Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 6 คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
บทที่ 6 คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
๖
1. ความเป็นมาของเอกสารสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา (Eschatology)
เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสันตะปาปาเพียง
ไม่กี่สัปดาห์ พระองค์ตรัสกับเลขานุการว่า “เราควรจะทำอะไรดีเพื่อฟื้นฟูพระศาสนจักร” แล้ว
พระองค์ทรงมีความคิดขึ้นมาทันทีทันใดว่า จะทรงเรียกประชุมสภาสังคายนาสากล เลขานุการของ
พระองค์เห็นด้วยและสนับสนุนให้ทรงเรียกประชุม สภาสังคายนานี้เริ่มประชุมในวันที่ 11 ตุลาคม
1962 วันนั้น ตามปฏิทินเดิมของพระศาสนจักร เป็นวันสมโภชพระนางมารีย์ “พระมารดาของพระเจ้า”
ซึ่งปัจจุบันเลื่อนมาฉลองในวันที่1 มกราคมของทุกปี
ในการเตรียมประชุมสภาสังคายนาครั้งนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาไม่ทรงกำหนดหลักการใด
แก่คณะกรรมการ แต่ทรงให้เขามีอิสระอย่างเต็มที่ ในการกำหนดหัวข้อและจุดมุ่งหมายของการ
ประชุม คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยพระคาร์ดินัล พระสังฆราชและผู้เชี่ยวชาญเทววิทยา
บางคน สมาชิกคณะกรรมการนี้ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ทำงานในสมณกระทรวงต่างๆ เขาทำงานหนัก
เพือ่ เตรียมเรือ่ งต่างๆ ทีจ่ ะประชุมหารือกัน คณะกรรมการชุดนีจ้ งึ ช่วยกันพิจารณา และเตรียมเอกสาร
90
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
91
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
92
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
93
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
ข) เมื่อพระคริสตเจ้าทรงถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ก็ทรงดึงดูดมนุษย์ทุกคนเข้ามาหา
พระองค์ (เทียบ ยน 12:32) เมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย (เทียบ รม 6:9) พระองค์
ทรงส่งพระจิตเจ้าผูท้ รงบันดาลชีวติ มายังบรรดาอัครสาวก และโดยพระจิตเจ้านี้ พระองค์ทรงสถาปนา
พระวรกายของพระองค์ขึ้น คือ พระศาสนจักร ที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นดังเครื่องหมายและสื่อนำความ
รอดพ้นแก่มนุษย์ทุกคน เมื่อประทับอยู่เบื้องขวาพระบิดา พระองค์ก็ยังทรงปฏิบัติงานอยู่ในโลกอย่าง
เสมอมิ ไ ด้ ข าด เพื่ อ นำมวลมนุ ษ ย์ ไ ปสู่ พ ระศาสนจั ก ร และเพื่ อ ทรงทำให้ ม นุ ษ ย์ ใ กล้ ชิ ด สนิ ท กั บ
พระองค์มากยิ่งขึ้นโดยทางพระศาสนจักร พระองค์ทรงเลี้ยงมนุษย์ด้วยพระกายและพระโลหิต เพื่อ
ทรงบันดาลให้เขามีส่วนร่วมในพระชนมชีพรุ่งโรจน์ของพระองค์ ดังนั้น สภาพใหม่ที่เรารอคอยตาม
พระสัญญาเริ่มแล้วในพระคริสตเจ้า การส่งพระจิตเจ้าทำให้สภาพนี้ได้รับการผลักดันขึ้น และอาศัย
พระจิตเจ้าสภาพนี้คงดำรงอยู่ต่อไปในพระศาสนจักร ในพระศาสนจักร เราเรียนรู้ความหมายของ
ชีวิตบนแผ่นดินอาศัยความเชื่อ ขณะเราทำงานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้ทำในโลกนี้ โดยหวังว่า
จะได้รับทรัพย์สมบัติในอนาคต เราจึงจะได้รับความรอดพ้น (เทียบ ฟป 2:12)
ค) ดังนั้น วาระสุดท้ายของยุคนี้ได้มาถึงเราแล้ว (เทียบ 1 คร 10:11) การฟื้นฟูขึ้น
ใหม่ของโลกก็ถูกกำหนดไว้แล้วโดยไม่มีการคืนคำ การฟื้นฟูนี้เป็นความจริงบ้างล่วงหน้าในโลกนี้
เพราะพระศาสนจักรมีความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้ว แม้ยังไม่สมบูรณ์บนแผ่นดินนี้ ถึงกระนั้น จนกว่า
จะถึงฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นที่อยู่ถาวรของความชอบธรรม (เทียบ 2 ปต 3:13) พระศาสน-
จักรผู้กำลังจาริกแสวงบุญโดยอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์และสถาบันของตนที่อยู่ในโลกนี้ ยังคงมีลักษณะ
ของโลกที่กำลังจะล่วงพ้นไป ทั้งยังคงอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่กำลังร้องไห้ครวญครางด้วยความเจ็บ
ปวดราวกับสตรีคลอดบุตร และกำลังรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏมา (เทียบ รม 8:19-
22)
ง) เรามีความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าในพระศาสนจักรแล้ว และเราได้รับการ
ประทับตราของพระจิตเจ้าผู้ทรง “เป็นประกันมรดกที่เราจะได้รับ” (อฟ 1:14) เราได้ชื่อว่าเป็นบุตร
ของพระเจ้าโดยแท้จริง และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง (เทียบ 1 ยน 3:1) แต่เรายังไม่ได้ปรากฏตัวร่วมกับ
94
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
95
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
3.2 การวิเคราะห์คำสอนของพระศาสนจักรในมาตรา 48
