Professional Documents
Culture Documents
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย : รัฐธรรมนูญที่แท้จริงซึ่งไม่
เคยถูกยกเลิก
1
ฌานิ ทธิ ์ สันตะพันธุ์
1. ความหมายของ “วัฒนธรรมทางการเมือง”
ในบรรดานั กวิชาการทางรัฐศาสตรุท่ีศึกษาเรื่องวัฒนธรรมทางการเมือง มี
Gabriel Almond ที่มีผลงานที่ถ้กใชูอูางอิงมากที่ส์ด
Almond ใหูนิยามของ วัฒนธรรมทางการเมืองว่า “Political Culture is
the pattern of individual attitudes and orientations towards politics
among members of a political system”
2
วัฒนธรรมทางการเมืองจึงหมายถึง รูปแบบของทัศนคติส่วนบุคคลและ
ความโน้ มเอียงของบุคคลที่มีต่อการเมือง ในฐานะที่บุคคลนั ้นเป็ นสมาชิกของ
ระบบการเมือง
ความโนู มเอียงในที่นี้ Almond อธิบายว่ามี 3 ดูานดูวยกัน ไดูแก่
3
2
G.A. Almond & Bingham Powell, Comparative Politics : A Developmental
Approach (Boston : Little, Brown and company,1966), p. 50
3
G.A. Almond & S. Verba, The Civic Culture : Political Attitudes and
Democracy in Five Nations (Boston : Little, Brown and company, 1965), p.
15, สมบัติ ธำารงธัญวงศุ, การเมือง : แนวความคิดและการพัฒนา (กร์งเทพฯ : เสมา
ธรรม, 2545), หนู า 304 และ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ช์มพล, ระบบการเมือง : ความรู้เบื้อง
ต้น (กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุแห่งจ์ฬาลงกรณุมหาวิทยาลัย, 2546), หนู า 99
3
ทางการเมือง เช่น ตัดสินว่า ดี – ไม่ดี เป็ นประโยชนุ – ไม่เป็ นประโยชนุ ซึ่งการ
ตัดสินนี้จะใชูขูอม้ล ขูอเท็จจริง อารมณุความรู้สกึ เขูามาประกอบดูวย
1. วัฒนธรรมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับความไว้วางใจหรือความไม่ไว้
วางใจของบุคคลต่อบุคคลอื่นหรือต่อสถาบันทางการเมือง เช่น การมีความ
ศรัทธาหรือความเชื่อมัน ่ ต่อสถาบันหรือผูน้ ำ าทางการเมือง
2. วัฒนธรรมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับทัศนคติต่ออำานาจทางการเมือง
ซึ่งจะสะทูอนถึงการยอมรับและความสัมพันธุระหว่างผู้ปกครองและผู้ถ้ก
ปกครอง หรือผู้นำากับประชาชนทัว่ ไปซึ่งทัศนคตินี้ส่งผลโดยตรงต่อการที่
ประชาชนใหูความร่วมมือหรือต่อตูานอำานาจทางการเมืองของผู้ปกครอง
3. วัฒนธรรมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับเสรีภาพและการควบคุมบังคับ
ทางการเมือง กล่าวคือ วัฒนธรรมทางการเมืองในสังคมนั ้น ใหูการยอมรับหรือ
เคารพต่อเสรีภาพของประชาชนมากนู อยเพียงใด หรือม่์งเนู นการใชูอำานาจ
บังคับเพื่อใหูเกิดความเป็ นระเบียบเรียบรูอยของสังคม
4. วัฒนธรรมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับความจงรักภักดีและยึดมั่นใน
สังคมการเมืองของบุคคล กล่าวคือวัฒนธรรมทางการเมืองช่วยสรูาง
เอกลักษณุทางการเมืองใหูแก่บ์คคลในสังคมที่จะยึดมัน ่ ร่วมกันและพรูอมที่จะ
ต่อสู้ ปกปู องรักษาไวูซ่ึงเอกลักษณุนั้นใหูคงอย่้ต่อไป อาจจะโดยการยอมเสีย
