไรก็ดี คำำถำมของผมยังมิได้สิ้นลงเพียงเท่ำนี้ มีคำำถำมที่สำำคัญที่สุดต่อไป


ว่ำ เหตุใดหรือทำำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ถ้ำท่ำนผู้ใดจะตอบว่ำ เพราะเคยอยู่เมืองไทยมาก่อน คำาตอบนี้ก็นับว่าถูกต้อง


เหมือนกัน แต่ผู้ฟังย่อมไม่ได้เหตุผลที่ละเอียดพอว่ำ อะไร ไปทำำอะไรถึงได้เป็นดัง
นัน้ จึงไม่หำยสงสัย

ผมจึงขอตอบเพิ่มเติมตำมสภำวธรรมในเรื่องนี้ซึ่งในวิชำกำรทำงโลกไม่อำจที่จะ
อธิบำยให้เห็นจริงได้
เมื่อเรำขึ้นไปนั่งอยู่บนรถเมล์เรียบร้อยแล้ว นึกขึ้นได้ว่ำ ไม่มีสตำงค์ติดกระเป๋ำมำ
เลยแม้แต่สตำงค์เดียว ก็คงจะตกใจหน้ำซีดแล้วก็คิดว่ำจะหำทำงแก้ไขอย่ำงไรดี
มองดูคนโดยสำรทั้งหมดว่ำมีใครรู้จักชอบพอกันนั่งมำด้วยบ้ำงไหม ถ้ำไม่มีก็ควร
จะรีบลงจำกรถเมล์แล้วเดินหรือนั่งรถแท๊กซี่กลับไปบ้ำน หรือไปแวะหำคนที่รู้จัก
กันแถบนี้ออกปำกขอยืมสตำงค์เขำ

ปัญหำในเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่ว่ำไม่มีสตำงค์แล้วจะทำำอย่ำงไรดี แต่ก ลับไปอยู่ที่วำ่ มี


อะไรเกิดขึ้นในขณะนั้น หรือมีอะไรไปทำำอะไร จึงทำำให้เรำรู้ขึ้นมำว่ำไม่มีสตำงค์
ในกระเป๋ำเลย

ผมได้แสดงมำแล้วว่ำ กรรมคือการกระทำา จะเป็นกำรกระทำำทำงตำ ทำงหู หรือ


ทำงใจก็ตำม เมื่อกำรกระทำำเกิดขึ้นมำแล้ว ผลของกำรกระทำำก็เกิดขึ้น ในทำง
ธรรมเรียกว่ำ วิบำก แปลว่ำผลของกรรม ซึ่งได้แก่ควำมดี หรือควำมชั่ว

ควำมดีหรือควำมชั่วที่เกิดขึ้นแล้วนี้มิได้สูญหำยไปไหนย่อมเก็บประทับเอำไว้ใน
จิตใจ ถ้ำมีโอกำสเมื่อใดมันก็ย่อมจะแสดงตัวของมันออกมำอยู่เสมอ
กรรมที่เก็บไว้ในใจอันหนึ่งที่เรำรู้แน่แก่ใจก็คือ ถ้ำขึ้นรถเมล์แล้วจำำเป็นที่จะต้อง
ควักสตำงค์ให้ค่ำโดยสำร

กรรมที่เก็บไว้ในใจอีกอันหนึ่งก็คือ เคยเอำประเป๋ำสตำงค์ใส่ใว้ในกระเป๋ำกำงเกง
อยู่เสมอเป็นประจำำทุกๆเวลำเช้ำที่เปลี่ยนกำงเกง

ผมได้เคยแสดงมำแล้วว่ำ ถ้าไม่มีอารมณ์มากระทบกับจิต ก็จะเกิดอารมณ์ขึ้นไม่ได้


เช่นไม่มีเสียงมำกระทบกับจิตที่หูก็จะไม่ได้ยิน ถ้ำไม่มีเรื่องมำกระทบใจก็จะคิดไม่
ได้

ฉะนัน้ เรื่องไม่ได้เอำสตำงค์ใส่ในกระเป๋ำเมื่อเช้ำนี้ซึ่งเป็นอารมณ์เดิมและเก็บอยู่
ในใจมากระทบใจให้เรารู้ว่าในขณะนี้สตางค์ไม่มีเลย แล้วจึงเกิดตกใจในขณะจิต
ต่อมำ
ผมขอสมมุติอีกสักตัวอย่ำงหนึ่ง นำย ก. เมื่อยังเด็กๆ เคยอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนมี
ความประพฤติเรียบร้อย มีสัมมาคารวะดี ไม่ลักไม่ขโมยเลย ครั้นมำบัดนี้มีคนมำ
ชวนให้ทำำทุจริตว่ำคดโกงคอรัปชั่นแล้วจะรวยมำก คนที่ไม่คดโกงคอรัปชั่นนั้นคือ
คนโง่ แล้วจะลำำบำกยำกจนอยู่ตลอดไป
ในชัน้ แรก นำย ก. จะรู้สึกไม่สบายใจเลย เพรำะกรรมดีที่ทำำไว้ตั้งแต่เด็กๆมำคอย
กระทบใจ หรือมำกระตุ้นเตือนใจอยู่เสมอว่ำ "ไม่ดี ไม่ดี" ไม่สมควรที่จะกระทำำ

ในขณะนัน้ ก็อยู่ในฐำนะที่จะต้องตัดสินใจสองทางด้วยกัน อย่ำงหนึ่งคือกรรมที่ทำำ


ดีไว้ในอดีตมำกระทบใจ ให้ได้ควำมคิดว่ำเป็นกำรไม่ดีทำำให้คนอื่นเดือดร้อน และ
อีกอย่ำงหนึ่งคือ กำรคอรัปชั่นนั้นมีผลประโยชน์มำก รวยเร็ว ได้เงินทองมำง่ำยๆ
กำรที่จะตัดสินใจว่ำ จะกระทำำหรือไม่กระทำำ ก็อยู่ในระหว่ำงควำมดีควำมชั่วที่มำ
กระทบแล้วก่อให้เกิดอำรมณ์ขึ้น ก็แล้วแต่ว่าอันไหนจะมีกำาลังมากกว่ากัน ถ้าอัน
ไหนมีกำาลังมากกว่า อันนั้นก็จะชนะ

อย่ำงไรก็ดี แม้ว่ำจะพ่ำยแพ้แก่อำำนำจฝ่ำยตำ่ำ ยอมร่วมมือกับพรรคพวกคอรัปชั่น


ด้วยกัน แต่มโนธรรมในอดีตหรือควำมดีที่แล้วมำ ย่อมจะเข้ำมำมีบทบำทอยู่ในใจ
บ่อยครั้ง ก่อให้เกิดควำมยับยั้งว่ำ ไม่ควรจะกระทำำ

ควำมดีในอดีตจะออกมำกระทบใจหรือสนับสนุนจิตใจในขณะนั้นให้งดเว้น
กรรมในอดีตที่กระตุ้นเตือนชนิดนี้นับว่าเป็นกุศล ซึ่งมาเป็นปัจจัยให้กุศลเกิดขึ้น
ทำาให้รู้ผิดรูช้ อบ อย่ำงน้อยกุศลก็เกิดขึ้นมำบ้ำง แต่ควำมโลภยินดีอยำกได้มีกำำลัง
มำกกว่ำจึงชนะไป
โดยทำำนองเดียวกันนี้ ถ้าชาติก่อน นาย ก. เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอาไว้มาก เคยยิงนก
ตกปลำแทบไม่เว้นแต่ละวัน ครั้นมำในชำตินี้มีคนมำชวนว่ำ "ไปยิงนกกันเถิด
เตรียมปืนเตรียมลูกไว้พร้อมแล้ว ทั้งเพื่อนๆก็ล้วนถูกคอกันทั้งนั้น มีหลำยคนด้วย
กัน และที่ตำำบลนีน้ กก็ชุมยิงได้สบำยเลย เรำจะทำำอำหำรเลี้ยงกันทีน่ ั่นเลย"

เมื่อ นำย ก. ได้ยนิ ดังนี้ อำานาจของกรรมยิงนกตกปลาในอดีตที่ได้เคยทำามาแล้ว


ออกจะโชกโชน ก็จะออกมาสนับสนุนบันดาลใจ ดังนัน้ นำย ก. ก็จะมิได้ลังเลเลย ก็
จะหัวเรำะชอบใจรีบรับปำกโดยเร็วด้วยควำมยินดี

แต่ถ้าในชาติก่อนๆ นาย ก. ไม่เคยทำาการปาณาติบาตมาก่อนเลย แม้นำย ก. อยำก


จะสนุกไปกับเพื่อนฝูง นำย ก. ก็จะมีจิตคิดยับยั้ง ไม่ควำมไม่สบำยใจอยู่บ้ำง เพรำะ
นึกถึงสัตว์ที่จะต้องมำบำดเจ็บล้มตำยลงด้วยฝีมือของตนหรือของพรรคพวก นับ
ว่ำอำำนำจของกุศลได้เข้ำมำช่วยให้เกิดลังเลใจ หรือเกิดควำมเมตตำปรำนีบ้ำง อย่ำง
น้อยก็ยังมีกุศลในอดีตเข้ำมำเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึน้ ในปัจจุบันบ้ำง
สำำหรับตัวอย่ำงเรื่องคนไทยไปอยู่เมืองจีน และตัวอย่ำงอันหลังทั้งหมดนี้ ผมก็หวัง
ว่ำ คงจะทำำให้ท่ำนบังเกิดควำมเข้ำใจได้บ้ำงสำำหรับในขณะนี้ที่ท่ำนนักศึกษำเพิ่ง
จะได้เริ่มต้น

ต้นไม้มีวิญญาณหรือไม่?

ผู้ที่มิได้เคยศึกษำวิชำวิทยำศำสตร์แขนงพฤกษศำสตร์ และทั้งไม่เคยศึกษำพระ
อภิธรรมด้วย บางท่านก็ย่อมจะมีความเชื่อมัน่ ว่า ต้นไม้นั้นมีจิตหรือมีวิญญาณ
หรือมีธาตุรู้ กำรตัดสินทั้งนี้ก็โดยอาศัยพฤติกรรมของพืชบางชนิดที่แสดงออกมา

เช่นพืชบำงชนิดที่ดูเหมือนจะพักผ่อนหลับนอนได้ในตอนเย็น ด้วยกำรทำำงำน
ตรำกตรำำหำกินมำตลอดทั้งวัน เพราะเมื่อเย็นหรือคำ่าลงเห็นมันหุบใบกันหมด พืช
บำงชนิดเคลื่อนไหวหรือหุบใบได้เมื่อถูกกระทบเข้ำ กำรแสดงของมันทั้งหมดนี้
ย่อมเป็นกำรเพียงพอที่จะทำำให้ผู้ขำดกำรศึกษำ ขำดกำรพิจำรณำโดยละเอียด เข้ำใจ
ผิดคิดว่ำมันมีวิญญำณครอง
ในทางพระพุทธศาสนามิได้กล่าวถึงเรื่องต้นไม้ว่ามีวิญญาณอยู่ในพระไตรปิฎก
เลยแม้แต่สักแห่งเดียว นอกจำกนี้ในพระอภิธรรมปิฎกยังได้แสดงเหตุผล ตลอด
จนหลักฐำนข้อเท็จจริงเป็นอันมำกที่จะใช้เป็นหลักยืนยันว่ำ ต้นไม้มิได้มีจิตหรือ
วิญญำณ ดังที่มีบำงท่ำนเข้ำใจอยู่

แม้ในวิชำพฤกษศำสตร์ซึ่งผมก็เคยศึกษำมำบ้ำง ผมก็ยังไม่เคยพบตำำรำเล่มใดที่
แสดงถึงว่ำ ต้นไม้มีวิญญำณ ต้นไม้รจู้ ักใช้ควำมคิดนึกจดจำำ ต้นไม้รู้จักเกลียดรู้จัก
โกรธ และต้นไม้รู้จักมีสัญชำตญำณหลีกภัยเมื่อใครมำกระทบกระเทือนก็รีบหุบ
ใบ ในเรื่องนี้เรำอำจได้บทพิสูจน์ทั้งฝ่ำยพฤกษศำสตร์ และทำงฝ่ำยพระอภิธรรม
ทั้งสองทำง

เรื่องของต้นไม้ที่แสดงควำมเป็นไปต่ำงๆ ผมได้เขียนไว้ในหนังสือหลำยเล่มแล้ว
ดังนั้นผมจึงขอยกมำกล่ำวเพื่อนำำให้ท่ำนนักศึกษำได้พิจำรณำอีกเล็กน้อยเท่ำนั้น
เรำชอบพูดกันว่ำ ต้นไม้กินอาหาร และเมื่อเรำพูดว่ำ ต้นไม้กินอำหำรแล้ว เราก็เลย
เข้าใจไปว่าต้นไม้มนั กินเหมือนคนหรือเหมือนสัตว์ แม้มันมิได้ตักข้ำวเข้ำปำก แต่
มันก็มีรำกดูดเข้ำไปก็คงเหมือนเรำดูดกำแฟเย็น แท้จริงยังเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูก
ต้อง เพรำะต้นไม้มันไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้ดูด ไม่ได้ซึมนำ้ำหรืออำหำรเข้ำไปใน
ลำำต้นเลย ทั้งมันก็ไม่มีทำงทำำเช่นนั้นได้ด้วย
ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับเรำชอบพูดกันอยู่เสมอๆว่ำ "รถยนต์คันนี้กินนำ้ำมันจุ" เรำพูด
ว่ำรถยนต์กินนำ้ำมันทั้งๆที่มันมิได้กินสักนิด นำ้ำมันเข้ำไปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อจุด
ระเบิดให้ลุกสูบเคลื่อนที่เท่ำนั้นเอง ไม่มีท่ำทีแสดงถึงกำรกินเลยแม้แต่น้อย

อำหำรของสัตว์นั้นย่อมเป็นของเหลวและของแข็ง มีทั้งอินทรียว์ ัตถุและอนินทรีย์


วัตถุ มีคำร์โบไฮเดรต(แป้ง, นำ้ำตำล) โปรตีน (ทำำให้รำ่ งกำยเจริญเติบโต) ไขมัน
เกลือแร่ต่ำงๆ ในภำวะปกติอำหำรเหล่ำนี้จะถูกจิตสั่งให้ตักเข้ำปำกเพรำะไหล
เข้ำไปเองไม่ได้

แล้วก็ละลำยย่อยออกด้วยนำ้ำย่อยทีละน้อยๆ ตั้งแต่ปำกลงไปจนไปลำำไส้ใหญ่ และ


กำรย่อยนี้ก็จะต้องอำศัยจิตใจ หำไม่แล้วเรำก็คงจะให้ซำกศพที่ตำยใหม่ๆกิน
อำหำรได้
การกินอาหารของสัตว์ อาศัยจิตใจด้วยเป็นอันมาก เรำจะสังเกตได้ว่ำ คนที่กำำลัง
เสียใจมำกๆย่อมกินอำหำรไม่ลง เป็นต้น แต่กำรกินอำหำรของพืชนั้นมิได้เกี่ยว้อง
กับจิตใจเลย เพราะพืชส่งอาหารเข้าลำาต้นด้วยวิธีออสโมซิส (Osmosis) ซึ่งคำำนี้ใน
ภำษำไทยยังไม่มี ดังนั้นผมจึงขอยกตัวอย่ำงประกอบ

เช่น เอำไข่ไก่มำฟองหนึ่ง แกะเปลือกไข่ทำงด้ำนป้ำนออกเล็กน้อย โตประมำณ


กว่ำเหรียญสลึงนิดหน่อย ระวังอย่ำให้เยื่อบำงๆของไข่นั้นขำด ส่วนทำงด้ำนแหลม
ของไข่นั้น ให้เจำะทะลุลงไปเลย เล็กกว่ำมวนบุหรี่นิดหน่อย แล้วหำหลอดแก้ว
เล็กๆสอดลงไป หำวัตถุเหนียวๆมำยำให้รอบหลอดนั้นให้ทั่ว ให้หลอดติดกับ
เปลือกไข่ให้แน่น ต่อจำกนี้จึงนำำเอำไข่นี้วำงลงในนำ้ำทำงด้ำนป้ำนที่แกะเปลือกเอำ
ไว้แล้ว ในไม่ช้ำเรำก็จะเห็นหลอดแก้วนั้นมีนำ้ำสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
วิธีทผี่ มยกตัวอย่ำงขึ้นมำนี้ จะต้องอำศัยนำ้ำในไข่ที่มีควำมเข้มข้นกว่ำภำยนอก
ภำยในรำกของต้นไม้ก็มีนำ้ำที่เข้มข้นกว่ำนำ้ำที่อยู่ภำยนอกเหมือนกัน แล้วที่รำกของ
มันก็มีเยื่อบำงๆกั้นอยู่ ดังนัน้ ในวิชาพฤกษศาสตร์จึงกล่าวว่าต้นไม้มันมิได้กิน
มิได้ดื่ม ทั้งมิได้ดูดมิได้ซึม หากแต่เป็นไปโยวิธีการออสโมซิส (Osmosis)นัน่ เอง
ซึ่งวิธีกำรนี้เป็นหนทำงที่ต้นไม้นำำนำ้ำและอำหำรเข้ำสู่ลำำต้น

นอกจำกนี้ วิธีที่จะให้อำหำรเข้ำไปทำำประโยชน์แก่ต้นพืชก็แตกต่ำงกว่ำสัตว์หรือ
มนุษย์มำก เพรำะต้องมีกำรปรุงอำหำรขึ้นที่ใบเสียก่อน โดยกำรรวมคำร์บอนไดอ๊
อกไซด์กับนำ้ำ แล้วมีแสงของดวงอำทิตย์เข้ำช่วยโดยมีคลอโรฟิลล์(Chlorophyll)
ก่อให้เกิดปฏิกิริยำเร็วเข้ำ
นอกจำกนี้ ชอบมีผู้ตั้งคำำถำมว่ำ เหตุใดต้นพืชจึงโน้มเอนไปในทางที่มีแสงสว่าง ใน
เรื่องนี้ผู้ที่ช่ำงสังเกตก็จะเห็นอยู่เสมอว่ำ ถ้ำปลูกพืชไว้ใกล้ชำยคำบ้ำนแล้วมันจะ
เอนออกไปในทิศทำงที่ตรงกันข้ำมกับบ้ำน เพื่อหนีจำกร่มเงำไปสู่แสงแดด จนดู
เหมือนว่ำมันมีจิตหรือธำตุรู้อะไรสักอย่ำง ว่ำมันต้องกำรเช่นนั้น แล้วจึงบังคับให้
ต้นพืชค่อยๆเอนออกไป

ควำมจริงต้นไม้นั้นมันไม่รู้ ทั้งมันก็มิได้ตั้งใจที่จะให้เป็นเช่นนั้นด้วย แต่กำรที่มัน


เป็นไปได้ก็เป็นไปตำมอัตโนมัติที่ประกอบด้วยเหตุผล เหมือนเครื่องยนต์ที่มิได้มี
จิตใจแต่มันแล่นไปได้นั่นเอง

ตำมหลักฐำนควำมจริงของวิชำพฤกษศำสตร์ ต้นไม้จะเจริญเติบโตขึ้นตำมทิศทำง
ของแสงสว่ำง คุณลักษณะเช่นนี้ก็เกิดจำกกำรสะสมฮอร์โมน สำำหรับควำมเจริญ
เติบโตทำงด้ำนตรงกันข้ำมกับที่ไม่มีแสงสว่ำงได้ถูกสะสมไว้จนมีจำำนวนมำกขึ้น
เกินกว่ำธรรมดำ ฮอร์โมนที่เหลือเฟือเหล่ำนี้ ช่วยให้ปฏิกิริยำทำงเคมีในพืชดำำเนิน
ไปอย่ำงสมำ่ำเสมอ ฮอร์โมนนี้มีชื่อว่ำ อ๊อกซินส์ (auxins)

อ๊อกซินส์นี้เป็นฮอร์โมนของต้นไม้ที่รู้จักกันมำนำนแล้ว ในวงกำรวิทยำศำสตร์
แขนงพฤกษศำสตร์มีควำมเชื่อว่ำ เซลล์ของพืชจะเจริญเติบโตได้ ในเมื่อมีอ๊อก
ซินส์อยู่ อ๊อกซินส์นี้เกิดอยู่ในเนื้อเยื่อของใบไม้และเกสรอ่อนๆ แล้วอ๊อกซินส์ก็จะ
ถูกนำำไปยังส่วนต่ำงๆของต้นไม้ในโอกำสต่อไป
อ๊อกซินส์จะหมุนเวียนไปทำงด้ำนที่ไม่ได้รับแสงสว่ำงเป็นจำำนวนมำกกว่ำทำง
ด้ำนอื่น หมำยควำมว่ำ ต้นไม้ทำงด้ำนที่ได้รับแสงสว่ำงน้อย จะมีอ๊อกซินส์มำกกว่ำ
ทำงด้ำนที่มีแสงสว่ำงมำก

ด้วยเหตุนี้เอง เซลล์ของต้นไม้ทำงด้ำนที่ทึบแสงจะต้องขยำยตัวยำวออกไป
มำกกว่ำทำงด้ำนที่รับแสงสว่ำง จึงเป็นเหตุทำาให้ต้นไม้เอนหรือโค้งงอออกไปทาง
ด้านที่มีแสงสว่างมาก จนเป็นเหตุทำำให้ดูประหนึ่งว่ำ ต้นไม้ต้องกำรเอนออกไป
เพื่อต้องกำรแสงสว่ำง รำวกับว่ำมันมีชีวิตจิตใจ

เรื่องของต้นไม้ที่หุบใบได้เมื่อกระเทือนก็ดี กินตัวแมลงได้ก็ดี เหล่ำนี้ผมได้เขียน


ลงไว้ในหนังสือหลำยเล่มแล้ว เช่นในเรื่องควำมมหัศจรรย์ของชีวิตเป็นต้น จึงไม่
ได้แสดงไว้อีกเพรำะเกรงว่ำจะเป็นกำรเสียเวลำมำก
แต่ผมก็ขอเพิ่มเติมว่ำ บรรดำนักวิทยำศำสตร์ทำงฝ่ำยพฤกษศำสตร์ มีควำมรู้ควำม
เชี่ยวชำญในเรื่องพืช ตลอดจนตำำรับตำำรำทุกเล่มของเขำ ผมยังไม่เคยพบเลยว่ำท่ำน
ผู้ใด หรือหนังสือเล่มไหนแสดงว่ำต้นไม้มีวิญญำณ
เรื่องของต้นไม้ว่ำไม่มีวิญญำณหรือธำตุรู้นั้น ในปรมัตถธรรมก็มีหลักฐำนยืนยัน
เอำไว้มำก เช่น ธำตุรู้นั้นได้แก่ มโนธำตุ ๓ วิญญำณธำตุ ๑๐ มโนวิญญำณธำตุ ๗๖
รวมกันเข้ำก็มี ๘๙ นีเ้ ท่ำนั้น ไม่ทราบว่าจะเอาธาตุรู้อันไหนไปใส่ให้ต้นไม้ได้
อย่างไร

ธำตุรู้ทั้งหมดนี้ย่อมมีที่อำศัยเกิด เช่นที่จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆำนวัตถุ ชิวหำวัตถุ กำย


วัตถุ และหทยวัตถุ ถ้ำไม่มีที่อำศัยเกิดแล้วก็จะเกิดธำตุรู้ขึ้นมำเองไม่ได้ หลักฐำน
ตำมสภำวธรรมมีอยู่ดังนี้ จึงไม่ทรำบว่ำจะเอำจักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆำนวัตถุ ชิวหำ
วัตถุ กำยวัตถุ และหทยวัตถุ ไปใส่ให้ต้นไม้ที่ตรงไหนดี ต้นไม้จึงจะเห็น ได้ยนิ
และคิดอะไรๆได้

ต้นไม้อาศัยอุตุเป็นแดนเกิด มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานอาศัยกรรมเป็นแดนเกิด แล้ว


มีอุตุมีอำหำรเข้ำร่วมด้วย และอำำนำจของกรรมนี้จะผลิตสร้ำงรูปซึ่งเป็นปรมำณูขึ้น
เรียกว่ำกรรมชรูป เป็นที่ตั้งอำศัยของจิตใจหรือธำตุรู้ และเป็นผู้ผลิตที่ตั้งของอิตถี
ภำวะ และปุริสภำวะ อันได้แก่ควำมเป็นหญิงควำมเป็นชำยลงไปบนเซลล์ทั่ว
ร่ำงกำย

สำำหรับต้นไม้ผมก็ไม่เคยได้พบว่ำตรงไหนเป็นที่ตั้งที่อำศัยของจิตใจหรือธำตุรู้
ตรงไหนแสดงว่ำต้นไม้เป็นหญิงหรือเป็นชำย ส่วนเกสรตัวผู้ตัวเมียของต้นไม้นั้น
เป็นอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศอันเป็นเรื่องของพืชโดยเฉพำะซึ่งไม่เหมือนกับ
สัตว์ที่ผมก็เคยบรรยำยไว้ในหนังสือเล่มอื่นแล้วเหมือนกัน
ถ้าต้นไม้มีวิญญาณหรือธาตุรู้แล้ว พุทธศำสนิกชนก็ไม่ควรจะไปตัดหรือไปเด็ด
ต้นไม้ใบไม้ตลอดจนผักหญ้ำมำเป็นอำหำร เพรำะเป็นกำรเบียดเบียนสัตว์ตน้ ไม้
จำำทำำให้สัตว์ต้นไม้ใบหญ้ำทั้งหลำยต้องตำยไป เป็นกำรทำำปำณำติบำต ดีไม่ดีอำจ
จะต้องไปลงนรกเข้ำก็ได้

ถ้าต้นไม้มีวิญญาณหรือธาตุรู้แล้ว ต้นไม้ก็คงจะทำำบำปทำำบุญ ทำำดีทำำชั่วได้ ต้นไม้


ตำยลงไปแล้วจะไปเกิดที่ไหน จะไปรวมกันอยู่กับพวกอมนุษย์และสัตว์ทั้งหลำย
หรือเปล่ำ
ถ้าจะว่าต้นไม้ทำาบาปรือบุญไม่ได้ เห็นหรือได้ยินก็ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็คงจะเป็น
ภวังควิญญาณกระมัง แต่ภวังควิญญำณซึ่งเป็นธำตุรู้อันหนึ่ง ภวังควิญญำณเป็น
ชนิดทวำรวิมุติอำรมณ์ซึ่งรับอำรมณ์โดยทั่วไปไม่ได้ แต่ก็ยังคงมีอำรมณ์ซึ่งเป็น
อดีตที่อำจจะเป็นอำรมณ์บำปหรือเป็นบุญได้ ดังนั้นต้นไม้ก็คงจะต้องมีอำรมณ์อยู่
เสมอ ซึ่งอำจจะเป็นอำรมณ์ที่เป็นบำปหรือเป็นบุญ ทั้งภวังควิญญำณก็จะต้องตั้งอยู่
ณ หทยวัตถุ (ในปัญจโวกำรภูมิ) แต่ต้นไม้ไม่ทราบว่าหทยวัตถุอยู่ที่ไหน
จิตมีลักษณะอย่างไร