คำสอนเรื่องอนันตกาลมีลักษณะเป็นปฏิทรรศน์ (Paradox) คือ เป็นเหตุการณ์อนาคตแต่
ได้เริ่มแล้วในปัจจุบัน และจะสมบูรณ์ในอนาคต ผู้เป็นคริสตชนได้รับพระหรรษทานและพระจิตเจ้า
แล้วจากธรรมล้ำลึกปัสกา มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ความชิดสนิทนี้จะสมบูรณ์เพียงใน
พระสิริรุ่งโรจน์ของสวรรค์เท่านั้น ดังที่สภาสังคายนากล่าวว่า “ฉะนั้น วาระสุดท้ายของยุคนี้ได้มาถึง
เราแล้ว (เทียบ 1 คร 10:11) การฟื้นฟูขึ้นใหม่ของโลกก็ถูกกำหนดไว้แล้ว โดยไม่มีการคืนคำ การ
ฟื้นฟูนี้เป็นความจริงบ้างล่วงหน้าในโลกนี้ เพราะพระศาสนจักรมีความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้ว แม้ยังไม่
สมบูรณ์บนแผ่นดินนี้” (ค)
3.2.1 มุมมองต่างๆ ของคำสอนเรื่องอนันตวิทยา
ความคิดหลักในมุมมองต่างๆ ของคำสอนเรื่องอนันตวิทยาสรุปได้ดังนี้
1) มุมมองในมิติของพระคริสตเจ้า
อนันตวิทยามีรากฐานในธรรมล้ำลึกปัสกาของพระคริสตเจ้า ธรรมล้ำลึก
ปัสกาทำให้เรายืนยันได้ว่า “สภาพใหม่ที่เรารอคอยตามพระสัญญาเริ่มแล้วในพระคริสตเจ้า” (ข)
พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรกของขบวนการที่จะต้องต่อเนื่องในเรา สิ่งที่เราหวังในอนาคตเป็นความ
จริงแล้วในพระองค์
• “เมื่อพระคริสตเจ้าทรงถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ก็ทรงดึงดูดมนุษย์
ทุกคนเข้ามาหาพระองค์ เมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย…ประทับอยู่เบื้องขวาพระบิดา
พระองค์ก็ยังทรงปฏิบัติงานอยู่ในโลกอย่างเสมอมิได้ขาด เพื่อนำมวลมนุษย์ไปสู่พระศาสนจักร และ
เพื่อทรงทำให้มนุษย์ใกล้ชิดสนิทกับพระองค์มากยิ่งขึ้นโดยทางพระศาสนจักร...เพื่อทรงบันดาลให้
เขามีส่วนร่วมในพระชนมชีพรุ่งโรจน์ของพระองค์” (ข)
• “ดังนั้น วาระสุดท้ายของยุคนี้ ได้มาถึงเราแล้ว การฟื้นฟูขึ้นใหม่
ของโลกก็ถูกกำหนดไว้แล้วโดยไม่มีการคืนคำ การฟื้นฟูนี้เป็นความจริงบ้างล่วงหน้าในโลกนี้...จนกว่า
จะถึงฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นที่อยู่ถาวรของความชอบธรรม” (ค)
96
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
97
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
• “แม้เราได้รับผลิตผลครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว เราก็ยังคร่ำ-
ครวญอยู่ภายใน (เทียบ รม 8:23) และปรารถนาที่จะได้อยู่กับพระคริสตเจ้า” (ง)
3) มุมมองในมิติของพระศาสนจักร
พระศาสนจักรเป็นประชากรของพระเจ้าและเป็นเครื่องหมายความรอดพ้น
ที่พระเจ้าทรงนำแก่มนุษย์ทุกคน พระศาสนจักรในโลกนี้อยู่ในกาลเวลา จึงมีส่วนที่จะต้องเปลี่ยน-
แปลงเสมอตามกาลเวลา พระศาสนจักรมีไว้เพื่อช่วยมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องช่วยมนุษย์ที่
อยู่ในสภาพสมบูรณ์แล้ว สภาสังคายนาจึงยืนยันว่า ระบบศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ และสถาบันอื่นๆ
เช่น การปกครองโดยพระสันตะปาปา พระสังฆราช พระสงฆ์ และสังฆานุกร ฯลฯ จะไม่มีในโลกหน้า
โดยกล่าวว่า
• “พระศาสนจักรผู้กำลังจาริกแสวงบุญ โดยอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์และ
สถาบันของตนที่อยู่ในโลกนี้ ยังคงมีลักษณะของโลกที่กำลังจะล่วงพ้นไป ทั้งยังคงอยู่ท่ามกลาง
สรรพสิง่ ทีก่ ำลังร้องไห้ครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร และกำลังรอคอยให้บรรดา
บุตรของพระเจ้าปรากฏมา” (ค)
• “ท่านทั้งหลายได้รับเชิญให้เข้าอยู่ในพระศาสนจักรโดยพระคริสต-
เยซู และเมื่ออยู่ในพระศาสนจักรแล้ว อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า เราจะบรรลุความศักดิ์สิทธิ์
พระศาสนจักรจะสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์ “จนกระทั่งถึงเวลาที่จะทรงฟื้นฟู
ทุกสิ่งขึ้นใหม่” (กจ 3:21)” (ก)
• พระคริสตเจ้า “ทรงสถาปนาพระวรกายของพระองค์ขึ้น คือ พระ-
ศาสนจักร ที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นดังเครื่องหมายและสื่อนำความรอดพ้นแก่มนุษย์ทุกคน” (ข)
• “พระศาสนจักรมีความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้ว แม้ยังไม่สมบูรณ์บน
แผ่นดินนี้ ถึงกระนั้น จนกว่าจะถึงฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นที่อยู่ถาวรของความชอบธรรม พระ-
ศาสนจักรผู้กำลังจาริกแสวงบุญโดยอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์และสถาบันของตนที่อยู่ในโลกนี้ ยังคงมี
ลักษณะของโลกที่กำลังจะล่วงพ้นไป” (ค)
98
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
4) มุมมองในมิติของโลกวัตถุ
อนันตวิทยายังเกี่ยวข้องกับโลกวัตถุ เพราะโลกวัตถุและมนุษย์มีความ
สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น โลกวัตถุต้องอาศัยมนุษย์เพื่อบรรลุจุดหมายที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
