You are on page 1of 2

THE KINGMAKERS

ธงชัย วินิจจะกูล

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สองใกล้เสด็จสวรรคต กลุ่มเจ้านายและขุนนางในขณะนั้นเห็นว่าราชบัลลังก์สมควรเป็น
ของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์โตผู้มีอิทธิพลและบทบาทในราชสานักเรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่าทรงประสูติจากพระสนม เจ้าฟ้ามงกุฎพระราชโอรสพระองค์แรกในสมเด็จพระบรมราชินีศรีสุริเยนทรามาตย์
ทว่าพระชันษาอ่อนกว่าถึง 16 พรรษา จึงเสด็จออกผนวชก่อนพระราชบิดาสวรรคตไม่กี่วัน
และทรงอยู่ในสมณเพศต่อมา 27 ปี

เมื่อสิ้นรัชกาลที่สาม ราชบัลลังก์มิได้ตกเป็นของเจ้าฟ้ามงกุฎโดยอัตโนมัติ แต่ในที่สุดกลุ่มเจ้านายและขุนนาง


ผู้ใหญ่ในขณะนั้นเห็นสมควรถวายราชบัลลังก์แด่พระองค์ท่านพระองค์ทรงครองราชย์ต่อมาอีก 18 ปี
โดยทรงตระหนักตลอดเวลาถึงอานาจและความสาคัญของกลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ดังกล่าว

ดังนั้นก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สี่จะเสด็จสวรรคต ไม่มีผู้ใดรู้ชัดเจนเลยว่า ราชบัลลังก์จะตกทอดสู่เจ้าฟ้า


พระองค์ใด พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเลือกด้วยพระองค์เองแต่อย่างใด กลุ่มขุนนางกุมอานาจการบริหารราชการ
แผ่นดินไว้เต็มที่ ในขณะที่เจ้าฟ้าทุกพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ในที่สุดกลุ่มขุนนางผู้มีอานาจ ตัดสินใจถวายราช
บัลลังก์แด่เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แต่ด้วยทรงพระเยาว์ กลุ่มขุนนางจึงสถาปนาตนเองเป็นผู้สาเร็จราชการแผ่นดิน
มีอานาจทางการเมืองสูงสุดอย่างแท้จริงตลอด 15 ปีแรกของรัชสมัย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า ทรงตระหนักดีถึง
สภาวะดังกล่าว ทรงแสดงความคับข้องพระราชหฤทัยไว้ในหลายโอกาส (ดังที่นักประวัติศาสตร์ทราบกันดี)

พระองค์ต้องทรงต่อสู้ต่อรองและรอโอกาสต่อมาอีกนาน กว่าที่พระองค์จะทรงสามารถรวบรวมพระราชอานาจได้
เข้มแข็ง บางครั้งความขัดแย้งปะทุจนเกือบเป็นความพินาศดังเช่นวิกฤตการณ์วังหน้าในปี 2417

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าเสด็จสวรรคต การสืบทอดพระราชบัลลังก์เป็นไปโดยราบรื่น เพราะพระองค์ได้ทรง


กาหนดไว้เรียบร้อยก่อนหน้านั้นหลายปี แต่ทว่ากลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ที่สืบทอดอานาจในการบริหาร
ราชการแผ่นดินต่อมากลับไม่สามารถทางานร่วมกับพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ได้อย่างราบรื่น ความขัดแย้งตึง
เครียดนาไปสู่การโยกย้ายถอดถอนผู้ใหญ่เหล่านั้น หรือเจ้านายและขุนนางเหล่านั้นหลายท่านสมัครใจถอนตัวไป
เอง ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นดาเนินต่อมาตลอดรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดขึ้นครองราชย์ด้วยแรงสนับสนุน
ของพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งมิได้ทรงเตรียมพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
การบริหารราชการแผ่นดินยิ่งต้องอาศัยพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่เหล่านั้น

เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เผชิญหน้ากับกระแสประชาธิปไตยที่ก่อตัวในหมู่ปัญญาชนผู้มีการศึกษา
ผู้มีบารมีและอิทธิพลในระบอบเดิมเหล่านี้มีบทบาทสาคัญไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าอยู่หัวเองในการถ่วงรั้งไม่ยอมให้
สามัญชนมีอานาจมากไป ด้วยเห็นว่าสามัญชนยังด้อยการศึกษา ขาดความรู้ความเข้าใจ ยังไม่พร้อมปกครอง
ตนเอง

อวสานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในแง่หนึ่งคือ ผลของระบอบการเมืองของผู้มีบารมีเหล่านี้
ซึ่งแวดล้อมพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในขณะนั้นหลัง 2475 ผู้นาของคณะราษฎรขัดแย้งกับกลุ่มเจ้าอย่างหนัก
ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสยบฝ่ายเจ้าสาเร็จ ผู้นาคณะราษฎรจึงอยู่ในฐานะผู้กาหนดชะตากรรมของราชบัลลังก์เสียเอง
ซึ่งหมายถึงการจากัดบทบาทอานาจของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ให้ออกพ้นไปจากการเมืองโดยสิ้นเชิง

ทว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดี พนมยงค์ จาต้องสามัคคีฝ่ายเจ้าในการต่อสู้กับฝ่ายจอมพล ป. พิบูลสงคราม


พลังอานาจฝ่ายเจ้าจึงกลับฟื้นคืนมาใหม่เมื่อสิ้นสงคราม ในที่สุดฝ่ายเจ้าจึงกลับตลบหลังปรีดี จนกลายเป็นกลุ่มที่มี
อานาจสูงร่วมกับทหารหลังรัฐประหาร 2490 ถึง 2494

ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินในขณะนั้น และองคมนตรีมีบทบาทและอานาจสูงมากตามรัฐธรรมนูญ 2492


นอกจากจะทรงเป็นผู้ดูแลพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันในระหว่างทรงพระเยาว์แล้ว กลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้จงรักภักดี
กลุ่มนี้ เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกสถานภาพของพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันเป็นที่มาของระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มั่นคงแข็งแรงทุกวันนี้

ในด้านหนึ่ง เราตระหนักดีถึงความสาคัญของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อสังคมไทย ในอีกด้านหนึ่งครั้นเราพิจารณา


ระบอบการเมือง เรามองเห็นแต่รัฐบาล ทหาร พลเรือน และนักการเมืองคอร์รัปชัน เรามักมองข้ามความจริงง่ายๆ ว่า
ประวัติศาสตร์ตามที่เล่ามาข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองและระบอบการเมืองตลอดมา สถาบันกษัตริย์ผู้ทรงอยู่
เหนือการเมืองและบรรดาผู้ใหญ่ผู้มีบารมี มีความสาคัญทางการเมืองมากอย่างปฏิเสธไม่ได้
คนเหล่านี้บางครั้งก็มีอานาจทางการเมืองเปิดเผยโดยตรงบางครั้งก็มีในรูปของบารมีอิทธิพลโดยไม่จาเป็นต้องลง
มาเกลือกกลั้วกับการบริหารราชการโดยตรง คนเหล่านี้แต่ก่อนจัดว่าเป็นเจ้านายและขุนนาง ต่อมาจัดเป็นกลุ่ม
องค์กรทางการ เช่น อภิรัฐมนตรี องคมนตรี หรือสภาที่ปรึกษาต่างๆ นานาคนเหล่านี้มีบทบาทอิทธิพลต่อการสืบ
ราชบัลลังก์มาตลอดประวัติศาสตร์ ซึ่งทุกครั้งมีผลกระทบต่อระบบการเมืองที่ดาเนินอยู่ เพราะภารกิจสาคัญสุดยอด
ของผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้ คือการจัดการให้ระบบการเมืองอยู่ในสภาวะตามที่พวกเขาประสงค์ ตามความเชื่อ
(อุดมการณ์) ของพวกเขาว่าจะเป็นระบบที่เอื้ออานวยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปชั่วกาลนานและเอื้ออานวย
ต่อผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้เองในระยะเปลี่ยนผ่านราชบัลลังก์

ภายหลัง 2475 ระบบการเมืองที่คนกลุ่มนี้ประสงค์ไม่ใช่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกต่อไป แต่คือระบอบ


ประชาธิปไตยตามแนววัฒนธรรมไทยที่รักษาบทบาทพระราชอานาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะ “อานาจ
ทางศีลธรรม” เหนือการเมืองสกปรกดีๆ ชั่วๆ ของคนธรรมดา

ยิ่งเข้าใกล้ระยะสาคัญของการเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้ยิ่งต้องทาทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าความ
เปลี่ยนแปลงสาคัญอยู่ในวิสัยที่ตนสามารถกาหนดควบคุมได้ จะปล่อยให้ใครมีอานาจมากแต่นอกลู่นอกทางที่ตน
ประสงค์ไม่ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในอดีตทั้งสิ้น

หมายเหตุ

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ 18 ตุลาคม 2549

You might also like