จิตนัน้ เป็นปรมัตถธรรม ดังนั้น จึงมีลักษณะ ๒ ประกำร คือ

ก. สำมัญลักษณะ
ข. วิเสสลักษณะ

ก. สามัญลักษณะ ได้แก่ธรรมชำติที่มีประจำำตัวโดยทั่วไป หรือเป็นธรรมชำติที่มี


ประจำำตัวธรรมดำๆ ๓ ประกำร คือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ

ธรรมชำติของสรรพสิ่งทั้งหลำยย่อมผันแปรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลำ ไม่ว่ำผู้
ใดจะศึกษำเข้ำใจหรือไม่ ไม่ว่ำใครจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตำม ทั้งนี้ไม่วำ่ จะเป็น
สสำรหรือเป็นพลังงำนในวิชำวิทยำศำสตร์ และไม่ว่ำเรื่องจิตใจที่กล่ำวใน
พระพุทธศำสนำก็ตำม
พุทธศำสนิกชนคนไทยส่วนมำกไม่ค่อยได้ศึกษำพระอภิธรรม ย่อมจะมีควำม
เข้ำใจผิดคิดว่ำ จิตใจนั้นเป็นสิ่งกำยสิทธิ์ เมื่อคนเรำได้ตำยลง จิตใจหำได้แตกดับ
หรือได้ตำยไปอย่ำงใดไม่ หำกแต่จะล่องลอยไปหำที่เกิดใหม่ตำมบุญตำมบำปที่ได้
กระทำำเอำไว้ในอดีต บำงท่ำนเชื่อถือเรื่องเช่นนี้เสียจริงๆจังๆ แม้เวลำจะได้ล่วงเลย
มำนำนก็ไม่เปลี่ยนแปลง ควำมเข้ำใจดังนี้เป็นควำมเข้ำใจตำมลัทธิของพรำหมณ์
บำงลัทธิ หำใช่พระพุทธศำสนำไม่

เรื่องของจิตใจนั้น ในพระพุทธศำสนำก็ย่อมต้องอำศัยเหตุเป็นแดนเกิด และย่อม


อยู่ภำยใต้กฎของธรรมชำติ ไม่มีใครจะบังคับหรือเสกสรรให้เป็นไปตำมใจได้
กฏเกณฑ์ของธรรมชำติที่เรียกว่ำ สามัญลักษณะมี ๓ ประกำร คือ

๑. อนิจจลักษณะ คือ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ย่อมผันแปรเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ


ในวินำทีหนึ่งมีควำมเกิดดับสีบต่อกันไปมำกมำย จึงได้ชื่อว่ำไม่เที่ยง
๒. ทุกขลักษณะ หมายถึงความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ มีการเสื่อมหรือสลายตัว
อยู่ตลอดเวลา เรำจะหำควำมสุขจำกควำมไม่เที่ยงก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึง
ได้ชื่อว่ำเป็นทุกข์

๓. อนิจจลักษณะ เป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ของธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมา
ด้วยอาศัยเหตุปัจจัย แล้วก็ดับลงไปเพราะหมดเหตุปัจจัย ดังนัน้ จิตจึงไม่ใช่คน
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของอะไรเลย ทั้งใครจะบังคับบัญชำให้เป็นไปตำมใจชอบก็ไม่
ได้ด้วย จึงได้ชื่อว่ำเป็นอนัตตำ
มีหลำยท่ำนแสดงถึงเรื่องอนัตตำว่ำ ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นสิ่งว่ำงเปล่ำ หรือบำงท่ำน
ก็แสดงว่ำ สิ่งทั้งหลำยมำจำกควำมว่ำง ซึ่งหมำยถึงว่ำ สรรพสิ่งทั้งหลำยเมื่อแยก
ย่อยออกไปจนถึงที่สุดแล้ว สิ่งนั้นก็จะไม่มีอะไร เป็นควำมว่ำงแท้ๆ

ควำมเข้ำใจดังกล่ำวนี้ยังไม่ถูกต้องตำมสภำวธรรม เพรำะว่ำสิ่งทั้งหลำยเป็นอนิจจัง
เมื่อมีควำมไม่เที่ยงแล้วมันก็จะต้องมี "สิ่ง" อันจะเป็นตัวรองรับความไม่เที่ยงนั้น
ถ้ำไม่มีอะไรเสียเลยแล้ว จะเอำอะไรมำไม่เที่ยงเล่ำ และถ้ำไม่มีอะไร มีแต่ควำมว่ำง
เปล่ำเสียแล้ว ใครเล่ำจะเป็นทุกข์

ควำมมุ่งหมำยในเรื่องอนัตตำนี้ ก็เพื่อจะให้ท่ำนผู้ศึกษำเข้ำใจว่ำ จิตใจก็ดี รูปซึ่ง


ได้แก่สสำรหรือพลังงำนก็ดี มันไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ และไม่ใช่สิ่งของอะไรเลย ทั้ง
จะบังคับมันให้เป็นไปตำมใจชอบไม่ให้เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ด้วยเท่ำนั้น

สิ่งใดที่ไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ และสิ่งใดที่เป็นทุกข์ สิ่งนัน้ ก็บังคับบัญชำไม่


ได้ ทั้ง ๓ ประกำรนี้เกิดขึ้นอยู่กับสรรพสิ่งทั้งหลำยในโลก และเกิดขึ้นทั้ง ๓
ประกำรด้วยกัน มิใช่เกิดประกำรหนึ่งหรือสองประกำร
ข. วิเสสลักษณะ ได้แก่ลักษณะพิเศษที่ประจำำตัว เฉพำะปรมัตถธรรมแต่ละอย่ำง
หมำยถึงแต่ละอย่ำงไม่เหมือนกัน วิเสสลักษณะมี ๔ ประกำร คือ

ลักษณะ ได้แก่เครื่องหมำย เครื่องแสดง หรือคุณภำพ ที่มีอยู่ประจำำตัวของธรรมชำ


ตินั้นๆ เช่นไฟมีควำมร้อนประจำำตัวเป็นลักษณะ

รส ได้แก่หน้ำที่ หรือกำรงำนที่ธรรมชำตินั้นๆ เป็นไป แบ่งเป็นกิจจรส และสัม


ปัตติรส เช่น

กิจจรส ควำมร้อนของไฟฟ้ำทำำให้สิ่งต่ำงๆถูกเผำไหม้หรือสุก
สัมปัตติรส แสงของไฟฟ้ำทำำให้เกิดแสงสว่ำง

ปัจจุปัฏฐาน ได้แก่ผลที่เกิดจำกรส หรืออำกำรที่ปรำกฏที่เกิดขึน้ จำกที่ได้ทำำกิจ


นัน้ ๆ ไปแล้ว

ปทัฏฐาน ได้แก่เหตุใหล้ที่ก่อให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นมำ

ทั้งหมดเหล่ำนี้เรำเรียกว่ำ ลักขณาทิจตุกะ อันหมำยถึงธรรมที่มีองค์ ๔ คือ ลักษณะ


รส ปัจจุปัฏฐำน ปทัฏฐำน
ตำมที่ผมได้กล่ำวมำนี้ ท่ำนทั้งหลำยก็จะเห็นได้ว่ำ จิตปรมัตถธรรมนั้น มีสภำพ
หรือลักษณะทั้ง ๒ ประกำรคือ สำมัญลักษณะ และวิเสสลักษณะ

สำมัญลักษณะของจิต คือ

อนิจจำ ควำมไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลงไปมำ


ทุกขำ ควำมทนอยู่ไม่ได้ ต้องเกิดดับอยู่เสมอ
อนตฺตา ควำมไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ให้เกิดดับ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้

วิเสสลักษณะหรือลักขณำทิจตุกะของจิต คือ

วิชฺชานน ลกฺขณำ มีกำรรู้อำรมณ์เป็นลักษณะ


ปุพฺพงฺคม รสำ เป็นประธำนในธรรมทั้งปวงเป็นกิจ
สนฺธาน ปจฺจุปฏฺฐานำ มีกำรเกิดขึ้นต่อๆกันไป เป็นอำกำรปรำกฏ
นามรูป ปทฏฺฐานำ มีนำมรูป เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
ความวิจิตรของจิต ๖ ประการ

ธรรมชำติของสิ่งต่ำงๆในโลกนี้ ที่แปลกประหลำดน่ำพิศวงก็มีอยู่เป็นอันมำก เช่น


โลกที่เรำอำศัยอยู่นี้ก็กว้ำงใหญ่ไพศำลมิใช่น้อย แต่ก็ยังล่องลอยอยู่ได้ในอำกำศ มิ
หนำำซำ้ำยังโคจรไปด้วยควำมเร็วสูง โดยเรำผู้ซึ่งอำศัยอยู่บนพื้นโลกมิได้รู้สึกตัวเลย

ใครจะคิดบ้ำงว่ำ ดวงอำทิตย์นั้นมีไฟลุกโพลงขึ้นได้เอง แล้วส่องแสงอันแรงกล้ำ


ออกไปทั่วทิศอยู่ตลอดเวลำ นับแสนล้ำนปีโดยไม่มีใครจุดแล้วไปม่รู้จักดับเสีย
ด้วย และใครจะคิดบ้ำงว่ำ ไฟที่ลุกอยู่นั้นเกิดจำกกำรระเบิดของธรรมชำติที่มิได้มี
ใครไปทำำลูกระเบิดขึ้นสักลูกแล้วเอำไปวำงไว้ ทั้งมิได้มีใครไปจุดเชื้อระเบิดนั้น
แม้แต่สักนิด
ใครจะไม่ประหลำดใจว่ำ ในโลกนี้มีสัตว์ที่มีร่ำงกำยใหญ่โตแทบไม่น่ำเชื่อ เช่น
ปลำวำฬ ตัวยำงตั้ง ๑๕๐ ฟิต และใครจะไม่พิศวงว่ำมีสัตว์(ในทำงโลก) ที่ตัวเล็ก
เสียจนไม่น่ำจะเป็นได้ เช่นไวรัสบำงชนิด กล้องที่มีกำำงขยำยตั้งหลำยพันเท่ำแล้วก็
ยังมองไม่เห็น จำำต้องใช้เครื่องกรองแทน

ชีวิตของเรำนี้ก็ไม่ใช่จะใหญ่โตอะไร ยำวประมำณเพียง ๑ วำ หนำ ๑ คืบ และกว้ำง


๑ ศอกเท่ำนั้นเอง แต่ก็ได้แฝงควำมมหัศจรรย์เอำไว้เหลือหลำย แม้วิทยำกำรใน
ปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่สำรพัดวิชำจะได้ก้ำวออกมำไกลลิบจนถึงสำมำรถส่งดำวเทียมขึ้น
ไปล่องลอยอยู่ในอวกำศ แต่ถึงกระนั้นก็ดี เมื่อว่ำกันถึงเรื่องของชีวิตแล้ว ก็เท่ำกับ
ว่ำเรำเพิ่งจะก้ำวเท้ำได้เพียงก้ำวเดียวเท่ำนั้นเอง
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงเรื่องของรูปร่างคือร่างกายไว้อย่างพิสดาร ทั้งๆที่รูป
คือร่ำงกำยนี้ เรำถือว่ำเป็นของเรำ กินอยูห่ ลับนอนด้วยกันมำ ทั้งอยู่ติดชิดกับเรำทุก
วันคืนแต่เรำจะเข้ำใจเรื่องรำวของมันสัก ๑ ใน ๑๐๐ ก็ยังไม่ได้ ยิ่งจิตใจด้วยแล้ว
แม้ว่ำมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรำก็จริง แต่เรำไม่รู้เรื่องอะไรของมันเลย อำจพูด
ได้ว่ำในเรื่องของจิตใจแล้ว เรำยังไม่มีควำมรู้อะไรมำกนัก

ในพระพุทธศำสนำสำมำรถทำำควำมเข้ำใจได้มำกที่สุด ไม่วำ่ จะเป็นเรื่องร่ำงกำย


หรือจิตใจก็ตำม ทั้งร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องใหญ่ที่ทางโลกเรียนกันไม่รู้จักจบ แต่
ในทางพระพุทธศาสนาเราสามารถเรียนรู้จบได้ ร่ำงกำยและจิตใจที่ว่ำลำ้ำลึกยิ่งนัก
เป็นปัญหำโลกแตก แต่ทว่ำธรรมะจะช่วยคลี่คลำยให้นักศึกษำเข้ำใจได้อย่ำงลึกซึ้ง

ดังนั้น ผู้ศึกษำเรื่องร่ำงกำยและจิตใจจำกพระพุทธศำสนำ เฉพำะอย่ำงยิ่งพระ


อภิธรรมปิฎก จึงได้เบำสบำยคลำยจำกควำมทุกข์ลงมำก ด้วยมีที่พึ่งอันถำวรและ
เห็นหนทำงที่จะไปสู่ควำมสุขอันสถำพร
คำำว่ำ วิจิตรนั้นแปลว่างดงาม แปลกประหลาด น่าพิศวง คือ ธรรมชำติของจิตนั้นมี
ควำมแปลกประหลำดมหัศจรรย์ หรือมีควำมวิจิตรพิสดำรเป็นอย่ำงยิ่ง แต่เมื่อ
ย่นย่อแล้วก็มีความวิจิตรพิสดาร ๖ ประการ คือ

๑. วิจิตรในการกระทำา ตัวอย่ำงที่จะยกขึ้นมำอ้ำงในเรื่องนี้มีนับไม่ถ้วน เช่นสิ่ง


ต่ำงๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมำทั้งงดงำม ทั้งแปลกประหลำดน่ำอัศจรรย์ ทั้งในศิลปศำสตร์
และวิทยำศำสตร์ เป็นต้น เช่น โทรทัศน์ที่มีภำพที่เคลื่อนไหวได้ตำมควำมเป็นจริง
เป็นสีสันต่ำงๆ จำกสถำนีส่งกระจำยออกไปได้ทั่วทิศ หรือรถยนต์ เครื่องบิน จรวด
ดำวเทียม ตลอดไปจนถึงลูกระเบิดปรมำณูที่อำจสำมำรถทำำลำยหรือล้ำงโลกได้
มนุษย์ก็ทำำขึ้น ซึ่งไม่นำ่ จะเป็นไปได้เลย
๒. วิจิตรด้วยตนเอง หมำยถึงตัวของจิตเองก็มีควำมแปลกประหลำดน่ำพิศวง แต่
ชำวโลกทั้งหลำยยังหำสำเหตุอันแท้จริงไม่ได้ เช่นที่มีควำมโง่มำก มีปญ ั ญำมำก
ชั่วมำก ดีมำก ฟุ้งซ่ำน สงบ มีควำมจำำดี มีควำมจำำเลอะเลือน ช่วยตัวเองได้ ช่วยตัว
เองไม่ได้เลย จิตดี จิตไม่สมประกอบ

๓. วิจิตรในการสั่งสมกรรมและกิเลส ธรรมชำติของจิตนั้นมองไม่เห็นตัว ซำ้ำถูก


ต้องสัมผัสไม่ได้ แต่แม้กระนั้นก็ดี มันก็มีควำมสำมำรถที่น่ำพิศวง เพรำะมันสั่งสม
อำรมณ์ หรือเก็บกรรมควำมดีและควำมชั่วเอำไว้ก็ได้ โดยตัวคนผู้เป็นเจ้ำของห้ำม
ปรำมหรือกัดกันอย่ำงไรก็ไม่ไหว เช่นกรรมชั่วร้ำยใดๆ ที่ได้ทำำแล้วย่อมเก็บ
ประทับไว้ในจิต ไม่อำจที่จะปลดออกทิ้งไปเสียตำมชอบใจได้
๔. วิจิตรในการรักษาไว้ซึ่งวิบากอันได้แก่ผลของกรรม ควำมดีหรือควำมชั่ว บุญ
หรือบำปที่ได้กระทำำลงไปแล้ว ย่อมจะเก็บเอำไว้ในจิตมิได้สูญสลำยหำยไป แม้
กำลจะเนิ่นนำนไปเท่ำใดก็ดี แม้เกิดขึน้ มำตั้งร้อยหนพันหน นับเวลำเป็นหมื่นเป็น
แสนหนือเป็นล้ำนปี มันก็ยังคงอยู่ ถ้ำยังไม่มีเหตุปัจจัยมำกระตุ้นให้เกิดขึ้น มันก็
สงบเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเลย ถ้ำมีเหตุปัจจัยพร้อมเมื่อใด มันจะไม่รอโอกำสนั้น
แม้แต่วินำทีเดียว ย่อมแสดงออกมำทันที

๕. วิจิตรในการสั่งสมสันดานของตนเอง ถ้ำกรรมใดได้เคยกระทำำอยู่เสมอๆ กรรม


นัน้ ก็จะฝังมั่น หรือติดแน่น ที่เรียกว่ำติดเป็นสันดำน และถ้ำติดแน่นเป็นสันดำน
แล้วก็จะประพฤติเป็นไปได้ง่ำยดำยเกือบเหมือนไม่ได้ตั้งใจ อำำนำจที่กระทำำอยู่
เนืองนิจจะสนับสนุนให้ควำมประพฤติทั้งหลำยเป็นไปเกือบจะเป็นอัตโนมัติ ทั้งนี้
ไม่ว่ำจะเป็นควำมดีหรือควำมชั่วก็ตำม

๖. วิจิตรด้วยอารมณ์ต่างๆ ในข้อนี้หมำยถึงว่ำจิตจะเป็นไปด้วยกับอำรมณ์ต่ำงๆ
ที่มำกระทบ ไม่วำ่ อำรมณ์นั้นจะเป็นทำงตำ ทำงหู และทำงใจ เมื่อจิตได้รับประทบ
อำรมณ์แล้ว จิตนั้นก็จะวิจิตรพิสดำรขึ้นทันที เมื่อจิตได้รับกระทบคำำติเตียนด่ำว่ำก็
บังเกิดควำมดกรธ หน้ำนิ่วคิ้วขมวด ครั้นได้รับคำำชมเชยสักนิด ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
หน้ำตำชื่นบำน
กำรอธิบำยถึงควำมวิจิตร ๖ ประกำรนี้เป็นกำรบรรยำยตำมหลักวิชำ ในเรื่องควำม
วิจิตรของจิตนี้ผมจะขอขยำยควำมไปอีกแนวทำงหนึ่ง ซึ่งคงจะทำำให้ท่ำนนักศึกษำ
มีควำมเข้ำใจแล้วก็จะได้เหตุผลที่สนับสนุนกันเป็นลูกโซ่ เป็นวงกลม ซึ่งคงจะ
ทำำให้ท่ำนได้ควำมเข้ำใจในเรื่องจิตมำกยิ่งขึ้น

ความวิจิตรของจิต ๖ ประการ

๑. เพรำะจิตวิจิตรจึงทำำให้สัตว์ทั้งหลำยวิจิตร
๒. สัตว์ทั้งหลำยวิจิตรก็เพรำะกำำเนิดวิจิตร
๓. กำำเนิดวิจิตรก็เพรำะกำรกระทำำวิจิตร
๔. กำรกระทำำวิจิตรก็เพรำะตัณหำวิจิตร
๕. ตัณหำวิจิตรก็เพรำะสัญญำวิจิตร
๖. สัญญำวิจิตรก็เพรำะจิตวิจิตร
๑. เพราะจิตวิจิตรจึงทำาให้สัตว์ทั้งหลายวิจิตร

สรรพสิ่งทั้งหลำยในโลกนี้ไม่ว่ำจะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ แม้แต่ใบหญ้ำ ไม่ว่ำจะเป็น


ยอดภูเขำหรือห้วยละหำรลำำธำรไปจนถึงท้องมหำสมุทร ย่อมแฝงไว้ด้วยความ
แปลกประหลาดและความสวยสดงดงามต่างๆกันอย่างน่าพิศวง จำกสิ่งแวดล้อม
เช่น ดิน ฟ้ำ อำกำศ เป็นต้น ได้คัดเลือกดัดแปลงและปรุงแต่งให้ธรรมชำติเหล่ำนี้
ต้องผันแปรเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ เมื่อเวลำเนิ่นนำนมำ ธรรมชำติทั้งหลำยจึง
ดูแปลกประหลำดต่ำงๆ กันไปดังกล่ำว

อย่ำงไรก็ดี ธรรมชำติของนำมธรรมคือจิตใจก็มีควำมวิจิตรพิสดำรยิ่งกว่ำธรรมชำติ
ที่เป็นรูปมำกมำยก่ำยกองนัก เพรำะควำมพิสดำรของจิตนี่เองที่ทำำให้สัตว์ทั้งหลำย
ไม่ว่ำเล็กหรือใหญ่ ทั้งมองเห็นตัวได้ และที่มองเห็นตัวไม่ได้ กลำยเป็นสิ่งที่นำ่
อัศจรรย์ไป
สัตว์ทั้งหลำยที่มีรูปกายแปลกๆ ใหญ่โตรำวกับภูเขำก็มี เล็กจนมองไม่เห็นก็มำก
รูปร่ำงลักษณะ ควำมเป็นอยู่ ควำมเป็นไปก็สุดที่จะพรรณนำ บำงชนิดก็บินไปได้
ในอำกำศ บำงชนิดก็เดินได้บนดิน บำงชนิดก็กินอยูห่ ลับนอนในนำ้ำ บำงชนิดก็กิน
อำหำรเข้ำไปทำงปำกแล้วก็ถ่ำยออกมำทำงทวำรหนัก แต่บำงชนิดกินเข้ำไปทำง
ปำกแล้วไม่มีกำรถ่ำยเลย บำงชนิดมีตำสำำหรับดูเพียงสองตำ แต่บำงชนิดมีตำ
สำำหรับดูตั้งพันตำ บำงชนิดหำยใจทำงจมูก แต่บำงชนิดกลับหำยใจทำงร่ำงกำย
สัตว์ทั้งหลำยแม้มันจะมีรูปร่ำงลักษณะควำมเป็นอยู่ควำมเป็นไปอย่ำงน่ำอัศจรรย์
ถึงเพียงนี้ก็จริง แต่ถ้ำมิได้มีจิตใจเข้ำไปครองอยู่ภำยในร่ำงกำยนั้นๆแล้ว ควำมน่ำ
อัศจรรย์ดังกล่ำวก็คงจะไม่บังเกิดขึ้น สัตว์เหล่ำนั้นจะเห็นไม่ได้ ได้ยนิ ไม่ได้ คิด
อะไรไม่ออก ทำำอะไรก็ไม่เป็น
เพรำะจิตนี้ทีเดียวที่ทำำให้สัตว์ทั้งหลำยแสดงออกถึงควำมมหัศจรรย์ต่ำงๆ ทำำให้
ตำมองเห็นได้ หูได้ยินได้ ใจคิดนึกได้ ยืนได้ เดินได้ แสดงปฏิกิริยำสนองตอบต่อ
สิ่งที่มำเร้ำได้อย่ำงจงใจแปลกๆต่ำงๆ ตลอดไปจนกำรยิ้ม กำรหัวเรำะ หรือร้องไห้
ทั้งรู้จักพรรณนำควำมรักกันอย่ำงดูดดื่มซำบซึ้งใจ รู้จักระบำยควำมทุกข์ร้อนจนผู้
ฟังนำ้ำตำไหลไปตำมกัน รู้จักมีควำมเมตตำกรุณำต่อกันอย่ำงลึกซึ้ง และรู้จักทำำลำย
ร้ำงกันได้อย่ำงเหี้ยมโหดจนถึงกับพินำศล่มจม ด้วยเหตุที่จิตใจมีควำมวิจิตร
พิสดำรถึงเพียงนี้ จึงทำำให้สัตว์ทั้งหลำยแตกต่ำงกันไปรำวฟ้ำกับดิน
๒. สัตว์ทั้งหลายวิจิตรก็เพราะกำาเนิดวิจิตร

ถ้ำสมมุติว่ำ จิตใจนั้นเกิดอยู่กับดิน เกิดอยู่ในหินหรือเกิดอยู่ในทะเล ดิน หิน หรือ


ทะเลก็คงจะไม่ได้ทำำให้เรำได้เห็นควำมแปลกประหลำดพิสดำรอะไรเลย แต่เพรำะ
จิตมีกำำเนิดอยู่ในสัตว์ทั้งหลำยเข้ำ ควำมวิจิตรพิสดำรจึงได้เกิดขึน้ มำกบ้ำงน้อย
บ้ำง แล้วแต่จะเกิดอยู่ในสัตว์อะไร แต่จะไม่พิสดำรเลยนั้นหำมิได้

ด้วยเหตุนี้ เรำจึงได้เห็นควำมเป็นไปของสัตว์ทั้งหลำยมีควำมวิจิตรพิสดำร บำงที


จนทำำให้เรำอัศจรรย์ใจ เช่นสัตว์ตัวใหญ่รำวกับภูเขำ คือปลำวำฬ จะแหวกว่ำยไป
มำหรือแม้แต่กระดิกตัวมันก็ไม่รวดเร็วอะไรเลย ปลำเล็กปลำน้อยจะหลบหลีก
อย่ำงไรก็แสนง่ำย แต่กระนั้นมันก็มีวิธีกำรอันแสนฉลำดทีจ่ ะเอำปลำเล็กปลำน้อย
เหล่ำนั้นมำเป็นอำหำรได้เป็นฝูงๆ
สัตว์บำงอย่ำงตัวเล็กๆ เช่นปลวก มีจำำนวนแต่ละรังมำกมำย แต่สำมัคคีกันดีช่วยกัน
ทำำงำนคนละไม้คนละมือมิได้มีควำมรังเกียจซึ่งกันและกันเลย ช่วยกันทำำมำหำกิน
จนสร้ำงบ้ำนเรือนใหญ่โต แต่มันไม่ต้องมีตำสำำหรับดูก็ได้ เพรำะมันมีประสำท
ทำงกำยที่ไวต่อควำมรู้สึกแทนตำ

มันชอบแทะไม้และหนังสือเอำไปเป็นอำหำร แต่ไม้และหนังสือก็ประกอบไปด้วย
เซลลูโลส ลำำไส้ของปลวกย่อยเซลลูโลสไม่ได้ แต่ปลวกมันก็ไม่กลัวว่ำจะย่อยไม่
ได้ เพรำะในลำำไส้ของปลวกเลี้ยงสัตว์เซลล์เดียวไว้ช่วยย่อยเซลลูโลสให้กลำยเป็น
แป้งและนำ้ำตำลอีกทีหนึ่ง เป็นอำหำรแก่สัตว์เซลลืเดียวในลำำไส้ไปเสียหน่อยหนึ่ง
เหมือนเป็นค่ำป่วยกำร นอกนั้นก็ตกเป็นอำหำรของตนเอง
ด้วยเหตุนี้ ถ้ำเอำสัตว์เซลล์เดียวในลำำไส้ของปลวกออกเสียให้หมด ปลวกก็จะ
ถึงแก่ควำมตำยเพรำะตัวเองย่อยอำหำรจำำพวกเซลลูโลสเหล่ำนัน้ ไม่ได้
ในบรรดำสัตว์ทั้งหลำย สัตว์มนุษย์แปลกประหลำดมหัศจรรย์ยิ่งไปกว่ำสัตว์
เดรัจฉำนเสียอีก สัตว์มนุษย์สำมำรถยืนตัวได้ฉำกกับโลกซึ่งสัตว์อื่นทำำไม่ได้ รูป
ร่ำงก็ผิดกว่ำสัตว์เดรัจฉำนมำก ทั้งยังแสดงความรู้สึกนึกคิดได้ดียิ่งกว่าสัตว์
เดรัจฉานด้วย

นอกจำกนี้ยังมีควำมโหดเหี้ยม ดุรำ้ ยทำรุณ อันสัตว์ทั้งหลำยที่ว่ำดุร้ำยแล้วก็ยัง


เทียบกันไม่ได้ ทั้งยังคดในข้องอในกระดูก กระทำำกลฉ้อฉลหลอกลวงได้อย่ำงเร้น
ลับซับซ้อนซึ่งสัตว์เดรัจฉำนไม่มีควำมสำมำรถจะทำำได้เหมือน แต่ในส่วนควำมดี
นัน้ เล่ำก็ดีเสียอย่ำงสุดแสน ควำมดีบำงอย่ำงสัตว์เดรัจฉำนไม่มีโอกำสเลยแม้แต่จะ
คิด เช่นกำรทำำลำยกิเลสของตนเอง

อันควำมวิจิตรทั้งหลำยที่กล่ำวมำแล้วก็เพรำะเหตุแห่งกำรเกิดขึ้นมำเป็นสัตว์
นัน่ เอง ถ้ำไม่ใช่สัตว์แล้วก็ไม่มีหนทำงเลย

๓. กำาเนิดวิจิตร ก็เพราะการกระทำาวิจิตร

ปัญหำที่ตั้งกันมำแต่ดึกดำำบรรพ์ก็คือ สัตว์และพืชมำกมำยก่ำยกองที่เรำเห็นกันอยู่
ในโลกนี้นั้น มำจำกไหน? ชีวิตทั้งพืชและสัตว์เริ่มขึ้นจากอะไรก่อน?

