Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 4 คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
บทที่ 4 คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
๔
ผูเ้ ชีย่ วชาญพระคัมภีรส์ ว่ นใหญ่เชือ่ ว่า นักบุญมาระโกเป็นผูเ้ ขียนพระวรสารก่อนนักบุญมัทธิว
และนักบุญลูกา เขาจึงบันทึกพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสและคริสตชนสมัยแรกจำได้ในสำนวนใกล้
เคียงกับสมัยของพระเยซูเจ้ามากที่สุด ส่วนนักบุญมัทธิวและนักบุญลูกาได้ปรับปรุงและเพิ่มเติมข้อ
เขียนของนักบุญมาระโก นักบุญลูกายังรักษาโครงสร้างเดียวกันกับที่นักบุญมาระโกใช้ เขาปรับปรุง
และเพิ่มเติมข้อเขียนนี้ ไม่มากนัก ส่วนนักบุญมั ทธิวได้เพิ่มเติมและดัดแปลงถ้อยคำของมาระโก
ทั้งเพิ่มอุปมาอีกหลายเรื่อง ทำให้คำปราศรัยเรื่องอนันตกาลยาวถึง 2 บท ถ้าเรามาศึกษาอย่าง
ละเอียดก็จะยืดยาวมากเกินไป เราจะพิจารณาเพียงพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก
เท่านั้น
1. บริบทของคำปราศรัยเรื่องอนันตกาล
คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญมากในหนังสือพระวรสารตามคำบอก
เล่าของนักบุญมาระโก คือ อยู่ก่อนการเล่าเรื่องการรับทนทรมานของพระเยซูเจ้า (มก 14-15)
54
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
นักบุญมาระโกบันทึกไว้ว่าพระเยซูเจ้าเสด็จออกจากพระวิหารพร้อมกับบรรดาอัครสาวก
และประทับนั่งบนภูเขามะกอกเทศตรงข้ามกับพระวิหาร พระองค์ตรัสคำปราศรัยนี้ให้กับบรรดาศิษย์
ฟังเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับประชาชนทั่วไป เพราะทรงเลิกที่จะเทศน์สอนในที่สาธารณะแล้ว ดังนั้น
คำปราศรัยของพระเยซูเจ้ามีรูปแบบของคำอำลาที่พระองค์ตรัสก่อนจะทรงรับทรมาน
2. โครงสร้างของคำปราศรัย
นักบุญมาระโกบันทึกคำปราศรัยนี้โดยมีโครงสร้างดังนี้
13:1-4 บทนำ: พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ 4 คน
13:5-23 เครื่องหมาย
13:5a เกริ่นนำ
13:5b-6 จงระวังอย่าให้ใครหลอกลวงท่านได้
13:7-8 เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงคราม จงอย่าตกใจ ยังไม่ถึงวาระ
สุดท้าย จะเป็นเหมือนการเริ่มต้นของความทุกข์ในการคลอดบุตร
13:913 จงระวังให้ดี เขาจะมอบท่านให้ศาล จงพูดตามที่พระเจ้าทรงดลใจ
ผู้ใดยืนหยัดอยู่จนถึงวาระสุดท้ายผู้นั้นก็จะรอดพ้น
13:14-20 เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายเห็นพระวิหารถูกทำลาย จงหนีไปยังภูเขา แต่พระองค์
ทรงให้วันแห่งความทุกข์เวทนาใหญ่หลวงของกรุงเยรูซาเล็มสั้นลง
13:21-23 อย่าเชื่อพระคริสต์เทียม จงระวังให้ดี เราได้กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้
ให้ฟังไว้ก่อนแล้ว
13:24-27 การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์
เมื่อความทุกข์เวทนาผ่านไปแล้ว พระองค์จะทรงรวบรวมบรรดาผู้ท่ีทรง
เลือกสรร
13:28-36 เวลาแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์
55
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
3. วิเคราะห์คำปราศรัยเรื่องอนันตกาล
3.1 บทนำ (มก 13:1-4)
1ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากพระวิหาร ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ดูซิ
พระอาจารย์ ก้อนหินและอาคารเหล่านี้ช่างใหญ่โตจริงๆ 2พระเยซูเจ้าตรัส
กับเขาว่า “ท่านเห็นอาคารใหญ่เหล่านี้ ไหม จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกัน
อยู่เลย ทุกสิ่งจะถูกทำลาย” 3เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ ตรง
ข้ามกับพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูวท์ ลู ถามพระองค์เป็นการ
ส่วนตัว ว่า 4“โปรดบอกเราเถิดว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด และจะ
มีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้น”
นักบุญมาระโกเขียนข้อความดังกล่าวหลังจากเรื่อง “เศษเงินของหญิงม่าย” (มก
