Professional Documents
Culture Documents
กล่าวโดยสรุป
กฎหมายระหว่างประเทศหมายถึงกฎเกณฑ์ทใี่ ช้บงั คับในความสัมพันธ์ระหว่า
งบุคคล ระหว่างประเทศ
ซึง่ ในปัจจุบน ั นอกจากรัฐแล้วยังมีองค์การระหว่างประเทศอีกด้วย
อีกทัง้ ยังมีเนื้อหาซึง่ เกีย่ วข้องกับการคุม ้ ครองปัจเจกคนภายในรัฐต่างๆ ด้วย
จากคาจากัดความดังกล่าว ทาให้เข้าใจว่ากฎหมายระหว่างประเทศ
ก็คอ ื กฎหมายทีก ่ าหนดขึน ้ มา เพือ่ ให้ประเทศต่างๆ
ดาเนินการติดต่อสัมพันธ์กน ั เป็ นไปตามกฎทีก ่ าหนดหรืออยูใ่ นกรอบข้อตกลงระหว่า
งกัน
รากฐานแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ
คือความยินยอมร่วมกันของบรรดาประเทศต่างๆ ซึง่ มาจาก 2 ทางคือ
1. จารีตประเพณี
2. สนธิสญ ั ญา
จารีตประเพณี คือ ความยินยอมของรัฐทีย่ อมปฏิบตั ต ิ ามกฎเกณฑ์
เป็ นระยะเวลายาวนานพอสมควร
จนกลายเป็ นกฎเกณฑ์ทม ี่ ีความผูกพันไม่จาเป็ นต้องมีลายลักษณ์ อกั ษร
สนธิสญั ญา คือ
การทีไ่ ด้มีการทาข้อตกลงระหว่างกันของรัฐอย่างเปิ ดเผย
มีการสร้างกฎเกณฑ์ขน ึ้ มาเพือ่ ให้มีการปฏิบตั เิ ฉพาะคูส ่ ญ
ั ญา
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในประเทศ กล่
าวพอสรุปดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศ
้ จากธรรมเนียมปฏิบตั ต
เกิดขึน ิ อ่ กันระหว่างประเทศหรือโดยสนธิสญ ั
ญา
แต่กฎหมายภายในประเทศเกิดขึน ้ จากขนบธรรมเนียมภายในอาณาเ
ขตของประเทศใด ประเทศหนึ่ง
หรือถูกตราขึน ้ โดยสถาบันนิตบ ิ ญั ญัตขิ องประเทศนัน ้ ๆ
2. ความสัมพันธ์ทถ ี่ ูกบังคับ
กฎหมายระหว่างประเทศใช้บงั คับความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ในขณะทีก ่ ฎหมายภายในประเทศบังคับความเกีย่ วพันระหว่างเอกชน
กับรัฐ หรือระหว่างเอกชนกับเอกชน
3. การตกอยูภ ่ ายใต้บงั คับ
กฎหมายระหว่างประเทศมิได้กาหนดให้รฐั หนึ่งมีอานาจเหนืออีกรัฐห
นึ่ง แต่เป็ นการจรรโลงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอธิปไตย
การใช้อานาจบังคับของกฎหมายนัน ้ บางครัง้ เราจะเห็นได้วา่
ศาลภายในประเทศทีย่ อมรับเอาหลักกฎหมายระหว่างประเทศมาใช้บ ั
งคับในบางคดี ลักษณะการทาเช่นนี้จงึ ถือว่า
กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นส่วนหนึ่งของกฎหมายภายในประเทศ
แต่ศาลยุตธิ รรมระหว่างประเทศจะไม่ยอมรับเอากฎหมายภายในประ
เทศใดประเทศหนึ่งมาเป็ นหลักในการพิจารณาคดีพพิ าทระหว่างประ
เทศ
กฎหมายระหว่างประเทศ
เป็ นกฎหมายทีต ่ อ
้ งปฏิบตั ต
ิ ามเมือ
่ เกีย่ วข้องสัมพันธ์ตอ
่ กัน
ไม่วา่ ยามปกติหรือสงคราม
กฎหมายระหว่างประเทศมีมูลฐานมาจากความยินยอมของประเทศต่างๆเป็ นกฎหมา