ปัญหาเหล่านี้ ในปัจจุบันก็ยังเป็นปัญหาที่ขบไม่แตก เรำอำจเรียนรู้ในเรื่องอื่นที่


ลึกลับได้มำกมำย แต่ในเรื่องของชีวิตไม่มีผู้ใดอธิบำยได้ บรรดำนักวิทยำศำสตร์
ตั้งแต่ในอดีตมำจนถึงปัจจุบันหลำยท่ำนสันนิษฐำนกันไปต่ำงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ว่ำ
แรกเริ่มเดิมทีชีวิต(พืชด้วย) เริ่มต้นจำกสิ่งไม่มีชีวิต ส่วนวิธีเกิดขึ้นมำเริ่มแรก
อย่ำงไร ยังไม่เห็นมีใครอธิบำยได้

ส่วนใหญ่อธิบายเหมือนกันว่า ชีวิตทั้งหลำยประกอบด้วยโปรโตปลำสซึม
( Protoplasm) ซึ่งมีสำรประกอบหลำยอย่ำงเช่น คำร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
เกลือแร่ นำ้ำ เป็นต้น จำกโปรโตปลำสซึมเล็กๆเหล่ำนี้จะค่อยๆ วิวัฒนำกำรมำเป็น
พืชเซลล์เดียว สัตว์ก็สัตว์เซลล์เดียว แล้วจึงค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละน้อยๆ
จำกชีวิตที่ตั้งต้นขึ้นง่ำยๆ ไปสู่ควำมเป็นชีวิตที่ยุ่งยำกซับซ้อน จำกสิ่งที่เล็กๆ ไป
จนถึงสิ่งใหญ่โต และจำกสิ่งที่ไม่รู้อะไรเลยไปจนรู้ได้สำรพัด ซึ่งควำม
เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ อำจใช้เวลำนำนเป็นล้ำนปีทีเดียว
นักวิทยำศำสตร์ทำงชีววิทยำหลำยท่ำน เช่น ชาลส์ ดาร์วนิ เชื่อว่ำ สัตว์ทั้งหลำย
วิวัฒนำกำรขึ้นตำมหลักกำรที่ว่ำ กำรเลือกคัดตำมธรรมชำติ (Natural Selection)
ซึ่งหมำยถึงธรรมชำติของชีวิตก็ย่อมจะต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมทุกชนิดเพื่อยังชีวิตให้
ตนเองรอดหรือปลอดภัย สัตว์ใดที่สู้กับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ก็ล้มตำยไป สัตว์ที่แข็ง
แรงปรำดเปรียวเฉลียวฉลำดก็จะคงรอดอยู่ แล้วถ่ำยทอดลูก หลำน เหลน ต่อๆมำ

ด้วยเหตุนี้ สัตว์ต่ำงๆที่ปรำกฏในเวลำนี้ก็ย่อมจะเป็นสัตว์ที่ได้ต่อสู้มำแล้วอย่ำง
โชกโชน และเป็นสัตว์ที่ธรรมชำติได้เลือกสรรคัดเอำไว้แล้วว่ำ เป็นผู้มีควำม
สำมำรถที่จะอยู่ในโลก หรือปรับตัวเองเข้ำกับสิ่งแวดล้อมอย่ำงเหมำะสม จึงได้
วิวัฒนำกำรขึ้นมำเรื่อยๆ
ถ้ำเสือในป่ำตัวของมันขำวหรือเหลืองเห็นได้ง่ำย เห็นได้แต่ไกลแล้ว เกิดมำไม่ช้ำ
มันก็ตำยหมด เพรำะที่ไหนเลยจะจับสัตว์ต่ำงๆมำกินเป็นอำหำรได้ สัตว์ทั้งหลำย
มองเห็นได้แต่ไกลก็จะพำกันวิ่งหนีไปหมด ดังนั้นเสือก็ยังคงอยู่ และตัวก็จะต้อง
ลาย ต้องเป็นจุดให้เข้ากันกับร่มเงาของป่า จะได้ซ่อนเร้นคอยเหยื่อที่จะมำเป็น
อำหำร

นอกจำกนั้น เสือที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคมเท่ำนั้นจึงจะครองตัวอยู่ในโลกได้ เสือที่


ขำดเขี้ยวเล็บได้ตำยไปเสียนำนแล้ว อย่ำงไรก็ดี สัตว์ที่ไม่มีเขี้ยวเล็บแหลมคมก็ต้อง
มีควำมฉลำดปรำดเปรียวจะได้หลีกอันตรำยไปได้ ธรรมชำติคอยเลือกคัดอยู่ดังนี้
ตลอดเวลำตั้งแต่ดึกดำำบรรพ์มำ

ถ้ำชำลส์ ดำร์วิน ได้ศึกษำพระอภิธรรมเข้ำใจดี ก็คงจะได้แก้ไขตำำรำวิวัฒนำกำร


ของสัตว์ให้เพิ่มขึ้นอีกมำกทีเดียว เพรำะท่ำนผู้นี้ได้แสดงถึงควำมเปลี่ยนแปลงของ
สัตว์แต่ละทอดๆนั้นเป็นไปเพรำะธรรมชำติของสิ่งแวดล้อมบังคับ เอำแต่ฝ่ำยรูป
กำยของสัตว์เท่ำนั้นเอง

แม้ในพระอภิธรรมมิได้แสดงหลักฐำนคัดค้ำนควำมเห็นของท่ำน แต่ถ้ำผู้ใดได้
ศึกษำพระอภิธรรมเข้ำใจดีแล้ว ก็จะพบควำมจริงว่ำ การวิวัฒน์ของสัตว์นั้นยังขาด
ข้อเท็จจริงอันสำาคัญที่สุดไปเสียประการหนึ่งอย่ำงน่ำเสียดำย
สัตว์ที่เกิดขึ้นมำจำำนวนมำก ก็ย่อมจะต่อสู้กันเองอย่ำงเต็มควำมสำมำรถเพื่อหวัง
ให้ชวี ิตของตนดำำรงคงอยู่ เพรำะนำ้ำ พื้นแผ่นดิน หรือดินฟ้ำอำกำศ หรือเพรำะกำร
ขำดแคลนอำหำรย่อมจะทำำให้สัตว์ทั้งหลำยบังเกิดควำมทุกข์ แล้วหำทำงใช้ชีวิต
ของตนอยู่รอดและปลอดภัย จึงกระทำาทุกทางที่จะหลีกหนีจากทุกข์เหล่านัน้
อำานาจแห่งเจตนาหรือควำมปรำรถนำของสัตว์ดังกล่ำวย่อมจะเป็นสาเหตุอัน
สำาคัญที่จะทำาให้รูปกายของสัตว์ต้องเปลี่ยนแปลงไปในกำลข้ำงหน้ำ จนสัตว์เหล่ำ
นัน้ มีรูปกำยที่ผิดออกไปจำกพันธุ์ดั้งเดิมทีละน้อยๆจำกเวลำที่ยำวนำน (แม้ควำม
ทุกข์ที่เกิดกับคนเวลำนี้ก็ทำำให้รูปผิดไปได้เหมือนกัน เช่นหน้ำตำเศร้ำหมองไป
จนถึงควำมป่วยเจ็บทำงกำย)

อำำนำจของควำมปรำรถนำ ซึ่งได้แก่ตัณหำควำมยินดีติดใจในอำรมณ์ต่ำงๆ ที่


สั่งสมประทับเอำไว้ในจิต มิได้สูญหำยไปไหน ตัณหำคือควำมติดใจ หรืออำำนำจ
โทสะคือควำมไม่พอใจเหล่ำนั้น ถ้ามีกำาลังแรงมากขึ้น ก็ย่อมจะก่อให้เกิดผลไป
ตำมกำำลังของควำมปรำรถนำเหล่ำนั้นทีละน้อยๆ
กำรต่อสู้อย่ำงสุดชีวิตตลอดเวลำอันยำวนำน เพื่อหวังให้ตัวเองคงอยู่ในโลกได้โดย
ปลอดภัยก็ย่อมประทับลงไว้ในจิต มิได้ตกหล่นสูญหายไปไหนเลย เช่น ด้วยเหตุว่ำ
อำหำรตำมพื้นดินหำกินฝืดเคืองมำก จึงต้องพยำยำมกระโดดให้สูงๆอยู่เสมอๆ
หลำยๆช่วงของอำยุ อำำนำจแห่งเจตนำหรือควำมปรำรถนำนี้ย่อมก่อให้เกิดผล

คือเมื่อสัตว์นั้นสิ้นชีวิตลง ควำมปรำรถนำอันแรงกล้ำนัน้ ก็จะสนับสนุนให้ผลิต


สร้ำงอวัยวะบำงส่วนช่วยกระโดดขึ้นในชำติต่อไป และต่อไปทีละน้อยๆ เป็นขั้นๆ
ทำงธรรมะเรียกว่ำ กรรมชรูป ซึ่งได้แก่รูปที่ถูกผลิตสร้ำงขึน้ ด้วยอำำนำจกรรม แล้ว
จำกเวลำยำวนำนนับแสนนับล้ำนปี สัตว์เหล่ำนี้ก็จะค่อยๆกลำยเป็นสัตว์ที่มีอวัยวะ
ช่วยในกำรกระโดดจนถึงสำมำรถบินไปได้ในอำกำศ

ในพระอภิธรรมแสดงไว้ละเอียดลออพิสดำรถึงสัตว์ที่ตำยและเกิดว่ำ ทำำไมจึงได้
ตำย ทำำไมจึงได้เกิด เมื่อตำยแล้วไปเกิดได้อย่ำงไร และมีรูปอะไรเกิดขึ้นบ้ำง ด้วย
เหตุผลประกำรใด
เมื่อสัตว์ปฏิสนธินั้น อำำนำจของเจตนำและตัณหำนั้นเป็นกรรมอันหนึ่ง ในขณะที่
สัตว์นั้นกำาลังปฏิสนธิ อำานาจเหล่านีม้ ีอิทธิพลทำาให้รูป ซึ่งได้แก่เซลล์ในท้องของ
สัตว์ที่ปฏิสนธินั้นเปลี่ยนแปลงไปตำมเจตนำ คือกรรม

หรือจะพูดได้ว่ำ อำำนำจของกรรมเสกสรรค์ขึ้น หรือควำมปรำรถนำที่มีกำำลังแรง


เหล่ำนั้นก่อให้รูปเปลี่ยนแปลงไป ดังนัน้ อวัยวะของสัตว์ในเวลำนั้นจึงได้ผันแปร
ไปจำกเดิม รูปเหล่ำนี้พระอภิธรรมเรียกชื่อว่ำ "กรรมชรูป"
เหมือนกับกฎของธรรมชำติอันหนึ่งที่ท่ำนเมนเดลเป็นผู้ตั้งขึ้น คือ กฎแห่งความ
แตกต่าง เพรำะแม้ว่ำจะเป็นกำรสืบสำยโลหิตมำจำกพ่อแม่ ก็ย่อมจะมีสัตว์ที่แตก
ต่ำงไปจำกพ่อแม่บ้ำง ตกลงรูปกำยของสัตว์จึงไม่เป็นไปตำมสำยโลหิตที่ถ่ำยทอด
มำจำกพ่อแม่ทั้งหมด หำกแต่มำจำกอำำนำจเจตนำของตนรวมอยู่ด้วย
ในเรื่องวิวัฒนำกำรของสัตว์นี้ ผมอำจจะเขียนขึ้นมำตำมแนวทำงของสภำวธรรม
สักเล่มหนึ่งถ้ำมีโอกำส หรือมิฉะนัน้ ท่ำนนักศึกษำได้ศึกษำไปมำกขึ้นก็จะมีควำม
เข้ำใจลึกซึ้งขึ้นเอง

ในเรื่องนี้ท่ำนก็จะเห็นได้ว่ำ อำานาจของกรรมหรือการกระทำานัน้ ย่อมจะเป็นตัว


บันดาลให้สัตว์ทั้งหลายกำาเนิดขึ้นมามีความวิจิตรพิสดารขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลำได้
เนิน่ นำนออกไปสัตว์จึงมีรูปกำยต่ำงๆกันออกไปมำกยิ่งขึ้น
๔. การกระทำาวิจิตรก็เพราะตัณหาวิจิตร

ตัณหาคืออะไร? ในทำงโลกคำำว่ำ "ตัณหำ" มักจะเพ่งเล็งไปในทำงเพศ ฉะนั้น ถ้ำ


ใครถูกกล่ำวหำว่ำมีตัณหำมำก หรือมีตัณหำจัดแล้ว ก็ถือว่ำเป็นกำรกล่ำวให้เป็นที่
เสียหำย ถ้ำเป็นสตรีดว้ ยแล้วก็ยิ่งจะเสียหำยหนักขึ้นไปอีก ด้วยเป็นกำรกล่ำวที่
แสดงว่ำมีควำมปรำรถนำในทำงเพศอย่ำงรุนแรง หรือเป็นคนมักมำกในกำมรำคะ

ควำมจริงในพระพุทธศำสนำมิได้มีควำมมุ่งหมำยดังที่ประชำชนส่วนมำกเข้ำใจ คำา
ว่า "ตัณหา" หมายถึงความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆจะเป็นอำรมณ์ที่เกิดขึน้ ทำง
ไหนก็ได้ จะเป็นอำรมณ์ทำงเพศหรือไม่ก็ได้ เช่นเห็นรูปที่ดีก็ติดใจในรูป ได้ยิน
เสียงที่ไพเรำะก็ติดใจในเสียง เป็นต้น
สัตว์ทั้งหลายย่อมมีตัณหาติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น และมีมากเสียด้วย ไม่ยกเว้นว่ำ
จะเป็นท่ำนนักศึกษำ ทั้งพระ ทั้งฆรำวำส รวมทั้งผมด้วย เพรำะเป็นสัญชำตญำณ
อันติดตัวมำตั้งแต่ไหนแต่ไร จะกันมันให้ออกไปก็ไม่สำำเร็จ เพราะเราได้อบรมให้
มันฝังประทับอยู่ในจิตใจอย่างแน่นหนามานับชาติไม่ได้ เพียงแต่กล่อมเกลำมัน
บ้ำง เพื่อให้อยูร่ ่วมกันไปได้ในสังคมเท่ำนั้น

ก็เพรำะตัวตัณหำอันเป็นควำมปรำรถนำของหัวใจที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ไม่รจู้ ัก


จืดจำงนี่เอง จึงได้ก่อให้เกิดกำรกระทำำขึ้น ซึ่งสิ่งต่ำงๆ ตั้งแต่กระทำำในเรื่องดีๆไป
จนถึงเรื่องร้ำยๆ และร้ำยที่สุด จนถึงบำงท่ำนรำำพึงว่ำ ไม่นำ่ จะเป็นไปได้เลยในหมู่
มนุษย์ผู้ซึ่งยกตัวถือว่ำตัวเจริญไปด้วยคุณธรรม ศีลธรรม และวัฒนธรรม
เช่นตัวอย่ำงที่ลงในหนังสือพิมพ์ว่ำ มีสำมีภรรยำใจเหี้ยมโหดคู่หนึ่งหลอกเด็กสำว
ชำวบ้ำนนอกหลำยคนมำกักขังไว้ ถึงเวลำก็พำออกไปขำยบริกำรทำงเพศจนได้เงิน
ทองมำกมำย แต่ให้เด็กเหล่ำนั้นใช้คนละไม่กี่บำทต่อวันเพื่อให้ดำำรงชีวิตอยู่เท่ำนั้น
ทั้งใช้อำำนำจขู่เข็ญ เฆี่ยนตี บีบบังคับให้ทำำงำนกับตน เวลำเดินทำงไปหำลูกค้ำก็เอำ
มีดจ่อหลังอยู่ตลอดเวลำ เสร็จแล้วก็พำเอำตัวมำกักขังไว้ในที่ๆเหมือนทำำไว้ขังสัตว์
เลี้ยงก็ไม่ปำน
อำานาจของตัณหาซึ่งมีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์นี้ จึงชื่อว่าเป็นตัว
สนับสนุนให้การกระทำาวิจิตรขึ้นมา เพื่อขอให้สมควำมปรำรถนำเท่ำนั้น สัตว์ทั้ง
หลำยก็จะทำำอะไรได้สำรพัด แม้กำรฆ่ำคนตำยครำวละมำกๆเช่นระเบิดปรมำณู
หรือจะต้องขำยประเทศทั้งประเทศก็ยอมได้

ถ้ำหำกว่ำตัณหำ คือควำมติดใจในอำรมณ์ต่ำงๆไม่มีเสียแล้ว กำรกระทำำทั้งหลำยก็


จะไม่วิจิตรพิสดำรอะไร ทั้งมิได้ชื่อว่ำเป็นกรรม แต่กลำยเป็นกิริยา ไม่มีผลอีกต่อ
ไป เช่นพระอรหันต์ผู้ซึ่งได้ทำำลำยตัณหำของท่ำนเสียหมดสิ้นแล้วเป็นตัวอย่ำง
๕. ตัณหาวิจิตรก็เพราะสัญญาวิจิตร

สัญญำคืออะไร สัญญาคือตัวการที่เก็บอารมณ์ต่างๆเอาไว้ สัญญำก็ได้แก่กำรที่จิต


เกิดเห็น ได้ยิน หรือคิดในเรื่องอะไรก็ดี กำรเห็น กำรได้ยิน กำรคิดในเรื่องนั้นๆ ได้
ถูกเก็บฝังประทับเอาไว้ในจิตใจไม่ได้สูญหายไปไหน เหมือนกับเรำระลึกถึงเรื่อง
รำวเก่ำๆในสมัยเด็กๆ ขึน้ มำได้ แม้ว่ำจะล่วงเลยเวลำมำแล้วตั้งหลำยสิบปีก็ตำม
ทั้งนี้ก็ย่อมแสดงว่ำ เรำล้วงเอำเรื่องเก่ำๆที่เก็บไว้ในจิตใจออกมำ

การที่ตัณหามีความวิจิตรพิสดาร ก็เพราะความมีสัญญา คือความจำานั่นเอง เช่น จำำ


ได้ว่ำสิ่งนี้ไม่ดีตนไม่ชอบใจ จึงเกิดควำมดิ้นรนที่จะหำมำใหม่ หรือสิ่งนี้ตนชอบใจ
มำก จึงกระเสือกกระสนทำำลงไปด้วยประกำรต่ำงๆ เพื่อหวังจะได้สนองควำม
ต้องกำรหรือสนองตัณหำของตนไใยิ่งๆขึ้นไปอีก
ตัวอย่ำงที่เข้ำใจง่ำยๆ ก็คือ เมื่อคนเห็นเงินเป็นพระเจ้ำเพรำะเงินจะหำอะไรเพื่อ
ตัณหำของตนสมใจก็จะได้โดยง่ำย จึงได้เกิดกำรกระทำำต่ำงๆ ขึน้ เป็นอันมำก และ
สิ่งผลิตเป็นอันมำกเหล่ำนี้จะมีขึ้นมำได้ก็เพรำะได้จำำเอำไว้ในใจว่ำสิ่งนั้นดีมีคน
ชอบ สิ่งนี้ไม่ดีมีคนไม่ชอบ สิ่งนั้นทำำอย่ำงไร จะทำำให้ดีกว่ำเก่ำจะต้องทำำอย่ำงไร
เมื่อทำำแล้วจะได้เงินมำกเท่ำไหน เหล่ำนี้เป็นต้น
ฉะนัน้ ท่ำนก็จะเห็นได้ว่ำ ถ้ำสัญญำคือควำมจำำไม่มีเสียตัวเดียวแล้ว กำรกระทำำทั้ง
หลำยก็จะไม่ประณีตไม่วิจิตร สิ่งผลิตทั้งหลำยอันมีอยู่กลำดเกลื่อนในท้องตลำด
ในเวลำนี้ก็จะไม่บังเกิดขึ้น กำรรบรำฆ่ำกันตำยก็จะไม่มี ควำมพยำบำทมำดร้ำยก็
จะมีไม่ได้เลย เหตุนี้เองจึงได้ชื่อว่าตัรหาวิจิตรเพราะสัญญาวิจิตร คือความจำา
วิจิตร
๖. สัญญาวิจติ รก็เพราะจิตวิจิตร

สัญญำคือควำมจำำดังที่กล่ำวมำแล้ว มีควำมพิสดำรหรือน่ำอัศจรรย์ มันเกิดจำำขึ้นมำ


ได้โดยชาวโลกทั้งหลายหาได้ทราบไม่ว่า มันจำาได้อย่างไร แล้วสิ่งที่จำาเอาไว้นั้นมัน
โผล่ออกมาอย่างไร

เช่นถำมว่ำ ท่ำนทั้งหลำยมีสตำงค์อยู่ในกระเป๋ำหรือเปล่ำ ทุกๆท่ำนคงตอบว่ำมี แต่


ครัน้ ผมถำมต่อไปว่ำ ทำำไมถึงทรำบว่ำมีสตำงค์อยู่ในกระเป๋ำ อะไรมันไปทำาอะไร
กันจึงได้คิดขึ้นมำได้

คำำตอบที่ประกอบด้วยเหตุผลนี้เห็นจะไม่ง่ำยนัก แต่ถ้ำศึกษำพระอภิธรรมให้เข้ำใจ
ดี คำำตอบต่อคำำถำมนี้ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่ำนั้น ด้วยเหตุที่สัญญาคือความจำานี้เกิด
อยู่ในจิต ดังนัน้ จึงได้ชื่อว่า สัญญาวิจิตรขึ้นมาได้เพราะว่ามีจิตใจนั่นเอง
ถ้าจิตใจมิได้มีเสียแล้ว สัญญาคือความจำาก็จะไม่บังเกิดขึ้น และเมื่อมีจิตใจวิจิตร
แล้วจึงก่อให้สัตว์ทั้งหลายผู้ซึ่งมีจติ ใจครองวิจิตรไปด้วย แล้วก็วนกลับไปข้อหนึ่ง
ใหม่ ขอให้ทำ่ นนักศึกษำจงได้พิจำรณำดูตำมที่ผมอธิบำยไปแล้ว

ในวันนี้ผมก็ได้อธิบำยเรื่องของจิตมำก็หลำยเรื่องหลำยรำว เป็นเวลำพอสมควร
แล้ว ผมขอให้ท่ำนที่มีควำมข้องใจสงสัยในเรื่องที่ผมอธิบำยไปแล้วซักถำมได้ทุก
อย่ำง

ถาม แต่เดิมมำ ผมคิดว่ำกำรศึกษำพระอภิธรรมก็คงจะเป็นกำรศึกษำศีลธรรม คงจะ


มำนั่งสัปหงกเสียมำกกว่ำ เมื่อมีเวลำว่ำงผมจึงได้มำลองฟังดูอย่ำงนั้นเอง แต่ครัน้
ได้ฟังมำตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จึงเกิดควำมรู้ขึ้นมำใหม่ว่ำ พระอภิธรรมนั้นไม่ใช่บท
เรียนศีลธรรมแต่เป็นกำรสอนถึงธรรมชำติชีวิต แต่ไม่ทราบว่า เมื่อศึกษาไปแล้วได้
ประโยชน์จริงๆอย่างไรบ้าง
ถาม แต่เดิมมำ ผมคิดว่ำกำรศึกษำพระอภิธรรมก็คงจะเป็นกำรศึกษำศีลธรรม คงจะ
มำนั่งสัปหงกเสียมำกกว่ำ เมื่อมีเวลำว่ำงผมจึงได้มำลองฟังดูอย่ำงนั้นเอง แต่ครัน้
ได้ฟังมำตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จึงเกิดควำมรู้ขึ้นมำใหม่ว่ำ พระอภิธรรมนั้นไม่ใช่บท
เรียนศีลธรรมแต่เป็นกำรสอนถึงธรรมชำติชีวิต แต่ไม่ทราบว่า เมื่อศึกษาไปแล้วได้
ประโยชน์จริงๆอย่างไรบ้าง

