Professional Documents
Culture Documents
เสนอ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรัญ วสั นตกรณ์
คณะผู้จัดทํา
1. นางสาวชวันลักษณ์ สุ วรรณรัศมี รหัสประจําตัว 09490051
2. นายชาคริต เสงีย่ มกิตติกลุ รหัสประจําตัว 09490054
3. นายชาญวิทย์ ไชยทองรักษ์ รหัสประจําตัว 09490055
4. นางสาวชุตมิ า พึง่ นุสนธิ์ รหัสประจําตัว 09490057
5. นายณัฐ จันทรักษา รหัสประจําตัว 09490060
6. นายณัฐวุฒิ มาลัยลักษ์ รหัสประจําตัว 09490063
7. นายณัฐวุฒิ วงค์ อามาตย์ รหัสประจําตัว 09490064
8. นางสาวณัฐสิ รี นริสศิริกลุ รหัสประจําตัว 09490065
9. นางสาวดรุณี โศภณัฐยานนท์ รหัสประจําตัว 09490066
10. นายตรัยรัตน์ ดีรอด รหัสประจําตัว 09490068
1
บทที่ 1 บทนํา
สาร MTBE หรื อ Methyl Tertiary Butyl Ether เป็ นสารเคมีที่มีออกซิ เจนเป็ นองค์ประกอบ ผลิตขึ้น
ได้จากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่าง Methanol และ Isobutane ที่ผ่านมาในอุตสาหกรรมโรงกลัน่ นํ้ามัน
ปิ โตรเลียมได้มีการนําสารดั งกล่าวมาใช้กนั อย่างแพร่ หลาย โดยเติมลงในนํ้ามันเบนซิน เพื่อช่วยลดปริ มาณ
ก๊าชคาร์ บอนมอนนอกไซด์ที่ออกมาจากไอเสี ยของรถ ยนต์ และช่วยเพิ่มค่าออกเทนของนํ้ามันแทนสาร
ตะกัว่ ต่อมา สหรัฐอเมริ กา ได้ตรวจสอบพบว่า มีการปนเปื้ อนของสาร MTBE ในนํ้าใต้ดินในบางรัฐ
เนื่ องจากถังนํ้ามันของสถานี บริ การเกิดการรั่วขึ้น เป็ นผลทําให้น้ าํ ดื่มที่ผลิต จากนํ้าบาดาลมีกลิ่นและรส
เปลี่ยนไป จากปั ญหาที่เกิดขึ้นจึงทําให้เกิดกระแสต่อต้านการนําสาร MTBE มาใช้ในนํ้ามันเบนซิน ประกอบ
กับในขณะนั้น ยังไม่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะกําจัดสาร MTBE ที่ปนเปื้ อนได้ ทําให้หน่ วยงานของ
ภาครัฐบาลในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกกฎหมายบังคับ ให้มีการยกเลิกการใช้สารดังกล่าวในนํ้ามันเบนซิน
ตั้งแต่วนั ที่ 31 ธันวาคม 2545 เป็ นต้นไป และทางสภาคองเกรสได้นาํ ปั ญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นไปพิจารณา
ในสภาด้วย ซึ่ งขณะนี้ ยงั ไม่มีขอ้ สรุ ป อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาความเป็ นพิษของ MTBE ของ
หน่วยงานวิจยั ต่าง ๆ ทั้งของสหรัฐอเมริ กาและยุโรป พบว่าสาร MTBE ไม่เป็ นสารก่อมะเร็ ง
ซึ่งมีค่าออกเทน 93 หรื อ iso-octane ซึ่ งมีค่าออกเทน 100 เพื่อใช้แทนสาร MTBE ยังทําให้น้ าํ มันเบนซินมี
ต้นทุนการผลิตสู งขึ้น เนื่ องจากนํ้ามันองค์ประกอบทั้ง 2 ชนิ ด มีราคาสู งกว่าสาร MTBE ดังนั้น การ
เปลี่ยนแปลงหน่วยผลิตจาก MTBE เป็ น iso-octane จําเป็ นต้องคํานึ งถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นใน
ภายหลัง เช่น ต้นทุนการผลิต เป็ นต้น สําหรับปั ญหาที่เกิดขึ้นจากการปนเปื้ อนของ MTBE ได้คลี่คลายลง
เนื่องจากได้มีการซ่อมแซมและเปลี่ยนถังนํ้ามันใต้ดินที่มีการรั่ วซึม
ประเทศต่าง ๆ ทัว่ โลก ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริ กาและได้มีการศึกษาผลกระทบ
ของสาร MTBE ที่มีต่อสุ ขภาพ และสิ่ งแวดล้อมมากขึ้น รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่ งรัฐบาลมีนโยบายการ
พัฒนาและการส่ งเสริ มการนําเอทานอลซึ่ งเป็ น ผลิตผลทางเกษตรมาใช้เป็ นเชื้ อเพลิง เพื่อทดแทนการใช้
MTBE
ลักษณะและคุณสมบัติของสาร MTBE
MTBE เป็ นสารประกอบอินทรี ยร์ ะเหย ได้จากการทําปฏิกิริยาระหว่างสาร isobutene กับ methanol
มีลกั ษณะและสมบัติทางกายภาพและเคมีดงั นี้ MTBE เป็ นสารระเหย มีคุณสมบัติจุดไฟติด สามารถละลาย
ได้ท้ งั ในนํ้ามันเบนซิน ในแอลกอฮอล์ ในอีเทอร์ และในนํ้า เป็ นของเหลวใส ไม่มีสี มีกลิ่นคล้ายสาร terpene
อันตรายในระยะเฉียบพลัน
ค่าความเสี่ ยง (Hazard Quotient, HQ) สูงสุ ดในระยะเฉี ยบพลันที่ไม่ใช่มะเร็ ง (ค่าHQสูงสุ ด) จากสาร
MTBE ในอากาศ ในระยะเวลาสัมผัส 8 และ 12 ชัว่ โมงต่อวัน ทั้งในสถานีบริ การจําหน่ายนํ้ามันและบริ เวณ
สี่ แยกจราจร ของคนทุกเพศทุกวัยมีค่าน้อยกว่า 1 (0.006 ถึง 0.87) ซึ่ งแสดงว่าสาร MTBE ที่ปนเปื้ อนใน
อากาศในพื้นที่ดงั กล่าวไม่ก่อให้เกิดอันตรายเฉี ยบพลัน แต่ค่า HQสู งสุ ด ที่ได้เป็ นค่าที่มาจากการประเมิน
อันตรายจากสาร MTBE เพียงชนิ ดเดี ยว ซึ่ งโดยความเป็ นจริ งแล้ว ในพื้นที่ศึกษายังมีไอระเหยของ
สารอินทรี ยช์ นิ ดอื่นที่มาจากนํ้ามันเชื้ อเพลิงและปนเปื้ อนอยู่ในอากาศอีกหลายชนิ ด ซึ่ งล้วนแต่มีฤทธิ์
ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่ างกายได้ท้ งั สิ้ น ดังนั้นในพื้นที่ที่มีสารอินทรี ยร์ ะเหยปนเปื้ อนในอากาศจํานวนมาก
ชนิดซึ่งมีพิษร่ วมกัน จะสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่ างกายเพิ่มขึ้นได้เนื่องจาก ฤทธิ์ ที่เพิ่มขึ้นจากปริ มาณ
รวมของสารเคมีเหล่านั้น ดังนั้นถึงแม้ค่า HQสู งสุ ด ที่ประเมินได้มีค่าตํ่ากว่า 1 แต่คนที่อยูใ่ นพื้นที่ดงั กล่าว
อาจไม่ปลอดภัย 100 เปอร์ เซนต์ เนื่ องจากยังมีโอกาสได้รับอันตรายจากสารพิษชนิ ดอื่นร่ วมด้วย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งค่า HQสู งสุ ด ของสาร MTBE ในอากาศบริ เวณเกาะจ่ายนํ้ามันของสถานี บริ การฯ ที่มีปริ มาณการ
จําหน่ายนํ้ามันมาก (178-650 ลิตรต่อชัว่ โมง) มีค่า HQสู งสุ ด มากเข้าใกล้ 1 คือประมาณ 0.8 ดังนั้น โอกาสที่
ร่ างกายจะมีอาการผิดปกติจากพิษของสารเคมีชนิดอื่นร่ วมกับพิษสาร MTBE ก็ยง่ิ มีมากขึ้น
อันตรายในระยะยาว
ความเสี่ ยงสู งสุ ดที่เป็ นอันตรายเรื้ อรังในระยะยาวแต่ไม่ใช่มะเร็ ง (ค่า HQสู งสุ ด) จากสาร MTBE ใน
อากาศ ในระยะเวลาสัมผัส 8-12 ชัว่ โมงต่อวัน สําหรับบริ เวณสี่ แยกที่มีสัญญาณไฟมีค่า (0.13-0.29) มากกว่า
8
จากรู ปเป็ นการเปรี ยบเทียบประสิ ทธิ ภาพการบําบัดสาร MTBE ที่เท่ากัน (97% removal, ความ
เข้มข้น MTBE เริ่ มต้นที่ 200 ppb) จะเห็นว่าการบําบัดโดยวิธี Air Stripping มีค่าใช้จ่ายตํ่าที่สุด ($0.1-
10
0.5/1000 แกลอน) ซึ่งตํ่ากว่าวิธี Advanced Oxidation Processes ($0.5-1.0/1000 แกลอน) และ Granular
Activated Carbon ($1-1.2/1000 แกลอน) ตามลําดับ ยิง่ บําบัดในปริ มาณที่มากค่าใช้จ่ายก็จะลดลงอีก สําหรับ
การเลื อกวิธีการบําบัดนั้นนอกจากต้องคํานึ งถึ งค่าใช้จ่ายแล้วยังต้องคํานึ งถึ งความยากง่ายในการบําบัด
ประสิ ทธิภาพการบําบัด ความเชื่อมัน่ ของระบบ และการยอมรับจากสาธารณชนอีกด้วย
สารออกซิจิเนตอืน่ ๆ ทางเลือกเพือ่ ทดแทนสาร MTBE
ปั ญหาของ MTBE ต่อสิ่ งแวดล้อมและการต้องนําเข้า MTBE จากต่างประเทศ ทําให้เราควรต้อง
พิจารณาสารทดแทนสาร MTBE เช่น สารออกซิ จิเนตอื่นๆ สารออกซิจิเนตเป็ นสารไฮโดรคาร์ บอนที่มี
ออกซิ เจนเป็ นองค์ประกอบตั้งแต่ 1 อะตอมขึ้นไป ตัวอย่างของสารออกซิจิเนต ได้แก่ เอทานอล MTBE