มนุษย์ก็ต้องอาศัยโลกวัตถุด้วยเช่นกัน ดังนั้น สากลจักรวาลจะได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่โดยสมบูรณ์
ในองค์พระคริสตเจ้า พร้อมกับมนุษยชาติด้วย (อฟ 1:10, คส 1:20, 2 ปต 3:10-13) ปัญหา
นิเวศวิทยา คือ การศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่และสิ่งแวดล้อม ได้รับ
แสงสว่างจากอนันตวิทยา เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรของโลกอย่างเห็นแก่ตัว แต่สอนมนุษย์ให้
รู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้ทรงกำหนดให้เป็นเครื่องมือที่ช่วยมนุษย์ให้บรรลุวุฒิ
ภาวะและความศักดิ์สิทธิ์
• “โลกทั้งโลกซึ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับมนุษย์ จะบรรลุจุดมุ่ง-
หมายของตนโดยทางมนุษย์ และจะพบความสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้า” (ก)
• “ดังนั้น วาระสุดท้ายของยุคนี้ ได้มาถึงเราแล้ว การฟื้นฟูขึ้นใหม่
ของโลกก็ถูกกำหนดไว้แล้วโดยไม่มีการคืนคำ การฟื้นฟูนี้เป็นความจริงบ้างล่วงหน้าในโลกนี้” (ค)
• พระศาสนจักรยังคงอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่กำลังร้องไห้ครวญคราง
ด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร และกำลังรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏมา (ค)
กิจกรรมของมนุษย์ในโลกนี้มีคุณค่าสำหรับโลกหน้าด้วย คุณค่าของชีวิต
ในโลกนี้ คือ การสร้างสมรรถภาพที่จะรัก การกระทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงชีพ การค้นคว้า
ฯลฯ มุ่งเพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เป็นการทำให้โลกก้าวหน้ามุ่งสู่ความสมบูรณ์ ดังที่นักบุญ
เปาโลเขียนถึงชาวโครินธ์ว่า “พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตน
เองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา” (2 คร
5:15) สภาสังคายนาสรุปว่า “เราพยายามทำตนเป็นที่พอพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าในทุกสิ่งทุก
อย่าง” (ง)
99
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
5) มุมมองในมิติของความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว
สมาชิกของพระศาสนจักรทีย่ งั สาริกแสวงบุญในกาลเวลา มีความสัมพันธ์กนั
อย่างแน่นแฟ้นในพระคริสตเจ้า ได้รับชีวิตใหม่จากพระจิตเจ้า และถูกรวบรวมไว้รอบพระบิดาเจ้า
เพื่อก่อให้เกิดครอบครัวศักดิ์สิทธ์ของพระเจ้าร่วมกับบรรดาพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งผู้มีความสุขแท้
จริงหรือผู้ที่กำลังรอคอยที่จะบรรลุความสุขนั้น นี่คือธรรมล้ำลึกของความรักที่รวบรวมสัตบุรุษทุกคน
ของพระศาสนจักร ทั้งผู้ที่มียังชีวิตบนแผ่นนดินนี้และผู้ที่อยู่ในสวรรค์ให้เป็นหนึ่งเดียว สภาสังคายนา
อธิบายความจริงนี้อย่างละเอียด ในมาตรา 49
6) มุมมองในมิติของพระตรีเอกภาพ
อนันตวิทยาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากพระตรีเอกภาพและเปิดเผยพระ-
ตรีเอกภาพ สมาชิกของพระศาสนจักรทุกคน ทั้งผู้ที่ดำเนินชีวิตในโลกนี้ ผู้ที่กำลังชำระตนให้บริสุทธิ์
หลังจากความตาย และผู้ที่อยู่ในสวรรค์ ต่างร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นศูนย์กลาง
และพื้นฐานของความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว ผู้มีความเชื่อทุกคนได้รับพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน ผู้
เป็นวิญญาณและพละกำลังของความสนิทสัมพันธ์ และล้อมรอบพระบิดาเพียงพระองค์เดียว ผู้ทรง
เป็นบ่อเกิดและความสำเร็จสมบูรณ์ของความสนิทสัมพันธ์เป็นนึ่งเดียว
• “เรามีความสนิทสัมพันธ์กบั พระคริสตเจ้าในพระศาสนจักรแล้ว และ
เราได้รับการประทับตราของพระจิตเจ้า... เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้าโดยแท้จริง และเราก็เป็น
เช่นนั้นจริง แต่เรายังไม่ได้ปรากฏตัวร่วมกับพระคริสตเจ้าในพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งจะบันดาลให้เราเป็น
เหมือนพระเจ้า เพราะเราจะแลเห็นพระองค์อย่างที่ทรงเป็น” (ง)
• “สภาพใหม่ที่เรารอคอยตามพระสัญญาเริ่มแล้วในพระคริสตเจ้า
การส่งพระจิตเจ้าทำให้สภาพนี้ได้รับการผลักดันขึ้น และอาศัยพระจิตเจ้าสภาพนี้คงดำรงอยู่ต่อไปใน
พระศาสนจักร ในพระศาสนจักรเราเรียนรู้ความหมายของชีวิตบนแผ่นดินอาศัยความเชื่อ ขณะ
เราทำงานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้ทำในโลกนี้ โดยหวังว่าจะได้รับทรัพย์สมบัติในอนาคต เราจึง
จะได้รับความรอดพ้น” (ข)
100
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
101
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
4) การพิพากษา
สภาสังคายนาสอนว่า
