Professional Documents
Culture Documents
กฎหมายวิธีสบัญญัติ 1:
หลักทัว่ ไปในวิธีพิจารณาความแพง
Procedural Law I
1. ขั้นตอนการดําเนินคดีแพง
2. พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
3. คูความและการเสนอคดีตอศาล
4. เขตอํานาจศาล คําคูความและการคัดคานผูพิพากษา
5. อํานาจและหนาที่ของศาล
6. การชี้ขาดตัดสินคดี
7. คําพิพากษาและคําสั่ง
8. ผลแหงคําพิพากษาและคําสั่ง
9. คาฤชาธรรมเนียม
10. ขอพิจารณาเบื้องตนเกี่ยวกับกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
11. ประเด็นในคดีกับพยานหลักฐาน
12. หนาที่นําสืบ หรือภาระการพิสูจน
13. การรับฟงพยานหลักฐานในคดีแพง
14. การนําสืบพยานหลักฐาน
15. การชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน
1
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1. ขั้นตอนการดําเนินคดีแพง
บุคคลจะเสนอคดีตอ ศาลสวนแพงที่มีเขตอํานาจได เมื่อมีขอโตแยงเกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลตามกฎหมาย
แพง หรือเมื่อตองใชสทิ ธิทางศาล
เมื่อมีการยื่นคําฟองหรือคํารองขอตอศาลแลว ศาลจะตรวจคําฟองหรือคํารองขอนั้น แลวจึงมีคาํ สั่งรับไมรับ หรือ
ใหคืนไปใหทาํ มาใหม เสร็จแลวจึงออกหมายเรียกและสงสําเนาคําฟองใหแกจําเลยเพื่อแกคดี ซึ่งจําเลยจะตองทํา
คําใหการเปนหนังสือยื่นตอศาลภายใน 15 วัน
ศาลตองชี้สองสถาน เพื่อกําหนดประเด็นขอพิพาท ภาระการพิสูจน และกําหนดลําดับในการนําพยานหลักฐานเขา
สืบกอนหลัง เวนแตกรณีที่กฎหมายบัญญัติยกเวน
เมื่อเสร็จสิ้นการสืบพยาน ศาลจะวินจิ ฉัยชี้ขาดคดีโดยทําเปนคําพิพากษาและหรือสั่งแลวแตกรณี
กรณีลูกหนาตามคําพิพากษาไมปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางสวน เจาหนี้ตามคํา
พิพากษามีสิทธิบังคับคดีเอาแกลูกหนี้ได
1. การเสนอคดีตอศาล
การเสนอคดีตอศาลไดนั้น มีสองประเภท คือ คดีที่มขี อโตแยงสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลตามกฎหมายแพง
ประเภทที่สองคือ คดีที่มคี วามจําเปนจะตองใชสทิ ธิทางศาล
การเสนอคําฟองหรือคํารองขอ ตองพิจารณาประมวลกฎหมายวิธพ ี ิจารณาความแพงและพระธรรมนูญศาล
ยุติธรรมประกอบกัน หากเสนอผิดศาล ศาลก็จะไมรับคําฟองหรือคํารองขอนั้นไวพิจารณา
1.1 เงื่อนไขการเสนอคดีตอศาล
มาตรา 55 เมื่อมีขอโตแยงเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพง หรือบุคคลใดจะตองใชสิทธิทางศาล บุคคล
นั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนตอศาลสวนแพงที่มีเขตอํานาจได ตามบทบัญญัติแหงกฎหมายแพงและประมวลกฎหมายนี้
ก. การเสนอคดีมีขอพิพาท
1. ตองเปนบุคคล
2. ตองมีขอโตแยงสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลตามกฎหมายแพงเกิดขึ้น
ข. การเสนอคดีไมมีขอพิพาท
ตองมีกฎหมายรองรับวาคดีเรื่องนั้นมีความจําเปนจะตองใชสิทธิทางศาล ถาไมมีกฎหมายรองรับ ก็ไมอาจเสนอคดี
ตอศาลได
ค. รูปแบบการเสนอคดี
คดีมีขอพิพาท ทําเปนคําฟองตาม ม.172 วรรคหนึ่ง ผูเสนอขอหาจะเรียกวาโจทย ผูที่ถูกฟองจะเรียกวาจําเลย
คดีไมมีขอพิพาท ใหยื่นคํารองตอศาล ตาม ม.188 วรรคหนึ่ง บุคคลผูเสนอคดีตอศาลจะเรียกวาผูรอง
ง. คูความจะตองมีความสามารถตามกฎหมาย (ป.วิ.พ.มาตรา 56 วรรคหนึ่ง)
มาตรา 56 ผูไรความสามารถหรือผูทําการแทนจะเสนอขอหาตอศาลหรือดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ได ตอเมื่อไดปฏิบัติตาม
บทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยวาดวยความสามารถและตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ การใหอนุญาตหรือ
ยินยอมตามบทบัญญัติเชนวานั้น ใหทําเปนหนังสือยื่นตอศาลเพื่อรวมไวในสํานวนความ
แต กระบวนการพิจารณาที่ไดดาํ เนินไปแลวกอนทีจ่ ะปรากฎวาคูค วามกรณีฝายใดฝายหนึ่งเปนผูบกพรอง
ความสามารถ ไมทําใหกระบวนการพิจารณาที่ดําเนินไปแลวเสียไป
จ. วิธีดําเนินคดี ดําเนินคดีโดยทางใดทางหนึ่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 60 ดังนี้
2
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1. ดําเนินคดีดวยตนเอง
2. โดยการแตงตัง้ ทนายความคนเดียวหรือหลายคนใหวา ความ
3. ทําหนังสือมอบอํานาจบุคคลใดเปนผูแทนตนในคดี ผูร ับมอบอํานาจเชนวานั้นจะวาความอยางทนายความ
ไมได แตยอมตั้งทนายความเพื่อดําเนินกระบวนพิจารณาได
มาตรา 60 คูความฝายใดฝายหนึ่ง หรือผูแทนโดยชอบธรรมในกรณีที่คูความเปนผูไรความสามารถ หรือผูแทนในกรณีที่คูความเปน
นิติบุคคลจะวาความดวยตนเองและดําเนินกระบวนพิจารณาทั้งปวงตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชนของตนหรือจะตั้งแตงทนายความ
คนเดียวหรือหลายคนใหวาความและดําเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็ได
ถาคูความ หรือผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูแทน ดังที่ไดกลาวมาแลวทําหนังสือมอบอํานาจใหบุคคลใดเปนผูแทนตนในคดี
ผูรับมอบอํานาจเชนวานั้นจะวาความอยางทนายความไมได แตยอมตั้งทนายความเพื่อดําเนินกระบวนพิจารณาได
1.2 ศาลที่จะเสนอคดี
การเสนอคําฟองหรือคํารองขอ นอกจากจะตองพิจารณาตาม ป.วิ.พ.แลว ยังตองพิจารณาตามพระธรรมนูญศาล
ยุติธรรมประกอบดวย
ก. การนําเสนอคําฟองคดีมีขอพิพาท (ม.4(1), 4 ทวิ และ 4 ตรี)
คําฟองที่เกีย่ วดวยหนี้เหนือบุคคล (ม.4(1) และ 4 ตรี)
มาตรา 4 (1) คําฟอง ใหเสนอตอศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลหรือตอศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไมวาจําเลยจะมี
ภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักรหรือไม
มาตรา 4 ตรี(3) คําฟองอื่นนอกจากที่บัญญัติไวในมาตรา 4 ทวิ โโซึ่งจําเลยมิไดมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักร และมูลคดีมิได
เกิดขึ้นในราชอาณาจักรถาโจทกเปนผูมีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักร ใหเสนอตอศาลแพงหรือตอศาลที่โจทกมี
ภูมิลําเนาอยูในเขตศาล
คําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย (ม.4 ทวิ)
มาตรา 4 ทวิ คําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย หรือสิทธิหรือประโยชนอันเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย ใหเสนอตอศาลที่
อสังหาริมทรัพยนั้นตั้งอยูในเขตศาล ไมวาจําเลยจะมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักรหรือไม หรือตอศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยูในเขต
ศาล
ข. การเสนอคํารองขอในคดีไมมีขอพิพาท
การยื่นคํารองขอในคดีไมมขี อพิพาททั่วไป (ม.4 (2))
มาตรา 4 (2) คํารองขอ ใหเสนอตอศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือตอศาลที่ผูรองมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาล
การยื่นคํารองขอใหศาลมีคาํ สั่งตั้งผูจดั การมรดก – ถาทายาทหรือผูม ีสวนไดเสียประสงคจะตัง้ ผูห นึ่งผูใดเปน
ผูจัดการมรดก การยื่นคํารองขอมิไดเปนไปตามหลักทัว่ ไป แตเปนไปตามมาตรา 4 จัตวา วรรคหนึ่ง
มาตรา 4 จัตวา คํารองขอแตงตั้งผูจัดการมรดก ใหเสนอตอศาลที่เจามรดกมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลในขณะถึงแกความตาย
ในกรณีที่เจามรดกไมมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักร ใหเสนอตอศาลที่ทรัพยมรดกอยูในเขตศาล
นายเอกมีภูมิลําเนาอยูที่จังหวัดลําปาง ใหนายโท ซึ่งมีภูมิลําเนาอยูที่จังหวัดตากกูยืมเงิน 500,000 บาท โดยทําหลักฐานเปน
หนังสือที่จังหวัดพะเยา ตอมานายโทผิดนัดไมยอมชําระหนี้ใหแกนายเอก เชนนี้นายเอกจะฟองนายโทที่ศาลใดไดบาง
การฟองขอใหศาลบังคับใหนายโทชําระหนี้เงินกู เปนคําฟองเกี่ยวดวยหนี้เหนือบุคคล จึงตองบังคับตาม ป.วิ.พ.มาตรา 4 (1) ซึ่ง
บัญญัติใหโจทยมีอํานาจเสนอคําฟองตอศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยูในเขต หรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ศาลใดศาลหนึ่ง กรณี
ตามปญหาขางตน นายเอกมีอํานาจเสนอคําฟองตอศาลจังหวัดตาก ซึ่งเปนศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาล หรือศาลจังหวัด
พะเยาซึ่งเปนศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นอยูในเขตอํานาจ
2. กระบวนพิจารณาเมื่อเริ่มคดี
3
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
4
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
5
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ไวในคําคูความหรือเอกสาร หรือมอบหมายคําคูความหรือเอกสารไวแกเจาพนักงานฝายปกครองในทองถิ่นหรือเจาพนักงานตํารวจ
แลวปดประกาศแสดงการที่ไดมอบหมายดังกลาวแลวนั้นไวดังกลาวมาขางตน หรือลงโฆษณาหรือทําวิธีอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควร
ขอสังเกต ศาลตองทําตามขั้นตอนตามมาตรากอนๆ เสียกอน จึงจะทําตามมาตรา 79 ได ถาศาลทําขามขั้นตอน ถือ
วาการสงหมายเรียกหรือสําเนาคําฟองนัน้ ไมชอบ
การสงคําคูความตาม ม.79 ไมไดมีผลทันทีนับแตวันปดหมายเรียก
มาตรา 79 วรรคสอง การสงคําคูความหรือเอกสารโดยวิธีอื่นแทนนั้น ใหมีผลใชไดตอเมื่อกําหนดเวลาสิบหาวันหรือระยะเวลานาน
กวานั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกําหนด ไดลวงพนไปแลวนับตั้งแตเวลาที่คําคูความหรือเอกสารหรือประกาศแสดงการมอบหมายนั้นได
ปดไว หรือการโฆษณาหรือวิธีอื่นใดตามที่ศาลสั่งนั้นไดทําหรือไดตั้งตนแลว
กรณีที่คคู วามสามารถสงเอกสารใหแกกน ั เองไดนั้น เชนการสงหมายเรียกพยาน บัญญัติตาม ม.81
มาตรา 81 การสงหมายเรียกพยานโดยคูความที่เกี่ยวของนั้นใหปฏิบัติดังนี้
(1) ใหสงในเวลากลางวันระหวางพระอาทิตยขึ้นและพระอาทิตยตก และ
(2) ใหสงแกบุคคลซึ่งระบุไวในหมายเรียก ณ ภูมิลําเนาหรือสํานักทําการงานของบุคคลเชนวานั้น แตวาใหอยูภายในบังคับ
บทบัญญัติแหงมาตรา 76 และ 77
ขอสังเกต ม.81 (2) ใหนําบทบัญญัติ ม.76 และ 77 มาใชเทานั้น มิไดอนุโลมใหนํา ม.78 เรื่องการวางหมาย หรือ
ม.79 เรื่องการปดมาใช
กรณีจาํ เลยมิไดมีภูมิลาํ เนาในราชอาณาจักร การสงหมายเรียกและสําเนาคําฟองตั้งตนหรือเอกสารอื่นใด ให
เปนไปตาม ม.83 ทวิ ถึง 83 อัฎฐ
เจาพนักงานศาลนําหมายเรียกและสําเนาคําฟองไปสงใหแกจําเลยที่บาน ไมพบจําเลย พบแตนาย ก อายุ 25 ป ซึ่งเปนคนสวน
ทํางานอยูในบานเรือนของจําเลย นาย ก ยอมรับหมายเรียกและสําเนาคําฟองไว เจาพนักงานศาลจะสงหมายเรียกและสําเนาคําฟอง
ใหนาย ก รับไวแทนไดหรือไม
เจาพนักงานศาลนําหมายเรียกและสําเนาคําฟองไปสงใหกับจําเลยที่บาน แมไมพบจําเลย พบแตนาย ก ซึ่งอายุเกิน 20 ป คนสวน ถา
นาย ก ยอมรับสําเนาคําฟอง เจาพนักงานศาลก็มีอํานาจที่จะสงหมายเรียกและสําเนาคําฟองใหแกนาย ก ได ถือวาจําเลยไดรับ
หมายเรียกและสําเนาคําฟองแลวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 76
2.3 การยื่นคําใหการและฟองแยง
"คําใหการ" หมายความวา กระบวนพิจารณาใด ๆ ซึ่งคูความฝายหนึ่งยกขอตอสูเปนขอแกคาํ ฟองตามที่บัญญัติไว
ในประมวลกฎหมายนี้ นอกจากคําแถลงการณ (ม.1 (4))
ก. ระยะเวลายื่นคําใหการคดีแพงสามัญ (ม.177 วรรคหนึ่ง)
มาตรา 177 เมื่อไดสงหมายเรียกและคําฟองใหจําเลยแลวใหจําเลยทําคําใหการเปนหนังสือยื่นตอศาลภายในสิบหาวัน
ข. การสงสําเนาคําใหการ (ม.71)
กรณีจาํ เลยยืน
่ คําใหการตอสูโจทย (ม.71 วรรคหนึ่ง)
มาตรา 71 วรรคหนึ่ง คําใหการนั้น ใหฝายที่ใหการนําตนฉบับยื่นไวตอศาลพรอมดวยสําเนาสําหรับใหคูความอีกฝายหนึ่ง หรือ
คูความอื่น ๆ รับไปโดยทางเจาพนักงานศาล
ถาตอมาจําเลยยื่นคํารองขอแกไขเพิ่มเติมคําใหการ (ม.71 วรรคสอง)
มาตรา 71 วรรคสอง คํารองเพื่อแกไขเพิ่มเติมคําใหการนั้น ใหเจาพนักงานศาลเปนผูสงใหคูความอีกฝายหนึ่งหรือคูความอื่น ๆ โดย
ฝายที่ยื่นคํารองเปนผูมีหนาที่จัดการนําสง
ค. ฟองแยง (ม.177 วรรคสาม)
ฟองแยง คือ การที่จาํ เลยฟองกลับใหโจทยมาในคําใหการ
มาตรา 177 วรรคสาม จําเลยจะฟองแยงมาในคําใหการก็ได แตถาฟองแยงนั้นเปนเรื่องอื่นไมเกี่ยวกับคําฟองเดิมแลว ใหศาลสั่งให
จําเลยฟองเปนคดีตางหาก
6
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ง. ฟองแยงจะตองเกี่ยวของกับฟองเดิม
ฟองแยงจะตองเกี่ยวของกับฟองเดิม (ม.177 วรรคสาม) และตองเกีย่ วของพอทีจ่ ะรวมการพิจารณาและชี้ขาด
ตัดสินเขาดวยกันได (ม.179 วรรคทาย)
คดีไมมีขอพิพาท จะฟองแยงไมไดเนื่องจากไมมีจาํ เลย แตถาเริ่มแรกเปนคดีไมมขี อพิพาท แลวตอมาเปนคดีมีขอ
พิพาท ใหดําเนินคดีไปอยางคดีมีขอพิพาท (ม.188 (4))
จ. ผลของการที่จําเลยไมยื่นคําใหการภายในระยะเวลาที่กําหนด หรือภายในระยะเวลาที่ศาลอนุญาต
มาตรา 197 บัญญัติวา ใหถือวาจําเลยขาดนัดยื่นคําใหการ ศาลจะดําเนินกระบวนการพิจารณาวาดวยการ
พิจารณาโดยการขาดนัด
มาตรา 197 เมื่อจําเลยไดรับหมายเรียกใหยื่นคําใหการหรือเมื่อโจทกถูกฟองแยงแลว จําเลยหรือโจทกมิไดยื่นคําใหการหรือ
คําใหการแกฟองแยงภายในระยะเวลาที่กําหนดไวทั้งมิไดแจงเหตุขัดของตอศาลภายในกําหนดเวลาเชนวานัน้ ใหถือวาจําเลยหรือโจทก
ขาดนัดยื่นคําใหการ
ถาคูความฝายใดฝายหนึ่งไมมาศาลในวันสืบพยาน และมิไดรองขอเลื่อนคดีหรือแจงเหตุขัดของที่ไมมาศาลเสียกอนลงมือ
สืบพยาน ใหถือวาคูความฝายนั้นขาดนัดพิจารณา
นาย ก ฟองนาย ข ใหรับผิดตามสัญญากูยืมเงิน นาย ข ใหการปฏิเสธวาไมไดกูยืมเงินจากนาย ก โดยนําคําใหการพรอมสําเนา
คําใหการไปยื่นตอศาล เชนนี้ นาย ข จะตองสงสําเนาคําใหการแกนาย ก หรือไม
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 71 วรรคหนึ่ง นาย ข เพียงแตนําคําใหการพรอมสําเนาคําใหการไปยื่นตอเจาพนักงานศาล ก็เปนไปตามกฎหมาย
ครบถวนแลว เพราะเปนหนาทีข่ องนาย ก ที่จะตองมารับสําเนาคําใหการไปจากศาลเอง
3. กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการสืบพยาน
การชี้สองสถานนั้นมีแตในคดีแพง โดยมีวัตถุประสงคหลักคือ เพื่อใหประเด็นขอพิพาทแหงคดีนน
ั้ กระชับเขา วาคดี
เรื่องนั้นมีประเด็นขอพิพาทอยางไรบาง เพื่อนําไปกําหนดภาระการพิสูจน
การสืบพยานทั้งในคดีแพงและคดีอาญา ในเบื้องตน คูความตองยืน ่ บัญชีระบุพยานตอศาลเสียกอน จึงจะมีสิทธินํา
พยานหลักฐานนั้นเขาสืบได เมื่อสืบพยานเสร็จ ในคดีแพงศาลจะใชวิธีชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน สวนคดีอาญา พยาน
โจทยตองรับฟงโดยปราศจากขอสงสัย ศาลจึงจะพิพากษาลงโทษจําเลยได
3.1 การชี้สองสถาน
ก. การชี้สองสถาน
การชี้สองสถาน คือ การทีศ่ าลนําคําฟองของโจทยและคําใหการของจําเลยมาตรวจดูวา คําฟองของโจทยมีขออาง
และคําใหการของจําเลยมีขอ เถียงอยางไร แลวศาลจะสอบถามโจทยจําเลยวาประเด็นดังกลาวนัน้ อาจจะสละขอใดได
บาง คงเหลือประเด็นขอที่โตเถียงกันเทานั้น ซึ่งประเด็นที่ยังโตเถียงกันนี้อาจจะเปนประเด็นปญหาขอกฎหมายหรือ
ประเด็นปญหาขอเท็จจริงก็ได ซึ่งเรียกวาประเด็นขอพิพาท สวนเรื่องที่โจทยจําเลย ยอมรับกันไปแลวก็ถือวาเปนอันยุติ
ไปตามนั้น
การดําเนินการชี้สองสถานตองเปนไปตามบัญญัติไวใน ป.วิ.พ.มาตรา 183 วรรคหนึ่ง
มาตรา 183 วรรคหนึ่ง ในวันชี้สองสถาน ใหคูความมาศาล และใหศาลตรวจคําคูความและคําแถลงของคูความ แลวนําขออาง ขอ
เถียงที่ปรากฎในคําคูความและคําแถลงของคูความเทียบกันดู และสอบถามคูความทุกฝายถึงขออาง ขอเถียงและพยานหลักฐานที่จะ
ยื่นตอศาลวาฝายใดยอมรับหรือโตแยงขออาง ขอเถียงนั้นอยางไรขอเท็จจริงใดที่คูความยอมรับกันก็เปนอันยุติไปตามนั้น สวนขอ
กฎหมายหรือขอเท็จจริงที่คูความฝายหนึ่งยกขึ้นอางแตคําคูความฝายอื่นไมรับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นขอพิพาทตามคํา
คูความใหศาลกําหนดไวเปนประเด็นขอพิพาทและกําหนดใหคูความฝายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นขอใดกอนหรือหลังก็ได
ข. ประเด็นขอพิพาท
7
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ในคดีแตละคดีจะมีประเด็นขอพิพาทไดเพียง 2 ประการคือ
1. ประเด็นปญหาขอกฎหมาย
2. ประเด็นปญหาขอเท็จจริง
แนวคิดวาประเด็นใดเปนประเด็นปญหาขอกฎหมายหรือขอเท็จจริง
ดูวาประเด็นเรื่องนั้นศาลจะตองแสวงหาขอเท็จจริงอีกตอไปหรือไม ถาศาลไมจําเปนตองแสวงหาขอเท็จจริงอีกเพราะ
ขอเท็จจริงที่อยูตรงหนาศาลนั้นมีเพียงพอแลว ปญหาอันนั้นก็เปนปญหาขอกฎหมาย แตถาศาลยังจะตองแสวงหา
ขอเท็จจริงตอไปอีกจึงจะวินจิ ฉัยคดีได ปญหานั้นก็เปนปญหาขอเท็จจริง
โดยปกติ ขอเท็จจริงอาจเขาสูสํานวนไดโดยการสืบพยาน แตบางทีกอ็ าจเขาสูสํานวนศาลโดยทางอื่นได
1. ขอเท็จจริงซึ่งรูกันอยูท
ั่วไป
2. ขอเท็จจริงซึ่งไมอาจโตแยงได
3. ขอเท็จจริงที่คคู วามรับหรือถือวารับกันแลวในศาล
4. ขอเท็จจริงเขาสูสํานวนศาลในเบื้องตนโดยขอสันนิษฐานของกฎหมาย หรือโดยขอสันนิษฐานตามขอเท็จจริงที่
ควรจะเปน ซึง่ ปรากฎจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ
5. ขอเท็จจริงเขาสูสํานวนศาล โดยศาลไดมาในระหวางการพิจารณาของศาล
6. ขอเท็จจริงเขาสูสํานวนศาลโดยการสืบพยาน
3.2 วิธีการสืบพยาน
ในเบื้องตนคูค วามจะตองยืน ่ บัญชีระบุพยานตอศาลเสียกอน (ม.88 วรรคหนึ่ง)
มาตรา 88 เมื่อคูความฝายใดมีความจํานงที่จะอางอิงเอกสารฉบับใด หรือคําเบิกความของพยานคนใด หรือมีความจํานงที่จะใหศาล
ตรวจบุคคลวัตถุ สถานที่ หรืออางอิงความเห็นของผูเชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง เพื่อเปนพยานหลักฐานสนับสนุนขออางหรือขอเถียงของตน ให
คูความฝายนั้นยื่นตอศาลกอนวันสืบพยานไมนอยกวาเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยาน โดยแสดงเอกสารหรือสภาพของเอกสารที่จะอาง และ
รายชื่อ ที่อยู ของบุคคล วัตถุ หรือสถานที่ซึ่งคูความฝายนั้นระบุอางเปนพยาน หรือขอใหศาลไปตรวจ หรือขอใหตั้งผูเชี่ยวชาญ แลวแต
กรณี พรอมทั้งสําเนาบัญชีระบุพยานดังกลาวในจํานวนที่เพียงพอ เพื่อใหคูความฝายอื่นมารับไปจากเจาพนักงานศาล
ก. ชนิดของพยานหลักฐานที่จะนํามาสืบในศาล
พยานที่จะนํามาสืบในศาล มีอยู 3 ประเภทคือ
1. พยานบุคคล
2. พยานเอกสาร
3. วัตถุพยาน
ข. การแบงประเภทของพยานตามคุณคาหรือที่มาของพยาน
1. ประจักษพยาน และ พยานบอกเลา
2. พยานคู และ พยานเดี่ยว
3. พยานแวดลอมกรณี และ พยานแวดลอมคดี
4. พยานนํา และ พยานหมาย
ค. หลักการรับฟงและชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน
คดีแพงศาลจะใชวิธีชั่งน้ําหนักพยาน แตการรับฟงพยานหลักฐานในคดีอาญาแตกตางไปจากคดีแพง ถาศาลมี
ความสงสัยตามสมควรวาจําเลยไดกระทําความผิดหรือไม ใหยกประโยชนแหงความสงสัยนั้นใหจาํ เลย
พยานที่เปนคนหูหนวกหรือเปนใบ สามารถเบิกความเปนพยานในศาลไดหรือไม
สามารถเบิกความเปนพยานในศาลได โดยอาจถูกถามหรือตอบคําถามโดยวิธีเขียนหนังสือ หรือโดยวิธีอื่นที่ศาลเห็นสมควรได
8
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
4. การวินิจฉัยชี้ขาดคดี
คดีที่ยื่นฟองตอศาล ถาคูความมีคาํ ขอในระหวางการพิจารณาคดี ศาลตองมีคาํ สั่งอนุญาตหรือยกเสีย สวนคําฟอง
หรือคํารองขอ ศาลตองวินจิ ฉัยชีข้ าดโดยทําเปนคําพิพากษาหรือคําสั่ง เวนแตในกรณีที่มีเหตุใหศาลจําหนายคดีเสีย
จากสารบบความได
ศาลจะพิพากษาหรือทําคําสั่งนอกจากทีป ่ รากฎในคําฟองไมได
คําพิพากษาหรือคําสั่งยอมผูกพันคูความในคดี หามดําเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได
วินิจฉัยชีข้ าดแลว และคูค วามเดียวกันรือรองฟองกันอีก ในประเด็นที่ไดวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน
เมื่อศาลชั้นตนหรือศาลอุทธรณมีคาํ พิพากษาหรือคําสัง่ แลว คูค วามที่ไมพอใจคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น อาจ
อุทธรณคาํ พิพากษาหรือคําสั่งของศาลชัน้ ตนไปยังศาลอุทธรณ หรือฎีกาคําพิพากษาหรือคําสัง่ ของศาลอุทธรณไปยัง
ศาลฎีกาได ทัง้ นี้ ภายใตบทบัญญัติในเรื่องการหามอุทธรณ หรือหามฎีกา แลวแตกรณี
4.1 หลักทั่วไปวาดวยการวินิจฉัยชีข ้ าดคดี
หลัก (ม.131 ประกอบ 132)
1. คดีมีขอพิพาท ศาลตองทําคําวินิจฉัยชี้ขาดเปนรูปของคําพิพากษา
2. คดีไมมีขอพิพาท ศาลตองทําคําวินิจฉัยชีข ้ าดเปนรูปของคําสั่ง
3. ถาคูความยื่นคําขอตอศาล ไมวาเปนคํารองหรือคําขอกอนศาลจะมีคําพิพากษา ศาลจะมีคาํ วินิจฉัยเปนคําสั่ง
เสมอ
มีบางกรณีทศี่ าลมีคาํ สั่งจําหนายคดีจากสารบบความ โดยไมตองมีคาํ วินิจฉัยชี้ขาด คือ
1. โจทยทิ้งฟอง ถอนฟอง ไมมาศาล (ม.174, 175 และ 193 ทวิ)
2. โจทยไมหาประกันมาให (ม.253, 288) หรือคูความฝายใดฝายหนึ่งหรือทั้งสองขาดนัด (ม.198, 200 และ
201)
3. ความมรณะของคูความฝายใดฝายหนึ่งยังใหคดีไมเปนประโยชนอก ี ตอไป หรือไมมีผูใดเขามาแทนผูมรณะ
(ม.42)
4. ศาลมีคําสั่งใหพิจารณารวมคดีกัน หรือใหแยกกันซึ่งเปนเหตุใหตองโอนคดีไปยังอีกศาลหนึ่ง (ม.28 และ 29)
กฎหมายประสงคใหคคู วามทําการประนีประนอมยอมความกัน ศาลยังสามารถสั่งใหตัวความมาศาลแลวไกลเกลี่ย
หรือประนีประนอมยอมความกันได (ม.19)
มาตรา 19 ศาลมีอํานาจสั่งไดตามที่เห็นสมควรใหคูความทุกฝายหรือฝายใดฝายหนึ่งมาศาลดวยตนเอง ถึงแมวาคูความนั้น ๆ จะได