(Methyl Tertiary Butyl Ether) ETBE (Ethyl Tertiary Butyl Ether) TAME (Tertiary Amyl Methyl Ether)
ดังตาราง สารออกซิ จิเนตส่ วนใหญ่ถูกนํามาผสมกับนํ้ามันเบนซิ นสําหรับรถยนต์ เพื่อช่วยทําให้การเผาไหม้
สะอาดและสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งสามารถลดคาร์บอนมอนอกไซด์ โอโซน และมลพิษทางอากาศอื่นๆ ได้ เมื่อ
เทียบสาร MTBE กับสารออกซิ จิเนตอื่น เช่น ETBE และ TAME MTBE แล้ว สาร MTBE มีค่าการผลิตที่ถูก
กว่าและสามารถผสมในนํ้ามันเบนซินได้ง่ายกว่า
ตารางที่ 1.1 แสดงคุณสมบัติของสารออกซิ จิเนต
ราคาของ MTBE อยูท่ ี่ลิตรละ 10-12 บาท ซึ่ งมีความใกล้เคียงกัน แต่ในปั จจุบนั ต้นทุนการผลิตเอทานอลสู ง
ถึง 19 บาทต่อลิตรแล้ว เนื่ องจากราคาของกากนํ้าตาลปรับตัวสู งขึ้นถึง 3,800 บาท ต่อตัน นอกจาก
กากนํ้าตาลแล้วเอทานอลสามารถผลิตได้จากอ้อย มันสําปะหลัง ข้าว ข้าวโพด ซึ่งให้ปริ มาณเอทานอลต่อพืช
1 ตันในปริ มาณที่
สําหรับการนําเอทานอลมาใช้น้ นั พบว่าเอทานอลเป็ นสารที่ดูดความชื้น ซึ่ งจะมีปัญหาเวลาที่มีการ
ขนส่ งผ่านท่อ เพราะเอทานอลจะดูดความชื้นจากท่อทําให้เอทานอลมีคุณสมบัติเปลี่ยนไป ในขณะที่ MTBE
สามารถที่จะส่ งผ่านทางท่อได้อย่างสะดวก
การยกเลิก MTBE ซึ่ งต้องนําเข้าจากต่างประเทศ สามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศมากกว่า
3,000 ล้านบาทต่อปี หรื อประมาณ 75 ล้านเหรี ยญสหรัฐเป็ นการประหยัดการใช้น้ าํ มันที่มีอยูอ่ ย่างจํากัด โดย
การนําเอทานอลมาผสมกับนํ้ามันเบนซิ น ซึ่ งจะช่วยลดการใช้น้ าํ มันของประเทศลงได้ประมาณ 10% หรื อ
เดือนละ 25 ล้านลิตร นอกจากนี้ ยงั เป็ นผลดีกบั สิ่ งแวดล้อม โดยที่สามารถลดมลพิษทางอากาศ โดยลด
ไฮโดรคาร์บอน และคาร์บอนมอนอกไซด์ลงได้ 20-25% ช่วยลดก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ ควันดํา สารอะโร
เมติกส์ และสารเบนซิ น และทําให้เครื่ องยนต์เผาไหม้สะอาดและสมบูรณ์ยงิ่ ขึ้น นอกจากช่วยลดปั ญหาด้าน
สิ่ งแวดล้อมแล้ว เอทานอลมีขอ้ ดีกว่า MTBE เอทานอลมีองค์ประกอบออกซิเจนเท่ากับ 35% โดยนํ้าหนัก ซึ่ง
มากกว่าปริ มาณออกซิเจนใน MTBE ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งทําให้การเผาไหม้สมบูรณ์และสะอาดกว่าการใช้
MTBE
13
Synthesis Gas
ของผสมของแก๊สคาร์ บอนมอนอกไซด์ (CO) และแก๊สไฮโดรเจน (H2) ผลิตจากมีเทน หรื อ
ไฮโดรคาร์ บ อนอื่ น ในปิ โตรเลี ย ม หรื อ ในชี ว มวลหรื อ ถ่ า นหิ น ใช้เ ป็ นวัต ถุ ดิ บ ในกระบวนการผลิ ต
ไฮโดรคาร์ บอน C5 ถึง C9 เพื่อใช้เป็ นนํ้ามันเชื้อเพลิง เป็ นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตเมทานอลเพื่อใช้เป็ น
วัตถุดิบสําหรับผลิตสารเคมีอื่นๆ หรื อนําแก๊สสังเคราะห์มาแยกคาร์บอนมอนอกไซต์ และไฮโดรเจน เพื่อใช้
ประโยชน์ของแก๊สแต่ละชนิ ด ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากแก๊สไฮโดรเจนที่สาํ คัญมาก คือ แอมโมเนี ย ซึ่ งใช้เป็ น
วัตถุดิบในกระบวนการผลิตยูเรี ยสําหรับการผลิตปุ๋ ย ส่ วนแก๊สคาร์ บอนมอนอกไซต์ใช้เป็ นวัตถุดิบสําหรับ
ผลิตสารบางชนิด เช่น ฟอสจีนและแคทาลิสต์ต่างๆ
เมทานอล (Methanol)
เมทานอล (Methanol) หรื อ เมทิลแอลกอฮอล์ (Methyl Alcohol) เป็ นผลิตภัณฑ์สาํ คัญที่ผลิตมาจาก
ก๊าซสังเคราะห์ (Synthesis Gas) ซึ่ งใช้ Methane เป็ นวัตถุดิบหลักอีกต่อหนึ่ ง สําหรับการใช้งานเมทานอล
ได้แก่ เป็ นสารตั้งต้นการผลิตสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) MTBE กรดนํ้าส้ม (Acetic Acid) เมทิลเม
ทาคริ เลต (Methyl Methacrylate) ฯลฯ
เมทานอลเป็ นแอลกอฮอล์แบบ Aliphatic ที่มีโครงสร้างง่ายๆ และเป็ นสมาชิกลําดับแรกในตระกูล
แอลกอฮอล์ เมทิลแอลกอฮอล์เป็ นของเหลวไม่มีสี สามารถเข้ากันได้กบั นํ้าและตัวทําละลายอินทรี ยท์ ี่มีความ
เป็ นขั้วค่อนข้างมาก เมทานอลค่อนข้างมีกลิ่นแรงเนื่ องจากสามารถระเหยได้ง่าย มีผลต่อระบบประสาท
เมทิลแอลกอฮอล์มีสมบัติทางกายภาพดังนี้
จุดหลอมเหลว: -97 °C
จุดเดือด: 65 °C
ความหนาแน่นสัมพัทธ์: 0.8
โดยทัว่ ไปก๊าซธรรมชาติที่ได้จะมีองค์ประกอบดังตาราง
ตารางที่ 2.1 แสดงองค์ประกอบในก๊าซธรรมชาติ
การกลัน่
เมทานอลที่ได้ออกมาจะนํามาผ่านการกรองเพื่อกําจัด traces ของขี้ผ้ งึ โดยปล่อยให้ความดันลดลง
แล้วนําเข้าสู่ ส่วน Purifier ซึ่งส่ วนนี้จะประกอบด้วย Topping Column และ Refining Column เมทานอลที่ได้
ออกมานี้ควรมีน้ าํ ประกอบอยูด่ ว้ ยไม่เกิน 0.10% โดยนํ้าหนัก ส่ วนที่ส่วนล่างของหอกลัน่ ก็ควรมีเมทานอล
น้อยกว่า 100 ppm และมีการนํากลับไปใช้ใหม่ในเครื่ อง saturator
ไอโซบิวทีน (iso-butene)
ในกระบวนการกลั่น ที่ ม าตรฐาน isobutene ถู ก alkylation ด้ว ย alkenes ที่ มี ม วลโมเลกุ ล น้อ ย
(เบื้องต้น เช่น ของผสมระหว่าง โพพิลีน และ บิวทิลีน) ในตัวเร่ งปฏิกิริยาที่เป็ นกรดแก่ เช่น กรอซัลฟูริค
กรดไฮโดรฟลอริ ค ในกระบวนการกลัน่ จะเป็ นหน่วยในการ alkylation เช่น Sulfuric acid alkylation unit
(SAAU) หรื อ Hydrofluoric acid alkylation unit (HFAU)
นอกจากนั้น iso-butene ยังเป็ นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากกระบวนการกลัน่ แยกนํ้ามันปิ โตรเลียม ซึ่งอยู่
ในกลุ่ม C4 (butadiene,isobutene,n-butene,isobutane) โดยการแยก iso-butene สามารถทําได้โดยการกลัน่
แยก butadiene ออกก่อน จากนั้นนํา rafinate ที่เหลือมาแยก iso-butene โดยการใส่ เมทานอลลงไปสกัดแยก
อกมา จะได้ MTBE ออกมา หากต้องการ iso-butene ให้ทาํ การ cracking เพื่อแยกออกมา
Utilities
1. รายละเอียดของ utilities ทีใ่ ช้ ในกระบวนการ
ในกระบวนการผลิต MTBE นี้ จะมีการใช้ utilities ที่จาํ เป็ นในกระบวนการประกอบด้วย
กระแสไฟฟ้ าที่ให้กบั ปั๊ ม นํ้าหล่อเย็นสําหรับเครื่ องควบแน่น (condenser) และเครื่ องปฏิกรณ์ (reactor) และ
ไอนํ้าสําหรับเครื่ องต้ม (reboiler)
2. ปริมาณ utilities ทีใ่ ช้ ในกระบวนการ
- กระแสไฟฟ้ า 62.16 กิโลวัตต์
- นํ้าหล่อเย็น
- ไอนํ้า
3. ราคาของ utilities ทีใ่ ช้ ในกระบวนการ
- กระแสไฟฟ้ า
- นํ้าหล่อเย็น
- ไอนํ้า
ผลพลอยได้ (by product)
1. รายละเอียดของผลพลอยได้
ในกระบวนการผลิต MTBE นี้ จะมีการใช้ของผสมบิวทีนซึ่งจะมีเพียงเฉพาะไอโซบิวทีนเท่านั้นที่
ใช้ในการทําปฏิกิริยา ส่ วน 1-บิวทีน และ 2-บิวทีน จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่ งสุ ดท้ายแล้วจะแยกออกมา
เป็ นผลพลอยได้ สามารถนํามาขายให้กบั โรงงานอื่นได้
2. ปริมาณผลพลอยได้
- ปริ มาณของผลพลอยได้ 11768.769 กิโลกรัมต่อชัว่ โมง
3. ราคาของผลพลอยได้
- ราคาของผลพลอยได้ 0.341 $/kg
อุปกรณ์ ทใี่ ช้ ในกระบวนการ
1. Storage vessel (F-113) จํานวน 1 ตัว ใช้ในการพักสารตั้งต้นและสารรี ไซเคิลในกระบวนการ
ผลิต MTBE
2. Pump (L-112) จํานวน 1 ตัว ใช้เพื่อเพิ่มความดันให้กบั สารที่จะป้ อนเข้าเครื่ องปฏิกรณ์