• “ก่อนที่เราจะได้ครองราชย์ร่วมกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงรุ่งโรจน์ ‘เราทุกคน
จะต้องปรากฏเฉพาะพระบัลลังก์ของพระคริสตเจ้า เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งตอบแทนสมกับที่ ได้
กระทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นว่าจะดีหรือชั่ว’ (2 คร 5:10)” (ง)
• ในบั้นปลายของโลกทุกคนในหลุมศพจะออกมา “ผู้ที่ได้ทำความดีจะกลับ
คืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำความชั่วก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์” (ง)
ข้อความนี้เป็นครั้งแรกที่พระศาสนจักรสอนโดยตรงอย่างเป็นทางการเรื่อง
การพิพากษาส่วนบุคคล (Individual Judgment) ก่อนหน้านี้ เรื่องการพิพากษาส่วนบุคคลเป็น
เพียงคำสอนโดยทั่วไปของพระศาสนจักร ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร คำสอนทางการของ
พระศาสนจักรเคยยืนยันเพียงเรื่องการพิพากษาประมวลพร้อมเท่านั้น เช่น บทแสดงความเชื่อที่มี
ชื่อว่า “สัญลักษณ์ของอัครสาวก” ยืนยันว่า “แล้วจะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย”
5) สวรรค์ คือ การเห็นพระเจ้าอย่างมีความสุข
สภาพความรุ่งโรจน์หรือสวรรค์ หมายถึงมนุษย์จะเห็นพระเจ้าอย่างที่พระองค์
ทรงเป็นอยู่แบบหน้าต่อหน้า มนุษย์จะเข้าสู่สภาพแห่งความรุ่งโรจน์
• “แต่เรายังไม่ได้ปรากฏตัวร่วมกับพระคริสตเจ้าในพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งจะ
บันดาลให้เราเป็นเหมือนพระเจ้า เพราะเราจะแลเห็นพระองค์อย่างที่ทรงเป็น” (ง)
• “เพราะฉะนั้น “เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในร่างกาย เราก็ถูกเนรเทศห่างจากองค์
พระผู้เป็นเจ้า แม้เราได้รับผลิตผลครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว เราก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน และ
ปรารถนาที่จะได้อยู่กับพระคริสตเจ้า” (ง)
การอธิบายว่าชีวิตนิรันดร คือ การชมพระพักตร์พระเจ้า เน้นลักษณะชีวิต
ลักษณะเดียว คือ ความรู้เท่านั้น สภาสังคายนาจึงใช้รูปแบบอื่นๆ อธิบายว่า ชีวิตนิรันดร คือชีวิต
ชิดสนิทกับพระคริสตเจ้าด้วยความยินดี
102
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
• “เราจะสมควรเข้าไปสู่งานวิวาหมงคล และมีบุญนับเข้าอยู่ในจำนวนผู้ได้
รับพระพร” (ง)
6) นรก คือ สภาพของมนุษย์ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
นรกเป็นสภาพที่เป็นไปได้อย่างแท้จริงของมนุษย์ (Real Possibility) ไม่
เป็นเพียงคำขู่หรือข้อสมมติฐานเท่านั้น เพราะพระคริสตเจ้าทรงสอนเรื่องนรกอย่างชัดเจน และ
สภาสังคายนาก็ได้อ้างพระวาจาของพระองค์เพื่อยืนยันความจริงนี้
• “เราไม่เป็นเหมือนคนใช้เลวและเกียจคร้าน ทีจ่ ะถูกบังคับให้ไปสูไ่ ฟนิรนั ดร
ไปสู่ความมืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” (ง)
น่าสังเกต ประโยคเหล่านี้ใช้คำว่า “จะ” เพื่อแสดงเหตุการณ์ในอนาคตที่อาจ
จะเกิดขึ้นจริง
7) ความตายเป็นจุดจบครั้งเดียวของชีวิตมนุษย์
มนุษย์ไม่มกี ารเวียนว่ายตายเกิด เพราะฉะนัน้ ในเมือ่ วิถชี วี ติ ของเราในโลกนี้
มีเพียงครั้งเดียว เราจึงจำเป็นต้องจริงจังกับชีวิต เพราะความรอดพ้นในอนาคตขึ้นอยู่กับการกระทำ
ในชีวิตปัจจุบันเท่านั้น สภาสังคายนากล่าวว่า “เมื่อวิถีชีวิตเดียวของเราบนแผ่นดินนี้จบลงแล้ว” (ง)
หมายความว่า มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการ
พิพากษาส่วนบุคคล พระศาสนจักรสอนเช่นนี้ เพื่อต่อต้านความคิดของผู้เชื่อว่า มีการเกิดใหม่ใน
ชาติหน้า หรือการเวียนว่ายตายเกิด (Reincarnation)
3.3 สรุป
พระศาสนจักรปัจจุบัน คือ พระศาสนจักรในฐานะผู้กำลังจาริกแสวงบุญอยู่ในโลก
(Pilgrim Church) เพื่อมุ่งสู่ความสมบูรณ์ในอนาคต โดยมีองค์พระจิตเจ้าเป็นพลังผลักดันให้
ก้าวหน้า พัฒนาให้บรรลุถึงความสมบูรณ์ ดังนั้น พระศาสนจักรจึงไม่หยุดนิ่ง (Static) แต่เป็นพลวัตร
(Dynamic)
103
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
104
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
ข. การที่ชาวสวรรค์มีความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้ามากขึ้น จึงเป็นการ
บันดาลให้พระศาสนจักรทั้งหมดมั่นคงอยู่ความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น คารวะกิจที่พระศาสนจักรถวายแด่
พระเจ้าในโลกนี้ บรรดาชาวสวรรค์ก็ช่วยเพิ่มศักดิ์ศรีขึ้น และสนับสนุนด้วยวิธีการหลายอย่าง เสริม-
สร้างพระศาสนจักรให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น (เทียบ 1 คร 12:12-27) เมื่อบรรดาชาวสวรรค์ได้บรรลุถึง
ที่พำนักในสวรรค์ และอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า (เทียบ 2 คร 5:8) อาศัยพระองค์
