Professional Documents
Culture Documents
สมรรถนะสํ าคัญของผู้เรียนและคณลั
ุ กษณะอันพึงประสงค์ หน้ า 1
ทําไมต้ องเรียน ภาษาไทย หน้ า 2
เรียนรู้อะไรในวิชาภาษาไทย หน้ า 2
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ หน้ า 3
คณภาพผ้
ุ ูเรียน หน้ า 3
ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง หน้ า 4
โครงสร้ างหลักสตร
ู หน้ า 13
คําอธิบายรายวิชาสาระพืน้ ฐาน หน้ า 14
คําอธิบายรายวิชาสาระเพิม่ เติม หน้ า 20
อภิธานศัพท์ หน้ า 21
1
ทําไมต้ องเรียนภาษาไทย
เรียนร้ ู อะไรในภาษาไทย
ิ
ภาษาไทยเป็ นทักษะที่ตอ้ งฝึ กฝนจนเกดความชํ านาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่ อสาร การเรี ยนรู้อยางมี่
ประสิ ทธิภาพ และเพื่อนําไปใช้ในชีวิตจริ ง
การอ่าน การอานออกเสี
่ ยงคํา ประโยค การอาน ่ บทร้อยแกว้ คําประพันธ์ชนิดตางๆ ่ ่
การอานใน
ใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่ งที่อาน ่ เพื่อนําไป ปรับใช้ในชีวติ ประจําวัน
การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่ อสาร โดยใช้ถอ้ ยคําและรู ปแบบตางๆ ่ ของการเขียน
่
ซึ่ งรวมถึงการเขียนเรี ยงความ ยอความ ่
รายงานชนิ ดตางๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียน
เชิงสร้างสรรค์
การฟัง การดู และการพดู การฟั งและดูอยางมี ่ วิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก
่
พูดลําดับเรื่ องราวตางๆ ่ นเหตุเป็ นผล การพูดในโอกาสตางๆ
อยางเป็ ่ ทั้ งเป็ นทางการและไมเป็
่ นทางการ และ
การพูดเพื่อโน้มน้าวใจ
หลักการใช้ ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกบั
่
โอกาสและบุคคล การแตงบทประพั นธ์ประเภทตางๆ ่ และอิทธิพลของภาษาตางประเทศในภาษาไทย
่
วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณคา่
ของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรี ยนรู้และทําความเข้าใจบทเห่ บทร้องเลนของเด็ ่ ก เพลงพื้นบ้านที่
่
เป็ นภูมิปัญญาที่มีคุณคาของไทย ซึ่ งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึ กคิด คานิ
่ ยม ขนบธรรมเนี ยมประเพณี เรื่ องราวของ
สังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกดความซาบซึ ิ ้ งและภูมิใจ ในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสื บทอดมา
จนถึงปัจจุบนั
3
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
่
สาระที่ ๑ การอาน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอานสร้่ างความรู้และความคิดเพื่อนําไปใช้ตดั สิ นใจ แกปั้ ญหาในการ
่
ดําเนินชีวติ และมีนิสัยรักการอาน
สาระที่ ๒ การเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ ่
ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่ อสาร เขียนเรี ยงความ ยอความ ่
และเขียนเรื่ องราวในรู ปแบบตางๆ
เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอยาง ่ มีประสิ ทธิภาพ
สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา
ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็ นสมบัติของชาติ
สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ ่ นคุณคาและ
เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยางเห็ ่
นํามาประยุกต์ใช้ในชีวติ จริ ง
4
คณภาพ
ุ ผู้เรียน
จบชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๖
อ่านออกเสี ยงบทร้อยแกวและบทร้
้ อยกรองเป็ นทํานองเสนาะได้ถูกต้องและเข้าใจ ตีความ แปล
ความ และขยายความเรื่ องที่อ่านได้ วิเคราะห์วิจารณ์เรื่ องที่อ่าน แสดงความคิดเห็นโต้แย้งและเสนอความคิด
่ ่
ใหมจากการอานอยางมี ่ เหตุผล คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่ องที่อ่าน เขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ยอ่
ความ และเขียนรายงานจากสิ่ งที่อ่าน สังเคราะห์ ประเมินคา่ และนําความรู้ความคิดจากการอานมาพั ่ ฒนาตน
พัฒนาการเรี ยน และพัฒนาความรู้ทางอาชีพ และ นําความรู้ความคิดไปประยุกต์ใช้แกปั้ ญหาในการดําเนินชีวิต
มีมารยาทและมีนิสัยรักการอาน ่
เขียนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ โดยใช้ภาษาได้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ ยอความจากสื ่ ่ อที่มี
รู ป แบบและเนื้ อ หาที่ ห ลากหลาย เรี ย งความแสดงแนวคิ ดเชิ ง สร้ า งสรรค์โ ดยใช้โ วหารตางๆ ่ เขี ย นบันทึ ก
รายงานการศึกษาค้นคว้าตามหลักการเขียนทางวิชาการ ใช้ขอ้ มูลสารสนเทศในการอ้างอิง ผลิตผลงานของตนเอง
ในรู ปแบบตางๆ่ ทั้ งสารคดีและบันเทิงคดี รวมทั้ งประเมินงานเขียนของผูอ้ ื่นและนํามาพัฒนางานเขียนของ
ตนเอง
ตั้ งคําถามและแสดงความคิดเห็นเกยวกบเรื
ี่ ั ่ องที่ฟังและดู มีวิจารณญาณในการเลือกเรื่ องที่ฟังและดู
วิเคราะห์วตั ถุประสงค์ แนวคิด การใช้ภาษา ความนาเชื ่ ่ อถือของเรื่ องที่ ฟังและดู ประเมินสิ่ งที่ ฟังและดูแล้ว
นําไปประยุกต์ใช้ในการดําเนิ นชีวิต มีทกั ษะการพูดในโอกาสตาง ่ ๆ ทั้ งที่เป็ นทางการและไมเป็ ่ นทางการโดยใช้
ภาษาที่ถูกต้อง พูดแสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าว และเสนอแนวคิดใหมอยางมี ่ ่ เหตุผล รวมทั้ งมีมารยาทใน
การฟัง ดู และพูด
เข้าใจธรรมชาติของภาษา อิทธิ พลของภาษา และลักษณะของภาษาไทย ใช้คาํ และกลุ่มคําสร้าง
ประโยคได้ตรงตามวัตถุประสงค์ แตงคํ ่ าประพันธ์ประเภท กาพย์ โคลง รายและฉั ่ นท์ ใช้ภาษาได้เหมาะสมกบั
่ กต้อง วิเคราะห์หลักการ สร้างคําในภาษาไทย อิทธิ พลของ
กาลเทศะและใช้คาํ ราชาศัพท์และคําสุ ภาพได้อยางถู
่
ภาษาตางประเ ทศในภาษาไทยและภาษาถิ่ น วิ เ คราะห์ แ ละประเมิ น การใช้ภ าษาจากสื่ อ สิ่ ง พิ ม พ์และสื่ อ
อิเล็กทรอนิกส์
วิเ คราะห์ วิจ ารณ์ วรรณคดี แ ละวรรณกรรมตามหลัก การวิจ ารณ์ วรรณคดี เ บื้ อ งต้น รู้ แ ละเข้า ใจ
่
ลักษณะเดนของวรรณคดี ภูมิปัญญาทางภาษาและวรรณกรรมพื้นบ้าน เชื่อมโยงกบการเรี ั ยนรู ้ทางประวัติศาสตร์
และวิถีไทย ประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ และนําข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวติ จริ ง
5