ยทีม่ ีลกั ษณะแตกต่างกับกฎหมายภายในประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็ น 3 สาขา
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได้แก่
กฎหมายทีว่ า่ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในฐานะทีร่ ฐั เป็ นนิตบิ ุคคล
แผนกนี้สว่ นใหญ่เป็ นเรือ ่ งความสัมพันธ์ทางการทูต การทาสนธิสญ ั ญา
และการทาสงคราม
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็ นกฎหมาย
ทีบ
่ งั คับเกีย่ วกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทีเ่ ป็ นพลเมืองของรัฐในทาง
แพ่ง เช่นการสมรส การหย่า การได้สญ ั ชาติ การสูญเสียสัญชาติ เป็ นต้น
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็ นกฎหมาย
ทีก่ าหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในคดีอาญา
เมือ ่ พลเมืองของรัฐกระทาความผิดกฎหมายอาญา เช่น
การกาหนดอานาจทีจ่ ะบังคับและปฏิบตั ต ิ อ
่ ชาวต่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็ น 3 สาขา ดังนี้
1.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได้แก่
กฎหมายทีว่ า่ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในฐานะทีร่ ฐั เป็ นนิตบ ิ ุคคล
แผนกนี้สว่ นใหญ่เป็ นเรือ ่ งความสัมพันธ์ทางการทูต การทาสนธิสญ ั ญา
และการทาสงคราม
2.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็ นกฎหมายทีบ ่ งั คับเกีย่ วกับ
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทีเ่ ป็ นพลเมืองของรัฐในทางแพ่ง เช่นการสมรส การหย่า
การได้สญ ั ชาติ การสูญเสียสัญชาติ เป็ นต้น
3.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็ นกฎหมายทีก ่ าหนดความ
สัมพันธ์ระหว่างรัฐในคดีอาญา เมือ ่ พลเมืองของรัฐกระทาความผิดกฎหมายอาญา
เช่น การกาหนดอานาจทีจ่ ะบังคับและปฏิบตั ต ิ อ
่ ชาวต่างประเทศ
1.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
บุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
1.รัฐ เป็ นบุคคลดัง้ เดิมหรือเป็ นบุคคลหลักในกฎหมายระหว่างประเทศรัฐเกิดขึน ้ โดย
องค์ประกอบทาง
ข้อเท็จจริงมีสท ิ ธิและหน้าทีท ่ ส
ี่ มบูรณ์ ตามกฎหมายระหว่างประเทศและมีความ
เท่าเทียมกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
2.องค์การ
ระหว่างประเทศเป็ นบุคคลลาดับรองในกฎหมายระหว่างประเทศเกิดขึน ้ โดยความตก
ลง ระหว่างรัฐ
มีความสามารถตามกฎหมายระหว่างประเทศทีจ่ ากัดภายในขอบเขตของความตกลง
ก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศนัน ้ ๆ
3.โดยทั่วไปแล้วปัจเจกชนไม่มีสท ิ ธิความรับผิดชอบและใช้สท ิ ธิในทางระหว่างประเ
ทศได้โดยตรงตาม กฎหมายระหว่างประเทศ