พร้อมกับพระองค์และในพระองค์ เขาทั้งหลายไม่หยุดหย่อนที่จะวอนขอพระบิดาเจ้าแทนเรา เขาทูล
ถวายบุญกุศลที่ ได้สะสมบนแผ่นดินโดยอาศัยพระคริสตเจ้า คนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับ
มนุษย์ (เทียบ 1 ทธ 2:5) เขาทั้งหลายรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าในทุกสิ่ง และเสริมสร้างสิ่งที่ยังขาดใน
พระทรมานของพระคริสตเจ้า เพื่อพระวรกายของพระองค์ คือ พระศาสนจักร (เทียบ คส 1:24)
ดังนั้น ความห่วงใยเอื้ออาทรฉันพี่น้องของบรรดาชาวสวรรค์ช่วยเหลือความอ่อนแอของเราเป็นอัน
มาก”
4.2.2 สรุปคำสอนในมาตรา LG 49
1. ผู้มีความเชื่อทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ ในสวรรค์และกำลังชำระตนให้บริสุทธิ์
รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ สหพันธ์นักบุญโดยมี“ความรัก” เป็นตัวเชื่อม เพราะทุกคนได้รับพระจิต
ของพระคริสตเจ้าและเป็นของพระคริสตเจ้า ยกเว้นผู้ที่มีบาปหนัก
• “แม้เราแต่ละคนใช้วิธีการและรูปแบบต่างกัน เรามีความรักเดียวกันต่อ
พระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ เราขับร้องเพลงสดุดีบทเดียวกันเพื่อถวายพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้าของ
เรา เราทุกคนที่เป็นของพระคริสตเจ้า ต่างก็มีพระจิตเจ้าของพระองค์ และต่างก็ผนึกแน่นติดกับ
พระองค์เป็นพระศาสนจักรหนึ่งเดียว” (เทียบ อฟ 4:16) ดังนั้น ความสัมพันธ์ของผู้ที่กำลังเดินทาง
กับบรรดาพี่น้องที่ได้สิ้นใจหลับอยู่ในสันติสุขของพระคริสตเจ้ามิได้ขาดตอนไปแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม
ตามความเชื่อที่พระศาสนจักรยึดมั่นเสมอมา ความสัมพันธ์นี้กลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีก โดยแลกเปลี่ยน
ทรัพยากรที่พระจิตเจ้าประทานให้” (ก)
105
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
2. ผู้ที่อยู่ในสวรรค์ได้รับความสุขแท้จากพระเจ้า ในแง่ที่เห็นพระเจ้าอย่างที่
พระองค์ทรงเป็น (essential retribution) แม้ร่างกายของเขาเหล่านั้นยังไม่ได้กลับคืนชีพจากบรรดา
ผู้ตาย เขาได้รับสิริรุ่งโรจน์แล้ว และเห็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ทั้งสามพระบุคคลในพระเจ้าหนึ่งเดียว
เราเรียกบรรดาชาวสวรรค์เหล่านี้ว่า “นักบุญ” เขากำลัง “พิศเพ่งพระเจ้าอย่างกระจ่างชัด แลเห็น
สามพระบุคคลในพระเจ้าหนึ่งเดียวอย่างที่ทรงเป็น” (ก)
3. ผู้ตายไปแล้วแต่ยังต้องชำระตนให้บริสุทธิ์ ก็เป็นพระศาสนจักรขั้นรองลงมา
จากพระศาสนจักรในสวรรค์ เรามักจะเรียกบุคคลเหล่านี้ว่า “วิญญาณในไฟชำระ” แต่สภาสังคายนา
เรียกเขาว่า “ผู้ถึงแก่กรรมแล้ว และกำลังชำระล้างตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง” (ก) ส่วนผู้ที่อยู่ในโลกนี้ก็
เป็นพระศาสนจักรที่กำลังจาริกแสวงบุญเพื่อบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ในสวรรค์ คือ “บรรดา
ศิษย์ของพระองค์บ้างกำลังเดินทางจาริกแสวงบุญอยู่บนแผ่นดิน” (ก)
4. พระศาสนจักรรวมสมาชิกทั้งสามสภาพนี้ให้มีความสนิทสัมพันธ์ “การที่ชาว
สวรรค์มีความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้ามากขึ้น จึงเป็นการบันดาลให้พระศาสนจักรทั้งหมดมั่นคง
อยู่ความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น” (ก) สภาสังคายนาเรียกการกระทำของชาวสวรรค์ต่อเราที่ผู้บนแผ่นดินว่า
“การวอนขอแทนเรา” คือ
“เมื่อบรรดาชาวสวรรค์ได้บรรลุถึงที่พำนักในสวรรค์ และอยู่เฉพาะพระพักตร์
องค์พระผู้เป็นเจ้า (เทียบ 2 คร 5:8) อาศัยพระองค์ พร้อมกับพระองค์และในพระองค์ เขาทั้งหลาย
ไม่หยุดหย่อนที่จะวอนขอพระบิดาเจ้าแทนเรา เขาทูลถวายบุญกุศลที่ได้สะสมบนแผ่นดินโดยอาศัย
พระคริสตเจ้า คนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ (เทียบ 1 ทธ 2:5)” (ข)
5. คำภาวนาวอนขอของบรรดานักบุญเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในสวรรค์ ซึ่ง
ร่วมกับพระศาสนจักรที่กำลังจาริกแสวงบุญบนแผ่นดิน ทำให้ “คารวะกิจที่พระศาสนจักรถวายแด่
พระเจ้าในโลกนี้” (ข) เพิ่มศักดิ์ศรีมากยิ่งขึ้น
106
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
107
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
108
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
109
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
110
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
4. ความสัมพันธ์กับบรรดานักบุญ
ความสัมพันธ์ของเรากับนักบุญจะต้องเป็นแบบบุคคลต่อบุคคล (Personal
relation) “เราทะนุถนอมการระลึกถึงชาวสวรรค์ ไม่เพียงเพราะเขาบำเพ็ญตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่