ตอบ ก่อนทีผ่ มจะได้เข้ำมำในห้องเรียน มีท่ำนนักศึกษำที่เข้ำมำใหม่ได้ตั้งข้อสงสัย


บำงประกำรคล้ำยๆกันนี้ ผมเห็นเป็นกำรสมควรที่จะได้แก้ข้อข้องใจนั้นเสีย ผม
เชื่อว่ำบรรดำท่ำนนักศึกษำที่นั่งอยู่ในห้องนี้อำจจะมีควำมสงสัยในเรื่องที่ท่ำนผู้
ถำมได้ถำมแล้วหลำยท่ำนก็ได้

ท่ำนผู้ที่มิได้เคยศึกษำพระอภิธรรมมำแต่ก่อน จึงได้คิดว่ำ กำรมำศึกษำพระ


อภิธรรมก็คงมำฟังเรื่องที่เกี่ยวแก่ศีลธรรม เพื่อให้คนอยู่รวมกันได้ด้วยควำม
เรียบร้อยเป็นปกติสุข โดยมีเมตตำ กรุณำ ไม่เบียดเบียนกันซึ่งกันและกัน อย่ำงมำก
ก็ฝึกวิธีทำำสมำธิให้จิตบังเกิดควำมสงบเท่ำนั้นเอง คงจะเป็นเหตุทำำให้บังเกิดควำม
เบื่อหน่ำยและง่วงเหงำหำวนอนเป็นแน่

แต่บัดนี้ได้ศึกษำไปสองครั้งแล้ว ก็มีควำมเห็นตรงกันข้ำมกับที่เคยเข้ำใจมำแต่เดิม
แต่กลับสงสัยต่อไปอีกว่ำ เมื่อศึกษำต่อไปจนเข้ำใจเรื่องของชีวิตจิตใจแล้ว ก็ยัง
มองไม่เห็นว่ำ จะได้ประโยชน์มำกจริงๆอย่ำงไร
สำำหรับในข้อนี้ ผมได้กล่ำวไปบ้ำงแล้วว่ำ ผู้ศึกษำจะต้องมีสติปัญญำ มีควำมเห็น
ในเรื่องของชีวิตที่ถูกต้อง จะก่อให้เกิดความสงบ ความสุข ความเยือกเย็นใจ และ
จะแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตได้ ตลอดไปจนได้เห็นหนทำงที่จะพ้นไปจำกทุกข์โดยเด็ด
ขำด

ประโยชน์ที่จะได้จากการศึกษาพระอภิธรรมนัน้ มากหลายอย่างยิ่งนัก ขอให้ท่ำน


ได้ศึกษำดูสักพักหนึ่ง ก็จะรู้สึกได้ว่ำ จิตใจมีควำมสงบ มีควำมเยือกเย็นใจอย่ำงไร
ควำมกระทบกระเทือนอำรมณ์ที่ไม่ชอบใจ หรือควำมเศร้ำหมองทุกข์ร้อน ซึ่งเรำ
มักจะได้ประสบอยู่ทุกๆวัน วันละมิใช่น้อยนั้นจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน

ฉะนัน้ ในชีวิตประจำำวันที่มักจะพัวพันกับเหตุกำรณ์ที่ไม่พึงปรำรถนำ จนก่อให้


เกิดควำมเร่ำร้อนจึงลดลง ทั้งนี้ก็เพรำะว่ำ เมื่อยังไม่เคยได้ศึกษำนั้น เรำรับเอำไว้
เต็มที่ เมื่อมีอำรมณ์อะไรเข้ำมำเรำก็รับเอำไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ครั้นมำศึกษำเรื่องชีวิตมีควำมเข้ำใจมำกขึ้นแล้ว อำรมณ์ที่มำกระทบก็มีกำำลังเท่ำ
เดิมนั่นแหละ แต่กำรรับกระทบนั้นไม่ยอมรับทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ดังแต่ ก่อน
รับเพียงหกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบเปอร์เซ็นต์เท่ำนั้น ความกระทบกระเทือนจึงได้ลด
ลงมาก ทำาให้มคี วามสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน อำรมณ์ที่เคยคิดมำกกลัดกลุ้ม
กระวนกระวำยนอนไม่หลับก็มีน้อยกว่ำแต่ก่อน
ตัวอย่ำงเช่น นำย ก. อยู่ในครอบครัวที่มีเสียงอันรบกวนต่อโสตประสำท เป็นเสียง
บ่นเสียงว่ำกล่ำวซึ่งเป็นอัปมงคลอยู่มิได้เว้นวัน และบำงวันก็หลำยครั้งหลำยหน
นำย ก. ก็จะทุกข์ก็จะเดือดร้อนใจ บำงครำวกลัดกลุ้มจนถึงขนำดดูตำำรับตำำรำไม่
ไหว นอนหลับก็ไม่สนิท บำงทีถึงกับต้องหนีออกจำกบ้ำนไป ในเรื่องนี้พยำยำม
ปัดเป่ำอย่ำงไรก็ไม่ได้ผล เพรำะผู้ก่อกวนนั้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จะหนีไปเสียก็ไม่ได้
เหตุกำรณ์เช่นนี้อำจเป็นอยู่หลำยปี

ถ้ำ นำย ก. ได้ศึกษำพระอภิธรรมมำเข้ำใจดี ก็จะอดทนต่อเสียงบ่นเสียงด่ำว่ำกล่ำว


หรือแม้เสียงอื่นๆได้ดีกว่ำ กระทบกระเทือนใจน้อยกว่ำ ควำมเดือดร้อน ควำม
กลัดกลุ้มใจก็ไม่มำกเท่ำเดิม ทัง้ นี้ก็เพราะรูว้ ิธีจะแก้ไข และผู้ศึกษาย่อมได้เหตุผล
ว่า ทีต่ นได้รับความกระทบกระเทือนใจนั้นมาจากกรรมในอดีตที่ตนได้ทำาเอาไว้
อย่างไรรวมอยู่ด้วยมิใช่น้อย ทั้งนี้มิใช่เป็นกำรคิดคะเนเอำ
คนที่เชื่อเรื่องกำรทำำดีได้ดี ทำำชั่วได้ชั่ว ผลของกรรมดีหรือไม่ดีย่อมจะมำให้ผลได้
ดังนั้นจึงคิดว่ำ ที่ตนได้รับควำมสุขหรือทุกข์อยู่อย่ำงนี้ เป็นผลกรรมที่ตนได้ทำำมำ
แล้วแต่อดีตตำมมำให้ผล ดังนัน้ จึงได้ยนิ คนเป็นอันมำกพำกันพูดว่ำ "กรรมของ
เราเอง"

อย่ำงไรก็ดี ควำมคิดที่ว่ำ "เป็นกรรมของเราเอง" นี้ ก็นับว่ำมีผลบ้ำงเหมือนกัน


เพรำะช่วยให้ควำมทุกข์ควำมเร่ำร้อนลดลงไปบ้ำง แต่ก็คงจะได้เล็กน้อยเหลือเกิน
ด้วยเป็นการคิดนึกเอาเอง ซึ่งอำจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ ไม่เหมือนกับผู้ที่ได้
ศึกษำพระอภิธรรมมำเข้ำใจดี ย่อมจะมีควำมหนักแน่นในเรื่องกรรม รู้ได้อย่ำง
แน่นอนทีเดียวว่ำ กรรมนั้นสำมำรถมำให้ผลได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ กำรกระทบอำรมณ์
จึงไม่มำก ดังนั้น ความร้อนอกร้อนใจจึงได้น้อยลง แล้วความสุขความเยือกเย็นใจ
จึงได้มากขึ้น
บำงคนเกิดควำมทุกข์ขึ้นมำด้วยควำมเป็นห่วงในฐำนะควำมเป็นอยู่ของตน เพรำะ
มีเงินเดือนน้อยแต่มีบุตรชำยหญิงที่จะต้องเลี้ยงดูรับผิดชอบหลำยคน บุตรเหล่ำนั้น
ยังไม่เติบโตพอที่จะช่วยตนเองได้ จึงคิดเห็นห่วงกังวลอยู่ทุกๆวัน ในเวลำกลำงคืน
ควรจะได้พักผ่อนหลับนอนให้เต็มที่ ก็นอนไม่ค่อยหลับ และหลับๆ ตืน่ ๆ มีควำม
สะดุ้งใจหวัน่ ไหวอยู่เนืองนิจ ด้วยห่วงว่ำเมื่อยำกจนขัดสน ที่ไหนจะมีเงินทองส่ง
เสียลูกให้ได้เล่ำเรียนมีควำมรู้สูงๆได้ ต่อไปลูกๆคงจะพำกันอดอยำกเดือดร้อน
บำงทีก็จะไปเป็นทำสของคนอื่น หรือไปทำำทุจริตจนติดคุกติดตำรำง

ความครุ่นคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำา เพราะมีเหตุการณ์ที่ไม่สู้ดีเฉพาะหน้ามาก
ระทบอยู่ตลอดเวลาจนเป็นเหตุให้สุขภำพทรุดโทรม ต้องเจ็บป่วยออดแอดก็เพรำะ
ควำมกังวลใจที่อดคิดไม่ได้ ต้องไปโรงพยำบำลประสำทก็หลำยครั้งแต่ก็ไม่หำย
จึงเสมือนหนึ่งตกนรกทำงใจภำยในเมืองมนุษย์ท่ำมกลำงวัตดุ ซึ่งได้แก่ตึกรำมบ้ำน
ช่องระฟ้ำสูงตระหง่ำนท่ำมกลำงสิ่งบำำเรอควำมสุขควำมสะดวกสบำย อันได้มำ
จำกฝีมือของนักวิทยำศำตร์และวิศวอุตสำหกร และท่ำมกลำงวัดวำอำรำมที่
สวยงำมตระกำรตำ รวมทั้งพระสงฆ์องค์เจ้ำมำกมำย

แต่บัดนี้เหตุกำรณ์ที่ก่อควำมเร่ำร้อนเหล่ำนั้นก็ยังมิได้ลดน้อยลงไปกว่ำเดิม รำยได้
ไม่ค่อยจะสมดุลก็ยังคงอยู่อย่ำงเก่ำ แต่ควำมทุกข์ควำมเดือดร้อนกลับน้อยลงไป
มำก ควำมครุ่นคิดกังวลจนนอนไม่หลับก็ไม่ค่อยมี ทัง้ นี้ก็เพราะได้ศึกษาเรื่องของ
ชีวิตจากพระอภิธรรมปิฎกจนพอจะเข้าใจอยู่บ้าง จึงได้จัดระบบชีวิตเสียใหม่
ควำมดิ้นรนทะยำนอยำกอันรุนแรงที่แล้วมำ ปรำกฏว่ำได้ลดลงไปโดยอัตโนมัติไป
ตำมควำมเข้ำใจที่เพิ่มขึ้น เฉพำะอย่ำงยิ่งมำศึกษำได้เหตุผลข้อเท็จจริงในเรื่องของ
กรรม รูแ้ น่นอนว่ำกรรมดีกรรมชั่วนั้นมำให้ผลได้อย่ำงแน่นอน

ดังนั้นจึงทำำดีที่สุดเท่ำที่จะทำำได้ เลี้ยงดูบุตรภรรยำเท่ำที่มีกำำลังควำมสำมำรถ เมื่อ


จะทำำอะไรก็ตั้งใจทำำอย่ำงจริงจัง แต่ขณะเดียวกันต้องคำำนึงถึงผลที่จะได้ให้น้อยลง
ไป เพราะไม่มีใครดลบันดาลได้ ไม่มีใครทำาอะไรได้ผลไปตามใจตัวทุกอย่าง ไม่มี
ใครหนีกรรมได้พ้นไปจริงๆ แม้บุตรทุกคนต่างก็มีกรรมที่เขาได้ทำาเอาไว้มาให้ผล
เขำจึงต้องมำเกิดในที่ลำำบำก เลือกเกิดเองไม่ได้ ถ้ำในอนำคนกรรมของเขำดีแล้ว
เขำก็จะมีควำมเป็นอยู่หรือเป็นไปดียิ่งกว่ำบิดำมำรดำหลำยเท่ำก็ได้ ตัวอย่ำงก็มีอยู่
ดำษอื่น

เมื่อได้ศึกษำเล่ำเรียนเข้ำใจในเหตุผลของชีวิตมำกขึ้น จิตใจก็เยือกเย็นสุขุมมำกขึ้น
กำรประกอบภำรกิจก็บังเกิดผลเป็นเงำตำมตัว ควำมกระทบกระทั่งกับเพื่อนร่วม
งำนก็เบำบำง มีผู้ที่มำรับสำรภำพกับผมในเรื่องที่คล้ำยๆกันนี้กับผมหลำยท่ำน แล้ว
ก็กล่ำวว่ำดีกว่ำสอนศีลธรรมตั้งพันเท่ำ เพรำะสอนศีลธรรมไปแล้วไม่ประกอบ
ด้วยเหตุผล คนไม่ค่อยทำำตำม แต่กำรเรียนเรื่องชีวิตจริงๆ เช่นนี้มันจะค่อยๆ ทำำ
ของมันไปเองทีละน้อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
ตัวอย่ำงในกำรสอนศีลธรรม เช่นสอนว่ำ อย่ำฆ่ำสัตว์จะเป็นบำป เพรำะสัตว์นั้นก็มี
ชีวิต มีควำมเจ็บปวดและกลัวควำมตำยเช่นเดียวกับเรำเหมือนกัน ถ้ำเรำไปทำำเข้ำก็
จะทำำให้จิตเศร้ำหมอง เพรำะทำำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

ในพระอภิธรรมสอนว่ำ ในขณะฆ่ำสัตว์นั้นจิตทำำงำนกันอย่ำงไร มีเหตุอะไรเข้ำ


ประกอบเท่ำไร บำปและบุญนั้นเก็บเอำไว้ที่ไหน ผลของบำปบุญที่แสดงออกมำ
ในชำตินี้ชำติหน้ำนั้นจริงหรือไม่ เพรำะเหตุใด เหล่ำนี้เป็นต้น ผู้ศึกษำจะค่อยๆ
เข้ำใจได้ข้อเท็จจริงไปทีละน้อยๆ จนมีควำมมั่นใจ ดังนัน้ เมื่อเวลำเกิดทุกข์ร้อน
ขึ้นมำจึงไม่พรำ่ำพูดแต่วำ่ "กรรมของเราเองๆ" โดยมิได้มีเข้ำใจ โดยมิได้มีควำม
มั่นใจ
ถาม กำรที่เรำเข้ำใจว่ำจิตใจนั้นย่อมไปเกิดในชำติหน้ำตำมผลบุญและบำปที่ได้
กระทำำก็นับว่ำเป็นผลดีแล้ว เหตุใดในอภิธรรมจึงได้พยายามที่จะสอนให้เรากลับ
ความคิดเสียใหม่ว่า จิตนั้นเกิดดับได้ ผมเห็นอำจำรย์พูดแล้วพูดอีก คงจะมีควำม
สำำคัญอะไรเป็นแน่?

ตอบ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภำคเจ้ำประทับอยู่ที่อำรำมเชตวันของท่ำนอนำถบิณฑิก
เศรษฐีใกล้นครสำวัตถี ครั้งนั้นพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่ำ สำติ เป็นบุตรของชำว
ประมง มีควำมเห็นเป็นบำปขึ้นมำอย่ำงนี้ว่ำ

ธรรมที่พระผู้มีพระภำคเจ้ำทรงแสดง เรารู้เป็นอย่างดีว่า "วิญญำณอันนี้แหละที่


แล่นไปสู่ชำตินั้นชำตินี้ เที่ยวเวียนว่ำยตำยเกิด ไม่มีวิญญำณอื่นนอกจำกนี้" ฯลฯ

พระผู้มีพระภำคเจ้ำถำมว่ำ วิญญาณเป็นไฉน?สาติ วิญญำณที่เธอกล่ำวถึงนี้มี


ลักษณะอย่ำงไร ท่ำนสำติ?
"ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ สภาพอันใดเล่า เป็นผู้รู้สึก เป็นผู้เสวยวิบากของกุศลและ
อกุศลในภพนั้นๆ วิญญำณที่พระองค์กล่ำวถึงนัน้ หมำยถึงสภำพอันนี้แหละ
พระเจ้ำข้ำ"

"โมฆบุรุษ นีน่ ่ะหรือ เธออ้ำงว่ำรู้ธรรมที่เรำแสดงแล้วอย่ำงถูกต้อง ใครบอกเธอ


เช่นนั้น เรำเคยบอกกล่ำวมำแล้วหลำยต่อหลำยครั้ง โดยวิธีต่ำงๆมิใช่หรือว่ำ
วิญญาณอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น เว้นจำกปัจจัยเสียแล้วควำมเกิดของวิญญำณย่อม
ไม่มี แต่เธอโมฆบุรุษกลับมากล่าวตู่เราด้วยความเห็นที่ตัวเองถือไว้ผิด เธอกำำลังขุด
ตัวเอง (ขุดหลุมฝังตัวเอง) เธอจะประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมำก และข้อนัน้ จะ
เป็นไปเพื่อควำมไม่เป็นประโยชน์ เป็นเพื่อควำมทุกข์แก่เธอสิ้นกำลนำนทีเดียว"
ครัน้ แล้วพระผู้มีพระภำคเจ้ำจึงได้หันมำตรัสกับภิกษุทั้งหลำยว่ำ ภิกษุทั้งหลำย
เรื่องนี้เธอเข้ำใจว่ำอย่ำงไร? สำติภิกษุบุตรชำวประมงผูน้ ี้ ยังจะพอแก้ไขให้มคี วำม
อบอุ่นในพระธรรมวินัยบ้ำงหรือไม่ (คือแก้ไขให้มญ ี ำณทัสสนะที่ถูกต้อง อันจะ
เป็นเหตุให้เกิดควำมอบอุ่นใจอยู่ในพระศำสนำ)

"จะพึงมีได้อย่ำงไร ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่มีเลยทีเดียว พระพุทธเจ้ำข้ำ" เมื่อภิกษุ


ทั้งหลำยกรำบทูลเช่นนั้น สำติภิกษุ บุตรของชำวประมงก็เลยนิ่งเงียบ รู้สึกอำยมำก
นั่งคอตก ก้มหน้ำเศร้ำ พูดอะไรไม่ออก

ลำำดับนั้น พระผู้มีพระภำคเจ้ำจึงตรัสกับสำติภิกษุผนู้ ั่งหน้ำเศร้ำพูดอะไรไม่ออกว่ำ


"ครำวนี้เธอจักรู้แน่ชัดละ โมฆบุรษุ เรำจะสอบถำมภิกษุทั้งหลำยในบัดนี้ตำมควำม
เห็นอันเป็นบำปของเธอเอง" ครัน้ พระผู้มีพระภำคได้ตรัสกับพระภิกษุทั้งหลำยว่ำ

"ภิกษุทั้งหลำย แม้พวกเธอก็มีควำมเข้ำใจในธรรมที่เรำแสดงแล้ว เหมือนกับสำติ


ภิกษุผู้กล่ำวตู่เรำด้วยควำมเห็นอันตนเองถือไว้ผิด ผูก้ ำำลังขุดตนเอง ผู้ซึ่งประสบสิ่ง
ที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมำกเหมือนกันหรือ?"

"หำมิได้เลย พระพุทธเจ้ำข้ำ ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ได้แสดงธรรมให้ข้ำ


พระองค์ฟังมำโดยวิธีต่ำงๆ ว่ำ วิญญำณเกิดขึ้นเพรำะอำศัยปัจจัย เว้นจำกปัจจัยเสีย
แล้วกำรเกิดของวิญญำญย่อมมีไม่ได้"
" ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอเข้ำใจธรรมที่เรำแสดงถูกต้องแล้ว เพรำะว่ำเรำได้
แสดงมำแล้วหลำยต่อหลำยครั้งโดยวิธีต่ำงๆว่ำ วิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย
เว้นจากปัจจัยแล้ว การเกิดของวิญญาณย่อมมีไม่ได้ สำติภิกษุบุตรชำวประมงผูน้ ี้
ถือตัวผิดไปเอง แล้วกลับมำกล่ำวตู่เรำเข้ำด้วย สำติกำำลังขุดตน และจะประสบสิ่งที่
มิใช่บุญเป็นอันมำก ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อควำมไม่เป็นประโยชน์ เพื่อควำมทุกข์
สิ้นกำลนำนทีเดียว

ภิกษุทั้งหลำย วิญญำณเกิดขึ้นเพรำะอำศัยเหตุปัจจัยอะไร ก็มีชื่อเรียกตำมปัจจัย


นัน้ ๆ วิญญำณที่เกิดขึ้นเพรำะอำศัยจักษุกับรูป ก็มีชื่อเรียกว่ำ จักขุวิญญำณ ฯลฯ
วิญญำณเกิดขึ้นเพรำะอำศัยมโนกับธรรมำรมณ์ ก็มีชื่อ มโนวิญำณ
ภิกษุทั้งหลำย เปรียบเหมือนไฟที่โพลงขึ้นเพรำะอำศัยเชื้อไฟอันใด ก็มีชื่อตำมเชื้อ
ไฟอันนัน้ ๆ เช่น

ไฟที่โพลงขึ้นมำเพรำะไม้ ก็เรียกว่ำ ไฟไม้


ไฟที่โพลงขึ้นมำเพรำะสะเก็ดไม้ ก็เรียกว่ำ ไฟสะเก็ดไม้
ไฟที่โพลงขึ้นมำเพรำะหญ้า ก็เรียกว่ำ ไฟหญ้า
ไฟที่โพลงขึ้นมำเพรำะมูลโค ก็เรียกว่ำ ไฟมูลโค
ไฟที่โพลงขึ้นมำเพรำะแกลบ ก็เรียกว่ำ ไฟแกลบ
ไฟที่โพลงขึ้นมำเพรำะขยะ ก็เรียกว่ำ ไฟขยะ

ฉันใด วิญญำณก็เหมือนกันฉันนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลำย วิญญำณเกิดขึ้นเพรำะอำศัย


ปัจจัยอะไรก็มีชื่อตำมปัจจัยนั้นๆ ( ม.มู ๑๒/๔๗๒)
ตำมที่ผมได้ยกพุทธภำษิตนี้ขึ้นมำแสดงแล้ว ท่ำนนักศึกษำก็จะเห็นได้ว่ำ พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติเตียนพระสาติมากเพียงใด ในความเข้าใจผิดซึ่งคนโดยมาก
คิดว่า "เพียงเท่านั้น" วิญญำณไม่ได้อำศัยปัจจัยเกิดขึ้น วิญญำณล่องลอยไปเกิดได้
คนโดยมากมักจะคิดว่าความเข้าใจผิดก็นิดนึงเท่านั้น ไม่ควรที่พระสัมมำสัมพุทธ
เจ้ำจะติเตียนพระสำติเป็นกำรใหญ่ ดูไม่เหมำะสมเลย

ถ้ำจะพูดกันเพียงแค่เกิดแค่ตำย ไม่ล่วงลำ้ำเข้ำไปถึงกำรปฏิบัติวิปัสสนำ อันเป็นทำง


สำยเอกสำยเดียวที่จะทำำให้สะอำดหมดจดจำกกิเลสแล้ว ก็ยังไม่สู้กระไรนัก แต่ถ้า
ก้าวเข้าไปถึงการปฏิบัติวิปัสสนาแล้วก็นับว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง อย่ำงไร
ก็ดี ควำมเห็นผิดยังคงมี ก็ย่อมจะเป็นผลเสียหำยทั้งมิใช่ในชำตินี้เท่ำนั้น หำกแต่จะ
เป็นชำติต่อๆ ไปด้วย

กำรทำำให้จิตสะอำดหมดจดจำกกองกิเลสนั้นก็คือ กำรปฏิบัติวิปัสสนำกรรมฐำน
แต่ผลจะเกิดขึ้นสมบูรณ์นั้นก็จะต้องผ่ำนญำณต่ำงๆเป็นลำำดับ แล้วก็จะต้องเห็น
ขันธ์ ๕ รูปนำมตำมควำมเป็นจริง คือ อนิจจังได้แก่ควำมไม่เที่ยง ทุกขังได้แก่ควำม
ทุกข์ และอนัตตำได้แก่ควำมไม่ใช่ตัวตน คน สัตว์ และจะบังคับบัญชำก็ไม่ได้
ถ้ำจิตใจของผู้ใดไม่ได้รับกำรศึกษำ ไม่ได้อบรมให้เข้ำใจในเหตุผลตำมสภำวธรรม
หำกมีควำมเชื่ออย่ำงมั่นคงว่ำจิตนั้นเป็นอมตะ เป็นสิ่งกำยสิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้ำดล
บันดำลขึ้นมำ หรือเข้ำใจว่ำเมื่อเวลำคนหรือสัตว์ตำยลง จิตใจหรือวิญญำณก็ล่อง
ลอย หรือแล่นไปตำมบุญบำปที่ทำำเอำไว้
เพราะความเชื่อมัน่ ดังกล่าวนี้ยังมีแนบแน่นอยู่กับจิตใจแล้ว ก็ย่อมจะขวางกั้น
หนทางปฏิบัติเสียสิ้น เมื่อควำมเชื่อมีแน่นอนอยู่ในใจว่ำ วิญญำณมิได้เป็นปัจจัย
ทำำให้เกิดขึ้น วิญญำณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นของกำยสิทธิ์เกิดขึ้นมำได้เองโดย
ไม่มีเกิดดับเช่นนี้ อนิจจำ ทุกขำ อนตฺตา ก็ย่อมจะไม่มีหวังโผล่ขึ้นมาให้เห็น ด้วย
เหตุผลดังนี้ ควำมเห็นผิดดังกล่ำวมำแล้วจึงนับอยู่ในพวกที่เป็นภัยใหญ่หลวง เป็น
เพรำะกำรปิดกั้นหนทำงอันประเสริฐ คือทำงที่จะไปสู่มรรคผลนิพพำน

ผมเคยเห็นผู้เข้ำปฏิบัติหลำยท่ำนเมื่อเวลำเข้ำปฏิบัติก็มิได้ศึกษำเหตุผลให้เข้ำใจยัง
ไม่รู้จักด้วยซำ้ำว่ำรูปนำมนั้นเกิดดับได้ อำจำรย์สั่งให้ทำำก็ทำำตำมคำำสั่ง ไม่ช้ำไม่นำน
ก็บอกโดยตรงหรือโดยปริยำยว่ำ ได้มรรคผลนิพพำนแล้ว ได้เป็นพระโสดำบัน
แล้ว ไม่ต้องไปอบำยภูมิแล้ว ในเรื่องนี้ก็นับว่ำเป็นควำมเสียหำยมิใช่เล็กน้อย
เหมือนกัน
ในวันนี้ผมก็ได้บรรยำยและก็ตอบปัญหำเกินเวลำไปแล้ว คำำถำมทีผ่ มยังตอบไม่หมดจะขอเลื่อนไป
ตอบในสัปดำห์หน้ำ คือ

๑. พระพุทธศำสนำสอนแต่เรื่องทุกข์จริงหรือ? ถ้ำจริงเช่นนั้นก็เท่ำกับสอนให้คนทุกข์หนักยิ่งขึ้น
โดยจะทำำให้งอมืองอเท้ำคอยอำศัยแต่กรรมดีที่ได้ทำำไว้ในชำติก่อนไม่คิดต่อสู้ แล้วยอมจำำนนเสีย
ง่ำยๆ

๒. ที่ว่ำจิตใจเป็นใหญ่เป็นประธำน เพรำะบำงคนก็ว่ำรูปเป็นใหญ่ แม้พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำก็ยัง


เสวยพระกระยำหำรซึ่งเป็นรูปก่อนตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้จะว่ำจิตเป็นใหญ่ได้อย่ำงไร?