สาระที่ ๒ การเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ ่
ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่ อสาร เขียนเรี ยงความ ยอความ และเขียนเรื่ องราวในรู ปแบบ
่
ตางๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอยางมี่ ประสิ ทธิ ภาพ
ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้ ู แกนกลาง
ม.๔-ม.๖ ๑. เขียนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ ได้ ตรง การเขียนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ เชน่
ตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรี ยบเรี ยง - อธิบาย
ถูกต้อง มีขอ้ มูล และสาระสําคัญชัดเจน - บรรยาย
- พรรณนา
- แสดงทรรศนะ
- โต้แย้ง
- โน้มน้าว
- เชิญชวน
- ประกาศ
- จดหมายกจธุ ิ ระ
- โครงการและรายงานการดําเนินโครงการ
- รายงานการประชุม
- การกรอกแบบรายการตางๆ ่
๒. เขียนเรี ยงความ การเขียนเรี ยงความ
่
๓. เขียนยอความจากสื ่ อที่มีรูปแบบ และ ่
การเขียนยอความจากสื ่ เชน่
่ อตางๆ
เนื้ อหาหลากหลาย - กวีนิพนธ์ และวรรณคดี
- เรื่ องสั้ น สารคดี นวนิยาย บทความทางวิชาการ
และวรรณกรรมพื้นบ้าน
๔. ผลิตงานเขียนของตนเองในรู ปแบบ การเขียนในรู ปแบบตางๆ ่ เชน่
่
ตางๆ - สารคดี
- บันเทิงคดี
๕. ประเมินงานเขียนของผูอ้ ื่น แล้วนํามา การประเมินคุณคางานเขี ่ ่ เชน่
ยนในด้านตางๆ
พัฒนางานเขียนของตนเอง - แนวคิดของผูเ้ ขียน
- การใช้ถอ้ ยคํา
- การเรี ยบเรี ยง
- สํานวนโวหาร
- กลวิธีในการเขียน
๖. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า การเขียนรายงานเชิงวิชาการ
เรื่ องที่สนใจตามหลักการเขียนเชิง การเขียนอ้างอิงข้อมูลสารสนเทศ
วิชาการ และใช้ขอ้ มูลสารสนเทศ
7
สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย
่
๕. วิเคราะห์อิทธิพลของภาษาตางประเทศ ่
และ อิทธิพลของภาษาตางประเทศและภาษาถิ ่น
ภาษาถิ่น
๖. อธิบายและวิเคราะห์หลักการสร้างคําใน หลักการสร้างคําในภาษาไทย
ภาษาไทย
๗. วิเคราะห์และประเมินการใช้ภาษาจากสื่ อ การประเมินการใช้ภาษาจากสื่ อสิ่ งพิมพ์และ สื่ อ
สิ่ งพิมพ์และสื่ ออิเล็กทรอนิกส์ อิเล็กทรอนิกส์
9
สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
โครงสร้ างหลักสตรกล่
ู ุมสาระภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
สาระพืน้ ฐาน
ท 31101 ภาษาไทย 1 ่ ิ
หนวยกต ่ ิ
1.0 หนวยกต 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์
ท 31102 ภาษาไทย 2 ่ ิ
หนวยกต ่ ิ
1.0 หนวยกต 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์
ท 32101 ภาษาไทย 3 ่ ิ
หนวยกต 1.0 หนวยกต่ ิ 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์
ท 32102 ภาษาไทย 4 หนวยกต่ ิ 1.0 หนวยกต ่ ิ 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์
ท 33101 ภาษาไทย 5 หนวยกต ่ ิ ่ ิ
1.0 หนวยกต 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์
ท 33102 ภาษาไทย 6 ่ ิ
หนวยกต ่ ิ
1.0 หนวยกต 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์
สาระเพิม่ เติม
ท 31201 การใช้ภาษาเพื่อการสื่ อสาร ่ ิ
จํานวน 1.5 หนวยกต 60 ชัว่ โมง
่
ท 31202 การอานวรรณกรรมยอดเยี ย่ ม ่ ิ
จํานวน 1.5 หนวยกต 60 ชัว่ โมง
ท 32201 ภาษาไทยเพื่อสร้างมนุษย์สัมพันธ์ ่ ิ
จํานวน 1.5 หนวยกต 60 ชัว่ โมง
ท 32202 ภาษาไทยที่ใช้ในสื่ อมวลชน ่ ิ
จํานวน 1.5 หนวยกต 60 ชัว่ โมง
ท 33201 ศิลปะการเขียนร้อยกรอง จํานวน 1.5 หนวยกต่ ิ 60 ชัว่ โมง
่
ท 33202 การพิจารณาคุณคางานประพั นธ์ จํานวน 1.5 หนวยกต ่ ิ 60 ชัว่ โมง
11
มาตรฐานที่ ท 1.1.1 – ท 1.1.9 ท 2.1.1 – ท 2.1.8 ท 3.1.1 – ท 3.1.6 ท 4.1.1 – ท 4.1.7 ท 5.1.1 – ท 5.1.6 (ม.4 – ม.6)
ท 31102 ภาษาไทย 2 จํานวน 1.0 หน่ วยกิต 40 ชั่วโมง
12
คําอธิบายรายวิชา
่
อานออกเสี ้
ยงบทร้อยแกวและบทร้ อยกรองได้อยางถู ่ กต้องไพเราะและเหมาะสมกบเรื ั ่ องที่อ่าน ตีความ
แปลความ และขยายความจากเรื่ องที่อ่าน วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่ องที่อ่านในทุกๆ ด้านอยางมี ่ เหตุผล คาดคะเน
เหตุ การณ์ จากเรื่ องที่ อ่านและประเมิ นคาเพื
่ ่อ นําความรู้ ความคิ ดไปใช้ตดั สิ นใจแกปั้ ญหาในการดําเนิ นชี วิต
วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกบเรื ั ่ องที่อ่าน และเสนอความคิดใหมอยางมี่ ่ เหตุผล ตอบคําถามจากการ
อาน่ ประเภทตางๆ ่ ภายในเวลาที่ กาหนด
ํ ่ ่ องตางๆ
อานเรื ่ แล้วเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิ ด บันทึ ก ยอความ ่ และ
รายงาน สังเคราะห์ความรู้จากการ
่ ่ อสิ่ งพิมพ์ สื่ ออิเล็กทรอนิ กส์ และแหลงเรี
อานสื ่ ยนรู้ต่างๆ มาพัฒนาตน พัฒนาการเรี ยน และพัฒนาความรู้ ทาง
อาชีพ มีมารยาทในการอ่าน
เขี ยนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรี ยบเรี ยงถูกต้อ ง มี ขอ้ มูล และ
่
สาระสําคัญชัดเจน เขียนเรี ยงความ เขียนยอความจากสื ่ อที่มีรูปแบบ และเนื้ อหาหลากหลาย ผลิตงานเขียนของ
ตนเองในรู ปแบบตางๆ ่ ประเมินงานเขียนของผูอ้ ื่น แล้วนํามาพัฒนางานเขียนของตนเอง เขียนรายงานการศึกษา
ค้นคว้าเรื่ องที่สนใจตามหลักการเขียนเชิงวิชาการ และใช้ขอ้ มูลสารสนเทศอ้างอิงอยางถู ่ กต้อง บันทึกการศึกษา
ค้นคว้า เพื่อนําไปพัฒนาตนเอง
่ ่าเสมอ มีมารยาทในการเขียน
อยางสมํ
สรุ ปแนวคิ ด และแสดงความคิ ดเห็ นจากเรื่ อ งที่ ฟังและดู วิเคราะห์ แนวคิ ด การใช้ภาษา และความ
่ ่อถือจากเรื่ องที่ฟังและดูอยางมี
นาเชื ่ เหตุผล ประเมินเรื่ องที่ฟังและดูแล้วกาหนดแนวทางนํ
ํ าไประยุกต์ใช้ในการ
ดําเนินชีวิต มีวิจารณญาณในการเลือกเรื่ องที่ฟังและดู พูดในโอกาสตางๆ ่ พูดแสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าวใจ
และเสนอแนวคิดใหม่ ด้วยภาษาถูกต้องเหมาะสม มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด อธิ บายธรรมชาติของ
ภาษาพลังของภาษา และลักษณะของภาษา ใช้คาํ และกลุ่มคํา สร้ างประโยคตรงตามวัตถุประสงค์ ใช้ภาษา
เหมาะสมแกโอกาส ่ กาลเทศะ และบุคคล รวมทั้ งคําราชาศัพท์อยางเหมาะสม่ ่
แตงบทร้ อยกรอง วิเคราะห์