ยกเว้นในบางกรณีทม ี่ ีขอบเขตทีจ่ ากัดอย่างมาก
4.บรรษัทข้ามชาติไม่ได้รบ ั การยอมรับว่ามีสภาพเป็ นบุคคลในกฎหมายระหว่างประเ
ทศแต่มีสถานะเป็ นเพียงบุคคลตามกฎหมายภายในเท่านัน ้
รัฐ
1. รัฐมีหลัก 3 ประการ คือดินแดน ประชากร และรัฐบาล
คาจากัดความของรัฐเป็ นแนวความคิดทางรัฐศาสตร์มากกว่าทางนิตศ ิ าสตร์
เนื่องจากรัฐเกิดขึน ้ จากข้อเท็จจริงของการใช้อานาจดินแดนและประชากร
2. การรับรองรัฐ มีผลเสมือนเป็ นการประกาศว่ารัฐได้เกิดขึน ้ มาแล้ว
รัฐทีไ่ ด้รบ ั การรับรองจะมีความสามารถในการทานิตก ิ รรมระหว่างประเทศได้อย่าง
สมบูรณ์
3. การรับรองรัฐขึน ้ อยูก ่ บ
ั การใช้ดลุ พินิจของรัฐผูใ้ ห้การรับรอง
โดยคานึงถึงผลประโยชน์ของรัฐเป็ นสาคัญ
4. รัฐมีสท ิ ธิและหน้าทีเ่ ท่าเทียมกันตามกฎหมาย
หน้าทีท ี่ าคัญประการหนึ่งของรัฐคือ
่ ส
การไม่เข้าแทรกแซงต่อกิจการภายในของรัฐอืน ่
1. การสืบสิทธิของรัฐในส่วนทีเ่ กีย่ วกับสนธิสญ ั ญาตัง้ อยูบ่ นพื้นฐานของความประสง
ค์ของรัฐผูส ้ ืบสิทธิและการพิทกั ษ์ ผลประโยชน์ของรัฐทีส ่ าม
2. การสืบสิทธิของรัฐในเรือ ่ งอืน ่ ๆ
นาหลักของความยุตธิ รรม (equity) มาปรับใช้เพือ ่ แบ่งความรับผิดชอบ
รัฐอาจให้ความคุม ้ ครองทางการทูตต่อคนในชาติของตนได้เมือ ่
(1) คดีถงึ ทีส ่ ุดในศาลของรัฐผูร้ บ ั แล้ว
(2) การกระทาของรัฐผูร้ บ ั ทาให้เกิดผลเสียหายทางกระบวนการยุตธิ รรม
(3) ความผิดนัน ้ จะต้องปราศจากเจตนามิชอบ
(4) รัฐผูใ้ ห้ความคุม ้ ครองเป็ นผูใ้ ช้ดุลยพินิจพิจารณาว่าสมควรทีจ่ ะให้ความคุม ้ ครอง
ทางการทูตหรือไม่
(5) เป็ นการให้ความคุม ้ ครองแก่คนชาติของตนหรือแก่คนชาติอืน ่ ทีม
่ ีความตกลงกา
หนดให้รฐั นัน ้ เป็ นผูใ้ ห้ความคุม ้ ครองแทนได้
เขตแดนของรัฐ
1.เขต แดนเป็ นเครือ ่ งกาหนดขอบเขตของดินแดนทีอ ่ ยูภ ่ ายใต้อานาจอธิปไตยของรัฐ
กาหนดขอบเขตแห่งการมีสท ิ ธิและหน้าทีร่ ะหว่างประเทศของรัฐในความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ และแบ่งแยกอานาจของรัฐออกจากกันโดยเด็ดขาด
เว้นแต่กรณีทรี่ ฐั ต่างๆ
ได้แสดงเจตจานงในการให้ความร่วมมือระหว่างกันในกรอบของความร่วมมือทีไ่ ด้
ตกลงระหว่างกันไว้
เขตแดนจึงเป็ นทัง้ เครือ ่ งชี้แสดงและจากัดขอบเขตการใช้อานาจอธิปไตยของรัฐใน
ประชาคมระหว่างประเทศ
2.องค์ประกอบของดินแดนของรัฐ คือพื้นดิน ใต้ดอน น่ านน้าภายใน ทะเลอาณาเขต
และน่ านฟ้ าเหนือดินแดน น่ านน้าภายในและทะเลอาณาเขต
3.แม่ น้าลาคลอง ทะเลสาบ อ่าวและช่องแคบ
ก็เป็ นองค์ประกอบของเขตแดนของรัฐซึ่งอาจมีลกั ษณะเป็ นเขตแดนภายในของรัฐ
หรือเป็ นเจตแดนระหว่างประเทศได้
4.รัฐ ทีม ่ ีลกั ษณะเป็ นหมูเ่ กาะ ได้แก่ รัฐทีม ่ ีดน
ิ แดนประกอบไปด้วยเกาะหลายเกาะ