๓. เด็กอยู่ในท้องรับกรรมหรือเปล่ำ ถ้ำรับได้รับอย่ำงไร?

คำำบรรยำยพระอภิธรรมมัตถสังคหะปริจเฉทที่ ๑ (ครั้งที่ ๔)
ณ พุทธสมำคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมรำชูปถัมภ์
วันที่ ๒๔ มกรำคม พ.ศ.๒๕๐๘ เวลำ ๑๑.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.

ในกำรศึกษำพระอภิธรรมนั้น ผมได้กล่ำวมำแล้วว่ำ เราไม่อาจจะเริ่มต้นศึกษาจาก


พระอภิธรรม ๗ คัมภีรไ์ ด้โดยตรงทีเดียว เพราะเป็นการยากที่จะเริ่มต้นด้วยการ
ศึกษาธรรมสังคิณี ซึ่งเป็นคัมภีร์แรกในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ด้วยพื้นฐานธรรมะ
ของปุถุชนในยุคปัจจุบันนี้มีอยู่น้อย หรือแทบจะไม่มีเหลืออยู่เลยเอาทีเดียว จึงจำำ
ต้องศึกษำจำกอภิธรรมย่อของท่ำนพระอนุรุทธำจำรย์ ที่เรียกว่ำ "พระอภิธรรมัตถ
สังคหะ"

ซึ่งท่ำนได้รวบรวมไว้โดยลำำดับ ง่ำยแก่กำรศึกษำ โดยแบ่งออกเป็นหมวดเป็นตอน


เรียกว่ำ "ปริจเฉท" มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๙ ปริจเฉท เริ่มตั้งแต่เรื่องจิต เป็นปริจเฉท
ที่ ๑ ไปจนถึงเรื่องกำรปฏิบัติสมถะและวิปัสสนำกรรมฐำนเป็นปริจเฉทที่ ๙

ในกำรบรรยำยนี้ก็อำศัยตำมแนวอย่ำงพระอภิธรรมัตถสังคหะ ซึ่งเริ่มต้นจำกจิต
ปรมัตถ์ เป็นต้นไป ดังที่เคยได้ศึกษำกันแล้วในครำวก่อนให้ทรำบถึงสภำวะของ
จิตก่อนว่ำ เป็นธรรมชำติที่รู้อำรมณ์ ทำำหน้ำที่เป็นประธำนธรรมทั้งปวง มีกำรเห็น
กำรได้ยินเป็นต้น เป็นอำกำรปรำกฏ และอำศัยนำมรูปเป็นเหตุใกล้ให้จิตเกิด

นอกจำกนั้นยังได้ศึกษำถึงควำมเป็นไปของจิตว่ำ จิตนั้นมีการเกิดดับสืบต่อกัน
พร้อมกับเก็บสั่งสมอารมณ์ ทุกครั้งที่จิตเสพอำรมณ์ ไม่วำ่ อำรมณ์นั้นจะปรำกฏแก่
จิตมำกหรือน้อย ดีหรือเลว และไม่ว่ำจิตจะเสพอำรมณ์นั้นทำงตำ หู จมูก ลิ้น กำย
หรือใจก็ตำม ย่อมเก็บอำรมณ์ไว้ทั้งหมดทุกทำง
นอกจำกนั้นยังได้รู้ว่ำ ควำมผูกพันระหว่ำงจิตกับอำรมณ์ที่แน่นอน อีกอย่ำงหนึ่งก็
คือ มีจิตที่ไหนจะต้องมีอำรมณ์ที่นั่น จิตจะปรำศจำกอำรมณ์ไม่ได้เป็นอันขำด จะ
ต้องรับอำรมณ์รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเรื่องรำวต่ำงๆ ทำงตำ หู จมูก ลิ้น กำย และ
ใจ สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เสมอ

มิใช่เฉพำะแต่เวลำตืน่ เท่ำนั้นที่จิตจะรับอำรมณ์ได้ แม้ว่ำนอนหลับ จิตก็จะต้องรับ


อำรมณ์ทำงใจ เป็นอำรมณ์อดีตที่สืบต่อมำตั้งแต่ปฏิสนธิ ด้วยเหตุนี้ จึงว่ำจิตจะ
ปรำศจำกเสียซึ่งอำรมณ์ไม่ได้ ยิ่งกว่ำนั้นยังได้ศึกษำกันถึงเรื่องควำมวิจิตรพิสดำร
ต่ำงๆของจิตอีกด้วย

โดยที่จิตมีควำมสำมำรถในกำรรู้อำรมณ์ได้ต่ำงๆ และรู้อำรมณ์อยู่เสมอนี้ ควำม


สำมำรถในกำรรู้อำรมณ์นั้นย่อมจะเป็นไปอย่ำงกว้ำงขวำง คือ ย่อมจะต้องมีทั้งกำร
รู้อำรมณ์อย่ำงหยำบๆ หรืออำรมณ์อันตำ่ำ รู้อำรมณ์อันประเสริฐหรืออำรมณ์ชั้น
กลำง และย่อมจะรู้อำรมณ์อันประเสริฐยิ่งหรืออำรมณ์ชั้นประณีต จึงเป็นกำรรับรู้
อำรมณ์ที่ต่ำงระดับกัน
จิต เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ แต่เมื่อว่ำโดยกำรรู้อำรมณ์ของจิตแล้วย่อมมีกำรรู้ได้
หลำยประเภท ซึ่งพระอนุรุทธาจารย์ได้จำาแนกการรู้อารมณ์ของจิตในรูปต่างๆ อัน
หมายไปถึงที่ๆ สัตว์ทั้งหลายเกิดอยู่เป็น ๔ ประเภทด้วยกัน ตามความสามารถที่จิต
จะรับรู้อารมณ์ได้ คือ รู้ในเรื่องของกำม คืออำรมณ์กำม ๑ รูใ้ นเรื่องของรูปฌำน ๑
รู้ในเรื่องของอรูปฌำน ๑ และรู้ในเรื่องของพระนิพพำนอีก ๑ รวำมเป็นกำรรู้
อำรมณ์ ๔ ประเภท

ดังที่พระอนุรุทธำจำรย์ได้แสดงเป็นบำลีหัวข้อบอกเนื้อควำมตำมปริจเฉทที่ ๑ ซึ่งมี
ควำมว่ำ " ตตฺถ จิตฺตำ ตาว จตุพฺพิธำ โหติ กามาวจรำ รูปาวจรำ อรูปาวจรำ โลกุตฺตรญฺเจ
ติ" ซึ่งแปลว่ำ "ในบรรดาปรมัตถธรรม ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
จิตปรมัตถ์ที่แสดงเป็นอันดับแรกนั้น มีอยู่ ๔ ประเภท คือ กามาวจรจิต รูปาวจร
จิต อรูปาวจรจิต และโลกุตตรจิต"

เมื่อกล่ำวถึงจำำนวนของจิตทั้งหมดแล้วย่อมนับโดยย่อได้ว่ำมี ๘๙ ประเภท นับโดย


พิสดำรได้ ๑๒๑ ประเภท และเมื่อจำำแนกจิตทั้ง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ออกเป็นประเภท
ทั้ง ๔ ดังกล่ำวแล้ว ก็จะนับดังนี้ คือ

กำมวจรจิต ๕๔ ประเภท
รูปำวจรจิต ๑๕ ประเภท
อรูปำวจรจิต ๑๒ ประเภท
โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ ประเภท

อันที่จริงสภำวะของจิตนั้นก็คือ ธรรมชำติที่รู้อำรมณ์เท่ำนั้น อำรมณ์จะผ่ำนเข้ำมำ


ทำงตำ หู จมูก ลิ้น กำย หรือใจ ก็รับรู้ทั้งนั้น จะไม่ปฏิเสธการรับรู้เป็นอันขาด เช่น
เมื่อมีเหตุ คือ เสียง ประสำทหู ช่องว่ำงในหู และจิต มำประชุมกันแล้วก็จะเกิด
ได้ยินขึ้นทันที ห้ามไม่ได้

นอกจำกนี้ จิตจะเลือกรับรู้แต่อารมณ์ทชี่ อบใจเท่านั้นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เมื่อมี


เหตุปัจจัย คือ อำรมณ์หรือวัตถุเป็นต้น มำประจวบหรือกระทบกันแล้ว จิตย่อมเกิด
ขึ้นรับรู้อำรมณ์ที่มำกระทบกับจิตตรงวัตถุนั้นๆทันที คือ เมื่อรูปำรมณ์ อันได้แก่
คลื่นของแสงมำกระทบจักขุปสำท จักขุวิญญำณคือ "เห็น" ซึ่งได้แก่กำรรู้อำรมณ์
ทำงตำก็ย่อมเกิดขึ้น เห็นรูปำรมณ์อันได้แก่รูปนั้นที่จักขุปสำทในขณะนั้น
หรือสัทธำรมณ์คือเสียง กระทบกับจิตที่โสตปสำท โสตวิญญำณคือการได้ยนิ ย่อม
เกิดขึ้นได้ยินสัทธำรมณ์นั้นที่โสตปสำททันที ดังนี้เป็นต้น
ธรรมชำติของจิตก็เพียงกำรรู้อำรมณ์เท่ำนั้น ดูๆก็ไม่นำ่ ที่จะต้องจำำแนกจัดออกเป็น
๔ ประเภท หรือจำำแนกออกไปจนทำำให้จิตต้องมีจำำนวนถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑
ประเภทเลย เพรำะไม่ว่ำจิตชนิดไหนหรือประเภทใดก็หำพ้นจำกกำรเป็นธรรมชำติ
ที่รู้อำรมณ์ไปได้ไม่ แต่ที่จำาต้องจำาแนกแตกแขนงจิตออกไปเป็นประเภทต่างๆ และ
มีจำานวนมากมายเช่นนั้น ก็เพราะความสามารถในกการรู้อารมณ์ของจิตนั้นต่าง
ระดับกัน

อุปมาดังเช่นการรู้หนังสือของคนเรา บำงคนก็รู้แค่หลักสูตรชั้นประถม บำงคนก็รู้


แค่หลักสูตรชัน้ มัธยม และบำงคนก็รู้ถึงหลักสูตรชัน้ อุดมศึกษำ ควำมสำมำรถใน
กำรรู้อำรมณ์ตำมสภำวธรรมของจิตก็เช่นกัน จิตบางประเภทมีความสามารถรู้ได้
แต่ในเรื่องของกามอารมณ์ คือสำมำรถรับรู้ได้แต่เฉพำะรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
และเรื่องรำวที่จะก่อให้เกิดควำมยินดีติดใจ ไม่ยนิ ดีติดใจในอำรมณ์นั้นๆ ซึ่งเป็น
เรื่องของบุญบำปเท่ำนั้น

จิตบางประเภทมีความสามารถรู้มหัคคตอารมณ์ คือมีควำมสำมำรถรู้ในเรื่องรำว
ของรูปฌำน อรูปฌำน คือกำรทำำสมำธิได้ขนำดมำกและมำกที่สุด หรือจะพูดว่ำ
ควำมหยำบและประณีตของอำรมณ์ไปจนถึงควำมประณีตมำกที่สุด และยิ่งไปกว่ำ
นัน้ ยังมีจิตอีกประเภทหนึ่งเป็นจิตพิเศษ ประกอบด้วยปัญญำอันแก่กล้ำยิ่ง
สำมำรถรับโลกุตตรอำรมณ์คือนิพพำนอำรมณ์ได้อีก

ด้วยเหตุนี้ แม้วำ่ จิตจะเป็นธรรมชำติที่รู้อำรมณ์ แต่การรู้อารมณ์นั้นก็มิได้มีระดับ


เดียว จึงจำำเป็นต้องจำำแนกจิตซึ่งต่ำงระดับกันออกไปเป็น ๔ ประเภท และมี
จำำนวนตั้ง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ซึ่งจะได้ศึกษำรำยละเอียดกันในโอกำสต่อไป
๑. กามาวจรจิต หรือกามจิต มีควำมหมำยได้หลำยนัย คือ หมำยถึงจิตที่ท่องเที่ยว
อยู่ในกำมอำรมณ์เป็นส่วนมำก หมำยถึงจิตที่หลงติดอยู่ในกำมตัณหำ หมำยถึงจิต
ที่รับกำมอำรมณ์ได้

๒. รูปาวจรจิต หมำยถึงจิตที่ทำำสมำธิจนได้ถึงปฐมฌำนเป็นต้นไป หรือเป็นจิตที่


เกิดวนเวียนอยู่ในรูปภูมิ
๓. อรูปาวจรจิต หมำยถึงจิตที่ทำำสมำธิจนได้ถึงฌำนที่ไม่อำศัยรูป หรือเป็นจิตที่
เกิดวนเวียนอยู่ในอรูปภูมิ

๔. โลกุตตรจิต หมำยถึงจิตที่พ้นจำกโลกทั้ง ๓ คือ พ้นจำกกำมโลก รูปโลก อรูป


โลก หรือพ้นไปจำกกำมภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ

กำรศึกษำในวันนี้ ผมจะได้แสดงเรื่องของกำมำวจรจิตเท่ำนั้น แต่เพื่อควำมเข้ำใจ


อันดี ผมจึงขอแสดงรูปำวจรจิต อรูปำวจรจิต และโลกุตตรจิตโดยสังเขป เพื่อ
เป็นกำรเปรียบเทียบด้วย
กำรรู้อำรมณ์ของสัตว์ทั้งหลำย มีจิตเป็นธรรมชาติรู้ แล้วมีอารมณ์ซึ่งเป็นตัวยืนให้
จิตจับเป็นธรรมชำติที่ถูกรู้ และกำรรู้อำรมณ์ส่วนมำกนั้น จึงเกี่ยวข้องด้วยกำรรู้ใน
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตลอดจนเรื่องรำวที่นึกคิด ซึ่งสิ่งต่ำงๆเหล่ำนั้น ย่อมจะ
สร้ำงควำมติดอกติดใจแก่สัตว์ทั้งหลำยผู้ได้ประสบและเพลิดเพลินอยู่กับอำรมณ์
นัน้ ๆ จนยึดมั่นถือมั่นยำกแก่กำรที่จะไถ่ถอนได้ แม้ได้อำรมณ์ที่ไม่ชอบใจ ก็จะ
ดิ้นรนขวนขวำยเสำะแสวงหำต่อไปใหม่เรื่อยๆ ไป

อำรมณ์ที่ก่อให้เกิดควำมยินดีติดใจเหล่ำนั้นเรำเรียกว่ำ "กามอารมณ์" หรือ


"กามารมณ์" และจิตที่เข้ำไปผูกพันรับรู้ในเรื่องรำวต่ำงๆ เหล่ำนั้น เรำเรียกว่ำ "
กามจิต" หรือ "กามาวจรจิต"

กามารมณ์และกามาวจรจิต คือจิตที่มีความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆ เช่น เห็นรูป


ที่สวยงำมก็ติดใจในรูป ได้ยินเสียงอันไพเรำะก็ติดใจในเสียง เหล่ำนี้เป็นต้น ย่อม
จะประทับหรือสั่งสมกำำลังอำำนำจควำมดีใจ คือตัณหำ ให้มำกขึ้นอยู่ทุกเวลำนำที
ดังนั้น อำำนำจเหล่ำนี้เอง ย่อมจะบังเกิดควำมสำมำรถที่จะผลักส่งให้สัตว์ต้องไปสู่
กำรปฏิสนธิต่อไปอีก ชีวิตภำยหลังควำมตำยจึงมิได้สะดุดหยุดลง หำกแต่จะต้อง
เกิดชำติแล้วชำติเล่ำอีกต่อไป
กำมำรมณ์หรือกำมำวจรจิตเหล่ำนี้ ล้วนล่อลวงสัตว์ผู้หาปัญญาพิจารณามิได้ทั้ง
หลายให้ติดอยู่ในวัฏฏทุกข์ คือมีสภำพต้องเวียนว่ำยตำยเกิดอยู่รำยแล้วรำยเล่ำ มิได้
มีที่สิ้นสุด ควำมทุกข์ทั้งหลำยก็จะไหลมำเทมำอย่ำงไม่หยุดยั้ง สัตว์ทั้งหลำยก็ต้อง
เผชิญกับควำมทุกข์ยำกนำนำประกำร เสมือนหนึ่งเพื่อเป็นบทเรียนในอันที่จะสอน
ให้หลำบจำำ แต่ก็เป็นบทเรียนที่ยาก ด้วยว่าลึกซึ้งเกินกว่ากำาลังปัญญาสัตว์เป็นอัน
มากที่จะรับไว้ เพรำะระลึกถึงชำติก่อนๆก็ไม่ได้ และกำรศึกษำให้ได้เหตุผลข้อเท็จ
จริงในเรื่องของชำติก่อนๆแสนยำกยิ่ง
อย่ำงไรก็ดี ก็ไม่เป็นบทเรียนอันเป็นโมฆะเสียทีเดียว เพรำะยังมีผู้มีปญ
ั ญำเข้ำถึง
เหตุผลข้อเท็จจริงอันเร้นลับนั้น แล้วมองเห็นทุกข์โทษภัยร้ำยกำจของวัฏฏะทั้ง
หลำย เห็นว่ำกำรเข้ำไปเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ด้วยกำมคุณอำรมณ์เป็นส่วนมำกนั้น
เป็นตัวกำรนำำให้เวียนว่ำยตำยเกิด บุคคลพวกนี้ก็เพียรพยำยำมที่จะพำจิตของตัวเอง
ออกไปตั้งมั่นอยู่นอกขอบเขตของกำมคุณอำรมณ์นั้นๆ จึงต่ำงก็หำอุบำยที่จะระงับ
ดับกำมำรมณ์ไม่ให้ปรำกฏขึ้นในที่สุดก็มีผู้สำมำรถเอำชนะได้โดยมิให้จิต
เกี่ยวข้องกับกำมคุณอำรมณ์สำำเร็จ ใช้ควำมเพียรกำำหนดจิตไว้ที่อำรมณ์อันใดอัน
หนึ่งโดยแนบแน่นสนิท ไม่ให้จิตหลุดไปรับอำรมณ์อื่นที่เกี่ยวข้องด้วยกำมได้ วิธี
กำรนี้เรำเรียกว่ำ "สมาธิ"

ดังนั้น สมำธินี่แหละสำมำรถที่จะระงับจิตมิให้ตกไปในอำรมณ์กำมได้ ขณะที่จิต


เป็นสมำธิอยู่ในอำรมณ์เดียวย่อมระงับควำมปรำรถนำในกำมำรมณ์ได้ชั่วขณะ
ฉะนัน้ สมำธิที่เกิดชั่วขณะหนึ่งๆนี้ เรียกว่ำ "ขณิกสมาธิ"
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ได้มผี ู้ใช้ควำมเพียรให้สมำธิเกิดติดต่อกันเป็นเวลำนำนๆ จน
ทำำให้สมำธิแก่กล้ำขึน้ เปลี่ยนจำกภำวะที่เรียกว่ำ ขณิกสมำธิ เป็น "อุปจารสมาธิ"
คือ แนบแน่นยิ่งขึ้น และเป็นจนถึง "อัปปนาสมาธิ" ซึ่งเป็นขั้นสุดยอดของสมำธิ
แล้วเหตุกำรณ์อันน่ำพิศวงก็เกิดขึ้น กล่ำวคือ มีควำมสำมำรถ มีอำรมณ์อย่ำงเดียว
โดยไม่หลุดไปยังอำรมณ์อื่นๆ เป็นชั่วโมงๆ หรือเป็นวันๆ

ในอัปปนำสมำธินี้เอง จิตจะแนบแน่นอยู่ในอำรมณ์ที่กำำหนด แล้วจะประหำณ


กิเลส คือควำมเศร้ำหมองเร่ำร้อนด้วยควำมยินดีในกำม โดยวิขัมภณปหาน คือ
ประหาณความปรารถนาในกามให้สงบลง หมำยถึงกำรระงับดับควำมยินดีในกำม
ไม่ให้เกิดขึ้นมำได้ ตลอดเวลำกำรได้ฌำนนั้นยังมิได้เสียหำยหรือเปลี่ยนแปลงไป
อย่ำงแน่นอน จิตที่ข่มกำมไว้ได้นั้นเรำเรียกว่ำ "ฌานจิต" ส่วนอำรมณ์ที่เอำเป็นที่
ตั้งของจิตเพื่อกำำหนดนี้ ได้แก่ อำรมณ์กรรมฐำนซึ่งมีอยู่ ๓๐ เช่น เพ่งดิน เพ่งนำ้ำ
และอำนำปำนสติ กำำหนดลมหำยใจเข้ำออกเป็นต้น

อำรมณ์กรรมฐำนต่ำงๆเหล่ำนี้ ล้วนเป็นรูปำรมณ์ทั้งนั้น จิตที่เข้ำไปแนบแน่นอยู่


กับรูปำรมณ์ต่ำงๆเหล่ำนี้ จนเข้ำถึงปฐมฌำนคือฌำนที่ ๑ เป็นต้นไป เรำเรียกจิ
ตนั้นๆว่ำ "รูปาวจรจิต" ซึ่งมีจำานวน ๑๕ ประเภท
เมื่อโยคีบุคคลผู้ได้รูปฌำนแล้ว สำมำรถเจริญฌำนยิ่งๆขึ้นไปเป็นลำำดับจนถึง "รูป
ปัญจมฌาน" คือรูปฌำนที่ ๕ ต่อจำกนั้นถ้ำมีควำมปรำรถนำที่จะเจริญฌำนให้ยิ่งๆ
ขึ้นไปอีก โดยเห็นว่ำกำรเพ่งรูปนั้นยังไม่ประณีตพอ โดยเพิกรูปฌำนนั้นๆออกเสีย
กำำหนดเอำแต่ควำมไม่มีรูป (โดยเอำควำมว่ำงเปล่ำมำเป็นอำรมณ์) และเจริญฌำน
ต่อๆขึ้นไป ฌำนลำภีบุคคลผู้นั้นก็จะได้ฌำนขั้นละเอียดยิ่งขึน้ คือ "อรูปฌาน" ซึ่ง
ได้แก่ฌำนที่ไม่มีรูป เรำเรียกจิตที่ตั้งอยู่ในอรูปฌำนนั้นๆว่ำ "อรูปาวจรจิต" ซึ่งมี
จำำนวน ๑๒ ประเภท

ทั้งรูปฌำนและอรูปฌำน ที่ฌำนลำภีบุคคลสำมำรถเจริญได้นั้น ย่อมประหาณกาม


โดยอาการข่มไว้ด้วยฌานเท่านั้น ถ้าฌานเสื่อมลงเมื่อใดแล้ว กามก็จะผุดขึ้นมาใหม่
อีก กำรข่มกำมด้วยอำำนำจของฌำนนี้ มีอุปมำไว้ว่ำ เสมือนเอาหินทับหญ้า ตรำบ
เท่ำที่หินยังทับหญ้ำอยู่ หญ้ำนั้นก็ไม่อำจเจริญงอกงำมขึ้นมำได้ แต่ถ้ำเอำหินออก
ไปเมื่อใดแล้วหญ้ำที่ถูกทับไว้ก็จะเจริญขึ้นมำใหม่ ข้ออุปมำนี้ เปรียบเหมือนฌำน
จิต เปรียบหญ้ำเหมือนกำม ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่ำ เป็นกำรประหำณไม่เด็ดขำด เพียง
แต่ข่มเอำไว้ไม่ให้เกิดเท่ำนั้นเอง

กำรประหำณเช่นนี้เรียกว่ำ วิขัมภณปหาน บุคคลทั้งหลำยรู้จักแต่ที่จะประหำณ


กำมกันก็แต่เพียงโดยวิธีกำรดังกล่ำว อันเป็นกำรข่มไว้ได้ชั่วครำวเท่ำนั้น
เมื่อพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำได้อุบัติขึ้นในโลก พระพุทธองค์จึงได้นำำเอำวิธีกำร
ประหำณกำมโดยเด็ดขำดมำแนะนำำสอนสัตว์ให้หลุดพ้นจำกกำมได้โดยเด็ดขำด
กำรประหำณโดยเด็ดขำดนี้เรียกว่ำ "สมุจเฉทปหาน" พระพุทธองค์ได้สอนถึงกำร
เจริญวิปัสสนำ คือกำรกำำหนดขันธ์ ๕ รูป นำม เป็นอำรมณ์ โดยลักษณะควำมเป็น
อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตำ ที่เรียกว่ำ "ไตรลักษณ์" เป็นกำรเจริญปัญญำเพื่อเข้ำถึง
สภำวะแห่งควำมจริงแท้ของธรรมชำติให้เป็นกำรรู้แจ้งแทงตลอด

เมื่อปัญญำเจริญพร้อม มัคคังคเจตสิกปรำกฏแก่จิตขณะใดแล้ว ขณะนั้น ปัญญำ


นัน้ ก็จะทำำหน้ำที่ประหำณควำมเป็นปุถุชนผู้หนำแน่นไปด้วยกิเลสอันรวมทั้ง
ควำมปรำรถนำกำมด้วยให้พินำศสิ้นไปเป็นสมุจเฉท (ประหำรแล้วไม่เกิดขึ้นอีก
เลย) ฉะนั้น จิตที่เกิดพร้อมกับเจตสิกที่เป็นองค์มัคค์ ๘ หรืออัฏฐังคิกมัคค์นั้นย่อม
จะต้องประสบกับอำรมณ์นิพพำน ซึ่งเป็นอำรมณ์พิเศษที่มิใช่อำรมณ์ที่มีปรำกฏใน
กำมโลก รูปโลก และอรูปโลก ทั้งเรำจะเรียกว่ำกำมำวจรจิต รูปำวจรจิต อรูปำวจร
จิต ไม่ได้เลย หำกแต่เรำเรียกจิตขณะที่รับนิพพำนอำรมณ์นั้นว่ำ "โลกุตตรจิต" มี
จำำนวน ๘ หรือ ๔๐ ดวง
ควำมสำมำรถในกำรรู้อำรมณ์ของจิตต่ำงระดับกันดังกล่ำว จึงจำำเป็นต้องจำำแนกจิต
ออกเป็น ๔ ประเภท ซึ่งมี กำมำวจรจิต รูปำวจรจิต อรูปำวจรจิต และโลกุตตรจิต
ดังได้แสดงมำโดยสังเขปแล้วนั้น ต่อจากนี้ไปก็จะได้อธิบายถึงจิตประเภทแรก คือ
กามาวจรจิต จิตที่รู้เรื่องรำวของกำม หรือจิตที่ติดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
และเรื่องรำวเพลิดเพลินที่เรียกสั้นๆว่ำ "กามจิต"

ตำมที่แสดงเรื่องรูปำวจรจิต อรูปำวจรจิต และโลกุตตรจิต โดยย่อๆ ก็เพื่อจะให้


ท่ำนได้เปรียบเทียบเท่ำนั้น ต่อจำกนี้ไป ท่ำนก็จะได้ศึกษำเรื่องกำมำวจรจิตจำม
ลำำดับไป

กามคืออะไร?