อิทธิ พลของภาษาตางประเ ่ ทศและภาษาถิ่น อธิ บายและวิเคราะห์หลักการสร้างคําในภาษาไทย วิเคราะห์และ
ประเมินการใช้ภาษาจากสื่ อสิ่ งพิมพ์และสื่ ออิเล็กทรอนิกส์
มาตรฐานที่ ท 1.1.1 – ท 1.1.9 ท 2.1.1 – ท 2.1.8 ท 3.1.1 – ท 3.1.6 ท 4.1.1 – ท 4.1.7 ท 5.1.1 – ท 5.1.6 (ม.4 – ม.6)
ท 32101 ภาษาไทยจํานวน 1.0 หน่ วยกิต 40 ชั่วโมง
13
คําอธิบายรายวิชา
่
การอานออกเสี ยง ประกอบด้วย บทร้อยแกวประเภทตางๆ ้ ่
่ ได้แกบทความ นวนิยาย และ
ความเรี ยง บทร้อยกรอง ได้แกโคลง ่ ฉันท์ กาพย์ กลอน ราย ่ และลิลิต การอานจั
่ บใจความจากสื่ อตางๆได้ ่ แก่
่
ขาวสารจากสื ่ อสิ่ งพิมพ์ สื่ ออิเล็กทรอนิกส์และแหลงเรี ่ ยนรู้ต่าง ๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่ องสั้ น นวนิยาย
วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรี ยน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี ปาฐกถา พระบรมราโชวาทเทศนา คํา
บรรยาย คําสอน บทร้อยกรองรวมสมั ่ ย บทเพลงบทอาเศียรวาท คําขวัญ มารยาทในการอาน ่
การเขียนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ ได้แกอธิ ่ บาย บรรยาย พรรณนา แสดงทรรศนะ โต้แย้ง
โน้มน้าว เชิญชวน ประกาศ จดหมายกจธุ ิ ระ โครงการและรายงานการดําเนินโครงการ รายงานการประชุม
การกรอกแบบรายการตางๆ ่ การเขียนเรี ยงความ การเขียนยอความจากสื ่ ่ อตางๆ ่ นิพนธ์ และวรรณคดี
่ ได้แกกวี
เรื่ องสั้ น สารคดี นวนิยาย บทความทางวิชาการ และวรรณกรรมพื้นบ้าน การเขียนในรู ปแบบตางๆ ่ เชน่ สารคดี
บันเทิงคดี การประเมินคุณคางานเขี ่ ่ เชน่ แนวคิดของผูเ้ ขียน การใช้ถอ้ ยคํา การเรี ยบเรี ยง สํานวน
ยนในด้านตางๆ
โวหาร กลวิธีในการเขียนการเขียนรายงานเชิงวิชาการ การเขียนอ้างอิงข้อมูลสารสนเทศ การเขียนบันทึกความรู้
จากแหลงเรี ่ ยนรู้ที่หลากหลาย มีมารยาทในการเขียน
การพูดสรุ ปแนวคิด และการแสดงความคิดเห็นจากเรื่ องที่ฟังและดู การวิเคราะห์แนวคิด การใช้ภาษา
และความนาเชื ่ ่อถือจากเรื่ องที่ฟังและดู การเลือกเรื่ องที่ฟังและดูอยางมี ่ วจิ ารณญาณ การประเมินเรื่ องที่ฟังและดู
ํ
เพื่อกาหนดแนวทางนํ าไปประยุกต์ใช้ การพูดในโอกาสตางๆ ่ เชนการพู
่ ดตอที ่ ่ประชุมชน การพูดอภิปราย การ
พูดแสดงทรรศนะ การพูดโน้มน้าวใจ มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด
ธรรมชาติของภาษา พลังของภาษา ลักษณะของภาษา เสี ยงในภาษา สวนประกอบของภาษา ่
องค์ประกอบของพยางค์และคํา การใช้คาํ และกลุ่มคําสร้างประโยค คําและสํานวน การร้อยเรี ยงประโยค การเพิม่
คํา การใช้คาํ การเขียนสะกดคํา ระดับของภาษา คําราชาศัพท์ กาพย์ โคลง ราย ่ และฉันท์ อิทธิ พลของ
่
ภาษาตางประเทศและภาษา ถิ่น หลักการสร้างคําในภาษาไทย การประเมินการใช้ภาษาจากสื่ อสิ่ งพิมพ์และ สื่ อ
อิเล็กทรอนิกส์
หลักการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเบื้องต้นได้แก่ จุดมุ่งหมายการแตง่
วรรณคดีและวรรณกรรม การพิจารณารู ปแบบของวรรณคดีและวรรณกรรม การพิจารณาเนื้ อหา
และกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม การวิเคราะห์และการวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม การ
่
วิเคราะห์ลกั ษณะเดนของวรรณคดี ี่ ั การณ์ประวัติศาสตร์และวิถีชีวติ ของ
และวรรณกรรมเกยวกบเหตุ
สังคมในอดีต การวิเคราะห์และประเมินคุณคาวรรณคดี ่ และวรรณกรรม ด้านวรรณศิลป์ ด้านสังคมและ
วัฒนธรรม การสังเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม วรรณกรรมพื้นบ้านที่แสดงถึงภาษากบวั ั ฒนธรรม และ ภาษา
ถิ่น บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณคา่
มาตรฐานที่ ท 1.1.1 – ท 1.1.9 ท 2.1.1 – ท 2.1.8 ท 3.1.1 – ท 3.1.6 ท 4.1.1 – ท 4.1.7 ท 5.1.1 – ท 5.1.6 (ม.4 – ม.6)
คําอธิบายรายวิชา
่
การอานออกเสี ยง ประกอบด้วย บทร้อยแกวประเภทตางๆ้ ่
่ ได้แกบทความ นวนิยาย และ
ความเรี ยง บทร้อยกรอง ได้แกโคลง ่ ฉันท์ กาพย์ กลอน ราย ่ และลิลิต การอานจั
่ บใจความจากสื่ อตางๆได้่ แก่
่
ขาวสารจากสื ่ อสิ่ งพิมพ์ สื่ ออิเล็กทรอนิกส์และแหลงเรี ่ ยนรู้ต่าง ๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่ องสั้ น นวนิยาย
วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรี ยน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี ปาฐกถา พระบรมราโชวาทเทศนา คํา
บรรยาย คําสอน บทร้อยกรองรวมสมั ่ ย บทเพลงบทอาเศียรวาท คําขวัญ มารยาทในการอาน ่
การเขียนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ ได้แกอธิ่ บาย บรรยาย พรรณนา แสดงทรรศนะ โต้แย้ง
โน้มน้าว เชิญชวน ประกาศ จดหมายกจธุ ิ ระ โครงการและรายงานการดําเนินโครงการ รายงานการประชุม
การกรอกแบบรายการตางๆ ่ การเขียนเรี ยงความ การเขียนยอความจากสื ่ ่ อตางๆ ่ นิพนธ์ และวรรณคดี
่ ได้แกกวี
เรื่ องสั้ น สารคดี นวนิยาย บทความทางวิชาการ และวรรณกรรมพื้นบ้าน การเขียนในรู ปแบบตางๆ ่ เชน่ สารคดี
บันเทิงคดี การประเมินคุณคางานเขี ่ ่ เชน่ แนวคิดของผูเ้ ขียน การใช้ถอ้ ยคํา การเรี ยบเรี ยง สํานวน
ยนในด้านตางๆ
โวหาร กลวิธีในการเขียนการเขียนรายงานเชิงวิชาการ การเขียนอ้างอิงข้อมูลสารสนเทศ การเขียนบันทึกความรู้
จากแหลงเรี ่ ยนรู้ที่หลากหลาย มีมารยาทในการเขียน
การพูดสรุ ปแนวคิด และการแสดงความคิดเห็นจากเรื่ องที่ฟังและดู การวิเคราะห์แนวคิด การใช้ภาษา
และความนาเชื ่ ่อถือจากเรื่ องที่ฟังและดู การเลือกเรื่ องที่ฟังและดูอยางมี ่ วจิ ารณญาณ การประเมินเรื่ องที่ฟังและดู
ํ
เพื่อกาหนดแนวทางนํ าไปประยุกต์ใช้ การพูดในโอกาสตางๆ ่ เชนการพู
่ ดตอที ่ ่ประชุมชน การพูดอภิปราย การ
พูดแสดงทรรศนะ การพูดโน้มน้าวใจ มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด
ธรรมชาติของภาษา พลังของภาษา ลักษณะของภาษา เสี ยงในภาษา สวนประกอบของภาษา ่
องค์ประกอบของพยางค์และคํา การใช้คาํ และกลุ่มคําสร้างประโยค คําและสํานวน การร้อยเรี ยงประโยค การเพิม่
คํา การใช้คาํ การเขียนสะกดคํา ระดับของภาษา คําราชาศัพท์ กาพย์ โคลง ราย ่ และฉันท์ อิทธิพลของ
่
ภาษาตางประเทศและภาษาถิ ่น หลักการสร้างคําในภาษาไทย การประเมินการใช้ภาษาจากสื่ อสิ่ งพิมพ์และ สื่ อ