3. Heat Exchanger จํานวน 5 ตัว
- E-111 ใช้เพื่อเพิม่ อุณหภูมิให้กบั สารที่จะป้ อนเข้าเครื่ องปฏิกรณ์
- E-116 ใช้เพื่อควบแน่นสารที่กลัน่ ได้จาก D-114 ให้เป็ นของเหลว เข้าสู่ D-115
19
Methanol
Feed tank Butene w aste stream
Mixed distillate
Purification distillation tow er
Feed preheater
Feed pump
MTBE product
Methanol recycle
2. กําหนดชื่อของกระแสและอุปกรณ์ต่าง ๆ
3. กําหนดสัญลักษณ์และหมายเลขของอุปกรณ์
23
4. กําหนดองค์ประกอบที่จาํ เป็ นใน Aspen Plus โดยคลิกที่ Data >> Components ดังนี้
- ของผสมบิวทีน
- Feed Pump
- Feed Preheater
26
- Reactor
27
7. เมื่อป้ อนค่าต่าง ๆ เสร็ จเรี ยบร้อยก็ทาํ การรัน Aspen plus โดยการกดปุ่ ม โดยจะได้ผลการรัน
ออกมาใน flow sheet ดังนี้
- Feed Pump
- Feed Preheater
30
- Reactor
- Stream Result
1 10 2 3 4
Substream: MIXED
5 6 7 8 9
Substream: MIXED
สมดุลมวลของแต่ ละอุปกรณ์
1. Feed Tank
2. Pump
Process stream
Mixed Mixed Feed from Feed from Feed Mixed MTBE Mixed Methanol Butene waste
Components Methanol
butene feed Pump preheater product product distillate recycle stream
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
Methanol 100.00 154.67 154.67 154.67 64.45 9.67 54.78 54.67 0.11
Isobutene 100.00 100.25 100.25 100.25 10.02 0.00 10.02 0.25 9.78
1-butene 50.00 51.59 51.59 51.59 51.59 0.01 51.58 1.59 49.99
2-butene 150.00 171.42 171.42 171.42 171.42 0.08 171.34 21.42 149.92
Total 100.00 300.00 478.11 478.11 478.11 387.88 99.98 287.90 78.11 209.80
40
41
กรณี น้ ี Feed Tank ที่ใช้จะเป็ นประเภทหนึ่งของ Storage vessel โดยเป็ นชนิด Bullet ซึ่งเราจะใช้
เวลาในการพักสารตั้งต้น (resident time) ก่อนป้ อนเข้าสู่ เครื่ องปฏิกรณ์เป็ นเวลา 1800 วินาที
จากผลการรัน Aspen Plus จะพบว่า Feed Tank นี้ ตอ้ งรองรับสารที่มีอตั ราการไหลเท่ากับ 74.64
ลูกบาศก์เมตรต่อชัว่ โมง หรื อ 0.01323 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ดังนั้นถังใบนี้ จะต้องมีความจุ (ปริ มาตร)
เท่ากับ
ราคาของอุปกรณ์ (Cost of the equipment)
ปริ มาตรของถังที่ตอ้ งใช้ = 0.01323 m3/s × 1800 s
= 23.814 m3
ในกรณี น้ ี เราจะใช้วสั ดุที่เป็ น Carbon steel ในการทําอุปกรณ์ชนิดนี้ ซึ่ งจากกราฟจะพบว่าราคาและ
รายละเอียดต่าง ๆ ของอุปกรณ์น้ ีที่ปริ มาตร 23.814 ลูกบาศก์เมตร จะมีค่าดังนี้
CP = 11,000 ดอลลาร์
= 366,630 บาท
FBM = 1.9
42
= 62.16 kW
เนื่ องด้วยปั๊ มนี้จะทํางานตลอด 24 ชัว่ โมง ในหนึ่งวัน แต่โรงงานโดยส่ วนมากทํางานได้เต็มกําลังที่
90 เปอร์เซ็นต์ และกระแสไฟฟ้ านั้นโรงงานนี้จะซื้อมาจากภายนอก
โดยที่เชื้อเพลิงใช้การผลิต คือ แก๊สธรรมชาติ ซึ่งมีราคาเท่ากับ 30 $/GJ และ CE Plant Cost Index
ในปี 2009 เท่ากับ 631.9
จาก CS,u = a × CE Plant Cost Index + b × CS,f
CS,e,2009 = (1.3 × 10-4 /kWh)(631.9) + (0.010 × 5.29 $/GJ)
= 0.135 $/kWh
ราคากระแสไฟฟ้ า = (8750 h/yr)(0.90)(62.16 kW)( 0.135 $/kWh)
= 66,083.85 ดอลลาร์ต่อปี
= 2,213,122.91 บาทต่อปี
Feed preheater (E-111)
รายละเอียดของอุปกรณ์ (Specification)
เครื่ องแลกเปลี่ยนความตัวนี้จะใช้แบบ shell and tube ชนิด floating head เพื่อให้กระแสของสารที่
เข้ามีอุณหภูมิสูงขึ้นก่อนป้ อนเข้าสู่ เครื่ องปฏิกรณ์ โดยสารก่อนเข้าเครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนนี้ มีอุณหภูมิ
เท่ากับ 128.20 องศาเซลเซี ยส และเมื่อออกจากเครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนแล้วมีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็ น 148.89
องศาเซลเซียส โดยที่สารแลกเปลี่ยนความร้อนนั้นเราจะใช้ไอนํ้าอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส
44
ไอนํ้า
200 200
๐
ΔTh=51.11 C
๐
ΔTc= 71.8 C
148.89
128.20
ΔTh − ΔTc
ΔTm =
ln(ΔTh / ΔTc )
51.11 − 78.10
=
ln(51.11 / 78.10)
= 60.87 ๐C
ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการถ่ายเทความร้อนรวม (overall heat transfer coefficient, U) สําหรับเครื่ อง
แลกเปลี่ยนความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 880 J/m2.s.K และค่าภาระความร้อน (heat duty) ของเครื่ องแลกเปลี่ยน
ความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 2,320,706.84 J/s ดังนั้น
จาก Q = UAΔTm
2,320,706.84 J/s = (880 J/m2.s.K)(A)(60.87 K)
A = 43.32 m2
ดังนั้น CP = 6,000 ดอลลาร์
= 200,937.71 บาท
FBM = 3.2
45
Reactor (R-110)
รายละเอียดของอุปกรณ์ (Specification)
สําหรับเครื่ องปฏิกรณ์น้ ี จะให้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็ น MTBE จากสารตั้งต้นไอโซบิวทีนและเมทา
นอล ซึ่งจากการพิจารณาจากผลผลิตที่ได้แล้วพบว่าเครื่ องปฏิกรณ์น้ ี จะใช้การคํานวณแบบเครื่ องแลกเปลี่ยน
ความร้อน โดยอุณหภูมิในเครื่ องปฏิกรณ์จะรักษาไว้ที่อุณหภูมิ 400 ๐C ด้วยนํ้าหล่อเย็นที่มีอุณหภูมิ 20 ๐C
เนื่องด้วยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนี้เป็ นชนิดคายความร้อน
ราคาของอุปกรณ์ (Cost of the equipment)
อุณหภูมิภายในเครื่ องปฏิกรณ์
400 400
๐
ΔTh=350 C
๐
ΔTc= 380 C
50
20
ΔTh − ΔTc
ΔTm =
ln(ΔTh / ΔTc )
350 − 380
=
ln(350 / 380)
= 364.8 ๐C
ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการถ่ายเทความร้อนรวม (overall heat transfer coefficient, U) สําหรับเครื่ อง
แลกเปลี่ยนความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 300 J/m2.s.K และค่าภาระความร้อน (heat duty) ของเครื่ องแลกเปลี่ยน
ความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 2,653,337.38 J/s ดังนั้น
จาก Q = UAΔTm
2,653,337.38 J/s = (300 J/m2.s.K)(A)(364.8 K)
A = 24.24 m2
ดังนั้น CP = 5,800 ดอลลาร์
= 194,239.79 บาท
ความดันภายในเครื่ องปฏิกรณ์มีค่าเท่ากับ 30 บาร์ เปิ ดกราฟได้ค่า FP = 1.1 โดยเลือกใช้กราฟเส้นที่
เป็ นแบบ Conventional Shell and Tube
FBM = 3.4
ราคาของสิ่งอํานวยความสะดวก (Cost of the utility)
สิ่ งอํานวยความสะดวกที่ใช้ในเครื่ องปฏิกรณ์น้ ี คือ นําหล่อเย็น เพื่อควบคุมอุณหภูมิของปฏิกิริยา
คงที่และสมํ่าเสมอที่ 400 ๐C
•
จาก Q = mcw CPΔT
สําหรับ MTBE distillation tower นี้ มีหน้าที่หลัก คือ แยกเอา MTBE ออกมาเป็ นผลผลิตก้นหอให้
ได้มากที่สุด ส่ วนที่เหลือเป็ นผลผลิตด้านบนหอก็จะนําไปกลัน่ ต่อใน Purification distillation tower เพื่อแยก
องค์ประกอบอื่น ๆ ที่ตอ้ งการต่อไป โดยที่วสั ดุทาํ หอกลัน่ นั้นจะใช้ carbon steel
ราคาของอุปกรณ์ (Cost of the equipment)
ขนาดเส้ นผ่ านศูนย์ กลางของหอกลัน่