สละประโยชนุส่วนตนเพื่อส่วนรวมหรือสละผลประโยชนุระยะสัน ้ เพื่อผล
ประโยชนุระยะยาว เป็ นตูน
จากที่กล่าวมานี้อาจพอช่วยใหูเห็นภาพความหมายของวัฒนธรรมทางการ
เมืองไดูพอสมควร จะเห็นว่าวัฒนธรรมทางการเมืองเป็ นเรื่องของความรู้สึก
นึ กคิดที่อยู่ในจิตใจของบุคคล และความรู้สึกนึ กคิดนี้เป็ นแนวทางหรือร้ปแบบ
หรือมาตรฐานของแต่ละบ์คคลที่จะใชูในการประเมินเหต์การณุหรือการรับรู้
4
Lucien W. Pye, Aspects of Political Development (Boston : Little, Brown
and company, 1966), กนก วงศุตระหง่าน, “วัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบ
ประชาธิปไตย,” ใน เอกสารการสอนชุดวิชาวิวัฒนาการการเมืองไทย หน่ วยที่ 8 – 15
(นนทบ์รี : สำานั กพิมพุมหาวิทยาลัยส์โขทัยธรรมาธิราช, 2532) : 593
4
ทางการเมืองของบ์คคลนั ้น ผลของการประเมินการเมืองนี้จะแสดงออกมาใน
ร้ปแบบต่าง ๆ เช่น การแสดงความคิดเห็น การออกเสียงเลือกตัง้ การประทูวง
5
การยอมรับ หรือการปฏิบัติตาม เป็ นตูน
2. ประเภทหรือลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมือง ตาม
แนวคิดของ Almond และ Verba 6
5
กนก วงศุตระหง่าน, “วัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย,” หนู า 593
6
G.A. Almond & S. Verba, The Civic Culture : Political Attitudes and
Democracy in Five Nations, pp. 17 – 20, สมบัติ ธำารงธัญวงศุ, การเมือง : แนว
ความคิดและการพัฒนา, หนู า 306 – 308, ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ช์มพล, ระบบการเมือง :
ความรู้เบื้องต้น, หนู า 102 – 103
5
ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟูาจะพบไดูในกล่์มคนชัน ้
กลางในประเทศกำาลังพัฒนา เป็ นกล่์มคนที่มีความรู้เขูาใจเกี่ยวกับระบบ
การเมืองโดยทัว่ ไป แต่ยังคงมีความเชื่อที่ฝังรากลึกมาแต่เดิมอันเป็ นอิทธิพล
ของสังคมเกษตรกรรมว่าอำานาจรัฐเป็ นของผู้ปกครอง ประชาชนทัว่ ไปควร
มีหนู าที่เชื่อฟั งและปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั ้น
2.3 วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม (The participant
political culture) เป็ นวัฒนธรรมทางการเมืองของบ์คคลที่มีความรู้ความเขูาใจ
เกี่ยวกับระบบการเมืองเป็ นอย่างดี เห็นค์ณค่าและความสำาคัญในการเขูามีส่วน
ร่วมทางการเมือง ทัง้ นี้เพื่อควบค์ม กำากับ และตรวจสอบใหูผู้ปกครองใชูอำานาจ
ปกครองเพื่อตอบสนองความตูองการของประชาชน
ลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมจะพบเห็นไดูในชนชัน ้
กลางส่วนใหญ่ของประเทศอ์ตสาหกรรมหรือประเทศที่พัฒนาแลูว
(Developed Country)
3. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย คือ ทัศนคติและความเชื่อแบบ
ประชาธิปไตย ซึ่งมีผลต่อ “ความมัน ่ คง” ของระบอบประชาธิปไตยในแต่ละ
ประเทศ นั กทฤษฎีการเมืองเลื่องชื่อชาวอังกฤษผู้หนึ่ งคือ John Stuart Mill
ไดูเขียนไวูวา่ ก่อนที่ประชาธิปไตยจะมีขึน
้ ได้ พลเมืองในประเทศจะต้องมีความ
ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปกครองตนเองเสียก่อน ความปรารถนาสะทูอน
