Professional Documents
Culture Documents
(ตามดู ! ไมตามไป.... )
อินทรียภาวนาชั้นเลิศ
อานนท ! อารมณอันเปนที่ชอบใจ – ไมเปนที่ชอบใจ
เปนที่ชอบใจและไมเปนที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแกภิกษุนั้น
ยอมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู.
อานนท ! นี้แล เราเรียกวา อินทรียภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย…
อุป ริ . ม. ๑๔/๕๔๒ – ๕๔๕/๘๕๖ – ๘๖๑.
กวา ๖๐ พระสูตร
แหงความสอดรับกันในคำตถาคต
“ธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก”
ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะโลก
แต่โลกต่างหากย่อมกล่าวขัดแย้งต่อเรา
ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เป็นธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก
ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติ (รู้เหมือน ๆ กัน) ว่าไม่มี
แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี
ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี
สื่อธรรมะนี้ จัดทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน
เป็นธรรมทาน
ลิขสิทธิ์ในต้นฉบับนี้ได้รับการสงวนไว้
ไม่สงวนสิทธิ์ในการจัดทำจากต้นฉบับเพื่อเผยแผ่ในทุกกรณี
ในการจัดทำหรือเผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ
เพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูล
ขอคำปรึกษาด้านข้อมูลในการจัดทำเพื่อความสะดวกและประหยัด
ติดต่อได้ที่ คุณศรชา โทรศัพท์ ๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑
หรือ คุณอารีวรรณ โทรศัพท์ ๐๘๕-๐๕๘-๖๘๘๘
จัดทำโดย มูลนิธิพุทธโฆษณ์
(เว็บไซต์ www.buddhakos.org)
ผลเสียของการปลอยจิตใหเพลินกับอารมณ
ตัวอยางพุทธวจน ที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิตใหเพลินกับอารมณ
จิตทีเ่ พลินกับอารมณ ละไดด ว ยการมีอนิ ทรียสังวร (การสํารวมอินทรีย)
ความสําคัญแหงอินทรียสังวร
ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร
รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น
ผลที่สุดของการละความเพลินในอารมณ
ขอย้ำเตือนจากพระตถาคต
สารบัญ
คํานํา ๑
ผลเสียของการปลอยจิตใหเพลินกับอารมณ ๑๕
กอใหเกิดอนุสัยทั้ง ๓ ๑๖
ไม อาจที่จะหลุดพ นไปจากทุกข ๒๐
เพลิ น อยู กับอายตนะ เทา กับ เพลิน อยูในทุกข ๒๒
ลั กษณะของการอยูอ ยางมีตัณหาเปนเพื่อน ๒๔
ไม อาจถึง ซึ่ง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๒๙
ตัวอยางพุทธวจน ที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิต ๓๑
ใหเพลินกับอารมณ
ละความเพลิน จิตหลุ ดพน ๓๒
ความพอใจ เปน เหตุแ ห ง ทุกข ๓๓
เมื่อ คิ ดถึ ง สิ่งใด แสดงว าพอใจในสิ่ง นั้น ๓๔
ภพแม ชั่ วขณะดี ดนิ้ ว มื อ ก็ยัง นา รัง เกียจ ๓๕
ตัณ หา คือ “เชื้อ แหงการเกิด” ๓๗
เมื่อ มี ความพอใจ ย อ มมีตัณ หา ๓๙
ตัณ หา คือ เครื่อ งนําไปสูภพใหม อั น เปน เหตุเกิดทุกข ๔๑
สิ้น ความอยาก ก็สิ้น ทุกข ๔๓
มี ค วามเพลิน คื อ มีอุปาทาน ผูมีอุ ปาทานยอ มไมป รินิ พพาน ๔๕
ในอริยมรรคมีอ งค ๘ ๔๙
ทรงตรัสวา “เปน เรื่ องเรง ดวนที่ตอ งเรง กระทํา” ๕๑
ต อ งเพียรละความเพลินในทุก ๆ อิริยาบถ ๕๔
ความเพียร ๔ ประเภท (นัยที่ ๑) ๕๖
ความเพี ยร ๔ ประเภท (นัยที่ ๒) ๕๘
จิตที่เพลินกับอารมณ ละไดดวยการมีอินทรียสังวร ๖๑
(การสํารวมอินทรีย)
เมื่ อ มี สติ ความเพลิน ย อ มดับ ๖๒
กายคตาสติ มี ค วามสํา คัญ ตอ อิ น ทรียสัง วร ๖๕
- ลักษณะของผูไ มตั้ง จิตในกายคตาสติ ๖๕
- ลักษณะของผูตั้ง จิตในกายคตาสติ ๖๗
อิน ทรียสังวร ปดกั้ นการเกิดขึ้น แห งบาปอกุ ศล ๗๐
ความสําคัญแหงอินทรียสังวร ๗๓
อินทรียสังวร เปนเหตุใหไดมาซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ ๗๔
ผูไมสํารวมอินทรียคือผูประมาท ผูสํารวมอินทรียคือผูไมประมาท ๗๕
ความไมประมาท เปนยอดแหงกุศลธรรม ๗๗
ผูมีอินทรียสังวร จึงสามารถเจริญสติปฏฐานทั้ง ๔ ได ๗๙
อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการสํารวม ๘๐
อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการบรรเทา ๘๑
ผลที่ไดเพราะเหตุแหงการปดกั้นอาสวะ ๘๒
ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร ๘๓
ความหมายแหงอินทรีย ๘๔
ลักษณะของผูสํารวมอินทรีย ๘๕
