You are on page 1of 20

บ ท ที่ ๓ ...

พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล


1. ความหมายของ “พระอาณาจักรของพระเจ้า”
เมื่อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ยืนยันความหวังของชาวอิสราเอลเรื่องอนาคต มักจะใช้
สำนวนที่ว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้า” สำนวนนี้เป็นการแปลวลีภาษากรีกว่า “Basileia tou Teou”
ภาษาอังกฤษแปลได้สองความหมายคือ
1. Sovereignty, royalty หมายถึง บทบาทของการเป็นกษัตริย์หรือเจ้านาย พระเจ้าจึง
ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองมนุษย์
2. Kingdom, reign หมายถึง ขอบเขตหรือดินแดนที่พระเจ้าทรงปกครอง
ในพระวรสารสหทรรศน์ (Synoptic) พระอาณาจักรของพระเจ้ามีความหมายดังกล่าวทั้งสอง
คือ การปกครองของพระเจ้า และอาณาเขตการปกครองของพระองค์ นักบุญยอห์นสื่อความหมาย
เดียวกันโดยใช้คำว่า “ชีวิตนิรันดร” นักบุญเปาโลใช้คำว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้า” น้อยมาก แต่
มักจะใช้คำว่า “สิ่งสร้างใหม่”

34
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

นักบุญมัทธิวมักจะใช้สำนวน “อาณาจักรสวรรค์” แทน “พระอาณาจักรของพระเจ้า” แสดง


ว่าเขาเขียนตามธรรมประเพณีของชาวยิวที่หลีกเลี่ยงการออกพระนามของพระเจ้า เขาจึงใช้คำว่า
“สวรรค์” แทน
ในพันธสัญญาใหม่ เราพบสำนวน “พระอาณาจักรของพระเจ้า” (หรืออาณาจักรสวรรค์)
ทั้งหมด 122 ครั้ง คือในพระวรสารสหทรรศน์ 99 ครั้ง ในจำนวน 99 ครั้งเป็นพระวาจาของพระ-
เยซูเจ้า 90 ครั้ง สำนวนนี้เป็นคำอุปมาที่มีความหมายมากมาย เป็นคำสรุปความหวังของชาวยิวและ
ของคริสตชน ที่พระเจ้าจะทรงช่วยโลกทั้งหมดให้รอดพ้นอย่างสมบูรณ์ถาวร คือ จะทรงนำอิสรภาพ
สันติสุข ความยุติธรรมและชีวิตสมบูรณ์ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

2. ทรรศนะของชาวอิสราเอลในสมัยของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับพระอาณาจักรของพระเจ้า
เราจะเข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้าในเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าง่ายขึ้น ถ้าเราทราบ
ทรรศนะของชาวยิวร่วมสมัยเดียวกับพระองค์ เพราะทุกคนในเวลานั้นมีความหวังว่าพระเจ้าจะเสด็จ
มาปกครองเขา ความหวังเกี่ยวกับอนาคตแสดงออกใน 3 ลักษณะคือ
2.1 ความหวังเชิงการเมืองของผู้รอคอยพระเมสสิยาห์ (Political - Messianic Hope)
ประชากรอิสราเอลส่วนใหญ่หวังว่าพระเจ้าจะสถาปนาราชวงศ์ดาวิดอีกครั้งหนึ่ง และ
อาศัยกษัตริย์พระองค์นี้ผู้รับเจิมจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงปกครองชาติอิสราเอลหลังจากที่ทรงช่วย
เขาให้พ้นจากการปกครองของคนต่างชาติ แนวความคิดนี้คล้ายกับความคิดของบรรดาประกาศกว่า
พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์มนุษย์ พระเจ้าทรงอนุญาตให้คน
ต่างชาติปกครองอิสราเอล เพื่อสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงช่วยอิสราเอลให้เป็นอิสระพ้นจากการเป็น
เมืองขึน้ โดยจะทรงขับไล่ชาวต่างชาติ เหตุการณ์นจี้ ะสำเร็จได้โดยทางกษัตริยพ์ ระองค์ใหม่ในราชวงศ์
ดาวิด คือ พระเมสสิยาห์ พระองค์นี้จะทรงเป็นผู้นำอิสราเอลในการปราบปรามต่อสู้กับศัตรูต่างชาติ
และจะได้รับชัยชนะ ทรงชำระกรุงเยรูซาเล็มให้พ้นมลทิน ทรงรวบรวมเผ่าต่างๆ มาเป็นอาณาจักร
เดียวกันอีกครั้งหนึ่ง และในที่สุด ชนชาติต่างๆ จะมาคารวะกษัตริย์อิสราเอลและชื่นชมการปกครอง
ของพระยาห์เวห์โดยทางพระเมสสิยาห์

35
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

กลุ่มชาตินิยม (Zealots) คือพวกหัวรุนแรงมีแนวความคิดเช่นเดียวกันนี้ แต่เขาเสริมว่า