มีทนายความวาตางแกตางอยูแลวก็ดี อนึ่งถาศาลเห็นวาการที่คูความมาศาลดวยตนเองอาจยังใหเกิดความตกลงหรือการ
ประนีประนอมยอมความดังที่บัญญัติไวในมาตราตอไปนี้ก็ใหศาลสั่งใหคูความมาศาลดวยตนเอง
แมสืบพยานเสร็จแลว ศาลก็มีอํานาจทีจ่ ะไกลเกลี่ยคูความได (ม.20) ตามแนวทาง ม.20 ทวิ
มาตรา 20 ไมวาการพิจารณาคดีจะไดดําเนินไปแลวเพียงใด ใหศาลมีอํานาจที่จะไกลเกลี่ยใหคูความไดตกลงกัน หรือ
ประนีประนอมยอมความกันในขอที่พิพาทนั้น
มาตรา 20 ทวิ เพื่อปะโยชนในการไกลเกลี่ย เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่งรองขอ ศาลจะสั่งใหดําเนินการเปน
การลับเฉพาะตอหนาตัวความทุกฝายหรือฝายใดฝายหนึ่งโดยจะใหมีทนายความอยูดวยหรือไมก็ได
เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่งรองขอ ศาลอาจแตงตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเปนผู-ประนีประนอม เพื่อ
ชวยเหลือศาลในการไกลเกลี่ยใหคูความไดประนีประนอมกัน
หลักเกณฑและวิธีการในการไกลเกลี่ยของศาล การแตงตั้งผูประนีประนอมรวมทั้งอํานาจหนาที่ของผู-ประนีประนอม ให
เปนไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
9
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
10
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
11
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ตองอุทธรณภายในหนึ่งเดือน (ม.229)
ผูยื่นอุทธรณจงึ อยูในฐานะโจทยอุทธรณ และผูถูกอุทธรณจึงเปนจําเลยอุทธรณ แมผูเปนโจทยเมื่อเริ่มตนคดี อาจ
เปนจําเลยอุทธรณได
ข. ศาลใดเปนศาลที่มีหนาที่ตรวจรับอุทธรณ
การอุทธรณใหทาํ เปนหนังสือยื่นตอศาลชั้นตน (ม.229)
เมื่อศาลไดรับอุทธรณ ใหศาลชั้นตนตรวจอุทธรณ และสั่งใหสงหรือไมสงอุทธรณไปยังศาลอุทธรณ (ม.232)
ถาคูความอุทธรณในขอเท็จจริง ใหศาลชั้นตนตรวจวาฟองอุทธรณนั้นจะรับไวพิจารณาหรือไม (ม.230)
ศาลชั้นตนมีหนาที่ตรวจฎีกาดวย (ม.247)
ค. การอุทธรณขอ เท็จจริง (ม.224)
มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ในคดีที่ราคาทรัพยสินหรือจํานวนทุนทรัพยที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณไมเกินหาหมื่นบาทหรือไมเกินจํานวนที่
กําหนดในพระราชกฤษฎีกา หามมิใหคูความอุทธรณในขอเท็จจริง เวนแตผูพิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นตนไดทําความเห็น
แยงไวหรือไดรับรองวามีเหตุอันควรอุทธรณได หรือถาไมมีความเห็นแยงหรือคํารับรองเชนวานี้ตองไดรับอนุญาตใหอุทธรณเปน
หนังสือจากอธิบดีผูพิพากษาชั้นตนหรืออธิบดีผูพิพากษาภาคผูมีอํานาจ แลวแตกรณี
ง. การอุทธรณคําสั่งระหวางพิจารณา (ม.226, 227, 228)
มาตรา 226 กอนศาลชั้นตนไดมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีถาศาลนั้นไดมีคําสั่งอยางใดอยางหนึ่งนอกจากที่ระบุไวใน
มาตรา 227 และ 228
(1) หามมิใหอุทธรณคําสั่งนั้นในระหวางพิจารณา
(2) ถาคูความฝายใดโตแยงคําสั่งใด ใหศาลจดขอโตแยงนั้นลงไวในรายงาน คูความที่โตแยงชอบที่จะอุทธรณคําสั่งนั้นได
ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแตวันที่ศาลไดมีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเปนตนไป
(2)เพือ่ ประโยชนแหงมาตรานี้ ไมวาศาลจะไดมีคําสั่งใหรับคําฟองไวแลวหรือไม ใหถือวาคําสั่งอยางใดอยางหนึ่งของศาล
นับตั้งแตมีการยื่นคําฟองตอศาลนอกจากที่ระบุไวในมาตรา 227 และ 228 เปนคําสั่งระหวางพิจารณา
มาตรา 227 คําสั่งของศาลชั้นตนที่ไมรับหรือใหคืนคําคูความตามมาตรา 18 หรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องตนตามมาตรา 24 ซึ่งทํา
ใหคดีเสร็จไปทั้งเรื่องนั้นมิใหถือวาเปนคําสั่งในระหวางพิจารณา และใหอยูภายในขอบังคับของการอุทธรณคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาด
ตัดสินคดี
มาตรา 228 กอนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถาศาลมีคําสั่งอยางใดอยางหนึ่งดังตอไปนี้ คือ
(1) ใหกักขัง หรือปรับไหม หรือจําขัง ผูใด ตามประมวลกฎหมายนี้
(2) มีคําสั่งอันเกี่ยวดวยคําขอเพื่อคุมครองประโยชนของคูความในระหวางการพิจารณา หรือมีคําสั่งอันเกี่ยวดวยคําขอเพื่อ
จะบังคับคดีตามคําพิพากษาตอไป หรือ
(3) ไมรับหรือคืนคําคูความตามมาตรา 18 หรือวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องตนตามมาตรา 24 ซึ่งมิไดทําใหคดีเสร็จไปทั้งเรื่องหาก
เสร็จไปเฉพาะแตประเด็นบางขอ
คําสั่งเชนวานี้ คูความยอมอุทธรณไดภายในกําหนดหนึ่งเดือน นับแตวันมีคําสั่งเปนตนไป
แมถึงวาจะมีอุทธรณในระหวางพิจารณา ใหศาลดําเนินคดีตอไป และมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น แตถาใน
ระหวางพิจารณา คูความอุทธรณคําสั่งชนิดที่ระบุไวในอนุมาตรา (3) ถาศาลอุทธรณเห็นวา การกลับหรือแกไขคําสั่งที่คูความอุทธรณ
นั้น จะเปนการวินิจฉัยชี้ขาดคดี หรือวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นขอใดที่ศาลลางมิไดวินิจฉัยไว ใหศาลอุทธรณมีอํานาจทําคําสั่งใหศาลลางงด
การพิจารณาไวในระหวางอุทธรณ หรืองดการวินิจฉัยคดีไวจนกวาศาลอุทธรณจะไดวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณนั้น
ถาคูความมิไดอุทธรณคําสั่งในระหวางพิจารณาตามที่บัญญัติไวในมาตรานี้ก็ใหอุทธรณไดในเมื่อศาลพิพากษาคดีแลวตาม
ความในมาตรา 223
จ. หลักเกณฑเกี่ยวกับการฎีกา (ม.247)
12
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
5. การบังคับคดี
เจาหนี้ตามคําพิพากษามีสิทธิที่จะบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งไดภายใน 10 ป นับแตวันที่คาํ พิพากษาหรือ
คําสั่งถึงที่สุด
กรณีที่มีการยึดทรัพยของลูกหนี้ตามคําพิพากษาแลว หามเจาหนีต้ ามคําพิพากษาอื่นยึดทรัพยนั้นซ้ําอีก แตให
เจาหนี้ตามคําพิพากษานั้น รองเฉลี่ยในทรัพยสินหรือเงินที่ขาย หรือจําหนายทรัพยสินนั้น
เมื่อเจาหนี้ตามคําพิพากษาไดนํายึดทรัพยรายใดรายหนึ่งของลูกหนี้ ปรากฎวาทรัพยที่ยึดนั้นไมใชของลูกหนีต้ าม
คําพิพากษา แตเปนของบุคคลอื่น บุคคลอื่นอาจยื่นคํารองขอตอศาลที่ออกหมายบังคับคดีใหปลอยทรัพยสินนั้น โดย
จะตองยื่นคํารองกอนมีการขายทอดตลาดหรือจําหนายทรัพยนั้นดวยวิธีอื่น
ถาบุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพยสิน ที่เจาหนี้ตามคําพิพากษายึดมา บุคคลนัน ้ มีสิทธิยื่นคํารองขอกันสวนของ
ตน กอนที่เจาพนักงานบังคับคดีจะนําเงินที่ไดจากการขายทรัพยสินนัน้ ชําระหนี้แกเจาหนี้ตามคําพิพากษา
5.1 กําหนดเวลาในการบังคับคดี
ก. ขั้นตอนการบังคับคดี
1. เมื่อศาลมีคําพิพากษาและมีการบังคับ
2. ศาลจะออกคําบังคับแกลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือ
3. คําสั่งในวันทีอ
่ านคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น
คําบังคับตางกับหมายบังคับคดี การออกคําบังคับเปหนาที่ของศาลชั้นตน
ข. ระยะเวลาในการบังคับคดี (ม.271)
มาตรา 271 ถาคูความหรือบุคคลซึ่งเปนฝายแพคดี (ลูกหนี้ตามคําพิพากษา) มิไดปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลทั้งหมด
หรือบางสวน คูความหรือบุคคลซึ่งเปนฝายชนะ(เจาหนี้ตามคําพิพากษา) ชอบที่จะรองขอใหบังคับคดีตามคําพิพากษา หรือคําสั่งนั้น
ไดภายในสิบปนับแตวันมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง โดยอาศัยและตามคําบังคับที่ออกตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น
5.2 ปญหาคาบเกี่ยวจากการบังคับคดี
ก. รองขอเฉลี่ยทรัพย (ม.290)
13
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
14
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
กอนป 2540 ศาลยุติธรรมสังกัดอยูกับกระทรวงยุติธรรม ตอมามีการแยกศาลยุติธรรมออกจากกระทรวงยุติธรรม
โดยมีหนวยงานธุรการเปนอิสระ ไมสังกัดสวนราชการใด
ศาลยุติธรรมแบงออกเปนสามชั้นคือ ศาลชั้นตน ศาลอุทธรณ และศาลฎีกา
ตําแหนงหนาที่ของผูพิพากษา แบงออกเปน ผูพิพากษาธรรมดา กับผูพิพากษาหัวหนาผูร ับผิดชอบ มีหนาที่
แตกตางกัน
เขตศาลและอํานาจศาลมีความหมายแตกตางกัน
องคคณะผูพิพากษา หมายถึง จํานวนผูพิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี
การทําการแทนในการนั่งพิจารณาคดี และการตรวจสํานวนคดีทท ี่ าํ คําพิพากษาจะทําไดเมื่อมีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุ
จําเปนอื่นอันมิอาจกาวลวงได ทําใหผูพิพากษาซึ่งเปนองคคณะในการพิจารณาคดีนั้น ไมอาจจะนั่งพิจารณาคดีหรือไม
อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นตอไปได
การจายสํานวน การเรียกคืนสํานวน การโอนสํานวน และคืนสํานวนคดี ตองเปนไปตามหลักเกณฑที่กฎหมาย
กําหนดเพื่อเฉลี่ยงานพิจารณาคดีแกผูพพิ ากษาในศาลไดอยางเหมาะสม และปองกันอิทธิพลใดๆ ทีจ่ ะเขาครอบงํา
การพิจารณาพิพากษาคดี
1. ศาลยุติธรรม
ศาลยุติธรรมแบงงานเปน 2 สวนคือ งานตุลาการและงานธุรการ
การจัดตั้งศาลจะตองตราเปนพระราชบัญญัติ
การแบงลําดับชั้นของศาลก็เพื่อใหการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลไดรับการกลั่นกรองอยางรอบคอบ
1.1 ประวัติและการบริหารงานศาลยุตธ
ิ รรม
ก. การแยกศาลยุติธรรมออกจากกระทรวงยุตธิ รรม
คณะรัฐมนตรีมีมติวันที่ 10 ตุลาคม 2540 มาตรา 275 ใหศาลยุติธรรมมีหนวยธุรการเปนอิสระ ทั้งในงาน
บุคคลและงบประมาณ
ไดมีการตราเปนพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543
ข. การบริหารงานศาลยุตธิ รรม
งานแบงออกเปนสองสวนคือ
1. งานตุลาการ – งานพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง การทําคําสั่งหรือไตสวนคํารองคําขอตางๆ ในคดี
การไตสวนมูลฟองในคดีอาญา รวมตลอดถึงการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งศาล ซึ่งเปน
อํานาจหนาทีผ่ ูพิพากษาโดยเฉพาะ
2. งานธุรการ – งานบริหารทัว่ ไปของศาลยุติธรรม ซึ่งมีขา ราชการศาลยุติธรรมเปนผูดําเนินการ เชน
งานคลัง งานพัสดุ งานสงเสริมงานตุลาการ การโยกยาย การลงโทษทางวินยั
คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ประกอบดวย ประธานศาลฎีกาเปนประธาน กรรมการแตละชั้นศาล
ไดแก ศาลฎีกา 4 คน ศาลอุทธรณและศาลอุทธรณภาค 4 คน และศาลชั้นตน 4 คน เลขาธิการสํานักงานศาล
ยุติธรรมเปนเลขานุการ และรองเลขาธิการเปนผูชวยเลขานุการ
ประธานศาลฎีกา เปนตําแหนงสูงสุดของขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรมและเปนประมุขของฝายตุลาการ
15
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1.2 พ.ร.บ.ใหใชพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คดีที่เกิดขึ้นนับแตวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 เปนตนไป จะตองใชพระธรรมนูญศาลยุติธรรมในปจจุบันบังคับ
ไดแก พระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม ทาย พ.ร.บ.ใหใชพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ.2543
1.3 การจัดตั้งศาลยุติธรรมและการแบงลําดับชัน ้ ของศาล
ก. การจัดตัง้ ศาลยุตธิ รรม
หลักเกณฑ
1. เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมเสนอจัดตั้ง ยุบ
เลิก หรือเปลี่ยนแปลงเขตตอคณะรัฐมนตรี
2. ตองคํานึงถึงจํานวนสภาพ สถานที่ตั้ง และเขตอํานาจศาล
3. เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก็จะดําเนินการเสนอรางพระราชบัญญัติจดั ตั้ง หรือยุบศาล
ข. การแบงลําดับชัน้ ศาล
1. ศาลชั้นตน ไดแก
a. ศาลแพง
b. ศาลแพงกรุงเทพใต
c. ศาลแพงธนบุรี
d. ศาลอาญา
e. ศาลอาญากรุงเทพใต
f. ศาลอาญาธนบุรี
g. ศาลจังหวัด
h. ศาลแขวง
i. ศาลยุติธรรมอื่น
i. ศาลเยาวชนและครอบครัว
ii. ศาลแรงงาน
iii. ศาลภาษีอากร
iv. ศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวางประเทศ
v. ศาลลมละลาย
2. ศาลอุทธรณ ไดแก
a. ศาลอุทธรณ
b. ศาลอุทธรณภาค
i. ศาลอุทธรณ ภาค 1 – 9 อยูที่กรุงเทพฯ
ii. ศาลอุทธรณภาค 2 จังหวัดระยอง
iii. ศาลอุทธรณภาค 5 จังหวัดเชียงใหม
3. ศาลฎีกา
2. ตําแหนงหนาที่ผูพิพากษา
16
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
17
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. อํานาจพิจารณาพิพากษา
กฎหมายกําหนดใหศาลตองพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะที่อยูในเขตศาลของตนเทานั้น และอํานาจในการพิจารณา
พิพากษาคดีกจ็ ะตองอยูภ ายในขอบเขตทีก่ ําหนดไว
ศาลชั้นตนมีเขตอํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดีแตกตางกัน
ศาลอุทธรณและศาลอุทธรณภาคมีเขตอํานาจแยกตางหากจากกัน สวนศาลฎีกามีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษา
คดีแพงและคดีอาญาทั้งปวงทั่วราชอาณาจักร
3.1 ความหมายของเขตศาลและอํานาจศาล
เขตศาล หมายถึง พื้นที่ทางภูมิศาสตรซึ่งกําหนดอาณาเขตของศาลนัน ้ ไวตามพระราชบัญญัตจิ ัดตั้งศาลนั้นๆ
อํานาจศาล หมายถึง สิทธิหรือความสามารถของศาลในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งศาลแตละศาลจะมีอาํ นาจ
พิจารณาพิพากษาคดีประเภทใดนั้นเปนไปตามทีก่ ฎหมายกําหนดใหอํานาจไว
ขอสังเกต
1. เขตศาลทับซอนกันโดยเกิดขึ้นไดเฉพาะศาลตางเภทกัน เชน ศาลเยาวชนและครอบครัวกับศาลจังหวัด
3.2 เขตอํานาจของศาลชัน ้ ตน
ก. เขตอํานาจศาลแขวง
เขตศาลแขวง กําหนดโดย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 3
เขตอํานาจศาลแขวง ตามมาตรา 17 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มี 7 ประการ
1. ออกหมายเรียก หมายอาญา หรือหมายสัง่ ใหสงคนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น
2. การออกคําสั่งใดๆ ซึ่งมิใชเปนไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดขอพิพาทแหงคดี
3. ไตสวนและวินิจฉัยชี้ขาดคํารองหรือคําขอที่ยื่นตอศาลในคดีทั้งปวง
4. ไตสวนและมีคําสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย
5. ไตสวนมูลฟองและมีคาํ สั่งในคดีอาญา
6. พิจารณาพิพากษาคดีแพง
7. พิจารณาพิพากษาคดีอาญา
18
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
คดีมท
ี ุนทรัพย หมายถึง คดีที่มคี ําขอใหปลดเปลื้องทุกขอันอาจคํานวณเปนราคาเงินได
หลัก คําพิพากษาใหโจทยไดกรรมสิทธิ์หรือประโยชนที่คดิ คํานวณเปนราคาเงินได
คดีไมมที ุนทรัพย หมายถึง คดีที่มีคาํ ขอใหปลดเปลื้องทุกขอันไมอาจคํานวณเปนราคาเงินได
หลัก คําพิพากษาใหตามคําขอของโจทย ไมมีผลใหโจทยไดทรัพยสินมาเปนของโจทย
หลักเกณฑคดีแพงทีศ่ าลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษา (ม.17 ประกอบ ม.25(4))
1. ตองเปนคดีทม ี่ ีทุนทรัพย
a. ฟองเรียกเอาทรัพยสินมาเปนของตนหรือผลของคําพิพากษาทําใหโจทยไดมาซึ่งทรัพยสิน
b. ฟองขอใหเพิกถอนนิติกรรมการใหหรือเพิกถอนนิติกรรม
c. การฟองขอใหเพิกถอนการฉอฉล
d. ฟองขับไลผูเชาผูอาศัยหรือผูที่เขามาอยูโ ดยละเมิด
2. ทุนทรัพยที่พพิ าทหรือจํานวนเงินที่ฟองตองไมเกินสามแสนบาท
a. ดอกเบี้ย คาเชา หรือคาเสียหายที่คด ิ ถึงวัดฟองตองรวมคิดเปนทุนทรัพยดวย แตดอกเบี้ย คาเชาใน
อนาคตที่ขอมาตั้งแตวันถัดจากวันฟองจะนํามาคํานวณดวยไมได
b. ทุนทรัพยที่เพิม ่ ขึ้นหลังจากฟองมีมูลคาเพิ่มขึ้นเกิน 300,000 บาท ศาลแขวงไมมีอํานาจพิจารณา
พิพากษาคดีนั้น ตองจําหนายออกใหโจทยไปยื่นฟองใหมตอศาลทีม่ ีอํานาจ
c. กรณีฟอ งแยง ถือทุนทรัพยในคดีเดิมไมได ตองถือทุนทรัพยฟองแยงตางหากจากฟองเดิม
ข. เขตอํานาจศาลจังหวัด
เขตศาลจังหวัด เปนไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคหนึ่ง
อํานาจศาลจังหวัด
1. พิจารณาพิพากษาคดีแพงและคดีอาญาทัง้ ปวง
2. เขตอํานาจของศาลจังหวัดซอนกับเขตอํานาจของศาลแขวง ม.16 วรรคสี่ใหศาลจังหวัดโอนไปยังศาลแขวง
ค. เขตอํานาจศาลชั้นตนในกรุงเทพมหานคร
เขตศาลแพงและศาลอาญา ใหเปนไปตามมาตรา 16 วรรคสองและวรรคสาม แบงได 2 กรณี
1. เขตอํานาจหลัก
2. เขตอํานาจพิเศษ
อํานาจศาลแพงและศาลอาญา ใหเปนไปตามพระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม มาตรา 19 วรรคหนึง่
ง. เขตศาลยุติธรรมอืน่
ศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดใหเปนศาลชั้นตน มี 5 ประเภท ไดแก ศาลเยาวชนและ
ครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวางประเทศ และศาลลมละลาย
3.3 เขตอํานาจของศาลอุทธรณ ศาลอุทธรณภาค และศาลฎีกา
ก. เขตอํานาจของศาลอุทธรณและศาลอุทธรณภาค
เขตศาลอุทธรณและศาลอุทธรณภาค เปนไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21
อํานาจศาลอุทธรณและศาลอุทธรณภาค
1. พิพากษายืนตาม แกไข กลับ หรือยกคําพิพากษาของศาลชั้นตนทีพ ่ ิพากษาลงโทษประหารชีวิตหรือจําคุก
ตลอดชีวิต
2. วินิจฉัยชีข
้ าดคํารองคําขอทีย่ ื่นตอศาลอุทธรณหรือศาลอุทธรณ
19
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. วินิจฉัยชีข้ าดคดีที่ศาลอุทธรณและศาลอุทธรณภาคมีอํานาจวินิจฉัยได
ข. เขตอํานาจศาลฎีกา
เขตศาลฎีกา มีศาลเดียว จึงมีเขตอํานาจตลอดราชอาณาจักร
อํานาจศาลฎีกา ตามมาตรา 23
1. พิจารณาพิพากษาคดีที่รฐ ั ธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติใหเสนอตอศาลฎีกาไดโดยตรง
2. พิจารณาพิพากษาคดีที่ฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลอุทธรณหรือศาลอุทธรณภาค
3. พิจารณาพิพากษาคดีที่อท ุ ธรณคําพิพากษา หรือคําสั่งของศาลชั้นตนตามที่กฎหมายบัญญัติ
4. องคคณะผูพิพากษา
การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนั้น จะตองประกอบดวยองคคณะของผูพิพากษาตามที่กฎหมายกําหนดไว โดย
ถืออัตราโทษหรือจํานวนทุนทรัพยเปนเกณฑ และองคคณะของศาลแตละศาลอาจมีจาํ นวนไมเทากัน
ผูพิพากษาคนเดียวของศาลแตละศาลอาจจะมีอํานาจไมเทากัน
การนั่งพิจารณาคดีแทน และการตรวจสํานวนลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาจะทําไดเมื่อมีเหตุสดุ วิสัยหรือเหตุ
จําเปนอันมิอาจกาวลวงได ทําใหผูพิพากษาซึ่งเปนองคคณะในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ไมอาจจะนั่งพิจารณาคดี
หรือไมอาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นตอไปได
การจาย การโอน การเรียกคืน และการคืนสํานวนคดีตอ งเปนไปตามหลักเกณฑที่กฎหมายกําหนด
4.1 ความหมายของ “องคคณะผูพิพากษา”
องคคณะผูพิพากษา หมายถึง จํานวนผูพิพากษาอยางนอย ซึ่งกฎหมายบังคับไวในการนั่งพิจารณาหรือพิพากษา
คดี
การพิจารณาองคคณะแบงออกเปนสองกรณี
1. องคคณะนั่งพิจารณา ไดแก จํานวนผูพิพากษาที่ออกนั่งพิจารณาคดี
2. องคคณะพิพากษา ไดแก จํานวนผูพิพากษาที่ลงลายมือชื่อในคําพิพากษา
ก. องคคณะของศาลชั้นตน
1. ศาลแขวง – ใหผูพิพากษาคนเดียวมีอํานาจ
2. ศาลชั้นตนที่ไมใชศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่น ไดแก ศาลจังหวัด ศาลแพงกรุงเทพใต ศาลแพงธนบุรี ศาล
อาญา ศาลอาญากรุงเทพใต ศาลอาญาธนบุรี – มีผูพิพากษาอยางนอยสองคน และไมเปนผูพิพากษาประจํา
เกินหนึ่งคน
3. องคคณะในศาลยุติธรรมอืน ่
a. ศาลเยาวชนและครอบครัว – มีผูพิพากษาไมนอยกวาสองคน ผูพิพากษาสมทบสองคน อยางนอย
ตองเปนสตรีหนึ่งคน
b. ศาลแรงงาน – ผูพิพากษาแรงงานหนึ่งคน ผูพิพากษาสมทบฝายนายจางและลูกจางอยางละหนึง่ คน
c. ศาลภาษีอากร – มีผูพิพากษาอยางนอยสองคน
d. ศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวางประเทศ – มีผูพิพากษาไมนอยกวาสองคน และผู
พิพากษาสมทบอีกหนึ่งคน
ข. องคคณะของศาลอุทธรณและศาลอุทธรณภาค (ม.27)
20
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
21
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. คูความและการเสนอคดีตอศาล
บุคคลที่มีขอโตแยงเกีย่ วกับสิทธิหรือหนาที่ตามกฎหมายแพง หรือจะตองใชสท
ิ ธิทางศาลชอบทีจ่ ะนําเสนอคดีของ
ตนได
บุคคลที่มีผลประโยชนรวมกันในมูลความแหงคดีอาจเปนคูความในคดีเดียวกันได
บุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูความอาจเขามาเปนคูความไดดวยการรองสอด
คูความฝายใดฝายหนึ่งอาจตั้งทนายความใหวาความและดําเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็ได หรือคูความหรือ
ทนายความอาจตั้งแตงใหบคุ คลใดทําการแทนเพื่อทํากิจกรรมตามที่บัญญัติไวในกฎหมายก็ได
1. เงื่อนไขการเสนอคดีตอศาล
เมื่อมีขอโตแยงเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพง บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตน
ตอศาลสวนแพงที่มีเขตอํานาจไดโดยทําเปนคําฟอง
เมื่อบุคคลใดจะตองใชสิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนตอศาลสวนแพงที่มีเขตอํานาจไดโดยทํา
เปนคํารองขอ
1. 1 กรณีมก ี ารโตแยงสิทธิหรือหนาที่
มาตรา 55 เมื่อมีขอโตแยงเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพง หรือบุคคลใดจะตองใชสิทธิทางศาล บุคคล
นั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนตอศาลสวนแพงที่มีเขตอํานาจได ตามบทบัญญัติแหงกฎหมายแพงและประมวลกฎหมายนี้
ก. ผูที่จะเปนโจทยและจําเลยตองมีฐานะเปนบุคคล
บุคคล ไดแก บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ตาม ปพพ.