ผูที่ถึงซึ่ง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๘๖
รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น ๘๙
กระจายซึ่ง ผัสสะ ๙๐
ตามแนวแหง สัมมาสัง กั ปปะ ๙๔
ย อ มยุบ ย อมไมกอ ย อ มขวางทิ้ง ยอ มไมถือ เอา ซึ่ง ... ขันธ ๕ ๙๙
เห็ น ประจักษตามความเปน จริง ๑๐๖
พึ ง เห็ น วา ชีวิตนั้น แสนสั้น ๑๐๘
ผลที่สุดของการละความเพลินในอารมณ ๑๑๑
ผูไ ด ชื่ อ วา อินทรียภ าวนาชั้น เลิศ ๑๑๒
ผูเขาไปหาเปนผูไ ม ห ลุดพน ผู ไ มเขาไปหายอมหลุดพน ๑๑๔
เพราะไมเ พลิน จึง ละอนุสัยทั้ง ๓ ได ๑๑๖
ยอ มหลุ ดพนไปจากทุ กข ๑๒๐
ลักษณะของบุคคลสี่ป ระเภทกก ๑๒๕
คํานํา
มนุษยเปนสัตวที่สื่อสารกันดวยระบบภาษาที่ซับซอน ทั้งโครงสรางและความหมาย
วจี สั ง ขาร ที่ ม นุ ษย ป รุ ง แต ง ขึ้ น นั้ น มีความวิจิตรเทียบเทาดุจความละเอียดของจิต
ทั้งนี้ เพราะ จิตเปนตัวสรางการหมายรูตาง ๆ (จิต เปนเหตุในการเกิ ด ของนามรูป
และนามรูปซึ่งจิตสรางขึ้นนั้น เปนเหตุในการดํารงอยูไดของจิต)
กับกรณีของปรากฏการณทางจิต ซึ่งมีมิติละเอียดปราณีตที่สุดในระบบสังขตธรรม
ใครเลา จะมีความสามารถในการบัญญัติระบบคําพูด ที่ใชถายทอดบอกสอนเรื่องจิตนี้
ใหออกมาไดเปนหลักมาตรฐานเดียว และใชสื่อเขาใจตรงกันได โดยไมจํากัดกาลเวลา
๒ ตามดู ไม ตามไป
“ดู ก ายดู ใ จ” “ดูจิ ต ” “ตามดูต ามรู ”
ปฏิ เ สธไม ไ ด เ ลยว า วลี ข า งต น นั้ น ถู ก ใช พู ด กั น ทั่ ว ไปเป น ปกติ ใ นหมู นั ก ภาวนา
ปกติ จ นเรี ย กได วา เป น หนึ่ ง ในสิ่ งที่ ถู ก มองข า มเพิ ก เฉย (take for granted) ไป
ราวกับวา ใคร ๆ ก็รูกันหมดแลว เหมือนคําที่ใชกันเปนประจํา เชน กินขาว อาบน้ํา ฯ
“ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย นับ แตร าตรี ที่ต ถาคตได ต รั ส รู อ นุต ตรสั ม มาโพธิ ญาณ
จนกระทั่ ง ถึ ง ราตรี ที่ ต ถาคตปริ นิ พพานด ว ยอนุ ป ทิ เ สสนิ พ พานธาตุ
ตลอดเวลาระหวา งนั้ น ตถาคตไดก ล า วสอน พร่ํา สอน แสดงออกซึ่ งถ อ ยคํา ใด
ถอยคําเหลานั้น ทั้งหมด ยอมเขากันไดโดยประการเดียวทั้งสิ้นไมแยงกันเปนประการอื่นเลย”
–อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓.
๔ ตามดู ไม ตามไป
กอนพุทธปรินิพพาน ทรงรับสั่งไวกับพระอานนทเถระวา ความสอดคลองเขากันเปนหนึ่งนี้
ใหใชเปนหลักมาตรฐานในการตรวจสอบวาอะไรใช หรือไมใชพระธรรมวินัย (มหาปเทส ๔)
ยิ่งไปกวานั้น ทรงระบุไวดวยวา หากรูแ ลววาไมใชพระธรรมวินัย ใหเราละทิ้งสิ่งนั้นไปเสีย
ความสามารถในการใชบทพยัญชนะที่มีอรรถะ(ความหมาย) สอดคลองกันเปนหนึ่งเดียวนี้
เปนพุทธวิสัย มิใชสาวกวิสัย ทั้งนี้ เพราะเหตุคือความตางระดับชั้นกันของบารมีที่สรางสมมา
พระตถาคต สรางบารมีมาในระดับพุทธภูมิ เพื่อใหไดมา ซึ่งความเปนอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
พระสาวก สรางบารมีในระดับสาวกภูมิ เพื่อใหไดมา ซึ่งโอกาสในการเปนสาวกในธรรมวินัยนี้
ที่ ม าที่ ไ ปของคํา วา ดู จิ ต หรื อ ตามดู ต ามรูฯ ไม ใ ช เ รื่ อ งลึ ก ลับ ซับซอนที่จะสืบคน
ตั ว สู ต รที่ เ ป น พุ ท ธวจน เพื่ อ ใช ต รวจสอบเที ย บเคี ย งตามหลั ก มหาปเทส ก็ มี อ ยู
ผูที่สรางบารมีมาในระดับสาวกภูมิ ไมมีความสามารถในการคิดสรางมรรคขึ้นเอง
ไมเวนแมแต พระอรหันตผูหลุดพนดวยปญญา (ปฺาวิมุตฺเตน ภิกฺขุนาติ) ก็ตาม
และเป น ผู มี ป กติพิ จ ารณาเห็ น ธรรมเป น เหตุ เกิด ขึ้น ในจิ ต อยู บ า ง,
เห็ น ธรรมเป น เหตุ เ สื่ อ มไปในจิ ต อยู บ า ง,
เห็ น ธรรมเป น เหตุ ทั้ ง เกิ ด ขึ้ น และเสื่ อ มไปในจิ ต อยูบ า ง;
ที่ แ ท เ ธอเป น ผู ที่ ตั ณ หาและทิ ฏ ฐิ อ าศั ย ไม ไ ด และเธอไม ยึ ด มั่ น อะไร ๆ ในโลกนี้ .
จะเห็น ไดวา พระพุท ธเจา มิไ ดใ หเ ราฝก ตามดูต ามรูเ รื่อ งราวในอารมณไปเรื่อย ๆ
และ การตามดูตามรูซึ่งจิต (จิตฺตานุปสฺสนา) จะตองเปนไปภายใต ๘ คูอาการนี้เทานั้น
พระพุทธเจามองเห็นธรรมชาติในจิตของหมูสัตว ในแบบของผูที่สรางบารมีมาเพื่อบอกสอน
การบัญญัติมรรควิธี จึงเปนพุทธวิสัย หนาที่ของเราในฐานะพุทธสาวกมีเพียงอยางเดียว คือ
ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติโดยระมัดระวังอยางที่สุด (มคฺคานุคา จ ภิกฺขเว เอตรหิ สาวกา ฯ)
ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย. ! ธรรมที่ ค วรกระทํา ให เ จริ ญ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เป น อย า งไรเล า ?