ทัศนคติท่ีว่า ประชาธิปไตยเป็ นของดีและสมควรจะทำาใหูเกิดมีขึ้น ความหมายก็
คือ การเป็ นประชาธิปไตยขึ้นอย่้กับ ศรัทธาของคนในชาติท่ีประสงคุจะมีการ
8
ปกครองและมีชีวิตแบบประชาธิปไตย
นั กรัฐศาสตรุคนอื่น ๆ เช่น ลาสเวลลุ (Lasswell) และแคปลัน (Kaplan)
กล่าวว่าประชาธิปไตยจะงอกงามต่อเมื่อราษฎรมีลักษณะที่ภาษาเทคนิ คเรียกว่า
การเข้าสู่สภาพการเมือง (Politicized)
การเขูาส่้สภาพการเมืองดังกล่าว หมายถึง ลักษณะดังต่อไปนี้
1. การเอาใจใส่วิถีหรือเหต์การณุทางการเมือง
2. การมีทัศนคติท่ีว่า อย่างนู อยที่ส์ด ราษฎรจะตูองเกี่ยวขูองกับการเมือง
ไม่โดยตรงก็โดยอูอมบูาง เพราะถึงอย่างไรก็ตามการเมืองจะมาเกี่ยวขูองกับเขา
จนไดู
3. การมีความเชื่อว่าการเมืองเป็ นเรื่องสำาคัญที่สมควรจะอ์ทิศเวลาใหูตาม
9
สมควร
ลักษณะสำาคัญของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ประกอบ
ดูวย
3.1 แนวคิดปั จเจกชนนิ ยม (Individualism)
8
จิรโชค วีระสัย, สังคมวิทยาการเมือง (กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุมหาวิทยาลัยรามคำาแหง,
2543), หนู า 107 และด้รายละเอียดเกี่ยวกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย ใน จิรโชค
วีระสัย และคนอื่น ๆ, รัฐศาสตร์ทั่วไป (กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุมหาวิทยาลัยรามคำาแหง,
2542), หนู า 255 – 309
9
จิรโชค วีระสัย, สังคมวิทยาการเมือง, หนู า 107
8
ปั จเจกชนนิ ยม หมายถึง ความรู้สึกว่าคนแต่ละคนมีค์ณค่าในตัวเอง
สามารถแยกอธิบายไดูเป็ น 2 แนว
1) ปั จเจกชนนิ ยม หรือบางท่านเรียกว่า เอกชนนิ ยม เพื่อใหูมีความหมาย
ในทางตรงกันขูามกับ แนวคิดรัฐนิ ยม (statism) ซึ่งหมายถึง การบ้ชารัฐ ถือว่า
รัฐ (ผู้มีอำานาจ) ทำาสิ่งใดก็ไม่ผิดหรือแมูจะเป็ นสิ่งที่ผิด ประชาชนผู้อย่้ใตูการ
ปกครองก็ตูองปฏิบัติตาม หรือ แนวคิดส่วนรวมนิ ยม (collectivism) ซึ่งหมาย
10
ถึง การใหูความสำาคัญแก่องคุกรหรือหน่ วยงานที่ใหญ่กว่าตนเอง
แนวคิดรัฐนิ ยมปรากฏชัดเจนที่สด์ ในประเทศไทยสมัยจอมพล แปลก
พิบ้ลสงคราม เป็ นนายกรัฐมนตรีช่วงก่อนสงครามโลกครัง้ ที่ 2 สิน
้ ส์ด จอมพล
ป. มี “นโยบายรัฐนิ ยม” กำาหนดใหูคนไทยสวมหมวก สวมรองเทูา เลิกกิน
หมาก เลิกน่ ์งโจงกระเบน ซึ่งการกำาหนดขูอบัญญัติเหล่านี้ย่อมขัดต่อหลักการ
ปั จเจกชนนิ ยม เพราะไม่คำานึ งถึงความรู้สึกหรือความตูองการของคนแต่ละคน
2) ลัทธิปัจเจกชนนิ ยมอีกทัศนะหนึ่ ง มีลกั ษณะ 2 ประการ คือ
ประการแรก รัฐบาลไม่ควรเขูาควบค์มกระบวนการทางเศรษฐกิจและ
ทางสังคม ลัทธิปัจเจกชนนิ ยมทางเศรษฐกิจ คือ รัฐบาลไม่ควรเขูาควบค์มการ
ประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน ลัทธิปัจเจกชนนิ ยมทางสังคม คือ
รัฐบาลไม่ควรมีบทบาทในการกำาหนดชัน ้ วรรณะหรือฐานั นดรของประชาชน
การแบ่งช่วงชัน้ ของบ์คคลในสังคมควรเป็ นสิ่งที่เกิดจากความรู้สก
ึ นึ กคิดของ
ประชาชนเอง
ประการที่สอง เอกชนหรือปั จเจกชนจะตูองมีสิทธิในการตัดสินใจของ
11