ยกเวนบุคคลบางคน ไมสามารถถูกฟองเปนจําเลยได
1. ผูที่ถูกศาลสั่งพิทักษทรัพย
2. การฟองบุพการี
3. ผูแทนของรัฐบาลตางประเทศ
ข. เมื่อมีขอ โตแยงเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพง
ขอสังเกต
1. ตองเปนสิทธิหรือหนาที่ตามกฎหมายหรือกฎหมายรับรอง
2. การโตแยงไมจําเปนตองใชกําลัง เพียงกระทําบางประการเพื่อไมใหใชสิทธิไดโดยบริบูรณก็เพียงพอแลว
3. บุคคลที่ถูกโตแยงชอบที่จะเสนอคดีตอศาลได
แดงปลูกบานอาศัยอยูในที่ดินมีโฉนดของตน ตอมาเทศบาลเอาปายไปปกไวในที่ดินแปลงดังกลาววาเปนปาชาสาธารณะ ดังนี้ แดง
จะฟองเทศบาลขอใหหามมิใหเกี่ยวของกับที่ดินแปลงดังกลาวไดหรือไม
ก เปนเจาของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด 1 แปลง ระหวางที่ ข นําเจาพนักงานศาลไปทําแผนที่พิพาทในคดีแพงเรื่องหนึ่งไดนําชี้วา
ที่ดินแปลงของ ก ดังกลาวเปนของตน ดังนี้ ก จะฟอง ข ขอใหศาลพิพากษาวาที่ดินแปลงดังกลาวเปนของ ก หาม ข เขามาเกี่ยวของได
หรือไม
1.2 กรณีตอ งใชสิทธิทางศาล
การนําคดีมาสูศาลมี 2 กรณีคือ
1. ยื่นฟองตอศาลเปนคดีมีขอพิพาท
22
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. ยื่นคํารองตอศาลเปนคดีไมมีขอพิพาทเมื่อจําตองใชสทิ ธิทางศาล
ก เปนเพศชายโดยกําเนิด ตอมาไดรับการผาตัดเปลี่ยนอวัยวะเปนเพศหญิง ดังนี้ ก จะยื่นคํารองขอตอศาลขอใหศาลสั่งอนุญาตให
ถือเพศเปนหญิงไดหรือไม
2. คูความ
บุคคลผูย ื่นคําฟองหรือถูกฟองตอศาลยอมเปนคูความ และหมายความรวมถึงบุคคลผูมีสิทธิกระทําการแทนบุคคล
นั้นๆ ตามกฎหมาย หรือในฐานะทนายความดวย
ผูไรความสามารถหรือทําการแทนจะเสนอขอหาตอศาลหรือดําเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ไดตอ เมื่อไดปฏิบัติตาม
บทบัญญัตแิ หงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยวา ดวยความสามารถและตามบทบัญญัตแิ หงประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพง
บุคคลตั้งแตสองคนขึ้นไปอาจเปนคูความในคดีเดียวกันไดโดยเปนโจทยรวม หรือจําเลยรวม
2.1 ความหมาย
"คูความ" หมายความวา บุคคลผูย ื่นคําฟอง หรือถูกฟองตอศาลและเพื่อประโยชนแหงการดําเนินกระบวน
พิจารณาใหรวมถึงบุคคลผูม ีสิทธิกระทําการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมายหรือในฐานะทนายความ (ม.1(11))
สรุปคูความ ไดแก
1. บุคคลผูย ื่นคําฟอง
2. บุคคลผูถูกฟอง
3. บุคคลผูมีสท ิ ธิกระทําการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมาย
4. ทนายความของบุคคลตาม 1) 2) หรือ 3)
2.2 กรณีผูไรความสามารถเปนคูความในคดี
มาตรา 56 ผูไรความสามารถหรือผูทําการแทนจะเสนอขอหาตอศาลหรือดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ได ตอเมื่อไดปฏิบัติตาม
บทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยวาดวยความสามารถและตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ การใหอนุญาตหรือ
ยินยอมตามบทบัญญัติเชนวานั้น ใหทําเปนหนังสือยื่นตอศาลเพื่อรวมไวในสํานวนความ
ไมวาเวลาใด ๆ กอนมีคําพิพากษาเมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคูความฝายหนึ่งฝายใดยื่นคําขอโดยทําเปนคํารอง ใหศาลมี
อํานาจทําการสอบสวนในเรื่องความสามารถของผูขอหรือของคูความอีกฝายหนึ่ง และถาเปนที่พอใจวามีการบกพรองในเรื่อง
ความสามารถ ศาลอาจมีคําสั่งกําหนดใหแกไขขอบกพรองนั้นเสียใหบริบูรณภายในกําหนดเวลาอันสมควรที่ศาลจะสั่ง
ถาศาลเห็นวา เพื่อความยุติธรรมไมควรใหกระบวนพิจารณาดําเนินเนิ่นชาไป ศาลจะสั่งใหคูความฝายที่บกพรองในเรื่อง
ความสามารถนัน้ ดําเนินคดีไปกอนชั่วคราวก็ได แตหามมิใหศาลพิพากษาในประเด็นแหงคดีจนกวาขอบกพรองนั้นไดแกไขโดย
บริบูรณแลว
ถาผูไรความสามารถไมมีผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูแทนโดยชอบธรรมทําหนาที่ไมได ศาลมีอํานาจออกคําสั่งใหอนุญาตหรือ
ใหความยินยอมตามที่ตองการหรือตั้งผูแทนเฉพาะคดีนั้นใหแกผูไรความสามารถ ถาไมมีบุคคลอื่นใดใหศาลมีอํานาจตั้งพนักงาน
อัยการหรือเจาพนักงานฝายปกครองอื่นใหเปนผูแทนได
ก อายุ 17 ป ยังไมบรรลุนิติภาวะ และไมมีผูแทนโดยชอบธรรม หาก ก ถูก ข ทํารายรางกายไดรับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ ก จะฟอง
เรียกคาเสียหายจาก ข ก ตองดําเนินการอยางไร
2.3 คูความรวม
มาตรา 59 บุคคลตั้งแตสองคนขึ้นไป อาจเปนคูความในคดีเดียวกันไดโดยเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวม ถาหากปรากฎวาบุคคล
เหลานั้นมีผลประโยชนรวมกันในมูลความแหงคดี แตหามมิใหถือวาบุคคลเหลานั้นแทนซึ่งกันและกัน เวนแตมูลแหงความคดีเปนการ
23
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. การรองสอด
บุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูความอาจเปนคูค วามไดดวยการองสอดเขามาในคดี อาจโดยสมัครใจหรือโดยถูกกฎหมาย
เรียกเขามาก็ได
ผูรองสอดที่เขามาเปนคูค วามยอมมีสิทธิแตกตางกันไป แลวแตวา ไดรอ งสอดเขามาในกรณีใด
3.1 หลักเกณฑการรองสอด
มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูความอาจเขามาเปนคูความไดดวยการรองสอด
(1) ดวยความสมัครใจเองเพราะเห็นวาเปนการจําเปนเพื่อยังใหไดรับความรับรอง คุมครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มี
อยู โดยยื่นคํารองขอตอศาลที่คดีนั้นอยูในระหวางพิจารณาหรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกรองเกี่ยวเนื่องดวยการบังคับตามคําพิพากษาหรือ
คําสั่ง โดยยื่นคํารองขอตอศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น
(2) ดวยความสมัครใจเองเพราะตนมีสวนไดเสียตามกฎหมายในผลแหงคดีนั้น โดยยื่นคํารองขอตอศาลไมวาเวลาใด ๆ
กอนมีคําพิพากษา ขออนุญาตเขาเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวมหรือเขาแทนที่คูความฝายใดฝายหนึ่งเสียทีเดียวโดยไดรับความยินยอม
ของคูความฝายนั้น แตวาแมศาลจะไดอนุญาตใหเขาแทนที่กันไดก็ตาม คูความฝายนั้นจําตองผูกพันตนโดยคําพิพากษาของศาลทุก
ประการเสมือนหนึ่งวามิไดมีการเขาแทนที่กันเลย
(3) ดวยถูกหมายเรียกใหเขามาในคดี (ก) ตามคําขอของคูความฝายใดฝายหนึ่งทําเปนคํารองแสดงเหตุวาตนอาจฟองหรือ
ถูกคูความเชนวานั้น ฟองตนได เพื่อการใชสิทธิไลเบี้ย หรือเพื่อใชคาทดแทน ถาหากศาลพิจารณาใหคูความเชนวานั้นแพคดี หรือ (ข)
โดยคําสั่งของศาลเมื่อศาลนั้นเห็นสมควร หรือเมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่งมีคําขอ ในกรณีที่กฎหมายบังคับใหบุคคลภายนอกเขามาใน
คดี หรือศาลเห็นจําเปนที่จะเรียกบุคคลภายนอกเขามาในคดีเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม แตถาคูความฝายใดฝายหนึ่ง จะเรียก
บุคคลภายนอกเขามาในคดีดังกลาวแลว ใหเรียกดวยวิธียื่นคํารองเพื่อใหหมายเรียกพรอมกับคําฟองหรือคําใหการหรือในเวลาใด ๆ
ตอมากอนมีคําพิพากษาโดยไดรับอนุญาตจากศาล เมื่อศาลเปนที่พอใจวาคํารองนั้นไมอาจยื่นกอนนั้นได
การสงหมายเรียกบุคคลภายนอกตามอนุมาตรานี้ตองมีสําเนาคําขอหรือคําสั่งของศาล แลวแตกรณี และคําฟองตั้งตนคดีนั้น
แนบไปดวย
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ไมตัดสิทธิของเจาหนี้ ในอันที่จะใชสิทธิเรียกรองของลูกหนี้และที่จะเรียกลูกหนี้ใหเขามาใน
คดีดังที่บัญญัติไวในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
แดงเปนโจทยฟองขับไลดําใหออกจากที่ดินแปลงหนึ่งโดยอางวาที่ดินแปลงดังกลาวเปนของตน ดํายื่นคําใหการตอสูคดี กอน
สืบพยานนัดแรก ขาวยื่นคํารองเขามาในคดีอางวาตนเปนเจาของที่ดินแปลงดังกลาวจึงขอรองสอดเขาเปนจําเลยเพื่อรักษาสงวนสิทธิ
ของตน ดังนี้ ศาลจะรับคํารองสอดของขาวไดหรือไม
3.2 ผลของการรองสอด
มาตรา 58 ผูรองสอดที่ไดเขาเปนคูความตามอนุมาตรา (1) และ (3) แหงมาตรากอนนี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งวาตนไดฟองหรือถูกฟอง
เปนคดีเรื่องใหมซึ่งโดยเฉพาะผูรองสอดอาจนําพยานหลักฐานใหมมาแสดง คัดคานเอกสารที่ไดยื่นไวถามคานพยานที่ไดสบื มาแลว
และคัดคานพยานหลักฐานที่ไดสืบไปแลวกอนที่ตนไดรองสอด อาจอุทธรณฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติ
ไว และอาจไดรับหรือถูกบังคับใหใชคาฤชาธรรมเนียม
หามมิใหผูรองสอดที่ไดเปนคูความตามอนุมาตรา (2) แหงมาตรากอนใชสิทธิอยางอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยูแกคูความฝายซึ่ง
ตนเขาเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวมในชั้นพิจารณาเมื่อตนรองสอด และหามมิใหใชสิทธิเชนวานั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทกหรือ
24
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
4. ทนายความและผูรับมอบอํานาจ
คูความฝายใดฝายหนึ่งหรือผูแทนโดยชอบธรรมในกรณีที่คคู วามเปนผูไรความสามารถ หรือผูแทนในกรณีที่
คูความเปนนิติบุคคลจะวาความดวยตัวเอง หรือจะตั้งแตงทนายวาความและดําเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็ได
การตัง้ ทนายความตองทําเปนหนังสือลงลายมือชื่อตัวความและทนายความแลวยืน ่ ตอศาลเพื่อรวมไวในสํานวน
ทนายความทีต่ ัวความไดตั้งแตงจะขอตอศาลใหสั่งถอนตนจากการตั้งแตงนั้นก็ได
ทนายความซึง่ คูความไดตั้งแตงนั้นมีอํานาจวาความและดําเนินกระบวนพิจารณาใดๆ แทนคูค วามไดตามที่
เห็นสมควร แตกระบวนพิจารณาใดเปนไปในทางจําหนายสิทธิของคูความทนายความ ไมมีอาํ นาจทีจ่ ะดําเนิน
กระบวนพิจารณานั้นโดยมิไดรับมอบอํานาจจากตัวความโดยชัดแจง
ตัวความหรือผูแทนโดยชอบธรรม หรือผูแ ทนมีสิทธิทําหนังสือมอบอํานาจใหบคุ คลอื่นเปนผูแทนตนในคดีได
ตัวความมีสท ิ ธิตั้งแตงผูแ ทนหรือทนายความ โดยทําเปนหนังสือยื่นตอศาลเพื่อใหรับเงินหรือทรัพยสินซึ่งไดชําระ
ไวในศาลหรือวางไวยังศาลเปนเงินคาธรรมเนียมหรืออยางอื่น และศาลไดสั่งใหจา ยคืนและสงมอบใหตัวความฝายนั้น
คูความหรือทนายความอาจตั้งแตงใหบคุ คลใดทําการแทนไดโดยยืน ่ ใบมอบฉันทะตอศาลทุกครั้งเพื่อทํากิจการ
อยางใดอยางหนึ่งตามที่บญ ั ญัติไวในกฎหมาย
ศาลมีอาํ นาจสอบสวนอํานาจของผูแทนโดยชอบธรรมของตัวความหรือผูแทนของนิติบุคคล ถาเห็นวาไมมีอาํ นาจ
หรืออํานาจบกพรอง ศาลอาจยกฟองหรือมีคําพิพากษาหรือคําสั่งอยางอื่นไดตามที่เห็นสมควร
4.1 การตั้งทนายความ
ก. การตั้งทนายความ (ม.60 วรรคแรก, 61)
มาตรา 60 วรรคแรก คูความฝายใดฝายหนึ่ง หรือผูแทนโดยชอบธรรมในกรณีที่คูความเปนผูไรความสามารถ หรือผูแทนในกรณีที่
คูความเปนนิติบุคคลจะวาความดวยตนเองและดําเนินกระบวนพิจารณาทั้งปวงตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชนของตนหรือจะตั้งแตง
ทนายความคนเดียวหรือหลายคนใหวาความและดําเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็ได
มาตรา 61 การตั้งทนายความนั้น ตองทําเปนหนังสือลงลายมือชื่อตัวความและทนายความ แลวยื่นตอศาลเพื่อรวมไวในสํานวน ใบ
แตงทนายนี้ใหใชไดเฉพาะคดีเรือ่ งหนึ่ง ๆ ตามที่ไดยื่นไวเทานัน้ เมื่อทนายความผูใดไดรับมอบอํานาจทั่วไปที่จะแทนบุคคลอื่นไมวาใน
คดีใด ๆ ใหทนายความผูนั้นแสดงใบมอบอํานาจทั่วไปแลวคัดสําเนายื่นตอศาลแทนใบแตงทนาย เพื่อดําเนินคดีเปนเรื่อง ๆ ไป ตาม
ความในมาตรานี้
ข. อํานาจทนายความ (ม.62)
มาตรา 62 ทนายความซึ่งคูความไดตั้งแตงนั้นมีอํานาจวาความและดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนคูความไดตามที่เห็นสมควร
เพื่อรักษาผลประโยชนของคูความนั้น แตถากระบวนพิจารณาใดเปนไปในทางจําหนายสิทธิของคูความ เชน การยอมรับตามที่คูความ
25
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
26
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
4. เขตอํานาจศาล การคัดคานผูพพ
ิ ากษา คําคูค วามและเอกสาร
ศาลแตละศาลมีเขตอํานาจตางกัน และการเสนอคดีตอ งคํานึงถึงสภาพแหงคําฟอง ชั้นของศาล อํานาจศาลและ
เขตศาล
ผูพิพากษาทีพ
่ ิจารณาอาจถูกคัดคานได
ศาลจะตองตรวจคําคูค วามที่พนักงานศาลรับไว เพื่อยื่นตอศาลและมีคําสั่งไปตามควรแกกรณี
1. เขตอํานาจศาล
การยื่นคําฟองและคํารองตองคํานึงถึงอํานาจศาลที่พจิ ารณาพิพากษาและเขตศาลที่จะรับฟองและคํารองขอนัน
้
ดวย
คําฟองเกี่ยวดวยหนี้เหนือบุคคลใหเสนอตอศาลทีจ่ ําเลยมีภูมิลาํ เนาอยูในเขตศาลหรือตอศาลทีม ่ ูลคดีเกิดในเขต
ศาล สวนคํารองขอใหเสนอตอศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น หรือตอศาลที่ผรู องมีภูมิลําเนาในเขตศาล เวนแตจะมีบทบัญญัติ
เปนอยางอื่น
คําฟองหรือคํารองขอที่เสนอภายหลังที่เกี่ยวเนื่องกับคดีเดิมหรือเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีใหยนื่ ตอศาลนั้น
การโอนคดีและรวมคดี จะทําไดก็ตอเมื่อคดีอยูใ นระหวางการพิจารณาของศาลชัน ้ ตน และคดีทั้งสองเรื่องนัน้
จะตองเกี่ยวเนื่องกัน นอกจากนี้ หากเปนเหตุสุดวิสัยอาจดําเนินกระบวนพิจารณาทีศ่ าลอื่นได
1.1 หลักทั่วไปเกี่ยวกับเขตอํานาจศาล
การเสนอคดีตอศาลกระทําได 2 รูปแบบคือ
1. หากมีขอโตแยงเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพง ก็เสนอเปนคดีมีขอพิพาท โดย
ทําเปนคําฟองยื่นตอศาล ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 และ 172 วรรคหนึ่ง
2. หากบุคคลใดจะตองใชสิทธิทางศาล ก็เสนอเปนคดีไมมีขอพิพาท โดยทําเปนคํารองยื่นตอศาลตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 55 และ 188(1)
การเสนอคําฟอง
มาตรา 2 หามมิใหเสนอคําฟองตอศาลใด เวนแต
(1) เมื่อไดพิจารณาถึงสภาพแหงคําฟองและชั้นของศาลแลว ปรากฎวาศาลนั้นมีอํานาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นไดตาม
บทบัญญัติแหงกฎหมายวาดวยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และ
(2) เมื่อไดพิจารณาถึงคําฟองแลว ปรากฎวาคดีนั้นอยูในเขตศาลนั้นตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ วาดวยศาลที่จะ
รับคําฟอง และตามบทบัญญัติแหงกฎหมายที่กําหนดเขตศาลดวย
การเสนอคําฟองมีขอที่จะตองพิจารณาในเบื้องตนคือ
1. สภาพแหงคําฟอง Æ คดีมีทุนทรัพยหรือไมมีทุนทรัพย
2. ชั้นของศาล – ตองเริ่มทีศ่ าลชั้นตน (ม.170 วรรคหนึ่ง)
3. อํานาจศาล
4. เขตศาล
1.2 การเสนอคําฟอง
ก. คําฟองเกีย่ วดวยหนี้เหนือบุคคล
หลักทั่วไปใชภูมิลําเนาและมูลคดีเปนที่เสนอคําฟอง
มาตรา 4 เวนแตจะมีบทบัญญัติเปนอยางอื่น
27
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
28
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
29
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ศาลที่รับโอนคดีตองเปนศาลที่มีเขตอํานาจเหนือคดีที่จะรับโอน
c.
ข. การรวมคดี มี 2 กรณีคอื
1. การรวมคดีในชั้นศาลเดียวกัน
a. การขอรวมคดีตามมาตรา 8
b. การขอรวมคดีตามมาตรา 28
2. การขอรวมคดีกรณีทค ี่ ดีหนึ่งขึ้นสูศาลชัน้ อุทธรณตามมาตรา 9
มาตรา 8 ถาคดีสองเรื่องซึ่งมีประเด็นอยางเดียวกัน หรือเกี่ยวเนื่องใกลชิดกัน อยูในระหวางพิจารณาของศาลชั้นตนที่มีเขตอํานาจ
สองศาลตางกัน และศาลทั้งสองนั้นไดยกคํารองทั้งหลายที่ไดยื่นตอศาลขอใหคดีทั้งสองไดพิจารณาพิพากษารวมในศาลเดียวกันนั้น
เสีย ตราบใดที่ศาลใดศาลหนึ่งยังมิไดพิพากษาคดีนั้น ๆ คูความฝายใด
ฝายหนึ่งจะยื่นคําขอโดยทําเปนคํารองตออธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณเพื่อขอใหมีคําสั่งใหศาลใดศาลหนึ่งจําหนายคดีซึ่งอยูในระหวาง
พิจารณานั้นออกเสียจากสารบบความ หรือใหโอนคดีไปยังอีกศาลหนึ่งก็ไดแลวแตกรณี
คําสั่งใด ๆ ของอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณเชนวานี้ใหเปนที่สุด
มาตรา 28 ถามีคดีหลายเรื่องคางพิจารณาอยูในศาลเดียวกันหรือในศาลชั้นตนสองศาลตางกัน และคูความทั้งหมดหรือแตบางฝาย
เปนคูความรายเดียวกันกับทั้งการพิจารณาคดีเหลานั้น ถาไดรวมกันแลว จะเปนการสะดวกหากศาลนั้นหรือศาลหนึ่งศาลใดเหลานั้น
เห็นสมควรใหพิจารณาคดีรวมกัน หรือหากคูความทั้งหมดหรือแตบางฝายมีคําขอใหพิจารณาคดีรวมกันโดยแถลงไวในคําใหการหรือ
ทําเปนคํารองไมวาในเวลาใด ๆ กอนมีคําพิพากษา เมื่อศาลไดฟงคูความทุกฝายแหงคดีนั้น ๆ แลวถาศาลเปนที่พอใจวา คดีเหลานั้น
เกี่ยวเนื่องกันก็ใหศาลมีอํานาจออกคําสั่งใหพิจารณาคดีเหลานั้นรวมกัน
ถาจะโอนคดีมาจากอีกศาลหนึ่งหรือโอนคดีไปยังอีกศาลหนึ่งที่มีเขตอํานาจเหนือคดีนั้น ศาลจะมีคําสั่งกอนที่ไดรับความ
ยินยอมของอีกศาลหนึ่งนั้นไมไดแตถาศาลที่จะรับโอนคดีไมยินยอม ก็ใหศาลที่จะโอนคดีนั้นสงเรื่องใหอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณชี้
ขาด คําสั่งของอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณใหเปนที่สุด
ความแตกตางของการรวมคดีตามมาตรา 8 และมาตรา 28
หลักเกณฑ มาตรา 8 มาตรา 28
ลักษณะคดีที่รวม พิจารณาประเด็นของคดีเปนสําคัญวาคดีมี พิจารณาที่ตัวคูความทั้งหมดหรือแตบางฝาย วาเปน
ประเด็นอยางเดียวกัน คูความรายเดียวกัน
เขตอํานาจศาลที่เกี่ยวของ ศาลที่มีคําสั่งโอนเปนศาลชั้นตนตางศาล ศาลที่มีคําสั่งโอนเปนศาลชั้นตนตางศาลกันหรือ
กันกับศาลที่รับโอน ศาลเดียวกันกับศาลที่รับโอน
การอุทธรณคําสั่งไมอนุญาต คําสั่งศาลไมอนุญาตคูความสามารถยื่นคํา คําสั่งศาลไมอนุญาตคูความไมสามารถที่จะอุทธรณ
รองใหอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณชี้ขาด ไดทันที เพราะถือวาเปนคําสั่งระหวางพิจารณา
ได
30
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. การคัดคานผูพิพากษา
ผูพิพากษาทีน ่ ั่งพิจารณาคดี อาจถูกคัดคานไดเมื่อมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ
เมื่อมีเหตุทจี่ ะคัดคานผูพิพากษาคนใดที่นงั่ พิจารณา ผูพ ิพากษาคนนั้นอาจขอถอนตัวออกจากการนั่งพิจารณาคดี
นั้นก็ได หรือ เมื่อคูความยืน่ คํารองคัดคานก็ใหศาลงดกระบวนพิจารณาทั้งปวงไวกอนจนกวาจะไดมีคาํ ชี้ขาดในเรื่องที่
คัดคานนั้นแลว
2.1 เหตุคดั คานผูพิพากษา (ม.11, 12)
มาตรา 11 เมื่อคดีถึงศาล ผูพิพากษาคนหนึ่งคนใดในศาลนั้นอาจถูกคัดคานได ในเหตุใดเหตุหนึ่งดังตอไปนี้
(1) ถาผูพิพากษานั้นมีผลประโยชนไดเสียเกี่ยวของอยูในคดีนั้น
(2) ถาเปนญาติเกี่ยวของกับคูความฝายใดฝายหนึ่ง คือวาเปนบุพการีหรือผูสืบสันดานไมวาชั้นใด ๆ หรือเปนพี่นองหรือ
ลูกพี่ลูกนองนับไดเพียงภายในสามชั้น หรือเปนญาติเกี่ยวพันทางแตงงานนับไดเพียงสองชั้น
(3) ถาเปนผูที่ไดถูกอางเปนพยานโดยที่ไดรูไดเห็นเหตุการณหรือโดยเปนผูเชี่ยวชาญมีความรูเปนพิเศษเกี่ยวของกับคดีนั้น
(4) ถาไดเปนหรือเปนผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูแทนหรือไดเปนทนายความของคูความฝายใดฝายหนึ่งมาแลว
(5) ถาไดเปนผูพิพากษานั่งพิจารณาคดีเดียวกันนั้นในศาลอื่นมาแลวหรือเปนอนุญาโตตุลาการมาแลว
31
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. คําคูความและเอกสาร
คําคูความ หมายความวา บรรดาคําฟอง คําใหการ หรือคํารองทั้งหลายที่ยื่นตอศาลเพื่อตั้งประเด็นระหวางคูค วาม
ศาลมีอาํ นาจที่จะตรวจคําคูความที่พนักงานเจาหนาทีข่ องศาลไดรับไวเพื่อยื่นตอศาล หรือสงใหแกคคู วามหรือ
บุคคลใดๆ
32
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
33
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
34
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
35
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
36
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
37
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
38
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
39
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
5. อํานาจและหนาที่ของศาล
กฎหมายหามมิใหศาลใชอาํ นาจนอกเขตศาล
วิธีการในการเสนอคําขอหรือคําแถลงตอศาล
ศาลมีอาํ นาจในการไกลเกลีย่ ใหคคู วามไดตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกัน รวมทั้งมีอํานาจแตงตั้งผู
ประนีประนอมเพื่อทําหนาที่ชวยเหลือศาล
กฎหมายใหคาํ นวณระยะเวลาตาม ป.พ.พ. และใหศาลมีอํานาจในการขยายหรือยนระยะเวลา
ศาลมีอาํ นาจวินิจฉัยชีข้ าดเบื้องตนในปญหาขอกฎหมาย
กฎหมายกําหนดใหศาลสั่งคําขอคุมครองสิทธิในระหวางพิจารณาหรือคําขอเพื่อบังคับคดีโดยไมชักชา
กฎหมายใหอาํ นาจศาลในการสั่งเพิกถอนหรือแกไขกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได
การดําเนินกระบวนพิจารณาในตางประเทศจะตองปฏิบัติตามขอตกลงระหวางประเทศหรือกฎหมายเฉพาะ หาก
ไมมีตองปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหวางประเทศ
กฎหมายกําหนดใหศาลนั่งพิจารณาติดตอกันโดยไมเลือ่ นคดีจนกวาจะเสร็จการพิจารณาและพิพากษาเวนแตมี
เหตุตามกฎหมาย กิจธุระของศาล หรือคูค วามขอเลื่อน
ในกรณีทคี่ ูความมรณะ ศาลจะตองเลื่อนการพิจารณาจนกวาทายาท ผูจัดการทรัพยมรดก หรือผูปกครองทรัพย
มรดกจะเขามาเปนคูความแทนที่ผูมรณะ
ศาลมีอาํ นาจลงโทษผูกระทําความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล
การดําเนินกระบวนพิจารณาตองทําเปนภาษาไทย
ศาลมีอาํ นาจตรวจสอบใบมอบอํานาจทีค่ ูความหรือบุคคลใดยื่นตอศาลได
ศาลมีหนาที่ตอ งจดรายงานกระบวนพิจารณา โดยกฎหมายกําหนดรายการตางๆ ในรายงานกระบวนพิจารณา
การอานและการลงลายมือชื่อ
ศาลมีหนาที่ลงทะเบียนสํานวนความ ลงทะเบียนคําพิพากษาและเก็บรักษาสํานวนความ รวมทัง้ กําหนดวิธีการ
แกไขในกรณีที่สํานวนความสูญหายหรือบุบสลาย
1. หลักทั่วไปวาดวยการใชอํานาจและหนาที่ของศาล
กฎหมายกําหนดขอบเขตอํานาจศาลไว โดยหามศาลใชอํานาจนอกเขตศาล เวนแตจะเขาขอยกเวน
กฎหมายกําหนดหลักเกณฑในการเสนอคําขอหรือคําแถลงตอศาล รวมทั้งวิธีการในการพิจารณาเพื่อสั่งคําขอหรือ
คําแถลง
อํานาจศาลในการไกลเกลีย่ เพื่อใหคูความไดตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความ โดยศาลมีอํานาจสั่งใหตวั
ความมาศาลดวยตัวเองเพื่อทําการไกลเกลี่ยได หรือแตงตั้งผูประนีประนอมเพื่อชวยเหลือศาลในการไกลเกลี่ยได
1.1 ขอบเขตอํานาจศาล
มาตรา 15 หามมิใหศาลใชอํานาจนอกเขตศาล เวนแต
(1) ถาบุคคลผูที่จะถูกซักถามหรือถูกตรวจ หรือบุคคลผูเปนเจาของทรัพยหรือสถานที่ซึ่งจะถูกตรวจมิไดยกเรื่องเขตศาลขึ้น
คัดคาน ศาลจะทําการซักถามหรือตรวจดังวานั้นนอกเขตศาลก็ได
(2) ศาลจะออกหมายเรียกคูความหรือบุคคลนอกเขตศาลก็ได สวนการที่จะนําบทบัญญัติมาตรา 31,33,108,109 และ
111 แหงประมวลกฎหมายนี้และมาตรา 147 แหงกฎหมายลักษณะอาญามาใชบังคับไดนั้น ตองใหศาลซึ่งมีอํานาจในเขตศาลนั้น
สลักหลังหมายเสียกอน
40
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
(3) หมายบังคับคดีและหมายของศาลที่ออกใหจับและกักขังบุคคลผูใดตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้อาจบังคับได
ไมวาในที่ใด ๆ
ในกรณีที่มีการบังคับคดีนอกเขตศาลที่ออกหมายบังคับคดี ใหเจาหนี้ตามคําพิพากษายื่นคําแถลงหรือเจา-พนักงานบังคับ