จากสมการสําหรับหาค่า flooding หรื อ superficial velocity of gas (us,g) คือ
1/ 2
⎛ ρl − ρg ⎞
u s ,g = K SB ⎜ ⎟
⎜ ρ ⎟
⎝ g ⎠
เมื่อ KSB เป็ นค่าคงที่ซ่ ึงมีค่าอยูใ่ นช่วง 0.04-0.08 m/s จะเลือกใช้เป็ นค่าเฉลี่ยที่ 0.06 m/s จะได้
[ ]
⎛ 660.06 kg / m 3 − 33.47 kg / m 3
= (0.06m / s )⎜⎜
[ ]⎞⎟ 1/ 2
u s,g
⎝ 33.47 kg / m 3 [ ] ⎟
⎠
u s , g = 0.2596 m/s
ตามปกติแล้วอัตราการไหลจะมีค่าจริ งเพียง 80% ของ flooding velocity ที่คาํ นวณได้
u s , g = (0.8)(0.2596[m / s ]) = 0.20768 m/s
จากสมการเพื่อหาค่า net tower cross-section area of gas flow (An)
V
An =
u s ,g
An =
(0.6158[m / s]) = 2.96538m2
3
(0.2596[m / s])
50
At =
2.96538 m 2 [ ] = 3.2515 m2
1 − 0.088
จะหาค่าเส้นผ่านศูนย์กลางของหอกลัน่ ได้จาก
πD 2
At =
4
(
⎛ 4 × 3.2515 m 2
D = ⎜⎜
[ ]) ⎞⎟ 1/ 2
= 2.0346 m
π ⎟
⎝ ⎠
ความสูงของหอกลัน่
จากสมการสําหรับการหาความสู งของหอกลัน่ แบบ tray tower
NH t 97 × 0.6187
Ha = = = 75 m
εs 0.8
H t = 0.5(2.0346[m]) = 0.6187 m
0.3
125 125
๐
ΔTh= 85 C
๐
ΔTc= 95 C
40
30
โดยเราจะสมมติว่าเครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนเป็ นแบบ shell and tube ชนิด floating head ที่มีน้ าํ
หล่อเย็นอยูภ่ ายใน shell และ สารอยูภ่ ายใน tube ดังนั้น
FT = 1.0
จึงทําให้ MTD = LMTD = ΔTm
ΔTh − ΔTc
ΔTm =
ln(ΔTh / ΔTc )
85 − 95
=
ln(85 / 95)
= 89.9 ๐C
ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการถ่ายเทความร้อนรวม (overall heat transfer coefficient, U) สําหรับเครื่ อง
แลกเปลี่ยนความร้อนนี้ มีค่าเท่ากับ 800 J/m2.s.K และค่าภาระความร้อน (heat duty) ของเครื่ องแลกเปลี่ยน
ความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 5,944,968.75 J/s ดังนั้น
จาก Q = UAΔTm
5,944,968.75 J/s = (800 J/m2.s.K)(A)(89.9 K)
A = 82.66 m2
ดังนั้น CP = 8,200 ดอลลาร์
= 274,614.87 บาท
ความดันภายในเครื่ องปฏิกรณ์มีค่าเท่ากับ 23.30 บาร์ เปิ ดกราฟได้ค่า FP = 1.0 โดยเลือกใช้กราฟเส้น
ที่เป็ นแบบ Conventional Shell and Tube
52
FBM = 3.2
ราคาของสิ่งอํานวยความสะดวก (Cost of the utility)
สิ่ งอํานวยความสะดวกที่ใช้ในเครื่ องควบแน่นนี้ คือ นําหล่อเย็น เพื่อใช้ในการควบแน่นผลผลิตยอด
หอให้มีสถานะเป็ นของเหลว
•
จาก Q = mcw CPΔT
210 210
๐ ๐
ΔTh= 16.55 C ΔTc= 16.55 C
193.45 193.45
โดยเราจะสมมติวา่ เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนเป็ นแบบ shell and tube ชนิด floating head ที่มีไอนํ้า
หล่ออยูภ่ ายใน shell และ สารอยูภ่ ายใน tube ดังนั้น
FT = 1.0
จึงทําให้ MTD = LMTD = ΔTm
ΔTm = 16.55 ๐C
ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการถ่ายเทความร้อนรวม (overall heat transfer coefficient, U) สําหรับเครื่ อง
แลกเปลี่ยนความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 880 J/m2.s.K และค่าภาระความร้อน (heat duty) ของเครื่ องแลกเปลี่ยน
ความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 299,261.91 J/s ดังนั้น
จาก Q = UAΔTm
299,261.91 J/s = (880 J/m2.s.K)(A)(16.55 K)
A = 20.55 m2
ดังนั้น CP = 5,200 ดอลลาร์
= 174,146.02 บาท
ความดันภายในเครื่ องปฏิกรณ์มีค่าเท่ากับ 23.30 บาร์ เปิ ดกราฟได้ค่า FP = 1.0 โดยเลือกใช้กราฟเส้น
ที่เป็ นแบบ Conventional Shell and Tube
FBM = 3.2
ราคาของสิ่งอํานวยความสะดวก (Cost of the utility)
สิ่ งอํานวยความสะดวกที่ใช้ในเครื่ องแลกเปลี่ยนความร้ อนตัวนี้ คือ ไอนํ้า ดังนั้นคํานวณปริ มาณ
ของไอนํ้าที่ตอ้ งใช้ในการแลกเปลี่ยนความร้อนได้ ดังนี้
54
•
Q = ms λ
สําหรับ Purification distillation tower นี้ ทาํ หน้าที่หลัก คือ การกลัน่ แยกของผสมบิวทีนออก
ทางด้านบนของหอกลัน่ และแยกเมทานอลออกมาทางด้านล่างของหอกลัน่ เพื่อนํากลับเข้าสู่ กระบวนการต่อ
อีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อเพิม่ ปริ มาณของผลิตภัณฑ์ MTBE นัน่ เองโดยที่วสั ดุทาํ หอกลัน่ นั้นจะใช้ carbon steel
ราคาของอุปกรณ์ (Cost of the equipment)
ขนาดเส้ นผ่ านศูนย์ กลางของหอกลัน่
จากสมการสําหรับหาค่า flooding หรื อ superficial velocity of gas (us,g) คือ
1/ 2
⎛ ρl − ρg ⎞
u s ,g = K SB ⎜ ⎟
⎜ ρ ⎟
⎝ g ⎠
V=
G
=
(7.29[kg / s]) = 4.6227 m3/s
ρg (1.577[kg / m ]) 3
u s,g
⎝ 1.577 kg / m 3 [ ] ⎟
⎠
u s , g = 17.421 m/s
ตามปกติแล้วอัตราการไหลจะมีค่าจริ งเพียง 80% ของ flooding velocity ที่คาํ นวณได้
u s , g = (0.8)(17.421[m / s ]) = 13.9368 m/s
จากสมการเพือ่ หาค่า net tower cross-section area of gas flow (An)
V
An =
u s ,g
An =
(4.6227[m / s]) = 0.3317 m2
3
(13.9368[m / s])
และจากการที่กาํ หนด weir length W = 0.7D จะมีพ้ืนที่ของ tray สําหรับให้ของเหลวไหลลงคิดเป็ น
8.8% ดังนั้นจะหา tower cross-section area (At) ได้เป็ น
At =
0.3317 m 2 [ ] = 0.3637 m2
1 − 0.088
จะหาค่าเส้นผ่านศูนย์กลางของหอกลัน่ ได้จาก
πD 2
At =
4
(
⎛ 4 × 0.3637 m 2
D = ⎜⎜
[ ]) ⎞⎟ 1/ 2
= 0.68 m
π ⎟
⎝ ⎠
ความสูงของหอกลัน่
จากสมการสําหรับการหาความสู งของหอกลัน่ แบบ tray tower
NH t
Ha =
εs
H t = 0.5D 0.3
H t = 0.5(0.68[m]) = 0.44547 m
0.3
Ha =
(97 )(0.44547[m]) =54.01 m
(0.8)
จากค่าความสู งของหอกลัน่ เท่ากับ 54.01 เมตร และ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับ 0.68 เมตร จะ
พบว่า
CP = 150,000 ดอลลาร์
= 5,923,442.73 บาท
ความดันภายในหอกลัน่ มีค่าเท่ากับ 23.30 บาร์ ดังนั้นเมื่อเปิ ดกราฟได้ค่า FP = 2.2 ทําให้ได้ค่า Bare
module factor ดังนี้
FBM = 6.0
2. Condenser (E-118)
รายละเอียดของอุปกรณ์ (Specification)
เครื่ องควบแน่ น (condenser) นี้ ทําหน้า ที่ ห ลัก คื อ ควบแน่ น ไอที่ ก ลัน่ ได้จ ากยอดหอให้เ ปลี่ ย น
สถานะเป็ นของเหลว ซึ่งจะนํานํ้าหล่อเย็นอุณหภูมิ 30 ๐C มาใช้ในการควบแน่น
ราคาของอุปกรณ์ (Cost of the equipment)
111 111
๐
ΔTh= 71 C
๐
ΔTc= 81 C
40
30
โดยเราจะสมมติว่าเครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนเป็ นแบบ shell and tube ชนิด floating head ที่มีน้ าํ
หล่อเย็นอยูภ่ ายใน shell และ สารอยูภ่ ายใน tube ดังนั้น
FT = 1.0
จึงทําให้ MTD = LMTD = ΔTm
58
ΔTh − ΔTc
ΔTm =
ln(ΔTh / ΔTc )
71 − 81
=
ln(71 / 81)
= 75.9 ๐C
ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการถ่ายเทความร้อนรวม (overall heat transfer coefficient, U) สําหรับเครื่ อง
แลกเปลี่ยนความร้อนนี้ มีค่าเท่ากับ 800 J/m2.s.K และค่าภาระความร้อน (heat duty) ของเครื่ องแลกเปลี่ยน
ความร้อนนี้มีค่าเท่ากับ 1,800,133.82 J/s ดังนั้น
จาก Q = UAΔTm
1,800,133.82 J/s = (800 J/m2.s.K)(A)(75.9 K)