อิเล็กทรอนิกส์
หลักการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเบื้องต้นได้แก่ จุดมุ่งหมายการแตง่
วรรณคดีและวรรณกรรม การพิจารณารู ปแบบของวรรณคดีและวรรณกรรม การพิจารณาเนื้ อหา
และกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม การวิเคราะห์และการวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม การ
่
วิเคราะห์ลกั ษณะเดนของวรรณคดี ี่ ั การณ์ประวัติศาสตร์และวิถีชีวติ ของ
และวรรณกรรมเกยวกบเหตุ
สังคมในอดีต การวิเคราะห์และประเมินคุณคาวรรณคดี ่ และวรรณกรรม ด้านวรรณศิลป์ ด้านสังคม
และวัฒนธรรม การสังเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม วรรณกรรมพื้นบ้านที่แสดงถึงภาษากบวั ั ฒนธรรม และ
ภาษาถิ่น บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณคา่
มาตรฐานที่ ท 1.1.1 – ท 1.1.9 ท 2.1.1 – ท 2.1.8 ท 3.1.1 – ท 3.1.6 ท 4.1.1 – ท 4.1.7 ท 5.1.1 – ท 5.1.6 (ม.4 – ม.6)
ท 33101 ภาษาไทยจํานวน 1.0 หน่ วยกิต 40 ชั่วโมง
15
คําอธิบายรายวิชา
่
การอานออกเสี ้
ยง ประกอบด้วย บทร้อยแกวประเภทตางๆ ่
่ ได้แกบทความ นวนิยาย และ
ความเรี ยง บทร้อยกรอง ได้แกโคลง ่ ่ และลิลิต การอานจั
ฉันท์ กาพย์ กลอน ราย ่ บใจความจากสื่ อตางๆได้
่ แก่
่
ขาวสารจากสื ่ อสิ่ งพิมพ์ สื่ ออิเล็กทรอนิกส์และแหลงเรี่ ยนรู้ต่าง ๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่ องสั้ น นวนิยาย
วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรี ยน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี ปาฐกถา พระบรมราโชวาทเทศนา คํา
บรรยาย คําสอน บทร้อยกรองรวมสมั ่ ย บทเพลงบทอาเศียรวาท คําขวัญ มารยาทในการอาน ่
การเขียนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ ได้แกอธิ่ บาย บรรยาย พรรณนา แสดงทรรศนะ โต้แย้ง
โน้มน้าว เชิญชวน ประกาศ จดหมายกจธุ ิ ระ โครงการและรายงานการดําเนินโครงการ รายงานการประชุม
การกรอกแบบรายการตางๆ ่ การเขียนเรี ยงความ การเขียนยอความจากสื
่ ่ นิพนธ์ และวรรณคดี
่ ได้แกกวี
่ อตางๆ
เรื่ องสั้ น สารคดี นวนิยาย บทความทางวิชาการ และวรรณกรรมพื้นบ้าน การเขียนในรู ปแบบตางๆ ่ เชน่ สารคดี
บันเทิงคดี การประเมินคุณคางานเขี ่ ่ เชน่ แนวคิดของผูเ้ ขียน การใช้ถอ้ ยคํา การเรี ยบเรี ยง สํานวน
ยนในด้านตางๆ
โวหาร กลวิธีในการเขียนการเขียนรายงาน
มาตรฐานที่ ท 1.1.1 – ท 1.1.9 ท 2.1.1 – ท 2.1.8 ท 3.1.1 – ท 3.1.6 ท 4.1.1 – ท 4.1.7 ท 5.1.1 – ท 5.1.6 (ม.4 – ม.6)
คําอธิบายรายวิชา
่
การอานออกเสี ้
ยง ประกอบด้วย บทร้อยแกวประเภทตางๆ ่ ได้แกบทความ ่ นวนิยาย และ
ความเรี ยง บทร้อยกรอง ได้แกโคลง ่ ฉันท์ กาพย์ กลอน ราย ่ และลิลิต การอานจั ่ บใจความจากสื่ อตางๆได้
่ แก่
่
ขาวสารจากสื ่ ยนรู้ต่าง ๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่ องสั้ น นวนิยาย
่ อสิ่ งพิมพ์ สื่ ออิเล็กทรอนิกส์และแหลงเรี
วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรี ยน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี
ปาฐกถา พระบรมราโชวาทเทศนา คําบรรยาย คําสอน บทร้อยกรองรวมสมั ่ ย บทเพลงบทอาเศียรวาท คํา
ขวัญ มารยาทในการอาน ่
การเขียนสื่ อสารในรู ปแบบตางๆ ่ ได้แกอธิ่ บาย บรรยาย พรรณนา แสดงทรรศนะ โต้แย้ง
โน้มน้าว เชิญชวน ประกาศ จดหมายกจธุ ิ ระ โครงการและรายงานการดําเนินโครงการ รายงานการประชุม
การกรอกแบบรายการตางๆ ่ การเขียนเรี ยงความ การเขียนยอความจากสื
่ ่ อตางๆ ่ นิพนธ์ และวรรณคดี
่ ได้แกกวี
เรื่ องสั้ น สารคดี นวนิยาย บทความทางวิชาการ และวรรณกรรมพื้นบ้าน การเขียนในรู ปแบบตางๆ ่ เชน่ สารคดี
บันเทิงคดี การประเมินคุณคางานเขี ่ ยนในด้านตางๆ่ เชน่ แนวคิดของผูเ้ ขียน การใช้ถอ้ ยคํา การเรี ยบเรี ยง สํานวน
โวหาร กลวิธีในการเขียนการเขียนรายงานเชิงวิชาการ การเขียนอ้างอิงข้อมูลสารสนเทศ การเขียนบันทึกความรู้
จากแหลงเรี ่ ยนรู้ที่หลากหลาย มีมารยาทในการเขียน การพูดสรุ ปแนวคิด และการแสดงความคิดเห็นจากเรื่ องที่ฟัง
และดู การวิเคราะห์แนวคิด การใช้ภาษา และความนาเชื ่ ่อถือจากเรื่ องที่ฟังและดู การเลือกเรื่ องที่ฟังและดูอยางมี
่
ํ
วิจารณญาณ การประเมินเรื่ องที่ฟังและดูเพื่อกาหนดแนวทางนํ าไปประยุกต์ใช้ การพูดในโอกาสตางๆ ่ เชนการ
่
พูดตอที่ ่ประชุมชน การพูดอภิปราย การพูดแสดงทรรศนะ การพูดโน้มน้าวใจ มีมารยาทในการฟัง การดู และ
การพูดธรรมชาติของภาษา พลังของภาษา ลักษณะของภาษา เสี ยงในภาษา สวนประกอบของภาษา ่ องค์ประกอบ
ของพยางค์และคํา การใช้คาํ และกลุม่ คําสร้างประโยค คําและสํานวน การร้อยเรี ยงประโยค การเพิม่ คํา การใช้คาํ
การเขียนสะกดคํา ระดับของภาษา คําราชาศัพท์ กาพย์ โคลง ราย ่ และฉันท์ อิทธิพลของภาษาตางประเทศและ
่
ภาษาถิ่น หลักการสร้างคําในภาษาไทย การประเมินการใช้ภาษาจากสื่ อสิ่ งพิมพ์และ สื่ ออิเล็กทรอนิกส์หลักการ
วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเบื้องต้นได้แก่ จุดมุ่งหมายการแตงวรรณคดี ่ และวรรณกรรม การ
พิจารณารู ปแบบของวรรณคดีและวรรณกรรม การพิจารณาเนื้ อหาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม การ
วิเคราะห์และการวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม การวิเคราะห์ลกั ษณะเดนของวรรณคดี ่ ี่ ั
และวรรณกรรมเกยวกบ
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของ
สังคมในอดีต การวิเคราะห์และประเมินคุณคาวรรณคดี ่ และวรรณกรรม ด้านวรรณศิลป์ ด้านสังคม
มาตรฐานที่ ท 1.1.1 – ท 1.1.9 ท 2.1.1 – ท 2.1.8 ท 3.1.1 – ท 3.1.6 ท 4.1.1 – ท 4.1.7 ท 5.1.1 – ท 5.1.6 (ม.4 – ม.6)
17
ท 31201 การใช้ ภาษาเพือ่ การสื่ อสาร จํานวน 1.5 หน่ วยกิต 60 ชั่วโมง
คําอธิบายรายวิชา
การใช้ประโยคซับซ้อนในการเขียนบทความ เรี ยงความ การเขียนเชิงวิชาการ การเขียนเพื่อความ
่ ่ ดและ
บันเทิง การเลือกใช้ถอ้ ยคําในการเขียน การพูด การวางแผนการเขียนและการพูด การคิดไตรตรองกอนพู
เขียน การใช้ภาษาสร้างมนุษยสัมพันธ์การทํางาน การใช้ถอ้ ยคําสร้างพลังความรู้สึก
ท 32201 ภาษาไทยเพือ่ สร้ างมนษยสั ุ มพันธ์ จํานวน 1.5 หน่ วยกิต 60 ชั่วโมง