คดีรายงานใหศาลที่จะมีการบังคับคดี ในกรณีเชนวานี้ ใหศาลที่จะมีการบังคับคดีตั้งเจาพนักงานบังคับคดีเพื่อดําเนินการบังคับคดีโดย
ไมชักชา และใหศาลนั้นดําเนินการไปเสมือนหนึ่งเปนศาลที่บังคับคดีแทนตามมาตรา 302 วรรคสาม
ก. ถาศาลใชอํานาจนอกเขตศาล แตผทู ี่จะถูกซักถามหรือถูกตรวจมิไดยกเรือ่ งเขตอํานาจศาลขึ้นคัดคาน
ศาลจะทําการซักถามตรวจดังวานั้นนอกเขตศาลก็ได
ข. หมายเรียกใชไดทั่วราชอาณาจักร
ค. หมายบังคับคดีและหมายจับและกักขังบุคคลใดๆ ใชบังคับไดทั่วราชอาณาจักร
มาตรา 16 ถาจะตองทําการซักถาม หรือตรวจ หรือดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ
(1) โดยศาลชั้นตนศาลใด นอกเขตศาลนั้น หรือ
(2) โดยศาลแพงหรือศาลอาญา นอกเขตจังหวัดพระนครและธนบุรีหรือโดยศาลอุทธรณหรือฎีกา
ใหศาลที่กลาวแลวมีอํานาจที่จะแตงตั้งศาลอื่นที่เปนศาลชั้นตนใหทําการซักถาม หรือตรวจภายในบังคับบทบัญญัติมาตรา
102 หรือดําเนินกระบวนพิจารณาแทนได
1.2 กระบวนพิจารณาเมือ่ มีการยื่นของหรือคําแถลง
มาตรา 21 เมื่อคูความฝายใดเสนอคําขอหรือคําแถลงตอศาล
(1) ถาประมวลกฎหมายนี้มิไดบัญญัติวา คําขอหรือคําแถลงจะตองทําเปนคํารองหรือเปนหนังสือ ก็ใหศาลมีอํานาจที่จะ
ยอมรับคําขอหรือคําแถลงที่คูความไดทําในศาลดวยวาจาได แตศาลตองจดขอความนั้นลงไวในรายงาน หรือจะกําหนดใหคูความฝาย
นั้นยื่นคําขอโดยทําเปนคํารอง หรือยื่นคําแถลงเปนหนังสือก็ได แลวแตศาลจะเห็นสมควร
(2) ถาประมวลกฎหมายนี้มิไดบัญญัติไววา คําขออันใดจะทําไดแตฝายเดียว หามมิใหศาลทําคําสั่งในเรื่องนั้น ๆ โดยมิให
คูความอีกฝายหนึ่งหรือคูความอื่น ๆ มีโอกาสคัดคานกอน แตทั้งนี้ตองอยูในบังคับแหงบทบัญญัติของประมวลกฎหมายนี้วาดวยการ
ขาดนัด
41
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
42
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ความชัดขึ้นอีกแลว เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่งมีคําขอใหศาลมีอํานาจที่จะมีคําสั่งใหมีผลวากอนดําเนินการ
พิจารณาตอไป ศาลจะไดพิจารณาปญหาขอกฎหมายเชนวานี้แลววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องตนในปญหานั้น
ถาศาลเห็นวาคําวินิจฉัยชี้ขาดเชนวานี้จะทําใหคดีเสร็จไปไดทั้งเรื่องหรือเฉพาะแตประเด็นแหงคดีบางขอ ศาลจะวินิจฉัยชี้
ขาดปญหาที่กลาวแลวและพิพากษาคดีเรื่องนั้นหรือเฉพาะแตประเด็นที่เกี่ยวของไปโดยคําพิพากษาหรือคําสั่งฉบับเดียวกันก็ได
คําสั่งใด ๆ ของศาลที่ไดออกตามมาตรานี้ ใหอุทธรณและฎีกาไดตามที่บัญญํติไวในมาตรา 227, 228 และ247
หลักเกณฑและเงื่อนไข
ก. ตองเปนการดําเนินคดีอยูในศาลชั้นตน
ข. คูความมีคาํ ขอหรือศาลเห็นเอง
ค. การวินจิ ฉัยชี้ขาดเบื้องตนในปญหาขอกฎหมายเปนดุลยพินิจของศาล
ง, ตองเปนการวินิจฉัยชี้ขาดในปญหาขอกฎหมายเทานั้น
จ. กรณีคูความมีคําขอ การชี้ขาดปญหาขอกฎหมายนัน้ ตองเปนคุณแกผูขอ
ฉ. การชี้ขาดปญหาขอกฎหมายจะตองทําใหคดีเสร็จไปทั้งเรื่องหรือประเด็นแหงคดีบางขอ
ช. การอุทธรณคาํ สั่ง
คดีแพงเรื่องหนึ่งระหวางพิจารณาของศาลชั้นตน จําเลยยื่นคํารองขอใหศาลวินิจฉัยวาโจทยไมมีอํานาจฟอง แตศาลพิจารณาแลว
เห็นวาโจทยมีอํานาจฟอง ดังนี้ศาลจะชี้ขาดในปญหาขอกฎหมายเบื้องตนไดหรือไม
2.3 การสั่งวิธีการชั่วคราว และการคัดคานของคูค วาม
ก. การสั่งวิธกี ารชั่วคราว
มาตรา 25 ถาคูความฝายใดยื่นคําขอโดยทําเปนคํารองใหศาลสั่งกําหนดวิธีการอยางใด ๆ ที่บัญญัติไวในภาค 4 เพื่อคุมครองสิทธิ
ของคูความในระหวางการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ใหศาลมีคําสั่งอนุญาตหรือยกคําขอนั้นเสียโดยไมชักชา
ถาในเวลาที่ยื่นคําขอนั้นศาลจะชี้ขาดคดีไดอยูแลว ศาลจะวินิจฉัยคําขอนั้นในคําพิพากษา หรือในคําสั่งชี้ขาดคดีก็ได
ข. การคัดคานของคูความ
มาตรา 26 ถาศาลไดตั้งขอถาม หรือออกคําสั่งหรือชี้ขาดเกี่ยวดวยการดําเนินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และคูความฝายใดฝายหนึ่งในคดี
เรื่องนั้นคัดคานขอถามหรือคําสั่ง หรือคําชี้ขาดนั้นวาไมชอบดวยกฎหมาย กอนที่ศาลจะดําเนินคดีตอไป ใหศาลจดขอถามหรือคําสั่ง
หรือคําชี้ขาดที่ถูกคัดคานและสภาพแหงการคัดคานลงไวในรายงาน แตสวนเหตุผลที่ผูคัดคานยกขึ้นอางอิงนั้น ใหศาลใชดุลพินิจจดลง
ไวในรายงาน หรือกําหนดใหคูความฝายที่คัดคานยื่นคําแถลงเปนหนังสือเพื่อรวมไวในสํานวน
2.4 การพิจารณาที่ผิดระเบียบ
มาตรา 27 ในกรณีที่มิไดปฏิบัติตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ในขอที่มุงหมายจะยังใหการเปนไปดวยความยุติธรรมหรือที่
เกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชนในเรื่องการเขียน และการยื่นหรือการสงคําคูความหรือเอกสารอื่น ๆ หรือในการพิจารณา
คดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับคดีเมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคูความฝายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิไดปฏิบัติเชนวา
นั้นยื่นคําขอโดยทําเปนคํารอง ใหศาลมีอํานาจที่จะสั่งใหเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย ทั้งหมดหรือบางสวน หรือสั่งแกไข
หรือมีคําสั่งในเรื่องนั้นอยางใดอยางหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควร
ขอคานเรื่องผิดระเบียบนั้น คูความฝายที่เสียหายอาจยกขึ้นกลาวไดไมวาในเวลาใด ๆ กอนมีคําพิพากษา แตตองไมชากวา
แปดวันนับแตวันที่คูความฝายนั้นไดทราบขอความหรือพฤติการณอันเปนมูลแหงขออางนั้น แตทั้งนี้คูความฝายนั้นตองมิไดดําเนินการ
อันใดขึ้นใหมหลังจากที่ไดทราบเรื่องผิดระเบียบแลว หรือตองมิไดใหสัตยาบันแกการผิดระเบียบนั้น ๆ
ถาศาลสั่งใหเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบใด ๆ อันมิใชเรื่องที่คูความละเลยไมดําเนินกระบวนพิจารณาเรื่องนั้น
ภายในระยะเวลาซึ่งกฎหมายหรือศาลกําหนดไว เพียงเทานี้ไมเปนการตัดสิทธิคูความฝายนั้นในอันที่จะดําเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆ
ใหมใหถูกตองตามที่กฎหมายบังคับ
หลักเกณฑ
ก. ตองเปนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ
43
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ก. การเขียน
ข. การยื่นหรือการสงคําคูความหรือเอกสารอื่น
ค. การพิจารณาคดี
ง. การพิจารณาพยานหลักฐาน
จ. การบังคับคดี
ข. การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผดิ ระเบียบ ทําไดสองทางคือ
1. ศาลมีคําสั่งใหเพิกถอนหรือแกไขเอง
2. คูความยื่นคําขอโดยทําเปนคํารองใหศาลสั่งเพิกถอนหรือแกไข
ค. การมีคําสั่ง (ม.27 วรรคสาม)
1. สั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
2. สั่งแกไขกระบวนพิจารณาทีผ ่ ิดระเบียบ
3. สั่งอยางใดอยางหนึ่งตามทีศ
่ าลเห็นสมควร
2.5 การดําเนินกระบวนพิจารณาในตางประเทศ
มาตรา 34 ถาจะตองดําเนินกระบวนพิจารณาทั้งเรื่องหรือแตบางสวนโดยทางอาศัยหรือโดยรองขอตอเจาหนาที่ในเมืองตางประเทศ
เมื่อไมมีขอตกลงระหวางประเทศอยางใดอยางหนึ่ง หรือไมมีกฎหมายบัญญัติไวสําหรับเรื่องนั้นแลวใหศาลปฏิบัติตามหลักทั่วไปแหง
กฎหมายระหวางประเทศ
3. หลักเกณฑวาดวยการนั่งพิจารณา
การนั่งพิจารณา ตองกระทําในศาลนั้นในวันเปดทําการและตามวันเวลาที่ศาลกําหนดไว โดยมีขอยกเวนในกรณี
จําเปนหรือมีเหตุฉุกเฉินที่ศาลจะนั่งพิจารณา ณ สถานที่อื่นและในวันหยุดได
การนั่งพิจารณาตองทําตอหนาคูความทีม ่ าศาลและโดยเปดเผย แตมีขอยกเวนทีศ่ าลจะพิจารณาโดยไมเปดเผยได
การนั่งพิจารณา ศาลจะตองดําเนินการติดตอกันไปจนกวาจะเสร็จการพิจารณาและพิพากษาคดีเวนแตจะมีการ
เลื่อนคดี
หากในระหวางการพิจารณาของศาล โจทกหรือจําเลยซึ่งเปนคูความในคดีถึงแกความตาย ป.วิ.พ.ใหศาลเลื่อนการ
นั่งพิจารณาคดีออกไปจนกวาทายาทหรือผูจัดการทรัพยมรดกหรือผูปกครองทรัพยมรดกของคูความที่ถึงแกความตาย
จะเขามาเปนคูความแทนทีผ่ ูนั้น
ศาลมีอาํ นาจในการออกขอกําหนดใหคคู วามหรือบุคคลภายนอกที่มาศาลใหปฏิบัติ และศาลมีอาํ นาจสั่งลงโทษผูที่
กระทําความผิดฐานละเมิดอํานาจศาลได
3.1 การนั่งพิจารณาคดี
"การนั่งพิจารณา" หมายความวา การทีศ่ าลออกนั่งเกีย่ วกับการพิจารณาคดี เชน ชี้สองสถาน สืบพยาน ทําการไต
สวน ฟงคําขอตาง ๆ และฟงคําแถลงการณดวยวาจา (ม.1(9))
มาตรา 35 ถาประมวลกฎหมายนี้มิไดบัญญัติไวเปนอยางอื่น การนั่งพิจารณาคดีที่ยื่นไวตอศาลใดจะตองกระทําในศาลนั้นในวันที่
ศาลเปดทําการและตามเวลาทํางานที่ศาลไดกําหนดไว แตในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือเปนการจําเปนศาลจะมีคําสั่งกําหนดการนั่ง
พิจารณา ณ สถานที่อื่น หรือในวันหยุดงาน หรือในเวลาใด ๆ ก็ได
มาตรา 36 การนั่งพิจารณาคดีจะตองกระทําในศาลตอหนาคูความที่มาศาลและโดยเปดเผย เวนแต
(1) ในคดีเรื่องใดที่มีความจําเปนเพือ่ รักษาความเรียบรอยในศาลเมื่อศาลไดขับไลคูความฝายใดออกไปเสียจากบริเวณศาล
โดยที่ประพฤติไมสมควรศาลจะดําเนินการนั่งพิจารณาคดีตอไปลับหลังคูความฝายนั้นก็ได
44
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
45
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ศาลอาจสั่งใหคูความฝายที่ขอใหไปตรวจตามวรรคหนึ่งหรือคูความใดไปกับผูที่ศาลตั้งใหไปตรวจ คูความนั้นจะมอบใหผูใด
ไปแทนตนก็ได
คาพาหนะและคาปวยการของเจาพนักงานและแพทย ใหถือวาเปนคาฤชาธรรมเนียม และใหนํามาตรา 166 มาใชบังคับ
3.3 การเลือ่ นคดีเพราะเหตุมรณะ
มาตรา 42 ถาคูความฝายใดฝายหนึ่งในคดีที่คางพิจารณาอยูในศาลไดมรณะเสียกอนศาลพิพากษาคดี ใหศาลเลื่อนการนั่งพิจารณา
ไปจนกวาทายาทของผูมรณะหรือผูจัดการทรัพยมรดกของผูมรณะ หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพยมรดกไวจะไดเขามาเปนคูค วาม
แทนที่ผูมรณะ โดยมีคําขอเขามาเอง หรือโดยที่ศาลหมายเรียกใหเขามา เนื่องจากคูความฝายใดฝายหนึ่งมีคําขอฝายเดียว คําขอเชน
วานี้จะตองยื่นภายในกําหนดหนึ่งปนับแตวันที่คูความฝายนั้นมรณะ
ถาไมมีคําขอของบุคคลดังกลาวมาแลว หรือไมมีคําขอของคูความฝายใดฝายหนึ่งภายในเวลาที่กําหนดไว ใหศาลมีคําสั่ง
จําหนายคดีเรื่องนั้นเสียจากสารบบความ
มาตรา 43 ถาทายาทของผูมรณะ หรือผูจัดการทรัพยมรดกของผูมรณะหรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพยมรดก ประสงคจะขอเขามา
เปนคูความแทนก็ใหยื่นคําขอโดยทําเปนคํารองตอศาลเพื่อการนั้น
ในกรณีเชนนี้ เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่งมีคําขอ ศาลอาจสั่งใหผูที่จะเขามาเปนคูความแทนนั้น
แสดงพยานหลักฐานสนับสนุนคําขอเชนวานั้นได เมื่อไดแสดงพยานหลักฐานดังกลาวนั้นแลว ใหศาลมีคําสั่งอนุญาตหรือไมอนุญาตใน
การที่จะเขามาเปนคูความแทน
มาตรา 44 คําสั่งใหหมายเรียกบุคคลใดเขามาแทนผูมรณะนั้นจะตองกําหนดระยะเวลาพอสมควรเพื่อใหบุคคลนั้นมีโอกาศคัดคานใน
ศาลวาตนมิไดเปนทายาทของผูมรณะ หรือมิไดเปนผูจัดการทรัพยมรดก หรือผูปกครองทรัพยมรดกนั้น
ทายาท ผูจัดการทรัพยมรดก หรือบุคคลผูถูกเรียกไมจําตองปฏิบัติตามหมายเชนวานั้นกอนระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว
เพื่อการยอมรับฐานะนั้นไดลวงพนไปแลว
ถาบุคคลที่ถูกศาลหมายเรียกนั้น ยินยอมรับเขามาเปนคูความแทนผูมรณะใหศาลจดรายงานพิสดารไวและดําเนินคดีตอไป
ถาบุคคลนั้นไมยินยอมหรือไมมาศาล ใหศาลทําการไตสวนตามที่เห็นสมควร ถาศาลเห็นวาหมายเรียกนั้นมีเหตุผลฟงไดก็
ใหออกคําสั่งตั้งบุคคลผูถูกเรียกเปนคูความแทนผูมรณะแลวดําเนินคดีตอไป ถาศาลเห็นวาขอคัดคานของบุคคลผูถูกเรียกมีเหตุผลฟง
ได ก็ใหศาลสั่งเพิกถอนหมายเรียกนั้นเสีย และถาคูความฝายใดฝายหนึ่งไมสามารถเรียกทายาทอันแทจริงหรือผูจัดการทรัพยมรดก
หรือบุคคลที่ปกครองทรัพยมรดกของผูมรณะเขามาเปนคูความแทนผูมรณะไดภายในกําหนดเวลาหนึ่งป ก็ใหศาลมีคําสั่งตามที่
เห็นสมควรเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม
มาตรา 45 ถาปรากฎตอศาลวาคูความฝายหนึ่งตกเปนผูไรความสามารถก็ดี หรือผูแทนโดยชอบธรรมของคูความฝายที่เปนผูไร
ความสามารถได มรณะหรือหมดอํานาจเปนผูแทนก็ดี ใหศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปภายในระยะเวลาอันสมควร เพื่อผูแทนโดยชอบ
ธรรม หรือผูแทนโดยชอบธรรมคนใหม จะไดแจงใหทราบถึงการไดรับแตงตั้งของตนโดยยื่นคําขอเปนคํารองตอศาลเพื่อการนั้นถามิได
ยื่นคําขอดังกลาวมาแลวใหนํามาตรา 56 มาใชบังคับ
ถาผูแทนหรือทนายความของคูความไดมรณะหรือหมดอํานาจเปนผูแทนใหศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปจนกวาตัวความจะ
ไดยื่นคํารองตอศาลแจงใหทราบถึงการที่ไดแตงตั้งผูแทนหรือทนายความขึ้นใหม หรือคูความฝายนั้นมีความประสงคจะมาวาคดีดวย
ตนเอง แตถาศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคูความอีกฝายหนึ่งมีคําขอฝายเดียวใหศาลมีอํานาจสั่งกําหนดระยะเวลาไวพอสมควร เพื่อใหตัว
ความมีโอกาศแจงใหทราบถึงการแตงตั้งหรือความประสงคของตนนั้นก็ได ในกรณีเชนวานี้ ถาตัวความมิไดแจงใหทราบภายใน
ระยะเวลาที่กําหนดไว ศาลจะมีคําสั่งใหเริ่มการนั่งพิจารณาตอไปในวันใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได
บทบัญญัติแหงวรรคกอนนั้น ใหนํามาใชบังคับแกกรณีที่ผูแทนโดยชอบธรรมของผูไรความสามารถหมดอํานาจลง เพราะเหตุ
ที่บุคคลนั้นไดมีความสามารถขึน้ แลวดวยโดยอนุโลม
3.4 การละเมิดอํานาจศาล
มาตรา 30 ใหศาลมีอํานาจออกขอกําหนดใด ๆ แกคูความฝายใดฝายหนึ่งหรือแกบุคคลภายนอกที่อยูตอหนาศาลตามที่เห็นจําเปน
เพื่อรักษาความเรียบรอยในบริเวณศาล และเพื่อใหกระบวนพิจารณาดําเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็ว อํานาจเชนวานี้ ใหรวมถึง
การสั่งหามคูความมิใหดําเนินกระบวนพิจารณาในทางกอความรําคาญ หรือในทางประวิงใหชักชาหรือในทางฟุมเฟอยเกินสมควร
มาตรา 31 ผูใดกระทําการอยางใด ๆ ดังกลาวตอไปนี้ ใหถือวากระทําผิดฐานละเมิดอํานาจศาล
46
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
4. รายงานและสํานวนความ
47
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
48
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
49
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
50
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
6. หลักทัว่ ไปวาดวยการชี้ขาดตัดสินคดี
ศาลเปนผูมีอาํ นาจชี้ขาดตัดสินคดี โดยทําเปนคําพิพากษาหรือคําสั่ง
จําเลยชอบที่จะชําระหนี้กอนศาลมีคําพิพากษาได โดยถาเปนหนี้เงินก็นําเงินมาวางศาล ถาเปนหนี้อยางอื่นก็แจง
ใหศาลทราบ
ระหวางดําเนินคดี คูค วามอาจตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันเมื่อใดก็ได
1. คําพิพากษาและคําสั่ง
ศาลมีอาํ นาจสั่งอนุญาตหรือยกคําขอซึ่งคูความยื่นในระหวางพิจารณา
ในเรื่องประเด็นแหงคดี ศาลมีอํานาจวินจิ ฉัยชี้ขาดโดยทําเปนคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ศาลมีอาํ นาจสั่งจําหนายคดีจากสารบบความตามที่กฎหมายบัญญัติไวโดยไมตองมีคําวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นใน
เรื่องนั้นๆ ถาไมจําหนายคดี ศาลก็ชี้ขาดคดีโดยทําเปนคําพิพากษาหรือคําสั่งในวันสิ้นการพิจารณา
ศาลที่รับคําฟองจะปฏิเสธไมยอมพิพากษาหรือมีคําสัง่ ชี้ขาดคดีโดยอางวาไมมีบทบัญญัติแหงกฎหมายทีจ่ ะใช
บังคับแกคดี หรือวาบทบัญญัติแหงกฎหมายที่จะใชบังคับนั้นเคลือบคลุม หรือไมบริบูรณไมได
1.1 คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
มาตรา 131 คดีที่ยื่นฟองตอศาลนั้น ใหศาลปฏิบัติดังนี้
(1) ในเรื่องคําขอซึ่งคูความยื่นในระหวางการพิจารณาคดีนั้นโดยทําเปนคํารองหรือขอดวยวาจาก็ดี ใหศาลมีคําสั่งอนุญาต
หรือยกเสียซึ่งคําขอเชนวานั้น โดยทําเปนหนังสือหรือดวยวาจาก็ได แตถาศาลมีคําสั่งดวยวาจาใหศาลจดคําสั่งนั้นไวในรายงานพิสดาร
(2) ในเรื่องประเด็นแหงคดี ใหศาลวินิจฉัยชี้ขาดโดยทําเปนคําพิพากษาหรือคําสั่ง หรือใหจําหนายคดีเสียจากสารบบความ
ตามที่บัญญัติไวในลักษณะนี้
1.2 การจําหนายคดี
มาตรา 132 ใหศาลมีคําสั่งใหจําหนายคดีเสียจากสารบบความได โดยไมตองมีคําวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่อง
นั้น และใหกําหนดเงื่อนไขในเรื่องคาฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควร
(1) เมื่อโจทกทิ้งฟอง ถอนฟอง หรือไมมาศาลในวันนัดพิจารณา ดังที่บัญญัติไวในมาตรา 174 มาตรา 175 และมาตรา
193 ทวิ
(2) เมื่อโจทกไมหาประกันมาใหดังที่บัญญัติไวในมาตรา 253 และ 288 หรือเมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่ง หรือทั้งสองฝาย
ขาดนัดดังที่บัญญัติไวในมาตรา 198, 200 และ 201
(3) ถาความมรณะของคูความฝายใดฝายหนึ่งยังใหคดีนั้นไมมีประโยชนตอไปหรือถาไมมีผูใดเขามาแทนที่คูความฝายที่
มรณะดังที่บัญญัติไวในมาตรา 42
(4) เมื่อศาลไดมีคําสั่งใหพิจารณาคดีรวมกันหรือใหแยกกัน ซึ่งเปนเหตุใหตองโอนคดีไปยังอีกศาลหนึ่งดังที่บัญญัติไวใน
มาตรา 28 และ 29
ก. มิใชเปนการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแหงคดี
ข. เหตุในการมีคําสั่งจําหนายคดี
1. เหตุตามมาตรา 132(1) ถึง (4)
2. เหตุอื่นนอกจากมาตรา 132(1) ถึง (4)
a. คดีไมมีประโยชนที่จะทําการพิจารณาอีกตอไป
b. ฟองโจทกไมชอบที่จะฟองรวมกันแลว
ค. การสั่งจําหนายคดี
51
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1. การสั่งจําหนายคดีเปนดุลพินิจของศาล
2. คําสั่งจําหนายคดีตามมาตรา 132 ศาลตองสั่งในเรื่องคาฤชาธรรมเนียมตามสมควร
3. การสั่งจําหนายคดีอาจจะเปนการจําหนายทั้งคดี หรือบางสวน หรือบางคนก็ได
ง. ผลของคําสั่งจําหนายคดี
คําสั่งจําหนายคดีถือวาเปนคําสั่งที่มไิ ดมีการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแหงคดี โจทกจึงสามารถนํากลับมาฟองใหมได
ไมเปนการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้าํ หรือฟองซ้ํา
1.3 ศาลจะปฏิเสธไมยอมพิพากษาหรือมีคําสั่งชีข ้ าดคดีไมได
มาตรา 134 ไมวากรณีใด ๆ หามมิใหศาลที่รับฟองคดีไวปฏิเสธไมยอมพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีโดยอางวา ไมมีบทบัญญัติแหง
กฎหมายที่จะใชบังคับแกคดีหรือวาบทบัญญัติแหงกฎหมายที่จะใชบังคับนั้นเคลือบคลุมหรือไมบริบูรณ
2. การชําระหนี้กอนมีคําพิพากษา
จําเลยวางเงินตอศาลกอนมีคําพิพากษา โดยยอมรับผิดหรือไมยอมรับผิดก็ได
จําเลยชอบที่จะชําระหนี้อยางอื่นนอกจากเงินไดกอนศาลมีคําพิพากษา
2.1 การวางเงินกอนกอนมีคําพิพากษา
มาตรา 135 ในคดีที่เรียกรองใหชําระหนี้เปนเงิน หรือมีการเรียกรองใหชําระหนี้เปนเงินรวมอยูดวย ไมวาเวลาใด ๆ กอนมีคํา
พิพากษาจําเลยจะนําเงินมาวางศาลเต็มจํานวนที่เรียกรองหรือแตบางสวน หรือตามจํานวนเทาที่ตนคิดวาพอแกจํานวนที่โจทกมีสิทธิ
เรียกรองก็ได ทั้งนี้ โดยยอมรับผิดหรือไมยอมรับผิดก็ได
มาตรา 136 ในกรณีที่จําเลยวางเงินตอศาลโดยยอมรับผิด ถาโจทกพอใจยอมรับเงินที่จําเลยวางโดยไมติดใจเรียกรองมากกวานั้น และ
คดีไมมีประเด็นที่จะตองวินิจฉัยตอไปอีก ใหศาลพิพากษาคดีไปตามนั้น คําพิพากษานั้นเปนที่สุด แตถาโจทกไมพอใจในจํานวนเงินที่
จําเลยวางและยังติดใจที่จะดําเนินคดีเพื่อใหจําเลยตองรับผิดในจํานวนเงินตามที่เรียกรองตอไปอีก จําเลยมีสิทธิถอนเงินที่วางไวนั้นได
โดยใหถอื เสมือนวามิไดมีการวางเงิน หรือจําเลยจะยอมใหโจทกรับเงินนั้นไปก็ได ในกรณีหลังนี้ โจทกจะรับเงินไปหรือไมก็ตามจําเลย
ไมตองเสียดอกเบี้ยในจํานวนเงินที่วาง แมวาจําเลยมีความรับผิดตามกฎหมายจะตองเสีย ทั้งนี้ นับแตวันที่จําเลยยอมใหโจทกรับเงิน
ไป
ในกรณีที่จําเลยวางเงินตอศาลโดยไมยอมรับผิด จําเลยจะรับเงินนั้นคืนไปกอนที่มีคําพิพากษาวาจําเลยไมตองรับผิดไมได
การวางเงินเชนวานี้ ไมเปนเหตุระงับการเสียดอกเบี้ย หากจําเลยมีความรับผิดตามกฎหมายจะตองเสีย
ก. วิธีการวางเงิน
ตองเปนการวางเงินตอศาลเพื่อชําระหนีแ้ กโจทยกอนศาลชั้นตนพิพากษา และตองใหโจทกรับเงินนั้นไปได
ข. ผลของการวางเงิน
1) กรณีจาํ เลยวางเงินโดยยอมรับผิด – ถาโจทกพอใจ และคดีไมมีประเด็นอื่นอีก คําพิพากษาดังกลาวเปนที่สุด
จะอุทธรณหรือฎีกาอีกไมได
2) กรณีจาํ เลยไมยอมรับผิด – จําเลยจะขอรับเงินคืนไปไมได จนกวาศาลจะพิพากษาวาจําเลยไมตอ งรับผิดตอ
โจทก และไมพนความรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย
โจทยฟองจําเลยใหชําระหนี้เงินกู 200,000 บาท กับใหจําเลยสงมอบรถจักรยานยนตคืนโจทก หากคืนไมไดใหใชราคา 30,000
บาท จําเลยใหการวากูเงินโจทกไปจริง 200,000 บาท สวนรถจักรยานยนตที่ยืมมาคืนใหโจทกไปแลว ระหวางพิจารณาจําเลยนําเงิน
200,000 บาท มาวางศาลเพื่อใหโจทกรับไปได ศาลสอบโจทกแถลงยอมรับเงินที่จําเลยวาง โดยไมติดใจเรียกรองใหจําเลยคืน
รถจักรยานยนตใหแกโจทกอีกตอไป ดังนี้ ศาลจะพิพากษาอยางไร
2.2 การชําระหนี้อยางอื่นนอกจากใหชาํ ระเงิน
52
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. การตกลงหรือประนีประนอมยอมความ
คูความจะตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแหงคดีโดยไมฝา ฝนตอกฎหมายเมื่อใดก็ได
กฎหมายหามมิใหคูความอุทธรณฎีกาคําพิพากษาตามยอม เวนแตจะเขาขอยกเวนตามที่กฎหมายบัญญัติไว
3.1 หลักเกณฑการตกลงหรือประนีประนอมยอมความ
มาตรา 138 ในคดีที่คูความตกลงกันหรือปรานีประนอมยอมความกันในประเด็นแหงคดีโดยมิไดมีการถอนคําฟองนั้นและขอตกลง
หรือการปรานีประนอมยอมความกันนั้นไมเปนการฝาฝนตอกฎหมาย ใหศาลจดรายงานพิสดารแสดงขอความแหงขอตกลงหรือการ
ประนีประนอมยอมความเหลานั้นไว แลวพิพากษาไปตามนั้น
หามมิใหอุทธรณคําพิพากษาเชนวานี้ เวนแตในเหตุตอไปนี้
(1) เมื่อมีขอกลาวอางวาคูความฝายใดฝายหนึ่งฉอฉล
(2) เมื่อคําพิพากษานั้นถูกกลาวอางวาเปนการละเมิดตอบทบัญญัติแหงกฎหมายอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของ
ประชาชน
(3) เมื่อคําพิพากษานั้นถูกกลาวอางวามิไดเปนไปตามขอตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
ถาคูความตกลงกันเพียงแตใหเสนอคดีตออนุญาโตตุลาการใหนําบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วาดวยอนุญาโตตุลาการ
มาใชบังคับ
หลักเกณฑการตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความ
1) ศาลตองสั่งรับคําฟองคดีนนั้ ไวพิจารณาแลว และยังไมมีการถอนคําฟองไปจากศาล
2) เปนการตกลงกันระหวางคูค วามในคดี
3) ตองตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแหงคดี
4) ขอตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไมฝาฝนตอกฎหมาย
3.2 ผลของคําพิพากษาตามยอม
ก. ผูกพันคูความในคดี
ข. การใชสิทธิอุทธรณคาํ พิพากษาตามยอม
มาตรา 138 วรรคสอง หามอุทธรณคาํ พิพากษาตามยอมตามมาตรา 138 วรรคหนึ่ง แตมีขอ ยกเวน 3 ประการ
1. เมื่อมีขอกลาวอางวาคูความฝายใดฝายหนึ่งฉอฉล
2. เมื่อคําพิพากษานั้นถูกกลาวอางวาเปนการละเมิดตอบทบัญญัตแ ิ หงกฎหมายอันเกี่ยวดวยความสงบ