A = 29.65 m2
ดังนั้น CP = 5,000 ดอลลาร์
= 167,448.09 บาท
ความดันภายในเครื่ องปฏิกรณ์มีค่าเท่ากับ 20.27 บาร์ เปิ ดกราฟได้ค่า FP = 1.0 โดยเลือกใช้กราฟเส้น
ที่เป็ นแบบ Conventional Shell and Tube
FBM = 3.2
ราคาของสิ่งอํานวยความสะดวก (Cost of the utility)
สิ่ งอํานวยความสะดวกที่ใช้ในเครื่ องควบแน่นนี้ คือ นําหล่อเย็น เพื่อใช้ในการควบแน่นผลผลิตยอด
หอให้มีสถานะเป็ นของเหลว
•
จาก Q = mcw CPΔT
160 160
๐ ๐
ΔTh= 21.03 C ΔTc= 21.03 C
138.97 138.97
โดยเราจะสมมติวา่ เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนเป็ นแบบ shell and tube ชนิด floating head ที่มีไอนํ้า
หล่ออยูภ่ ายใน shell และ สารอยูภ่ ายใน tube ดังนั้น
FT = 1.0
จึงทําให้ MTD = LMTD = ΔTm
ΔTm = 21.03 ๐C
60
⎛ 2.3 × 10 -5 ⎞
CS,steam,2009 = ⎜ ⎟ (631.9) + (0.0020 × 460.14)(5.29 $/GJ)
⎜ 0.9 ⎟
⎝ 40 ⎠
= 0.019 $/kg
ราคาไอนํ้า = (31.5 × 106 s/yr)(0.9)(0.80 kg/s)(0.019 $/kg)
= 430,920 ดอลลาร์ต่อปี
= 14,431,346.30 บาทต่อปี
Equipment list
Job Title : MTBE Production
Location : Silpakorn university
Effective Date to Which Estimate Applies : 2009
ΔTm = MTD × FT (
๐
C) 60.87 89.9 16.55 75.9 21.03
Utilities
Electricity (kW)
Cooling water (m3/s) 0.142 0.043
Steam (kg/s) 1.2 0.2 0.8
[Pressure (barg)] [45] [45] [45]
Equipment Size
Length or height, L (m)
Width or diameter, D (m)
Surface area (m2) 43.32 82.66 20.55 29.65 88.97
Volume, V (m3)
Design pressure (barg)
Shaft power, w (kW)
Orientation Horizontal Horizontal Horizontal
Horizontal Horizontal
Carbon
Material of construction Carbon steel Carbon steel Carbon steel steel Carbon steel
Floating Floating Floating Floating
Other specification head Floating head head head head
Temperature (๐C)
In 148.89 400 125.4
Out 400
Pressure (barg)
In 28.99 28.99 22.29
Out 28.99
Flow
rate
Mass (kg/s) 6.42 6.42 4.12
Volumetric (m3/s) 0.19 0.19 0.009
Enthalpy (kJ/s)
In -8820.9 -6175.56 -4394.29
Out -6175.56
Stream number 7 8 9 10
Butene Butene
Cooling water MTBE Recycle
Name waste waste
Process orientation Shell side
Saturated Saturated Saturated Saturated
Liquid
Phase liquid liquid liquid liquid
Temperature (๐C)
In 20
Out 50 193.45 125.4 138.97 111.26
Pressure (barg)
In 3
Out 2.7 22.29 22.29 19.25 19.25
Flow
rate
Mass (kg/s) 21.1 2.3 4.12 0.85 3.27
Volumetric (m3/s) 0.0211 0.005 0.009 0.002 0.01
Enthalpy (kJ/s)
65
In 1765.65
Out 4414.12 -7426.97 -4394.29 -3525.75 -4394.29
Heat transfer coefficient(J/m2.s.K) 300
Efficiency 100% Tray efficiency = 80 % Tray efficiency = 80 %
Heat duty (kJ/s) 2653.34
LMTD (๐C) 364.8
MTD (๐C) 364.8
FT 1
ΔTm = MTD × FT ( C)
๐
364.8
Utilities
Electricity (kW)
Cooling water (m3/s) 0.0211
Steam (kg/s)
[Pressure (barg)]
Equipment Size
Length or height, L (m) 75 54.01
Width or diameter, D (m) 2.0346 0.68
Surface area (m2) 24.24
Volume, V (m3)
Design pressure (barg)
Shaft power, w (kW)
Orientation Vertical Vertical Vertical
Material of construction Carbon steel Carbon steel Carbon steel
Other specification Floating head 97 seive trays 97 seive trays
Mist eliminator Mist eliminator
66
Pressure (barg)
In
Out 0.99 30.99
Flow rate
Mass (kg/s) 6.42 6.42
Volumetric (m3/s) 0.013 0.014
Enthalpy (kJ/s)
In
Out -11213.12 -11149.6
Heat transfer coefficient(J/m2.s.K)
Efficiency ei = 0.70 ed=0.91
Heat duty (kJ/s)
LMTD (๐C)
MTD (๐C)
FT
๐
ΔTm = MTD × FT ( C)
Utilities
Electricity (kW) 62.16
Cooling water (m3/s)
Steam (kg/s)
[Pressure (barg)]
Equipment Size
Length or height, L (m)
Width or diameter, D (m)
Surface area (m2)
Volume, V (m3) 23.814
Design pressure (barg)
Shaft power, w (kW) 56.57
Orientation Vertical Horizontal
68
รู ปภาพประกอบการคํานวณ
รู ปที่ 4.1 Typical efficiencies of modern drives employ to power process equipment.
69
รู ปที่ 4.2 History of selected cost indices pertinent to chemical process construction.
70
รู ปที่ 4.9 Purchased equipment costs for sieve trays and mist eliminator.
Manufacturing cost
maitenance)
Local taxes (1.5 % of fixed capital) 4,100,538
Insurance (0.5 % of fixed capital) 1,366,846
Total, AIME 17,162,845
Total manufaturing expense (excluding depreciation), AME 1,063,168,438
Depreciation (10 % of fixed capital), ABD 27,336,923
General Expense
Adinistrative costs (25 % of overhead) 2,923,865
Distribution and selling expense (10 % of total expense) 128,638,732
Research and development (5% of total expense) 64,319,366
Total, AGE 195,881,964
Total Expense, ATE 1,286,387,324
Revenue from sales (7.24 ×107 kg/yr @ 34.50 บาท/แกลลอน) 1,413,258,845
Net annual profit, ANP 126,871,521
Income taxes (50 % of net annual profit), AIT 63,435,761
Net annual profit after taxes, ANNP 63,435,761
After rate of return, I ={[ANNP+ABD]/CTC} × 100 29
82
NPV(I=0.0) = ฿326M
300
200
Startup
Undiscounted or I=0.0
100
DBEP(I=0.15)
DBEP(I=0.10) NPV(I=0.10) = ฿66M
CWC
0 NPV(I=0.15) = ฿3M
PBP = 2.58 yr NPV(I=0.20) = ‐฿36M
-100
I = 0.15
I = 0.20
I = 0.10
-300
Shutdown
-400
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
85
เวลา (ปี )
86
- Net present value (NPV) สําหรับกรณี ไม่คิดอัตราดอกเบี้ย คือ 326 ล้านบาท สําหรับกรณี คิด
อัตราดอกเบี้ย 10 % คือ 66 ล้านบาท สําหรับกรณี คิดอัตราดอกเบี้ย 15 % คือ 3 ล้านบาท และ
สําหรับกรณี คิดอัตราดอกเบี้ย 20 % คือ – 36 ล้านบาท
- สําหรับอัตราดอกเบี้ยที่ทาํ ให้คุม้ ทุนในปลายปี สุ ดท้าย (ปี ที่ 10) หรื อที่เรี ยกว่า Discounted cash
flow rate of return (DCFRR) คือ 15.4 %
ดังนั้นจะเห็นว่าหากอัตราดอกเบี้ยมีค่าไม่เกิน 15.4 % โรงงานผลิต MTBE นี้ จะสามารถตั้งโรงาน
และดําเนินการผลิตได้โดยไม่ขาดทุน
88
เอกสารอ้ างอิง
1. Douglas,J.M. “Conceptual Design of chemical Processes”. McGraw-Hill. New York,1988
2. Mattiasion Bo., Holst Olle, “Extractive Bioconversion”,MARCEL DEKKER , INC., New
York,1991,p27-66
3. McCabe, W.L.,J.C. Smith.,and Harriott P , “Unit Operation of chemical Engineering” 4 th
Edition McGraw-Hill, New York.