ตนเองโดยเสรี แนวคิดปั จเจกชนนิ ยม เนู นหลักเสรีภาพในการเลือก
(Freedom of Choice) กล่าวคือ แนวคิดปั จเจกชนนิ ยมเชื่อว่า ปั จเจกบ์คคล
ควรจะมีเสรีภาพของตนในการเลือกท์กอย่างของตนเอง ซึ่งมาจากแนวคิดที่วา่
ปั จเจกบ์คคลมีเหต์ผลและรู้จักความตูองการของตนเองไดูดีกว่าคนอื่น ดังนั ้น
ไม่วา่ แต่ละปั จเจกบ์คคลจะมีความแตกต่างกันเรื่องรายไดู ฐานะทางสังคม การ
ศึกษา เพศ ศาสนา ถิ่นกำาเนิ ดและที่อย่้อาศัย ย่อมไม่ส่งผลถึงการจำากัดเสรีภาพ
12
ในการเลือกของปั จเจกบ์คคลเหล่านั ้น
10
เรื่องเดียวกัน, หนู า 108
11
เรื่องเดียวกัน, หนู าเดียวกัน
9
12
กนก วงศุตระหง่าน, “วัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย,” หนู า 597 –
602
13
จิรโชค วีระสัย, สังคมวิทยาการเมือง, หน้า 109 – 110 และ สมบัติ ธำารงธัญวงศ์,
การเมือง : แนวความคิดและการพัฒนา, หน้า 316 – 318
14
กนก วงศุตระหง่าน, “วัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย,” หนู า 604
10
วัฒนธรรมการมีส่วนร่วมแปรผันตามระดับการรับรู้ขูอม้ลข่าวสารทางการเมือง
ของประชาชน
4. วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยกับปั ญหาการพัฒนา
ประชาธิปไตย
หลังจากที่ผู้เขียนไดูอธิบายทฤษฎีเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมืองในทาง
รัฐศาสตรุเพื่อเป็ นพื้นความรู้ในการทำาความเขูาใจประเด็นปั ญหาที่ผู้เขียนนำ า
เสนอแลูว ณ จ์ดนี้ ผู้เขียนจะนำ าเสนอวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยที่มี
“อิทธิพล” ทำาใหูประชาธิปไตยของไทยอย่้ในสภาพ “ลูมล์กคล์กคลาน” มา
ตลอด 74 ปี อันจะนำ าไปส่ก ้ ารไขขูอสงสัยถึงชื่อของบทความชิน
้ นี้ว่า เหตุใดผู้
เขียนจึง “อุปมา” วัฒนธรรมทางการเมือง “แบบไทย ๆ” ของเรา ดั่ง
“รัฐธรรมนูญที่แท้จริงซึ่งไม่เคยถูกยกเลิก”
แมูเราจะรับรูว้ ่าประเทศไทยไดูเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ
สมบ้รณาญาสิทธิราชยุท่ีพระมหากษั ตริยุมีพระราชอำานาจส้งส์ดในแผ่นดินมา
เป็ นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษั ตริย์ทรงเป็ นประมุข
(Constitutional Monarchy) ตัง้ แต่วันที่ 24 มิถ์นายน 2475 แลูวก็ตาม แต่
นั บถึงวันนี้ (พ.ศ. 2549) เป็ นเวลากว่า 74 ปี ขูอเท็จจริงที่ปรากฏในการเมือง
การปกครองของไทยคือ ประเทศไทยเป็ น “ประชาธิปไตย” อย่างแทูจริงตลอด
ระยะเวลาทัง้ 74 ปี หรือไม่ เหต์ใดการเมืองไทยจึงเต็มไปดูวยการรัฐประหารและ
ยกเลิกรัฐธรรมน้ญซำา้ แลูวซำา้ เล่า เหต์ใดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมน้ญ
พ์ทธศักราช 2540 ที่ไดูวางโครงสรูางไวูเป็ นอย่างดี มีการกำาหนดองคุกรและ
ระบบตรวจสอบการใชูอำานาจรัฐกลับไม่สามารถใชูการไดูสมดังเจตนารมณุ จน
ตูองเกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อ “เปิ ดทางตัน” ไป
ส่้การปฏิร้ปการเมืองอีกครัง้
ผู้เขียนเห็นว่าสาเหต์ท่ีประชาธิปไตยในประเทศไทยขาดความต่อเนื่ องและ
มัน่ คง ไดูแก่
4.1 วัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำานาจนิ ยมและระบบอุปถัมภ์ :