เรียบรอยของประชาชน
3. เมื่อคําพิพากษานั้นถูกกลาวอางวามิไดเปนไปตามขอตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
53
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
7. คําพิพากษาและคําสั่ง
การทําคําพิพากษาหรือคําสั่ง ตองทําเปนหนังสือและมีรายการตามที่กฎหมายกําหนด
คําพิพากษาหรือคําสั่งที่ชขี้ าดตองวินิจฉัยตามขอหาในคําฟองทุกขอและหามเกินคําฟองเวนแตกรณีที่ศาลอาจ
พิพากษาหรือทําคําสั่งเกินกวาคําฟองได
หากคําพิพากษาหรือคําสั่งมีขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอย ศาลอาจมีคําสั่งเพิ่มเติม แกไข
ขอผิดพลาดหรือขอผิดหลงเชนวานั้นใหถกู ก็ได
1. หลักเกณฑในการทําคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ถาคําพิพากษาหรือคําสั่งจะตองทําโดยผูพ
ิพากษาหลายคน จะตองบังคับตามความเห็นของฝายขางมาก จํานวนผู
พิพากษาของฝายขางมากนัน้ ในศาลชั้นตนหรือศาลอุทธรณตองไมนอยกวาสองคน และในศาลฎีกาตองไมนอยกวา
สามคน
ในศาลชั้นตนและศาลอุทธรณ ผูพิพากษาคนใดทีร่ วมเปนองคคณะจะทําความเห็นแยงก็ได แตในศาลฎีกาจะทํา
ความเห็นแยงไมได
ในศาลอุทธรณหรือศาลฎีกา ถาอธิบดีผพ ู ิพากษาศาลอุทธรณหรือประธานศาลฎีกาแลวแตกรณีเห็นสมควรจะใหมี
การวินิจฉัยปญหาใดในคดีเรื่องใดโดยทีป่ ระชุมใหญกไ็ ด คําวินจิ ฉัยของที่ประชุมใหญใหเปนไปตามเสียงขางมาก ถามี
คะแนนเสียงเทากันใหประธานแหงที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเปนเสียงชี้ขาดคําพิพากษาหรือคําสั่งตอง
เปนไปตามคําวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ
คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลตองทําเปนหนังสือ มีขอความตามทีบ ่ ังคับไว
การอานคําพิพากษาหรือคําสั่งใหอานขอความทั้งหมดในศาลโดยเปดเผยตอหนาคูความ และใหศาลจดลงในคํา
พิพากษาหรือคําสั่งหรือในรายงาน ซึ่งการอานนั้นและใหคูความทีม่ าศาลลงชื่อ ถาคูค วามไมมาศาล ศาลจะงดการ
อานก็ได ในกรณีเชนนี้ใหศาลจดแจงไวในรายงานและถือวาไดอานตามกฎหมายแลว
1.1การทําคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ขั้นตอนการทําคําพิพากษาอยูใน ป.วิ.พ.มาตรา 140
มาตรา 140 การทําคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล ใหดําเนินตามขอบังคับตอไปนี้
(1) ศาลจะตองประกอบครบถวนตามบทบัญญัติแหงกฎหมายวาดวยเขตอํานาจศาล และอํานาจผูพิพากษา
(2) ภายใตบังคับบทบัญญัติมาตรา 13 ถาคําพิพากษาหรือคําสั่งจะตองทําโดยผูพิพากษาหลายคน คําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น
จะตองบังคับตามความเห็นของฝายขางมาก จํานวนผูพิพากษาฝายขางมากนั้น ในศาลชั้นตนหรือศาลอุทธรณตองไมนอยกวาสองคน
และในศาลฏีกาไมนอยกวาสามคน ในศาลชั้นตนและศาลอุทธรณ ถาผูพิพากษาคนใดมีความเห็นแยง ก็ใหผูพิพากษาคนนั้นเขียน
ใจความแหงความเห็นแยงของตนกลัดไวในสํานวน และจะแสดงเหตุผลแหงขอแยงไวดวยก็ได
ในศาลอุทธรณหรือศาลฎีกา ถาอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณ หรือประธานศาลฎีกา แลวแตกรณี เห็นสมควรจะใหมีการ
วินิจฉัยปญหาใดในคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญก็ได หรือถามีกฎหมายกําหนดใหวินิจฉัยปญหาใดหรือคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญก็ให
วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ
ภายใตบังคับแหงมาตรา 13 ที่ประชุมใหญนั้น สําหรับศาลอุทธรณใหประกอบดวยอยางนอยผูพิพากษาหัวหนาคณะไมนอย
กวา 10 คน สําหรับศาลฎีกาใหประกอบดวยผูพิพากษาทุกคนซึ่งอยูปฏิบัติหนาที่ แตตองไมนอยกวากึ่งจํานวนผูพิพากษาแหงศาลนั้น
และใหอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณ หรือประธานศาลฎีกาแลวแตกรณีหรือผูทําการแทน เปนประธาน
54
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
คําวินิจฉัยของที่ประชุมใหญใหเปนไปตามเสียงขางมากและถามีคะแนนเสียงเทากัน ใหประธานแหงที่ประชุมออกเสียง
เพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเปนเสียงชี้ขาด
ในคดีซึ่งที่ประชุมใหญไดวินิจฉัยปญหาแลว คําพิพากษาหรือคําสั่งตองเปนไปตามคําวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ และตองระบุ
ไวดวยวาปญหาขอใดไดวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ ผูพิพากษาที่เขาประชุมแมมิใชเปนผูนั่งพิจารณา ก็ใหมีอํานาจพิพากษาหรือทําคําสั่ง
ในคดีนั้นได และเฉพาะในศาลอุทธรณใหทําความเห็นแยงไดดวย
(3) การอานคําพิพากษาหรือคําสั่ง ใหอานขอความทั้งหมดในศาลโดยเปดเผย ตามเวลาที่กําหนดไวในประมวลกฎหมายนี้
ตอหนาคูความทั้งสองฝายหรือฝายใดฝายหนึ่งในกรณีเชนวานี้ใหศาลจดลงไวในคําพิพากษาหรือคําสั่ง หรือในรายงานซึ่งการอานนั้น
และใหคูความที่มาศาลลงลายมือชื่อไวเปนสําคัญ
ถาคูความไมมาศาล ศาลจะงดการอานคําพิพากษาหรือคําสั่งก็ไดในกรณีเชนวานี้ ใหศาลจดแจงไวในรายงานและใหถือวาคํา
พิพากษาหรือคําสั่งนั้นไดอานตามกฎหมายแลว
เมื่อศาลที่พิพากษาคดี หรือที่ไดรับคําสั่งจากศาลสูงใหอานคําพิพากษาหรือคําสั่ง ไดอานคําพิพากษาหรือคําสั่งตาม
บทบัญญัติในมาตรานี้วันใด ใหถือวาวันนั้นเปนวันที่พิพากษาหรือมีคําสั่งคดีนั้น
ก. จะตองประกอบครบถวนตามบทบัญญัติแหงกฎหมายวาดวยเขตอํานาจศาล และอํานาจผูพิพากษา
ข. การชีข้ าดตัดสินโดยองคคณะผูพิพากษา
ถาคําพิพากษาหรือคําสั่งจะตองทําโดยผูพ ิพากษาหลายคน คําพิพากษาหรือคําสัง่ นั้นจะตองบังคับตามความเห็น
ของฝายขางมาก
ศาลชั้นตนหรือศาลอุทธรณตองไมนอยกวาสองคน และในศาลฏีกาไมนอยกวาสามคน
ค. การชี้ขาดตัดสินคดีโดยที่ประชุมใหญ
มีเฉพาะในศาลอุทธรณและศาลฎีกาเทานั้น
คดีจะมีการประชุมใหญดวยเหตุผลดังนี้
1. ศาลอุทธรณหรือศาลฎีกา ถาอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณ หรือประธานศาลฎีกา แลวแตกรณี เห็นสมควร
จะใหมกี ารวินิจฉัยปญหาใดในคดีเรือ่ งใดโดยที่ประชุมใหญ
2. มีกฎหมายกําหนดใหชี้ขาดตัดสินคดีโดยที่ประชุมใหญ
องคประชุมของที่ประชุมใหญ
• ศาลอุทธรณใหประกอบดวยอยางนอยผูพ ิพากษาหัวหนาคณะไมนอยกวา 10 คน สําหรับศาลฎีกาให
ประกอบดวยผูพิพากษาทุกคนซึ่งอยูปฏิบตั ิหนาที่ แตตอ งไมนอยกวากึ่งจํานวนผูพพิ ากษาแหงศาลนั้น และให
อธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณ หรือประธานศาลฎีกาแลวแตกรณีหรือผูทาํ การแทน เปนประธาน
• ศาลอุทธรณภาคไมอยูในบังคับของ ป.วิ.พ.มาตรา 140(2)
การลงมติของที่ประชุมใหญ - คําวินิจฉัยของที่ประชุมใหญใหเปนไปตามเสียงขางมากและถามีคะแนนเสียงเทากัน
ใหประธานแหงที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเปนเสียงชี้ขาด
ง. การทําความเห็นแยง
เฉพาะในศาลอุทธรณใหทาํ ความเห็นแยงไดดวย
การชีข้ าดตัดสินโดยที่ประชุมใหญของศาลฎีกาเทานัน ้ ที่หา มไมใหทําความเห็นแยง
ถาความเห็นแยงเปนความเห็นแยงเฉพาะในปญหาขอกฎหมายและคดีนั้นตองหามฎีกาในปญหาขอเท็จจริง
คูความจะไมมีสิทธิฎีกาในปญหาขอเท็จจริง
จ. การอานคําพิพากษาหรือคําสั่งมีขอ พิจารณาดังนี้
1. การนัดฟงคําพิพากษาหรือคําสั่ง
2. การอานคําพิพากษาหรือคําสั่ง
55
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1.2 รายการในคําพิพากษาหรือคําสั่ง
คําพิพากษาหรือคําสั่งตองมีรายละเอียดตาม ป.วิ.พ.มาตรา 141
มาตรา 141 คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลใหทําเปนหนังสือและตองกลาวหรือแสดง
(1) ชือ่ ศาลที่พิพากษาคดีนั้น
(2) ชือ่ คูความทุกฝายและผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูแทน ถาหากมี
(3) รายการแหงคดี
(4) เหตุผลแหงคําวินิจฉัยทั้งปวง
(5) คําวินิจฉัยของศาลในประเด็นแหงคดีตลอดทั้งคาฤชาธรรมเนียม
คําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นตองลงลายมือชื่อผูพิพากษาที่พิพากษาหรือทําคําสั่งหรือถาผูพิพากษาคนใดลงลายมือชื่อไมไดก็ให
ผูพิพากษาอื่นที่พิพากษาหรือทําคําสั่งคดีนั้นหรืออธิบดีผูพิพากษาแลวแตกรณี จดแจงเหตุที่ผูพิพากษาคนนั้นมิไดลงลายมือชื่อและมี
ความเห็นพองดวยคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นแลวกลัดไวในสํานวนความ
ในกรณีที่ศาลมีอํานาจทําคําสั่งหรือพิพากษาคดีไดดวยวาจา การที่ศาลจะตองทํารายงานเกี่ยวดวยคําสั่งหรือคําพิพากษานั้น
ไมจําตองจดแจงรายการแหงคดีหรือเหตุผลแหงคําวินิจฉัย แตเมื่อคูความฝายใดแจงความจํานงที่จะอุทธรณหรือไดยื่นอุทธรณขึ้นมา
ใหศาลมีอํานาจทําคําชี้แจงแสดงรายการขอสําคัญ หรือเหตุผลแหงคําวินิจฉัยกลัดไวกับบันทึกนั้นภายในเวลาอันสมควร
การที่ศาลอุทธรณพิพากษายืนใหโจทกใชคาทนายความชั้นอุทธรณแทนจําเลยโดยไมไดพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องคาฤชาธรรม
เนียมชอบหรือไม
2. ศาลตองชี้ขาดทุกประเด็นและไมเกินคําฟอง
คําพิพากษาหรือคําสั่งศาลที่ชี้ขาดคดีตองตัดสินตามขอหาในคําฟองทุกขอ แตหา มมิใหคําพิพากษาหรือทําคําสั่งให
สิ่งใดๆเกินไปกวาหรือนอกจากที่ปรากฏในคําฟอง นอกจากจะเขาขอยกเวนตามที่บัญญัติไว
ถาในคําพิพากษาหรือคําสัง่ ใดมีขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอยอื่นๆ ศาลจะมีคาํ สั่งแกไขใหถูกก็ได
2.1 หลักกฎหมายที่ศาลตองชี้ขาดทุกประเด็นแตไมเกินคําฟอง
มาตรา 142 วรรคหนึ่ง คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีตองตัดสินตามขอหาในคําฟองทุกขอ แตหามมิใหพิพากษาหรือทํา
คําสั่งใหสิ่งใด ๆ เกินไปกวาหรือนอกจากที่ปรากฎในคําฟอง…
ก. ศาลตองวินิจฉัยชีข้ าดตามขอหาในคําฟองทุกขอ
ข. หามศาลพิพากษาหรือทําคําสั่งเกินคําฟอง
GUIDE อานตัวอยางในบทที่ 7.2.1
โจทยฟองวา จําเลยปลูกสรางบานรุกล้ําเขามาในที่ดินของโจทก โจทกบอกกลาวใหจําเลยรื้อถอนบานสวนที่รุกล้ําแลว แตจําเลย
เพิกเฉย ขอใหบังคับจําเลยรื้อถอนบานดังกลาวออกจากที่ดินโจทย และหามมิใหจําเลยและบริวารเขาไปเกี่ยวของในที่ดินดังกลาว หาก
จําเลยไมปฏิบัติตามใหโจทกเปนผูรื้อถอนโดยจําเลยออกคาใชจาย ขอเท็จจริงฟงไดวา จําเลยปลูกสรางบานตามฟองรุกล้ําเขาไปใน
ที่ดินของโจทกโดยสุจริต ศาลชั้นตนจึงพิพากษาใหจําเลยชําระเงินเปนคาชดใชที่ดินของโจทก ใหวินิจฉัยวา คําพิพากษาของศาลชั้นตน
ชอบดวยกฎหมายหรือไม
2.2 ขอยกเวนที่ศาลอาจพิพากษาหรือทําคําสั่งเกินกวาคําฟองได
มาตรา 142 คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีตองตัดสินตามขอหาในคําฟองทุกขอ แตหามมิใหพิพากษาหรือทําคําสั่งใหสิ่ง
ใด ๆ เกินไปกวาหรือนอกจากที่ปรากฎในคําฟอง เวนแต
(1) ในคดีฟองเรียกอสังหาริมทรัพย ใหพึงเขาใจวาเปนประเภทเดียวกับฟองขอใหขับไลจําเลย ถาศาลพิพากษาใหโจทกชนะ
คดี เมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะมีคําสั่งใหขับไลจําเลยก็ได คําสั่งเชนวานี้ใหใชบังคับตลอดถึงวงศญาติทั้งหลายและบริวารของจําเลยที่
อยูบนอสังหาริมทรัพยนั้น ซึ่งไมสามารถแสดงอํานาจพิเศษใหศาลเห็นได
(2) ในคดีที่โจทกฟองเรียกทรัพยใด ๆ เปนของตนทั้งหมดแตพิจารณาไดความวาโจทกควรไดแตสวนแบง เมื่อศาล
เห็นสมควรศาลจะพิพากษาใหโจทกไดรับแตสวนแบงนั้นก็ได
56
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. การแกไขคําพิพากษาหรือคําสั่งในขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอย
คําพิพากษาหรือคําสั่งโดยปกติจะแกไขเปลี่ยนแปลงไมได เวนแตเปนการแกไขในขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิด
หลงเล็กนอย
ศาลที่มีอํานาจแกไขคําพิพากษาหรือคําสั่งในขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอย คือศาลอุทธรณหรือศาล
ฎีกา แลวแตกรณี เวนแตจะไมมีการอุทธรณหรือฎีกา
3.1 หลักการคําพิพากษาหรือคําสั่งในขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอย
มาตรา 143 ถาในคําพิพากษาหรือคําสั่งใด มีขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอยอื่น ๆ และมิไดมีการอุทธรณหรือฎีกา
คัดคานคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น เมื่อศาลที่ไดพิพากษาหรือมีคําสั่งนั้นเห็นสมควร หรือเมื่อคูความที่เกี่ยวของรองขอ ศาลจะมีคําสั่ง
เพิ่มเติมแกไขขอผิดพลาด หรือขอผิดหลงเชนวานั้นใหถูกก็ไดแตถาไดมีการอุทธรณหรือฎีกาคัดคานคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น อํานาจ
ที่จะแกไขขอผิดพลาดหรือขอผิดหลงนั้นยอมอยูแกศาลอุทธรณหรือศาลฎีกาแลวแตกรณี คําขอใหแกไขขอผิดพลาดหรือขอผิดหลงนั้น
ใหยื่นตอศาลดังกลาวแลว โดยกลาวไวในฟองอุทธรณหรือฎีกา หรือโดยทําเปนคํารองสวนหนึ่งตางหาก
การทําคําสั่งเพิ่มเติมมาตรานี้ จะตองไมเปนการกลับหรือแกคําวินิจฉัยในคําพิพากษาหรือคําสั่งเดิม
เมื่อไดทําคําสั่งเชนวานั้นแลว หามไมใหคัดสําเนาคําพิพากษาหรือคําสั่งเดิม เวนแตจะไดคัดสําเนาคําสั่งเพิ่มเติมนั้นรวมไป
ดวย
ก. ผูที่มีสิทธิรองขอใหศาลแกไขคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ผูที่มีสิทธิรองขอใหศาลแกไขคําพิพากษาหรือคําสั่ง ไดแก คูค วามในคดี ผูไมใชคูความไมมีอํานาจ แตถาศาลเห็น
เองก็มีอํานาจที่จะแกไขได แตตองทําโดยความรูเห็นของคูความในคดีนั้น
ข. การแกไขคําพิพากษาหรือคําสั่ง
57
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
การที่ศาลจะมีคําสั่งแกไขไดนั้น ตองเปนการแกไขขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอหลงลืมหรือเขาใจผิดเล็กนอยเทานั้น
สวนใหญมักเกิดจากการพิมพผิดไปจากที่ศาลวินิจฉัยไว ไมวาจะเปนการพิมพตัวอักษรผิด สะกดคําผิด พิมพตัวเลขผิด
หรือสลับที่กัน หรือพิมพตัวเลขปผิด
ค. วิธีการแกไขคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ศาลจะทําคําสั่งฉบับใหมสงั่ แกไขสวนที่ผดิ ใหถูกตองแลวแนบติดไปกับคําพิพากษาหรือคําสั่งเดิม โดยไมไดขดี ฆา
หรือลบขอความในคําพิพากษาหรือคําสัง่ เดิม
ถาคูความไมอุทธรณคําพิพากษา ศาลชั้นตนจะมีคําสั่งเพิ่มเติมแกไขคําพิพากษาในกรณีดังตอไปนี้ไดหรือไม
1. คําพิพากษาศาลชั้นตนพิมพจํานวนเงิน 5,312 บาท ผิดเปน 5,213 บาท
2. คําพิพากษาศาลชั้นตนพิมพนามสกุลจําเลยที่ 1 “คลองอักขระ” ผิดเปน “คลองอักษร”
3. ศาลชั้นตนวินิจฉัยไวแลววาจําเลยตองรับผิดชําระดอกเบี้ยแกโจทยดวย แตพิพากษาโดยมิไดนําดอกเบี้ยจํานวนดังกลาวมา
รวมคํานวณเปนยอดหนี้ที่จําเลยตองชําระแกโจทก
4. โจทกฟองใหจําเลยชําระเงิน 2,973,482 บาท แตโจทกมีคําขอทายฟองใหจําเลยชําระเงิน 2,927,761 บาท พรอม
ดอกเบี้ยในอัตรารอยละ 19 ตอปของเงินตน 2,927,761 บาท และศาลชั้นตนพิพากษาใหจําเลยชําระเงินตามจํานวนในคํา
ขอทายฟอง ตอมาโจทกรองขอใหแกคําคําพิพากษาเปนวาใหจําเลยชําระเงิน 2,973,482 บาท โดยจําเลยไมคัดคาน
3.2 ศาลที่มอี ํานาจแกไขคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ก. กรณีไมมกี ารอุทธรณหรือฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่ง ไดแก ศาลชั้นตน
ข. กรณีมีการอุทธรณหรือฎีกาคําพิพากษาหรือคําสัง่ ไดแก ศาลอุทธรณหรือศาลฎีกาแลวแตกรณี
58
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
8. ผลแหงคําพิพากษาและคําสั่ง
กฎหมายหามมิใหศาลหรือคูความดําเนินกระบวนพิจารณาซ้าํ
คําพิพากษาหรือคําสั่งใดๆ ยอมผูกพันคูค วาม
กฎหมายหามมิใหคูความเดียวกันฟองซ้ํา
1. หลักเกณฑการดําเนินกระบวนการพิจารณาซ้ํา
เมื่อใดศาลมีคาํ พิพากษาหรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นขอใดขอหนึ่งแหงคดีแลว จะดําเนินกระบวน
พิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ไดวินจิ ฉัยชี้ขาดแลวไมได
มีขอยกเวนมิใหถือวาเปนการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ํา คือการแกไขขอผิดพลาด หรือขอผิดหลงเล็กนอย การ
พิจารณาคดีใหม การยื่นการยอมรับหรือไมยอมรับซึง่ อุทธรณหรือฎีกา ฯลฯ ตามที่บัญญัตไิ วในมาตรา 144 (1) ถึง
(5)
1.1 หลักเกณฑการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ํา
มาตรา 144 เมื่อศาลใดมีคําพิพากษา หรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นขอใดแหงคดีแลว หามมิใหดําเนินกระบวนพิจารณา
ในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ไดวินิจฉัยชี้ขาดแลวนั้น เวนแตกรณีจะอยูภายใตบังคับบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วา
ดวย
(1) การแกไขขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอยอื่น ๆ ตามมาตรา 143
(2) การพิจารณาใหมแหงคดีซึ่งไดพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปฝายเดียวตามมาตรา 209 และคดีที่เอกสารไดสูญหายหรือ
บุบสลายตามมาตรา 53
(3) การยื่น การยอมรับ หรือไมยอมรับ ซึ่งอุทธรณหรือฎีกาตามมาตรา 229 และ 247 และการดําเนินวิธีบงั คับชั่วคราวใน
ระหวางการยื่นอุทธรณหรือฎีกาตามมาตรา 254 วรรคสุดทาย
(4) การที่ศาลฎีกาหรือศาลอุทธรณสงคดีคืนไปยังศาลลางที่ไดพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เพื่อใหพิพากษาใหมหรือ
พิจารณาและพิพากษาใหมตามมาตรา 243
(5) การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งตามมาตรา 302
ทั้งนี้ไมเปนการตัดสิทธิในอันที่จะบังคับตามบทบัญญัติแหงมาตรา 16 และ 240 วาดวยการดําเนินกระบวนพิจารณาโดย
ศาลอื่นแตงตั้ง
ก. ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นขอใดแหงคดีแลว
ข. หามมิใหดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ไดวินิจฉัยชีข้ าดแลว
ขอสังเกตเกี่ยวกับการดําเนินกระบวนการพิจารณาซ้ํา
1. การยื่นคํารองขอเปนคดีไมมีขอพิพาทก็อาจเปนการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้าํ กับการฟองคดีที่มีขอ
พิพาทได หากมีประเด็นอยางเดียวกัน
2. การดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ํามีผลกระทบถึงเรื่องอํานาจฟอง ซึ่งเปนปญหาเกี่ยวกับความสงบ
เรียบรอย ศาลสามารถยกขึ้นวินิจฉัยไดเอง
3. กรณีที่ศาลลางมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง และศาลสูงมีคาํ พิพากษายกคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
ลาง โดยวินจิ ฉัยในประเด็นบางขอและใหศาลลางพิจารณาประเด็นขออื่นแลวพิพากษาใหม ศาลลาง
ยอมมีอํานาจวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลสูงกําหนดเทานัน้ เมื่อศาลลางวินิจฉัยแลว คูความก็สามารถ
อุทธรณไดเฉพาะประเด็นที่ศาลสูงกําหนดใหศาลลางมีคําวินิจฉัยใหมเทานั้น สวนประเด็นที่ศาลสูง
59
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. คําพิพากษาหรือคําสั่งผูกพันคูความ
คําพิพากษาหรือคําสั่งใดๆยอมผูกพันคูความในกระบวนพิจารณาของศาลที่มีคาํ พิพากษา หรือคําสั่ง นับแตวน
ั ที่ได
พิพากษาหรือมีคําสั่งจนถึงวันที่ถูกเปลี่ยนแปลงแกไข กลับหรืองดเสีย ถาหากมี
60
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
คําพิพากษาหรือคําสั่งยอมไมผูกพันบุคคลภายนอก เวนแตจะเขาขอยกเวน
คําพิพากษาหรือคําสั่งอันเปนที่สุดของสองศาลซึ่งตางชัน
้ กัน กลาวถึงการชําระหนีอ้ ันแบงแยกจากกันไมได และคํา
พิพากษาหรือคําสั่งนั้นขัดกัน ใหถือตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลที่สูงกวา
คําพิพากษาหรือคําสั่งใดซึง่ จะอุทธรณฎีกาหรือมีคาํ ขอพิจารณาใหมไมได ใหถือวาถึงที่สุดตั้งแตวันที่ไดอา นเปนตน
ไป ถามิไดอุทธรณ ฎีกาหรือขอพิจารณาใหมภายในเวลากําหนดระยะเวลา ใหถือวาเปนที่สุดตัง้ แตระยะเวลาเชนวา
นั้นไดสิ้นสุดลง
2.1 ผลผูกพันของคําพิพากษาหรือคําสัง ่
มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ภายใตบังคับบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วาดวยการอุทธรณฎีกา และการพิจารณาใหม คําพิพากษา
หรือคําสั่งใด ๆ ใหถือวาผูกพันคูความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคําสั่ง นับตั้งแตวันที่ไดพิพากษาหรือมีคําสั่งจนถึง
วันที่คําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นไดถูกเปลี่ยนแปลง แกไข กลับหรืองดเสีย ถาหากมี
2.2 คําพิพากษาหรือคําสัง่ ที่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก
มาตรา 145 วรรคสอง ถึงแมศาลจะไดกลาวไวโดยทั่วไปวาใหใชคําพิพากษาบังคับแกบุคคลภายนอก ซึ่งมิไดเปนคูความในกระบวน
พิจารณาของศาลดวยก็ดี คําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นยอมไมผูกพันบุคคลภายนอก เวนแตที่บัญญัติไวในมาตรา 142 (1), 245 และ
274 และในขอตอไปนี้
(1) คําพิพากษาเกี่ยวดวยฐานะหรือความสามารถของบุคคล หรือคําพิพากษาสั่งใหเลิกนิติบุคคล หรือคําสั่งเรื่องลมละลาย
เหลานี้ บุคคลภายนอกจะยกขึ้นอางอิงหรือจะใชยันแกบุคคลภายนอกก็ได
(2) คําพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แหงทรัพยสินใด ๆ เปนคุณแกคูความฝายใดฝายหนึ่งอาจใชยันแกบุคคลภายนอกได
เวนแตบุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจนไดวาตนมีสิทธิดีกวา
2.3 คําพิพากษาหรือคําสั่งอันเปนที่สุด
มาตรา 147 คําพิพากษาหรือคําสั่งใด ซึ่งตามกฎหมายจะอุทธรณหรือฎีกาหรือมีคําขอใหพิจารณาใหมไมไดนั้น ใหถือวาเปนที่สุด
ตั้งแตวันที่ไดอานเปนตนไป
คําพิพากษาหรือคําสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ ฎีกา หรือมีคําขอใหพิจารณาใหมไดนั้น ถามิไดอุทธรณ ฎีกาหรือรองขอใหพิจารณา
ใหมภายในเวลาที่กําหนดไวใหถือวาเปนที่สุดตั้งแตระยะเวลาเชนวานั้นไดสนิ้ สุดลง ถาไมมีอุทธรณ ฎีกา หรือมีคําขอใหพิจารณาใหม
และศาลอุทธรณหรือศาลฎีกาหรือศาลชั้นตนซึ่งพิจารณาคดีเรื่องนั้นใหมมีคําสั่งใหจําหนายคดีเสียจากสารบบความตามที่บัญญัติไวใน
มาตรา 132 คําพิพากษาหรือคําสั่งเชนวานั้นใหถือวาเปนที่สุดตั้งแตวันที่มีคําสั่งใหจําหนายคดีจากสารบบความ
คูความฝายหนึ่งฝายใดอาจยื่นคําขอตอศาลชั้นตนซึ่งพิจารณาคดีนั้นใหออกใบสําคัญแสดงวาคําพิพากษาหรือคําสั่งในคดีนั้น
ไดถึงที่สุดแลว
3. การฟองซ้ํา
คดีที่มีคาํ พิพากษาหรือคําสัง่ ถึงที่สุดแลว คูความเดียวกันจะรื้อรองฟองกันอีกในประเด็นที่ไดวินจิ ฉัยโดยอาศัยเหตุ
อยางเดียวกันไมได
มีขอยกเวนมิใหถือวาเปนการฟองซ้ําคือ (1) การดําเนินกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ของศาล (2) เมื่อคําพิพากษาหรือคําสั่งไดกําหนดวิธีการชั่วคราวใหอยูในบังคับที่จะแกไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิก
เสียไดตามพฤติการณ (3) เมื่อคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นยกฟองเสียโดยไมตดั สิทธิโจทกทจี่ ะนําฟองมายื่นใหม ทั้งนี้
ตามมาตรา 148 (1) ถึง (3)
3.1 หลักเกณฑการฟองซ้าํ
มาตรา 148 วรรคแรก คดีที่ไดมีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแลวหามมิใหคูความเดียวกันรื้อรองฟองกันอีก ในประเด็นที่ไดวินิจฉัย
โดยอาศัยเหตุอยางเดียวกันเวนแตในกรณีตอไปนี…
้
3.2 ขอยกเวนเรื่องการฟองซ้ํา
61