คําอธิบายรายวิชา
การพูดในโอกาสตาง ่ ๆ ด้วยการใช้ถอ้ ยคําและกริิ ยาทาทางในการสร้
่ างมนุษยสัมพันธ์ การเขียน
จดหมายสวนตั่ ว การเขียนโน้มน้าวใจโดยเลือกใช้ถอ้ ยคําสร้างความรู้สึกที่ดี มรรยาทการเขียนและการพูดสร้าง
มนุษยสัมพันธ์
ท 32202 ภาษาไทยทีใ่ ช้ ในสื่ อมวลชน
คําอธิบายรายวิชา
ความหมายของคํา ความหมายของประโยคที่ใกล้เคียงหรื อที่ใช้สับสนภาษาในสื่ อมวลชน การ
่
ปรับเปลี่ยนตําแหนงการขยายประโยค ทําให้ความหมายของประโยคคงเดิมหรื อเปลี่ยนไป
ท 33201 ศิลปะการเขียนร้ อยกรอง จํานวน 1.5 หน่ วยกิต 60 ชั่วโมง
คําอธิบายรายวิชา
ความรู้ในเรื่ องฉันทลักษณ์ ตามลักษณะคําประพันธ์ประเภทกลอน โคลง ราย ่ กาพย์ และฉันท์ การ
ใช้คาํ ศัพท์ในการประพันธ์ และภาษากวี ความคิดและการใช้ถอ้ ยคําในการแตงคํ ่ าประพันธ์ การรวบรวมคํา
ประพันธ์ จากวรรณคดี และวรรณกรรมตามรู ปแบบคําประพันธ์
ท 33202 การพิจารณาคณค่ ุ างานประพันธ์ จํานวน 1.5 หน่ วยกิต 60 ชั่วโมง
คําอธิบายรายวิชา
การแสดงความคิดเห็น การวิเคราะห์ การประเมินคา่ การเลาเรื ่ ่ อง การยอเรื
่ ่ อง การถายทอด
่
่
ความคิด ความรู ้จากการอานวรรณกรรมร้ อยแกว้ การเขียนศึกษาค้นคว้า การเลือกใช้ภาษาเรี ยบเรี ยงข้อความ
จดบันทึกข้อมูลนําวิธีการของแผนภาพความคิดประกอบงานเขียนในรู ปแบบตาง ่ ๆ การใช้ภาษาแสดงความคิด
ตามหลักการใช้ภาษา การคิดไตรตรอง ่ และลําดับความคิดในการเขียน
18
อภิธานศัพท์
กระบวนการเขียน
กระบวนการเขียนเป็ นการคิดเรื่ องที่จะเขียนและรวบรวมความรู้ในการเขียน กระบวนการเขียน มี ๕ ขั้ น
ดังนี้
๑. การเตรี ยมการเขียน เป็ นขั้ นเตรี ยมพร้อมที่จะเขียนโดยเลือกหัวข้อเรื่ องที่จะเขียน บนพื้นฐาน
ของประสบการณ์ กาหนดรู ํ ปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอานหนั ่ งสื อ สนทนา
จัดหมวดหมู่ความคิด โดยเขียนเป็ นแผนภาพความคิด จดบันทึกความคิดที่จะเขียนเป็ นรู ปหัวข้อเรื่ องใหญ่ หัวข้อ
่ และรายละเอียดคราวๆ
ยอย ่
๒. การยกร่ างข้ อเขียน เมื่อเตรี ยมหัวข้อเรื่ องและความคิดรู ปแบบการเขียนแล้ว ให้นาํ ความคิดมาเขียน
ํ
ตามรู ปแบบที่กาหนดเป็ ่ อเขียน โดยคํานึ งถึงวาจะเขี
นการยกรางข้ ่ ยนให้ใครอาน ่ จะใช้ภาษาอยางไรให้่ เหมาะสม
ั ่ องและเหมาะกบผู
กบเรื ั อ้ ื่น จะเริ่ มต้นเขียนอยางไร
่ มีหวั ข้อเรื่ องอยางไร
่ ลําดับความคิดอยางไร ่ เชื่อมโยงความคิด
่
อยางไร
๓. การปรั บปรงข้ ุ อเขียน เมื่อเขียนยกรางแล้่ วอานทบทวนเรื
่ ่ องที่เขียน ปรับปรุ งเรื่ องที่เขียนเพิ่มเติม
ความคิดให้สมบูรณ์ แกไขภาษา้ ่ นําข้อเสนอแนะมาปรับปรุ งอีกครั้ ง
สํานวนโวหาร นําไปให้เพื่อนหรื อผูอื้ ่นอาน
๔. การบรรณาธิการกิจ นําข้อเขี ยนที่ ปรั บปรุ งแล้วมาตรวจทานคําผิด แกไขให้ ้ ถูกต้อง แล้วอาน ่
ตรวจทานแกไขข้้ อเขียนอีกครั้ ง แกไขข้ ้ อผิดพลาดทั้ งภาษา ความคิด และการเว้นวรรคตอน
๕. การเขียนให้ สมบรณ์ ู ้
นําเรื่ องที่ แกไขปรั บปรุ งแล้วมาเขี ยนเรื่ องให้สมบูรณ์ จัดพิมพ์ วาดรู ป
ประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ดว้ ยลายมือที่สวยงามเป็ นระเบียบ เมื่อพิมพ์หรื อเขียนแล้วตรวจทานอีกครั้ งให้สมบูรณ์
่ ดทํารู ปเลม่
กอนจั
กระบวนการคิด
การฟั ง การพูด การอาน ่ และการเขียน เป็ นกระบวนการคิด คนที่จะคิดได้ดีตอ้ งเป็ นผูฟ้ ั ง ผูพู้ ด ผูอ้ ่าน
และผูเ้ ขียนที่ดี บุคคลที่จะคิดได้ดีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พ้ืนฐานในการคิด บุคคลจะมีความสามารถใน
การรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริ ง วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินคา่ จะต้องมีความรู้และประสบการณ์พ้ืนฐาน
่
ที่นาํ มาชวยในการคิ ดทั้ งสิ้ น การสอนให้คิดควรให้ผเู้ รี ยนรู้จกั คัดเลือกข้อมูล ถายทอด ่ รวบรวม และจําข้อมูล
่ สมองของมนุษย์จะเป็ นผูบ้ ริ โภคข้อมูลขาวสาร
ตางๆ ่ และสามารถแปลความข้อมูลขาวสาร ่ และสามารถนํามาใช้
อ้างอิง การเป็ นผูฟ้ ั ง ผูพ้ ดู ผูอ้ ่าน และผูเ้ ขียนที่ดี จะต้องสอนให้เป็ นผูบ้ ริ โภคข้อมูลขาวสารที่ ่ดีและเป็ นนักคิดที่ดี
ด้วย กระบวนการสอนภาษาจึงต้องสอนให้ผเู้ รี ยนเป็ นผูร้ ับรู้ขอ้ มูลขาวสารและมี ่ ่
ทกั ษะการคิด นําข้อมูลขาวสารที ่
ได้จากการฟั งและการอานนํ ่ ามาสู่ การฝึ กทักษะการคิด นําการฟั ง การพูด การอาน ่ และการเขี ยน มาสอนใน
รู ปแบบ บูรณาการทักษะ ตัวอยาง ่ เช่ น การเขี ยนเป็ นกระบวนการคิ ดในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การ
สังเคราะห์ การประเมิ นคา่ การสร้ างสรรค์ ผูเ้ ขียนจะนําความรู ้ และประสบการณ์ สู่ การคิ ดและแสดงออกตาม
ความคิดของตนเสมอ ต้องเป็ นผูอ้ านและผู ่ ่
ฟ้ ังเพื่อรับรู้ขาวสารที ่จะนํามาวิเคราะห์และสามารถแสดงทรรศนะได้
19
กระบวนการอ่ าน
การอานเป็่ นกระบวนการซึ่ งผูอ้ ่านสร้างความหมายหรื อพัฒนา การตีความระหวางการอานผู ่ ่ อ้ ่านจะต้อง
รู้ หัวข้อ เรื่ อง รู้ จุดประสงค์ของการอาน ่ มี ความรู้ ทางภาษาที่ ใกล้เคี ยงกบภาษาที ั ่ ใช้ในหนังสื อ ที่ อ่าน โดยใช้
ประสบการณ์เดิมเป็ นประสบการณ์ทาํ ความเข้าใจกบเรื ั ่ องที่อา่ น กระบวนการอานมี ่ ดงั นี้
๑. การเตรียมการอ่ าน ผูอ้ ่านจะต้องอานชื ่ ่อเรื่ อง หัวข้อยอยจากสารบั
่ ญเรื่ อง อานคํ ่ านํา ให้ทราบ
จุดมุ่งหมายของหนังสื อ ตั้ งจุดประสงค์ของการอานจะอานเพื ่ ่ ่อความเพลิดเพลินหรื ออานเพื ่ ่อหาความรู้ วาง
่
แผนการอานโดยอานหนั ่ ่
งสื อตอนใดตอนห นึ่ งวาความยากงายอยางไร ่ ่ หนังสื อมี ความยากมากน้อยเพียงใด
รู ปแบบของหนังสื อเป็ นอยางไร ่ เหมาะกบผู ั อานประเภท
้่ ใด เดาความวาเป็ ่ นเรื่ องเกยวกบอะไร
ี่ ั เตรี ยมสมุ ด
ดินสอ สําหรับจดบันทึกข้อความหรื อเนื้ อเรื่ องที่สาํ คัญขณะอาน ่
๒. การอ่ าน ผูอ้ ่านจะอานหนั ่ งสื อให้ตลอดเลมหรื ่ อเฉพาะตอนที่ตอ้ งการอาน ่ ขณะอานผู ่ อ้ ่านจะใช้
ความรู ้จากการอานคํ ่ า ความหมายของคํามาใช้ในการอาน ่ รวมทั้ งการรู้จกั แบงวรรคตอนด้
่ ่ วจะมี
วย การอานเร็
่ ่ ผอู ้ านเข้
สวนชวยให้ ่ าใจเรื่ องได้ดีกวาผู ่ อ้ านช้