การกาหนดขอบเขตของเขตแดนของรัฐนัน ้ จึงแตกต่างจากการกาหนดขอบเขตของเ
ขตแดนของ รัฐทั่วไป รวมทัง้ การกาหนดน่ านน้า และทะเลอาณาเขตของเกาะด้วย
รัฐชายฝั่งทีม ่ ีลกั ษณะพิเศษทางภูมศ ิ าสตร์ก็จะได้รบ ั การกาหนดเขตแดนทีแ ่ ตก
ต่างจากหลักเกณฑ์ท่วั ไปด้วยเช่นกัน
5.การกาหนดเส้นเขตแดนของรัฐมีทง้ ั ทางบก ทางน้า และทางอากาศ
โดยมักจะอาศัยอุปสรรคทางภูมศ ิ าสตร์เป็ นแนวเขตแดน ได้แก่สน ั เขา สันปันน้า
แม่น้า ลาน้า ทะเลสาบ ซึง่ แบ่งแยกดินแดนของรัฐตามธรรมชาติ
ส่วนการกาหนดเส้นเขตแดนทางอากาศมักจะเป็ นน่ านฟ้ าเหนือขอบเขตอันเป็ นเส้นเ
ขต แดนทางพื้นดิน และทะเลอาณาเขต กล่าวคือน่ านฟ้ าเหนือพื้นดิน น่ านน้าภายใน
และทะเลอาณาเขต
6.ขัน ้ ตอนและวิธีการกาหนดเส้นเขตแดนกระทาโดยคณะกรรมการป้ องกันเขตแดน
คณะกรรมการกาหนดจุดพิกดั และคณะกรรมการปักหลักเขต
ซึง่ มักจะเป็ นคณะกรรมการผสมประกอบด้วยผูเ้ ชีย่ วชาญทางเทคนิคของภาคี
คูส
่ ญั ญา และอานาจหน้าทีข ่ องคณะกรรมการทัง้ สามจะเป็ นไปตามทีร่ ฐั ภาคีกาหนด
โดยทาให้การกาหนดเส้นเขตแดนเป็ นไปตามทีภ ่ าคีคส ู่ ญ
ั ญาได้ตกลงกันไว้
เขตอานาจรัฐ หมายถึงอานาจตามกฎหมายของรัฐเหนือบุคคล ทรัพย์สน ิ
หรือเหตุการณ์ ตา่ งๆ
1.เขตอานาจรัฐ อาจจาแนกตามเนื้อหาของอานาจได้เป็ น 2 ประเภทคือ
(1) เขตอานาจในการสร้างหรือบัญญัตก ิ ฎหมาย
(2) เขตอานาจในการบังคับการตามกฎหมาย
2.การ ใช้เขตอานาจย่อมเป็ นไปตามกฎหมายภายในของรัฐ
แต่ทง้ ั นี้ตอ
้ งอยูภ ่ ายในขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศด้วย กล่าวคือ
รัฐสามารถใช้เขตอานาจของตนเหนือบุคคล ทรัพย์สน ิ หรือเหตุการณ์ ตา่ งๆ
ตามกฎหมายภายใน โดยมีการเชือ ่ มโยงบางประการ
ซึง่ กฎหมายระหว่างประเทศรับรอง
3.เขตอานาจของรัฐมีมูลฐานมาจากหลักการสาคัญ 5 ประการ ได้แก่
(1) หลักดินแดน Territorial Principle
(2) หลักสัญชาติ National Principle
(3) หลักผูถ ้ ูกกระทา Passive Personality Principle
(4) หลักป้ องกัน Protective Principle
(5) หลักสากล Universality
Principle ซึ่งแต่ละหลักการดังกล่าวมีสาระสาคัญทีส ่ นับสนุ นการใช้เขตอานาจรัฐด้ว
ยเหตุผลทีแ ่ ตกต่างกัน
เขตแดนของรัฐ
1.เขต แดนเป็ นเครือ ่ งกาหนดขอบเขตของดินแดนทีอ ่ ยูภ
่ ายใต้อานาจอธิปไตยของรัฐ
กาหนดขอบเขตแห่งการมีสท ิ ธิและหน้าทีร่ ะหว่างประเทศของรัฐในความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ และแบ่งแยกอานาจของรัฐออกจากกันโดยเด็ดขาด
เว้นแต่กรณีทรี่ ฐั ต่างๆ
ได้แสดงเจตจานงในการให้ความร่วมมือระหว่างกันในกรอบของความร่วมมือทีไ่ ด้
ตกลงระหว่างกันไว้
เขตแดนจึงเป็ นทัง้ เครือ ่ งชี้แสดงและจากัดขอบเขตการใช้อานาจอธิปไตยของรัฐใน