สมถะ และ วิปสสนา เหลานี้เรากลาววา เปนธรรมที่ควรกระทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง.
- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๔/๒๕๔.
อิ น ทรี ย สัง วร ๑๓
สําหรับบางคนที่อาจจะเขาใจความหมายไดดีกวา จากตัวอยางอุปมาเปรียบเทียบ
พระพุทธองคไดทรงยกอุปมาเปรียบเทียบไวในฌานสูตร วาเหมือนกับการฝกยิงธนู
เมื่อพิจารณาแลว จะพบวา มีตัวแปรตาง ๆ ที่เกี่ยวของ ซึ่งจะตองปรับใหสมดุลย
เชน ความนิ่งของกาย วิธีการจับธนู การเล็ง น้ําหนัก และจังหวะในการปลอยลูกศร
อุปมานี้ พอจะทําใหเราเห็นภาพไดดี ในการเจริญสมถะวิปสสนา ดวยปญญาอันยิ่ง
วาการเห็นแจงในธรรมอันเปนเหตุนั้น จะตองอาศัยความสมดุลยตาง ๆ อยางไรบาง
------------------------------------------------------------------------------------------
คณะศิษ ย พ ระตถาคต
ผลเสียของการปล่อยจิต
ให้เพลินกับอารมณ์
๑๖ ตามดู ไมตามไป
กอใหเกิดอนุสัยทั้ง ๓
บุ คคลนั้น
เมื่ อ สุข เวทนา ถู กต อ งอยู
ย อ มเพลิด เพลิน ย อ มพร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู;
อนุ สัยคือราคะ ยอมตามนอน แกบุคคลนั้น (ตสฺส ราคานุส โย อนุเสติ)
บุ คคลนั้ นหนอ
(สุ ข าย เวทนาย ราคานุ สย อปฺป หาย)
ยัง ละราคานุสัย อันเกิดจากสุข เวทนาไม ได;
(ทุ กฺขาย เวทนาย ปฏิฆานุสย อปฺป ฏิวิโนเทตฺว า)
ยังบรรเทาปฏิฆ านุสัย อันเกิด จากทุก ขเวทนาไมไ ด;
(อทุ กฺข มสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสย อสมูห นิตฺว า)
ยัง ถอนอวิชชานุสัย อัน เกิ ดจากอทุก ขมสุขเวทนาไมไ ด;
อิ น ทรี ย สัง วร ๑๙
อุ ป ริ . ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.
๒๐ ตามดู ไมตามไป
ไมอาจที่จะหลุดพนไปจากทุกข
เรากลา ววา
“ผู ใด เพลิดเพลิน อยู ใน สิ่ง ที่เ ปนทุก ข
ผู นั้น ยอ มไมห ลุด พน ไปไดจากทุก ข” ดั ง นี้.
ขนฺ ธ . สํ . ๑๗/๓๙/๖๔.
๒๒ ตามดู ไมตามไป
เรากล า ววา
ผู ใด เพลิดเพลิน อยู ใน สิ่งที่เ ปน ทุก ข
ผู นั้น ยอ มไมห ลุด พน ไปไดจากทุก ข ดั ง นี้.
สฬา. สํ . ๑๘/๑๖/๑๙.
ลักษณะของการอยูอยางมีตัณหาเปนเพื่อน
มิ คชาละ !
มิคชาละ !
ภิกษุผูประกอบพรอมแลว ดวยการผูกจิตติดกับอารมณดวยอํานาจแหงความเพลิน
นั่ น แล เราเรียกวา “ผูมี การอยูอยา งมีเ พื่อนสอง”
มิ คชาละ !
มิ คชาละ !
ภิกษุผูไมประกอบพรอมแลว ดวยการผูกจิตติดกับอารมณดวยอํานาจแหงความเพลิน
นั่ น แล เราเรียกวา “ผูมี การอยูอยา งอยูผูเ ดียว”
ภิกษุ ทั้ง หลาย ! ภิกษุ เปน ผูไ มปดแผล เปนอยา งไรกัน เลา ?
ภิ กษุ ทั้ง หลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี
เห็น รูป ดวยตา, ฟ ง เสี ยงดว ยหู, ดมกลิ่น ดว ยจมูก,
ลิ้มรสดว ยลิ้น, ถู กตอ งโผฏฐัพพะดว ยกาย, รู ธรรมารมณดวยใจ,
แลวก็มีจิตยึดถือเอา ทั้งโดยลักษณะที่เปนการรวบถือทั้งหมด (โดยนิมิต)
และ การถื อเอาโดยการแยกเป น สวน ๆ (โดยอนุพ ยัญ ชนะ)
มู. ม. ๑๒/๔๑๐/๓๘๔-๕.
ตัวอยางพุทธวจน
ที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิต
ใหเพลินกับอารมณ
๓๒ ตามดู ไมตามไป
ละความเพลิน จิตหลุดพน
ราคกฺข ยา นนฺทิกฺข โย
เพราะความสิ้น ไปแหง ราคะ
จึ ง มีความสิ้นไปแหง นันทิ
สฬา. สํ . ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.
อิ น ทรี ย สัง วร ๓๓
ความพอใจ เปนเหตุแหงทุกข
สฬา. สํ . ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.
เมื่อคิดถึงสิ่งใด แสดงวาพอใจในสิ่งนั้น
เมื่ออารมณ มีอยู,
ความตั้ง ขึ้น เฉพาะแห งวิ ญญาณ ยอ มมี;
ภพแมชั่วขณะดีดนิว้ มือก็ยังนารังเกียจ
ภิกษุ ทั้งหลาย !
คู ถ แมนิ ดเดียว ก็ เปนของมีกลิ่น เหม็น ฉัน ใด,
เอก. อํ . ๒๐/๔๖/๒๐๓.
สฬา. สํ . ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.