เราเท่านั้น แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะเขาบันดาลให้ความสัมพันธ์กลมเกลียวของพระศาสนจักร
ทั้งหมดแข็งแกร่งแน่นแฟ้นขึ้นในพระจิตเจ้า ด้วยการปฏิบัติความรักฉันพี่น้อง (เทียบ อฟ 4:1-6)
ความสนิทสัมพันธ์ของคริสตชนระหว่างผู้ที่กำลังเดินทางจาริกแสวงบุญในโลกนี้ นำเราให้ใกล้ชิดกับ
พระคริสตเจ้ามากยิ่งฉันใด การเป็นเพื่อนร่วมทางกับบรรดานักบุญ ก็ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระ-
คริสตเจ้าฉันนั้น” (ค) เพราะพระคริสตเจ้าทรงเป็นความรัก
ดังนั้น เราจึงสมควรที่จะรักบรรดานักบุญ ตามเหตุผลที่สภาสังคายนาเสนอ
2 ประการ คือ
• บรรดานักบุญ “เป็นเพื่อนและผู้ร่วมมรดกของพระคริสตเจ้า” (ค)
• “ทั้งเป็นพี่น้องของเราและผู้มีพระคุณต่อเราเป็นอย่างยิ่ง เราจึงต้อง
ขอบพระคุณพระเจ้าตามสมควรแทนเขาด้วย ต้องวิงวอนต่อเขาอย่างถ่อมตน วอนขอพึ่งคำภาวนา
ของเขา ขออำนาจและความช่วยเหลือจากเขา เพื่อจะได้รับคุณประโยชน์จากพระเจ้าโดยทางพระ-
เยซูคริสต์” (ค)
5. เน้นความรักต่อนักบุญ
การแสดงความรักต่อชาวสวรรค์อย่างถูกต้อง ทุกครั้งเราต้องมุ่งไปและจบลง
ที่พระคริสตเจ้า “ผู้ทรงเป็นมงกุฏรางวัลของนักบุญทั้งหลาย และผ่านทางพระคริสตเจ้าก็ไปจบลงที่
พระเจ้า” (ค)
6. ความสัมพันธ์ทางพิธีกรรมระหว่างเรากับชาวสวรรค์
ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระศาสนจักรในสวรรค์นี้สำเร็จไปด้วยวิธีสูงส่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ พระจิตเจ้าทรงแผ่พระอานุภาพเหนือเราโดยเครื่องหมาย
ของศีลศักดิ์สิทธิ์
111
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
112
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
มีส่วนร่วมในการลิ้มรสพิธีกรรมที่ประกอบขึ้นด้วยพระสิริรุ่งโรจน์บริบูรณ์ เมื่อพระคริสตเจ้าจะทรง
แสดงพระองค์และการกลับคืนชีพอย่างรุง่ โรจน์ของบรรดาผูต้ ายจะเกิดขึน้ เมือ่ นัน้ ความกระจ่างเจิดจ้า
ของพระเจ้าจะฉายแสงในสวรรค์ และลูกแกะของพระเจ้าจะเป็นดวงประทีบ (เทียบ วว 21:24)
เมื่อนั้นพระศาสนจักรทั้งหมดที่ประกอบด้วยบรรดานักบุญ ผู้บรรลุถึงความสุขขั้นสุดยอดแห่งความ
รักแล้ว จะพากันกราบนมัสการพระเจ้า และ ”ลูกแกะที่ถูกประหารแล้ว” (วว 5:12) ทุกคนจะโห่ร้อง
เป็นเสียงเดียวกันว่า “พระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์ และลูกแกะ จงได้รับคำถวายพระพร พระ-
เกียรติยศ พระสิริรุ่งโรจน์ และพระอำนาจปกครองตลอดนิรันดรเทอญ” (วว 5:13)
4.4.2 ข้อปฏิบัติของเรากับบรรดานักบุญและผู้ที่กำลังชำระตนให้บริสุทธิ์
1. สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ยังยึดมั่นความเชื่อเดิมในเรื่องนี้ คือ “ความเชื่อน่า
เคารพของบรรดาบรรพบุรุษ เรื่องความสนิทสัมพันธ์ทางชีวิตกับบรรดาพี่น้องผู้บรรลุถึงพระสิริรุ่ง-
โรจน์ในสวรรค์ หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้วกำลังชำระตนให้บริสุทธิ์ สภาสังคายนานี้ขอต้อนรับด้วยความ
ศรัทธาภักดี ทั้งเสนอให้นำกฤษฎีกาของสภาสังคายนานิเชอา ที่ 2 สภาสังคายนาฟลอเรนซ์ และ
สภาสังคายนาเตรนท์มาใช้อีกครั้งหนึ่ง” (ก)
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สอนย้ำเตือนให้คริสตชนแสดงความเคารพ กระทำ
คารวะกิจและวอนขอต่อรูปและพระธาตุของบรรดานักบุญ ยิ่งกว่านี้ สภาสังคายนาเตรนท์ และ
สภาสังคายนาฟลอเรนซ์ยังสอนให้เราภาวนาอุทิศแก่ผู้กำลังชำระตนให้บริสุทธิ์
ขณะเดียวกัน สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ได้แสดงความเป็นห่วงถึงการปฏิบัติที่
ไม่สมควร เช่น สอนว่าถ้าสวดภาวนาหรือขอมิสซาจำนวนที่กำหนดไว้จะได้ไปสวรรค์ หรืออีกแง่หนึ่ง
นำรูปทั้งหมดของนักบุญออกจากวัดเหลือไว้เพียงไม้กางเขนเท่านั้น เป็นต้น จึง “ตักเตือนทุกคนที่
เกี่ยวข้อง ในกรณีที่มีการออกนอกลู่นอกทางเกินไปบ้าง ขาดตกไปบ้าง ก็ขอให้ขจัดออกไป หรือ
แก้ไข เพื่อรื้อฟื้นทุกสิ่งให้พระคริสตเจ้าและพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญอย่างเต็มเปี่ยม” (ก)
2. พระสงฆ์หรือศาสนบริกรจะต้อง “ขอให้สั่งสอนสัตบุรุษว่า คารวะกิจแท้จริง
ต่อบรรดานักบุญไม่ใช่อยู่ที่การเพิ่มพูนกิจการภายนอก แต่อยู่ในการปฏิบัติความรักอย่างกระตือรือร้น
113
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
114
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
115
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
116
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
นำแสงสว่างจากข่าวดีของพระคริสตเจ้ามาช่วยอธิบายปัญหาต่างๆ วิธีตั้งปัญหาเรื่องความตายก็เป็น
ไปตามแนวของปรัชญาแบบอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เช่น
• “ปัญหาเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่สงสัยมากที่สุดคือเรื่อง