เมื่อใครก็ตำมเอ่ยถึงคำำว่ำ "กาม" ชำวบ้ำนส่วนมำกมีควำมรู้สึกว่ำเป็นเรื่องลำมก


หยำบคำย ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องเพศ เป็นทำำนองชู้สำว หรือควำมปรำรถนำในระหว่ำง
เพศ แต่ควำมหมำยในทำงธรรมแล้ว ไม่เป็นของลำมกหรือหยำบคำยเลย และควำม
จริงคำำว่ำ "กาม" เป็นภำษำบำลีที่เรำนำำเอำมำใช้เป็นควำมหมำยในภำษำไทย จึง
ทำำให้ควำมในภำษำไทยคลำดเคลื่อนไปจำกควำมหมำยเดิมไปบ้ำง แต่ตำมหลัก
ฐำนบำลี มีแสดงว่ำ

"กำเมตีติ = กำโม (วำ) กำมียตีติ = กำโม" แปลว่ำ "ธรรมชำติใดย่อมมีควำม


ต้องกำรกำมำรมณ์ ธรรมชำตินั้นชื่อว่ำ "กำมะ" ได้แก่กิเลสกาม คือ กามตัณหา
(หรือ) ธรรมชำติใดเป็นที่ชอบใจของกำมตัณหำ ธรรมชำตินั้นชื่อว่ำ "กำมะ" ได้แก่
วัตถุกาม คือ กามจิต เจตสิกที่ประกอบกำมจิตและรูป"
ตำมพระบำลีนั้น ย่อมเห็นว่ำ คำำว่ำ "กาม" นัน้ ในทำงธรรมมีควำมหมำยกว้ำง
ขวำงมำก คือ ย่อมหมำยรวมทั้งกิเลสกำม และวัตถุกำม

กิเลสกาม นัน้ ก็หมำยถึง ควำมปรำรถนำที่จะเสพกำมำรมณ์ กำม + อำรมณ์ ควำม


ปรำรถนำกำมรำคะ ควำมใคร่ ควำมกำำหนัด ดำำกฤษณำ ตลอดจนควำมปรำรถนำ
ในลำภยศ สรรเสริญ (กำมสุข)ทั้งปวง ที่เป็นตัวอยำกตัวปรำรถนำ ที่เรำรู้จักกันโดย
ทั่วไปว่ำ กามตัณหา

วัตถุกาม หมำยถึงวัตถุสิ่งของต่ำงๆ ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมถึงกำมจิต


เจตสิก ที่ดับไปแล้ว อันเป็นอำรมณ์ของควำมอยำกหรือกำมตัณหำ คือตัวกำรที่ก่อ
ให้เกิดควำมยินดีติดใจขึ้น วัตถุกำมที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต เช่น ผู้ชำย ผูห้ ญิง ช้ำง ม้ำ
วัว ควำย เป็ด ไก่ ปลำ บิดำ มำรดำ สำมี ภรรยำ บุตร ธิดำ และบริวำร เป็นต้น วัตถุ
กำมที่เกี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ทรัพย์สิน แก้วแหวน เงินทอง บ้ำนเรือน เครื่อง
อุปโภคบริโภคต่ำงๆ เป็นต้น
ควำมหมำยของคำำว่ำกำมนี้ จึงต้องหมายรวมถึงกามจิต คือ ตัวอยาก ตัวปรารถนา
หรือกามตัณหา และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของความอยาก ความปรารถนา กามตัณหา
นัน้ ด้วย จึงดูเหมือนว่ำอะไรๆ รอบตัวเรำนั้นเป็นกำมไปเสียหมด เรื่องนี้ก็น่ำจะ
อนุโลมตำมนั้น เพรำะเรำได้เกิดมำในแดนแห่งกำม ที่เรียกว่ำ "กามภูม"ิ กำมภูมิ
นัน้ หมำยถึงภูมิอันเป็นที่เกิดแห่งกิเลสกำม และวัตถุกำม ดังบำลีที่ว่ำ "กำมสฺส ภโว
ติ = กำโม"

แต่ถ้ำจะพิจำรณำกันอย่ำเจำะจงลงไปในตัวกำมแล้ว ก็จะได้แก่กิเลสกำมอย่ำงเดียว
ที่เป็นตัวกำม เพรำะอำรมณ์อันหลำกหลำยทั้งมวลบรรดำมีอยู่ในโลก อำรมณ์อัน
เป็นตัวยืนให้จิตกำำหนดเหล่ำนั้นหำใช่กำมไม่ ความกำาหนัดรักใคร่ของคนต่างหาก
ที่เป็นตัวกาม

น เต กำมำ ยำนิ จิตฺรำนิ โลเก


สงฺกปฺปรำโค ปุริสสฺส กำโมฯ

บำลีนี้จึงเป็นที่รับรองว่ำ อำรมณ์ต่ำงๆ ไม่ใช่กำม


ควำมนึกกำำหนัดรักใคร่ ควำมชอบใจติดใจของคนเรำต่ำงหำกที่เป็นตัวกำม
และยังมีบทที่พิจำรณำต่อไปอีกว่ำ

น เต กำมำ ยำนิ จิตฺรำนิ โลเก


สงฺกปฺปรำคำ จ วเทสิ กำมำ
สงฺกปฺปยำ อกุสลวิตกฺเก
ภิกฺขุปิ เต เหหีติ กำมโภคี

ซึ่งมีควำมว่ำ " อำรมณ์ต่ำงๆในโลกไม่ใช่กำม และควำมนึกกำำหนัดยินดี เป็นตัว


กำม แม้อยู่ในเพศบรรพชิตก็ตำม ถ้ำไปคิดนึกถึงเรื่อง อกุศลวิตก คือ กำมวิตก เข้ำ
แล้ว ก็กลำยเป็นกำมโภคี คือ ผู้บริโภคกำมไป"
ขอให้พิจำรณำคำถำอีกบทหนึ่งว่ำ

เต เจ กำเม ยำนิ จิตฺรำนิ โลเก


สงฺกปฺปรำคำ น วเทสิ กำมำ
ปสฺสนฺโต รูปำนิ มโนรมำนิ
สตฺถำปิ เต เหหีติ กำมโภคี

ถ้ำท่ำนผู้ใดกล่ำวว่ำ อำรมณ์ต่ำงๆในโลกเป็นกำม ไม่ได้กล่ำวว่ำควำมนึกกำำหนัด


ยินดีเป็นกำมแล้ว ถ้ำแม้นพระพุทธองค์ได้ทรงเห็นรูป ได้ยนิ เสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส
ถูกต้องสัมผัส อันน่ำรื่นรมย์ใจเข้ำแล้ว พระองค์ก็จะกลำยเป็นกำมโภคีไปด้วย (
เป็นอำรมณ์ให้เกิดกำม)

ย่อมเห็นได้ว่ำ ตัวกำมนั้นได้แก่ควำมนึกกำำหนัดยินดีโดยเฉพำะ คือ กิเลสนั้นเอง


เพื่อให้ควำมหมำยของคำำว่ำ กำม จัดเจนยิ่งขึ้น ขออ้ำงถึง โกฏฐิกสูตรในสังยุตตนิ
กำย สฬำยตนวรรค ที่มีใจควำมว่ำ
เพื่อให้ควำมหมำยของคำำว่ำ กาม ชัดเจนยิ่งขึ้น ขออ้ำงถึง โกฏฐิกสูตรในสังยุตตนิ
กาย สฬายตนวรรค ที่มีใจควำมว่ำ สมัยที่พระสำรีบุตรและพระมหำโกฏฐิกะอยู่ที่
ป่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน ได้สนทนำกัน

พระมหาโกฏฐิกะได้ตั้งปัญหาว่า " ดูกรท่ำนพระสำรีบุตร จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยว


รูปหรือรูปเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวของจักษุ หูเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวเสียง หรือเสียงเป็น
เครื่องเกำะเกี่ยวหู จมูกเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวกลิ่น หรือกลิ่นเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวจมูก
ลิ้นเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวรส หรือรสเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวลิ้น กำยเป็นเครื่องเกำะเกี่ยว
โผฏฐัพพะ หรือโผฏฐัพพะเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวกำย ใจเป็นเครื่องเกำะเกี่ยว
ธรรมำรมณ์ หรือธรรมำรมณ์เป็นเครื่องเกำะเกี่ยวใจ"

พระสารีบุตรตอบว่า "จะว่ำจักษุเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวรูป หรือรูปเป็นเครื่องเกำะ


เกี่ยวจักษุก็หำมิได้ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสองนั้น
เป็นเครื่องเกำะเกี่ยวจักษุและรูปนั้น จะว่ำหูเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวเสียง หรือเสียงเป็น
เครื่องเกำะเกี่ยวหูก็หำมิได้ ควำมพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพรำะอำศัยหูและเสียงนัน้
เป็นเครื่องเกำะเกี่ยวในหูและเสียงนัน้ ใจเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวขงอำรมณ์ หรือ
อำรมณ์เป็นเครื่องเกำะเกี่ยวของใจก็หำมิได้ ควำมพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพรำะอำศัย
ใจ และอำรมณ์ทั้งสองนั้นเป็นเครื่องเกำะเกี่ยวในใจและอำรมณ์นั้น"
ท่านพระสารีบุตรได้อุปมาเสริมอีกว่า "ดูกร ท่ำนโกฏฐิกะ โคดำำกับโคขำว เขำผูก
ติดกันด้วยสำยทำมหรือเชือกเส้นเดียวกัน หำกจะมีบุคคลใดกล่ำวว่ำ โคดำำเกี่ยว
เนื่องกับโคขำว หรือโคขำวเกี่ยวเนื่องกับโคดำำดังนี้ บุคคลนั้นกล่ำวชอบละหรือ?"
ท่านพระโกฏฐิกะก็ตอบว่า "ไม่ใช่อย่ำงนั้น โคดำำไม่เกี่ยวเนื่องกับโคขำว และโค
ขำวไม่เกี่ยวเนื่องกับโคดำำ โคดำำกับโคขำวเกี่ยวเนื่องกันโดยเขำผูกติดกันด้วยสำย
ทำมหรือเชื่อกเส้นเดียวกันนั้น"

แล้วพระสำรีบุตรก็ทรงชี้ให้เห็นข้อเปรียบเทียบนั้นว่ำ ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จักษุและรูปำรมณ์มิได้เกำะเกี่ยวกัน แต่ควำมพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพรำะอำศัยจักษุ
และรูปำรมณ์นั้น เป็นเครื่องเกำะเกี่ยวในจักษุและรูปำรมณ์นั้น ฯลฯ

"ดูกร ท่ำนโกฏฐิกะ พระเนตรของพระผู้มีพระภำคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ทรงเห็นรูป


ด้วยพระเนตร แต่พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่เลย พระองค์มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว
พระโสตของพระผู้มีพระภำคมีอยู่แท้ พระองค์ทรงฟังเสียงด้วยพระโสตของ
พระองค์ แต่พระองค์ไม่มีควำมพอใจรักใคร่ พระองค์มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯลฯ "
จำกโกฏฐิกสูตรนี้ ย่อมเป็นเครื่องสนับสนุนให้เห็นว่ำ จักษุ รูป โสต เสียง จมูก
กลิ่น ลิ้น รส กำย โผฏฐัพพะ ใจ และอำรมณ์ก็ดี อันชื่อว่ำเป็นวัตถุกามดังกล่ำวแล้ว
นัน้ หำใช่เป็นตัวกำมอันเป็นควำมพอใจรักใคร่ไม่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้นจากกามคุณ
อารมณ์ต่างหากเป็นตัวกาม เป็นตัวควำมพอใจรักใคร่ ซึ่งมีสภำพเป็นเครื่องเกี่ยว
โยงวัตถุกำมทั้งหลำยให้ติดต่อเกี่ยวเนื่องกัน

และกำรละกำมนั้นเล่ำ พระพุทธองค์กม็ ิได้ทรงแสดงเพื่อการละจากวัตถุกาม แต่


ทรงแสดงอำานาจแห่งการละ โดยให้ละกิเลสกามประหาณกามให้สิ้นเชื้อสาย โดย
แก้เส้นเชือกอันผูกวัตถุกำมให้ติดต่อเกี่ยวเนื่องกันออกเสีย จึงเห็นว่ำตัวกำมนั้นได้
กับกิเลสกำมฝ่ำยเดียว

กำรที่ได้แสดงกำมในควำมหมำยโดยทั่วไปนั้น จะต้องหมำยรวมทั้งกิเลสกำมและ
วัตถุกำมด้วย เพรำะเมื่อกล่ำวถึงกำรบริโภคกำม หรือเสวยกำมคุณอำรมณ์ที่เรียกผู้
บริโภคกำมว่ำ กามโภคี คือผู้ที่บริโภคกำมนั้น หมำยถึงผู้ที่ยังมีควำมกำำหนัดยินดี
ในอำรมณ์กำมอันมีวัตถุกำม เป็นเครื่องรับควำมกำำหนัดยินดีนั้น จึงจะบริโภคกำม
ได้

ถ้ำมีแต่ควำมกำำหนัด(กิเลสกำม) ไม่มีวัตถุ(วัตถุกำม)เป็นเครื่องรองรับแล้ว กำมกิจ


ก็จะสำำเร็จลงไม่ได้ เช่นนึกกำำหนัดยินดี โดยไม่มีวัตถุกำมมำตั้งให้นึก หรือมีแต่
วัตถุ แต่ควำมกำำหนัดยินดีไม่เกิด ก็ไม่อำจบริโภคกำมได้เช่นเดียวกัน ฉะนัน้ ใน
การบริโภคกามจึงต้องมีกามพร้อมกันทั้งสอง คือ กิเลสกามและวัตถุกาม เหมือน
มีดและเขียง

ฉะนัน้ กำรกล่ำวถึงกำมโดยทั่วไปแล้ว ก็ย่อมจะกินควำมครอบไปทั้งกิเลสกำม


และวัตถุกำมด้วย เหมือนกำรที่เรียกว่ำทุกข์หรือสุขนั้น ควำมหมำยโดยทั่วไปที่เรำ
เข้ำใจกันแล้ว ก็ย่อมจะหมำยถึงทั้งจิตใจและวัตถุรวมๆ กันไปด้วย คือ ทุกขเวทนำ
และทุกขวัตถุ หรือสุขเวทนำ และสุขวัตถุ ดังนีเ้ ป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรียกว่ำ กาม แล้ว ย่อมหมำยถึงตัวกิเลสกำมด้วย และวัตถุกำมอัน
เป็นอำรมณ์ที่รองรับกิเลสกำมด้วย

อำรมณ์ที่รองรับกิเลสกำมนัน้ มีอยู่ดกดื่นและรุมล้อมรอบๆ ตัวเรำ บรรดำสัตว์ทั้ง


หลำยนั้นเล่ำ ที่ถือกำำเนิดในกำมภูมินี้ มีเลือดเนื้อเชื้อไขในตระกูลกำมด้วยกันทั้ง
สิ้น จิตส่วนมากที่ปรากฏนัน้ จึงเป็นกามาวจรจิตเสียแทบทั้งนั้น (น้อยท่ำนที่ทำำ
สมำธิจนได้ฌำน) และเกิดได้ง่ายดาย อยู่ใกล้ชิดติดพันกันแค่เอื้อม จึงเห็นว่ำกำมนี้
เป็นทหำรหน้ำ ที่นำำพำสัตว์ทั้งหลำยให้ล่มจมเวียนว่ำยอยู่ในวัฏฏทุกข์

กำมจิตนี้ เป็นจิตชั้นตำ่ำที่ถูกอกุศลครอบงำำได้ง่ำย มีกำำลังอำำนำจน้อย ต้องอ่อน


คล้อยไปตำมควำมงมงำยในวิปลำสธรรม คือควำมสำำคัยผิดในเรื่องของชีวิต ในธร
รมสังคณีแห่งพระอภิธรรมปิฎก จัดธรรมฝ่ำยกำมหรือกำมธรรมนี้ว่ำ "ปริตต
ธรรม" คือเป็นธรรมที่มีกำำลังอำำนำจน้อยด้อยกว่ำมหัคตธรรม คือจิตที่ตั้งมั่นเป็น
สมำธิเป็นฌำน คือธรรมที่เข้ำถึงควำมประเสริฐ และด้อยกว่ำอัปปมาณธรรม คือ
ธรรมที่มีกำำลังอำำนำจมำกหำขอบเขตประมำณมิได้ ได้แก่โลกุตตรธรรม
ปริตตธรรม หรือกามธรรม จึงปรำกฏได้แก่สัตว์ทั้งหลำยได้ง่ำยๆ และบ่อยๆ เช่น
กำรหัวเรำะ และกำรร้องไห้ ของกำมบุคคลเป็นต้น เมื่อเปรียบเทียบค่ำของจิตแล้ว
อำจเห็นได้ดังนี้ คือ

กามจิต จัดเป็น หีนะ คือจิตชัน้ ตำ่ำ


รูปาวจรจิต จัดเป็น อุกกัฏฐะ คือ จิตที่ประเสริฐ
อรูปาวจรจิต จัดเป็น อุกกัฏฐัตระ คือ จิตที่ประเสริฐโดยพิเศษ
โลกุตตรจิต จัดเป็น อุกกัฏฐตมะ คือ จิตที่ประเสริฐโดยพิเศษยิ่ง

กำมนี้แม้จะมีอำำนำจน้อย ด้อยกว่ำมหัคตธรรมและโลกุตรธรรมก็จริง แต่เกิดได้


ง่ำยกว่ำธรรมประเภทอื่น ทั้งนี้ เพรำะมีเชื้ออยู่ภำยใน คือ ควำมยินดีติดใจใน
อำรมณ์ต่ำงๆ แผ่ซ่ำนไปทั่วกำยทุกขุมขน จึงย่อมแผ่กระจำยขยำยตัวออกไปรับได้
ง่ำย และเกำะกินใจสัตว์ทั้งหลำยอยู่เป็นนิจ

อกุศลธรรมที่ชื่อว่ำ "โอฆะ" อันหมำยถึงห้วงนำ้ำ ที่ย่อมจะกลืนกินชีวิตสัตว์ทั้ง


หลำยให้จมอยู่ในวัฏฏทุกข์ ในห้วงนำ้ำนี้ก็มีห้วงนำ้ำแห่งกำม คือ "กาโมฆะ" เป็น
ห้วงนำ้ำห้วงแรก ที่ฝังสัตว์ให้จมอยู่ในวัฏฏทุกข์

อกุศลธรรม คือ "โยคะ" ที่เป็นเครื่องประกอบสัตว์ทั้งหลำยให้ติดอยู่กับวัฏฏทุกข์


ก็มี "กามโยคะ" เป็นด่ำนแรก คือ กำมรำคะ ที่ตอกตรึงสัตว์ทั้งหลำยให้ติดอยู่กับ
ภพชำติ ทั้งภพน้อยภพใหญ่

อกุศลธรรมที่เป็นเครื่องผูกสัตว์ เกี่ยวโยง คล้องสัตว์ไว้กับภพชำติที่ชื่อว่ำ "คันถะ"


ก็มีอภิชฌากายคันถะ หมำยถึงควำมเพ่งเล็งในอำรมณ์กำมนี้แหละเป็นเครื่องผูก
สัตว์

อกุศลธรรมที่เป็นควำมยึดมั่นถือมั่นในอำรมณ์ ที่ชื่อว่ำ "อุปาทาน"นัน้ เล่ำ ก็มี "กา


มุปาทาน" ควำมยึดมั่นติดใจในกำมคุณอำรมณ์ รวมทั้งควำมยึดมั่นในควำมอวดดี
ถือดีด้วย ก็จัดเป็นกำมุปำทำน
อุกศลธรรมที่เป็นเครื่องสะกัดกั้นควำมดีมีบุญทำนเป็นต้นคือ "นิวรณ์" ก็มีตัว "
กามฉันทนิวรณ์" เป็นตัวนำำในกำรสะกัดกั้นควำมดีคืออกุศลธรรม ไม่ให้เกิดขึน้

อกุศลประเภทที่ละเอียดไม่ปรำกฏตัวได้ง่ำยๆ ทีฝ่ ังประจำำอยู่ในขันธสันดำนของ


สัตว์ทั้งหลำย ที่ชื่อว่ำ "อนุสัย" ก็มี"กามราคานุสัย" เป็นผู้นำำกลุ่มอกุศลนั้น

อกุศลธรรมที่เป็นเครื่องฉุดดึงสัตว์ พันธนำกำรไว้ให้ติดอยู่กับวัฏฏทุกข์คือ "


สัญโญชน์" ก็มีกามราคสัญโญชน์ คือ กำมคุณำรมณ์ อันเป็นสำยกำมหรือเชือกที่
ผูกคอสัตว์ไว้ไม่ให้พ้นไปจำกวัฏฏทุกข์

อกุศลธรรมกองสุดท้ำย คือ "กิเลส" หมำยถึง ธรรมที่ทำำให้เศร้ำหมองเร่ำร้อน


ได้แก่ควำมยินดีติดใจในกำมคุณอำรมณ์ ติดใจในภพชำติ ก็มีโลภกิเลสเป็นทัพ
หน้ำ นำำพำให้เกิดควำมเศร้ำหมองเร่ำร้อน
จึงเป็นที่ชี้ให้เห็น กำมนี้มีขอบเขตกว้ำงขวำงครอบคลุมอยู่ในฝ่ำยอกุศลธรรมทั้ง
มวลเป็นตัวเหตุที่ก่อวัฏฏทุกข์ แต่ชนทั้งหลำยกลับมีควำมเห็นในทำงตรงกันข้ำม
คือ เห็นว่ำกำมคุณอำรมณ์นี้ย่อมก่อให้เกิดสุข เกิดโสมนัสเป็นส่วนมำก
เพรำะตำนั้นย่อมแสวงหำรูปอันเป็นที่รักประกอบด้วยกำม อันเป็นที่ตั้งแห่งควำม
กำำหนัดยินดีติดใจ หูย่อมแสวงหำเสียงอันไพเรำะประกอบด้วยกำม ซึ่งเป็นที่ตั้ง
แห่งควำมกำำหนัดยินดีติดใจ จมูกย่อมแสวงหำกลิ่นที่น่ำปรำรถนำที่พอใจ ลิ้นย่อม
ต้องกำรรสอร่อย และกำยย่อมต้องกำรควำมอบอุ่นนุ่มนวลอันเป็นที่ปรำรถนำ
ประกอบด้วยกำมอันเป็นที่ตั้งแห่งควำมกำำหนัด นี้แหละกำมคุณอำรมณ์

สุขและโสมนัสใดย่อมเกิดขึ้นเพรำะอำศัยกำมคุณอำรมณ์นี้ สุขและโสมนัสนั้น เรำ


เรียกว่ำ "กามสุข" กำมสุขนี้จึงเป็นสิ่งที่หำง่ำย เพรำะมีทำงเกิดได้ทั่วสรรพำงค์กำย
ของสัตว์ ตั้งแต่เส้นผมบนศีรษะไปจนถึงพื้นเท้ำ

ถ้ำเรำจะพิจำรณำให้ดีแล้ว ย่อมเห็นว่ำ กามสุขนัน้ ไม่คงทนถาวร มีสภาพเป็นของ


ที่เกิดง่ายหายเร็ว มีอำนุภำพน้อย ทั้งไม่จีรังยั่งยืน ย่อมต้องพลัดพรำกเป็นธรรมดำ
โดยเหตุนี้จึงต้องเสำะแสวงหำอำรมณ์ ต้องเปลี่ยนอำรมณ์ไปมำอยู่วันยังคำ่ำ ตั้งแต่
ตื่นนอนในเวลำเช้ำไปจนถึงเวลำหลับสนิทแล้ว ตั้งแต่เกิดไปจนถึงแก่ควำมตำย

กามสุขนี้ ในสำยตำของบัณฑิตคือพระอริยบุคคล ย่อมเห็นว่ำเป็นโทษร้ำยอันจะ


ก่อให้เกิดผลร้ำยยิ่งแก่วัฏฏะ ในโปตลิยสูตรได้กล่าวถึงความร้ายกาจของ "กาม"
นีไ้ ว้ โดยประกำรทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะย่อมเห็นว่ำ กามนั้นเหมือนชิ้น
กระดูกทีไ่ ม่มีเนื้อติด อันตกเป็นอำหำรของสุนขั ผู้กระหำยหิวที่คิดว่ำจะบริโภคให้
อิ่ม ก็เพียรเฝ้ำแทะกระดูกนั้น แต่ก็จะเหนื่อยเปล่ำ ก็จะได้แต่อร่อยในนำ้ำลำยของตัว
เองที่ไหลรินออกมำเกลือกกลั้วกระดูกนั้น แล้วก็กลืนกินนำ้ำลำยตนเองเข้ำไป ท่อน
กระดูกนั้นก็รังแต่จะก่อให้มีทุกข์มำกมีควำมคับแค้นมำก ในกำมนี้มีโทษอย่ำงยิ่ง

กามนั้น เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งการุมกันยื้อแย่ง คือเห็นว่ำชิ้นเนื้อนั้น