่ า ซึ่ งจะสะกดคําอานหรื ่ ่ อนไปย้อนมา ผูอ้ ่านจะใช้บริ บทหรื อ
ออานย้
่
คําแวดล้อมชวยในการตี ความหมายของคําเพื่อทําความเข้าใจเรื่ องที่อาน ่
๓. การแสดงความคิดเห็น ผูอ้ านจะจดบั ่ นทึกข้อความที่มีความสําคัญ หรื อเขียนแสดง ความคิดเห็น
ตีความข้อความที่อ่าน อานซํ ่ ้ าในตอนที่ไมเข้ ่ าใจเพื่อทําความเข้าใจให้ถกู ต้อง ขยายความคิดจากการอาน ่
จับคู่กบเพื
ั ่อนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้ งข้อสังเกตจากเรื่ องที่อ่าน ถ้าเป็ นการอานบทกลอนจะต้ ่ องอาน ่
ทํานองเสนาะดังๆ เพื่อฟังเสี ยงการอานและเกดจิ ่ ิ นตนาการ
๔. การอ่ านสํ ารวจ ผูอ้ ่านจะอานซํ ่ ้ าโดยเลือกอานตอนใดตอนหนึ
่ ่ ง ตรวจสอบคําและภาษา ที่ใช้
สํารวจโครงเรื่ องของหนังสื อเปรี ยบเทียบหนังสื อที่อ่านกบหนั ั งสื อที่เคยอาน ่ สํารวจและเชื่อมโยงเหตุการณ์ใน
เรื่ องและการลําดับเรื่ อง และสํารวจคําสําคัญที่ใช้ในหนังสื อ
๕. การขยายความคิด ผูอ้ ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอาน ่ บันทึ กข้อคิดเห็ น คุ ณคาของเรื ่ ่ อง
เชื่อมโยงเรื่ องราวในเรื่ องกบชี ั วิตจริ ง ความรู้สึกจากการอาน ่ จัดทําโครงงานหลักการอาน ่ เชน่ วาดภาพ เขียน
บทละคร เขียนบันทึกรายงานการอาน ่ อานเรื่ ่ องอื่นๆ ที่ผเู้ ขียนคนเดียวกนแตง ั ่ อานเรื ่ ่ องเพิ่มเติม เรื่ องที่เกยวโยง
ี่
กบเรืั ่ องที่อาน ่ เพื่อให้ได้ความรู้ที่ชดั เจนและกว้างขวางขึ้ น
การเขียนเชิงสร้ างสรรค์
การเขียนเชิ งสร้างสรรค์เป็ นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจิ นตนาการในการเขียน เชน่
การเขียนเรี ยงความ นิ ทาน เรื่ องสั้ น นวนิ ยาย และบทร้ อยกรอง การเขียนเชิ งสร้างสรรค์ผูเ้ ขีย นจะต้อ งมี
ความคิ ดดี มี จินตนาการดี มี คลังคําอยาง่ หลากหลาย สามารถนําคํามาใช้ ในการเขียน ต้องใช้เทคนิ ค
่ สละสลวย
การเขียน และใช้ถอ้ ยคําอยาง
การดู
การดูเป็ นการรับสารจากสื่ อภาพและเสี ยง และแสดงทรรศนะได้จากการรับรู้สาร ตีความ แปลความ
่ จากสื่ อ เชน่ การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร การดูภาพยนตร์ การดู
วิเคราะห์ และประเมินคุณคาสาร
20
การตีความ
การตีความเป็ นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของผูอ้ ่านและการใช้บริ บท ได้แก่ คําที่แวดล้อมข้อความ
ํ
ทําความเข้าใจข้อความหรื อกาหนดความหมายของคํ าให้ถกู ต้อง
พจนานุ กรมฉบับราชบัณฑิ ตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายวา่ การตี ความหมาย ชี้ หรื อกาหนด ํ
ความหมาย ให้ความหมายหรื ออธิบาย ใช้หรื อปรับให้เข้าใจเจตนา และความมุ่งหมายเพื่อความถูกต้อง
การเปลีย่ นแปลงของภาษา
่ การเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คําคําหนึ่ งในสมัยหนึ่ งเขียนอยางหนึ
ภาษายอมมี ่ ่ ง อีกสมัยหนึ่ งเขียนอีก
่
อยางหนึ ่ ง คําวา่ ประเทศ แตเดิ่ มเขียน ประเทษ คําวา่ ปั กษ์ใต้ แตเดิ
่ มเขียน ปั กใต้ ในปั จจุบนั เขียน
่ ่ ยน ลุ่มฦก ภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง ทั้ งความหมายและการเขียน บางครั้ งคํา
ปั กษ์ใต้ คําวา่ ลุ่มลึก แตกอนเขี
บางคํา เชน่ คําวา่ หลอน ่ เป็ นคําสรรพนามแสดงถึงคําพูด สรรพนามบุรุษที่ ๓ ที่เป็ นคําสุ ภาพ แตเดี
่ ๋ยวนี้ คาํ วา่
หลอน ่ มีความหมายในเชิงดูแคลน เป็ นต้น
การสร้ างสรรค์
การสร้ างสรรค์ คือ การรู ้ จกั เลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิ มมาเป็ นพื้ นฐานในการสร้ างความรู้
ความคิดใหม่ หรื อสิ่ งแปลกใหมที่ ่ มีคุณภาพและมี ประสิ ทธิ ภาพสู งกวาเดิ ่ ม บุคคลที่ จะมี ความสามารถในการ
สร้างสรรค์จะต้องเป็ นบุคคลที่มีความคิดอิสระอยูเ่ สมอ มีความเชื่อมัน่ ในตนเอง มองโลกในแงดี่ คิดไตรตรอง ่
ไมตั่ ดสิ นใจสิ่ งใดงายๆ
่ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเกยวเนื ี่ ่องกนกบความคิ
ั ั ด การพูด การเขียน และการกระทํา
เชิงสร้างสรรค์ ซึ่ งจะต้องมีการคิดเชิงสร้างสรรค์เป็ นพื้นฐาน
ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็ นความคิดที่พฒั นามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่ งเป็ นปั จจัยพื้นฐาน
ของการพูด การเขียน และการกระทําเชิงสร้างสรรค์
การพูดและการเขียนเชิ งสร้ างสรรค์เป็ นการแสดงออกทางภาษาที่ใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ งดงาม
เหมาะสม ถูกต้องตามเนื้ อหาที่พดู และเขียน
การกระทําเชิ ง สร้ า งสรรค์เป็ นการกระทําที่ ไ มซํ่ ้ าแบบเดิมและคิดค้นใหมแปลกไปจากเดิ
่ ม และเป็
ประโยชน์ที่สูงขึ้ น
21
ข้ อมลูสารสนเทศ
ข้อ มู ล สารสนเทศ หมายถึ ง เรื่ อ งราว ข้อ เท็จ จริ ง ข้อ มู ล หรื อ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ที่ ส ามารถ สื่ อ
ความหมายด้วยการพูดบอกเลา่ บันทึกเป็ นเอกสาร รายงาน หนังสื อ แผนที่ แผนภาพ ภาพถาย ่ บันทึ กด้วย
็ ่ องราวตางๆ
เสี ยงและภาพ บันทึกด้วยเครื่ องคอมพิวเตอร์ เป็ นการเกบเรื ่ บันทึกไว้เป็ นหลักฐานด้วยวิธีต่างๆ
ความหมายของคํา
คําที่ใช้ในการติดตอสื่ ่ อสารมีความหมายแบงได้
่ เป็ น ๓ ลักษณะ คือ
ั
๑. ความหมายโดยตรง เป็ นความหมายที่ ใ ช้พูด จากนตรงตามความหมาย คํา หนึ่ งๆ นั้ น อาจมี
ความหมายได้หลายความหมาย เชน่ คําวา่ กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใสนํ ่ ้ า หรื ออาจหมายถึง นกชนิ ดหนึ่ ง
ตัวสี ดาํ ร้อง กา กา เป็ นความหมายโดยตรง
๒. ความหมายแฝง คําอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็ นความหมายเกยวกบ ี่ ั
ความรู ้สึก เชน่ คําวา่ ขี้ เหนียว กบั ประหยัด หมายถึง ไมใช้
่ จ่ายอยางสุ
่ รุ่ ยสุ ร่ าย เป็ นความหมายตรง แตความรู่ ้สึก
่ ั ประหยัดเป็ นสิ่ งดี แตขี่ ้ เหนียวเป็ นสิ่ งไมดี่
ตางกน
๓. ความหมายในบริ บท คําบางคํามีความหมายตรง เมื่อรวมกบคํ ่ ั าอื่นจะมีความหมายเพิ่มเติมกว้างขึ้ น
หรื อแคบลงได้ เชน่ คําวา่ ดี เด็กดี หมายถึง วานอนสอนงาย
่ ่ เสี ยงดี หมายถึง ไพเราะ ดินสอดี หมายถึง เขียน
ได้ดี สุ ขภาพดี หมายถึง ไมมี่ โรค ความหมายบริ บทเป็ นความหมายเชนเดี ่ ยวกบความหมายแฝง
ั
คณค่
ุ าของงานประพันธ์