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
62
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
9. คาฤชาธรรมเนียม
คาฤชาธรรมเนียม หมายถึง เงินที่กฎหมายกําหนดใหตองชําระเมื่อมีการดําเนินคดีแพง ซึ่งอาจเปนการชําระใหแก
รัฐหรือบุคคลอื่น ตามหลักเกณฑและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว
บุคคลอาจไดรับอนุญาตใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลไดตามหลักเกณฑที่กฎหมายบัญญัติไว
เมื่อมีการวางเงินหรือชําระหนี้ตามฟองแลว ศาลตองมีคําสั่งเกี่ยวกับคาฤชาธรรมเนียมตามที่กฎหมายบัญญัติไว
แตคูความฝายที่ไมพอใจคําสั่งดังกลาวจะอุทธรณหรือฎีกาเฉพาะคาฤชาธรรมเนียมเพียงอยางเดียวไมได
1. ความหมายและการชําระคาฤชาธรรมเนียม
คาฤชาธรรมเนียม หมายถึง เงินที่กฎหมายกําหนดใหตองชําระเมื่อมีการดําเนินคดีแพง ซึ่งอาจเปนการชําระใหแก
รัฐหรือบุคคลอื่น ทั้งนี้ก็เพื่อปองกันไมใหมีการนําคดีมาฟองศาลโดยไมมีเหตุผลหรือการดําเนินกระบวนพิจารณาโดย
ไมจําเปนหรือเพื่อเปนคาใชจายใหแกบุคคลทีต่ องดําเนินการอยางหนึ่งอยางใดเพื่อประโยชนแกการดําเนินคดี
คาฤชาธรรมเนียม แบงตามผูมีสิทธิไดรบ ั ออกไดเปน 2 ประเภทคือ คาธรรมเนียมที่ตกแกรฐั และคาธรรมเนียมที่
ตกแกบคุ คลอืน่
คูความหรือบุคคลที่กฎหมายกําหนดใหตองชําระคาฤชาธรรมเนียมเมื่อไดดําเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมาย
บัญญัติไว แตผูที่ชาํ ระคาฤชาธรรมเนียมนั้นใชวาจะเสียเงินคาฤชาธรรมเนียมนั้นไปเลย เพราะอาจไดรับเงินคาฤชา
ธรรมเนียมนัน้ คืนไดในกรณีทศี่ าลเห็นวาคูค วามอีกฝายหนึ่งควรเปนผูรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมและศาลสัง่ ให
คูความฝายนั้นรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมแทนฝายที่ไดชําระคาฤชาธรรมเนียมไปแลว
การคืนคาขึ้นศาลแบงเปน 3 กรณีคือ กรณีทศี่ าลตองมีคําสั่งใหคืนคาขึ้นศาลทั้งหมด กรณีทศี่ าลมีอํานาจสั่งคืนคา
ขึ้นศาลทั้งหมดหรือบางสวนไดตามที่เห็นสมควร และกรณที่ศาลมีอาํ นาจสั่งคืนคาขึ้นศาลแตเพียงบางสวน
1.1 ความหมายและการชําระคาฤชาธรรมเนียม
ระบบการเรียกเก็บคาฤชาธรรมเนียมในคดีแพงที่เหมาะสมควรมีลักษณะดังนี้
a. สามารถสกัดกั้นการฟองรองหรือการดําเนินคดีที่ไมสจ ุ ริตหรือไมมีเหตุผล
b. ไมเปนอุปสรรคตอการเขาถึงความยุติธรรม
i. ผูที่ไมมท
ี รัพยสินเพียงพอ
1. ผูเสียหายจากการกระทําความผิดอาญา (ป.วิ.อ.มาตรา 254)
2. คูความฝายที่เปนผูบริโภคในคดีผูบริโภค
3. คูความที่เปนโจทกในคดีมโนสาเร
c. ระบบและวิธีการเรียกเก็บตองสะดวกและเปนธรรม
คาฤชาธรรมเนียม แบงออกไดเปน 2 ประเภท
1. คาฤชาธรรมเนียมที่ตกแกรฐั
o คาธรรมเนียมศาล
o คาธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือคาธรรมเนียมเจาพนักงานคดี
2. คาฤชาธรรมเนียมที่ตกแกบุคคลอื่น
o คาสืบพยานหลักฐานนอกศาล
o คาปวยการ คาพาหนะ และคาเชาที่พักของพยาน กับคารังวัดทําแผนที่
63
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
o คาทนายความ
o คาใชจา ยในการดําเนินคดี
o คาธรรมเนียมหรือคาใชจายอื่นๆ
1.2 ประเภทและอัตราของคาฤชาธรรมเนียม
ประเภทที่ 1 คาฤชาธรรมเนียมที่ตกแกรฐั
ก. คาธรรมเนียมศาล
1. คาขึ้นศาล
a. คาขึ้นศาลในศาลชั้นตน
b. คาขึ้นศาลในชั้นอุทธรณหรือฎีกา
2. คาธรรมเนียมอื่นๆ
ข. คาธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือคาธรรมเนียมเจาพนักงานบังคับคดี
ประเภทที่ 2 คาฤชาธรรมเนียมที่ตกแกบุคคลอื่น
ก. คาสืบพยานหลักฐานนอกศาล
ข. คาปวยการ คาพาหนะเดินทาง และคาเชาที่พักของพยาน
ค. คารังวัดทําแผนที่
ง. คาธรรมเนียมและคาใชจา ยของผูเชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง
จ. คาปวยการลาม
ฉ. คาธรรมเนียมและคาใชจา ยในการสงคําคูค วามหรือเอกสารที่ตองชําระใหแกเจาพนักงานศาล
ช. คาทนายความ
ฌ. คาใชจา ยในการดําเนินคดี
ฒ. คาปวยการ คาพาหนะเดินทาง คาเชาที่พัก และคาใชจา ยของเจาพนักงานบังคับคดี
ด. คาธรรมเนียมหรือคาใชจายอื่นๆ บรรรดาที่กฎหมายบังคับใหชาํ ระ
1.3 การชําระคาฤชาธรรมเนียม
ก. ผูมีหนาที่ชําระคาฤชาธรรมเนียม
1. คาขึ้นศาล (ป.วิ.พ.มาตรา 149 วรรคสอง)
2. คาฤชาธรรมเนียมอื่น
a. ที่มิใชคา ฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
b. ที่เปนคาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ข. วิธีการชําระคาฤชาธรรมเนียม (ม.153/1, 149 วรรคสาม, 153 วรรคสาม)
ค. ผลของการไมชําระคาฤชาธรรมเนียม
1.4 การคืนคาขึ้นศาล
ก. กรณีที่ศาลตองมีคําสั่งใหคืนคาขึ้นศาลทั้งหมด (ม.151 วรรคหนึ่ง)
มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งไมรับคําฟอง หรือในกรณีที่มีการอุทธรณหรือฎีกา หรือมีคําขอใหพิจารณาใหม ถาศาล
ไมยอมรับอุทธรณหรือฎีกา หรือคําขอใหพิจารณาใหม หรือศาลฎีกามีคําสั่งใหยกอุทธรณหรือฎีกาโดยยังมิไดวินิจฉัยประเด็นแหง
อุทธรณหรือฎีกานั้น ใหศาลมีคําสั่งใหคืนคาธรรมเนียมศาลทั้งหมด
1. ศาลมีคําสั่งไมรับคําฟอง
64
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. ศาลไมรับอุทธรณหรือฎีกา
3. ศาลไมรับคําขอใหพจ ิ ารณาคดีใหม
4. ศาลอุทธรณหรือศาลฎีกามีคําสั่งใหยกอุทธรณหรือฎีกา
ข. กรณีที่ศาลมีอํานาจสั่งคืนคาขึ้นศาลทั้งหมดหรือบางสวนไดตามที่เห็นสมควร (ม.151 วรรคสอง)
มาตรา 151 วรรคสอง เมื่อไดมีการถอนคําฟอง หรือเมื่อศาลไดตัดสินใหยกคําฟองโดยไมตัดสิทธิโจทกที่จะฟองคดีใหม หรือเมื่อคดี
นั้นไดเสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือการประนีประนอมยอมความใหศาลมีอํานาจที่จะสั่งคืนคาธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางสวน
แกคูความที่เกี่ยวของซึ่งไดเสียไวในเวลายื่นคําฟองไดตามที่เห็นสมควร
1. เมื่อมีการถอนคําฟอง
2. เมื่อศาลตัดสินยกฟองโดยไมตัดสิทธิโจทกที่จะฟองคดีใหม
3. เมื่อคดีเสร็จเด็ดขาดโดยสัญญาหรือการประนีประนอมยอมความหรือการพิพากษาตามคําชีข
้ าดของ
อนุญาโตตุลาการ
ค. กรณีที่ศาลมีอํานาจสั่งคืนคาขึ้นศาลแตเพียงบางสวน (ม.151 วรรคสาม)
มาตรา 151 วรรคสาม ถาศาลอุทธรณหรือศาลฎีกามีคําสั่งใหสงสํานวนความคืนไปยังศาลลางเพื่อตัดสินใหมหรือเพื่อพิจารณาใหม
ทั้งหมดหรือแตบางสวนตามที่บัญญัติไวในมาตรา 243 ศาลอุทธรณหรือศาลฎีกามีอํานาจที่จะยกเวนมิใหคูความตองเสีย
คาธรรมเนียมศาล ในการดําเนินกระบวนพิจารณาใหม หรือในการที่จะยื่นอุทธรณหรือฎีกาคัดคานคําพิพากษาใหมของศาลลางได
ตามที่เห็นสมควร
2. การยกเวนคาธรรมเนียมศาล
คูความซึ่งไมสามารถเสียคาธรรมเนียมศาลอาจยื่นคํารองตอศาลขอใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลในการฟองหรือ
ตอสูคดีในศาลชั้นตนหรือชัน้ อุทธรณหรือชั้นฎีกาตามที่กฎหมายบัญญัติไว
ศาลจะดําเนินการพิจารณาสั่งคํารองขอยกเวนคาธรรมเนียมศาลดวยความรวดเร็ว โดยกฎหมายกําหนดใหผรู อง
สามารถเสนอพยานหลักฐานมาพรอมคํารองไดทันที และไมบังคับวาศาลจะตองไตสวนกอนมีคําสั่งทุกกรณี หาก
พยานหลักฐานที่ผูรองเสนอมานั้นเพียงพอแลว ศาลมีอํานาจสั่งคํารองไดทันที
เมื่อศาลมีคําสั่งอนุญาตใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลแลว หากตอมาปรากฎวาบุคคลดังกลาวสามารถเสีย
คาธรรมเนียมศาลได หรือประพฤติตนไมเรียบรอย ศาลอาจมีคาํ สั่งใหบคุ คลนั้นชําระคาธรรมเนียมศาลที่ไดรับยกเวน
ก็ได หรือ ในกรณีที่คคู วามอีกฝายหนึ่งจะตองเปนผูรับผิดในคาฤชาธรรมเนียม ศาลอาจพิพากษาใหคูความฝายนั้น
ชําระคาธรรมเนียมศาลที่ไดรับการยกเวนตอศาลในนามของผูไดรับยกเวนคาธรรมเนียมศาลไดตามที่เห็นสมควร
2.1 วิธกี ารรองขอยกเวนคาฤชาธรรมเนียม
ก. คูความที่มีสิทธิรองขอยกเวนคาธรรมเนียมศาล (ม.155)
มาตรา 155 ถาคูความคนใดอางวาเปนคนยากจน ไมสามารถเสียคาธรรมเนียมศาล ในศาลชั้นตน หรือชั้นอุทธรณ หรือชั้นฎีกา เมื่อ
ศาลไดไตสวนเปนที่เชื่อไดวา คูความนั้นเปนคนยากจนไมมีทรัพยสินพอจะเสียคาธรรมเนียมก็ใหศาลอนุญาตใหคูความนั้นฟอง หรือ
ตอสูคดีอยางคนอนาถาได แตการขอเชนวานีถ้ าผูขอเปนโจทก ผูขอจะตองแสดงใหเปนที่พอใจศาลดวยวาคดีของตนมีมูลที่จะฟองรอง
หรือในกรณีอุทธรณ หรือฎีกา ศาลเห็นวามีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณหรือฎีกา แลวแตกรณี
เมื่อคูความคนใดไดรับอนุญาตใหฟองหรือตอสูคดีอยางคนอนาถาแลวยื่นคําขอวาความอยางคนอนาถาในชั้นอุทธรณหรือ
ฎีกา แลวแตกรณีตอมา ใหถือวาคูความนั้นยังเปนคนยากจนอยู เวนแตจะปรากฎตอศาลเปนอยางอื่น
ข. คํารองขอยกเวนคาธรรมเนียมศาลตองแสดงเหตุผล (ม.156/1 วรรคสอง)
ค. วิธีการยื่นคํารองขอยกเวนคาธรรมเนียมศาล
65
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. ความรับผิดชอบชั้นที่สุดในคาฤชาธรรมเนียม
เมื่อมีการดําเนินกระบวนพิจารณาใดที่ตอ งเสียคาฤชาธรรมเนียม กฎหมายไดกาํ หนดผูท
ี่มีหนาที่ชาํ ระคาฤชา
ธรรมเนียมเหลานั้นไว แตเมื่อคดีสิ้นสุดลงและปรากฎวาคูค วามฝายใดเปนตนเหตุใหเกิดคดีความหรือตองดําเนินกร
บวนพิจารณาอยางหนึ่งอยางใดโดยไมจําเปน หรือโดยไมสุจริต ความรับผิดชอบในคาฤชาธรรมเนียมจึงควรตกแก
คูความฝายนั้น
เมื่อมีการวางเงินหรือชําระหนี้ตามฟองแลว ศาลตองมีคําสั่งเกี่ยวกับคาฤชาธรรมเนียมตามที่กฎหมายบัญญัติไว
จะใชดุลพินิจสั่งเปนอยางอื่นอยางกรณีธรรมดาไมได เวนแตในกรณีที่คคู วามฝายใดไดดําเนินกระบวนพิจารณาโดยไม
จําเปน หรือมีลักษณะประวิงคดี หรือที่ตอ งดําเนินไปเพราะความผิดหรือประมาทเลินเลออยางรายแรง คูค วามฝาย
นั้นจะตองรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมนัน้ โดยไมตอ งคํานึงวาคูค วามฝายนั้นชนะคดีหรือไม
หามมิใหคคู วามอุทธรณหรือฎีกาในปญหาเรื่องคาฤชาธรรมเนียมแตอยางเดียว เวนแตอุทธรณหรือฎีกานั้นจะได
ยกเหตุวา คาฤชาธรรมเนียมนั้นมิไดกําหนดหรือคํานวณใหถูกตองตามกฎหมาย
3.1 ผูมีหนาที่ตองรับผิดชอบชั้นที่สุดในคาฤชาธรรมเนียม
ก. คาฤชาธรรมเนียมที่เกิดขึ้นระหวางพิจารณา
66
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1. ผูมีหนาที่รับผิดชั้นที่สดุ ในคาฤชาธรรมเนียม
คาขึ้นศาล (ม.149 วรรคสอง)
คาฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากคาขึ้นศาล (ม.152 วรรคหนึ่ง)
คาฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี (ม.153 วรรคสอง)
2. ศาลมีหนาที่สั่งเรื่องคาฤชาธรรมเนียม (ตาม ม.141(5) และ 167)
หนาที่ของศาลที่จะตองพิจารณามีคําพิพากษาหรือคําสั่งเกี่ยวกับคาฤชาธรรมเนียมนั้นมีอยูในหลายวาระคือ
1. เมื่อศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดี
2. เมื่อศาลมีคําสั่งจําหนายคดีเสียจากสารบบความ
3. เมื่อศาลมีคําสั่งอยางหนึ่งอยางใดในระหวางการพิจารณา (ม.167 วรรคหนึ่ง)
4. ในกรณีที่มีขอพิพาทในเรื่องที่ไมเปนประเด็นในคดี (ม.167 วรรคสอง)
5. ในกรณีที่มีการพิจารณาคดีใหม (ม.167 วรรคสาม)
มาตรา 167 คําสั่งในเรื่องคาฤชาธรรมเนียมนั้น ไมวาคูความทั้งปวงหรือแตฝายใดฝายหนึ่ง จักมีคําขอหรือไมก็ดี ใหศาลสั่งลงไวใน
คําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีหรือในคําสั่งจําหนายคดีออกสารบบความ แลวแตกรณี แตถาเพื่อชี้ขาดตัดสินคดีใด ศาลไดมีคําสั่ง
อยางใดในระหวางการพิจารณา ศาลจะมีคําสั่งเรื่องคาฤชาธรรมเนียมสําหรับกระบวนพิจารณาที่เสร็จไปในคําสั่งฉบับนั้นหรือในคํา
พิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีก็ไดแลวแตจะเลือก
ในกรณีที่มีขอพิพาทในเรื่องที่ไมเปนประเด็นในคดี ใหศาลมีคําสั่งในเรื่องคาฤชาธรรมเนียมสําหรับขอพิพาทเชนวานีใ้ นคําสั่ง
ชี้ขาดขอพิพาทนั้น
ในกรณีที่มีการพิจารณาใหม ใหศาลมีอํานาจที่จะสั่งเรื่องคาฤชาธรรมเนียมสําหรับการพิจารณาครั้งแรก และการพิจารณา
ใหมในคําพิพากษาหรือคําสั่งได
3. การกําหนดผูรับผิดชอบชั้นที่สุดในคาฤชาธรรมเนียม
หลักเกณฑ
1. ตามปกติคูความฝายทีแ ่ พคดีจะตองรับผิดในคาฤชาธรรมเนียม (ม.161 วรรคหนึ่ง)
2. ศาลมีอาํ นาจที่จะพิพากษาใหคูความฝายใดเสียคาฤชาธรรมเนียมทั้งปวงได
3. ศาลสั่งใหคูความแตละฝายรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมสวนของตน หรือ ศาลจะสั่งวา “คาฤชาธรรมเนียมให
เปนพับ”
4. ใหคูความฝายทีแ่ พคดีรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมตามสวนเฉพาะสวนที่แพคดี
5. คดีไมมีขอพิพาท
6. บุคคลที่เปนโจทกรวมกันหรือจําเลยรวมกันนั้นไมตองรับผิดรวมกันในคาฤชาธรรมเนียม (ม.162)
7. ถาคดีไดเสร็จเด็ดขาดโดยการตกลงหรือการประนีประนอมยอมความหรืออนุญาโตตุลาการ (ม.163)
8. คูความฝายใดทําใหตองเสียคาฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใดๆ ที่ไดดําเนินไปโดยไมจาํ เปนหรือมี
ลักษณะประวิงคดี หรือที่ตอ งดําเนินไปเพราะความผิดหรือความประมาทเลินเลออยางรายแรง (ม.166)
4. ผลของการรับผิดชั้นทีส่ ุดในคาฤชาธรรมเนียม
ข. คาฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
1. ลูกหนี้ตามคําพิพากษา (ม.169/2 วรรคหนึ่ง)
2. ผูค้ําประกันในศาล (ม.169/2 วรรคสอง)
3. เจาของรวมหรือทายาทผูไดรับสวนแบงทุกคน (ม.169/2 วรรคสาม)
4. ในกรณีที่มีการถอนบังคับคดี
67
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
a. ถาเปนการถอนการบังคับคดีเพราะเหตุทลี่ ูกหนี้ตามคําพิพากษาไดวางเงินหรือหาประกันมาให Æ
ลูกหนี้ตามคําพิพากษานั้น (ม.295(1))
b. ถาเปนการถอนการบังคับคดีเพราะเหตุอน ื่ Æ เจาหนีต้ ามคําพิพากษาผูขอยึดหรืออายัดทรัพยสิน
เปนผูรับผิดชัน้ ที่สุด (ม.169/2 วรรคสี่)
5. บุคคลใดตองทําใหเสียคาฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีสวนใดโดยไมจําเปน หรือมีลักษณะประวิงการบังคับ
คดี หรือที่ตองดําเนินไปเพราะความผิดหรือความประมาทเลินเลออยางรายแรง หรือเพราะบังคับคดีไปโดย
ไมสุจริต กอนการบังคับไดเสร็จลง Æ ผูไดรับความเสียหายอาจยื่นรองตอศาลใหบุคคลนั้นรับผิดในคาฤชา
ธรรมเนียมนัน้ ได
3.2 ความรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมภายหลังจําเลยวางเงินหรือชําระหนี้
ก. การวางเงินตาม ป.วิ.พ.มาตรา 135 และ 136
มาตรา 164 ในกรณีที่วางเงินตอศาลตามมาตรา 135, 136 นั้นจําเลยไมตองรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมแหงจํานวนเงินที่วางนั้นอัน
เกิดขึ้นภายหลัง
ถาโจทกยอมรับเงินที่วางตอศาลเปนการพอใจเต็มตามที่เรียกรองแลวจําเลยตองเปนผูรับผิดในคาฤชาธรรมเนียม
ถาโจทกยอมรับเงินที่วางตอศาลนั้นเปนการพอใจเพียงสวนหนึ่งแหงจํานวนเงินที่เรียกรอง และดําเนินคดีตอไป จําเลยตอง
รับผิดในคาฤชาธรรมเนียมเวนแตศาลจะไดพิพากษาใหโจทกแพคดี ในกรณีเชนนี้โจทกตองเปนผูรับผิดในคาฤชาธรรมเนียมทั้งสิ้นอัน
เกิดแตการที่ตนไมยอมรับเงินที่วางตอศาลเปนการพอใจตามที่เรียกรอง
ข. การชําระหนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 137
มาตรา 165 ในกรณีที่มีการชําระหนี้ ดังบัญญัติไวในมาตรา 137 ถาโจทกยอมรับการชําระหนี้นั้นเปนการพอใจเต็มตามที่เรียกรอง
แลว จําเลยตองเปนผูรับผิดในคาฤชาธรรมเนียม เวนแตศาลจะเห็นสมควรมีคาํ สั่งเปนอยางอื่น
ถาโจทกไมพอใจในการชําระหนี้เชนวานั้น และดําเนินคดีตอไปคาฤชาธรรมเนียมใหอยูในดุลพินิจของศาล แตถาศาลเห็นวา
การชําระหนี้นั้นเปนการพอใจเต็มตามที่โจทกเรียกรองแลวคาฤชาธรรมเนียมทั้งสิ้นอันเกิดแตการที่โจทกปฏิเสธไมยอมรับชําระหนี้นั้น
โจทกตองเปนผูรับผิด
3.3 สิทธิในการอุทธรณหรือฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งเกี่ยวกับคาฤชาธรรมเนียมเดิม
ก. ขอหามอุทธรณหรือฎีกาเรื่องคาฤชาธรรมเนียม (ม.168)
มาตรา 168 ในกรณีที่คคู วามอาจอุทธรณ หรือฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลไดนั้น หามมิใหคูความอุทธรณ
หรือฎีกาในปญหาเรื่องคาฤชาธรรมเนียมแตอยางเดียว เวนแตอุทธรณหรือฎีกานั้นจะไดยกเหตุวา คาฤชาธรรมเนียม
นั้นมิไดกําหนดหรือคํานวณใหถูกตองตามกฎหมาย
ข. ขอยกเวนทีใ่ หอทุ ธรณหรือฎีกาในปญหาเรื่องคาฤชาธรรมเนียมแตอยางเดียวได
1. เมื่ออุทธรณหรือฎีกาโดยยกเหตุวา ศาลชั้นตนหรือศาลอุทธรณมไิ ดกําหนดหรือคํานวณใหถูกตองตาม
กฎหมาย
2. ถาศาลลางไมไดสั่งในเรื่องคาฤชาธรรมเนียม เปนการไมชอบดวยกฎหมาย
3. ถามีปญหาเกีย ่ วกับเรื่องคาฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีซึ่งเปนเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังทีศ่ าลไดพิพากษาคดี
ไปแลว
ค. กรณีที่ไมมกี ารอุทธรณหรือฎีกาศาลอุทธรณหรือศาลฎีกาก็มีอาํ นาจพิพากษาไดเอง
68
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1. พยานหลักฐานและกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
พยานหลักฐาน หมายถึง สิง่ ใดๆ ก็ตามทีม
่ ีคุณสมบัติสามารถที่จะชีบ้ งหรือสอแสดงใหเห็นถึงความเปนจริงหรือ
ความไมเปนจริง ในปญหาที่พิพาทกันในทางอรรถคดีได ไมวาจะอยูในสภาพของพยานบุคคล หรือพยานเอกสาร หรือ
พยานวัตถุ หรือพยานผูเชีย่ วชาญก็ตาม
กฎหมายลักษณะพยานหลักฐานของไทย นอกจากที่บัญญัติไวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงและ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ยังมีบทกฎหมายอื่นๆ ทีเ่ กี่ยวกับพยานหลักฐานอีกดวย
1.1 ความหมายของพยานหลักฐาน
ตัวอยางสิ่งที่ศาลฎีกาวินิจฉัยวาไมใชพยานหลักฐาน
1. ความรู ความเห็น และความเขาใจของผูพ ิพากษาที่ตดั สินคดีหรือความรู ความเห็นของศาลเอง
(judicial knowledge)
2. บรรดาคํารอง คําขอ คําแถลง หรือขอกลาวอางของผูทเี่ ปนคูความในคดีนั้น
3. เอกสารทีจ ่ ําเลยยื่นสงตอศาลเพื่อประกอบการแถลงรับขอเท็จจริงตามเอกสารนัน้
4. คําแปลเอกสารภาษาตางประเทศมิใชพยานหลักฐาน
5. รายงานของพนักงานคุมประพฤติ
6. สํานวนการสอบสวนที่ศาลใชอํานาจตาม ป.วิ.อ.มาตรา 175
ตัวอยางสิ่งที่ศาลฎีกาวินิจฉัยวาเปนพยานหลักฐาน
1. ขอมูลจากคอมพิวเตอร
2. สื่อบันทึกเสียงใชเปนพยานหลักฐานในทางคดีได
3. สําเนาเอกสารที่สงทางโทรสาร
1.2 กฎหมายลักษณะพยานหลักฐานของไทย
กลุมที่ 1 กฎเกณฑในเรื่องพยานหลักฐานในคดีแพงตามที่บัญญัติไวใน ป.วิ.พ.มาตรา 84 ถึง 130
กลุมที่ 2 กฎเกณฑในเรื่องพยานหลักฐานในคดีอาญาตามที่บัญญัตไิ วใน ป.วิ.อ.มาตรา 226 ถึง 244
กลุมที่ 3 บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงและวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องอื่นๆ ทีอ่ ยูนอก
หมวดพยานหลักฐาน
กลุมที่ 4 บทกฎหมายอื่น
2. ขั้นตอนการใชกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
กรณีที่เปนปญหาขอเท็จจริงตองใชพยานหลักฐานมาพิสูจนความจริง เวนแตเปนกรณีที่กฎหมายยกเวนไวไมตอง
ใชพยานหลักฐาน แตถา เปนขอกฎหมายตองไมใชพยานหลักฐาน
69
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2.2 ขั้นตอนการใชกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
ก. ขั้นตอนทีห่ นึ่ง ตองวินิจฉัยใหไดวา การวินิจฉัยปญหาขอเท็จจริงเรื่องใดตองใชพยานหลักฐาน เรื่องใดตองไมใช
พยานหลักฐาน หรือไมตอ งใชพยานหลักฐาน ใชกฎเกณฑในทางพยานหลักฐานใหรวมรวมมาทั้งหมด
70
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
71
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1. แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับพยานหลักฐาน
1.1 การใชพยานหลักฐานพิสูจนขอเท็จจริง
ก. ความหมายของพยานหลักฐาน
พยานหลักฐาน คือ สิ่งที่สามารถพิสูจนขอ เท็จจริงทีม ่ ีการกลาวอางในคดี ไมวาจะเปนคดีแพง คดีอาญา หรือคดี
ประเภทอื่น
พยานหลักฐานสามารถพิสูจนขอเท็จจริงที่เกิดขึ้นได 2 ลักษณะ
1. บันทึกเหตุการณที่เกิดขึ้น และนํามาถายทอดใหไดทราบ Æ พยานบุคคลและพยานเอกสาร
2. แสดงรองรอยวา มีขอเท็จจริงใดเกิดขึ้น Æ พยานวัตถุ
ข. ระบบกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
กฎหมายลักษณะพยาน คือ กฎหมายที่วางหลักเกณฑเกี่ยวกับการพิสูจนขอเท็จจริงโดยพยานหลักฐานในคดีแตละ
คดีนั้นมีขอเท็จจริงใดบางทีจ่ ะตองพิสูจน ใครเปนผูมีหนาที่ตองพิสูจน เปนตน
ระบบกฎหมายลักษณะพยาน แบงเปน
1. ระบบไตสวน (Inquisitorial System)
ศาลมีบทบาทสําคัญ มีอาํ นาจสืบพยาน หรืองดสืบพยาน การกําหนดระเบียบวิธีมีนอย ศาล
มีอํานาจใชดลุ พินิจไดกวางขวางและยืดหยุนมาก
โดยมากในคดีอาญา สวนใหญจะเปนการดําเนินการระหวางศาลกับจําเลย โจทยไมคอยมี
บทบาท
มักไมมีกฎเกณฑการสืบพยานเครงครัดมากนัก ไมมบ ี ทตัดพยาน (Exclusionary rule) ที่
เด็ดขาด สามารถนําพยานทุกชนิดมาสูศาลได
2. ระบบกลาวหา (Accusatorial System)
ศาลมีบทบาทเปนเพียงผุตัดสินคดี ไมมีอาํ นาจสืบพยานเพิ่มเติม ศาลใชดุลพินิจไดนอย
คูความมีบทบาทสําคัญ ในคดีศาลจะไมชวยโจทยแสวงหาพยานหลักฐาน บางครัง้ ศาลอาจ
ยกฟองทั้งที่ปรากฎวาจําเลยกระทําผิดก็ได
มีกฎเกณฑการสืบพยานเครงครัดมาก ศาลใชดุลพินิจไดนอย มีบทบาทตัดพยานเด็ดขาด
ค. ความเปนมาของกฎหมายลักษณะพยานไทย
พระราชบัญญัติลักษณะพยาน ร.ศ.113 มีหลักการสวนใหญมาจากกฎหมายอังกฤษ เปนการปฎิวัติขั้นแรกของ
กฎหมายลักษณะพยานไทยเขาสูสากล
72
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
73
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. ขอเท็จจริงที่ศาลรับฟงเปนยุติไดโดยไมตองใชพยานหลักฐาน
2.1 ตัวบทกฎหมาย
กฎหมายที่ศาลรูไดเอง คือ กฎหมายที่มีลาํ ดับศักดิ์กฎหมายในลําดับสูง เชน รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระ
ราชกําหนด ประมวลกฎหมาย พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และรวมถึงขอบัญญัติสวนทองถิ่นซึ่งมีผลใชบังคับแก
คนทั่วประเทศ
ประกาศของกระทรวงการคลังที่กําหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงที่จะอนุญาตใหธนาคารและสถาบันการเงินเรียกเก็บจากลูกคาเกินกวา
อัตรารอยละ 15 ตอป เปนขอที่ศาลรูไดเองหรือไม และคูความที่ประสงคจะไดประโยชนตามประกาศฉบับนี้ จะตองกลาวอางและนํา
สืบใหเห็นถึงประกาศฉบับดังกลาวหรือไม
2.2 ขอเท็จจริงซึ่งรูกันอยูท ั่วไป
ขอเท็จจริงซึ่งรูกันอยูท
ั่วไป คือ ขอเท็จจริงที่เปนที่รูกันอยางแพรหลายจนไมมคี วามจําเปนตองมีพยานหลักฐานมา
พิสูจนอีก
ขอเท็จจริงซึ่งรูกันอยูท ั่วไป แบงเปน
1. ขอเท็จจริงที่มล ี ักษณะรูร วมกัน เชน
ภาษาไทย
ขนบธรรมเนียมประเพณี
สิ่งที่ปรากฎอยูตามธรรมชาติ หรือเปนธรรมดาที่ทุกคนทราบ
2. ขอเท็จจริงซึ่งศาลสามารถคนหาไดจากแหลงที่มาทีแ ่ นนอนถูกตองอันไมมีผูใดโตแยง และสามารถ
คนไดงายและในเวลาอันรวดเร็ว
2.3 ขอเท็จจริงซึ่งไมอาจโตแยงได
ขอเท็จจริงซึ่งไมอาจโตแยงได คือ ขอเท็จจริงที่มีขอสันนิษฐานเด็ดขาดไวในกฎหมายแลว
ขอสันนิษฐาน แบงออกเปน 2 ประเภท
1. ขอสันนิษฐานตามกฎหมาย
ขอสันนิษฐานเด็ดขาด – ไมเปดโอกาสใหนําสืบหรือหักลาง
ขอสันนิษฐานไมเด็ดขาด – เปดโอกาสใหนําสืบโตแยงหรือหักลางได มักใชคําวา “ทานให
สันนิษฐานไวกอนวา...”