ความตาย มนุษย์ได้รับความทรมานมิใช่เพราะความเจ็บปวดหรือเพราะ
ร่างกายเสื่อมถอยไปตามอายุขัยเท่านั้น แต่เฉพาะอย่างยิ่ง เพราะกลัว
ว่าตนจะดับสูญหายไปตลอดกาล” (GS 18)
วิธีพูดนี้เป็นปัญหาที่ตรงกับปรัชญาแบบอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เช่น ความคิด
ของไฮเดกเกอร์ ส่วนซารตร์คิดว่า ความตายของมนุษย์เปรียบได้กับการอับปางของเรือซึ่งล่มใน
ทะเล เกิดความเสียหายและสูญหาย ความคิดแบบอัตถิภาวะนิยมเป็นปรัชญาที่เอาจริงเอาจังเรื่อง
ความตาย ไม่เหมือนปรัชญาของเอปีคูรุสผู้สอนว่า “ความตายสำหรับเราไม่เป็นอะไรเลย เพราะว่า
เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ความตายก็ไม่มี และเมื่อมีความตายเราก็ไม่เป็นอยู่แล้ว” เพราะฉะนั้นความตาย
ไม่สามารถทำอะไรแก่เรา ไม่ต้องไปกังวลใจเรื่องความตาย แต่ตรงกันข้าม ปรัชญาแบบอัตถิภาวะ-
นิยมเอาจริงเอาจังเรื่องความตาย เพราะคิดว่าความตายอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นเพื่อนเดินทางใน
ชีวิตของเรา
มนุษย์ไม่เพียงจะต้องตายแต่เป็นผู้กำลังตายอยู่ทุกเวลา คือ เขาต้องสละทุกสิ่งทุกอย่าง
ยกเว้นสิ่งที่เขาเลือกในเวลานั้น สภาพเช่นนี้ ทำให้มนุษย์กังวลใจต่างจากสัตว์ซึ่งไม่มีความคิด
ไฮเดกเกอร์คิดว่ามนุษย์มีจิตสำนึกในชีวิตของตนที่กำลังจะตาย จึงเกิด “ความกังวลใจ” หรือ ตาม
ความคิดของซารตร์ มนุษย์มี “ความเอือมระอาต่อชีวิต” นักปรัชญาอัตถิภาวะนิยมมักจะสอนว่า
เราสามาถเอาชนะความกังวลใจหรือความเอือมระอาชีวิตเช่นนี้ถ้าเรายอมรับว่า นี่คือชะตากรรมของ
มนุษย์ ที่จะต้องสิ้นสุดเหมือนกับเรือจะต้องอับปาง คือจะไม่มีชีวิตหน้า ชีวิตของมนุษย์จะจบลงโดย
สิ้นเชิง นักปรัชญาเหล่านี้ทราบดีว่า จิตวิทยาของมนุษย์ต่อต้านความคิดดังกล่าว มนุษย์โดยสัญชาติ-
ญาณต้องการมีชีวิตตลอดไป และกลัวที่จะต้องสูญหายไปโดยสิ้นเชิง นี่เป็นบ่อเกิดของความกังวลใจ
จำเป็นต้องควบคุมความรู้สึกนี้โดยใช้เหตุผลว่า ไม่มีใครช่วยมนุษย์ได้ จำเป็นต้องยอมรับการอับปาง
117
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
118
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
119
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
ข้อความนี้เป็นคำตอบของความเชื่อเกี่ยวกับปัญหาเรื่องความตาย โดยสรุปความคิด 3
ประการ
1. มนุษย์มีชะตากรรมจะบรรลุถึงความสุขเพียงหลังจากความตาย มนุษย์จึงมีชีวิต
อยู่ต่ออย่างแน่นอน
2. พระเจ้าไม่ทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ต้องตาย และพระองค์ทรงพิชิตความตาย
โดยทรงบันดาลให้มนุษย์กลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าทรงชัยชนะความตายโดยการสิ้นพระชนม์และการ
กลับคืนพระชนมชีพ มนุษย์จะกลับคืนชีพในความเป็นอยู่ทั้งหมดของตน คือ จะเป็นหนึ่งเดียวกับ
พระเจ้าด้วยธรรมชาติทั้งหมดของตน
3. มนุษย์สามารถมีความสนิทสัมพันธ์กับพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้วตั้งแต่อยู่ในโลกนี้
อาศัยความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า
5.3 อเทวนิยมและปัญหาเกี่ยวกับชีวิตหน้า (GS 21)
สภาสังคายนาเน้นความจริงที่ว่า ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับพระเจ้าและไม่มีความหวังในชีวิต
นิรันดร ไม่สามารถให้คำตอบปัญหาสำคัญของชีวิตมนุษย์ เช่น ความหมายของชีวิต ความตาย ความ
ทุกข์ทรมาน หลายครั้งผู้ที่ไม่สามารถหาตอบปัญหาดังกล่าวอาจจะสิ้นหวังในชีวิต
• “เมื่อขาดการค้ำจุนของพระเจ้าและไม่มีหวังจะได้ชีวิตนิรันดรในสวรรค์
ศักดิ์ศรีของมนุษย์ก็หมดไปอย่างน่าใจหาย ตามที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ ใน
ทุกวันนี้ แล้วปริศนาเรื่องชีวิตกับความตาย เรื่องความผิดกับความทุกข์
ทรมาน ก็แก้ไม่ตก เช่นนี้แหละมนุษย์จึงมักพากันเสียใจสิ้นหวัง” (GS
21)
กระนั้นก็ดี มนุษย์ทุกคนไม่ว่าผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม จะต้องพยายามแก้
ปัญหาดังกล่าวนี้
• “มนุษย์ทุกคนยังคงเห็นตนเป็นปัญหาที่ขบคิดไม่ตก และมองเห็นแต่
เลือนลาง บางเวลา เฉพาะอย่างยิง่ เมือ่ มีเหตุการณ์สำคัญในชีวติ ไม่มี
120
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
ใครที่จะหลบเลี่ยงคำถามเหล่านี้ได้เสียทีเดียว พระเจ้าองค์ทรงสามารถ
ตอบคำถามเหล่านั้นได้โดยสมบูรณ์ ไม่มีทางแย้งได้ พระองค์ทรงเชิญ
ชวนเราให้คิดลึกซึ้งยิ่งขึ้น และให้แสวงหาโดยถ่อมตัวยิ่งขึ้น” (GS 21)
คำยืนยันนี้ของสภาสังคายนามีความสำคัญมาก เพราะชี้แจงแนวปฏิบัติเชิงอภิบาลว่า
มนุษย์มักจะต้องการศาสนาเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานของชีวิตของตน ผู้ประกาศข่าวดีเรื่องพระเจ้าจึงจะ