4. Perry ,R.H., and D.W. Green, “Perry’s Chemical Engineer’s Handbood” 7 th edition
McGraw-Hill, New York.
5. Ulrich , G.D., “A Gide to chemical Engineering Process Design and Economic” John
Wiley & Sons, Inc., 1984, p.287-289
6. Zachary Fijal, constantions Loukeris, “Liquid-Liquid Extraction”, Snior Design CHE 356.
7. S S Maitra, Member, A K Verma, Non-member, “End of Small Volume High Value Myth in
Biotechnology. Process Design for a Mega-plant Producing g-Interferon for Mega Profit”,
Vol.84, September 2003,p.17-24
89
ภาคผนวก
90
Heat exchanger คือ อุปกรณ์ที่ทาํ หน้าที่ ถ่ายเทความร้อน เรี ยกว่า อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน ซึ่ง
มี ห ลายรู ป แบบ ตั้ง แต่ แ บบที่ ง่ า ยที่ สุ ด ในรู ป ของขดท่ อ ไอนํ้าจุ่ ม ให้ ค วามร้ อ นแก่ น้ ํา หรื อนํ้ายาใน
กระบวนการผลิต (เพื่อทําให้น้ าํ หรื อนํ้ายาร้อน) และมีไปจนกระทัง่ ถึง รู ปแบบที่ซบั ซ้อนมากๆ เช่น เครื่ อง
ผลิตไอนํ้า จากความร้อนปล่อยทิ้ง หรื อคอนเดนเซอร์ ในโรงไฟฟ้ า (ที่เรี ยกว่า ระบบ co-generation system)
เมื่อเกิ ดการไหลของของไหลสองกระแสที่มีวสั ดุตวั กลางกั้นอยู่ ของไหลที่มีอุณหภูมิสูงกว่า จะ
ถ่ายเทความร้ อนสู่ วสั ดุ ตวั กลางและผ่านไปยังของไหลที่ มีอุณหภูมิต่ าํ กว่า ในทางกลับกัน ของไหลที่ มี
อุณหภูมิต่าํ กว่าจะรับความร้อนจากวัสดุตวั กลาง ของไหลนั้นก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้น การถ่ายเทความ
ร้อนผ่านตัวกลางจึงสามารถแบ่งออกได้เป็ น 3 ช่วง ได้แก่
• จากของไหลอุณหภูมิสูงสู่ วสั ดุตวั กลาง
• จากผิวตัวกลางด้านอุณหภูมิสูงสู่ ผวิ ตัวกลางด้านอุณหภูมิต่าํ
• จากวัสดุตวั กลางสู่ ของไหลอุณหภูมิต่าํ
รู ป ก.1 อุณหภูมิของวัสดุเมื่อเกิดการถ่ายเทความร้อน
อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนใช้สาํ หรับแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างของไหลสองกระแส โดยที่
ของไหลทั้งสองจะไม่สัมผัสหรื อผสมกันโดยตรง ซึ่ งส่ วนใหญ่จะใช้ในงานทางวิศวกรรม เช่ น หม้อนํ้า
รถยนต์เครื่ องนําความร้อนกลับ ฯลฯ
อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนสามารถแบ่งตามลักษณะการไหลได้ 3 แบบหลักๆ ได้แก่
• การไหลแบบทางเดียวกัน (Parallel Flow)
• การไหลแบบสวนทางกัน (Counter Flow)
91
1. การนําพลังงานความร้อนบางส่ วนจากนํ้าทิ้งกลับมาใช้ใหม่
2. การลดปริ มาณการใช้น้ าํ
3. การควบคุมการระบายนํ้าทิ้งดีข้ ึน ฯลฯ
การออกแบบอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนในงานวิศวกรรมที่ดีน้ นั ไม่ใช่จะคํานึงถึงแต่เพียงเรื่ องขอ
สมรรถนะเท่ า นั้น ความประหยัด ก็ เ ป็ นเรื่ อ งที่ สํา คัญ ไม่ ยิ่ ง หย่อ นไปกว่ า เรื่ อ งสมรรถนะของอุ ป กรณ์
แลกเปลี่ยนความร้อนเลย บทบาทของอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนที่นบั วันก็ย่ิงจะทวีความสําคัญมากขึ้น
ทุกทีในปั จจุบนั วิศวกรต่างก็ประสบกับปั ญหาเกี่ยวกับวิกฤตการทางด้านพลังงานเป็ นอย่างมาก ดังนั้นผูผ้ ลิต
จึงพยายาม ที่จะออกแบบอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุ ด ซึ่ งไม่เพียงแต่ว่า
จะต้องคํานึงถึงวิศวกรรมด้านการวิเคราะห์ในเชิงความร้อนและความประหยัดในด้านการลงทุนเท่านั้น
แต่ยงั ต้องคํานึงถึงผลตอบแทนทางด้านพลังงานอีกด้วย ดังนั้นในด้านเศรษฐศาสตร์จึงต้อง คํานึ งถึง
พลังงานที่สามารถจัดหาและวัตถุดิบที่จะต้องใช้งานอีกด้วยอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนในระบบการถ่ายเท
92
ชนิดของการแลกเปลีย่ นความร้ อน
การแบ่งประเภทของอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม สามารถกระทําได้ 2
วิธี คือ แบ่งตามสภาวะของของไหลที่ใช้ และแบ่งตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้คือ
การแบ่ งตามสภาวะของไหลทีใ่ ช้
1. เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างของเหลว-ของเหลว เป็ นเครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อน
ประเภทที่ไม่มีการ เปลี่ยนแปลงสภาวะของของไหลทั้ง 2 ชนิ ด เช่ น นํ้ามันก้นหอกลัน่ และนํ้ามันดิ บที่
ป้ อนเข้าหอกลัน่ เป็ นต้น
2. เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างของเหลว-ของเหลว ชนิ ดที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะของ
ของไหลทั้ง 2 ชนิ ด โดยของเหลวชนิ ดหนึ่ งจะเปลี่ ยนสภาวะเป็ นก๊าซหรื อระเหยเป็ นไอในระหว่าง
แลกเปลี่ยนความร้อน เช่น เครื่ องต้ม ซํ้า (Reboiler) ของหอกลัน่ นํ้ามัน ซึ่ งใช้น้ าํ มันอุณหภูมิสูงเป็ นแหล่ง
ความร้อน
3. เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างก๊าซ-ก๊าซ ชนิ ดไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะ ไม่เกิดการ
ควบแน่นเป็ นของเหลว เช่น เครื่ องอุ่นอากาศที่ใช้ก๊าซทิ้งเป็ นแหล่งความร้อน
4. เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างก๊าซ-ก๊าซ ชนิดที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะ โดยชนิ ดหนึ่ ง
จะมีการควบแน่นเป็ นของเหลว เช่น เครื่ องกระจายความร้อน (Radiator) สําหรับทําความอบอุ่นในห้อง โดย
ทําอากาศให้อุ่นด้วยไอนํ้า
5. เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างก๊าซ-ของเหลว ชนิดไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะ โดยชนิด
หนึ่ งเป็ นก๊าซและอีกชนิ ดหนึ่ งเป็ นของเหลว เช่ น เครื่ องอุ่นนํ้าป้ อน ที่ใช้ก๊าซทิ้งจากหม้อไอนํ้าเป็ นแหล่ง
ความร้อน
6. เครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างก๊าซ-ของเหลว ชนิดที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะ เช่น หม้อ
ไอนํ้า แบบท่ อ ซึ่ ง ระเหยนํ้า ให้เ ป็ นไอนํ้า ด้ว ยก๊ า ซสัน ดาป และเครื่ อ งควบแน่ น ซึ่ ง ควบแน่ น ไอให้เ ป็ น
ของเหลวด้วยนํ้าระบายความร้อน
ข.เครื่องปฏิกรณ์ (Reactor)
การทํางานของเครื่องปฏิกรณ์
ในการทํางานแบบกะ (Batch operation) สารทําปฏิกิริยาทั้งหมดถูกป้ อนเข้าไปในเครื่ องปฏิกรณ์