อิ น ทรี ย สัง วร ๓๙
เมื่อมีความพอใจ ยอมมีตัณหา
ภิ กษุทั้งหลาย !
นิ ท าน. สํ . ๑๖/๑๐๒/๑๙๖-๑๙๗.
อิ น ทรี ย สัง วร ๔๑
ภิ กษุทั้งหลาย !
ถา บุคคลยอ มคิด ถึง สิ่ง ใดอยู (เจเตติ)
ย อ มดํา ริ ถึง สิ่ง ใดอยู (ปกปฺเปติ)
และยอมมีใ จฝง ลงไป ในสิ่งใดอยู (อนุเสติ)
นิ ท าน. สํ . ๑๖/๖๘๐/๑๔๙.
อิ น ทรี ย สัง วร ๔๓
สิ้นความอยาก ก็สิ้นทุกข
นิสฺสิตสฺส จลิตํ
ความหวั่นไหว ยอมมี แกบุคคลผูอันตัณหาและทิฏ ฐิอาศัยแล ว
เอเสวนฺโ ต ทุกฺขสฺส
นั่น แหละ คือที่สุด แหง ทุก ขละ.
มีความเพลิน คือมีอุปาทาน
ผูมีอุปาทานยอมไมปรินิพพาน
ภิ กษุทั้งหลาย !
ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํา สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมกอยู ซึ่ ง รู ป .
เมื่อ ภิกษุนั้นเพลิด เพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่ง รูป,
ความเพลิน (นั น ทิ ) ยอมเกิ ดขึ้น
ความเพลิน ใด ในรู ป, ความเพลินนั้น คื ออุปาทาน...
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้น ยอ มเพลิ ด เพลิน ยอ มพร่ําสรรเสริญ ยอมเมาหมกอยู ซึ่งเวทนา.
เมื่อ ภิกษุนั้นเพลิด เพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่ งเวทนา,
ความเพลิน (นั น ทิ ) ย อมเกิดขึ้น
ความเพลิน ใด ในเวทนา, ความเพลิน นั้น คืออุ ปาทาน...
๔๖ ตามดู ไมตามไป
ภิกษุทั้ง หลาย !
ภิกษุนั้นยอมเพลิดเพลิน ยอมพร่ําสรรเสริญ ยอมเมาหมกอยู ซึ่งสัญญา.
เมื่อ ภิ กษุนั้นเพลิด เพลิ น พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่ง สัญญา
ความเพลิน (นัน ทิ) ยอมเกิ ดขึ้น
ความเพลิน ใด ในสัญ ญา, ความเพลิน นั้น คืออุปาทาน...
ภิกษุทั้ง หลาย !
ภิกษุนั้น ยอ มเพลิด เพลิน ยอ มพร่ําสรรเสริญ ยอมเมาหมกอยู ซึ่ง สังขาร.
เมื่อ ภิกษุนั้นเพลิด เพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่ง สังขาร
ความเพลิน (นัน ทิ) ยอมเกิดขึ้น
ความเพลิน ใด ในสัง ขาร, ความเพลิน นั้น คืออุ ปาทาน...
ภิกษุทั้ง หลาย !
ภิกษุนั้นยอมเพลิดเพลิน ยอมพร่ําสรรเสริญ ยอมเมาหมกอยู ซึ่งวิญญาณ.
เมื่อ ภิกษุนั้นเพลิด เพลิ น พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่ง วิญ ญาณ
ความเพลิน (นั น ทิ) ยอมเกิดขึ้น .
ความเพลิน ใด ในวิญญาณ, ความเพลินนั้น คืออุปาทาน
อิ น ทรี ย สัง วร ๔๗
ในอริยมรรคมีองค ๘
(อพฺ ยาปาทสงฺกปฺโ ป)
ความดํา ริในการไมมุง รา ย
(อวิหึ สาสงฺกปฺโป)
ความดํา ริในการไมเ บี ย ดเบียน
มหา. ที ๑๐/๓๘๔/๒๙๙.
อิ น ทรี ย สัง วร ๕๑
ทรงตรัสวา “เปนเรื่องเรงดวนที่ตองเรงกระทํา”
ทสก. อํ . ๒๔/๙๗/๕๑.
๕๔ ตามดู ไมตามไป
ตองเพียรละความเพลินในทุกๆ อิริยาบถ
ภิกษุทั้ง หลาย !
ปธานสี่อ ย างเหล า นี้ มี อ ยู. สี่อยา ง อยา งไรเลา ? สี่อ ยา ง คือ
สั งวรปธาน (เพี ยรระวั ง), ปหานปธาน (เพียรละ)
ภาวนาปธาน (เพี ย รบํา เพ็ ญ ), อนุ รั ก ขนาปธาน (เพี ย รตามรั ก ษาไว )
จตุ กฺ ก . อํ . ๒๑/๙๖/๖๙.
๕๘ ตามดู ไมตามไป
จตุ กฺ ก . อํ . ๒๑/๒๐/๑๔.
จิตที่เพลินกับอารมณ
ละไดดวยการมีอินทรียสังวร
(การสํารวมอินทรีย)
๖๒ ตามดู ไมตามไป
เมื่อมีสติ ความเพลินยอมดับ
ภิกษุทั้ง หลาย !
มู . ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘.
อิ น ทรี ย สัง วร ๖๕
กายคตาสติ มีความสําคัญตออินทรียสังวร
ลักษณะของผูไมตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่ไมมีเสาหลัก)
ภิ กษุทั้งหลาย !
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัต วห กชนิด อัน มีที่อยูอ าศัยตางกัน
มีที่เ ที่ ยวหากิน ตา งกั น มาผูก รวมกัน ดวยเชือ กอัน มั่น คง
คื อ เขาจับ งู มาผูกด วยเชือ กเหนียวเสน หนึ่ง,
จับจระเข...จับ นก...จับ สุนั ข บา น...จับ สุนัข จิ้ง จอก...
จับ ลิ ง มาผูกดวยเชื อ กเหนียวเสน หนึ่ง ๆ
แลว ผู กรวมเขา ดวยกัน เป นปมเดียวในทามกลาง ปลอ ยแลว .
ภิกษุทั้งหลาย !