12:41-44) โดยเล่าว่า “ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากพระวิหาร ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์” นักบุญ
มาระโกทำให้ศิษย์คนหนึ่งอุทานว่า “ดูสิ พระอาจารย์ ก้อนหินและอาคารเหล่านี้ช่างใหญ่โตจริงๆ
”เพราะเขามองพระวิหารแต่ไกลๆ เราจะเห็นว่า มุมมองของนักบุญมาระโกในบทนำนี้มีจุดประสงค์ที่
56
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
57
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
58
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
รอดพ้น เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้”
(กจ 4:12) พระนาม “เยซู” แปลว่า “พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้น” (มธ 1:21)
คำพังเพยที่ว่าญาติพี่น้องจะเป็นศัตรูของผู้ชอบธรรม เป็นคำสอนที่เราพบบ่อยๆ ใน
วรรณกรรมประเภทวิวรณ์ของชาวยิว นักบุญมาระโกใช้ความคิดนี้แต่เสริมว่า “แต่ผู้ใดยืนหยัดอยู่จน
ถึงวาระสุดท้าย ผู้นั้นก็จะรอดพ้น” ประโยคนี้ดูเหมือนหมายความว่า คริสตชนที่ยืนหยัดทนการเบียด
เบียนโดยคำนึงถึงชะตากรรมสุดท้ายของมนุษย์ก็แน่ใจว่าเขาจะได้รับความรอดพ้น ดังนั้น วาระ
สุดท้ายในที่นี้เป็นคำคลุมเครือ อาจจะหมายถึงทั้งความตายของแต่ละคน หรือหมายถึงการสิ้นพิภพ
ก็เป็นได้
นักบุญมาระโกบรรยายสภาพแท้จริงของคริสตชนทีถ่ กู เบียดเบียนว่า เขาจะต้องใช้ความ
ทุกข์ทรมานของตนให้เป็นโอกาสที่จะเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้า และประกาศข่าวดีแห่งความรอด
ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้ทรงต้องการให้บรรดาศิษย์ประกาศข่าวดีแห่งความรอดนี้แก่มนุษย์
ทุกชาติก่อนที่จะสิ้นพิภพ เขาให้กำลังใจแก่คริสตชนและสัญญาว่าเขาจะได้รับพระจิตเจ้าผู้ช่วยเขาให้
ทำการนี้ ผู้ที่เกลียดชังพระคริสตเจ้าจะประหารชีวิตเขา แต่เขาจะได้รับความรอดพ้นเพราะความ
หวังที่พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้นำความรอดพ้นอย่างสมบูรณ์
3.4 การทำลายพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นการตัดสินลงโทษของพระเจ้า (มก 13:14-
23)
14“เมือ่ ใดทีท่ า่ นทัง้ หลายเห็นผูท้ ำลายทีน่ า่ รังเกียจยืนอยูใ่ นที่ไม่สมควร ให้ผอู้ า่ น
จงเข้าใจเองเถิดว่าหมายถึงอะไร เมือ่ นัน้ ให้ผทู้ อี่ ยูใ่ นแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา
15
ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าก็อย่าลงมาเก็บข้าวของในบ้าน 16ผู้ที่อยู่ในทุ่งนา จงอย่า
กลับไปเอาเสื้อคลุมที่บ้าน 17น่าสงสารหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อนในวันนั้น
18
จงอธิ ษ ฐานภาวนาอย่ าให้ เ หตุ การณ์ นี้ เ กิ ด ขึ้ น ในฤดู ห นาว 19เพราะใน
เวลานั้น จะมีความทุกขเวทนาอย่างที่ ไม่เคยมีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก
มาจนถึ ง บั ด นี้ และจะไม่ มี ต่ อไปอี ก เลย 20ถ้ า องค์ พ ระผู้ เ ป็ น เจ้ า มิ ไ ด้ ท รง
59
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
ให้ วั น เหล่ า นั้ น สั้ น ลงแล้ ว มนุ ษ ย์ ทุ ก คนก็ จ ะพิ น าศ แต่ พ ระองค์ ท รงให้ วั น
เหล่านั้นสั้นลงเพราะทรงเห็นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ 21“เวลานั้น
ถ้าผู้ใดบอกท่านว่า ‘พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘พระคริสต์อยู่ที่นั่น ’จงอย่าเชื่อ
22
เพราะจะมีพระคริสต์เทียมและประกาศกเทียมหลายคนเกิดขึ้น จะทำเครื่อง
หมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นไปได้จะหลอกลวงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก
สรรไว้ 23ท่านทั้งหลายจงระวังให้ดี เราได้กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ให้
ฟังไว้ก่อนแล้ว
นักบุญมาระโกกล่าวถึง “ผู้ทำลายที่น่ารังเกียจยืนอยู่ในที่ ไม่ส มควร” “ผู้ทำลายที่
น่ารังเกียจ” เป็นวลีที่เราพบในหนังสือ ดนล 9:27 ; 11:31 ; 12:11 หมายถึงรูปปั้นของเทพเจ้าซีอุส