ประชาคมระหว่างประเทศ
2.องค์ประกอบของดินแดนของรัฐ คือพื้นดิน ใต้ดอน น่ านน้าภายใน ทะเลอาณาเขต
และน่ านฟ้ าเหนือดินแดน น่ านน้าภายในและทะเลอาณาเขต
3.แม่ น้าลาคลอง ทะเลสาบ อ่าวและช่องแคบ
ก็เป็ นองค์ประกอบของเขตแดนของรัฐซึ่งอาจมีลกั ษณะเป็ นเขตแดนภายในของรัฐ
หรือเป็ นเจตแดนระหว่างประเทศได้
4.รัฐ ทีม่ ีลกั ษณะเป็ นหมูเ่ กาะ ได้แก่ รัฐทีม ่ ีดน
ิ แดนประกอบไปด้วยเกาะหลายเกาะ
การกาหนดขอบเขตของเขตแดนของรัฐนัน ้ จึงแตกต่างจากการกาหนดขอบเขตของเ
ขตแดนของ รัฐทั่วไป รวมทัง้ การกาหนดน่ านน้า และทะเลอาณาเขตของเกาะด้วย
รัฐชายฝั่งทีม ่ ีลกั ษณะพิเศษทางภูมศ ิ าสตร์ก็จะได้รบ ั การกาหนดเขตแดนทีแ ่ ตก
ต่างจากหลักเกณฑ์ท่วั ไปด้วยเช่นกัน
5.การ กาหนดเส้นเขตแดนของรัฐมีทง้ ั ทางบก ทางน้า และทางอากาศ
โดยมักจะอาศัยอุปสรรคทางภูมศ ิ าสตร์เป็ นแนวเขตแดน ได้แก่สน ั เขา สันปันน้า
แม่น้า ลาน้า ทะเลสาบ ซึง่ แบ่งแยกดินแดนของรัฐตามธรรมชาติ
ส่วนการกาหนดเส้นเขตแดนทางอากาศมักจะเป็ นน่ านฟ้ าเหนือขอบเขตอันเป็ นเส้นเ
ขต แดนทางพื้นดิน และทะเลอาณาเขต กล่าวคือน่ านฟ้ าเหนือพื้นดิน น่ านน้าภายใน
และทะเลอาณาเขต
6.ขัน ้ ตอนและวิธีการกาหนดเส้นเขตแดนกระทาโดยคณะกรรมการป้ องกันเขตแดน
คณะกรรมการกาหนดจุดพิกดั และคณะกรรมการปักหลักเขต
ซึง่ มักจะเป็ นคณะกรรมการผสมประกอบด้วยผูเ้ ชีย่ วชาญทางเทคนิคของภาคีคส ู่ ญ
ั ญา
และอานาจหน้าทีข ่ องคณะกรรมการทัง้ สามจะเป็ นไปตามทีร่ ฐั ภาคีกาหนด
โดยทาให้การกาหนดเส้นเขตแดนเป็ นไปตามทีภ ่ าคีคส
ู่ ญ
ั ญาได้ตกลงกันไว้
องค์การระหว่างประเทศ
1.สภาพ
บุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศขององค์การระหว่างประเทศอาจปรากฏโดยชัดแ
จ้งใน เอกสารก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศหรือโดยนัยจากเอกสารก่อตัง้ องค์การ
ระหว่างประเทศและถูกทาให้ชดั เจนและมั่นคงขึน ้ (Consolidated)
โดยทางปฏิบตั ข ิ ององค์การระหว่างประเทศนัน ้ เอง
2.ความ
สามารถในการกระทาตามกฎหมายระหว่างระเทศขององค์การระหว่างประเทศแต่ละ
องค์การ อาจไม่เท่าเทียมกัน
โดยขึน ้ อยูก
่ บ
ั ความตกลงก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศนัน ้ ๆ
หรือบางกรณีอาจเป็ นผลมาจากการมีอานาจโดยปริยาย
และการตีความความตกลงก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศนัน ้ เอง
3.องค์การระหว่างประเทศมีความรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ
หากกระทาการละเมิดพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ตัวอย่างคดีเมือง
“คดีการเมือง” คดี นายปิ่ น จักกะพาก นัน ้