เมื่ อ ผูอ้ ่ านอานวรรณคดี
่ ห รื อ วรรณกรรมแล้ว จะต้อ งประเมิ น งานประพัน ธ์ ให้เห็ น คุ ณ คาของงาน ่
ประพันธ์ ทําให้ผอู้ ่านอานอยางสนุ่ ่ ่
ก และได้รับประโยชน์จาการอานงานประพั ่
นธ์ คุณคาของงานประพั นธ์
แบงได้่ เป็ น ๒ ประการ คือ
๑. คณคุ่ าด้ านวรรณศิลป์ ถ้าอานบทร้ ่ อยกรองกจะพิ็ จารณากลวิธีการแตง่ การเลือกเฟ้ นถ้อยคํามาใช้ได้
ไพเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทือนอารมณ์ ถ้าเป็ นบทร้อยแกวประเภทสารคดี ้ รู ปแบบการ
เขียนจะเหมาะสมกบเนื ่
ั ้ อเรื่ อง วิธีการนําเสนอนาสนใจ เนื้ อหามีความถูกต้อง ใช้ภาษาสละสลวยชัดเจน การ
นําเสนอมีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเป็ นร้อยแกวประเภทบั ้ นเทิงคดี องค์ประกอบของเรื่ องไมวา ่ ่ เรื่ องสั้ น นวนิยาย
นิ ทาน จะมีแกนเรื ่ ่ อง โครงเรื่ อง ตัว ละครมี ค วามสัม พัน ธ์ ก ัน กลวิธี ก ารแตงแปลกใหม่ ่
่
นาสนใจ ปมขัด แย้ง ในการแตงสร้ ่ า งความ สะเทือนอารมณ์ การใช้ถอ้ ยคําสร้างภาพได้ชดั เจน คําพูดใน
เรื่ องเหมาะสมกบบุ ั คลิกของ ตัวละครมีความคิดสร้างสรรค์เกยวกบชี ี่ ั วติ และสังคม
๒. คณค่ ุ าด้ านสั งคม เป็ นคุณคาทางด้ ่ านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนี ยมประเพณี ศิลปะ ชีวิตความ
เป็ นอยูข่ องมนุษย์ และคุณคาทางจริ ่ ยธรรม คุณคาด้ ่ านสังคม เป็ นคุณคาที ่ ่ผอู้ ่านจะ เข้าใจชีวิตทั้ งในโลกทัศน์
22
่ ี่ องกบการ
และชี วทัศน์ เข้าใจการดําเนิ นชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุ ษย์ดีข้ ึน เนื้ อหายอมเกยวข้ ั ่ จรรโลงใจแก่
ชวย
่ ชวยพั
ผูอ้ าน ่ ฒนาสังคม ชวยอนุ
่ ่
รักษ์สิ่ งมีคุณคาของชาติ ่ ยมอันดีงาม
บา้ นเมือง และสนับสนุนคานิ
โครงงาน
โครงงานเป็ นการจัดการเรี ยนรู้ วิธีหนึ่ งที่ ส่ งเสริ มให้ผูเ้ รี ยนเรี ยนด้วยการค้นคว้า ลงมื อปฏิ บตั ิ จริ ง ใน
ลักษณะของการสํารวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผูเ้ รี ยนจะรวบรวมข้อมูล นํามาวิเคราะห์ ทดสอบเพื่อ
แกปั้ ญหาข้องใจ ผูเ้ รี ยนจะนําความรู้จากชั้ นเรี ยนมาบูรณาการในการแกปั้ ญหา ค้นหาคําตอบ เป็ นกระบวนการ
ค้นพบนําไปสู่ การเรี ยนรู้ ผูเ้ รี ยนจะเกดทั
ิ กษะการทํางานรวมกบผู ่ ั อ้ ื่น ทักษะการจัดการ ผูส้ อนจะเข้าใจผูเ้ รี ยน
เห็นรู ปแบบการเรี ยนรู้ การคิด วิธีการทํางานของผูเ้ รี ยน จากการสังเกตการทํางานของผูเ้ รี ยน
การเรี ย นแบบโครงงานเป็ นการเรี ย นแบบศึ ก ษาค้นคว้า วิธี ก ารหนึ่ ง แต่ เป็ นการศึ กษาค้น คว้าที่ ใ ช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในการแกปั้ ญหา เป็ นการพัฒนาผูเ้ รี ยนให้เป็ นคนมีเหตุผล สรุ ปเรื่ องราวอยาง ่
มีกฎเกณฑ์ ทํางานอยางมี ่ ระบบ การเรี ยนแบบโครงงานไมใชการศึ ่ ่ กษาค้นคว้าจัดทํารายงานเพียงอยางเดี ่ ยว ต้อง
มีการวิเคราะห์ขอ้ มูลและมีการสรุ ปผล
ทักษะการสื่ อสาร
ทักษะการสื่ อสาร ได้แก่ ทักษะการพูด การฟั ง การอาน ่ และการเขียน ซึ่ งเป็ นเครื่ องมือของการสง่
สารและการรับสาร การสงสาร ่ ่
ได้แก่ การสงความรู ้ ความเชื่อ ความคิด ความรู ้สึกด้วยการพูด และการเขียน
่
สวนการรั บสาร ได้แก่ การรับความรู้ ความเชื่อ ความคิด ด้วยการอานและการฟั
่ ง การฝึ กทักษะการสื่ อสารจึง
เป็ นการฝึ กทักษะการพูด การฟัง การอาน่ และการเขียน ให้สามารถ รับสารและสงสารอยางมี่ ่ ประสิ ทธิภาพ
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาเป็ นคุณสมบัติของภาษาที่สาํ คัญ มีคุณสมบัติพอสรุ ปได้ คือ ประการ ที่หนึ่ง ทุก
่ นระบบ ประการที่
ภาษาจะประกอบด้วยเสี ยงและความหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนหรื อกฎเกณฑ์ในการใช้ อยางเป็
สอง ภาษามี พลังในการงอกงามมิ รู้ สิ้ นสุ ด หมายถึ ง มนุ ษ ย์ส ามารถใช้ภาษา สื่ อ ความหมายได้โ ดยไมสิ่ ้ นสุ ด
ประการที่สาม ภาษาเป็ นเรื่ องของการใช้สัญลักษณ์ ร่ วมกนหรื
ั อสมมติ ร่ วมกนั และมี การรั บรู้ สัญลักษณ์หรื อ
สมมติร่ วมกนั เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกนั ประการที่สี่ ่ ่ อสาร ไม่
ภาษาสามารถใช้ภาษาพูดในการติดตอสื
ั ส้ ่ งสาร ไมวาหญิ
จํากดเพศของผู ่ ่ ง ชาย เด็ก ผูใ้ หญ่ สามารถผลัดกนในการสงสารและรั
ั ่ บสารได้ ประการที่ห้า
่
ภาษาพูดยอมใช้ ได้ท้ งั ในปั จจุ บนั อดี ต และอนาคต ไมจํ่ ากดเวลาและสถานที
ั ่ ประการที่หก ภาษาเป็ น
่
เครื่ องมือการถายทอดวั ิ
ฒนธรรม และวิชาความรู้นานาประการ ทําให้เกดการเปลี ่ยนแปลงพฤติกรรมและการ
สร้างสรรค์ส่ิ งใหม่
แนวคิดในวรรณกรรม
แนวคิดในวรรณกรรมหรื อแนวเรื่ องในวรรณกรรมเป็ นความคิดสําคัญในการผูกเรื่ องให้ ดําเนินเรื่ องไป
ตามแนวคิด หรื อเป็ นความคิ ดที่ สอดแทรกในเรื่ องใหญ่ แนวคิดยอมเกยวข้่ ี่ องกบมนุ
ั ษย์และสังคม เป็ นสารที่
ผูเ้ ขียนสงให้ ่
่ ผอู้ ่าน เชน่ ความดียอมชนะความชั ว่ ทําดีได้ดีทาํ ชัว่ ได้ชว่ั ความยุติธรรมทําให้โลกสันติสุข
23
บริบท
บริ บทเป็ นคําที่แวดล้อมข้อความที่อ่าน ผูอ้ ่านจะใช้ความรู ้สึกและประสบการณ์มากาหนดความหมาย
ํ
่
หรื อความเข้าใจ โดยนําคําแวดล้อมมาชวยประกอบความรู ้และประสบการณ์ เพื่อทํา ความเข้าใจหรื อความหมาย
ของคํา
พลังของภาษา
ภาษาเป็ นเครื่ องมื อในการดํารงชี วิตของมนุ ษย์ มนุ ษย์จึงสามารถเรี ยนรู้ ภาษาเพื่อการดํารงชี วิต เป็ น
เครื่ องมือของการสื่ อสารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาชวยให้ ่ คนรู้จกั คิดและแสดงออกของความคิด
ด้วยการพูด การเขียน และการกระทําซึ่ งเป็ นผลจากการคิด ถ้าไมมี่ ภาษา คนจะคิดไมได้ ่ ถ้าคนมีภาษาน้อย มี
็
คําศัพท์นอ้ ย ความคิดของคนกจะแคบไมกว้ ่ างไกล คนที่ใช้ภาษาได้ดีจะมีความคิดดีดว้ ย คนจะใช้ความคิดและ
แสดงออกทางความคิดเป็ นภาษา ซึ่ งสงผลไปสู ่ ่ การกระทํา ผลของการกระทําสงผลไปสู ่ ่ ความคิด ซึ่ งเป็ น
พลังของภาษา ภาษาจึ งมี บทบาทสําคัญตอมนุ ่ ษย์ ชวยให้ ่ ่ ารงสังคมให้มนุ ษย์อยู่
มนุ ษย์พฒั นาความคิด ชวยดํ
่ ั
รวมกนในสั ่
งคมอยางสงบสุ ข มีไมตรี ต่อกนั ชวยเหลื่ ั วยการใช้ภาษาติดตอสื
อกนด้ ่ ่ อสารกนั ชวยให้
่ คน