2. ขอสันนิษฐานตามขอเท็จจริง
2.4 ขอเท็จจริงที่คูความรับกันหรือถือวารับกันแลวในศาล
74
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
ขอเท็จจริงที่รบ
ั กันหรือที่ถือวารับกันแลวในศาล แบงเปน 2 กรณี คือ การรับในคดีแพง และการรับในคดีอาญา
ก. การรับในคดีแพง
กรณีแสดงเจตนายอมรับโดยตรง
1. การรับในคําใหการ
2. การแถลงรับตอศาล
กรณีที่ถือวาเปนการยอมรับหรือเปนการรับกัน
1. กรณีจาํ เลยใหการปฏิเสธไมแจงชัด หรือไมใหการถึงประเด็นที่โจทกกลาวอางในฟอง ถือวาจําเลย
ยอมรับขอเท็จจริงในประเด็นนั้น
2. กรณีที่กฎหมายบัญญัติใหถือวาเปนการยอมรับกัน
ข. การรับกันในคดีอาญา
กรณีจําเลยรับสารภาพตรงตามที่โจทกฟอง ถือวาขอเท็จจริงทั้งหมดที่โจทกบรรยายฟองมาไมตองสืบพยาน
และศาลตัดสินไดเลย เวนแตความผิดที่กฎหมายกําหนดโทษอยางต่าํ ตั้งแตหา ปขนึ้ ไป ใหศาลรับฟงพยานโจทย
จนกวาจะพอใจวาจําเลยไดกระทําผิดจริง
คํารับของจําเลยที่จะปลดภาระการพิสูจนของโจทก ตองเปนคํารับที่ชัดเจนตรงกับขอเท็จจริงที่กลาวอาง
จําเลยใหการปฏิเสธขอเท็จจริงอันหนึ่ง แตการปฏิเสธนั้นแสดงเปนโดยนัยวาเปนการยอมรับขอเท็จจริงอีก
ประเด็นหนึ่ง ศาลถือวา จําเลยไดยอมรับในขอเท็จจริงหลังแลว
หลักการถือวารับในคดีอาญาตางจากคดีแพง เพราะในคดีอาญาจําเลยมีสิทธิทจี่ ะใหการหรือไมใหการตอสูค ดีก็
ได การที่จาํ เลยไมใหการประเด็นใด ก็ไมถือวาจําเลยยอมรับ แมวาจําเลยจะรับสารภาพไปแลวไมวาเวลาใดกอนศาล
มีคําพิพากษา ถาจําเลยมีเหตุอันควร จําเลยก็อาจถอนคํารับสารภาพและใหการใหมเปนปฏิเสธฟองโจทกได
กรณีโจทกบรรยายขอเท็จจริงซึ่งอาจเปนความผิดไดหลายฐาน โจทกตองสืบพยานใหชดั วา จําเลยทําผิดฐานใด
แน มิฉะนั้นศาลยกฟอง
2.5 การดําเนินกระบวนพิจารณาตามคําทา
การทากันในศาล คือ การยอมรับขอเท็จจริงตามที่อกี ฝายหนึ่งอางโดยมีเงื่อนไขบังคับกอน แตเงื่อนไขนั้นจะตอง
เปนสิ่งที่เกี่ยวกับการดําเนินกระบวนพิจารณาเทานั้น
ก. ลักษณะสําคัญของคําทาในศาล
1. ตองเปนการทากันในเรื่องการดําเนินกระบวนพิจารณา หรือเกี่ยวกับประเด็นแหงคดี
2. ตองมีการกําหนดเงื่อนไขวา ถาผลของการทากันหรือการชีข ้ าดออกมาอยางหนึง่ ใหฝายหนึ่งชนะ ถาผล
ออกมาอีกอยางหนึ่ง ใหอีกฝายชนะ
3. ตองไดรับอนุญาตจากศาล
ข. การดําเนินกระบวนพิจารณาตามคําทา
1. การทากันในศาลอาจเกิดขึน ้ ตอนใดของกระบวนพิจารณาก็ได
2. โดยปกติคค ู วามจะหยิบยกเงื่อนไขเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียวมาเปนขอแพชนะ
3. เมื่อคูความทากันและศาลอนุญาตใหดําเนินตามคําทาแลว คูค วามฝายใดฝายหนึ่งจะถอนคําทาไมได
4. กรณีที่คค ู วามทากันใหผูเชีย่ วชาญตรวจพิสูจนวัตถุพยาน ถาการตรวจปรากฎผลวา “นาเชื่อวาจะเปนเชนนั้น”
ศาลถือวาผูเชีย่ วชาญยืนยันวาผลเปนเชนนั้นอยางแนนอน
5. การทาประเด็นโดยใหศาลชี้ขาดขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายขอหนึ่งขอใด
75
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
6. เมื่อคูความและศาลตกลงที่จะดําเนินกระบวนพิจารณาโดยการทากันแลวผลของการทาออกมาเชนใด ศาล
ตองถือตามโดยเครงครัด
a. ถาทากันใหคนภายนอกมาเบิกความหรือชี้ขาดขอเท็จจริง ศาลตองตัดสินใหฝา ยนั้นชนะคดีเลย โดย
ไมตองคํานึงวาบุคคลภายนอกนั้นนาเชื่อถือหรือวินิจฉัยถูกตองหรือไม
b. ถาคูความทากันใหศาลชีข ้ าดขอเท็จจริง หรือปญหาขอกฎหมายขอหนึ่งขอใด เมื่อศาลชีข้ าดแลวก็
ยอมตัดสินไปตามนั้นเลย
c. ศาลจะวินจ ิ ฉัยนอกคําทาไมได แมวาผลของคดีจะเปนตรงกันขาม หากใชหลักกฎหมายอื่นที่ปรากฎ
ในคดีบังคับ
7. ถาคูความและศาลดําเนินการไปตามคําทาแลว ปรากฎวาคําทานั้นไมอาจเกิดผลขึ้นได
76
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
12. หนาที่นําสืบหรือภาระการพิสูจน
หนาที่นําสืบ หมายถึง ภาระการพิสูจนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 84/1
หนาที่นําสืบ หรือหนาที่ในการแสวงหาพยานหลักฐานพิสูจนขอเท็จจริงที่โตแยงกันในคดี ไมใชเปนหนาที่ของศาล
แตเปนหนาทีข่ องคูค วามในคดีนั้นทีจ่ ะแสวงหาพยานหลักฐานมาพิสจู นขอเท็จจริงที่ตนกลาวอางนั้น
การจัดลําดับกอนหลังในการนําพยานหลักฐานเขาสืบ ไดแกการกําหนดใหคูความฝายใดฝายหนึ่งตองนํา
พยานหลักฐานเขาสืบกอน ซึ่งแตกตางกับคําวา “หนาที่นําสืบหรือภาระการพิสูจน”
1. ความหมายและความสําคัญของหนาที่นําสืบ
1.1 ความหมายและคําศัพทของหนาที่นําสืบหรือภาระการพิสูจน
หนาที่นําสืบ หมายถึง “ภาระการพิสูจน” ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 84/1 ซึ่งตรงกับคําศัพทในภาษาอังกฤษวา “legal
burden of proof” คือ ภาระหรือหนาที่ทใี่ หคูความฝายใดมีหนาที่ตอ
งนําพยานหลักฐานมาพิสจู นในประเด็นใดโดย
จะตองเปนไปตามกฎหมายมิใชดุลพินิจศาล
หนาที่นําสืบกอน หมายถึง การจัดลําดับวาจะใหคคู วามฝายใดนําพยานหลักฐานเขาสืบกอน (order of proof) ซึ่ง
มิไดเนนที่ภาระหรือหนาที่ แตเนนทีค่ วามสะดวกในการนําพยานหลักฐานเขาสืบตอศาล กฎหมายจึงใหเปนดุลพินิจ
ของศาลที่จะจัดลําดับใหเหมาะสมเปนรายกรณีไป
1.2 ความสําคัญของหนาที่นําสืบหรือภาระการพิสูจน
หนาที่นําสืบ มีความสําคัญอยู 2 ประการคือ
1. เปนหลักกฎหมายทั่วไปทีท ่ าํ ใหเกิดผลแพชนะในคดีโดยตรง
2. หากศาลสูงจําเปนตองใชประเด็นเรื่องภาระการพิสูจนนี้วินิจฉัยใหแพชนะคดี ศาลสูงไมผูกพันใหตอ
งถือตามที่
ศาลชั้นตนกําหนดภาระการพิสูจนมาผิด
2. หลักเกณฑในการกําหนดหนาที่นําสืบหรือภาระการพิสูจน
2.1 หลักใหผูกลาวอางมีภาระการพิสูจน
หลักเกณฑการกําหนดหนาที่นําสืบหรือภาระการพิสูจนของกฎหมายไทย คือ คูความฝายใดกลาวอางขอเท็จจริงใด
ตองนําสืบพิสูจนขอเท็จจริงนั้นซึ่งเปนหลักทั่วไป เวนแตมีขอสันนิษฐานไวในกฎหมาย หรือมีขอสันนิษฐานทีค่ วรจะ
เปนที่คุณคูความฝายที่ไมไดรับประโยชนจากขอสันนิษฐานจะตองนําสืบหักลางขอสันนิษฐานนั้น
หลักกฎหมายที่วา ผูท ี่กลาวอางขอเท็จจริงใดจะตองเปนฝายที่มภี าระการพิสูจนขอ เท็จจริงนั้น มีขอยกเวน 2
ประการตาม ป.วิ.พ.มาตรา 84/1 คือ
1. เมื่อมีขอสันนิษฐานไวในกฎหมายเปนคุณแกผูอา ง
2. เมื่อมีขอสันนิษฐานที่ควรจะเปนซึ่งปรากฎจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณเปนคุณแกผูอา ง
2.2 ขอยกเวนในกรณีมขี อ สันนิษฐาน
ขอสันนิษฐานเปนขอยกเวนที่จะมาเปลี่ยนภาระการพิสูจนจากฝายกลาวอางไปเปนฝายตรงขาม ซึ่งขอสันนิษฐาน
เกิดได 2 ทางคือ โดยบทบัญญัติของกฎหมาย และโดยขอเท็จจริง
กรณีที่คคู วามทั้งสองฝายตางอางเอาประโยชนจากขอสันนิษฐานตามกฎหมาย ในกรณีที่ขอสันนิษฐานดังกลาว
ขัดแยงกันนั้น มีขอพิจารณาดังนี้
77
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
1. ใหเปรียบเทียบวาขอสันนิษฐานของฝายใดเปนขอสันนิษฐานเด็ดขาด หรือเปนขอสันนิษฐานเบื้องตน
โดยจะตองบังคับตามขอสันนิษฐานเด็ดขาด
2. ถาขอสันนิษฐานนั้นขัดแยงกันโดยตรง และเปนขอสันนิษฐานระดับเดียวกัน ทั้งสองฝายตางอางเอา
ประโยชนจากขอสันนิษฐานที่ขัดแยงกันมาเปลี่ยนหนาที่นําสืบไมได ตองกลับไปใชหลักทั่วไป คือ
ผูใดกลาวอางขอเท็จจริงใด ตองนําสืบพิสูจนขอเท็จจริงนั้น
2.3 ภาระการพิสูจนในคดีอาญา
ภาระการพิสูจนหรือหนาทีน ่ ําสืบในคดีอาญานั้นตองพิจารณาจากประเด็นขอพิพาทในคดีนั้นๆ
ก. ประเด็นขอพิพาทที่สงผลไปสูการตัดสินวาจําเลยผิดหรือไมผิด
ข. ประเด็นขอพิพาทที่สงผลไปสูการวิเคราะหเรื่องโทษของจําเลยวามีเหตุยกเวนโทษ ลดหยอนโทษ หรือเพิ่มโทษ
หรือไม
ค. ประเด็นขอพิพาทในเรือ่ งอื่นๆ ที่ไมเกี่ยวกับความผิดหรือโทษของจําเลย
3. การจัดลําดับกอนหลังในการนําพยานหลักฐานเขาสืบ
3.1 หลักทั่วไปเกี่ยวกับการจัดลําดับกอนหลังในการนําพยานหลักฐานเขาสืบ
ในคดีอาญา โจทกเปนฝายนําสืบพยานหลักฐานกอนเสมอ
ในคดีแพง เปนดุลพินิจของศาลในการจัดลําดับกอนหลัง โดยคํานึงถืงภาระการพิสูจนในคดีนั้น จึงเกิดหลักทั่วไป
วา ฝายใดมีภาระการพิสูจนหรือหนาทีน่ ําสืบในประเด็นสําคัญยิ่งกวาตองนําสืบกอน
3.2 ขอยกเวนเกี่ยวกับการจัดลําดับกอนหลังในการนําพยานหลักฐานเขาสืบ
แมวาฝายที่มห
ี นาที่นําสืบในประเด็นสําคัญจะตองนําสืบกอน แตมีขอยกเวน 4 ประการคือ
1. กรณีที่จาํ เลยขาดนัดยื่นคําใหการ
2. คดีที่ศาลเห็นวามีประเด็นขอพิพาทไมยุงยาก
3. กรณีที่คค ู วามตกลงกัน
4. คดีในศาลชํานัญพิเศษ
78
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
13. การรับฟงพยานหลักฐานในคดีแพง
คูความฝายทีม่ ีหนาที่ตองนําสืบขอเท็จจริงยอมมีสิทธินาํ พยานหลักฐานใดๆ มาสืบได แตศาลมีอาํ นาจในการ
ควบคุมกระบวนพิจารณาในเรื่องการเสนอและการรับฟงพยานหลักฐาน เพื่อใหพยานหลักฐานที่ชอบเทานัน้ ที่จะ
เสนอตอศาล
หามมิใหศาลรับฟงพยานบอกเลา เวนแตเปนกรณีที่กฎหมายยกเวนไว
กรณีที่กฎหมายบังคับใหตอ งมีพยานเอกสารมาแสดง หามคูความนําพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร หรือ
เพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแกไขขอความที่ตองมีในเอกสาร เวนแตเปนกรณีที่กฎหมายยกเวนไว
1. หลักทั่วไปเรื่องการรับฟงพยานหลักฐาน
1.1 ความหมายเรื่องการรับฟงพยานหลักฐานของศาล
มาตรา 85 คูความฝายที่มีหนาที่ตองนําสืบขอเท็จจริงยอมมีสิทธิที่จะนําพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบไดภายใตบังคับแหงประมวล
กฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นอันวาดวยการรับฟงพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐาน
การรับฟงพยานหลักฐาน หมายถึง การที่ศาลรับเอาพยานหลักฐานที่คคู วามนําสืบถึงขอเท็จจริงเพื่อสนับสนุน
ขออางขอเถียงของตนเขาสูส ํานวนความ เพื่อนําไปประกอบการวินิจฉัยตัดสินคดี
ประเภทของพยานทีต่ องหามมิใหรับฟง
1. พยานหลักฐานที่ตองหามโดยลักษณะ หรือคุณคาของพยานเอง ไดแก พยานบุคคลซึ่งไมสามารถ
เขาใจ และตอบคําถามได (ม.95(1)) พยานหลักฐานที่ฟุมเฟอย ประวิงคดี หรือไมเกี่ยวกับประเด็น
(ม.86 วรรคสอง) เปนตน
2. พยานหลักฐานที่ตองหาม เพราะมีการนําสืบฝาฝนกฎหมาย
คดีแพงเรื่องหนึ่ง โจทกฟองจําเลยใหรับผิดตามสัญญากูยืมเงิน จํานวน 5,000 บาท โดยนําสืบสัญญากูยืมเงิน แตปรากฎวาสัญญา
กูยืมเงินดังกลาว ปดอากรแสตมปไมครบถวน ถูกตอง ดังนี้ ศาลจะพิพากษายกฟองหรือใหจําเลยชําระเงินแกโจทก
1.2 หลักเกณฑการรับฟงพยานหลักฐานของศาล
ก. การใชอํานาจศาลในการรับฟงพยานหลักฐาน ไดแก
1. อํานาจศาลในการรับ หรือปฏิเสธพยานหลักฐาน
2. อํานาจศาลในการงดการสืบพยานหลักฐาน
3. อํานาจศาลในการสั่งสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติม
มาตรา 86 เมื่อศาลเห็นวาพยานหลักฐานใดเปนพยานหลักฐานที่รับฟงไมไดก็ดี หรือเปนพยานหลักฐานที่รับฟงได แตไดยื่นฝาฝน
ตอบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ ใหศาลปฏิเสธไมรับพยานหลักฐานนั้นไว
เมื่อศาลเห็นวาพยานหลักฐานใดฟุมเฟอยเกินสมควรหรือประวิงใหชักชาหรือไมเกี่ยวแกประเด็น ใหศาลมีอํานาจงดการสืบ
พยานหลักฐานเชนวานั้นหรือพยานหลักฐานอื่นตอไป
เมื่อศาลเห็นวาเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรมเปนการจําเปนที่จะตองนําพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบ
เพิ่มเติม ใหศาลทําการสืบพยานหลักฐานตอไป ซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะเรียกพยานที่สืบแลวมาสืบใหมดวยโดยไมตองมีฝายใดรองขอ
ข. พยานหลักฐานที่ศาลรับฟง
มาตรา 87 หามมิใหศาลรับฟงพยานหลักฐานใด เวนแต
(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงขอเท็จจริงที่คูความฝายหนึ่งฝายใดในคดีจะตองนําสืบ…
79
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. ขอหามในการรับฟงพยานบุคคล
2.1 พยานบอกเลา
Hearsay หมายถึง คํากลาวนอกศาล (out of court statement) นํามาเสนอตอศาลเพื่อมุงพิสูจนความจริงของคํา
กลาวนั้น
มาตรา ๙๕/๑ ขอความซึ่งเปนการบอกเลาที่พยานบุคคลใดนํามาเบิกความตอศาลก็ดี หรือที่บันทึกไวในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได
อางเปนพยานหลักฐานตอศาลก็ดี หากนําเสนอเพื่อพิสูจนความจริงแหงขอความนั้น ใหถือเปนพยานบอกเลา
หามมิใหศาลรับฟงพยานบอกเลา เวนแต
(๑) ตามสภาพ ลักษณะ แหลงที่มา และขอเท็จจริงแวดลอมของพยานบอกเลานั้น นาเชื่อวาจะพิสูจนความจริงได หรือ
(๒) มีเหตุจําเปนเนื่องจากไมสามารถนําบุคคลซึ่งเปนผูที่ไดเห็น ไดยิน หรือทราบขอความเกี่ยวในเรื่องที่จะใหการเปนพยานนั้นดวย
ตนเองโดยตรงมาเปนพยานได และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรมที่จะรับฟงพยานบอกเลานั้น
ในกรณีที่ศาลเห็นวาไมควรรับไวซึ่งพยานบอกเลาใด ใหนําความในมาตรา ๙๕ วรรคสองมาใชบังคับโดยอนุโลม
2.2 กรณีหามนําพยานบุคคลมาสืบแทน หรือเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแกไขขอความในเอกสาร
พยานเอกสาร หมายถึง พยานที่มีการบันทึกไวเปนลายลักษณอักษรหรือดวยรูปรอยใดๆ อันเปนการสื่อ
ความหมายในภาษาภาษาหนึ่ง พยานบางอยาง เชน ภาพถาย ถึงแมเปนรูป หรือภาพวาด แตมิใชเปนการสือ่
ความหมายในภาษาของมนุษย ดังนั้นจึงไมใชพยานเอกสาร
มาตรา ๙๔ เมือ่ ใดมีกฎหมายบังคับใหตองมีพยานเอกสารมาแสดง หามมิใหศาลยอมรับฟงพยานบุคคลในกรณีอยางใดอยางหนึ่ง
ดังตอไปนี้ แมถึงวาคูความอีกฝายหนึ่งจะไดยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไมสามารถนําเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบขออางอยางใดอยางหนึ่ง เมื่อไดนําเอกสารมาแสดงแลววา ยังมีขอความเพิ่มเติมตัดทอน
หรือเปลี่ยนแปลงแกไขขอความในเอกสารนั้นอยูอีก
แตวาบทบัญญัติแหงมาตรานี้ มิใหใชบังคับในกรณีที่บัญญัติไวในอนุมาตรา (๒) แหงมาตรา ๙๓ และมิใหถือวาเปนการตัด
สิทธิคูความในอันที่จะกลาวอางและนําพยานบุคคลมาสืบประกอบขออางวา พยานเอกสารที่แสดงนั้นเปนเอกสารปลอมหรือไมถูกตอง
ทั้งหมด หรือแตบางสวน หรือสัญญาหรือหนี้อยางอื่นที่ระบุไวในเอกสารนั้นไมสมบูรณ หรือคูความอีกฝายหนึ่งตีความหมายผิด
80
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
14. การนําสืบพยานหลักฐาน
หลักเกณฑทั่วไปที่ใชในการนําสืบพยานหลักฐาน คือ ตองกระทําในศาล โดยเปดเผย ตอหนาคูค วาม ตองใช
ภาษาไทย และตองถูกตองตามขั้นตอนและกรอบเวลา หากคูความนําสืบพยานหลักฐานโดยฝาฝนหลักเกณฑที่
กําหนด อาจมีผลตอการรับฟงพยานหลักฐานของศาล ยกเวนบางกรณีศาลอาจรับฟงการสืบพยานหลักฐานโดยฝาฝน
หลักเกณฑนนั้ ได สวนการจะนําสืบพยานหลักฐานใด คูความฝายทีป่ ระสงคจะอางพยานหลักฐานนั้นจะตองยื่นบัญชี
ระบุพยานตอศาลและสําเนาใหคคู วามอีกฝายหนึ่งภายใตหลักเกณฑที่กฎหมายกําหนด แต “การพิสูจนตอพยาน”
ถือเปนกรณียกเวนของวิธีการนําสืบพยานหลักฐานดังกลาว เนื่องจากเปนการนําสืบพยานเพื่อหักลางพยานหลักฐาน
ของคูค วามอีกฝายหนึ่ง
ป.วิ.พ. ไดกําหนดหลักเกณฑการนําสืบพยานหลักฐานแตละประเภทไวแตกตางกัน
นอกจากการสืบพยานหลักฐานตามหลักเกณฑทั่วไปแลว การสืบพยานหลักฐานอาจกระทําตามความตกลงของ
คูความ หรือขอกําหนดของประธานศาลฎีกา
1. หลักเกณฑทั่วไปที่ใชกับการนําสืบพยานหลักฐาน
ป.วิ.พ. ไดกําหนดหลักเกณฑทั่วไปทีใ่ ชในการนําสืบพยานหลักฐานทุกประเภท ไมวาจะเปนพยานบุคคล พยาน
เอกสาร พยานวัตถุ หรือพยานผูเชี่ยวชาญ แตมีกรณียกเวนบางประการที่มิไดเปนไปตามหลักเกณฑทั่วไป
คูความที่ประสงคจะนําสืบพยานหลักฐาน จะตองยื่นบัญชีระบุพยาน แสดงรายการของพยานหลักฐานที่ประสงคจะ
นําสืบ ภายในระยะเวลาทีก่ ฎหมายกําหนด พรอมสําเนาบัญชีระบุพยานใหคคู วามอีกฝายหนึ่งรับไปจากศาล คูความ
ที่ยื่นบัญชีระบุพยาน แตไมครบถวน หรือมิไดยื่นบัญชีระบุพยานภายในกําหนด ก็อาจยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได
ตามหลักเกณฑและวิธีการที่กฎหมายกําหนด
การนําสืบพยานหลักฐานเพื่อหักลาง หรือทําลายน้ําหนักพยานบุคคลของคูความอีกฝายหนึ่งเรียกวา “การพิสูจน
ตอพยาน”
1.1 หลักเกณฑการนําสืบพยานหลักฐาน
ก. การนําสืบพยานหลักฐานตองกระทําในศาล โดยเปดเผย ตอหนาคูค วาม (ม.36 วรรคหนึง่ )
1. การนําสืบพยานหลักฐานตองกระทําในศาล
a. การเดินเผชิญสืบ หรือ การเผชิญสืบ (ม.102 วรรคหนึ่ง)
b. การสงประเด็นไปสืบพยานหลักฐานทีศ ่ าลอื่น (ม.102 วรรคสองถึงสี่)
c. การสืบพยานที่อยูนอกศาลโดยการประชุมทางจอภาพ (Video conference) (ม.120/4)
2. การสืบพยานหลักฐานตองกระทําโดยเปดเผย (รัฐธรรมนูญแหงราชอาญาจักรไทย พ.ศ.2550 ม.40) แตมี
ขอยกเวน 2 กรณีคือ
a. กรณีมีเหตุจาํ เปนเพื่อรักษาความเรียบรอยในศาล (ม.36(1))
b. กรณีเพื่อความเหมาะสม หรือเพื่อคุมครองสาธารณประโยชน (ม.36(2))
3. การสืบพยานตองกระทําตอหนาคูความ กรณีที่คค ู วามอาจนําพยานหลักฐานเขาสืบได แมวาคูความอีกฝาย
หนึ่งไมมาศาลดังนี้
a. กรณีที่ศาลขับไลคูความฝายหนึ่งฝายใดออกไปจากบริเวณศาล (ม.36(1))
b. กรณีที่ศาลสั่งใหเดินเผชิญสืบ หรือสงประเด็นไปใหศาลอื่นสืบพยานแทน (ม.102)
81
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
c. กรณีคูความฝายใดฝายหนึ่งทราบนัดโดยชอบแลวไมมาศาล (ม.202)
d. กรณีที่คคู วามทราบนัดสืบพยานครั้งตอมาโดยชอบแลวไมมาศาล (ม.200 วรรคสอง)
มาตรา ๑๐๒ ใหศาลที่พิจารณาคดีเปนผูสืบพยานหลักฐาน โดยจะสืบในศาลหรือนอกศาล ณ ที่ใด ๆ ก็ได แลวแตศาลจะสั่งตามที่
เห็นสมควรตามความจําเปนแหงสภาพของพยานหลักฐานนั้น
แต ถาศาลที่พิจารณาคดีเห็นเปนการจําเปน ใหมีอํานาจมอบใหผูพิพากษาคนใดคนหนึ่งในศาลนั้น หรือตั้งใหศาลอื่นสืบ
พยานหลักฐานแทนได ใหผูพิพากษาที่รับมอบหรือศาลที่ไดรับแตงตั้งนั้นมีอํานาจและหนาที่เชน เดียวกับศาลที่พิจารณาคดีรวมทั้ง
อํานาจที่จะมอบใหผูพิพากษาคนใดคนหนึ่งใน ศาลนั้นหรือตั้งศาลอื่นใหทําการสืบพยานหลักฐานแทนตอไปดวย
ถา ศาลที่พิจารณาคดีไดแตงตั้งใหศาลอื่นสืบพยานแทน คูความฝายใดฝายหนึ่งจะแถลงตอศาลที่พิจารณาคดีวา ตนมีความ
จํานงจะไปฟงการพิจารณาก็ได ในกรณีเชนนี้ใหศาลที่ไดรับแตงตั้งแจงวันกําหนดสืบพยานหลักฐานใหผูขอ ทราบลวงหนาอยางนอยไม
ต่ํากวาเจ็ดวันคูความที่ไปฟงการพิจารณานั้นชอบ ที่จะใชสิทธิไดเสมือนหนึ่งวากระบวนพิจารณานั้นไดดําเนินในศาลที่พิจารณา คดี
ใหสงสําเนาคําฟองและคําใหการพรอมดวยเอกสารและหลักฐานอื่น ๆ อันจําเปนเพื่อสืบพยานหลักฐานไปยังศาลที่ไดรับ
แตงตั้งดังกลาวแลว ถาคูความฝายที่อางอิงพยานหลักฐานนั้นมิไดแถลงความจํานงที่จะไปฟงการพิจารณา ก็ใหแจงไปใหศาลที่ไดรับ
แตงตั้งทราบขอประเด็นที่จะสืบ เมื่อไดสืบพยานหลักฐานเสร็จแลว ใหเปนหนาที่ของศาลที่รับแตงตั้งจะตองสงรายงานที่จําเปนและ
เอกสารอื่น ๆ ทั้งหมดอันเกี่ยวของในการสืบพยานหลักฐานไปยังศาลที่พิจารณาคดี
มาตรา ๓๖ การนั่งพิจารณาคดีจะตองกระทําในศาลตอหนาคูความที่มาศาลและโดยเปดเผย เวนแต
(๑) ในคดีเรื่องใดที่มีความจําเปนเพื่อรักษาความเรียบรอยในศาล เมื่อศาลไดขับไลคูความฝายใดออกไปเสียจากบริเวณศาล
โดยที่ประพฤติไมสมควร ศาลจะดําเนินการนั่งพิจารณาคดีตอไปลับหลังคูความฝายนั้นก็ได
(๒) ในคดีเรื่องใด เพื่อความเหมาะสม หรือเพื่อคุมครองสาธารณประโยชนถาศาลเห็นสมควรจะหามมิใหมีการเปดเผย ซึ่ง
ขอเท็จจริง หรือพฤติการณตาง ๆ ทั้งหมด หรือแตบางสวนแหงคดีซึ่งปรากฏจากคําคูความหรือคําแถลงการณของคูความหรือ จากคํา
พยานหลักฐานที่ไดสืบมาแลวศาลจะมีคําสั่งดังตอไปนี้ก็ได