เอกลักษณ์ของสังคมไทย
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำานาจนิ ยม (Authoritative political
culture) คือ ลักษณะแนวโนู มที่สมาชิกในสังคมเห็นว่า “อำานาจคือธรรม” หรือ
“อำานาจคือความถ้กตูอง” ความเห็นของผู้มีอำานาจย่อมถ้กตูองเสมอและจำาเป็ น
11
ที่ผู้ถ้กปกครองจะตูองปฏิบัติตาม เคารพ เชื่อฟั ง ยกย่องและเกรงกลัวผู้มีอำานาจ
เพราะการมีอำานาจเป็ นผลมาจาก “บารมี” ที่ไดูสัง่ สมมาแต่กาลอดีตชาติ
ระบบอุปถัมภ์ (Patronage system) จะประกอบดูวยผู้อป ์ ถัมภุและผู้รับ
การอ์ปถัมภุซ่ึงเป็ นความสัมพันธุของคน 2 ฝ่ ายที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยฝ่ ายหนึ่ ง
ยอมรับอิทธิพลและความคู์มครองของฝ่ ายที่มีอำานาจเหนื อกว่า ระบบอ์ปถัมภุ
ของไทยมีท่ีมาจาก “ระบบไพร่” และ “ระบบศักดินา” กล่าวคือ มูลนายอัน
ไดูแก่ พระมหากษั ตริยุ เจูานาย (พระบรมวงศาน์วงศุ) และข์นนางซึ่งเป็ น
้ ปกครอง คือ มีศักดินาตัง้ แต่ 400 ไร่ขึ้นไปจะมีไพร่ในสังกัดที่ตูองคอย
ชนชัน
15
ควบค์มด้แล
ม้ลนายตูองคอยควบคุมดูแลไพร่ใหูอย่้ในภ้มล ิ ำาเนา การเดินทางไปต่าง
ถิ่น การรับจูางทำางานต่าง ๆ ตูองใหูม้ลนายอน์ญาตเสียก่อน ม้ลนายตูองคอย
ด้แลไม่ใหูไพร่หลบหนี ม้ลนายสามารถไต่สวนและลงโทษหากไพร่ทะเลาะวิวาท
กัน เมื่อไพร่กระทำาผิดตูองติดตามตัวไพร่ไปส่งศาลมิฉะนั ้นมีความผิด ขณะ
เดียวกันม้ลนายก็ตูองให้ความคุ้มครองไพร่ ไม่ใหูใครมากดขี่ข่มเหง เมื่อไพร่
ขัดสนเงินทองก็ตูองช่วยเหลือตามสมควร และม้ลนายยังเป็ นผูบ ้ ังคับบัญชา
ออกคำาสัง่ ต่อไพร่ทัง้ ในการเกณฑุแรงงานยามสงบและในการรบยามศึก
สงคราม นอกจากนี้ยังมีกฎหมายหูามม้ลนายใชูไพร่หลวงทำางานส่วนตัวของ
ม้ลนายดูวย
ในขณะที่ม้ลนายควบค์มด้แล ใหูความคู์มครองและบังคับบัญชาไพร่นั้น
ไพร่ก็มห ี นู าที่ตูองปฏิบัติต่อม้ลนายดูวยความจงรักภักดี ปฏิบัติตามคำาสัง่ มี
สัมมาคารวะ สงบเสงี่ยมเจียมตัวและหมัน ่ ใหูของกำานั ลหรือผลประโยชนุ
ตอบแทนแก่ม้ลนาย เพื่อหวังใหูม้ลนายเมตตา ซึ่งก็มีผลดีคือทำาใหูความ
15
ไพร่หลวง คือ ไพร่ท่ีขึ้นตรงต่อพระมหากษั ตริยุ แต่แบ่งสังกัดไปตามกรมกองต่าง ๆ ไม่
ไดูสังกัดส่วนตัวของเจูานายหรือข์นนาง ไพร่หลวงตูองเขูาเวรรับราชการครัง้ ละ 1 เดือนที่
เรียกว่า “การเข้าเดือน” ในสมัยกร์งศรีอย์ธยาตูองเขูาเวรเดือนเวูนเดือนจึงเรียกว่า “เขูา
เดือน ออกเดือน” รวมปี ละ 6 เดือน ส่วนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพ์ทธยอดฟู าจ์ฬา
โลกมหาราชโปรดฯ ใหูไพร่หลวงเขูาเวร เดือนเวูนสองเดือน รวมปี ละ 4 เดือน
ไพร่สม คือ ไพร่ท่ีพระมหากษั ตริยุพระราชทานใหูแก่เจูานายและข์นนาง ไม่ไดูสังกัด
กรม กองของทางราชการ ไพร่สมมีหนู าที่รบ ั ใชูม้ลนายของตน และมีพันธะตูองเขูาเวรรับ
ราชการดูวย แต่เขูาเพียงปี ละ 1 เดือนเท่านั ้น
ไพร่สวย คือ ไพร่หลวงและไพร่สมที่ไม่สามารถมาเขูาเวรรับราชการไดู เพราะภ้มิลำาเนา
อย่้ห่างไกล จึงส่ง “ส่วย” เป็ นเงินหรือสิ่งของมีค่าที่หาไดูในภ้มล
ิ ำาเนาของตนมาแทนการ
เกณฑุแรงงาน
12
สัมพันธุของคนในสังคมไทยมีลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน มีนำ้าใจเอื้อเฟื้ อ โอบอ้อม
อารี อันเป็ นลักษณะนิ สัยพื้นฐานดัง้ เดิมของคนไทย แต่ก็มีผลเสียมากดังจะไดู
กล่าวต่อไป
ลักษณะความสัมพันธุเช่นนี้ไดูรับการเกื้อหน์นใหูดำารงอย่้ดูวยหลักธรรม
เรื่องความกตัญญูกตเวทีในพระพ์ทธศาสนา และความเชื่อเรื่องกรรมเก่าแต่
ชาติปางก่อน ชนชัน ้ ไพร่จึงยอมรับว่า “แข่งเรือแข่งพายนั ้นแข่งได้ แต่แข่งบุญ
แข่งวาสนานั ้นหาได้ไม่ ทุกสิ่งแล้วแต่เวรแต่กรรม ยากจะมีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้”
ชาตินี้จึงควรหมัน ่ ทำาความดี เชื่อฟั งและรับใชูม้ลนายดูวยความภักดี
กระบวนการบ่มเพาะและปล้กฝั งความเชื่อดังกล่าวนี้เอง มีผลใหูบรรดาสามัญ
ชนทัง้ ไพร่และทาสต่างยอมรับอำานาจปกครองของม้ลนายโดยด์ษณี และถือว่า
พวกตนไม่มีหนู าที่เกี่ยวขูองกับการปกครองซึ่งเป็ นเรื่องของพระมหากษั ตริยุ
เจูานายและข์นนาง พวกตนคงมีหนู าที่เพียงรับคำาสัง่ ของม้ลนาย รับใชูทางการ
และม้ลนายดูวยความภักดีเท่านั ้น
อนึ่ ง ระบบอ์ปถัมภุนี้มิไดูเกิดขึ้นเฉพาะม้ลนายกับไพร่เท่านั ้น ในหม่้
ม้ลนายดูวยกันก็เกิดความสัมพันธุระบบอ์ปถัมภุระหว่างม้ลนายระดับล่างกับ
ม้ลนายระดับส้ง และเหล่าข์นนางกับพระมหากษั ตริยุดูวย
แมูระบบไพร่และระบบศักดินาจะถ้กยกเลิกไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจ์ลจอมเกลูาเจูาอย่ห ้ ัว แต่ก็มิไดูทำาลายความสัมพันธุในลักษณะอ์ปถัมภุใหู
หมดไปจากสังคมไทย ตรงกันขูามเมื่อบทบาทของ “พ่อคูา” เพิ่มมากขึ้นนั บแต่
การเปิ ดเสรีทางการคูากับชาติตะวันตกภายหลังการทำาสนธิสัญญาเบาวริ่ง ยิ่ง
เป็ นการดึงคนกล่์มพ่อคูาจากระบบท์นนิ ยมใหูเขูามาอย่้ในวัฒนธรรมแบบ
อำานาจนิ ยมและความสัมพันธุระบบอ์ปถัมภุดูวย กลายเป็ นวัฒนธรรมร้ปแบบ
ใหม่ท่ีศาสตราจารยุรังสรรคุ ธนะพรพันธุ์ เรียกว่า “วัฒนธรรมทุนนิ ยม
16
อภิสิทธิ”์
และแมูจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถ์นายน 2475
ซึ่งเป็ นความพยายามที่จะนำ าระบอบประชาธิปไตยที่แพร่หลายอย่้ในโลกตะวัน
ตกมาใชูเพื่อแกูปัญหาของสยามในเวลานั ้น แต่วัฒนธรรมอำานาจนิ ยมและ
ระบบอ์ปถัมภุแข็งแกร่งเกินกว่าที่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยอัน
แปลกปลอมสำาหรับสังคมไทยจะเขูามาแทนที่ไดู ทำาใหูวฒ ั นธรรมประชาธิปไตย
ที่ถ้กนำ าเขูามานั ้นตกตะกอนกลายเป็ น “วัฒนธรรมประชาธิปไตยอุปถัมภ์” ซึ่ง
แสดงใหูเห็นผ่านระบบการเลือกตัง้ ที่เต็มไปดูวยการท์จริต เป็ นการเลือกตัง้ เพื่อ
16
โปรดด้ รังสรรคุ ธนะพรพันธุ์, “วิถีแห่งวัฒนธรรมในสังคมไทย,” ใน อนิ จลักษณะของ
การเมืองไทย เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่าด้วยการเมือง (กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุผู้จัดการ,
2536) : 14 – 15
13
17
ด้ ชิงชัย มงคลธรรม, “ภัยจากลัทธิรัฐธรรมน้ญ ต่อประเทศไทย,” มติชนรายวัน (2
พฤศจิกายน 2549) : 7 ซึ่งเห็นว่า“การโค่นล้มรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่กำาลังสร้าง
ประชาธิปไตยตามพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยในขัน ้ ตอนที่
2 ต่อจากพระบรมราโชบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินสยามของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
้ ตอนที่ 1 ลง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แล้วสถาปนาการปกครองระบอบ
ขัน
รัฐธรรมนูญขึ้นโดยคณะราษฎรนั ้นเป็ นการทำาลายการสร้างประชาธิปไตยของพระมหา
กษั ตริย์ รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 ลงอย่างน่ าเสียดายยิ่ง และเป็ นการเริม
่
ต้นของการปกครองลัทธิรฐ ั ธรรมนูญ ซึ่งเป็ นการปกครองแบบเผด็จการ ภัยของลัทธิ
รัฐธรรมนูญจึงเกิดขึ้นต่อประเทศไทยตัง้ แต่บัดนั ้นเป็ นต้นมา จนถึงบัดนี้ เป็ นเวลากว่า 74
ปี การสร้างประชาธิปไตยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยพระมหากษั ตริย์ ร.5 เมื่อ
พ.ศ.2435 จนถึง ร.7 พ.ศ.2475 เป็ นเวลา 40 ปี ประสบความสำาเร็จเพราะทรงใช้นโยบาย
เป็ นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย แต่การสร้างรัฐธรรมนูญในระบอบเผด็จการรัฐสภาโดย
คณะราษฎร เมื่อ พ.ศ.2475 จนถึง พ.ศ.2549 โดยคณะรัฐประหาร และคณะพลเรือนใน
รูปของพรรคการเมืองประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปั ญหาชาติสร้างประชาธิปไตย
ตลอดมากกว่า 74 ปี เพราะสร้างรัฐธรรมนูญอย่างเดียว…” ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นไปใน
ทิศทางเดียวกับค์ณชิงชัย
16
18
การอ์ปมา (Simile) คือ การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่ งว่าเหมือนหรือคลูายกับสิ่งหนึ่ ง เป็ นวิธี
การหนึ่ งของการใชูโวหารภาพพจน์ (Figure of Speech) ซึ่งเป็ นกวีโวหารที่วรรณคดีไทย
ในอดีตนิ ยมใชูกน ั อย่างแพร่หลาย สังเกตไดูจากการใชูคำาที่มค
ี วามหมายว่า “เหมือน” เช่น
ด์จ ดัง ดัง่ เพียง เฉก เช่น อย่าง ประหนึ่ ง ราวกับ
18
19
ของประชาชนอย่างทัว่ ถึงดูวย เพราะประสบการณุในอดีตไดูสอนใหูรู้แลูว
ว่าการเปลี่ยนแปลงแต่โครงสรูางการปกครอง โดยใชูรัฐธรรมน้ญเป็ นเครื่องมือ
เพียงอย่างเดียว มิไดูสร้าง “ความเป็ นประชาธิปไตย” ที่แท้จริง มั่นคงและ
ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศของเรา
2. ผู้เขียนมิไดูต่อตูานการนำ าความเจริญแบบตะวันตกมาใชูใน
ประเทศไทย หากแต่การนำ าหลักการใด ๆ ที่นิยมแพร่หลายอย่้ในประเทศตะวัน
ตกมาใชูกบ ั บูานเรานั ้น ควรที่จะหา “จุดสมดุล” ระหว่าง “ความเป็ นตะวันตก”
และ “ความเป็ นตะวันออก” ใหูพบเสียก่อน แลูวจึงปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนให้
เป็ น “ส่วนผสมที่พอเหมาะ” สอดรับกับสังคมไทย เพราะ “จ์ดต่าง” ของแต่ละ
สังคมนี้เองที่ส่งผลใหูหลักการหลาย ๆ อย่างที่ใชูไดูผลดีในประเทศตะวันตกซึ่ง
ประชาชนมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ ง แต่เมื่อนำ ามาใชูในประเทศของเราซึ่งก็มี
วัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่ งแลูว กลับไม่เกิดประสิทธิผลอย่างประเทศตูนแบบ