คงจากันได้วา่ ทางการไทยได้รอ้ งขอไปยังทางการอังกฤษเพือ ่ ให้สง่ ตัวเป็ น
ผูร้ า้ ยข้ามแดนมายังประเทศไทย
โดยกล่าวหาว่านายปิ่ นกระทาความผิดอาญาในประเทศไทยรวม 45 ข้อหา
โดยนายปิ่ นถูกจับตัวใน กรุงลอนดอนเมือ ่ วันที่ 11 ธันวาคม 2542
และถูกนาตัวขึน ้ ดาเนินคดีสง่ ผูร้ า้ ยข้ามแดนทีศ ่ าลแขวง Bow Street
Magistrates” Court นาย ปิ่ นได้ตอ ่ สูค ้ ดี
และได้รบ ั การปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีประกันศาลแขวงดังกล่าวได้ไต่สวนพยานหลัก
ฐานทัง้ สองฝ่ ายแล้วได้มีพพ ิ ากษาเมือ ่ วันที่ 7 มีนาคม 2544
ว่านายปิ่ นมีความผิดเพียง 7 ข้อหา
จึงพิพากษาให้สง่ ตัวนายปิ่ นเป็ นผูร้ า้ ยข้ามแดนให้แก่ทางการไทย แต่
นายปิ่ นได้อุทธรณ์ คาพิพากษาต่อศาลสูง โดยศาลสูงได้วน ิ ิจฉัยคดีท ง้ ั 7
ข้อหาโดยละเอียดว่าโจทก์มีพยานหลักฐานเพียงพอทีจ่ ะรับฟังได้หรือไม่วา่ จาเลย
ได้กระทาความผิดตามข้อกล่าวหาของรัฐบาลไทย ท้ายสุดศาลสูงได้
มีคาพิพากษาเมือ ่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2544
โดยพิพากษากลับคาพิพากษาของศาลแขวง
ยกฟ้ องคดีทุกข้อหาและปล่อยตัวนายปิ่ นพ้นข้อหาไป โดยศาลได้
วินิจฉัยในประเด็นสาคัญว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ
บ่งชี้หรือสนับสนุนข้อพิสูจน์ได้วา่ นายปิ่ นกระทาการโดยมีเจตนาทุจริตตามข้อ
กล่าวหา
และยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอทีค ่ ณะผูพ้ พ
ิ ากษาจะวินิจฉัยลงโทษนายปิ่ นได้
กรณี ของนายปิ่ นไม่เป็ นความผิดตามกฎหมายอังกฤษ
เพราะสัญญาส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนระหว่างไทยกับอังกฤษนัน ้
จะต้องพิสูจน์ให้ได้วา่ ข้อกล่าวหาในความผิดของนายปิ่ นตามทีท ่ างการไทยกล่าว
อ้างนัน ้ หากเกิดขึน ้ ในประเทศอังกฤษจะเป็ นความผิดตามกฎหมายอังกฤษหรือไม่
(Double
Criminality) แต่ปรากฏว่าพยานหลักฐานของฝ่ ายไทยยังไม่เพียงพอทีจ่ ะพิสูจน์ ได้ว่
าการกระทา ของนายปิ่ นผิดต่อกฎหมายอังกฤษด้วย
ซึง่ คดีดงั กล่าวได้ถงึ ทีส
่ ุดแล้วและรัฐบาลไทยไม่สามารถนาตัวนายปิ่ นมาดาเนิน
คดีทป ี่ ระเทศไทยได้จนบัดนี้
ต่าง ประเทศทีจ่ ะนามาบังคับใช้
แต่ถา้ หากเนื้อหากฎหมายต่างประเทศนัน ้ ไม่สอดคล้องกับความสงบเรียบร้อยหรือ
ศีลธรรมแล้ว
ศาลก็จะไม่พงึ นาเอากฎหมายนัน ้ มาใช้บงั คับซึง่ กฎหมายทีเ่ กีย่ วพันกับความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชนตามกฎหมายภายในมีอยู่ 2 ลักษณะคือ
่
ทบทวนเรืองความร ับผิดของร ัฐ
เนื่องจากรัฐมีสถานะเป็ นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนัน ้ ก็ถือว่ารัฐก็มีสท
ิ ธิและหน้าทีต
่ ามกฎหมายระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน
และรัฐเองก็อาจจะต้องมีความรับผิดในทางระหว่างประเทศด้วย
เมือ ่ รัฐกระทาการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
และก่อให้เกิดความเสียหายแก่รฐั อืน ่ รัฐนัน
้ จึงมีหน้าที่
ทีจ่ ะต้องรับผิดชอบต่อการกระทาของตน โดยมีเงือ่ นไขอยู่ 2 ประการดังนี้
1. การกระทาของรัฐนัน ้ เป็ นการไม่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ อาจเป็ นการ
กระทาของรัฐโดยตรงจากการดาเนินกิจการภายในหรือภายนอก
หรือเกิดจากตัวแทนของรัฐบาลก็ได้ ส่วนผูเ้ สียหายจากการละเมิดต่อกฎหมายระ
หว่างประเทศ อาจเป็ นรัฐหรือเอกชนก็ได้
2. การกระทานัน ้ ต้องถือได้วา่ อยูใ่ นความรับผิดชอบของรัฐ คือการกระทาของรัฐห
รือตัวแทนของรัฐตามทีร่ บ ั มอบอานาจจากรัฐ
แต่ถา้ เป็ นการกระทาของเอกชนซึง่ เป็ นคนในสัญชาติของตน
ย่อมไม่ผก ู ผันความรับผิดของรัฐ
ความรับผิดของรัฐทีม ่ ีตอ
่ คนต่างด้าวทีไ่ ด้รบ
ั ความเสียหาย
ก่อนทีค่ นต่างด้าวจะร้องขอให้รฐั ของตนใช้สท ิ ธิคมุ้ ครองทางการทูตดาเนินการเรียกร้
องแทนตนเองได้นน ้ ั จะต้องดาเนินการต่อไปนี้กอ ่ น คือ
1. พยายามใช้วถ ิ ีทางตามขัน
้ ตอนของกฎหมายภายในรัฐทีก ่ อ
่ ความเสียหายแก่ตนเอ
งก่อน เช่น เรียกร้องความเป็ นธรรมต่อเจ้าหน้าทีท
่ เี่ กีย่ วข้อง
หรือเรียกร้องค่าเสียหายต่อศาล เป็ นต้น
2. หากไม่ได้ผลเพราะมีการปฏิเสธไม่ให้ความเป็ นธรรม หรือไม่รบ ั ฟ้ อง
คนต่างด้าวนัน้ จึงจะสามารถร้องให้รฐั ของตนใช้สทิ ธิคม ุ้ ครองทางการทูตเข้ามา
ดาเนินการแทนตนได้ ทัง้ นี้การทีร่ ฐั จะใช้สท
ิ ธิดงั กล่าวนี้หรือไม่นน
้ั
ถือเป็ นสิทธิโดยเฉพาะของรัฐทีจ่ ะใช้หรือไม่ก็ได้
และการจะให้ความคุม ้ ครองจากการกระทาโดยสุจริตเท่านัน ้
ความรับผิดของรัฐในสงครามกลางเมือง
ซึง่ กรณี ทเี่ กิดสงครามกลางเมืองอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่รฐั ต่างประเทศ
หรือคนต่างด้าวได้ รัฐจะต้องรับผิดแค่ไหน เพียงใดขึน ้ อยูก
่ บ
ั ว่า
1. ความเสียหายเกิดจากฝ่ ายรัฐบาล รัฐบาลไม่จาเป็ นต้องรับผิด
เพราะถือเสมือนว่าเป็ นลักษณะเดียวกับการเกิดสงคราม
ความเสียหายทีเ่ กิดขึน ้ เป็ นเหตุสุดวิสยั
เว้นแต่วา่ ความเสียหายทีเ่ กิดขึน ้ นัน ้ จากการต่อสูเ้ พือ
้ มิได้เกิดขึน ่ รักษาความสงบเ
รียบร้อยในการปราบกบฏ หรือการจลาจลตามปกติวส ิ ยั
2. ความเสียกายเกิดจากฝ่ ายกบฏ ถ้าหากฝ่ ายกบฏเป็ นฝ่ ายแพ้
รัฐไม่ตอ ้ งรับผิดแต่อย่างใดเพราะถือว่าฝ่ ายกบฏไม่ใช่ตวั แทนของรัฐ
แต่มีขอ ้ ยกเว้นว่า
ถ้าความเสียหายนัน ้ เกิดจากการละเลยของรัฐทีไ่ ม่ดาเนินการป้ องกัน
หรือคุม้ ครองคนต่างชาติ
โดยรูอ้ ยูว่ า่ จะมีอน
ั ตรายและรัฐมีกาลังเพียงพอทีจ่ ะดาเนินการได้