ชาวยิวจะอยู่เฉยๆ รอคอยการกระทำของพระเจ้าเท่านั้นไม่ได้ พระองค์จะทรงช่วยชาวอิสราเอลให้
เป็นอิสระก็ตอ่ เมือ่ ชาวอิสราเอลจะต้องร่วมมือกันต่อสู ้ ก่อกบฎต่อคนต่างชาติ โดยใช้วธิ กี ารแบบกองโจร
แล้วพระยาห์เวห์จะทรงส่งพระเมสสิยาห์มาช่วย คติพจน์ของกลุ่มชาตินิยมคือ “พระยาห์เวห์ทรงเป็น
กษัตริย์เพียงพระองค์เดียว พวกเราจะรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” เมื่อจักรพรรดิผู้ทรงปกครอง
จักรวรรดิโรมันทรงสัง่ ให้มกี ารสำรวจสำมะโนครัวประชากร กลุม่ ชาตินยิ มจึงต่อต้านไม่ยอมปฏิบตั ติ าม
ไม่ยอมจ่ายภาษี ให้รัฐบาลโรม เพราะเขาคิดว่า การที่แต่ละคนต้องจ่ายภาษี แสดงว่าเขายอมรับ
จักรพรรดิเป็นเจ้านายหรือพระเจ้าเหนือเขา
2.2 ความหวังของบรรดาธรรมาจารย์ (Rabbinic Expectations)
บรรดาชาวฟาริสีคิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ายังไม่ปรากฏ เพราะความผิดของชาว
อิสราเอลที่ ได้ทำบาป แต่ถ้าชาวอิสราเอลทุกคนกลับมาปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัดแม้
เพียงวันเดียว พระยาห์เวห์ก็จะเสด็จมาปกครองอย่างเปิดเผย จะประทานความสุขบริบูรณ์ พระ-
อาณาจักรของพระเจ้าก็จะมาถึง แนวความคิดนี้ช่วยเราให้เข้าใจเหตุผลที่ชาวฟาริสีโกรธแค้นคนบาป
และทนเขาไม่ได้ เพราะคนบาปเป็นอุปสรรคทำให้พระยาห์เวห์ไม่เสด็จมาปกครองชาวอิสราเอล เขา
จึงจำเป็นต้องจัดการกับคนบาปให้เหลือเพียงคนดีเท่านั้น
2.3 ความหวังของนักเขียนวรรณกรรมประเภทวิวรณ์ (Apocalyptic Hope)
บรรดานักเขียนวรรณกรรมประเภทวิวรณ์ศึกษาเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ เพื่อ
ค้นพบเครื่องหมายของการสิ้นพิภพ และพยายามคำนวณวันเวลาของเหตุการณ์ที่จะนำยุคใหม่แห่ง
ความรอดพ้นอย่างสมบูรณ์ ผู้เขียนเหล่านี้ใช้ภาษาสัญลักษณ์เพื่อถ่ายทอดความจริงว่า เขาหมดหวัง
กับมนุษย์ในโลกนี้ การกระทำของมนุษย์จึงไม่มีผลเลยในการทำให้พระอาณาของพระเจ้ามาถึง
พระเจ้าจะเสด็จมาปกครองหรือจะทรงสร้างอนาคตรุง่ เรือง ล้วนเป็นพระพรของพระเจ้าเท่านัน้ มนุษย์
ทำอะไรไม่ได้นอกจากปฏิบัติความซื่อสัตย์ต่อพระองค์อย่างมั่นคง และรอคอยเหตุการณ์นั้นด้วยความ
เพียรทน

36
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

3. ทรรศนะของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า
คำสอนของพระเยซูเจ้าเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับแนวความคิดทั้ง
3 แบบที่ได้กล่าวมา
3.1 ไม่สอดคล้องกับความหวังเชิงการเมืองของผู้รอคอยพระเมสสิยาห์
พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าขึ้นกับพระบุคคลและการกระทำ
ของพระองค์ “ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็หมายความว่า พระอาณาจักรของพระเจ้า
มาถึงท่านแล้ว” (ลก 11:20) พระองค์ไม่ได้เป็นพระเมสสิยาห์เชิงการเมืองแบบที่ชาวอิสราเอลทั่วไป
รอคอย เนื่องด้วยคนทั่วไปคิดว่าพระเมสสิยาห์จะต้องเป็นกษัตริย์ผู้ขับไล่ศัตรูของประเทศชาติ
พระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงยอมให้ใครเรียกพระองค์ว่าพระเมสสิยาห์หรือพระคริสตเจ้า เพราะชื่อนี้อาจจะ
สร้างความเข้าใจผิด เมื่อพระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า พระองค์ไม่ทรงทำตามที่ชาว
อิสราเอลคาดหมาย คือ ไม่เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในฐานะกษัตริย์หรือผู้นำกองทัพ แต่ทรงประทับ
บนหลังลูกลาแทนทรงม้า (เทียบ มก 11:1-10)
3.2 ไม่สอดคล้องกับความหวังในทรรศนะของบรรดาธรรมาจารย์
พระเยซูเจ้าไม่ได้ตรัสสอนว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าขึ้นกับการกระทำของมนุษย์
ราวกับว่าพระเจ้าทรงตอบแทนความประพฤติชอบธรรมของมนุษย์ ตรงกันข้ามพระเยซูเจ้าทรงเน้นว่า
พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของประทานจากพระองค์ผู้ทรงพระทัยเมตตากรุณา การกระทำของ
มนุษย์เป็นเพียงการตอบสนองการกระทำของพระองค์เท่านัน้ “เวลาทีก่ ำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณา-
จักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด” (มก 1:15)
น่าสังเกตว่า พระวาจานี้เป็นประโยคแรกที่พระเยซูเจ้าตรัสในพระวรสารตามคำบอกเล่าของ
นักบุญมาระโก พระวาจานี้มีโครงสร้างพื้นฐานของการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้า คือ แบ่งเป็นสอง
ภาค ภาคแรกเป็นประโยคบอกเล่า (indicative) และภาคที่สองเป็นประโยคคำสั่ง (imperative)
ภาคแรกพระเยซูเจ้าตรัสว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้” ซึ่งเป็น
ประโยคบอกเล่าในแง่ข่าวดี ภาคสองพระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด” ในทำนอง

37
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

เดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องขุมทรัพย์และเรื่องไข่มุก (เทียบ มธ 13:44-45) สอนว่า