ครั้ง นั้น สัตวเหลา นั้ น ทั้งหกชนิด มีที่อ าศัยและที่เที่ยวต า ง ๆ กัน
ก็ยื้อ แย ง ฉุ ดดึงกั น เพื่อ จะไปสูที่อ าศัยที่เที่ยวของตน ๆ :
งูจะเข าจอมปลวก, จระเขจะลงน้ํา, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ,
สุนัขจะเขา บ าน, สุ นัข จิ้งจอกจะไปป า ช า, ลิ ง ก็จะไปปา.
๖๖ ตามดู ไมตามไป
ลักษณะของผูตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
ภิ กษุทั้งหลาย !
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัต วห กชนิด อัน มีที่อยูอ าศัยตางกัน
มีที่เ ที่ ยวหากิน ตา งกั น มาผูก รวมกัน ดวยเชือ กอัน มั่น คง
คื อ เขาจับ งูมาผูกดวยเชือ กเหนียวเสน หนึ่ง
จั บจรเข... จั บ นก... จับ สุนัข บา น...จับ สุ นัข จิ้ง จอก...
และ จับ ลิง มาผูกด วยเชือ กเหนียวเสน หนึ่ง ๆ
ครั้น แลว นําไปผู ก ไวกับเสาเขื่อน หรือเสาหลัก อีก ตอหนึ่ง
ภิกษุ ทั้งหลาย !
ครั้ง นั้น สัตวทั้งหกชนิดเหลา นั้น มีที่อ าศัยและที่เที่ ยวตา ง ๆ กัน
ก็ยื้อ แยง ฉุดดึงกั น เพื่อ จะไปสูที่อ าศัยที่เที่ยวของตน ๆ
งูจะเข าจอมปลวก จระเขจะลงน้ํา นกจะบิน ขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเขา บ าน สุนัข จิ้งจอกจะไปปา ชา ลิง ก็จะไปปา
๖๘ ตามดู ไมตามไป
ภิกษุทั้ง หลาย !
ในกาลใดแล ความเปนไปภายในของสัตวท้ังหกชนิดเหลานั้น
มี แ ตความเมื่อยลา แล ว ในกาลนั้น มัน ทั้งหลายก็จ ะพึง เข าไป
ยื น เจ า นั่ง เจา นอนเจา อยูขางเสาเขื่อ นหรือ เสาหลักนั้นเอง
อินทรียสังวร ปดกั้นการเกิดขึ้นแหงบาปอกุศล
ภิกษุทั้ง หลาย !
เรื่ องเคยมีมาแต กอ น เต า ตัวหนึ่ง เที่ยวหากินตามริมลําธารในตอนเย็น
สุนั ข จิ้ งจอกตัวหนึ่ ง ก็เที่ยวหากินตามริมลํา ธารในตอนเย็นเช น เดี ย วกัน.
ภิกษุทั้ง หลาย !
ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย จักเปนผูคุมครองทวารในอินทรียทั้งหลายอยู;
ในกาลนั้น มารผูใจบาป จักไมไดชองแมจากพวกเธอทั้งหลาย และจักตองหลีกไปเอง,
เหมื อ นสุนัข จิ้งจอกไมไ ดชอ งจากเตา ก็ห ลีกไปเอง ฉะนั้น.
สฬา. สํ . ๑๘/๒๒๒/๓๒๐.
ความสําคัญแหงอินทรียสังวร
๗๔ ตามดู ไมตามไป
อินทรียสังวร เปนเหตุใหไดมาซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ
ฉกฺ ก . อํ . ๒๒/๔๐๒/๓๒๑.
อิ น ทรี ย สัง วร ๗๕
ผูไมสํารวมอินทรียคือผูประมาท
ผูสํารวมอินทรียคือผูไมประมาท
ความไมประมาท เปนยอดแหงกุศลธรรม
ภิกษุ ทั้งหลาย !
สัตว ทั้งหลายที่ไ มมีเทา มี สองเทา มี มากเทา ก็ดี
มีรูป ไมมีรูป มีสัญญา ไมมีสัญญา มีสัญญาก็หามิไดไมมีสัญญาก็หามิไดก็ดี, มีประมาณเทาใด;
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ยอมปรากฏวาเลิศกวาบรรดาสัตวเหลานั้น.
ภิกษุ ทั้งหลาย !
กุศลธรรมเหลาใดเหลา หนึ่งบรรดามี
กุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น มีความไมประมาทเปนมูล มีความไมประมาทเปนที่ประชุมลง.
ความไมประมาท ยอมปรากฏวาเปนเลิศกวาบรรดากุศลธรรมเหลานั้น; ฉันใดก็ฉันนั้น.
ภิกษุ ทั้งหลาย !
ขอนี้เปนสิ่งที่ภิกษุผูไมประมาทพึงหวังได คือ เธอจักเจริญ กระทําใหมากซึ่งอริยมรรคมีองค ๘
มหาวาร. สํ . ๑๙/๔๙๙-๕๐๐/๓๘๘-๓๙๔.
อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการสํารวม
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากลาวาอาสวะทั้งหลายสวนที่จะพึงละเสียดวยการสํารวม.
มู . ม. ๑๒/๑๖/๑๓.
อิ น ทรี ย สัง วร ๘๑
อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการบรรเทา
ผลที่ไดเพราะเหตุแหงการปดกั้นอาสวะ
มู. ม. ๑๒/๒๐/๑๙.
ความหมายและลักษณะ
ของการมีอินทรียสังวร
๘๔ ตามดู ไมตามไป
ความหมายแหงอินทรีย
ลักษณะของผูสํารวมอินทรีย
กระจายซึ่งผัสสะ
ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะอาศัยซึ่งจั ก ษุ ดว ย ซึ่ง รูปทั้งหลายดวย จัก ขุวิญญาณ จึง เกิ ดขึ้น.
จักษุ เปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น;
รูปทั้งหลาย เปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น :
ธรรมทั้งสองอยางนี้แล เปน สิ่ ง ที่ห วั่นไหวดว ย อาพาธดวย
ไมเที่ยง มีค วามแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่ น;
จักขุวิญญาณ เปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น;
ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะอาศัยซึ่งมโนดวย ซึ่งธรรมารมณทั้งหลายดวย มโนวิญญาณจึงเกิดขึ้น.
มโนเปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น;
ธรรมารมณทั้งหลายเปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น :
ธรรมทั้ง สองอยา งนี้แล เปน สิ่ง ที่ห วั่น ไหวดว ย อาพาธดว ย
ไม เที่ ยง มีค วามแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น;
มโนวิญญาณ เปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น;
๙๒ ตามดู ไมตามไป
ภิ กษุทั้งหลาย !
บุ คคลที่ ผัสสะกระทบแลว ยอมรูสึก (เวเทติ),
ผั สสะกระทบแลว ยอ มคิด (เจเตติ),
ผั สสะกระทบแลว ยอ มจําไดหมายรู (สฺ ชานาติ) :
แมธรรมทั้งหลายอยางนี้เหลานี้ ก็ลวนเปนสิ่งที่หวั่นไหวดวย อาพาธดวย
ไมเที่ ยง มีค วามแปรปรวน มีค วามเปนไปโดยประการอื่น .
สฬา. สํ . ๑๘/๘๕/๑๒๔-๗.
๙๔ ตามดู ไมตามไป
ตามแนวแหงสัมมาสังกัปปะ
ภิกษุทั้ง หลาย !
ภิก ษุต รึก ตามตรองตามถึง อารมณใด ๆ มาก
จิต ยอมนอมไป โดยอาการอยางนั้น ๆ :
ภิ กษุทั้งหลาย ! เมื่อ เราเป น ผูไ มป ระมาท มีเพียร มีตนสง ไปอยา งนี้
เนกขัมมวิตก ยอมเกิดขึ้น .... อัพ ๎ยาปาทวิตก ยอมเกิดขึ้น....อวิหิงสาวิตก ยอมเกิดขึ้น.
เราย อ มรูแ จง ชัดว า อวิหิง สาวิตกเกิดขึ้นแกเราแลว
ก็อวิหิงสาวิตกนั้น ไมเปนไปเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนผูอื่น หรือเบียดเบียนทั้งสองฝาย
แตเปนไปพรอมเพื่อความเจริญแหงปญญา ไมเปนฝกฝายแหงความคับแคน
เปนไปพรอมเพื่อนิพพาน.
แม เ ราจะตรึ ก ตามตรองตามถึ ง อวิ หิ ง สาวิ ต กนั้ น ตลอดคื น
ก็ม องไมเห็น ภั ยอัน จะเกิดขึ้น เพราะอวิหิง สาวิตกนั้น เปน เหตุ
แมเราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้น ตลอดวัน หรือตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน
ก็ม องไมเห็ นภัยอันจะเกิดขึ้นเพราะ อวิหิงสาวิตกนั้น เปนเหตุ
๙๖ ตามดู ไมตามไป
ภิกษุทั้ง หลาย !
ภิก ษุต รึก ตามตรองตามถึง อารมณใดๆ มาก
จิ ต ย อมนอม ไปโดยอาการอยางนั้น ๆ
จิต ของเธอนั้น ยอ มนอ มไปเพื่อความตรึก ในการไม ยัง สัตวใ ห ลํา บาก
ภิกษุ ทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนในเดือนสุดท ายแห งฤดูรอ น
ข า วกล า ทั้งหมด เขาขนนํา ไปในบานเสร็จ แล ว คนเลี้ย งโคพึง เลี้ ย งโคได.
เมื่อ เขาไปพัก ใตรม ไม หรือ ไปกลางทุง แจง ๆ พึ ง ทํา แตค วามกํา หนดวา
นั่น ฝูง โคดัง นี้ (ก็พ อแลว) ฉัน นั้น เหมือ นกัน.
มู. ม. ๑๒/๒๓๒-๒๓๖/๒๕๒.
อิ น ทรี ย สัง วร ๙๙
ภิ กษุทั้งหลาย !
สมณะหรือพราหมณเหลาใด เมื่อตามระลึกยอมตามระลึกถึงชาติกอน ไดเปนอันมาก
สมณะหรือพราหมณเหลานั้นทั้งหมดยอมตามระลึกถึงซึ่งอุปาทานขันธทั้งหา
หรือขันธใดขันธหนึ่ง แหงอุปาทานขันธทั้งหานั้น. หาอยางไรกันเลา ? หาอยางคือ
ภิกษุทั้ง หลาย !
ในขันธทั้งหานั้น อริยสาวกผูมีการสดับ ยอมพิจารณาเห็นโดยประจักษชัดดังนี้วา
“ในกาลนี้ เราถูกรูปเคี้ยวกินอยู, แมในอดีตกาลนานไกล เราก็ถูกรูปเคี้ยวกินแลว
เหมื อ นกับ ที่ถูกรู ป อั น เป น ปจจุบัน เคี้ย วกิน อยูในกาลนี้ ฉันใดก็ ฉัน นั้น .
ถาเราเพลิดเพลินรูปในอนาคต, แมในอนาคตนานไกล เราก็จะถูกรูปเคี้ยวกิน
เหมือนกับที่เราถูกรูปอันเปนปจจุบันเคี้ยวกินอยูในกาลนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น”.
อริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นดังนี้แลว ยอมเปนผูไมเพงตอรูปอันเปนอดีต ไมเพลิดเพลินรูปอนาคต
ยอมเปนผูปฏิบัติเพือ่ เบือ่ หนาย คลายกําหนัด ดับไมเหลือ แหงรูปอันเปนปจจุบนั .
(ในกรณีแหง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทรงตรัสไวอยางเดียวกันแลวตรัสตอไปวา)
เห็นประจักษตามความเปนจริง
พึงเห็นวา ชีวิตนั้นแสนสั้น
ผูไดชื่อวา อินทรียภาวนาชั้นเลิศ
อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๒–๕๔๕/๘๕๖–๘๖๑.
๑๑๔ ตามดู ไม ตามไป
ผูเขาไปหาเปนผูไมหลุดพน ผูไมเขาไปหายอมหลุดพน
ภิกษุทั้ง หลาย !
ผูเ ขาไปหา เปน ผูไ มห ลุด พน; ผูไ มเ ขา ไปหา เปน ผูห ลุดพน.