ทิ้งไว้ก่อน แล้วจึงเริ่ มปฏิกิริยา เมื่อเสร็ จสิ้ นปฏิกิริยาตามเวลาที่กาํ หนดจึงนําของผสม (สารทําปฏิกิริยาที่ยงั
เหลื อ อยู่ แ ละผลิ ต ภัณ ฑ์ ) ออกจากเครื่ องปฏิ ก รณ์ โดยทั่ว ไปใช้เ ครื่ องปฏิ ก รณ์ แ บบถัง กวน
สําหรับการทํางานแบบไหลต่ อเนื่อง (Continuous operation) สารทําปฏิกิริยาป้ อนเข้าที่ทางเข้า
เครื่ องปฏิกรณ์อย่างต่อเนื่ อง ผลิตภัณฑ์ที่ได้ไหลออกมาที่ทางออก ลักษณะของเครื่ องปฏิกรณ์แบบนี้ มีท้ งั
รู ปแบบถังกวนและแบบท่อไหล
ส่ วนการทํางานแบบเฟดแบทช์ (fed-batch operation) หรื อเซมิแบทช์ (semi-batch operation) จะมี
ลักษณะการทํางานกํ้ากึ่งระหว่างแบบกะกับแบบไหลต่อเนื่อง
รูปแบบของเครื่องปฏิกรณ์
1. เครื่ องปฏิกรณ์แบบถังกวนในลักษณะการทํางานแบบกะเรี ยกว่า เครื่องปฏิกรณ์ แบบกะ (Batch
reactor) แต่ถา้ เป็ นการทํางานแบบต่อเนื่องเรี ยกว่า เครื่องปฏิกรณ์ แบบถังกวนต่ อเนื่อง (Continuous stirred
tank reactor) เรี ยกสั้นๆว่า CSTR
2. เครื่ องปฏิกรณ์แบบท่อไหล มีโครงสร้างคลายเครื่ องแลกเปลี่ยนความร้อน
เครื่องปฏิกรณ์ แบบมูฟวิง่ เบดมีคุณสมบัตพิ เิ ศษระหว่ างฟิ คซ์ เบดกับฟลูอดิ ไดซ์ เบด มีข้อดีมีดงั นี้
1. แก๊สและอนุภาคของไหลมีการไหลใกล้เคียงกับแบบท่อไหล (plug flow) ดังนั้นคอนเวอร์ชนั
จะสูง
2. การปรับสภาพแคตาลิสต์ (catalyst regeneration) ทําได้อย่างต่อเนื่อง
3. ช่วงเวลาสัมผัสของแข็งกับอนุภาคของแข็ง กว้างและปรับได้ง่าย
ข้อเสี ยคือ
1. การถ่ายเทความร้อนบริ เวณผนังเบดและภายในเบดไม่ดี อาจทําให้อุณหภูมิมีการกระจายตัว
การควบคุมอุณหภูมิภายในเบดทําได้ยาก
109
ค.ปั๊ม (Pump)
ปั๊ ม หรื อ เครื่ อ งสู บ อาจให้ ค าํ จํา กัด ความได้ว่ า เป็ นเครื่ อ งมื อ กลที่ ท าํ หน้า ที่ เ พิ่ ม พลัง งานให้แ ก่
ของเหลว เพื่อให้ของเหลวนั้นไหลผ่านระบบท่ อปิ ดจากจุ ดหนึ่ งไปยังอี ก จุ ดหนึ่ งได้ตามความต้องการ
พลังงานที่นาํ มาเพิ่มให้แก่ของเหลวนั้นอาจมาจากเครื่ องยนต์ มอเตอร์ แรงลม แรงคน หรื อพลังงานแหล่ง
อื่นๆก็ได้
กล่าวได้ว่า ปั๊ มมีส่วนในการพัฒนาความเป็ นอยู่ของมนุ ษยชาติมาตั้งแต่อดีตและจะมีมากยิ่งๆขึ้น
ต่อไปในอนาคต ในอดีตประชากรส่ วนใหญ่ตอ้ งอาศัยอยูใ่ กล้ๆกับแหล่งนํ้าเพื่อความสะดวกในการใช้น้ าํ เพื่อ
อุปโภคบริ โภคและทําการเกษตร แหล่งนํ้าใดที่อยูต่ ่าํ จากผิวดินมากไม่สะดวกต่อการใช้ มนุษย์ก็ได้พยายาม
คิ ด ค้น เครื่ องมื อซึ่ งมี ล ัก ษณะเป็ นปั๊ มหรื อเครื่ องสู บ ชนิ ด ต่ า งๆเพื่อนําเอานํ้ามาใช้ใ ห้ส ะดวกขึ้ น เพื่อให้
สามารถทําการเพาะปลูกได้มากและห่ างไกลจากแหล่งนํ้ามากขึ้น ปั๊ มหรื อเครื่ องมือที่คิดค้นขึ้นมาหลายร้อย
ปี แล้ว บางชิ้นก็ยงั คงมีใช้อยูใ่ นหลายๆประเทศในปัจจุบนั
ปั๊ มสมัยใหม่ได้เริ่ มมีวิวฒั นาการมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1840 โดยเป็ นแบบลูกสู บชักชนิ ดต่อตรง
เข้ากับเครื่ องจักรไอนํ้า นับตั้งแต่สมันนั้นเป็ นต้นมาก็ได้มีวิวฒั นาการมากขึ้นในทุกๆด้านจนอาจกล่าวได้ว่า
ปั๊ มเป็ นเครื่ องมือสําคัญที่จาํ เป็ นต่อความอยู่ดีกินดีของมนุ ษยชาติทุกด้าน นับตั้งแต่งานจัดหาและส่ งนํ้าเพื่อ
อุปโภคบริ โภค การเกษตร งานอุตสาหกรรม คมนาคม หรื อแม้กระทัง่ งานแพทย์ที่ใช้ปั๊มทําหน้าที่หวั ใจเทียม
เป็ นต้น ซึ่งเราสามารถแยกปั๊ มตามลักษณะการเพิ่มพลังงานให้แก่ของเหลวได้เป็ น 4 ประเภท ได้แก่
1. ประเภทเซนตริ ฟูกอล (Centrifugal) เพิ่มพลังงานให้แก่ ของเหลวโดยอาศัยแรงเหวียงหนี จุด
ศูนย์กลาง
2. ประเภทโรตารี่ (Rotary) เพิ่มพลังงานโดยอาศัยการหมุนของฟันเฟื องรอบแกนกลาง
3. ประเภทลูกสู บชัก (Reciprocating) เพิ่มพลังงานโดยอาศัยการอัดโดยตรงในกระบอกสู บ
4. นอกแบบ (Special) ซึ่งเป็ นปั๊ มที่มีลกั ษณะพิเศษไม่สามารถจัดให้อยูใ่ นสามประเภทข้างต้นได้
การทํางานของปั๊มแบบเซนตริฟูกอล
ปั๊ มแบบนี้ทาํ งานโดยอาศัยการหมุนของใบพัดหรื ออิมเพลเลอร์ (Impeller) ที่ได้รับการถ่ายเทกําลัง
จากเครื่ องยนต์ตน้ กําลังหรื อมอเตอร์ ไฟฟ้ า เมื่อใบพัดหมุนพลังงานจากเครื่ องยนต์ก็จะถูกถ่ายเทโดยการ
110
ผลักดันของครี
ข บใบพพัด (vane) ต่ อของเหลวทีที่ อยู่รอบๆ ทําให้เกิ ดการ ไหลในแนว สัมผัสกับเส้นรอบวง
(Tangenttial flow) เมืื่อมีการไหลใในลักษณะดังกล่
ง าวก็จะเกิดแรงเหวี
ด ่ยงหหนีจุดศูนย์กลาาง (Centrifuggal force)
และเป็ นผลให้
น ศู กลางของงใบพัดออกไปสู่ แนวเส้นรอบวงทุ
มีการไไหลจากจุดศนย์ ร กทิศศทาง (Radial flow)
ดังนั้น ของเหลวที่ถูกใบพั
ใ ดผลักดันออกมาก็
น จะมีมีทิศทางการไไหลที่เป็ นผลรวมของแนววทั้งสอง
ป ่ ค.1 แสดงงทิศทางการไไหลของของเหหลวขณะผ่านออกจากใบพ
รูปที น พัดของปั๊มแบบบเซนทริ ฟกู อล
อ
โดยหลักชลศศาสตร์ เมื่อขอองเหลวถูกหมมุนให้เกิดแรงงหนีจุดศูนย์กลาง
ก ความกดดดันของของเเหลวจะมี
น ่ออยูห่ ่างจจากจุดศูนย์กลางของใบพั
ค่ามากขึ้นเมื ล ด ้ น เมื่อความเร็ วของงใบพัดซึ่งหมุนอยูใ่ นภาชนนะปิ ดมาก
ดมากขึ
พอ ความมกดดันที่จุดศูนย์กลางก็จะตํ
ะ ่ากว่าความมกดดันของบรรยากาศ ดังนั้น ปั๊ มแบบออาศัยแรงเหวีวี่ยงหนี จุด
า อทางดูด(Suction openning) อยูท่ ี่ศูนย์กลางใบพัด
ศูนย์กลาางที่แท้จริ งจึงมีทางให้ของเเหลวไหลเข้าหรื
ของเหลวที่ถูถูกดูดเข้าทางศศูนย์กลาง เมื่อถูกผลักดันออกไปด้วยแแรงผลักดันของครี บใบพัดและแรง
ด
เหวี่ยงหนีนี จุดศูนย์กลาาง ก็จะไหลออกมาตลอดแแนวเส้นรอบววง ดังนั้นใบพพัดจึงจําเป็ นตต้องอยูใ่ นเรื อนปั
อ ๊ มเพื่อ
ทําหน้าที่รวบรวมและะผันของเหลววเหล่านี้ ไปสู่ ทางจ่าย(Disccharge openiing) เพื่อต่อเขข้ากับท่อส่ งหรื
ห อระบบ
ใช้งานต่อไป ในการรรวบรวมของเเหลวที่ถูกผลักั ดันออกมานีนี้ จาํ เป็ นจะต้องเริ
อ ่ มต้นที่จุดดใดจุดหนึ่ งบนเส้
บ นรอ
น จุดหนึ่ งซึ่ งผนังภายในของเรื อนปัปั๊ มเข้ามาชิดกับั ขอบของใบบพัดมาก จุดดัดงกล่าวนี้
บวงของใบพัด ดังนั้นจะมี
เรี ยกว่า ลิ้นของเรื อนปัปั๊ม (Tongue of
o the casing))
111
ค แสดงลักษณะทั
รูปที่ ค.2 ษ ว่ ไปขอองเรื อนปั๊ม(CCasing) ของปัั๊มแบบเซนทริริ ฟกู อล
จากลิ้นของเรืรื อนปั๊ มไปทาางทิศทางการรหมุนของใบพัด จะมีของเหลวไหลอออกมามากขึ้นตามความ
ต