ผู้พบขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนาก็ฝังซ่อนสมบัติไว้ก่อน และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่เขามีเพื่อนำเงิน
มาซื้อที่นาแปลงนั้น หรือพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่ง
ที่มีเอามาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น ดังนั้น เหตุการณ์แรกเล่าเรื่องของประทานจากพระเจ้าที่เขาค้นพบ ต่อมา
เล่าเหตุการณ์ว่า มนุษย์ยอมสละทุกอย่างเพื่อจะได้สิ่งล้ำค่านั้น
3.3 ไม่สอดคล้องกับความหวังของนักเขียนวรรณกรรมประเภทวิวรณ์
พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าไม่มาถึงเพียงหลังจากที่ยุคเก่าถูก
ทำลายเท่านั้น แต่พระเจ้าเสด็จมาปกครองแล้วในปัจจุบันภายในประวัติศาสตร์ของยุคนี้ “‘พระ-
อาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้ ไม่มีใครจะพูดว่า “พระอาณาจักรอยู่ที่นี่ หรือ
อยู่ที่นั่น” เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว’” (ลก 17:20-21) ยุคใหม่ไม่มา
เพียงหลังจากที่ยุคเก่าสิ้นสุดลง แต่เริ่มขึ้นแล้วในปัจจุบัน ขณะที่ยุคเก่ายังดำเนินอยู่ต่อไป ดังนั้น
มนุษย์ไม่เพียงจะต้องรอคอยกิจการของพระเจ้าเท่านั้น แต่จะต้องกลับใจยอมให้พระองค์ทรงปกครอง
จิตใจของเขา
3.4 ทรรศนะของพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าก็จริง แต่ในหนังสือพระวรสารเรา
ไม่พบพระวาจาที่อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าหมายถึงอะไร เราจึงให้คำ
จำกัดความไม่ได้ที่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ความบกพร่องของผู้นิพนธ์พระวรสาร เพราะพระเยซูเจ้าทรงใช้
อุปมาเพื่ออธิบายความเป็นจริงสลับซับซ้อนและเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต พระเยซูเจ้าทรงอธิบายความ
หมายพระอาณาจักรของพระเจ้าไม่เหมือนครูที่ถ่ายทอดความรู้แก่บรรดาศิษย์ทั่วไป แต่ทรงเชื้อเชิญ
เราให้ติดตาม และมีประสบการณ์กับพระอาณาจักรของพระเจ้าในชีวิตของตน พูดอีกนัยหนึ่ง เราจะ
รู้จักพระอาณาจักรของพระเจ้าจากกิจการและพระวาจาของพระเยซูเจ้าเท่านั้น

38
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

4. พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหตุการณ์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ในพระวรสารสหทรรศน์ พระเยซูเจ้าตรัสถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าในสองลักษณะ คือ
พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นปัจจุบันแล้วในพระคริสตเจ้า และจะสมบูรณ์เพียงในอนาคตเท่านั้น
4.1 พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นปัจจุบันแล้วในพระคริสตเจ้า
ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโกเราพบว่า นักบุญบุญยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
เป็นผู้เตรียมการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ที่จะต้องมาในยุคสุดท้าย เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ของ
อิสราเอลเวลานัน้ กับสมัยกลับจากแดนเนรเทศเมืองบาบิโลนไปสูแ่ ผ่นดินอิสราเอล และเตือนประชากร
ให้กลับใจเปรียบเสมือนการอพยพอีกแบบหนึ่ง “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (มก 1:3) ชาว
ยิวร่วมสมัยจะมีประสบการณ์เหมือนกับประชากรอิสราเอลเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดาร และกำลังเดินทาง
ไปสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา การเทศน์สอนของนักบุญยอห์นผู้ทำพิธีล้างเกิดขึ้นในถิ่นทุรกันดาร
เช่นกัน
นักบุญยอห์นนุ่งห่มด้วยผ้าขนอูฐ (เทียบ มธ 3:4) เหมือนประกาศกเอลียาห์ (เทียบ 2
พกษ 1:8) ซึ่งเป็นประกาศกที่จะต้องมาก่อนวันแห่งพระยาห์เวห์ (เทียบ มลค 3:1,23) นักบุญยอห์น
ไม่เป็นผู้นำพระอาณาจักรมาให้ แต่เป็นเพียงผู้เตรียมทางให้พระอาณาจักรนั้นมาถึงโดยเร็ว “มีอีกผู้
หนึ่งกำลังมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะก้มลงแก้สายรัด
รองเท้าของเขา” (มก 1:7) นักบุญยอห์น “เทศน์สอนเรื่องพิธีล้างซึ่งแสดงความเป็นทุกข์กลับใจ เพื่อ
จะได้รับการอภัยบาป” (มก 1:4) และจะ “หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง” (มธ 3:8) นักบุญยอห์น
ใช้ภาพเปรียบเทียบของขวานและพลั่ว เมื่อกล่าวถึงการพิพากษาของพระเจ้า “บัดนี้ ขวานกำลังจ่อ
อยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ต้นใดที่ไม่เกิดผลดี จะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ” (มธ 3:10) พระเมสสิยาห์
“กำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด รวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่
รู้ดับ” (มธ 3:12) “อาณาจักรสวรรค์ อยู่ใกล้แล้ว” (มธ 3:2)
ผู้นิพนธ์พระวรสารทุกคนกล่าวว่านักบุญยอห์นผู้ทำพิธีล้างเทศน์สอนเช่นนี้ น่าจะถาม
ต่อไปว่า พระเยซูเจ้าทรงรับรองความคิดของนักบุญยอห์นหรือไม่ พูดอีกนัยหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงมี

39
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

จิตสำนึกทีท่ รงทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้าเข้ามาในประวัตศิ าสตร์ของมนุษย์หรือไม่ นักบุญยอห์น


ผู้ทำพิธีล้างประกาศว่าพระอาณาจักรจะเกิดขึ้นในไม่ช้า บรรดาศิษย์ของนักบุญยอห์นมาพบพระ-
เยซูเจ้า ถามพระองค์ว่า “ท่านคือผู้ที่จะมา หรือเราจะต้องรอคอยใครอีก” (มธ 11:3) คำตอบของ
พระเยซูเจ้าเป็นการอ้างข้อความจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ (อสย 26:19, 29:18, 35:5, 61:1) ซึ่ง
บรรยายความสุขในวาระสุดท้ายว่าจะเป็นความสุขเหมือนในสวนเอเดนอีกครั้งหนึ่ง “จงไปบอกยอห์น
ถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหู
หนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี” (มธ 11:4-5) น่าสังเกตว่า
พระเยซูเจ้าไม่ตรัสตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เราคือ พระเมสสิยาห์ แต่ทรงชี้แจงว่าพระอาณาจักร
ของพระเจ้าปรากฏชัดในกิจการของพระองค์ พระองค์จึงทรงประกาศพระอาณาจักรด้วยพระวาจา
และกิจการของพระองค์ทำให้พระอาณาจักรเริ่มขึ้นแล้ว แต่จะสมบูรณ์ในอนาคต
เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมทีเ่ มืองนาซาเร็ธ (เทียบ ลก 4:16-22) พระองค์
ทรงอ่านคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ 61:1-2 ซึ่งบรรยายเหตุการณ์เมื่อพระเมสสิยาห์จะเสด็จ
มาปกครองว่า พระองค์จะทรงนำข่าวดีมาสู่คนยากจน ทรงประกาศอิสรภาพแก่เชลยศึก ฯลฯ เมื่อ
พระเยซูเจ้าทรงอ่านข้อความนี้แล้ว พระองค์ตรัสอย่างชัดเจนว่า คำทำนายของประกาศกอิสยาห์
เป็นความจริง “ในวันนี้ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” (ลก 4:21)
แสดงว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว” (มก 1:15ก)
พระวรสารตามคำบอกเล่ า ของนั ก บุ ญ มั ท ธิ ว อธิ บ ายว่ า พระชนมชี พ ทั้ ง หมดของ
พระเยซูเจ้าทำให้ข้อความในพระคัมภีร์เป็นความจริง (มธ 1:22, 2:15, 4::14, 8:17, 12:17, 13:35,
and 21:4) พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ หรือคำสอนของบรรดา
ประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์” (มธ 5:17)
การขับไล่ปีศาจและการทำอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าเป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าพระ-
อาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว

40
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

• การขับไล่ปีศาจ
ตามเทววิทยาของชาวยิว เครื่องหมายที่แสดงว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง
ก็คือ การพ่ายแพ้ของซาตาน พระเยซูเจ้าทรงอ้างอำนาจขับไล่ปีศาจเพื่อแสดงว่าภารกิจของพระองค์
มาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์ทรงขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปีศาจ ดังที่
ชาวยิวกล่าวหาพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงขับไล่ปีศาจก็หมายความว่า พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือกว่า
ทำให้ปีศาจต้องพ่ายแพ้เมื่อเผชิญหน้าพระอาณาจักรของพระเจ้าที่เข้ามาครอบครอง (เทียบ มก 3:
22-27)
ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเห็นซาตาน
ตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” (ลก 10:18) หมายความว่า การที่ซาตานพ่ายแพ้เป็นความจริงแล้ว ใน
ทำนองเดียวกัน พระอาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงแล้วเช่นกัน “ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของ
พระเจ้า ก็หมายความว่า พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว” (ลก 11:20)
เราพบข้อความอีกตอนหนึ่งในพระวรสาร ตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา ที่
แสดงว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่
ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว” (ลก 17:21) หมายความว่า พระอาณาจักรอยู่ในโลกและเริ่มทำงานแล้ว
พระอาณาจักรจึงไม่เป็นเพียงเรื่องภายในจิตใจมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเท่านั้น แต่หมาย
ความว่า พระอาณาจักรยังเป็นเรื่องภายนอกที่สังเกตได้ และเกิดขึ้นแล้วที่นี่ เวลานี้ ไม่ต้องไป
แสวงหาที่อื่น
• การทำอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงใช้พระอานุภาพของพระเจ้าทำอัศจรรย์เพื่อรักษาผู้ป่วยให้หาย
และประทานชีวิตมนุษย์อย่างสมบูรณ์ พระองค์ไม่ทรงรักษาเพียงร่างกายเท่านั้น แต่ทรงรักษาจิต-
วิญญาณให้พ้นจากบาปอีกด้วย เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอดพ้นอย่างสมบูรณ์ พระเจ้าทรงแสดง
พระเมตตาต่อมนุษย์อาศัยกิจการของพระเยซูเจ้า การทำอัศจรรย์ของพระองค์พสิ จู น์วา่ พระอาณาจักร
ของพระเจ้ามาแล้ว

41
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

การให้อภัยบาปเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญ
มาระโก พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาตโดยการทำอัศจรรย์ทั้งฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายร่างกาย
พระองค์ทรงรักษาจิตวิญญาณคนอัมพาตเมื่อตรัสว่า “ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” (มก
2:5) ธรรมาจารย์บางคนคิดว่า “ใครเล่าอภัยบาปได้ นอกจากพระเจ้าเท่านั้น” (มก 2:7) และพระ-
เยซูเจ้าทรงรักษาร่างกายของคนอัมพาตเมื่อตรัสว่า “เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัย-
บาปได้บนแผ่นดินนี้ ... เราสั่งท่านจงลุกขึ้นแบกแคร่กลับไปบ้านเถิด” (มก 2:10-11) น่าสังเกตว่า
พระเยซูเจ้าไม่ตรัสว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงอภัยบาปของคนอัมพาต แต่เป็นพระองค์เองผู้ทรงให้อภัยบาป
เหตุการณ์นี้แสดงว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเท่าเทียมพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงตระหนักว่า พระองค์ทรงได้รับภารกิจจากพระบิดาให้นำพระ-
อาณาจักรของพระเจ้าเข้ามาในประวัติศาสตร์มนุษย์ ไม่เพียงประกาศว่าพระอาณาจักรจะมาถึงใน
อนาคต พระเจ้าเสด็จมาปกครองมนุษย์เป็นความจริงในพระเยซูเจ้าแล้ว โดยกิจการต่างๆ ของ
พระองค์ เช่น ขับไล่ปีศาจ ทำอัศจรรย์ และให้อภัยบาป พระวาจาของพระองค์ว่า ทรงยิ่งใหญ่
กว่าประกาศกโยนาและกษัตริย์ซาโลมอน (เทียบ มธ 12:41-42) แสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงสำนึกใน
พระอานุภาพของพระองค์ พระองค์ยังทรงแสดงความสำนึกนี้อีก เมื่อทรงชี้แจงว่าพระองค์ทรงเป็น
จุดมุ่งหมายของความหวัง ที่บรรดาประกาศกและผู้ชอบธรรมมีในพันธสัญญาเดิม ดังที่พระเยซูเจ้า
ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่
ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่แต่ก็ไม่ได้ฟัง” (มธ 13:17)
นักบุญมัทธิวใช้อีกวิธีหนึ่งเพื่อแสดงว่า พระเยซูเจ้าทรงนำพระอาณาจักรของ
พระเจ้าเข้ามาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์แล้ว คือ วิธีเล่าเหตุการณ์เมื่อพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์
โดยใช้ภาษาสัญลักษณ์ ตามวรรณกรรมประเภทวิวรณ์ (Apocalyptic) การสิ้นพระชนม์ของพระ-
เยซูเจ้าทำให้ยุคเก่าสิ้นสุดแล้ว เปรียบเทียบกับการสิ้นพิภพ “ตั้งแต่เวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดจนถึง
เวลาบ่ายสามโมง…ทันใดนั้น ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่ด้านบนลงมาถึงด้านล่าง
แผ่นดินสั่นสะเทือน ก้อนหินแตก คูหาที่ฝังศพเปิดออก ร่างของผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายร่างที่ล่วงหลับไป