ต้องแสดงให้เห็นว่า คำสอนนี้ช่วยอธิบายปัญหาเรื่องความหมายของชีวิตและความตาย ซึ่งเป็น
ปัญหาพื้นฐานของมนุษย์
5.4 ความหวังถึงโลกหน้าทำให้คริสตชนต้องรับผิดชอบต่อความเจริญของโลกนี้ (GS 20)
ลัทธิอเทวนิยมของมาร์กสอนว่า “ศาสนาขัดขวางการหลุดพ้นที่ทำให้มนุษย์เป็นอิสระใน
ทางเศรษฐกิจและสังคม โดยหลอกให้มนุษย์หวังจะได้รับชีวิตหน้า มนุษย์ไม่คิดจะสร้างความเจริญ
ในโลก” พูดอีกนัยหนึ่ง ศาสนาเปรียบเหมือนฝิ่นมอมเมาประชาชน เพราะฉะนั้นลัทธิอเทวนิยมมาร์ก
ซิสต์ “ถ้ามีอำนาจอยู่ที่ใด ก็โจมตีศาสนาอย่างรุนแรง ใช้เครื่องมือบีบคั้นทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่บ้าน
เมืองมีอำนาจใช้ เพื่อเผยแพร่อเทวนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอบรม
เยาวชน” (GS 20)
สภาสังคายนาปฏิเสธไม่ยอมรับคำกล่าวหาของลัทธิอเทวนิยม ที่สอนว่า ผู้ที่คิดถึงโลก
หน้าย่อมไม่สนใจที่กับพัฒนาโลกนี้ ศาสนาจึงก่อให้เกิดความห่างเหินทางจิตใจ (alianation) แต่สภา
สังคายนายืนยันตรงกันข้ามว่า “ความหวังของเราในโลกหน้าไม่ได้ทำให้การงานต่างๆ ของเราในโลก
นี้มีความสำคัญน้อยลงเลย แต่กลับมีเหตุผลใหม่ๆ ช่วยให้การงานนั้นลุล่วงสำเร็จไปด้วยดี” (GS 21)
หน้าที่พัฒนาโลกนี้เป็นหน้าที่โดยเฉพาะของบรรดาฆราวาส (เทียบ LG 31)
5.5 แผ่นดินใหม่และฟ้าใหม่ (GS 39)
อนันตวิทยา (Eschatology) เกี่ยวกับโลกที่เราได้พบในพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสน-
จักร (LG 48) ยังมีกล่าวไว้ในเอกสารนี้ด้วย โลกปัจจุบันจะต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อพระคริสตเจ้าจะ
เสด็จอย่างรุ่งโรจน์
121
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
• “เราไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาสิ้นสุดของโลกและของมนุษยชาติ เราไม่
ทราบว่าจักรวาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โลกแบบที่เรารู้จักนี้ซึ่งเสีย
โฉมไปเพราะบาปจะล่วงพ้นไปแน่ แต่เรารู้ว่าพระเจ้าทรงเตรียมที่อยู่
ใหม่และแผ่นดินใหม่ให้เรา ในแผ่นดินใหม่นั้นความยุติธรรมจะสถิตอยู่
และความสุขจะมีเกินกว่าที่ใจมนุษย์จะนึกคิดปรารถนาได้ เวลานัน้ แหละ
ความตายจะพ่ายแพ้ ผู้ที่เป็นบุตรของพระเจ้าจะกลับคืนชีพเดชะพระ-
คริสตเจ้า และสิ่งที่หว่านลงไปดูอ่อนแอและเน่าเปื่อยก็จะกลับไม่รู้จัก
เน่าเปื่อย ความรักและกิจการของความรักจะดำรงอยู่ และสรรพสิ่งทุก
อย่างที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมาสำหรับมนุษย์จะหลุดพ้นจากการเป็นทาส
ของการโอ้อวด” (GS 39)
สภาสังคายนายังสอนต่อไปว่า กิจการของมนุษย์บนแผ่นดินนี้สามารถช่วยสร้างอนาคต
ซึ่งเรากำลังหวัง คำยืนยันดังกล่าวนี้สำคัญ ถึงกระนั้น สภาสังคายนาไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่า
กิจการงานของมนุษย์ในโลกนี้สามารถช่วยสร้างโลกหน้าโดยตรงหรือทางอ้อมอย่างไร เพียงแต่ยืนยัน
ว่ากิจการในโลกนี้มีความสัมพันธ์กับโลกหน้า ดังที่มีเขียนไว้ต่อไปนี้
• “เรารู้ว่าไม่มีประโยชน์อันใดแก่มนุษย์ที่จะได้จักรวาลเป็นกรรมสิทธิ์
ถ้าหากตนเองต้องพินาศ ถึงกระนั้น ความหวังที่จะได้แผ่นดินใหม่ไม่
ควรจะดับ แต่ควรจะปลุกความห่วงใยของเราที่จะบำรุงแผ่นดินปัจจุบัน
เพราะสังคมมนุษย์กำลังเจริญเติบโตบนแผ่นดินนี้ และพอจะทำให้เรา
เห็นลางๆ ว่า เวลาในชีวิตภายหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ถึงแม้
ต้องระมัดระวังแยกความเจริญในโลกนี้กับการแพร่ขยายพระอาณาจักร
แห่งพระคริสตเจ้า ความเจริญก็มคี วามสำคัญสำหรับพระอาณาจักรของ
พระเจ้ามาก ตามส่วนที่สามารถจะช่วยจัดระเบียบของสังคมมนุษย์ให้
ดี ขึ้ น ศั ก ดิ์ ศ รี ข องมนุ ษ ย์ การร่ ว มสนิ ท กั น ฉั น พี่ น้ อ งและเสรี ภ าพ
122
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
คุณลักษณะเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีที่เกิดจากธรรมชาติและความขยัน
หมั่นเพียรของเรา เมื่อเราเผยแผ่คุณลักษณะเหล่านี้ ในโลกตามพระ-
บัญชาของพระคริสตเจ้า และโดยอาศัยพระจิตเจ้า เราจะพบคุณลักษณะ
เช่นนี้ในรูปแบบใหม่ แต่ในสภาพสะอาดหมดจดไม่มีตำหนิ เปล่งปลั่ง
และเปลี่ยนแปลง เมื่อพระคริสตเจ้าจะทรงมอบแด่พระบิดา ‘ซึ่งอาณา-
จักรชั่วนิรันดรและสากล เป็นอาณาจักรแห่งความจริงและชีวิต เป็น
อาณาจักรแห่งความศักดิ์สิทธิ์และพระหรรษทาน เป็นอาณาจักรแห่ง
ความยุตธิ รรม ความรักและสันติสขุ ’ อาณาจักรดังกล่าวอยูใ่ นโลกนีอ้ ย่าง
ลึกลับแล้ว และบรรลุถึงความดีพร้อมเมื่อพระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมา
อย่างรุ่งโรจน์” (GS 39)
123
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๖ ... คำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องอนันตวิทยา
124
อ นั น ต วิ ท ย า