เอร็ดอร่อย จึงพำกันจิกตีแย่งกันกิน ถ้ำแร้งกำเหล่ำนั้นตัวใดไม่รีบปล่อยชิ้นเนื้อไป
เสีย ไม่ถึงตำยก็ปำงตำย เพรำะชิ้นเนื้อนั้นเป็นหตุ กำมอันเหมือนชิ้นเนื้อนั้นจึงมี
ทุกข์มำก มีควำมคับแค้นมำก ในกำมนี้จึงมีโทษอย่ำงยิ่ง

กามนั้น เปรียบเหมือนผู้ถือคบเพลิงหญ้าทวนลม ย่อมจะลุกลำมเกิดอันตรำย และ


เผำผลำญคบหญ้ำนั้นให้วอดวำยไปในทันที คบหญ้ำนี้จึงคล้ำยกับมีทุกข์มำก มี
ควำมคับแค้นมำก ในกำมนี้จึงมีโทษอย่ำงยิ่ง

กามนั้น เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง มีอันตรำยมำก มีควำมทุกข์และมีควำมคับ


แค้นมำก ในกำมนี้มีโทษอย่ำงยิ่ง
กามนั้น เหมือนบุรุษที่ฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ กำมนี้จึงเปรียบดังควำมฝันที่ไม่มี
ควำมจริงรองรับ ย่อมมีทุกข์มำก คับแค้นมำก ในกำมนี้มีโทษอย่ำงยิ่ง

กามนั้น เป็นเหมือนของที่ยืมเขามา และต้องส่งคืนเจ้าของเขา ย่อมมีทุกข์มำก มี


ควำมคับแค้นมำก ในกำมนี้มีโทษอย่ำงยิ่ง

กามนั้น เปรียบเหมือนผลไม้รสอร่อย อันบุรุษผู้ต้องกำรผลไม้ ต้องใช้ควำม


พยำยำมในกำรปีนป่ำยขึ้นเก็บ ผลไม้จึงเป็นเครื่องล่อให้เกิดอันตรำยเช่นเดียวกัน
กับกำม พระผู้มีพระภำคเจ้ำทรงเปรียบด้วยผลไม้ว่ำมีทุกข์มำก มีควำมคับแค้นมำก
ในกำมนี้มีโทษอย่ำงยิ่ง

นอกจำกโทษแห่งกำมดังกล่ำวเปรียบเทียบไว้แล้วนั้น จะยังผลให้เกิดควำมทุกข์ใน
แสนสำหัส กำมนัน้ ยังเป็นบ่อเกิดแห่งควำมวิวำทเบียดเบียนซึ่งกันและกันใน
บรรดำผู้ครองเรือนทั้งหลำย ดังที่เห็นกันง่ำยๆ เช่น

ในกำรประกอบกำรงำนอำชีพทั้งหลำยนั้น เรำมักจะเบียดเบียนเอำเปรียบแก่กัน
และกัน เพื่อหวังให้ได้ประโยชน์มำกนั่นเอง แม้ในกำรไปไหนมำไหนเช่น
โดยสำรรถหรือเรือ เรำก็แย่งกันขึ้นแย่งกันลง แย่งกันขึน้ เพื่อหำที่นั่งให้สบำย แย่ง
กันลงเพื่อจะรีบไปให้ถึงก่อน ซึ่งสิ่งเหล่ำนี้ล้วนเป็นไปด้วยอำำนำจของกำม และที่
นำำผลให้ปรำกฏก็คือ กำรทะเลำะวิวำท
พระอริยะย่อมเห็นภัยอันเกิดแต่สิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว จึงหาทางที่
จะออกไปให้พ้นจากกาม ไม่ยอมที่จะรับรู้ว่ำ สัตว์ทั้งหลำยย่อมเสวยกำมนี้เป็นสุข
อย่ำงยิ่ง เพรำะเห็นสุขอื่นที่ดียิ่งกว่ำ และที่ประณีตกว่ำสุขนี้ยังมีอยู่อีก สุขอื่นที่ดี
กว่ำและประณีตกว่ำก็คือ ควำมสงัดจำกกำม สงัดจำกอกุศลธรรมทั้งปวง เข้ำสู่
ควำมสุขในสมำธิไปจนถึงปฐมฌำน อันมีวิตก วิจำร ปีติ และสุข ที่เกิดแต่วิเวก
เป็นต้น

ไม่ยอมรับรู้ว่ำ สัตว์ทั้งหลำยย่อมเสวยสุข โสมนัส มีกำมสุขนี้เป็นสุขอย่ำงยิ่งแต่


กลับย่อมเห็นโทษของควำมตำ่ำทรำม ควำมเศร้ำหมองของอกุศลธรรม และย่อม
เห็นอำนิสงส์ในเนกขัมมะ กำรออกจำกกำม บุรษุ ผู้ลุ่มหลงอยู่ในกามกับบุรุษผู้สงัด
จากกามนัน้ ในกำรตริตรึกย่อมจะต่ำงกันอย่ำงตรงข้ำม เช่น ในท่ำมกลำงป่ำชัฎนั้น
บุรุษผู้ลุ่มหลงอยู่ในกำมย่อมเห็นว่ำ ป่ำนี้เป็นธรรมชำติอันวิจิตรน่ำรื่นรมย์น่ำทัศนำ
ยิ่งนัก ครั้นแล้วก็จะประกำศชักชวนให้ชนทั้งหลำยมำท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ
กันให้เป็นที่สำำรำญหฤทัย
แต่บุรุษผู้เห็นป่าโดยสงัดจากกาม ที่เรียกว่าเนกขัมมะนัน้ ย่อมจะเห็นว่ำป่ำนี้ช่ำง
สงัดเงียบ ห่ำงจำกบ่อนำ้ำและทำงเดินอันเป็นที่สัญจรของฝูงชน เป็นสัปปำยะมี
ควำมสบำยในกำรเจริญสมณธรรมให้บรรลุฌำน มรรคผล นิพพำนจริงหนอ ครั้น
แล้วก็จะตกแต่งจัดเป็นอำศรมมุ่งประพฤติพรมจรรย์เพื่อกำรอยู่จบ

แต่กำมบุคคลนั้นย่อมชุ่มอยู่ด้วยกำม เห็นรูปก็ย่อมติดใจในรูป ได้ยนิ เสียงก็ย่อม


ติดใจในเสียง ได้ดมกลิ่นก็ย่อมติดใจในกลิ่น ได้ลิ้มรสก็ย่อมติดใจในรส กระทบ
ถูกต้องสัมผัสก็ยินดีในสัมผัสและเพลิดเพลินปล่อยใจคิดไปตำมอำรมณ์ปรำรถนำ
ทั้งที่เป็นอดีตและอนำคตอำรมณ์ โดยหำรู้ไม่ว่ำอดีตอำรมณ์ก็ดีอนำคตอำรมณ์ก็ดี
ล้วนแต่ก่อควำมยึดถือมั่นให้มีควำมทุกข์ มีควำมคับแค้นมำก ยิ่งอนำคตอำรมณ์
ด้วยแล้วย่อมนำำควำมทุกข์หนักมำสู่ ตัวอย่ำงเช่น
ผู้ครองเรือนทั้งหลำยชำยก็ดี หญิงก็ดี เมื่อยังมิได้เข้ามาสู่ความเป็นครอบครัวกัน
นัน้ ย่อมมุง่ สร้างฐานะทั้งในด้านเกียรติยศชื่อเสียง และในด้ำนเศรษฐกิจเพื่อให้
ชีวิตของครอบครัวเป็นไปในสังคมอย่ำงสมภำคภูมิ ดังนั้น ต่ำงฝ่ำยก็จะเพียร
พยำยำมขวนขวำยเร่งสร้ำงฐำนะอย่ำงเต็มควำมสำมำรถ ทั้งนี้เพรำะหวังในกำมสุข
อันเป็นอนำคตอำรมณ์ที่ล่อใจอยู่เบื้องหน้ำ

ครัน้ เมื่อสมความปรารถนาได้ครองเรือนกัน ก็หวังในการที่จะได้บุตรสุดที่รัก ครัน้


เมื่อได้บุตรธิดำสมควำมปรำรถนำแล้ว ก็จะเฝ้ำดูควำมเจริญของบุตรธิดำทั้งในด้ำน
ร่ำงกำยและจิตใจ ปรำรถนำให้บุตรและธิดำได้ประสบแต่ควำมสุขกำยสบำยใจ

ควำมปรำรถนำต่ำงๆอันเป็นอนำคตอำรมณ์เหล่ำนี้ ก็จะผูกพันใจให้กังวลทุกข์ร้อน
อยู่ตลอดเวลำ และยิ่งไม่ได้ดังปรำรถนำด้วยแล้ว ก็จะก่นแต่เศร้ำโศกเสียใจ พอดี
พอร้ำยหันเข้ำพอใจกับฝ่ำยอกุศลธรรม มีกำรเสพสุรำยำเมำเพื่อหวังทุเลำควำม
ทุกข์ร้อนใจ นีแ่ หละ ชีวิตของกำมบุคคล ต้องเคลิบเคลิ้มมัวเมำไปตำมอำรมณ์กำม
และกำมจิตที่กลุ้มรุมอยู่อย่ำงถอนตัวไม่หลุด

ที่เป็นเช่นนี้เพราะกามบุคคลนั้นเกิดในตระกูลกาม มีกำมเป็นเชื้อสำย เป็นยำง


เหนียวยังกำมให้สดอยู่เสมอ เหมือนตัวกำรที่ทำำให้พืชงอกงำมเขียวชอุ่ม หรือ
เหมือนแบตเตอรี่ที่ถูกช้ำจไปอยู่เรื่อยๆ
ตั้งแต่ปฐมวัย วัยเด็ก จนถึงปัจฉิมวัย วัยชรำ ตลอดเวลาทีค่ วามทุกข์ยากยังไม่
ปรากฏ กามบุคคลย่อมตัง้ อยู่บนความประมาทเสมอ ย่อมชุ่มและกำำซำบอำบอิ่ม
ด้วยกำมอยู่เนืองนิจ เหมือนบุคคลผู้อยู่ในควำมมืด เพรำะนิยมยินดีในธรรมฝ่ำยดำำ
มีอกุศลโลภ เป็นต้น แสงสว่ำงคือปัญญำย่อมส่องถึงได้ยำก ลำำบำกแก่กำรที่จะ
อบรมขัดเกลำ กำมบุคคลผู้หลงใหลในกำมคุณอำรมณ์นั้น ย่อมมีสภำพเหมือนไม้
สด มียำงที่ชุ่ม แช่อยู่ในนำ้ำ ดังข้ออุปมาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่อัคคิเวสสนะ
ในมหำสัจจกสูตร ซึ่งมีใจควำมในตอนหนึ่งว่ำ

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ยังไม่หลีกออกจากกามด้วยกาย ยังมีควำมพอใจ รัก


ใคร่ ลุ่มหลง กระหำย และมีควำมกระวนกระวำย เพรำะกำมในกำมทั้งหลำยยัง
มิได้ละ สมณะหรือพรำหมณ์ผู้เจริญเหล่ำนั้น แม้จะเพียรพยำยำมทรมำนกำยหรือ
มิได้ทรมำนก็ดี ก็เป็นผู้ไม่มีโอกำสบรรลุควำมตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐได้ จึงอุปมำ
กำมบุคคลผู้หมกมุ่นในกำมำรมณ์ว่ำ แม้จะปฏิบัติทรมำนกำยใจเพื่อควำมพ้นทุกข์
อย่ำงใดก็ตำม ย่อมไม่มีโอกำสบรรลุได้ จึงอุปมำกำมบุคคลไว้ดังไม้สด มียำง แช่
อยู่ในนำ้ำ บุรุษถือเอำไม้สีไฟมำสีเข้ำด้วยหวังจะให้ไฟเกิดขึ้นนั้น ย่อมเหนื่อยเปล่ำ

แม้สมณะพราหมณ์ผู้หลีกออกมาจากกามด้วยกายแล้ว คือออกบวชแล้ว แต่ยังมี


ความพอใจ รักใคร่ มีควำมหลง ควำมกระหำย และควำมกระวนกระวำย เพรำะ
กำมในกำมทั้งหลำยอันยังมิได้ละ ถึงจะปฏิบัติเคร่งครัดจนได้รับทุกขเวทนำที่เกิด
จำกควำมเพียรนั้นก็ดี หรือจะไม่ได้รับทุกขเวทนำก็ดี ก็ไม่มีโอกำสบรรลุธรรมอัน
ประเสริฐได้ จึงอุปมำเหมือนไม้สดมียำง ที่เขำวำงไว้บนบกห่ำงจำกนำ้ำแล้วก็ตำม
หำกบุรุษถือเอำไม้สีไฟมำสีเข้ำด้วยหวังจะให้ไฟปรำกฏนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ มีแต่
ควำมเหน็ดเหนื่อยลำำบำกเปล่ำๆ เพรำะไม้สดนั้นยังสดและมียำงอยู่ เหมือนกับ
สมณะหรือพรำหมณ์ แม้หลีกออกจำกกำมด้วยแล้วก็ตำม แต่จิตยังมีควำมพอใจ
ควำมรัก ควำมหลง ควำมกระหำย และควำมกระวนกระวำย เพรำะกำมในกำมทั้ง
หลำยนั้น ซึ่งยังมิได้ละ ก็ยังเป็นผู้ไม่ควรเพื่อรู้เห็นธรรมอันประเสริฐได้

สำาหรับผู้ออกจากกามด้วยกายแล้ว และจิตระงับความพอใจรักใคร่ ควำมกระหำย


ควำมกระวนกระวำย เพรำะกำมในกำมทั้งหลำย ถ้ำเพียรปฏิบัติไปทั้งในทำงทุกข์
ทรมำนและไม่ทุกข์ทรมำนอย่ำงใดก็ตำม ก็เป็นผู้มีโอกำสที่ควรบรรลุธรรมอัน
ประเสริฐได้
ข้ออุปมำนี้ จึงเห็นได้ชัดว่ำ กำมบุคคลส่วนมำก ผูย้ ังมิได้หลีกออกจำกกำมด้วยกำย
คือยังอยู่ครองเรือน หรือหลีกออกจำกกำมด้วยกำยแล้ว คือบรรพชำแล้วก็ตำมถ้ำยัง
มิได้ละควำมพอใจรักใคร่ ควำมหลง ควำมกระหำย ควำมกระวนกระวำย เพรำะ
กำมในกำมทั้งหลำยแล้ว ต่อให้ขวนขวำยสักเท่ำใดก็ตำม ก็ย่อมไม่อำจหลีกออก
จำกกำมไปได้รอด จึงไม่อำจรู้ธรรมอันประเสริฐได้
ควำมยำกลำำบำกในกำรออกจำกกำมจะมีเป็นเอนกปริยำยอย่ำงไรก็ตำม ก็ไม่เหลือ
วิสัยของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ บรมครูผู้ฉลำดในเชิงฝึกได้ พระองค์ก็ได้ทรงชี้แจง
แสดงทำงปฏิบัติเพื่อหลีกออกจำกกำมได้โดยเอนกปริยำยเช่นกัน ดังปรำกฏในภำร
ทวำชสูตร ซึ่งท่ำนพระปิณโฑลภำรทวำชะ ได้สดับตรับฟังมำจำกพระองค์ว่ำ ให้
ภิกษุทั้งหลำยจงตั้งจิตว่ำ "เป็นมำรดำในสตรีปูนมำรดำ จงตั้งจิตว่ำ เป็นพี่สำวหรือ
น้องสำว ในสตรีปูนพี่สำวหรือน้องสำว จงตั้งจิตว่ำ เป็นธิดำในสตรีปูนที่เป็นธิดำ"

ถ้ำตั้งจิตไว้ไม่อยู่ เพรำะควำมโลเลกลับกลอกของจิตในบำงครำว ควำมโลภอำจ


เกิดขึ้นในสตรีปูนมำรดำ ปูนพี่สำว น้องสำว หรือปูนธิดำ เธอจะเปลี่ยนมำพิจำรณำ
กำยนี้แหละ ตั้งแต่ปลำยเท้ำขึ้นไปถึงเบื้องปลำยผมลงมำ กำยนัน้ ก็มีแต่หนังหุ้มห่อ
อยู่โดยรอบเต็มไปด้วยของโสโครกต่ำงๆ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนังเนื้อ เอ็น กระดูก
เยื่อในกระดูก ม้ำม หัวใจ พังผืด ตับไต ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ปอด อำหำรใหม่ อำหำร
เก่ำ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น เปลวมัน ไขข้อ นำ้ำมูก นำ้ำลำย นำ้ำตำ และนำ้ำ
มูตร ดังนี้

ภิกษุผู้อบรมแล้วทั้งกำยและใจ จะต้องจำำไว้ในใจโดยควำมเป็นของไม่งำมใน
ร่ำงกำยนี้ ต้องกระทำำไว้ในใจให้แยกคำยอยู่เสมอ
ถ้ำอำรมณ์ย่อมได้มำโดยควำมเห็นว่ำเป็นของงำมแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสแก้อำรมณ์นั้นๆไว้
อีกว่ำ "ภิกษุทั้งหลำย เธอจงเป็นผู้มีทวำรอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลำยอยู่เถิด เมื่อเธอเห็นรูป
ด้วยตำแล้ว จงอย่ำเป็นผู้ถือเอำโดยนิมิตเครื่องหมำย อย่ำงเช่นผู้ถือเอำโดยอนุพยัญชนะลักษณะส่วน
ย่อย จงปฏิบัติเพื่อสำำรวมจักขุนทรีย์ กล่ำวคือ ต้องพิจำรณำกำรเห็นเป็นปรำกฏกำรณ์ของรูปนำม
โดยควำมเป็นไตรลักษณ์ เป็นอำกำรสักแต่ว่ำเห็น เป็นกำรเห็นที่ไม่ประกอบไปด้วยสักกำยทิฏฐิ คือ
เห็นควำมเป็นตัวตนคนสัตว์

เมื่อสำำรวมดังนี้แล้ว นิมิตและอนุพยัญชนะจำกกำรเห็น จะปรำกฏเป็นอำรมณ์ให้ยึดถือไม่ได้ ถ้ำไม่


สำำรวมอินทรีย์แล้ว ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลำมก คือ อภิชฌำและโทมนัสครอบงำำจิตใจได้
จงรักษำจักขุนทรีย์ ให้ถึงควำมสำำรวมในกำรเห็น จงรักษำโสตินทรีย์ให้ถึงควำมสำำรวมในกำรฟัง
จงรักษำฆำนินทรีย์ ให้ถึงควำมสำำรวมในกำรสูดกลิ่น จงรักษำชิวหินทรีย์ให้ถึงควำมสำำรวมในกำร
ลิ้มรสด้วยลิ้น จงรักษำกำยินทรีย์ให้ถึงควำมสำำรวมในกำรสัมผัสด้วยกำย กำรรู้ธรรมำรมณ์ด้วยใจ
สักแต่ว่ำเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส สัมผัสแล้ว อย่ำได้เป็นผู้ถือโดยนิมิต อย่ำได้เป็นผู้ถือโดยอนุ
พยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อควำมสำำรวมอินทรีย์ทั้งมวล กำรหลีกออกจำกกำม ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็
คือ การเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนานัน่ เอง
สมถภาวนา (กำรปฏิบัติให้จิตสงบ) นัน้ ก็คือกำรทำำสมำธิ จนถึงอัปปนำสมำธิคือ
ฌำนจิตเกิด เมื่อผู้ปฏิบัติสำมำรถปฏิบัติได้จนบรรลุฌำน มีปฐมฌำนเป็นต้นแล้ว
และปฐมฌำนนี้ประกอบด้วยองค์ฌำน คือ วิตก วิจำร ปีติ สุข เอกัคคตำ ฌำนนี้เอง
จะเป็นผู้ประหาณกิเลสโดยวิขัมภนปหาน

กำมฉันทนิวรณ์ ควำมยินดีติดใจในอำรมณ์กำมที่เป็นเครื่องกั้นควำมดีถูกข่มไม่ให้
เกิดขึ้นมำ ด้วยอำำนำจของสมำธิที่ได้จนถึงฌำนนั่นเอง แต่กำรออกจำกกำมชนิด
ปฏิบัติสมถภำวนำนี้ เป็นกำรออกจำกกำมคือพ้นจำกควำมยินดีติดใจในอำรมณ์
ต่ำงๆ ไม่ได้เด็ดขำด เพรำะถ้ำอำำนำจของฌำนเสื่อมลงเมื่อใดแล้ว กำมย่อมปรำกฏ
ได้ใหม่อีก ถ้ำปรำรถนำออกจำกกำมโดยเด็ดขำดแล้วจะต้องเจริญวิปัสสนำ (กำร
ทำำจิตให้เกิดปัญญำ) คือ กำำหนดรูปนำมเป็นอำรมณ์ โดยควำมเป็นไตรลักษณ์
ทำำลำยสักกำยทิฏฐิและวิปลำสธรรมให้สิ้นไปจนมรรคจิตเกิดขึ้น
เมื่อมรรคเบื้องตำ่ำเกิดแล้ว ก็ยังไม่สำมำรถประหำณกำมได้เด็ดขำดเป็นสมุจเฉท
ปหำนได้ ต้องเจริญให้ถึงมรรคเบื้องบนคืออนาคามิมรรค กามราคะทั้งหลายจึงถูก
ทำาลายโดยสิ้นเชิงเป็นสมุจเฉทปหาน กำมรำคะจึงไม่เกิดแก่อนำคำมิบุคคลและ
อรหันตบุคคล จึงเห็นได้ว่ำขอบเขตของกำมนัน้ มีกว้ำงขวำงยิ่งนัก

สัตว์ทั้งหลำยย่อมไหลไปตำมควำมปรำรถนำในกำรบริโภคกำมของตน และจะ
ดิ้นรนกระเสือกกระสนไปจนกว่ำจะสมควำมปรำรถนำ หรือล้มหำยตำยไป เปรียบ
เหมือนนำ้ำที่เอิบอำบไปในแผ่นดินย่อมจะซำบซึมขยำยบริเวณออกไปจนหำ
ขอบเขตมิได้และสัตว์ทั้งหลำยหำทรำบไม่ว่ำ เพราะกามของเขานั้นก็เป็นศัตรูของ
เขาเอง
ควำมดิ้นรนกระเสือกกระสนของมนุษย์ก็เป็นไปอย่ำงรุนแรง หรืออย่ำงสุดกำำลัง
ตรำบเท่ำที่ยังมีลมหำยใจอยู่ เมื่อข่ำวว่ำกำรขุดทองคำำได้ผลดี แม้จะห่ำงไกลไปสุด
หล้ำฟ้ำเขียว เขำก็จะพำกันยกขบวนออกไป แม้จะยำกลำำบำกแสนเข็ญสักเพียงใดก็
อดทนได้ เมื่อมีข่ำวว่ำ ที่ไหนสนุกสนำนถึงใจ เขำก็จะหำทำงฝ่ำควำมลำำบำก
ทุรกันดำรไปจนถึง และเมื่อมีข่ำวว่ำ ท่ำนผู้ใดให้หวยลอตเตอรี่ถูกรำงวัลใหญ่ เขำก็
จะไม่เห็นแก่ควำมเหนื่อยยำกแต่ประกำรใด หนทำงเดินแม้จะไกลก็คลำคลำ่ำไป
ด้วยผู้มีควำมปรำรถนำอย่ำงแรงกล้ำ จะเฝ้ำออดอ้อนด้วยถ้อยคำำที่จะจูงใจให้ท่ำนผู้
นัน้ แสดงออกมำ

กำาลังแรงของความปรารถนาย่อมจะจูงพาหรือผลักส่งให้ผู้มีกำาลังแรงของความ
ปรารถนาเหล่านั้น ไปยังทิศทางที่ตนตั้งใจเอาไว้ ดังจะเห็นได้ว่ำ ผู้ที่มีควำมยินดี
ติดใจในกำรเล่นรื่นเริง และโอบกอดเพศตรงข้ำม เขำก็จะพำกันไปชุมนุมตำมไนท์
คลับยำมคำ่ำคืน โอบกอดซึ่งกันและกันแล้วสนุกสนำนรื่นเริงกันอย่ำงสุดเหวี่ยง
เมื่อกลับมำบ้ำนก็ยังมำฝันถึงคำ่ำคืนอันน่ำอภิรมย์ เมื่ออำำนำจของควำมปรำรถนำใน
ควำมมึนเมำ มำเร้ำอยู่ในดวงจิตเสียจนเคยชินแล้ว ในเวลำเย็นคำ่ำ เขำทั้งหลำยก็จะ
พำกันมำชุมนุมอยู่ ณ ร้ำนเครื่องดองของเมำสนทนำปรำศรัยหยอกล้อหรืออวด
อิทธิพลกันครื้นเครง ด้วยอำำนำจของกำมผลักส่งมำ
เมื่อควำมปรำรถนำในพระเจ้ำเงินตรำมีกำำลังมำก เมื่อควำมต้องกำรรำ่ำรวยมีอำำนำจ
เหนือ เขำทั้งหลำยก็จะทอดทิ้งควำมดีเอำไว้เบื้องหลัง แล้วก็ทุ่มโถมตัวเองลงไปใน
กำรต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยมิได้คำำนึงควำมเมตตำกรุณำ
ไม่ได้คิดถึงศีลธรรมจรรยำ ไม่เอำใจใส่ว่ำใครจะเดือดร้อนหรือล้มลงนอนดิ้น
เพรำะพ่ำยแพ้ในกำรต่อสู้นี่คือฤทธิ์ของกำมผลักส่งให้เกิดขึ้น

กำำลังอำำนำจอันเกิดจำกควำมปรำรถนำอันเป็นกำมดังกล่ำวนี้ ไม่ว่ำจะเป็นไปใน
ทำงบุญหรือบำปก็ตำม ย่อมจะประทับ ย่อมจะสั่งสมให้เกิดกำาลังมากขึ้นๆ ไว้ใน
จิตใจแล้วเก็บเอาไว้เหมือนกับนำ้ำที่ตั้งอยู่บนไฟมันก็จะร้อนเพิ่มขึ้นๆ เป็นลำำดับไป
จนกว่ำจะออกเสียงร้องแล้วมีไอพวยพุ่งเกิดควำมดันขึ้นมำ
เหมือนชำยหนุ่มผู้ผูกสมัครรักใคร่หญิงสำวปำนชีวิตจิตใจ ได้พูดได้คุย ได้ถูกเนื้อ
ต้องตัวจนเกิดควำมรักท่วมท้นหัวใจ ควำมรักได้ทวีตัวเองเพิ่มพูนตัวเองอยู้มิได้
ขำดสำยกำำลังอำำนำจของควำมรัก มันจะเกิดขึ้นมำกมำกมำย