ภิ กษุทั้ง หลาย ! วิญ ญาณ ซึ่งเขา ถือเอารูป ตั้ง อยู ก็ตั้ง อยู ได
เปน วิญ ญาณที่มีรูป เป นอารมณ มีรูป เปน ที่ตั้ง อาศัย
มีนัน ทิเปน ที่เขา ไปสองเสพ ก็ถึง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได
ภิกษุทั้ง หลาย ! วิญ ญาณ ซึ่ งเข า ถือเอาสั ญญา ตั้ง อยู ก็ตั้งอยูไ ด
เปน วิญ ญาณที่มีสัญ ญาเปนอารมณ มีสัญญาเป น ที่ตั้งอาศัย
มีนัน ทิเปน ที่เขา ไปสองเสพ ก็ถึง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได
ภิกษุทั้ง หลาย ! วิญ ญาณ ซึ่ งเข า ถื อเอาสังขาร ตั้ง อยู ก็ตั้ง อยูไ ด
เปน วิญ ญาณที่มีสัง ขารเปนอารมณ มี สังขารเปน ที่ตั้งอาศัย
มีนัน ทิเปน ที่เขา ไปสองเสพ ก็ถึง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได
อิ น ทรี ย สัง วร ๑๑๕
ขนฺ ธ . สํ . ๑๗/๖๖/๑๐๕.
๑๑๖ ตามดู ไม ตามไป
ภิกษุทั้ง หลาย !
เพราะอาศัย ตา ดว ย รู ป ทั้งหลาย ดว ย จึง เกิด จักขุวิญ ญาณ
การประจวบพรอ มแหงธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
เพราะมีผัสสะเปน ปจจั ย...
บุคคลนั้ น
เมื่อ สุ ข เวทนา ถูกตอ งอยู
ยอ มไม เพลิ ดเพลิน ยอ มไมพร่ําสรรเสริ ญ ไม เ มาหมกอยู;
อนุสัยคือราคะ ยอมไมตามนอน (ตสฺส ราคานุสโย นานุเสติ) แกบุคคลนั้น.
อุ ป ริ . ม. ๑๔/๕๑๘/๘๒๓.
๑๒๐ ตามดู ไม ตามไป
ยอมหลุดพนไปจากทุกข
ภิกษุทั้ง หลาย !
เรากล า ววา
“ผู ใด ไมเ พลิด เพลิน อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุก ข
ผูนั้น ยอ มหลุด พนไปไดจ ากทุก ข” ดัง นี้.
ขนฺ ธ . สํ . ๑๗/๓๙/๖๕.
๑๒๒ ตามดู ไม ตามไป
เรากล า ววา
ผู ใด ไมเ พลิดเพลิน อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุก ข
ผู นั้น ยอ มหลุด พนไปไดจ ากทุก ข ดัง นี้.
เรากลา ววา
ผูใด ไมเ พลิดเพลิน อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุก ข
ผูนั้น ยอมหลุด พนไปไดจ ากทุก ข ดั ง นี้.
สฬา. สํ . ๑๘/๑๖/๑๙-๒๐.
อิ น ทรี ย สั ง วร ๑๒๕
ลักษณะของบุคคลสี่ประเภท
ความไมประมาท ยังกุศลธรรมทั้งหลายใหเกิดขึ้น
พินัยกรรม ของพระสังฆบิดา
มหา. ที . ๑๐/๑๘๐/๑๔๓.
อิ น ทรี ย สัง วร ๑๓๑
บันทึกทายเลม
ดับเสียใหได ดับเสียใหได
“๒๖๐๐ ป ของการตรัสรู
ขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา”
มูลนิธิพุทธโฆษณ
มูลนิธิแหงมหาชนชาวพุทธ ผูซ ึ่งชัดเจน และมั่นคงในพุทธวจน
เริ่มจากชาวพุทธกลุมเล็กๆกลุมหนึ่ง ไดมีโอกาสมาฟงธรรมบรรยายจาก
ทานพระอาจารยคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ที่เนนการนําพุทธวจน (ธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ ที่
พระพุทธองคทรงยืนยันวาทรงตรัสไวดีแลว บริสุทธิ์บริบูรณสิ้นเชิง ทั้งเนื้อความและพยัญชนะ)
มาใชในการถายทอดบอกสอน ซึ่งเปนรูปแบบการแสดงธรรมที่ตรงตามพุทธบัญญัติ
ตามที่ทรงรับสั่งแกพระอรหันต ๖๐ รูปแรกที่ปาอิสิปตนมฤคทายวัน ในการประกาศ
พระสัทธรรม และเปนลักษณะเฉพาะที่ภิกษุในครั้งพุทธกาลใชเปนมาตรฐานเดียว
สําหรับผูที่เห็นความสําคัญของพุทธวจน และมีความประสงคที่จะดํารง
พระสัทธรรมใหตั้งมั่น ดวยวิธีของพระพุทธเจา สามารถสนับสนุนการดําเนินการตรงนี้ได
ดวยวิธีงายๆ นั่นคือ เขามาใสใจศึกษาพุทธวจน และนําไปใชปฏิบัติดวยตนเอง เมื่อรู
ประจักษ เห็นไดดวยตนแลว วามรรควิธีที่ไดจากการทําความเขาใจ โดยใชคําของ
พระพุทธเจาเปนตัวตั้งตนนั้น นําไปสูความเห็นที่ถูกตอง ในหลักธรรมอันสอดคลอง
เปนเหตุเปนผล และเชื่อมโยงเปนหนึ่งเดียว กระทั่งไดผลตามจริง ทําใหเกิดมีจิต
ศรัทธา ในการชวยเผยแพรขยายสื่อพุทธวจน เพียงเทานี้ คุณก็คือหนึ่งหนวยในขบวน
“พุทธโฆษณ“ แลว
นี่คือเจตนารมณของมูลนิธิพุทธโฆษณ นั่นคือเปนมูลนิธิแหงมหาชน
ชาวพุทธ ซึ่งชัดเจน และมั่นคงในพุทธวจน
ผูที่สนใจรับสื่อธรรมที่เปนพุทธวจน เพื่อไปใชศึกษาสวนตัว
หรือนําไปแจกเปนธรรมทาน แกพอแมพี่นอง ญาติ หรือเพื่อน
สามารถมารับไดฟรี โดยไมมีเงื่อนไข ที่วัดนาปาพง