ซึ่งกษัตริย์อันตี โอคัสแห่งซีเรียทรงบัญชาให้สร้างบนพระแท่นบูชาที่ชาวยิวใช้ถวายเครื่องบูชาแด่
พระยาห์เวห์ ในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ในปี 168 ก่อน ค.ศ นักบุญมาระโกใช้วลีนี้ โดยไม่
ต้องการหมายความถึงรูปปั้น แต่หมายถึงบุคคล “ผู้ทำลาย” จึงคงจะหมายถึงชาวโรมันที่จะมาทำลาย
พระวิหาร ส่วนวลี “ยืนอยู่ในที่ไม่สมควร” หมายถึงพระวิหารนั่นเอง
นักบุญมาระโกอ้างถึงคำตักเตือนของพระเยซูเจ้าว่า “เมื่อนั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนี
ไปยังภูเขา” เหตุผลที่จะต้องหนีคือ “ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าก็อย่าลงมาเก็บข้าวของในบ้าน ผู้ที่อยู่ในทุ่งนา
จงอย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมที่บ้าน” พระเยซูเจ้าตรัสถึงเหตุการณ์ในอนันตกาลซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีทันใด
อาจจะเป็นภัยพิบัติคล้ายกับเมื่อเมืองโซดมถูกทำลาย (ปฐก 19:17, 26)
นักบุญมาระโกเสริมว่า “น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น” (มก
13:17) เพราะหญิงเหล่านี้จะต้องหนีไปด้วยความลำบากมาก เป็นภาพเปรียบเทียบที่เราพบใน ฮชย
13:16 ; อมส 1:3,13 เป็นต้น นักบุญมาระโกเชิญชวนให้ “อธิษฐานภาวนาอย่าให้เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้
ในฤดูหนาว” เพราะในประเทศปาเลสไตน์ฤดูหนาวเป็นหน้าฝน ถนนกลับเป็นแม่น้ำ การหนีจึงเป็นไป
ได้ยากมาก
60
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
ประโยค “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นสั้นลงแล้วมนุษย์ทุกคนก็จะพินาศ
แต่พระองค์ทรงให้วันเหล่านั้นสั้นลง” ทำให้เราเข้าใจว่า นักบุญมาระโกคงจะคิดถึงความทุกขเวทนา
นี้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายก่อนสิ้นพิภพ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง นักบุญมาระโกทราบว่า หลังจากพระวิหาร
กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย ประวัติศาสตร์มนุษย์ก็ยังมีต่อ แต่ไม่นานนัก และจะไม่มีวันทนทุกขเวทนา
มากกว่าที่ได้ประสบในโอกาสนั้น เพราะการสิ้นพิภพจะมาถึงโดยเร็ว วลีที่ว่า “เพราะทรงเห็นแก่ผู้
ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้” หมายถึง พระเจ้าทรงเมตตากลุ่มคริสตชน จึงทรงบันดาลให้เวลาแห่ง
ความทุกขเวทนาสั้นลง
ข้อความ 13:21-23 ดูเหมือนซ้ำข้อความใน 13:5-6, 9ก นักบุญมาระโกต้องการ
เน้นว่า ทุกขเวทนา “ในวันเหล่านั้น” จะมากขึ้นจนถึงจุดที่ประกาศกเทียมจะปรากฏมาหลอกว่า
พระคริสต์จะมาถึง ประกาศกเทียมจะพยายามหลอกลวงผู้มีความเชื่อ ตามความคิดของประกาศก
เศคาริยาห์ (ศคย 13:2) และหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ (ฉธบ 13:1-3) การทำอัศจรรย์ไม่เป็น
ข้อพิสูจน์ว่า ผู้ทำอัศจรรย์มาจากพระเจ้า นักบุญมาระโกจึงสอนว่า ถ้าพระเจ้าไม่ประทานพระ-
หรรษทานมาช่วยเหลือ บรรดาคริสตชนจะหลงทาง นักบุญมาระโกคงจะได้เขียนในช่วงเวลาที่ทหาร
โรมันกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็ม หรือหลังจากกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายไม่นาน เขาคงจะคิดว่า การ
ทำลายพระวิหารเป็นการทุรจารต่อพระเจ้า ซึ่งจะนำไปสู่การสิ้นพิภพ นักบุญมาระโกเตือนคริสตชน
ให้หนีออกจากรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะแยกตัวจากลัทธิยูดาย เตรียมตัวจะเผชิญกับการสิ้นพิภพ
3.5 การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์ (มก 13:24-27)
24
“ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์
จะไม่ทอแสง 25ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่น
สะเทือน 26เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อน
เมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ 27เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้
ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุด
ขอบฟ้า
61
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
นักบุญมาระโกกล่าวชัดเจนว่า การที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายและการเสด็จมาของบุตร
แห่งมนุษย์เกิดขึ้นในเวลาที่ห่างกัน กล่าวคือ การเสด็จมาของพระบุตรจะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์
สองประการ ประการแรก คือ พระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย และต่อมาประการที่สองจะ
เกิดความทุกขเวทนา และหลังจากที่เหตุการณ์ทั้งสองเสร็จสิ้นแล้วบุตรแห่งมนุษย์จึงจะเสด็จมา
นักบุญมาระโกกล่าวถึงเครื่องหมายที่จะเกิดขึ้นก่อนที่บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมา โดย
ใช้ภาพที่คัดมาจากพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า “ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า” (เทียบ อสย 13:10; 34:4)
เราพบคำว่า “บุตรแห่งมนุษย์” ผู้เสด็จมาในหมู่เมฆในหนังสือประกาศกดาเนียล 7:13
หมายถึง พระเมสสิยาห์ ผู้แทนคนชอบธรรมแห่งอิสราเอล แต่ในหนังสือพระวรสารผู้ได้รับพระสิริ
รุ่งโรจน์ไม่เป็นเพียง “เหมือนบุตรแห่งมนุษย์” (ดนล 7:13) แต่เป็น “บุตรแห่งมนุษย์” คือพระเยซู-
คริสตเจ้าดังที่ทรงเรียกพระองค์เองเมื่อทรงดำรงพระชนมชีพบนแผ่นดิน
ทัศนะของนักบุญมาระโก คือ ทุกขเวทนาทีจ่ ะเกิดขึน้ หลังจากพระวิหารทีก่ รุงเยรูซาเล็ม
จะถูกทำลายยังไม่เป็นเครื่องหมายของวาระสุดท้าย ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงหลังจากทุกขเวทนาเท่านั้น
เครื่องหมายของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวจะต้องตีความหมายตามข้อความในหนังสือของ
ประกาศกอิสยาห์ (อสย 13:10 และ 34:4) หมายถึง การที่พระเจ้าจะทรงสร้างโลกใหม่ พระองค์
จะทรงขจัดอำนาจของปีศาจที่ปกครองดวงดาวต่างๆ ตามความเชื่อของคนสมัยนั้นอย่างสิ้นเชิง
นักบุญมาระโกเข้าใจว่า การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้าจะเป็นเหตุการ์ที่มนุษย์ทุกคนได้
เห็น “ประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา” นั่นคือ มนุษย์ทุกคนจะต้องเผชิญกับการ
พิพากษา นักบุญมาระโกไม่ตอ้ งการเน้นชะตากรรมของคนอธรรม เพียงต้องการให้กำลังใจแก่คริสตชน
ในสมัยของตนโดยกล่าวว่า “ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรจะได้รับความบรรเทา”
62
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
63
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
64
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
4. สรุปทัศนะของนักบุญมาระโก
นักบุญมาระโกมีแนวความคิดว่า ความรอดพ้นที่ส มบูรณ์ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงสัญญาไว้จะ
เกิดขึ้นเพียงในอนาคต แต่ไม่มีใครสามารถคำนวณวันเวลานั้นได้ สิ่งสำคัญก็คือ ต้องดำเนินชีวิตใน
ปัจจุบันตามคำสั่งสอนของพระคริสตเจ้า และเป็นพยานถึงพระองค์ นักบุญมาระโกต้องการเน้นว่า
ช่วงระยะเวลานี้จะสั้น แต่คริสตชนต้องตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ
คริสตชนจะสามารถคงความซื่อสัตย์ต่อพระคริสตเจ้าถ้าได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์
อาศัยการภาวนา พระคริสตเจ้าทรงให้พระฉบับของพระองค์แก่เราเมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานภาวนา
ในสวนเกทเสมนีก่อนที่จะทรงรับทนทรมาน การภาวนาเป็นพลังสำหรับคริสตชนในสมัยนี้ด้วยเช่นกัน
เพราะคนในปัจจุบันมักจะยกย่องอำนาจของวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีในการเปลี่ยนแปลงโลก แต่
คริสตชนทราบว่าพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวทรงทำให้โลกบรรลุถึงความสมบูรณ์ได้ตามพระประสงค์
65
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๔ ... คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอนันตกาล
66
อ นั น ต วิ ท ย า