กำำลังอำำนำจนี้ก็จะทำำให้ชำยหนุ่มผู้หลงใหลยอมเป็นทำสของควำมรัก ยอมอุทิศ
ตนอุตส่ำห์ทรหดอดทนบุกเบิกหนทำงเพื่อสร้ำงตัวสร้ำงชีวิตครอบครัวให้เป็นปึก
แผ่น ทั้งจะยอมเป็นยอมตำยเมื่อควำมรักได้ถูกขวำงกั้น และเมื่อควำมปรำรถนำได้
ถูกเรียกร้องด้วยกำำลังแรงกล้ำ แม้แม่นำ้ำกว้ำง หรือภูเขำจะสูงอย่ำงไร หรือจะเป็น
ป่ำช้ำที่มีภูติผีปีศำจที่น่ำกลัว หรือว่ำที่พ่อตำในอนำคตจะถือตะพดอันโตสักเพียง
ไหน กำำลังอำำนำจของควำมรักที่สะสมอยู่ภำยในจิตใจคุกรุ่นอยู่ ก็จะผลักส่งให้หำ
หนทำงไปให้จนได้ แม้ควำมตำยจะเยื้องกรำยขวำงหน้ำก็ไม่หวั่นไหว
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลำยก็เป็นเช่นเดียวกันทั้งนั้น ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมำในเวลำเช้ำจน
กระทั่งหลับนอนลงในเวลำกลำงคืน ได้ทุ่มเทควำมปรำรถนำ คือ ควำมยินดีติดใจ
ในอำรมณ์กำมต่ำงๆ ที่เกิดขึ้นทำงตำ หู จมูก ลิ้น กำย และใจ อยู่ตลอดเวลำ หรือได้
กระทำำทำงกำย วำจำ และทำงใจ เพื่อให้ควำมยินดีติดใจในอำรมณ์กำมนั้นสม
ควำมประสงค์ และจะเป็นไปอยู่เช่นนี้ทุกเมื่อทุกวัน ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ ที่คลอด
ออกมำจำกครรภ์ของมำรดำ ไปจนกระทั่งเติบโต แล้วก็ต่อไปจนกว่ำจะถึงแก่ควำม
ตำย ควำมยินดีติดใจต่ำงๆอันเป็นกำมำรมณ์ อันเป็นกำมตัณหำนั้น ก็จะฝังประทับ
สร้ำงสมกำำลังอำำนำจอยู่ทุกวี่ทุกวัน สะสมรวบรวมเพิ่มเติมอยู่ภำยในดวงจิต
เหมือนกำรเติมเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์กลไก

ด้วยเหตุดังกล่ำวนี้เอง จึงไม่มีข้อสงสัยเลยว่า เมื่อชีวิตสิ้นสุดลงเมื่อใด กำำลังอำำนำจ


เหล่ำนั้นจะไม่มีอำำนำจหรือมีอิทธิพลผลักส่งให้ปฏิสนธิขึ้นมำอีก ทำำให้จิตเจตสิก
และกรรมชรูป ได้ตั้งต้นขึ้นในภพใหม่ ชำติใหม่ ชีวิตก็จะอุบัติขึ้นมำอีกอย่ำง
แน่นอนที่สุดภำยหลังควำมตำย และจะวนเวียนเป็นไปเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ ตลอดกำล
อันนำนแสนนำนมำ ไม่มีใครทรำบได้ว่ำจะไปสิ้นสุดเมื่อใด
ดังนี้เองพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำจึงได้ทรงแสดงว่ำ ควำมทุกข์ทั้งหลำยอันเกิดจำกกำร
กินอยู่หลับนอนในชำตินี้เท่ำนั้น มิใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย เพรำะเกิดขึ้นแล้ว
ก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงบรรเทำทุกข์ไปได้บ้ำง กำลที่เนิ่นนำนออกไป ช่วยทุกข์ได้
ลดน้อยลงได้บ้ำง และชีวิตนี้ไม่นำนเท่ำใด เผลอไปเล็กน้อยก็ล่วงถึงควำมชรำและ
ควำมตำยไป แต่เมื่อควำมเกิดยังคงมีอยู่ ควำมทุกข์ก็ยังติดตำมควำมเกิดดับไปทุกๆ
ชำติไม่ขำดสำย ดังนัน้ วัฏฏะที่เวียนเกิดเวียนตำยนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่นำ่ พิสมัยอะไร
เลย จึงเป็นสิ่งที่นำ่ สะพรึงกลัวที่สุดสำำหรับในปัญหำของบัณฑิต

แต่ในสำมัญชนทั้งหลำยกลับเห็นตรงข้ำม เพรำะเห็นควำมเกิดเป็นของดีของงำม
จะได้กินได้อยู่ ได้เสพอำรมณ์ใหม่ๆแปลกๆ ด้วยเหตุนี้ ถ้าผู้ใดมาแช่งว่า ขออย่าได้
ผุดได้เกิดเลย ผู้ถูกแช่งก็จะเป็นเดือดเป็นแค้น เกิดความโกรธขึ้นมาทันที

ผมได้แสดงมำแล้วว่ำ เมื่อกำำลังของควำมปรำรถนำนั้นเป็นไปอยู่เสมอ และมีกำำลัง


มำกแล้ว มันก็จะเกิดกำำลังจูงพำ หรือผลักส่งไปยังอำรมณ์ที่เป็นต้นตอของควำม
ปรำรถนำนั้น เช่นติดใจในกำรเต้นรำำ ก็ไปไนท์คลับ ติดใจดื่มสุรำก็ไปยังร้ำนขำย
สุรำ ติดใจธรรมะก็ไปวัด เป็นต้น
"กามาวจรจิต" แยกออกเป็นสองบท คือ กาม และอวจร

อวจร หมายถึง การเวียนไปเวียนมา ได้แก่จิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในกำมำรมณ์เป็นส่วน


มำก เพรำะเมื่อติดใจในกำม ก็วนไปเวียนมำท่องเที่ยวเกิดในภพภูมิต่ำงๆที่เป็นกำม
เช่น เกิดเป็นเปรต อสุรกำย สัตว์เดรัจฉำน มนุษย์ เทวดำ ซึ่งมีควำมปรำรถนำกำม
เช่นเดียวกัน แล้วแต่กำรกระทำำของตนเองในระหว่ำงที่มีชีวิตอยู่ว่ำ คิดอะไร พูด
อะไร ทำำอะไรมำกที่สุด เป็นบำปหรือเป็นบุญ กำาลังแรงของเจตนานั้นหนักไปใน
ทางใด ก็จะไปเกิดตามเจตนานั้น

บำงคนพูดว่ำ "คนตำยแล้วจะไปเกิดได้อย่ำงไร ไม่มีเหตุผล ไม่มีหลักฐำน ข้อเท็จ


จริงพิสูจน์ไม่ได้" คนที่พูดดังกล่ำวมำนี้ ล้วนเป็นผู้ที่มิได้ศึกษำพระอภิธรรม หรือ
ยังมิได้ศึกษำให้ละเอียดเท่ำนั้น เพรำะเรื่องเหล่ำนี้มิใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย
สำำหรับผู้ที่เข้ำไปค้นคว้ำหำควำมจริงให้ถึงแก่น มีคนเป็นอันมำกที่เรียกร้องหรือ
ขอบทพิสูจน์ แต่มีน้อยคนเหลือเกินที่เริ่มต้นเข้ำพิสูจน์เลยทีเดียวด้วยควำมตั้งใจ
จริง

ผู้ที่เดินอยู่ท่ำมกลำงควำมมืดมักจะพูดว่ำ เพรำะควำมมืดนี้ทีเดียวที่ทำำให้เดินไม่ถูก
ทำง ผูท้ ี่เดินอยู่ท่ำมกลำงแสงสว่ำงก็มักจะพูดว่ำ ด้วยเหตุนี้ที่มีแสงสว่ำงจึงเดินทำง
ได้ถูกต้อง แต่อำจหลงทำงหรือเดินผิดทำงทั้งสองท่ำนก็ได้ เพรำะในเรื่องของชีวิต
เป็นปัญหำอันเร้นลับและลึกซึ้งยิ่งนัก เรำหำได้มีควำมเข้ำใจไม่ว่ำ ชีวิตมีควำมเป็น
มำอย่ำงไรและเป็นไปอย่ำงไร ทั้งๆที่เรำพัวพันอยู่กับมันทุกเช้ำคำ่ำ ดังนั้นจึงไม่ควร
พูดว่ำแสงสว่ำงทำำให้เรำเดินถูกทิศทำงได้
"รูปาวจรจิต" เป็นจิตที่เข้ำถึงสมำธิแนบแน่นแล้ว ทำำลำยควำมต้องกำรกำมได้
เป็นกำรชั่วครำว เมื่อไม่มีควำมต้องกำรกำม ต้องกำรแต่ควำมสุขจำกควำมสงบเป็น
สมำธิแต่อย่ำงเดียวเช่นนี้แล้ว เมื่อชีวิตได้ถึงที่สุดแล้ว จึงไปเกิดยังภูมิที่มีแต่ควำม
ต้องกำรกำม เช่น มนุษย์ เทวดำ และสัตว์เดรัจฉำนไม่ได้ ดังนัน้ จึงได้ไปเกิดยัง
พรหมภูมิ ซึ่งก็เป็นเทวดำพวกหนึ่งที่มีควำมประณีตมำกแต่ไม่มีควำมติดใจในกำม
แล้วจะอยู่ ณ ทีน่ ี้จนกว่ำจะหมดแรงที่ส่งไป

"อรูปาวจรจิต" เป็นจิตที่เข้ำถึงสมำธิแนบแน่นและประณีตมำก ด้วยจิตเป็นที่


เข้ำไปรับอำรมณ์ที่ว่ำง (เช่น เพ่งอำกำศ จิตจับอำกำศเป็นอำรมณ์ ไม่ใช่ว่ำงเปล่ำ)
เพรำะปรำศจำกรูป ซึ่งเป็นจิตที่เหนือขึ้นมำจำกรูปำวจรจิตที่ได้กล่ำวมำแล้ว ผู้
ปฏิบัตถิ ึงชั้นนี้ก็จะไปปฏิสนธิยังอรูปพรหมภูมิ ด้วยเหตุว่ำจะมำเกิดยังกำมภูมิและ
รูปพรหมภูมิไม่ได้แล้ว

"โลกุตตรจิต" เป็นจิตที่เข้ำถึงควำมหลุดพ้น เป็นจิตที่กิเลสถูกทำำลำยตั้งแต่บำง


ส่วนไปจนถึงหมดสิ้นเป็นพระอรหันต์ เป็นกำรประหำณกิเลสชนิดทีเ่ ด็ดขำด
เพรำะกิเลสที่ประหำณแล้วจะไม่บังเกิดขึ้นมำอีกได้เลยเป็นอันขำด และเป็นจิตที่
พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งมิได้ใช้คำำว่ำ "อวจร" ซึ่งหมำยถึงจิตที่เกิดวนไป
เวียนมำ และเป็นจิตที่พ้นจำกควำมหมุนเวียน และพ้นจำกควำมทุกข์อย่ำงแน่นอน
ผมได้บรรยำยจิตทั้ง ๔ ประเภท คือ กำมำวจรจิต รูปำวจรจิต อรูปำวจรจิต และโลกุ
ตตรจิต มำพอสมควรแล้ว ผมได้แสดงถึงกำมำวจรจิตออกไปให้กว้ำงขวำงขึ้น
แล้วยกจิตอีก ๓ ประเภทที่เหลือมำอธิบำยโดยสังเขป เพื่อจะให้ท่ำนได้ใช้เป็น
เครื่องเปรียบเทียบกัน ในสัปดำห์หน้ำผมจะได้บรรยำยถึงกำมำวจรจิต ๕๔
ประเภทที่แยกออกไปเป็นชั้นๆต่อไป จำกนี้ผมจะขอตอบคำำถำมที่ค้ำงมำจำกวัน
ก่อนเสียให้หมด แล้วถ้ำเวลำยังเหลืออยู่ ผมก็จะให้ท่ำนนักศึกษำถำมปัญหำอื่นๆ
ได้ตำมที่บรรยำยมำแล้ว

คำาถาม เขำว่ำพระพุทธศำสนำสอนแต่ในเรื่องของทุกข์นั้นจริงหรือ ถ้าจริงเช่นนั้น


ก็เท่ากับสอนให้คนทุกข์หนักยิ่งขึ้น โดยจะทำาให้งอมืองอเท้าคอยอาศัยแต่กรรมดีที่
ทำาไว้ในชาติก่อน ไม่คิดต่อสู้และยอมจำำนนเสียง่ำยๆ

คำาตอบ พระพุทธศำสนำไม่ได้สอนแต่เรื่องของทุกข์เท่ำนั้น แต่สอนให้รู้จักทุกข์


และสอนไปในหนทำงให้บังเกิดควำมสุขทั้งในชำตินี้และในชำติหน้ำตลอดจน
ควำมสุขอย่ำงยิ่ง สอนให้ละชั่วประพฤติดีมีศีลธรรม มีควำมละอำยต่อกำรกระ
ทำำบำป สอนให้ขยันหมั่นเพียรจะตั้งตัวได้ไม่ลำำบำก สอนให้มีเมตตำกรุณำต่อกัน
จะได้อยู่ร่วมกันในสังคมโดยควำมเรียบร้อย และสอนให้ทำำจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อมี
สติปัญญำมีควำมสำมำรถมำกขึ้นก็สอนปรมัตถประโยชน์ สอนให้เห็นเหตุของ
กำรเวียนว่ำยตำยเกิด พร้อมทั้งสอนหนทำงพ้นทุกข์อย่ำงเด็ดขำดให้ด้วย

พระพุทธศำสนำไม่ได้สอนให้คนทุกข์ แต่สอนให้คนรู้จักทุกข์ พร้อมทั้งสอนวิธี


แก้ทุกข์ตั้งแต่เล็กๆน้อยๆ ไปจนทุกข์ใหญ่ๆ ให้พ้นไปโดยเด็ดขำดสิ้นเชิง

คนที่ไม่เคยได้ศึกษำปรมัตถธรรม บำงคนคิดว่ำ พระพุทธศำสนำสอนแต่ในเรื่อง


ของทุกข์ ซึ่งจะทำำให้คนเศร้ำหมองทุกข์ร้อนหนักยิ่งขึ้น แล้วทำำให้งอมืองอเท้ำ
คอยแต่อำศัยผลของกรรมดีในชำติก่อน ยอมจำำนน ไม่คิดต่อสู้

ความจริงนั้นตรงกันข้าม ผู้ศึกษากลับไม่งอมืองอเท้า ทั้งไม่ได้คอยผลกรรมดี


เท่านัน้ แต่มีหลักในการต่อสู้ เพรำะรู้ว่ำจะสู้กับใครที่สำำคัญที่สุด และจะสู้อย่ำงไรดี
กำรเรียนรู้เรื่องของทุกข์เป็นกำรเรียนรู้เรื่องของผล เพื่อที่จะสำวเข้ำไปถึงเหตุจะได้
ค้นต้นเหตุของทุกข์นั้นเสีย ก็เหมือนกันกับนำยแพทย์เรียนรู้เรื่องของเชื้อโรคร้ำย
จะรู้จักหน้ำตำแล้วทำำลำยเชื้อโรคนั้นเสียได้ ไม่เคยมีใครพูดว่ำเรียนรู้เรื่องเชื้อโรค
แล้วจะเป็นโรคมำกยิ่งขึ้น เมื่อเรำเรียนรู้เรื่องทุกข์แล้วจะได้มีปัญญำสำมำรถทำำลำย
ทุกข์นั้นให้หลุดถอนออกไป ผูท้ ี่เคยศึกษำเรื่องของทุกข์มำแล้ว ไม่เห็นมีใครพูดว่ำ
ยิ่งเรียนรู้ยิ่งทุกข์มำกขึ้น มีแต่พูดว่ำ เรียนรูเ้ รื่องของทุกข์และเหตุของทุกข์แล้ว
กลับทำาให้ใจแจ่มใสเบิกบานมีความสุขยิ่งขึ้น ผิดกว่ำเมื่อครั้งยังไม่ได้เรียนตั้งร้อย
เท่ำพันเท่ำ

นอกจำกนี้กำรเรียนรู้เรื่องของทุกข์และควำมเป็นไปในวัฏฏะให้เข้ำใจดี กำรปฏิบัติ
กำรงำนกลับยิ่งเป็นผลดี จิตใจมีควำมมั่นคงยิ่งขึน้ ควำมสะดุ้งสะเทือนใจหวั่นไหว
กลับลดลง ควำมทุกข์กังวล ห่วงใย เศร้ำหมอง เร่ำร้อน ถอยออกไปเป็นอันมำก

เมื่อจิตใจแจ่มใส กำรงำนก็ก้ำวหน้ำ ถ้ำท่ำนผู้ใดสงสัยว่ำจะจริงหรือไม่ ก็ขอให้


ทดลองศึกษำดูสักพักก็จะได้บทพิสูจน์ดว้ ยตนเอง ผมก็ศึกษำเล่ำเรียนพระอภิธรรม
มำนำนปี เฉพำะที่บรรยำยอยู่ในพุทธสมำคมนี้ทุกวันเสำร์-อำทิตย์ก็ ๑๒ ปีเศษแล้ว
บรรยำยในจังหวัดต่ำงๆ ก็เดินไปอยู่เสมอ กำรงำนอำชีพของผมก็ยังคงดำำเนินมำได้
จนบัดนี้ สักวันหนึ่งข้ำงหน้ำเมื่ออำยุเข้ำถึงควำมชรำแล้วคงจะได้มีโอกำสทำำ
ประโยชน์แก่ประชำชนแต่ธรรมะด้ำนเดียว จะหยุดพักงำนอำชีพเสียทีหนึ่ง ซึ่งผม
คอยให้ถึงวันนั้นมำนำนแล้ว
คำาถาม ที่ว่ำ จิตเป็นใหญ่เป็นประธำน บำงคนว่ำรูปเป็นใหญ่ แม้พระสัมมำสัมพุทธ
เจ้ำก็ยังเสวยพระกระยำหำรซึ่งเป็นรูปก่อนตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้จะว่าจิตเป็นใหญ่ได้
อย่างไร

คำาตอบ ทีว่ ่ำ จิตเป็นใหญ่เป็นประธำนมำจำกบำลีว่ำ "มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมาฯ"


นัน้ ผมเคยได้ยินคนเถียงกันอยู่เสมอว่ำ จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธำน อีกฝ่ำยหนึ่งก็
ว่ำ จิตไม่ได้เป็นใหญ่ รูปต่ำงหำกที่เป็นใหญ่ ถ้ำไม่มีรูปแล้วจิตจะเกิดขึ้นมำได้
อย่ำงไร ถ้ำไม่มีรูป จะเป็นคนอยู่ได้หรือ
ควำมจริงกำรทุ่มเถียงกันดังกล่ำวหำได้ตรงประเด็นไม่ เพรำะพระบำลีนี้มิได้หมำย
ถึงว่ำ จิตเป็นใหญ่กว่ำรูป หรือรูปเป็นใหญ่กว่ำจิต เพรำะจิตและรูปต้องอำศัยซึ่งกัน
และกันอยู่เสมอ เช่น จิต"เห็น"เกิดขึ้นก็ต้องอำศัย"จักขุปสาทะ"ซึ่งเป็นรูป และ "
เห็น"จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ำไม่มีจิต เป็นต้น

ในเรื่องนี้มีควำมหมำยแต่เพียงว่ำ จิตเป็นใหญ่ในสัมปยุตตธรรมเท่านั้น คือ ใน


ขณะที่อำรมณ์เกิดขึ้น เช่น "จิตเห็น" ก็ย่อมจะมีเจตสิกเกิดร่วมประชุมพร้อมกัน
แม้ในรูแอันเกิดจำกจิตที่เรียกชื่อว่ำ จิตตชรูป เช่น หน้ำแดง หน้ำซีด หัวเรำะ
เป็นต้น จิตก็เป็นตัวทำำให้เกิดขึ้น จิตก็ย่อมเป็นหัวหน้ำในกำรเกิดอำรมณ์ หรือกำร
เคลื่อนไหวของกำยขึ้น จิตก็ต้องสั่ง เพรำะจิตเป็นประธำน ในขณะนี้ก็มีเจตสิกเข้ำ
ร่วมประกอบด้วย พร้อมทั้งอำกำรกิริยำที่เคลื่อนไหวอันเป็นรูปที่จิตก่อให้เกิดขึ้น
เรียกว่ำ จิตตชรูป ก็เกิดด้วยกัน

ถ้ำพูดโดยสรุปก็คือ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในสัมปยุตธรรม คือการประชุมที่เกิด


พร้อมกันนั่นเอง
ถาม เด็กอยู่ในท้องรับกรรมหรือเปล่ำ? ถ้ำรับๆได้อย่ำงไร

ตอบ บรรดำสัตว์ทั้งหลำยผู้ซึ่งเกิดขึ้นมำในโลกนี้ ไม่มีใครเลยที่จะไม่ได้รับผลของ


กรรมที่ตนได้ทำาเอาไว้ แม้พระอรหันต์ผู้ซึ่งไม่มีกิเลสเข้ำมำพัวพันแล้วก็ยังหนีไม่
พ้น ย่อมจะได้รับผลของกรรมมำกบ้ำงน้อยบ้ำงตำมกำำลังที่ได้กระทำำมำ

ผู้ใดยังมีกิเลสอยู่ ผลของกรรมที่ได้รับนั้นก็มำจำกทั้งอดีตและปัจจุบัน สำำหรับพระ


อรหันต์ กำรกระทำำทั้งหลำยเป็นกิริยำไปสิ้นแล้ว ผลของกรรมในปัจจุบันจึงเกิด
ขึ้นไม่ได้ ตั้งแต่ถึงควำมเป็นพระอรหันต์เป็นต้นไป

เด็กอยู่ในครรภ์รบั ผลกรรมที่ได้ทำาในอดีตได้ แม้ร่างกายเพิ่งจะเป็นจุดเล็กๆที่เรียก


ว่า "กลละ" เพรำะจิตเกิดขึ้น อำรมณ์ก็ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกัน เป็นควำมรู้สึกทำงใจ
แต่อำรมณ์ที่เป็นควำมรู้สึกทำงใจจะเกิดขึ้นมำได้ก็ต้องอำศัยกรรมที่ทำำไว้ในอดีต
และเก็บไว้ในจิตใจมำกระทบ

เช่น ชำติก่อนชอบฆ่ำสัตว์ตัดชีวิตเอำไว้มำก กรรมที่ไม่ดีเหล่ำนี้ก็จะมำกระทบจิต


อยู่เสมอ ก็จะฝันร้ำยสะดุ้งตกใจบ่อยๆ ถ้ำทำำบุญให้ทำนรักษำศีลไว้มำก ควำมดีนั้น
จะมำกระทบจิต ก็จะฝันดีน่ำรื่นรมย์อยู่เสมอๆ

ถ้ำเด็กนั้นเติบโตขึ้นมีร่ำงกำย มีตำ มีหู ผลของกรรมก็จะไม่เกิดขึ้นแต่เพียงทำงใจ


เท่ำนั้น ผลกรรมนั้นจะเกิดขึ้นทำงทวำรอื่นด้วย เช่น ตำไม่ดี หูไม่ดี ร่ำงกำยพิกำร
ไม่สมประกอบ หรือตรงกันข้ำม คือ ตำดี หูดี ร่ำงกำยไม่พิกำร เป็นต้น
คำาถาม กำมำวจรจิตหมำยถึงจิตที่เวียนว่ำยตำยเกิดยังภพภูมิต่ำงๆ กล่ำวถึงเรื่อง
เปรต อสุรกำย และเทวดำนั้น ขอถำมว่ำ เปรต อสุรกำย และเทวดำเป็นอย่ำงไร

ตอบ เรื่องเปรต อสุรกำย และเทวดำนั้น จะมีศึกษำกันในปริจเฉทที่ ๕ ท่ำนจะได้


ทรำบถึงจุติปฏิสนธิของสัตว์เหล่ำนี้ ว่ำจุติ-ปฏิสนธิกันอย่ำงไร เมื่อปฏิสนธิแล้วมี
รูปกำยเป็นกลุ่มของปรมำณูอย่ำงไรบ้ำง ควำมเป็นอยู่ ควำมเป็นไป เพศหญิง เพศ
ชำย กินอยู่หลับนอน ตลอดจนอำศัยอยู่ ณ ที่ใดบ้ำง มีควำมรู้ควำมฉลำดแตกต่ำง
กันอย่ำงไร ฯลฯ

เรื่องทั้งหลำยเหล่ำนี้จะมีรำยละเอียดให้ท่ำนได้ศึกษำกันมำกทีเดียว อำจจะใช้เวลำ
ถึงหนึ่งปีก็ได้ แต่อย่ำงไรก็ดี กำรบรรยำยต่อๆไปกว่ำจะถึงปริจเฉทที่ ๕ ท่ำนจะได้
ทรำบมำกขึ้นไปเป็นลำำดับ

สำาหรับเวลานี้ เราเพิ่งจะได้เริ่มต้นศึกษากันในปริจเฉทที่ ๑ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ผมกล่ำวพำดพิงเข้ำไปถึงบ้ำง ก็เพรำะมีควำมจำำเป็น ยังมิได้มีควำมต้องกำรที่จะให้
ท่ำนศึกษำจริงๆ แต่ผมของยืนยันว่ำ เปรต อสุรกำย เทวดำ หรือสวรรค์ นรก นัน้ มี
จริงๆ ไม่ใช่สวรรค์ในอก นรกในใจ

อย่ำงไรก็ดี ถ้ำท่ำนผู้ใดเห็นว่ำ เรื่องเหล่ำนี้เข้ำไปสู่ควำมเพ้อฝันไม่เป็นจริงแล้ว ผม


ก็จะไม่ติดใจ และเป็นสิทธิของท่ำนที่จะคิดเช่นนั้น แต่ผมขอให้ศึกษำไปก่อนอย่ำ
ได้ขำดเสีย ผมบรรยำยพระอภิธรรมอยู่ในพุทธสมำคมนี้มำนำนแล้ว ได้พบท่ำนนัก
ศึกษำใหม่ๆที่ไม่เชื่อเรื่องเหล่ำนี้เป็นส่วนมำก ศึกษำนำนๆไปได้เหตุผลหนักแน่น
ไม่คลอนแคลน ก็ทนต่อเหตุผลที่หนักแน่นนั้นไปไม่ไหว จึงได้เลื่อมใสศรัทธำ
เป็นอันมำก

You might also like