หรือตามที่พระอาจารยคึกฤทธิ์ไดรับนิมนตไปแสดงธรรมนอกสถานที่
สําหรับรายละเอียดกิจธรรมตางๆ ภายใตเครือขายพุทธวจนโดยวัดนาปาพง
คนหาขอมูลไดจาก
www.watnapp.com
หากมีความจํานงที่จะรับไปแจกเปนธรรมทานในจํานวนหลายสิบชุด
ขอความกรุณาแจงความจํานงไดที่
มูลนิธิพุทธโฆษณ
สํานักงานใหญ : ๑๖/๘๘ ชั้น ๒ ซอยสุขุมวิท ๖๘ ถนนสุขุมวิท
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๒๐
โทรศัพท ๐๒-๗๔๔-๘๓๖๐ - ๑ โทรสาร ๐๒-๓๙๘-๒๑๘๔
เวบไซด : www.buddhakos.org อีเมล : info@buddhakos.org
ประสานงานและเผยแผ : มูลนิธิพุทธโฆษณ อาคารภคินท
๙ ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง, เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ๑๐๔๐๐
โทร.๐๘๕-๐๕๘-๖๘๘๘, ๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑
สนับสนุนการเผยแผพุทธวจนไดที่
ชื่อบัญชี “มูลนิธิพุทธโฆษณ” ธนาคารกสิกรไทย สาขา ยอยตลาดไท
ประเภท บัญชีออมทรัพย เลขที่บัญชี ๔๘๔-๒-๑๐๘๗๗-๘
ขอกราบขอบพระคุณแด่
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และคณะสงฆ์วัดนาป่าพง
ที่กรุณาให้คำปรึกษาในการจัดทำหนังสือเล่มนี้
ติดตามการเผยแผ่พระธรรมคำสอนตามหลักพุทธวจน
โดยพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้ที่
• media.watnapahpong.org , www.nap-tv.com ,
www.watnapp.com (ธรรมบรรยายค่ำวันเสาร์) ทั้งภาพและเสียงตั้งแต่ ๑๙.๐๐ น.
• คลื่น ส.ว.พ. FM ๙๑.๐ MHz ทุกวันพระ เวลา ๑๖.๔๐ น. ,
FM ๑๐๖.๐ MHz (คลื่นครอบครัวขาว) จันทร-ศุกร เวลา ๐๕.๐๐ - ๐๕.๓๐ น.
• ทีวีดาวเทียมช่อง A I Biz Net Tong Hua เวลา ๐๕.๐๐ - ๐๕.๓๐ น.
และ เวลา ๐๖.๐๐ - ๐๗.๐๐ น.
แผนที่วัดนาป่าพง
ลงสะพานคลอง๑๐ไปยเู ทิรน์ แรกมา
แล้วเลี้ยวซ้ายก่อนขึ้นสะพาน
๐๒-๕๔๙-๒๑๗๔
๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑
๐๘๔-๐๙๖-๘๔๓๐
ลงสะพานคลอง ๑๐
เลี้ยวซ้ายคอสะพาน
บรรณานุกรม
พระไตรปิฎกบาลีอักษรไทยฉบับสยามรัฐ
พระไตรปิฎกไทยฉบับสยามรัฐ
พุทธวจน ฉบับธรรมโฆษณ์
(ชุดจากพระโอษฐ์ ผลงานแปลพุทธวจนโดยท่านพุทธทาสภิกขุ)
พุทธวจน ฉบับตรวจแก้
(จัดพิมพ์โดยมูลนิธิพุทธโฆษณ์)
ร่วมจัดทำโดย
กลุมละนันทิ, กลุมพุทธโอษฐ,
กลุมธรรมะสีขาว, กลุมสมณะศากยะปุตติยะ,
กลุมพนักงานตอนรับบนครื่องบินบริษัทการบินไทย,
กลุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร, กลุมวิทยาเขต-หาดใหญ่,
ชมรมพุทธบริษัทศากยบุตร,
คุณสุธี วชิระสมบูรณ์, คุณสายทิพย์ ยุวเทพากร, คุณอมฤต ชัยบุตร,
คุณพิมจันทร์ วิมุกตานนท์, คุณวิจิตรา คุปตัษเฐียร, คุณวงสิริ เอี่ยวเหล็ก
คุณมานพ พุ่มเข็ม และครอบครัว, คุณดนัย วงศาโรจน์ และครอบครัว,
คุณสุเทพ กุลสิงห์ และครอบครัว, คุณวราภรณ์ ศักดี และครอบครัว
นายกเทศมนตรีบางคูวัด คุณพสิษฐ์ มะลิ,
บริษัท ห้างพระจันทร์โอสถ จำกัด, บริษัท ไทยควอลิตี้ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด,
“ผู้เรียกร้องหาศาสดาเพื่อความเป็นศัตรู”
“สิ่งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอทั้งหลาย และสิ่งนี้
ก็เป็นไปเพื่อความสุขแก่พวกเธอทั้งหลาย” ดังนี้เป็นต้น,
สาวกเหล่านั้นของศาสดาไม่ฟังด้วยดี
ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
แต่แกล้งทำให้ผิดจากคำสั่งสอนของศาสดาไปเสีย
ผู้เรียกร้องหาศาสดา เพื่อความเป็นศัตรู
ไม่เรียกร้องเพื่อความเป็นมิตร
มหา.ที ๑ ๐/๓๘๔/๒๙๙.
ผูเรียกรองหาศาสดาเพื่อความเปนมิตร
อานนท ! สาวกทั้งหลาย เรียกรองหาศาสดา เพื่อความเป็นมิตร
ไมเรียกรองเพื่อความเป็นศัตรู เป็นอยางไรเลา ?
อานนท ! ในกรณีนี้ ศาสดาผูเอ็นดูแสวงหาประโยชนเกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแลว จึงแสดงธรรมแกสาวกทั้งหลายวา
“สิ่งนี้เป็นไป เพื่อประโยชนเกื้อกูลแกพวกเธอทั้งหลาย และสิ่งนี้ก็เป็นไป
เพื่อความสุขแกพวกเธอทั้งหลาย” ดังนี้เป็นตน