42
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

แล้วกลับคืนชีพ และออกมาจากหลุมศพหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เข้าไปใน


นครศักดิ์สิทธิ์ แล้วแสดงตนแก่ผู้คนจำนวนมาก” (มธ 27:45,51-53) การกลับคืนพระชนมชีพของ
พระเยซูเจ้าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ซึ่งเป็นยุคสุดท้าย
สรุปแล้ว นักบุญยอห์นผูท้ ำพิธลี า้ งประกาศว่า พระอาณาจักรทีพ่ ระเจ้าทรงสัญญา
ไว้จะมาถึงในไม่ช้า ส่วนพระเยซูเจ้าทรงแสดงว่าพระสัญญานั้นเป็นความจริงแล้ว พระอาณาจักรของ
พระเจ้าเป็นปัจจุบันแล้ว เพราะพระองค์ทรงทำลายอำนาจของปีศาจ ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
และทรงให้อภัยบาปของมนุษย์ การกระทำของพระเยซูเจ้าจึงเป็นเครื่องหมายแสดงว่า พระเจ้าทรง
ปกครองประวัติศาสตร์มนุษย์ด้วยพระอานุภาพอยู่แล้ว
4.2 พระอาณาจักรของพระเจ้าจะสมบูรณ์ในอนาคต
ในพระวรสารสหทรรศน์ยังมีข้อความอื่นๆ ที่กล่าวว่า พระอาณาจักรที่พระเยซูเจ้าทรง
เทศน์สอนจะมาถึงเพียงแต่ในอนาคต พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาสัญลักษณ์ตามวรรณกรรมประเภท
วิวรณ์แบ่งเวลาเป็นสองช่วง คือ ยุคนี้และยุคหน้า ยุคหน้าเป็นยุคใหม่ที่จะมาในอนาคต ส่วนยุคนี้
ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และยุคใหม่เริ่มแล้วในปัจจุบันแต่ยังไม่สมบูรณ์ เช่น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ใครที่
กล่าวร้ายต่อบุตรมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ใครที่จะกล่าวร้ายต่อพระจิตของพระเจ้าจะไม่ได้รับการ
อภัยเลยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า” (มธ 12:32) พระวาจานี้กล่าวถึง 2 ยุคที่แยกกัน พระวรสารตาม
คำบอกเล่าของนักบุญลูกากล่าวถึงปัญหาเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้า ตรัสว่า
“คนของโลกนี้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและจะกลับคืนชีพจากบรรดา
ผู้ตายนั้น จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก” (ลก 20:34-35) น่าสังเกตว่า พระเยซูเจ้าทรงใช้
สำนวนแยกเป็น 2 ยุค คือโลกนี้และโลกหน้า
พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก กล่าวถึงนักบุญเปโตรถามพระเยซูเจ้า
เรื่องผู้ที่ติดตามพระองค์และสละสิ่งทั้งหมดแล้วจะได้รับอะไรตอบแทน พระองค์ตรัสตอบว่า เขาจะ
“ได้รับการตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้ เขาจะได้บ้านเรือน พี่น้องชายหญิง มารดา บุตร ไร่นา พร้อม
กับการเบียดเบียน และในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร” (มก 10:30)

43
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาสัญลักษณ์ตามวรรณกรรมประเภทวิวรณ์ เพื่ออธิบายเรื่อง
การพิพากษา (เทียบ มธ 12:32) และการกลับคีนชีพของบรรดาผู้ตาย ทรงแยกยุคนี้จากยุคหน้า
หรือโลกนี้จากโลกหน้า โลกนี้ยังรอคอยการสิ้นสุด อุปมาเรื่องข้าวละมานและเรื่องอวนอธิบายเช่น
เดียวกันว่า มนุษย์ยังต้องรอคอยวันสิ้นพิภพ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลา
อวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น” (มธ 13:40) “เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก
ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม” (มธ 13:49) จึงต้องมีการรอคอยวันสิ้นพิภพแล้วยุค
ใหม่จึงจะเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อพระอาณาจักรจะสมบูรณ์ ก็คือ การพิพากษา การ
กลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย ชีวิตนิรั นดร และความตายนิรันดร
• การพิพากษา บรรดาประกาศกเคยกล่าวถึง “วันของพระยาห์เวห์”
เป็นวันที่พระยาห์เวห์ทรงลงโทษคนชั่ว และทรงให้รางวัลตอบแทน
คนดี พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนเรื่องการพิพากษาบ่อยๆ ในความหมาย
เช่นเดียวกันนี้ (เทียบ มก 8:38; มธ 10:15, 11:12, 12; 41-42;
19:28, 24:40-41, 25:31-46)
• การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย ในพระวรสารสหทรรศน์ พระเยซูเจ้า
ตรัสถึงเรื่องนี้น้อยมาก เมื่อพระองค์ทรงเถียงกับชาวสะดูสีในเรื่องการ
กลับคืนชีพ พระองค์ทรงสำแดงความเชื่อเช่นเดียวกับชาวฟาริสี (เทียบ
มก 12:18-27)
• ชีวิตนิรันดร (เทียบ มก 9:43-48; 10:30) พระเยซูเจ้าตรัสหลายครั้ง
ถึงสถานการณ์ถาวรในอนาคตของคนดีและคนชั่ว คนดีจะนั่งร่วมโต๊ะ
ในงานเลี้ยงของพระเมสสิยาห์ (เทียบ มธ 22:1-10; ลก 14:16 24;
มธ 8:11-12)

44
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

• ความตายนิรันดร คนชั่วจะตกนรก (เทียบ มธ 5:22; มก 9:43-45)