เพราะมีวัฒนธรรมที่ต่างกันนั่ นเอง
แน่ หละ ท่านทัง้ หลายอาจคิดว่าขูอเสนอของผู้เขียนมิไดูมีอะไรใหม่ และ
แลด้เป็ น “นามธรรม” อย่้มินูอย แต่ผู้เขียนเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกที่เป็ นรูป
ธรรมอยู่ได้ก็ด้วยพัฒนามาแต่ความเป็ นนามธรรม ดังนั ้นการพยายามสร้างสิ่ง
ใดให้เป็ นรูปธรรม โดย “เรียนลัด” ไม่พัฒนาจากความเป็ นนามธรรมก่อนแล้ว
สิ่งนั ้นก็ไม่อาจเป็ นรูปธรรมที่แท้จริงและยั่งยืนได้ การพัฒนาที่ยั่งยืนต้อง
ดำาเนิ นการอย่างค่อยเป็ นค่อยไป อาจจะใช้เวลาหลายชั่วอายุคน แต่ผลลัพธ์ท่ีได้
นั ้นจะเป็ นความเจริญที่ยั่งยืนมั่นคง และคุ้มค่าเกินกว่าการรอคอยเป็ นแน่
ขูอวิเคราะหุและความเห็นของผู้เขียนอาจยังไม่ลึกซึ้ง ครอบคล์มพอและ
อาจไม่สามารถอธิบายปรากฏการณุทางการเมืองของไทยไดูในท์กกรณี เพราะ
เป็ นงานชิน ้ แรกของผู้เขียนที่พยายามนำ า “วัฒนธรรมทางการเมือง” ซึ่งเป็ น
องคุความรู้ทางรัฐศาสตรุ มา “ช่วย” ในการอธิบายปั ญหาประชาธิปไตยของไทย
ซึ่งมีความคาบเกี่ยวระหว่างการเมืองและกฎหมายมหาชนอย่้มาก แต่ผู้เขียนก็
หวังว่าท่านทัง้ หลายจะไดูลอง “หยิบ” ศาสตรุขูางเคียงมาช่วยวิเคราะหุปัญหา
ทางกฎหมายมหาชนที่มีความคาบเกี่ยวกับศาสตรุอ่ ืนบูางในโอกาสต่อ ๆ ไป.
บรรณานุกรม
19
วัฒนธรรมเป็ นสิ่งที่มน์ษยุสามารถเรียนรู้ และถ่ายทอดไดู โปรดด้ อมรา พงศาพิชญุ,
“มน์ษยุกับวัฒนธรรม” ใน สังคมและวัฒนธรรม (กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุแห่งจ์ฬาลงกรณุ
มหาวิทยาลัย, 2544) : 23 – 34
19
คณาจารยุภาควิชาสังคมวิทยาและมาน์ษยวิทยา คณะรัฐศาสตรุ จ์ฬาลงกรณุ
มหาวิทยาลัย. สังคมและวัฒนธรรม.
พิมพุครัง้ ที่ 7. กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุแห่งจ์ฬาลงกรณุมหาวิทยาลัย,
2544
จิรโชค วีระสัย. รัฐศาสตร์ทั่วไป. พิมพุครัง้ ที่ 12. กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุ
มหาวิทยาลัยรามคำาแหง, 2542
___________. สังคมวิทยาการเมือง. พิมพุครัง้ ที่ 9. กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุ
มหาวิทยาลัยรามคำาแหง, 2543
ทินพันธุ์ นาคะตะ. รัฐศาสตร์ : ทฤษฎี แนวความคิด ปั ญหาสำาคัญและ
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์การเมือง.
กร์งเทพฯ : โครงการเอกสารและตำารา สมาคมรัฏฐประศาสนศาสตรุ นิ ดาู ,
2546
พฤทธิสาณ ช์มพล, ม.ร.ว.. ระบบการเมือง : ความรู้เบื้องต้น. พิมพุครัง้ ที่ 6.
กร์งเทพฯ : สำานั กพิมพุแห่ง
จ์ฬาลงกรณุมหาวิทยาลัย, 2546
มหาวิทยาลัยส์โขทัยธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชาวิวัฒนาการการเมือง
ไทย หน่ วยที่ 8 – 15. นนทบ์รี :
สำานั กพิมพุมหาวิทยาลัยส์โขทัยธรรมาธิราช, 2532
รังสรรคุ ธนะพรพันธุ์. อนิ จลักษณะของการเมืองไทย เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์
ว่าด้วยการเมือง. กร์งเทพฯ :
สำานั กพิมพุผู้จัดการ, 2536
สมบัติ ธำารงธัญวงศุ. การเมือง : แนวความคิดและการพัฒนา. พิมพุครัง้ ที่ 12.
กร์งเทพฯ : เสมาธรรม, 2545
20