ปฏิบตั ิตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม ภาษาชวยให้ ่ มนุษย์เกดการพั ิ ฒนา ใช้ภาษาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การ
อภิปรายโต้แย้ง เพื่อนําไปสู่ ผลสรุ ป มนุ ษย์ใช้ภาษาในการเรี ยนรู้ จดบันทึ กความรู้ แสวงหาความรู้ และชวย ่
่
จรรโลงใจ ด้วยการอานบทกลอน ร้องเพลง ภาษายังมีพลังในตัวของมันเอง เพราะภาพยอมประกอบด้ ่ วยเสี ยง
และความหมาย การใช้ภาษาใช้ถอ้ ยคําทําให้เกดความรู ิ ่ ร้ ับสาร ให้เกดิความจงเกลียดจงชังหรื อเกดิ ความ
้สึกตอผู
่ ิ
ชื่นชอบ ความรักยอมเกดจากภาษาทั ้ งสิ้ น ที่นาํ ไปสู่ ผลสรุ ปที่มีประสิ ทธิภาพ
ภาษาถิ่น
ภาษาถิ่นเป็ นภาษาพื้ นเมืองหรื อภาษาที่ใช้ในท้องถิ่น ซึ่ งเป็ นภาษาดั้ งเดิมของชาวพื้นบ้านที่ใช้พดู จากนั
ในหมู่เหลาของตน
่ ่ ั
บางครั้ งจะใช้คาํ ที่มีความหมายตางกนไปเฉพาะถิ ั นคําเดียว
่น บางครั้ งคําที่ใช้พูดจากนเป็
่ ั วยังใช้สาํ เนียงที่ต่างกนั จึงมีคาํ กลาวที
ความหมายตางกนแล้ ่ ่วา่ “สําเนียง บอกภาษา” สําเนียงจะบอกวา่เป็ น
่ ็
ภาษาอะไร และผูพ้ ดู เป็ นคนถิ่นใด อยางไรกตามภาษาถิ ่นในประเทศไทยไมวาจะเป็ ่่ นภาษาถิ่นเหนื อ ถิ่นอีสาน
ั
ถิ่นใต้ สามารถสื่ อสารเข้าใจกนได้ เพียงแตสํ่ าเนียงแตกตางกนไปเทานั
่ ั ่ ้น
ภาษาไทยมาตรฐาน
ภาษาไทยมาตรฐานหรื อบางทีเรี ยกวา่ ภาษาไทยกลางหรื อภาษาราชการ เป็ นภาษาที่ใช้ สื่ อสารกนทั
ั ว่
ประเทศและเป็ นภาษาที่ใช้ในการเรี ยนการสอน เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการ ในการติดตอสื ่ ่ อสารสร้าง
ความเป็ นชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานกคื็ อภาษาที่ใช้กนในเมื
ั ่ ั ้ งประเทศ มีคาํ และสําเนียง
องหลวง ที่ใช้ติดตอกนทั
ภาษาที่เป็ นมาตรฐาน ต้องพูดให้ชดั ถ้อยชัดคําได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรื อภาษาไทยมาตรฐาน
24
ภาษาพดกั
ู บภาษาเขียน
ภาษาพูดเป็ นภาษาที่ ใช้พูดจากนั ไมเป็ ่ นแบบแผนภาษา ไมพิ่ ถีพิถนั ในการใช้แตใช้ ่ สื่อสารกนได้ ั ดี
ั
สร้างความรู้สึกที่เป็ นกนเอง ใช้ในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว และติดตอสื ่ ่ อสารกนอยางไมเป็
ั ่ ่ นทางการ การใช้
ั
ภาษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็ นกนเองและสุ ภาพ ขณะเดียวกนกคํั ็ านึ งวาพู ่ ดกบบุ
ั คคลที่มีฐานะตางกน่ ั การใช้ถอ้ ยคําก็
่ ั
ตางกนไปด้ วย ไมคํ่ านึงถึงหลักภาษาหรื อระเบียบแบบแผนการใช้ภาษามากนัก
่
สวนภาษาเขี ่ ดตอการใช้
ยนเป็ นภาษาที่ใช้เครงครั ่ ถอ้ ยคํา และคํานึ งถึงหลักภาษา เพื่อใช้ในการสื่ อสาร
ให้ถูก ต้อ งและใช้ใ นการเขี ย นมากกวาพู ่ ด ต้อ งใช้ถ ้อ ยคํา ที่ สุ ภ าพ เขี ย นให้เ ป็ นประโยค เลื อ กใช้ถ อ้ ยคํา ที่
ั
เหมาะสมกบสถานการณ์ ในการสื่ อสาร เป็ นภาษาที่ใช้ในพิธีการตางๆ ่ เชน่ การกลาวรายงาน
่ ่
กลาวปราศรั ย
่ ดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คาํ ที่ไมจํ่ าเป็ นหรื อ คําฟุ่ มเฟื อย หรื อการเลนคํ
กลาวสดุ ่ า
จนกลายเป็ นการพูดหรื อเขียนเลนๆ ่
ภมิู ปัญญาทางภาษา
ภูมิปัญญาทางภาษาเป็ นความรู้ทางภาษา วรรณกรรมท้องถิ่น บทเพลง สุ ภาษิต คําพังเพยในแตละ ่
ท้องถิ่น ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานตางๆ ่ เพื่อใช้ประโยชน์ในกจกรรมทางสั
ิ งคมที่ต่างกนั โดยนํา
ภูมิปัญญาทางภาษาในการสั่งสอนอบรมพิธีการตางๆ ่ การบันเทิงหรื อการละเลน่ มีการแต่งเป็ นคําประพันธ์
ในรู ปแบบตางๆ่ ทั้ งนิ ทาน นิ ทานปรั มปรา ตํานาน บทเพลง บทร้องเลน่ บทเหกลอม
่ ่ บทสวดตางๆ ่ บททํา
่
ขวัญ เพื่อประโยชน์ทางสังคมและเป็ นสวนหนึ ่ งของวัฒนธรรมประจําถิ่น
ระดับภาษา
25
ั
ภาษาเป็ นวัฒนธรรมที่ ค นในสังคมจะต้อ งใช้ภาษาให้ถูก ต้องกบสถาน การณ์ แ ละโอกาสที่ ใช้ภาษา
่
บุคคลและประชุมชน การใช้ภาษาจึงแบงออกเป็ ่ ่
นระดับของการใช้ภาษาได้หลายรู ปแบบ ตําราแตละเลมจะแบง ่
่ ั
ระดับภาษาแตกตางกนตามลั กษณะของสัมพันธภาพของบุคคลและสถานการณ์
่ บภาษาประมวลได้ดงั นี้
การแบงระดั
่ บภาษาที่เป็ นทางการและไมเป็
๑. การแบงระดั ่ นทางการ
่ นทางการหรื อภาษาที่ เป็ นแบบแผน เชน่ การใช้ภาษาในการประชุ ม ในการกลาว
๑.๑ ภาษาที่ ไมเป็ ่
สุ นทรพจน์ เป็ นต้น
่ นทางการหรื อภาษาที่ไมเป็
๑.๒ ภาษาที่ไมเป็ ่ นแบบแผน เชน่ การใช้ภาษาในการสนทนา การใช้
ภาษาในการเขียนจดหมายถึงผูค้ ุน้ เคย การใช้ภาษาในการเลาเรื ่ ่ องหรื อประสบการณ์ เป็ นต้น
๒. การแบงระดั ่ บภาษาที่เป็ นพิธีการกบระดั ั ่ นพิธีการ การแบงภาษา
บภาษาที่ไมเป็ ่ แบบนี้ เป็ นการแบง่
ภาษาตามความสัมพันธ์ระหวางบุ ่ คคลเป็ นระดับ ดังนี้
๒.๑ ภาษาระดับพิธีการ เป็ นภาษาแบบแผน
๒.๒ ภาษาระดับกงพิ ่ ึ ธีการ เป็ นภาษากงแบบแผน
่ึ
๒.๓ ภาษาระดับที่ไมเป็ ่ นพิธีการ เป็ นภาษาไมเป็ ่ นแบบแผน
๓. การแบงระดั่ บภาษาตามสภาพแวดล้อม โดยแบงระดั ่ บภาษาในระดับยอยเป็ ่ น ๕ ระดับ คือ
๓.๑ ภาษาระดับพิธีการ เชน่ การกลาวปราศรั ่ ่ ดงาน
ย การกลาวเปิ
๓.๒ ภาษาระดับทางการ เชน่ การรายงาน การอภิปราย
่ึ
๓.๓ ภาษาระดับกงทางการ เชน่ การประชุมอภิปราย การปาฐกถา
๓.๔ ภาษาระดับการสนทนา เชน่ การสนทนากบบุ ั คคลอยางเป็
่ นทางการ
๓.๕ ภาษาระดับกนเอง ั เชน่ การสนทนาพูดคุยในหมู่เพื่อนฝูงในครอบครัว
วิจารณญาณ
่ เ หตุ ผล การมี
วิจ ารณญาณ หมายถึ ง การใช้ความรู ้ ความคิ ด ทําความเข้าใจเรื่ องใดเรื่ อ งหนึ่ งอยางมี
วิจารณญาณต้องอาศัยประสบการณ์ในการพิจารณาตัดสิ นสารด้วยความรอบคอบ และอยางชาญ่ ฉลาดเป็ นเหตุเป็ นผล
สมรรถนะสํ าคัญของผู้เรียน
หลักสู ตรสถานศึกษาขั้ นพื้ นฐานโรงเรี ยนโคกสี พิทยาสรรพ์ ตามหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้ น
พื้นฐาน มุ่งให้ผเู้ รี ยนเกดสมรรถนะสํ
ิ าคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. ความสามารถในการสื่ อสาร เป็ นความสามารถในการรับและสงสาร ่ มีวฒั นธรรมในการใช้ภาษา
่
ถายทอดความคิ ่
ด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลขาวสารและ
ประสบการณ์อนั จะเป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้ งการเจรจาตอรองเพื
่ ่อขจัดและลดปัญหา
26