ยังมีข้อความตอนอื่นๆ อีกที่แสดงว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง
ในอนาคต คือ
• บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย (เทียบ มธ 6:10; ลก 11:2-4)
เป็นคำภาวนาวอนขอให้พระอาณาจักรของพระเจ้าจงมาถึงหมายความ
ว่าในเวลานี้ยังมาไม่ถึง
• อุปมาบางเรื่องในพระวรสารสหทรรศน์ เตือนใจมนุษย์ให้คอยเฝ้าระวัง
วันเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาปกครอง เช่น
เรื่องคนใช้ที่คอยเจ้านาย (เทียบ ลก 12:36-38)
เรื่องขโมย (เทียบ ลก 12:39-40)
เรื่องบ่าวที่ซื่อสัตย์และบ่าวที่ไม่ซื่อสัตย์ (เทียบ ลก 12:41-46)
เรื่องหญิงสาว 10 คน (เทียบ มธ 25:1-12)
อุปมาเรื่องดังกล่าวมีโครงสร้างเดียวกัน คือ การรอคอยผู้ที่จะต้องมา เขาไม่รู้ว่าผู้นั้น
จะมาเมื่อไร จึงจำเป็นต้องรอคอยอยู่เสมอ ใครเล่าเป็นเจ้านายที่จะต้องรอคอย คริสตชนกลุ่มแรกๆ
เข้าใจว่าพระเยซูเจ้าตรัสถึงพระองค์เอง เพราะทรงเรียกพระองค์ว่าเป็นบุตรแห่งมนุษย์ที่จะเสด็จมา
พระวาจาที่ว่า “ถ้าผู้ใดอับอายเพราะเรา และเพราะถ้อยคำของเราในยุคของคนไม่ซื่อสัตย์และชั่วช้านี้
บุตรแห่งมนุษย์กจ็ ะอับอายเพราะเขา เมือ่ พระองค์จะเสด็จมาในพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระบิดา พร้อมกับ
บรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน” (มก 8:38)
4.3 ทฤษฎีการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าเรื่องพระอาณาจักร
เนื้อหาข้างต้นที่กล่าวมานี้แสดงว่า หนังสือพระวรสารสหทรรศน์บันทึกพระวาจาของ
พระเยซูเจ้าเกีย่ วกับพระอาณาจักรของพระเจ้า เราแบ่งพระวาจาเหล่านีเ้ ป็น 2 กลุม่ กลุม่ หนึง่ ยืนยันว่า
พระอาณาจักรเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบนั และอีกกลุม่ หนึง่ ยืนยันว่า เป็นเหตุการณ์ในอนาคต ผูเ้ ชีย่ วชาญ
พระคัมภีร์ชาวโปรเตสเเตนต์อธิบายคำสอนที่ดูเหมือนขัดแย้งกันของพระเยซูเจ้าเรื่องพระอาณาจักร
ของพระเจ้า ดังต่อไปนี้

45
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

ก. อนันตวิทยาที่สมเหตุสมผล (Consequent Eschatology) เช่น A. Schweitzer


คิดว่า พระเยซูเจ้าเทศน์เรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าว่าจะเกิดขึ้นเพียงในอนาคตเท่านั้น ส่วน
ข้อความที่กล่าวว่าพระอาณาจักรเริ่มขึ้นแล้วในปัจจุบันไม่ใช่พระวาจาของพระเยซูเจ้า เป็นพระวาจา
ที่ผู้นิพนธ์พระวรสารดัดแปลงให้พระวาจาของพระองค์เข้ากับสถานการณ์ในสมัยนั้น แต่พระเยซูเจ้า
ไม่ทรงสอนว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน
ข. อนันตวิทยาที่เป็นความจริงแล้ว (Realized Eschatology) เช่น C.H. Dodd
เน้นความคิดตามพระวรสารของนักบุญยอห์นว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นความจริงแล้วใน
พระชนมชีพของพระเยซูเจ้า และเราต้องตีความหมายเช่นนี้ในพระวรสารสหทรรศน์ ดังนั้น ข้อความ
ที่กล่าวถึงปัจจุบันก็เป็นพระวาจาของพระเยซูเจ้า ส่วนข้อความที่กล่าวถึงอนาคตไม่ใช่พระวาจาของ
พระองค์
ค. อนันตวิทยาที่รักษาความตึงเครียดระหว่างปัจจุบันกับอนาคต (Present-Future
Tension Eschatology) เช่น O. Cullmann ซึ่งเป็นความคิดของนักเทววิทยาคาทอลิกอีกด้วย เขา
เชื่อว่าไม่ถูกต้องที่จะเลือกข้อความบางตอนในพระวรสารที่ตนชอบ แล้วตัดข้อความบางตอนที่
ขัดแย้งกับทฤษฎีของตน ผู้สนับสนุนอนันตวิทยาที่สมเหตุสมผลและอนันตวิทยาที่เป็นความจริงแล้ว
ไม่ได้พสิ จู น์ทฤษฎีของตน ซึง่ เปรียบเทียบกับอคติทตี่ นมีกอ่ นทีจ่ ะอธิบายข้อความในพระคัมภีร์ เราต้อง
อ่านพระคัมภีรโ์ ดยไม่เลือกข้อความทีต่ นชอบ แต่ตอ้ งเลือกข้อความทัง้ หมด และยอมรับทรรศนะของ
พระเยซูเจ้า ทั้งๆ ที่มีความตึงเครียดระหว่างข้อความที่กล่าวถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าในแง่ที่
เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันกับข้อความในแง่ที่เป็นเหตุการณ์อนาคต คำพยากรณ์ทุกอย่างในพันธสัญญา
เดิมเป็นความจริงในพระเยซูเจ้าแล้ว แต่พระอาณาจักรยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องรอคอยเหตุการณ์ใน
อนาคต
อุปมาเรื่องข้าวละมานสอนว่า พระอาณาจักรเปรียบได้กับข้าวพันธุ์ดีที่กำลังเจริญ
เติบโต แต่จะสมบูรณ์เพียงเวลาที่จะเก็บเกี่ยว (เทียบ มธ 13:24-30) อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดสอน
เช่นเดียวกันว่า พระอาณาจักรเปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดที่ “เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อ