ยาวของเเส้นรอบวงของใบพัดที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ช่องว่างซึ่ งเป็ป็ นทางเดินขอองของเหลวรระหว่างผนังของเรื
ข อน
ปั๊ มกับใบบพัดก็จะต้องเพิ
ง ่มขนาดขึ้นด้
น วย โดยหลัลักการแล้วอัตราการเพิ
ต ่มพื้นที่หน้าตัดจจะคงที่เพื่อให้ห้ความเร็ ว
การไหลสมํ่าเสมอซึ่ งจะเป็
ง นผลให้ห้มีการสู ญเสี ยพลั
ย งงานน้อยลงนั
ย น่ เอง อย่
อ างไรก็ตาม ความเร็ วของงการไหล
จะลดลงเนื่องจากพลังงานบางส่
ง วนถู
น กเปลี่ยนมาาเป็ นพลังงานนศักย์ในรู ปขอองความดัน(PPressure headd) แทน
แบบต่ างๆขอองปั๊มประเภททเซนตริฟูกอลล
1. แบบหออยโข่ ง (Volutte Type) เป็ นแบบพื
น ้นฐานนของปั๊ มประเเภทนี้ กล่าวคืคือเป็ นแบบที่ของเหลว
ข
ที่ไหลเข้า้ มาสู่ศูนย์กลางของใบพั
ล ดมีทิศทางขนาานกับแกนขอองเพลา แล้วไหลออกทํามุม 90 องศากับทิ บ ศทางที่
ไหลเข้า ช่องทางเดินของของเหลววจากลิ้นของเรื อนปั๊ มมีพ้ืนที
น ่หน้าตัดเพิพิ่มขึ้นตามความยาวของเส้ส้นรอบวง
ในทิศทาางการหมุนของใบพัด บางแบบมีการเพพิ่มช่องทางเดิดินให้มากขึ้น การดัดแปลลงดังกล่าวนี้ จะช่ จ วยให้
แรงกดบบนเพลาของปัั๊มมีความสมดดุลดีข้ ึน
2. แบบมีครี ค บผันนํ้า (DDiffuser Tyype) ปั๊ มแบบบนี้ มีลกั ษณะขของใบพัดแลละรู ปร่ างภายนอกของ
เรื อนปั๊ ม (casing) เหมืมือนกับแบบแแรกทุกประการ จะผิดกันก็เพียงแต่ว่าภายในจะมี ภ ครี บผันนํ้า(Guidde vanes)
ม ครี บดังกล่าวซึ่ งติดอยูกัก่ บั เรื อนปั๊ มจะะช่วยให้ของเเหลวที่ถูกผลักั ดันออกมาคค่อยๆเบนทิศทางไปสู
เพิ่มขึ้นมา ศ ่
ช่องทางเดินซึ่ งเป็ นส่ วนโค้งได้ดีขึข้ ึน ทําให้มีการสูา ญเสี ยพลังงานน้
ง อยลง และเป็ นผลใให้การเปลี่ยนพลั
น งงาน
จลน์มาเป็ป็ นพลังงานศัศักย์ในรู ปของงความดันมีประสิ ร ทธิภาพดีดีข้ ึน
3. แบบเทออร์ ไบน์ (Turbbine Type) ปั๊มแบบนี้บางคครั้งเรี ยกว่า voortex, peripheery หรื อ regeenerative
turbine ลักษณพิเศษขของมันคือใบบพัดจะเป็ นแผผ่นแบนกลมมีมีความหนา ครี ค บของใบพัดั เกิดจากการรเซาะร่ อง
บนขอบของแผ่นใบพพัด ทําให้เกิ ดเป็
ด นแผ่นครีรี บแคบๆและะสั้นในแนวรรั ศมี (Radial Directionn) ขณะที่
ของเหลววไหลเข้ามาจจากทางดูดสู ้ช่ชองว่างระหวว่างครี บของใใบพัดมันจะถูถูกเหวี่ยงออกด้วยแรงหนี ศูศูนย์กลาง
แต่เนื่องจจากผนังของเเรืื อนปั๊ มปิ ดกั้ นั อยู่ ของเหลลวดังกล่าวก็จะวิ บ ามาสู่ ช่องวว่างระหว่างใบพัดและ
จ ่งย้อยกลับเข้
ง าวจะซํ้ากักนอยู่เช่นนี้ จนกว่าจะถึงช่องทางจ่าย(DDischarge Opening)
ถูกเหวี่ยงออกไปอีก ขบวนการดังกล่
พลังงานที่ของเหลวไได้รับจะขึ้นอยูยูก่ บั จํานวนคครั้งที่ของเหลววิ่งเข้ามาสู่ ช่ชองว่างระหว่ว่างครี บของใบพัดและ
113
ถูกเหวี่ยงออกไปซึ
ง ่ งมีค่าตั้งแต่ 2 ถึง 50 ครั้ง ถ้าจํานวนครั้งมาากพลังงานศักย์
ก ของของเหลวก็จะมากตตามขึ้นไป
ด้วย
(b) ในแนนวทํามุมเอียงกั
ง บเพลา (Miixed Flow)
ลักษณะใใบพัดของปั๊มแบบเซนตริ
ม ฟูฟกอล
เนื่ องจากว่าใบพั
ใ ดของป๊ มแบบเซนตริ ฟูฟกอลได้รับการออกแบบใ
ก ให้เหมาะสมกกับการใช้งานนมากมาย
หลายชนินิด การจําแนกกประเภทอาจจจะพิจารณาไได้จากลักษณ
ณะของแผ่นใบบพัด จานประะกับ (shroud)) ลักษณะ
การไหลลของของเหลลวเข้าและออกจากใบพัด หรื อวัตถุประะสงค์การใช้งานของมั
ง น ใใบพัดที่ได้รับการแยก
บ
ประเภทตตามหลักการข้างต้นมีดงั นี้ คือ
ค บของใบพัดั จะยึดอยู่กบบจานประกั
1. ใบพัดเปิ ด (open imppeller) โดยทัทัว่ ๆไปแล้วครี ั บ(shroud)
บ
สําหรับใบพั ่
ใ ดที่จดั อยูในประเภทนี
นี้จะมีแผ่นครี บบางส่
บ วนยืนออกมาจากจ
น่ จาน คือรัศมีขของจานจะเล็กกว่
ก ารัศมี
ของใบพั
พัด
116
3. ใบพัดปิ ด (closed impeller) เป็ นแบบที่ใบพัดที่ปิดอยูด่ ว้ ยจานประกับ 2 แผ่น ในรู ป1.9c มีทางให้
ของเหลวไหลเข้าหรื อทางดูดเพียงด้านเดียว เรี ยกว่าเป็ นใบพัดแบบปิ ด ดูดด้านเดียว (closed, single suction
impeller) สําหรับรู ป1.9d มีทางดูดสองด้านเรี ยกว่าเป็ นแบบใบพัดปิ ด ดูดสองด้าน (closed, double suction
impeller)
ค ใบพัดแบบบต่าง ๆ
รูปที่ ค.8
(b) Semi-open Im
mpeller
(f) Propeller
P (Axxial flow imppeller)
ส่ วนประกอบของหอกลัน่
หอกลัน่ มีส่วนประกอบหลักที่น่าสนใจดังนี้
1. ตัวหอหรื อคอลัมน์ (Column) เพื่อความแข็งแรงและประหยัด ตัวหอควรเป็ นทรงกลม ทําจากส
เตนเลสเนื้อดี ทนทานต่อการกัดกร่ อนและไม่เป็ นสนิ ม ควรซอยแบ่งเป็ นปล้องๆ เพื่อให้ถอดล้างทําความ
สะอาดง่าย แต่ละปล้องมีหน้าแปลนประกบร้อยด้วยน็อตยึดเข้าหากันอย่างแน่นหนา ระหว่างหน้าแปลนมี
ประเก็นยางชนิดทนร้อน ช่วยป้ องกันการรั่วไหลของไอออกจากตัวหอ
2. แผ่นเพลท (Plate) เป็ นแผ่นเหล็กกลมที่ก้ นั ตัวหอออกเป็ นปล้องๆ ทําหน้าที่รองรับนํ้าที่ไหลเข้า
มาในตัวหอ บนแผ่นเพลทจะมีหมวก (Cap) เป็ นช่องทางผ่านของไอนํ้าร้อนที่จะแทรกตัวผ่านนํ้าออกไป ทํา
ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนขึ้นบนแผ่นเพลทนี้
3. ถังก้นหอ (Bottom tank) เป็ นถังที่อยูด่ า้ นล่างสุ ดของตัวหอ ทําหน้าที่รองรับนํ้าทิ้งที่ผา่ นการ
กลัน่ แล้ว ก่อนที่จะไหลออกสู่ ท่อนํ้าทิ้ง ถังก้นหอมีความสําคัญสําหรับหอกลัน่ ขนาดเล็ก เพราะทําหน้าที่
รักษาสมดุลไอนํ้าและความร้อน ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงเร็ วเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดปั ญหาในระหว่างการกลัน่
119
กระบวนการนี้ จะได้น้ าํ มันที่กลัน่ แล้ว คือ นํ้ามันเบนซิ น (Petrol) เพิ่มสู งขึ้นเป็ นร้อยละ 50 ใน
ปั จจุบนั กระบวนการกลัน่ แบบนี้เกิดขึ้นโดยการเอานํ้ามันดิบมาทําให้เกิดการแตกตัวในถัง ที่อุณหภูมิสูงกว่า
1,000 องศาฟาเรนไฮต์ ที่ความกดดันมากกว่า 1,000 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ ว สภาวะอุณหภูมิที่สูงและความ
กดดันที่สูงทําให้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ เกิดการแยกตัวหรื อแตกตัว
เป็ นนํ้ามันส่ วนเบา หรื อเป็ นสารไฮโดรคาร์ บอนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลง รวมทั้งมีจาํ นวนอะตอมของ
คาร์บอนน้อยลง และนํ้ามันส่ วนเบาซึ่งมีสภาพเป็ นไอร้อนนี้ก็จะถูกปล่อยให้เข้าไปในหอกลัน่ เพื่อควบแน่น
และกลัน่ ตัวเป็ นของเหลวต่อไป