(ก) หามประชาชนมิใหเขาฟงการพิจารณาทั้งหมดหรือแตบางสวน แลวดําเนินการพิจารณาไปโดยไมเปดเผย หรือ
(ข) หามมิใหออกโฆษณาขอเท็จจริงหรือพฤติการณตาง ๆ เชนวานั้น
ในบรรดาคดีทั้งปวงที่ฟองขอหยาหรือฟองชายชูหรือฟองใหรับรองบุตร ใหศาลหามมิใหมีการเปดเผยซึ่งขอเท็จจริงหรือ
พฤติการณใด ๆ ที่ศาลเห็นเปนการไมสมควร หรือพอจะเห็นไดวาจะทําใหเกิดการเสียหายอันไมเปนธรรมแกคูความหรือบุคคลที่
เกี่ยวของ
ไมวาศาลจะไดมีคําสั่งตามอนุมาตรา (๒) นี้หรือไม คําสั่งหรือคําพิพากษาชี้ขาดคดีของศาลนั้น ตองอานในศาลโดยเปดเผย
และมิใหถือวาการออกโฆษณาทั้งหมดหรือแตบางสวนแหงคําพิพากษานั้นหรือยอเรื่องแหงคําพิพากษาโดยเปนกลางและถูกตองนั้น
เปนผิดกฎหมาย
ข. การสืบพยานหลักฐานตองใชภาษาไทย (ม.46)
มาตรา 46 บรรดากระบวนพิจารณาเกี่ยวดวยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีแพงทั้งหลายซึ่งศาลเปนผูทํานั้น ใหทําเปน
ภาษาไทย
บรรดาคําคูความและเอกสารหรือแผนกระดาษไมวาอยางใด ๆ ที่คูความหรือศาลหรือเจาพนักงานศาลไดทําขึ้นซึ่งประกอบ
เปนสํานวนของคดีนั้น ใหเขียนเปนหนังสือไทยและเขียนดวยหมึกหรือดีดพิมพหรือตีพิมพ ถามีผิดตกที่ใดหามมิใหขูดลบออก แตใหขีด
ฆาเสียแลวเขียนลงใหม และผูเขียนตองลงชื่อไวที่ริมกระดาษ ถามีขอความตกเติมใหผูตกเติมลงลายมือชื่อ หรือลงชื่อยอไวเปนสําคัญ
ถาตนฉบับเอกสารหรือแผนกระดาษไมวาอยางใด ๆ ที่สงตอศาลไดทําขึ้นเปนภาษาตางประเทศ ใหศาลสั่งคูความฝายที่สง
ใหทําคําแปลทั้งฉบับหรือเฉพาะแตสวนสําคัญ โดยมีคํารับรองมายื่นเพื่อแนบไวกับตนฉบับ
ถาคูความฝายใดหรือบุคคลใดที่มาศาลไมเขาใจภาษาไทยหรือเปนใบหรือหูหนวกและอานเขียนหนังสือไมได ใหใหคูความ
ฝายที่เกี่ยวของจัดหาลาม
ค. การสืบพยานหลักฐานตองถูกตองตามขั้นตอน ระยะเวลาที่กฎหมาย และศาลกําหนด
1. การสืบพยานกอนขั้นตอนตามปกติ
82
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
83
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
84
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. หลักเกณฑการนําสืบพยานหลักฐานแตละประเภท
พยานบุคคลที่จะนําสืบตองสามารถเขาใจและตอบคําถามได ทั้งเปนผูที่รูเห็นเหตุการณดวยตนเอง โดยคูค วาม
นํามาเองหรือขอใหศาลออกหมายเรียก กอนเบิกความพยานบุคคลตองสาบานหรือปฏิญาณตน
การอางเอกสารพยาน ใหยอมรับฟงไดเฉพาะตนฉบับ เวนแตกฎหมายบัญญัติไวเปนอยางอื่น
คูความตองนําพยานวัตถุมาศาลในวันสืบพยาน เวนแตไมสามารถนํามาได
พยานผูเชี่ยวชาญ คือผูที่เชีย่ วชาญที่คคู วาม หรือศาลแตงตั้ง เพื่อทําหนาที่ในการตรวจพิสูจนโดยใชวิธีการทาง
วิทยาศาสตร หรือใหความเห็น ที่อาจเปนประโยชนแกการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีของศาลได
2.1 หลักเกณฑการนําสืบพยานบุคคล
มาตรา 95 หามมิใหยอมรับฟงพยานบุคคลใดเวนแตบุคคลนั้น
(๑) สามารถเขาใจและตอบคําถามได และ
(๒) เปนผูที่ไดเห็น ไดยิน หรือทราบขอความเกี่ยวในเรื่องที่จะใหการเปนพยานนั้นมาดวยตนเองโดยตรง แตความในขอนี้ให
ใชไดตอเมื่อไมมีบทบัญญัติแหงกฎหมายโดยชัดแจงหรือคําสั่งของศาลวาใหเปนอยางอื่น
ถา ศาลไมยอมรับไวซึ่งคําเบิกความของบุคคลใด เพราะเห็นวาบุคคลนั้นจะเปนพยานหรือใหการดังกลาวขางตนไมได และ
คูความฝายที่เกี่ยวของรองคัดคานกอนที่ศาลจะดําเนินคดีตอไป ใหศาลจดรายงานระบุนามพยาน เหตุผลที่ไมยอมรับและขอคัดคาน
ของคูความฝายที่เกี่ยวของไว สวนเหตุผลที่คูความฝายคัดคานยกขึ้นอางนั้น ใหศาลใชดุลพินิจจดลงไวในรายงานหรือกําหนดใหคูความ
ฝายนั้นยื่นคําแถลงตอ ศาลเพื่อรวมไวในสํานวน
มาตรา 96 พยานที่เปนคนหูหนวก หรือเปนใบหรือทั้งหูหนวกและเปนใบนั้นอาจถูกถามหรือใหคําตอบโดยวิธีเขียนหนังสือ หรือโดย
วิธีอื่นใดที่สมควรได และคําเบิกความของบุคคลนั้น ๆ ใหถือวาเปนคําพยานบุคคลตามประมวลกฎหมายนี้
ก. การอางพยาน (ม.97, 91)
คูความฝายหนึ่ง จะอางคูค วามอีกฝายหนึ่งเปนพยานของตนหรือจะอางตนเองเปนพยานก็ได (ม. 97)
คูความทั้งสองฝายตางมีสท ิ ธิที่จะอางอิงพยานหลักฐานรวมกันได (ม.91)
ข. หนาที่ของพยาน
1. ตองไปเบิกความ (ม.103)
2. ตองสาบาน หรือปฏิญาณตน (ม.112)
3. ตองเบิกความดวยวาจา (ม.113)
หากพยานไมไปศาลตองดําเนินการตามมาตรา 110 และมาตรา 111
มาตรา 110 ถาพยานคนใดที่คูความไดบอกกลาวความจํานงจะอางอิงคําเบิกความของพยานโดยชอบแลว ไมไปศาลในวันกําหนด
นับสืบพยานนั้น ศาลชอบที่จะดําเนินการพิจารณาตอไป และชี้ขาดตัดสินคดีโดยไมตองสืบพยานเชนวานั้นได แตตองอยูภายใตบังคับ
บทบัญญัติแหงมาตราตอไปนี้
มาตรา 111 เมื่อศาลเห็นวาคําเบิกความของพยานที่ไมมาศาลเปนขอสําคัญในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี
(๑) แตศาลเห็นวาขออางวาพยานไมสามารถมาศาลนั้นเปนเพราะเหตุเจ็บปวยของพยาน หรือพยานมีขอแกตัวอันจําเปนอยางอื่น
ที่ฟงได ศาลจะเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีไปเพื่อใหพยานมาศาลหรือเพื่อสืบพยานนั้น ณ สถานที่และเวลาอันควรแกพฤติการณก็ได
หรือ
(๒) ศาลเห็นวาพยานไดรับหมายเรียกโดยชอบแลว จงใจไมไปยังศาลหรือไมไป ณ สถานที่และตามวันเวลาที่กําหนดไว หรือไดรับ
คําสั่งศาลใหรอคอยอยูแลวจงใจหลบเสีย ศาลจะเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีไปและออกหมายจับและเอาตัวพยานกักขังไวจนกวาพยานจะ
ไดเบิกความตามวันที่ศาลเห็นสมควรก็ได ทั้งนี้ ไมเปนการลบลางโทษตามที่บัญญัติไวในประมวลกฎหมายอาญา
เมื่อพยานไดเบิกความตอศาลแลว พยานยอมหมดหนาที่ๆ จะอยูทศี่ าลอีกตอไป เวนแตศาลจะสั่งใหพยานนัน ้ รอ
คอยอยู (ม.109)
85
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
86
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
87
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
88
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
89
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
90
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
91
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. หลักเกณฑการนําสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยความตกลงของคูความหรือ
ขอกําหนดของประธานศาลฎีกา
คูความอาจตกลงเกี่ยวกับวิธีการสืบพยาน นอกเหนือไปจากที่บังคับโดยกฎหมาย
ประธานศาลฎีกา มีอํานาจออกขอกําหนด เพื่อกําหนดหลักเกณฑ วิธีการนําสืบ หรือแมแตการรับฟง
พยานหลักฐานเพิ่มเติมจากที่กําหนดไวใน ป.วิ.พ.
3.1 หลักเกณฑตามขอตกลงของคูความ
ก. กรณีเปนขอตกลงที่ใชกับการสืบพยานหลักฐานทุกประเภท (ม.103/1, 103/2)
มาตรา ๑๐๓/๑ ในกรณีที่คูความตกลงกัน และศาลเห็นเปนการจําเปนและสมควร ศาลอาจแตงตั้งเจาพนักงานศาลหรือเจาพนักงาน
อื่นซึ่งคูความเห็นชอบใหทํา การสืบพยานหลักฐานสวนใดสวนหนึ่งที่จะตองกระทํานอกศาลแทนได
ใหเจาพนักงานผูปฏิบัติหนาที่ตามวรรคหนึ่งเปนเจาพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและใหนําความในมาตรา ๑๐๓ มา
ใชบังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๐๓/๒ คูความฝายที่เกี่ยวของอาจรองขอตอศาลใหดําเนินการสืบพยานหลักฐานไปตามวิธีการที่คูความตกลงกัน ถาศาล
เห็นสมควรเพื่อใหการสืบพยานหลักฐานเปนไปโดยสะดวกรวดเร็ว และเที่ยงธรรม ศาลจะอนุญาตตามคํารองขอนั้นก็ได เวนแตการสืบ
พยานหลักฐานนั้นจะเปนการไมชอบดวยกฎหมายหรือขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ข. กรณีเปนขอตกลงที่ใชกับการพยานบุคคลโดยเฉพาะ (ม.120/1, 120/2)
มาตรา ๑๒๐/๑ เมื่อ คูความฝายใดฝายหนึ่งมีคํารองและคูความอีกฝายไมคัดคาน และศาลเห็นสมควรศาลอาจอนุญาตใหคูความ
ฝายที่มีคํารองเสนอบันทึกถอยคําทั้ง หมดหรือแตบางสวนของผูที่ตนประสงคจะอางเปนพยานยืนยันขอเท็จจริงหรือ ความเห็นของผูให
ถอยคําตอศาลแทนการซักถามผูใหถอยคําเปนพยานตอหนาศาลได
คูความที่ประสงคจะเสนอบันทึกถอยคําแทนการซักถามพยานดังกลาวตามวรรคหนึ่ง จะตองยื่นคํารองแสดงความจํานง
พรอมเหตุผลตอศาลกอนวันชี้สองสถาน หรือกอนวันสืบพยาน ในกรณีที่ไมมีการชี้สองสถาน และใหศาลพิจารณากําหนดระยะเวลาที่
คูความจะตองยื่นบันทึกถอยคําดังกลาวตอ ศาลและสงสําเนาบันทึกถอยคํานั้นใหคูความอีกฝายหนึ่งทราบลวงหนาไมนอย กวาเจ็ดวัน
กอนวันสืบพยานคนนั้น เมื่อมีการยื่นบันทึกถอยคําตอศาลแลวคูความที่ยื่นไมอาจขอถอนบันทึกถอย คํานั้น บันทึกถอยคํานั้นเมื่อ
พยานเบิกความรับรองแลวใหถือวาเปนสวนหนึง่ ของคํา เบิกความตอบคําซักถาม
ใหผูใหถอยคํามาศาลเพื่อเบิกความตอบคําซักถามเพิ่มเติม ตอบคําถามคาน และคําถามติงของคูความหากผูใหถอยคําไมมา
ศาล ใหศาลปฏิเสธที่จะรับฟงบันทึกถอยคําของผูนั้นเปนพยานหลักฐานในคดีแตถา ศาลเห็นวาเปนกรณีจําเปนหรือมีเหตุสุดวิสัยที่
ผูใหถอยคําไมสามารถมาศาล ได และเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม จะรับฟงบันทึกถอยคําที่ผูใหถอยคํามิไดมาศาลนั้นประกอบ
พยานหลักฐานอื่นก็ ได
ในกรณีที่คูความตกลงกันใหผูใหถอยคําไมตองมาศาล หรือคูความอีกฝายหนึ่งยินยอมหรือไมติดใจถามคาน ใหศาลรับฟง
บันทึกถอยคําดังกลาวเปนพยานหลักฐานในคดีได
92
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
93
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
15. การชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน
การชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐาน หมายถึง การที่ศาลวินจิ ฉัยปญหาขอเท็จจริงในประเด็นที่พิพาทกันโดย
พยานหลักฐานที่คคู วามนําสืบ โดยเทียบกับมาตรฐานที่พิสูจน ซึ่งกฎหมายไดกาํ หนดหลักการไวแตกตางกันระหวาง
คดีแพง และคดีอาญา นอกจากนั้นในคดีที่มีการพิจารณาพิพากษาโดยองคคณะผูพ ิพากษา อาจมีความเห็นที่แตกตาง
ขัดแยงกัน จนไมอาจทําคําพิพากษาได จึงจําเปนตองกําหนดวิธีการแกไข เพื่อใหสามารถวินิจฉัยชีข้ าดตัดสินคดีได
พยานหลักฐานประเภทตางๆ ไดแก พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานสื่ออิเลคทรอนิคส และ
พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร นอกจากจะมีวิธีการนําสืบ และการรับฟงที่แตกตางกันแลว การชั่งน้าํ หนัก
พยานหลักฐานก็ยังมีความแตกตางกันดวย
พยานหลักฐานที่มีน้ําหนักไมมั่นคง ศาลตองรับฟงดวยความระมัดระวัง โดยลําพังไมควรเชื่อเปนยุติ เวนแตจะมี
พยานหลักฐานอยางอื่นมาประกอบ หรือมีเหตุผล หรือพฤติการณแหงคดีเปนพิเศษมาสนับสนุน หากคูความฝายหนึ่ง
มีพฤติการณที่เปนพิรุธ ขัดแยงกับขออาง ขอเถียง หรือพยานหลักฐานของฝายตน ศาลอาจอนุมานขอเท็จจริงไป
ในทางที่เปนผลรายตอรูปคดีของคูค วามฝายนั้น
1. หลักการชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน
1.1 หลักเกณฑการชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐาน
การชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐาน หมายถึง การวินิจปญหาขอเท็จจริงในประเด็นที่พิพาทกันโดยอาศัยพยานหลักฐาน
การชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐานในคดีแพง เปนการวินิจฉัยวา พยานหลักฐานของฝายใดมีน้ําหนักนาเชื่อถือกวากัน
การชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐานในคดีอาญา เปนการวินิจฉัยวา พยานหลักฐานของโจทกมีนา้ํ หนักใหเชื่อไดโดย
ปราศจากขอสงสัยวา ไดมกี ารกระทําความผิดเกิดขึ้นดังที่โจทกกลาวอางหรือไม และจําเลยเปนผูกระทําความผิดนั้น
หรือไม
1.2 การชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐานและมาตรฐานการพิสูจน
หลักกฎหมาย (ม.104 วรรคหนึ่ง)
1. พยานหลักฐานที่คค ู วามนําสืบนั้น เกี่ยวของกับประเด็นหรือไม
2. พยานหลักฐานที่คค ู วามนําสืบนั้น เพียงพอใหศาลเชื่อฟงเปนยุติไดหรือไม
มาตรา ๑๐๔ ใหศาลมีอํานาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยวาพยานหลักฐานที่คูความนํามาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเปนอันเพียงพอ
ใหเชื่อฟงเปนยุติไดหรือไม แลวพิพากษาคดีไปตามนั้น
ในการวินิจฉัยวาพยานบอกเลาตามมาตรา ๙๕/๑ หรือบันทึกถอยคําที่ผูใหถอยคํามิไดมาศาลตามมาตรา ๑๒๐/๑ วรรคสามและ
วรรคสี่ หรือบันทึกถอยคําตามมาตรา ๑๒๐/๒ จะมีน้ําหนักใหเชื่อไดหรือไมเพียงใดนั้น ศาลจะตองกระทําดวยความระมัดระวังโดย
คํานึงถึงสภาพ ลักษณะและแหลงที่มาของพยานบอกเลาหรือบันทึกถอยคํานั้นดวย
หลักปฏิบัติ
มาตรฐานการพิสูจน หมายถึง ระดับของความนาเปนไปไดที่ใชในการพิสูจนวาขอเท็จจริงอยางใดอยางหนึ่งเปน
ความจริงหรือไม ซึ่งเปนหนาที่ของคูค วามฝายที่มีภาระการพิสูจน จะตองนําสืบพยานหลักฐานตอศาล เพื่อใหศาลใช
ในการชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน
มาตรฐานการพิสูจนในคดีแพง คูความตองนําสืบวาพยานหลักฐานของฝายตนมีน้ําหนักนาเชือ่ กวาพยานหลักฐาน
ของคูค วามอีกฝายหนึ่ง
94
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
2. การชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานประเภทตางๆ
2.1 การชัง
่ น้าํ หนักพยานบุคคล
การชั่งน้าํ หนักคําเบิกความของพยานบุคคลนั้น ขึ้นอยูก ับความนาเชื่อถือของคําเบิกความนั้น ซึ่งศาลจะพิจารณา
จาก การรับรู การจดจํา ความสามารถในการถายทอด และอคติของพยาน นอกจากนั้น หาตองชั่งน้ําหนักพยาน
บุคคลแลว ยังตองพิจารณาดวยวา พยานบุคคลนั้นเปนพยานประเภทใด เชน เปนประจักษพยานหรือพยานแวดลอม
กรณี เปนพยานเดี่ยวหรือพยานคู หรือเปนพยานบุคคลธรรมดา หรือพยานผูเชีย่ วชาญ
ก. การพิจารณาความนาเชื่อถือของพยานบุคคล ศาลจะพิจารณาจาก
1. การรับรู (Perception)
2. การจดจําของพยาน (Memory)
3. ความสามารถในการถายทอด (Narration)
4. อคติ (Bias)
ข. การชั่งน้าํ หนักพยานบุคคลประเภทตางๆ
ประจักษพยานกับพยานแวดลอมกรณี
ประจักษพยาน = พยานโดยตรง คือประสบพบเห็นขอเท็จจริงที่เปนประเด็นในคดีโดยตรง
พยานแวดลอมกรณี = พยานที่ประสบพบเห็นเหตุการณเหมือนกันแตไมใชเหตุการณโดยตรง
แต ประจักษพยานมักจะมีขอเสียคือ ถูกทําลายน้ําหนักไดงายกวาพยานแวดลอมกรณี เนื่องจากประจักษพยานสวน
ใหญมกั เปนผูมีสวนไดสวนเสียโดยตรงในผลของคดี
พยานเดี่ยวกับพยานคู
95
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
พยานเดี่ยว = ประจักษพยานคนเดียว
พยานคู = พยานที่รูเห็นเหตุการณหลายคน
ดังนั้น พยานคูยอมมีนา้ํ หนักมากกวาแตหากพยานคูเ บิกความแตกตางกันในสาระขอเท็จจริง ยอมทําใหผพู ิพากษา
สงสัยได
พยานบุคคลกับพยานผูเชี่ยวชาญ – กฎหมายถือวาพยานผูเชี่ยวชาญเปนเพียงพยานหลักฐานประเภทหนึ่ง ตองมี
การชั่งน้าํ หนักเชนเดียวกับพยานชนิดอื่น
ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง โจทกไมมีพยานรูเห็นขณะที่จําเลยกับพวกฆาผูตาย แตมีพยานเห็นจําเลยอยูกับผูตายดวยกันกอนเกิดเหตุ
และไดเห็นจําเลยกับรถจักรยานยนตของผูตายหลังเกิดเหตุ โดยพยานดังกลาวไมเคยรูจักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจําเลยมากอน
ดังนี้ ศาลรับฟงพยานดังกลาวลงโทษจําเลยไดหรือไม
2.2 การชั่งน้าํ หนักพยานเอกสาร
การชั่งน้าํ หนักพยานเอกสารนั้น ศาลตองวินิจฉัยวา พยานเอกสารนั้นมีความแทจริงถูกตองหรือไมและขอความ
เอกสารนั้นนาเชื่อถือหรือไม ศาลตองชั่งน้ําหนักพยานเอกสาร ตามประเภทของพยาน ไดแก
1. เอกสารซึ่งเปนนิติกรรมสัญญาตามกฎหมายสารบัญญัติ
2. เอกสารมหาชน
3. เอกสารที่เปนการบันทึกเหตุการณหรือขอความของบุคคล
โจทกฟองขอแบงที่ดินซึ่งเปนสินสมรส อางวาโจทกและจําเลยเปนสามีภริยากัน ที่ดินเปนทรัพยสินที่ไดมาในระหวางสมรส โดยมี
ชื่อจําเลยถือกรรมสิทธิ์เพียงผูเดียว จําเลยใหการตอสูแตเพียงวา จําเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาทไวแทนบุคคลภายนอก แตไมมี
พยานหลักฐานมานําสืบตามขอตอสู ดังนี้ ศาลจะรับฟงขอเท็จจริงอยางไร
2.3 การชั่งน้าํ หนักพยานวัตถุ
การชั่งน้าํ หนักพยานวัตถุ ตองมีพยานบุคคลที่เบิกความรับรอง หรืออางอิงถึงพยานวัตถุนั้น สวนการวินิจฉัยความ
นาเชื่อถือของวัตถุพยานนั้น ศาลจะตรวจเอง หรือตั้งผูเชี่ยวชาญตรวจก็ได ในกรณีที่ตองอาศัยความรูห รือความ
เชี่ยวชาญเปนพิเศษ ศาลก็อาจใหผูเชีย่ วชาญตรวจและทําความเห็นได
คดีแพงเรื่องหนึ่ง จําเลยอางสงแถบบันทึกเสียง และคําถอดขอความจากแถบบันทึกเสียง ประกอบคําเบิกความของพยานจําเลย
โดยมิไดมีการถามคานพยานอีกฝายหนึ่งวาไดกลาวถอยคําดังเชนที่บันทึกในแถบบันทึกเสียงหรือไม ศาลรับฟงพยานหลักฐานของ
จําเลยดังกลาวไดหรือไม
2.4 การชั่งน้าํ หนักพยานสื่ออิเลคทรอนิคส
การชั่งน้าํ หนักพยานวัตถุประเภทสื่ออิเลคทรอนิคส เนื่องจากยังไมมีกฎเกณฑการนําเสนอพยานวัตถุที่ชดั แจง
ดังนั้น คูความที่นําเสนอพยานวัตถุในลักษณะของสิ่งที่บันทึกไว ควรนําพยานบุคคลที่เกี่ยวของกับการบันทึกพยาน
วัตถุประเภทนั้นๆ มาสืบ เพื่อยืนยันใหเห็นถึงความถูกตองแทจริงและความนาเชือ่ ถือของพยานวัตถุนั้นๆ
พ.ร.บ.วาดวยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิคส พ.ศ.2544 กําหนดในเรื่องความนาเชื่อถือของพยานหลักฐานสื่อ
อิเลคทรอนิคสไวในมาตรา 11
2.5 การชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร
การชั่งน้าํ หนักพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร ตองมีผูเชี่ยวชาญทีต่ รวจพิสูจนทางวิทยาศาสตรมาเบิกความ
ประกอบ ดังนั้น การจะเชื่อถือพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตรหรือไมเพียงใด จึงตองพิจารณาจาก
1. ความรูของผูเชี่ยวชาญ
2. ความเห็นของพยานผูเชี่ยวชาญ
3. ความถูกตองแทจริงของขอมูลที่นํามาตรวจพิสูจน
96
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
3. หลักปฏิบัติเกี่ยวกับการชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน
3.1 พยานหลักฐานที่มีน้ําหนักไมมั่นคง
พยานหลักฐานที่มีน้ําหนักไมมั่นคง หมายถึง พยานหลักฐานที่เพียงลําพังพยานหลักฐานนั้นแลว ไมมีน้ําหนัก
เพียงพอใหศาลรับฟง หรือเชื่อขอเท็จจริงไปทางหนึ่งทางใดได จําเปนตองรับฟงประกอบกับพยานหลักฐานอืน่ ๆ
มาตรา 104 วรรคสอง ในการวินิจฉัยวาพยานบอกเลาตามมาตรา ๙๕/๑ หรือบันทึกถอยคําที่ผูใหถอยคํามิไดมาศาลตามมาตรา
๑๒๐/๑ วรรคสามและวรรคสี่ หรือบันทึกถอยคําตามมาตรา ๑๒๐/๒ จะมีน้ําหนักใหเชื่อไดหรือไมเพียงใดนั้น ศาลจะตองกระทําดวย
ความระมัดระวังโดยคํานึงถึงสภาพ ลักษณะและแหลงที่มาของพยานบอกเลาหรือบันทึกถอยคํานั้นดวย
พยานหลักฐานประกอบ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227/1 วรรคสอง กําหนดหลักเกณฑในการรับฟงและชั่งน้ําหนัก
พยานหลักฐานดังนี้
1. ตองเปนพยานหลักฐานที่มไิ ดตองหามมิใหรับฟงตามกฎหมาย
2. แหลงที่มาของพยานหลักฐาน ตองเปนอิสระตางหากจากพยานหลักฐานนั้น
3. ตองเปนพยานหลักฐานทีท ่ าํ ใหพยานหลักฐานนั้นมีความนาเชื่อถือมากขึ้น
3.2 การอนุมานขอเท็จจริงที่ใหเปนผลรายแกคูความที่มีพฤติการณสอพิรุธ
คูความฝายใดฝายหนึ่ง มีพฤติการณที่เปนพิรุธ ขัดแยงกับขออาง ขอเถียง หรือพยานหลักฐานของฝายตน ศาลก็
อาจอนุมานขอเท็จจริง ไปในทางที่เปนผลรายตอรูปคดีของคูค วามฝายนั้น
ก. การอนุมานดวยวิธีนิรนัย
การอนุมานดวยวิธีนิรนัย คือ การแสดงเหตุผลจากสวนรวม ไปหาสวนยอย หรือการอนุมานจากหลักความจริง
ทั่วไปกับความจริงเฉพาะเรื่อง แลวอนุมานไดขอสรุป ซึ่งเปนความจริงเฉพาะอีกเรื่องหนึ่ง
97
กฎหมายวิธีสบัญญัติ ๑ : วิธีพิจารณาความแพง
98