46
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

เมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศ


มาทำรังอาศัยบนกิ่งได้” (มธ 13:32) พระเยซูเจ้าทรงเตือนให้เราตัดสินใจเวลานี้ที่จะเลือกพระ-
อาณาจักรของพระเจ้า หมายความว่าพระอาณาจักรเป็นปัจจุบัน และอนาคตจะขึ้นอยู่กับการตัด-
สินใจของเราในเวลานี้ พระเยซูเจ้าตรัสถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายว่า ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา
ในปัจจุบัน เช่น ให้อาหาร ให้เสื้อผ้า ไปเยี่ยมคนเจ็บป่วย ฯลฯ (เทียบ มธ 25:31-46)
สรุปแล้ว เราเห็นด้วยกับแนวความคิดที่ว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหตุ-
การณ์ในปัจจุบันซึ่งจะสมบูรณ์ในอนาคต และเชื่อว่าข้อความในพระวรสารสหทรรศน์ไม่ขัดแย้งกัน

5. ทรรศนะของนักบุญเปาโลเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า
ข่าวดีที่นักบุญเปาโลประกาศ คือ เรื่องพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ
นักบุญเปาโลจึงคิดว่ายุคเก่าสำเร็จลุล่วงไปแล้ว เช่น “เหตุการณ์เหล่านี้บังเกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อ
เป็นตัวอย่าง และมีบันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราซึ่งกำลังเผชิญกับวาระสุดท้ายของยุค” (1 คร 10:11)
“แต่เมื่อเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่ง” (กท 4:4)
การที่พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ้นพระชนม์และทรงกลับคืน
พระชนมชีพเป็นการเริ่มยุคใหม่ เป็นการสร้างสิ่งใหม่ “พระองค์ตรัสว่า ‘ในเวลาที่เหมาะสม เราได้
รับฟังท่าน และในวันแห่งความรอดพ้น เราได้ช่วยเหลือท่าน’ ขณะนี้คือเวลาที่เหมาะสม ขณะนี้
คือวันแห่งความรอดพ้น” (2 คร 6:2) “แต่บัดนี้ ความเที่ยงธรรมที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นตามที่
หนังสือธรรมบัญญัติและประกาศกเป็นพยานถึงนั้น ปรากฏให้เห็นแล้วนอกเหนือธรรมบัญญัติ”
(รม 3:21) “ดังนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่
เกิดขึ้นแล้ว” (2 คร 5:17)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระองค์ทรงมี “ร่างกายที่มี
พระจิตเจ้าเป็นชีวิต” (1 คร 15:44) เมื่อพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระองค์ทรง
ชนะความตาย และทรงกลับเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตใหม่ “ข้าพเจ้าถูกตรึงกางเขนกับพระคริสตเจ้าแล้ว

47
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้า ชีวิตที่


ข้าพเจ้ากำลังดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความเชื่อถึงพระบุตรของพระเจ้า ผู้
ทรงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพื่อข้าพเจ้า” (กท 2:20; เทียบ ฟป 1:21; คส 3:4)
ศีลล้างบาปทำให้เรา “ถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์” (รม 6:4) ทำให้เรามีส่วนใน
การกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ และดำเนินชีวิตแบบใหม่ “บัดนี้ เราพ้นจากธรรมบัญญัติแล้ว
เพราะตายจากสิ่งที่พันธนาการเราไว้ เพื่อเราจะได้รับใช้ในแบบใหม่ตามพระจิตเจ้า ไม่ใช่ในแบบเก่า
ตามตัวอักษรของบทบัญญัติ” (รม 7:6) “ไม่มีการตัดสินลงโทษผู้ที่อยู่ในพระคริสตเยซูอีกต่อไปแล้ว”
(รม 8:1) “ในเวลาแห่งความพากเพียรของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงความเที่ยงธรรมในปัจจุบัน
เพื่อทรงเป็นผู้ที่เที่ยงธรรม และเพื่อทรงบันดาลให้ผู้มีความเชื่อในพระเยซูเจ้ากลับเป็นผู้ชอบธรรม”
(รม 3:26) “ปัจจุบันนี้มีประชาชนที่เหลือกลุ่มหนึ่ง ได้รับการเลือกสรรด้วยเดชะพระหรรษทาน” (รม
11:5) “พระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจความมืดมนและทรงนำเราเข้าไปสู่พระอาณาจักรของ
พระบุตรสุดที่รักของพระองค์” (คส 1:13)
แม้นักบุญเปาโลเน้นว่า ความรอดพ้นในปัจจุบันเป็นความจริงแล้ว ในเวลาเดียวกัน ความ
รอดพ้นนั้นยังไม่สมบูรณ์ในเวลานี้ ยุคเก่ายังคงอยู่สำหรับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ แต่คริสตชนได้พ้นยุคนี้
เข้ามาสู่ยุคใหม่ แล้วเราได้รับพระจิตเจ้าแล้วเป็นมัดจำ (เทียบ 2 คร 1:21-22; 5:5; อฟ 1:13-14)
แต่ยังไม่ได้รับพระจิตเจ้าอย่างสมบูรณ์ จึงต้องรอคอยความสมบูรณ์ในอนาคต นักบุญเปาโลเปรียบ
เทียบพระจิตเจ้าเป็นผลแรก (เทียบ รม 8:23) เรายังต้องรอคอยการเสด็จมาของพระคริสตเจ้าอีก
ครั้งหนึ่ง (เทียบ 1 ธส 4:15; 2 ธส 2:1; 1 คร 15:23) เวลานั้นเราจะได้รับความรอดพ้นอย่างสมบูรณ์
คือ จะมีการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย (เทียบ 1 คร 15:51-52; 1 ธส 4:14-17) จะมีโลกวัตถุ
ใหม่ (เทียบ รม 8:19-22) มีการพิพากษา (เทียบ 2 คร 5:10) และอนันตกาล (เทียบ 1 คร 15:24-
28)

48
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

6. ทรรศนะของนักบุญยอห์นอัครสาวกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า
นักบุญยอห์นบรรยายว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นปัจจุบันแล้ว พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผย
ความรอดพ้นให้แก่มนุษย์ ความรอดพ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เรามีชีวิตนิรันดรและได้รับความ
รอดพ้นแล้วอาศัยความเชื่อในพระคริสตเจ้า “โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์
ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงรักโลก
อย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตร
จะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:14-16; เทียบ 16:36, 5:21, 24:40, 11:25-26, 17:3)
นักบุญยอห์นเรียกชีวิตของผู้มีความเชื่อในโลกนี้ว่า เป็นผู้มีชีวิตนิรันดรแล้ว เราจึงอยู่ในยุคสุดท้าย
เมื่อพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพและทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ดู
เหมือนว่าการเสด็จครั้งที่ 2 ของพระคริสตเจ้าสำเร็จไปแล้ว “เมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว
เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย” (ยน 14:3)
“เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้า เราจะกลับมาหาท่าน ในไม่ช้าโลกจะไม่เห็นเรา แต่ท่าน
ทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิต และท่านก็จะมีชีวิตด้วย ในวันนั้น ท่านจะรู้ว่า เราอยู่ในพระบิดา
ของเรา ท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน” (ยน 14:18-20)
ในทำนองเดียวกัน การพิพากษาเกิดขึ้นแล้วเมื่อคนหนึ่งยอมรับ หรือไม่ยอมรับพระคริสต-
เจ้าและคำสอนของพระองค์ “ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อ
ก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของ
พระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือ ความสว่างเข้ามาอยู่ในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืด
มากกว่าความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย” (ยน 3:18-19) “เราบอกความจริงแก่ท่าน
ทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร และ
ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว” (ยน 5:24) แม้การกลับคืนชีพของ
บรรดาผู้ตายดูเหมือนเป็นปัจจุบัน เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้น
กำลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรพระเจ้า และผู้

49
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

ที่ ได้ยินแล้วจะมีชีวิต” (ยน 5:25) “ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึงเวลาแล้วที่


ทุกคนในหลุมศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรและจะออกมา” (ยน 5:28)
นักบุญยอห์นเน้นถึงชีวิตนิรันดรในลักษณะที่เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว แต่เรายังพบ
ข้อความที่กล่าวถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าในลักษณะที่เป็นเหตุการณ์อนาคตอีกด้วย เช่น นัก
วิชาการบางคนคิดว่าพระวาจาที่ว่า “เมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่
กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย” (ยน 14:3) ข้อความนี้กล่าวถึงการเสด็จ
มาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าเมื่อสิ้นพิภพ เพราะคล้ายกับข้อเขียนของนักบุญเปาโลที่ว่า “เราผู้
ยังมีชีวิตอยู่จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้า และเรา
จะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป” (1 ธส 4:17)
พระวรสารของนักบุญยอห์นยังบันทึกพระวาจาของพระเยซูเจ้าผูต้ รัสว่า “วาจาทีเ่ ราได้กล่าวนัน้
จะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้าย” (ยน 12:48) แม้ในบริบทที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า การตัดสินเกิดขึ้น
ในเวลาปัจจุบัน (เทียบ ยน 5:27) ก็ยังกล่าวถึงอำนาจพิพากษาที่พระบิดาจะทรงมอบแก่พระบุตร
ผู้ทรงเป็น “บุตรแห่งมนุษย์” ที่จะเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์เมื่อสิ้นพิภพ (เทียบ ดลน 7:13-15) ส่วนเรื่อง
การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายพระเยซูเจ้าทรงยืนยันบ่อยๆ ว่าจะเกิดขึ้น “ในวันสุดท้าย” (ยน 6:39,
40, 44, 54) “ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็
ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร” (ยน 12:25)
เหตุผลที่สนับสนุนความคิดของนักบุญยอห์นที่ว่า พระเยซูเจ้าตรัสถึงชีวิตนิรันดรที่จะสมบูรณ์
เพียงในอนาคตก็คอื แนวความคิดในจดหมายของนักบุญยอห์น ฉบับที่ 1 ซึง่ คงจะเขียนในเวลาเดียวกัน
ที่เขานิพนธ์พระวรสาร เช่น
• “ลู ก ที่ รั ก ทั้ ง หลาย นี่ เ ป็ น วาระสุ ด ท้ า ย ท่ า นได้ ฟั ง แล้ ว ว่ า ปฏิ ปั ก ษ์ ข อง
พระคริสตเจ้ากำลังมา และเวลานี้ปฏิปักษ์จำนวนมากของพระคริสตเจ้า
ก็มาถึงแล้ว เพราะเหตุนี้เราจึงรู้ว่า เป็นวาระสุดท้าย” (1 ยน 2:18)

50
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

• “ลูกที่รักทั้งหลาย บัดนี้ จงดำรงอยู่ในพระองค์ เพื่อเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ


เราจะได้มีความมั่นใจ ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอายใน
วันทีพ่ ระองค์เสด็จมา” (1 ยน 2:28)
• “ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไร
ในอนาคตนั้ น ยั ง ไม่ ป รากฏชั ด แจ้ ง เราตระหนั ก ดี ว่ า เมื่ อ พระองค์ ท รง
ปรากฏ เราจะได้เป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่
พระองค์ทรงเป็น” (1 ยน 3:2)
• “ความรักสมบูรณ์อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะ
พระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้นด้วย” (1 ยน 4:17)

7. สรุป
พันธสัญญาใหม่มีความคิดเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติที่เป็นเหตุการณ์เชิงอนันต-
กาล คือ พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นปัจจุบันและจะสมบูรณ์ในอนาคต แนวความคิดเกี่ยวกับ
ปัจจุบันและอนาคตไม่ขัดแย้งกันแต่มีความต่อเนื่องกัน พระเจ้าประทานความรอดพ้นแก่มนุษย์ใน
ปัจจุบันแล้ว แต่ความรอดพ้นนี้มุ่งหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ในอนาคต พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนมนุษย์
ให้มีความเชื่อในพระองค์ คือ ยอมรับพระเมตตาของพระบิดาเจ้าและกลับใจดำเนินชีวิตด้วยความรัก
ผู้ที่ตัดสินใจเลือกจะเชื่อฟังพระองค์ก็รับความรอดพ้นซึ่งเป็นชีวิตนิรันดรที่เริ่มในโลกนี้แล้ว แต่ยังต้อง
รอคอยโลกหน้าเพื่อจะกลับคืนชีพและมีชีวิตรุ่งโรจน์อย่างสมบูรณ์ตลอดไป

51
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๓ ... พระอาณาจักรของพระเจ้าในมิติอนันตกาล

52
อ นั น ต วิ ท ย า

You might also like