หรือกรณีทรี่ ฐั ยอมยกโทษให้ฝ่ายกบฏหรือยอมให้เข้าร่วมเป็ นคณะรัฐบาล
ดังนี้แล้วฝ่ ายรัฐบาลจาต้องรับผิดต่อความเสียหายทีเ่ กิดขึน ้
แต่มีการกระทาบางกรณีทไี่ ม่ถือว่าอยูใ่ นความรับผิดชอบของรัฐ คือ
1. การกระทาทีเ่ กิดจากการยินยอมของรัฐทีเ่ สียหาย
2. การป้ องกันทีช ่ อบด้วยกฎหมายของรัฐ
3. กรณีทรี่ ฐั ผูเ้ สียหายมีสว่ นร่วมในการก่อให้เกิดความเสียหาย
4. การใช้มาตรการ Reprisals
5. การกระทาทีเ่ ป็ นเหตุสุดวิสยั
6. การกระทาด้วยความจาเป็ น
สาระสาคัญกฎหมายสัญชาติ
พระราชบัญญัตส
ิ ญ
ั ชาติ พ.ศ. 2508 และแก้ไขเพิม
่ เติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 ฉบับที่
3 พ.ศ. 2535
วินิจฉัย
ประเด็นปัญหา
1. นายเดวิดมีสญ
ั ชาติใด
2. มูลพิพาทเกีย่ วกับเรือ
่ งใด
3. ต้องใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับกับคดี
4. ความสามารถในการทาพินยั กรรม และ
แบบของพินยั กรรมบังคับตามกฎหมายประเทศใด และ มีแบบอย่างใด
5. ปัญหาการตีความ หรือ การมีผลของพินยั กรรมใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับ
1. นายเดวิดเป็ นบุตรของนายจอห์นบิดาซึง่ มีสญ ั ชาติองั กฤษ และ นางโซฟี
มารดาซึง่ มีสญ ั ชาติฝรั่งเศส
แต่นายเดวิดเกิดทีป ่ ระเทศไทย โดยนายจอห์นและนางโซฟี
ได้เข้ามาลงทุนทาธุรกิจตัง้ ภัตตราคารฝรั่งเศสในประเทศไทย
ครอบครัวนี้ได้อาศัยอยูใ่ นประเทศไทยเป็ นเวลา 20 ปี นายเดวิดจึงมีสญ ั ชาติองั กฤษ
และฝรั่งเศสตามหลักสืบสายโลหิต และ ได้สญ ั ชาติไทยตามหลักดินแดน
โดยไม่เข้าข้อยกเว้นทีจ่ ะไม่ได้สญ ั ชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิวรรคหนึ่ง
เพราะแม้บด ิ ามารดาจะเป็ นต่างด้าวทัง้ คู่
แต่ครอบครัวนี้ได้เข้ามาอยูใ่ นประเทศไทยตัง้ 20 ปี
จึงไม่ใช่บุคคลทีเ่ ข้ามาอยูช่ ่วั คราว หรือ ไม่ได้เข้าเมืองมาโดยไม่ชอบ หรือ
ไม่ได้เข้าเมืองมาอยูโ่ ดยได้รบ ั การยกเว้นเป็ นกรณีพเิ ศษ
เนื่องจากได้เข้ามาประกอบธุรกิจทาภัตราคารฝรั่งเศสโดยชอบด้วยกฎหมาย อีกทัง้
บิดา มารดา ของเดวิดไม่ได้ เป็ นบุคคลในคณะทูต กงสุล องค์การระหว่างประเทศ
คนใช้ หรือ ครอบครัวทูต
เดวิดจึงมีสญั ชาติไทยด้วย และเดวิดเป็ นบุคคลมีสญ ึ้ ไปอันไ
ั ชาติตง้ ั แต่สองสัญชาติขน
ด้รบั มาคราวเดียวกัน คือสัญชาติ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สัญชาติไทย
2. มูลพิพาทในคดีนี้เกีย่ วกับความสามารถในการทาพินยั กรรม
และแบบของพินยั กรรม เนื่องจาก บิดา มารดานายเดวิด อ้างว่า
นายเดวิดไม่มีความสามารถทาพินยั กรรมด้วยยังไม่บรรลุนิตภ ิ าวะตามกฎหมายอังก
ฤษและฝรั่งเศส แต่ตามกฎหมายไทยนายเดวิดสามารถทาพินยั กรรมได้
อีกทัง้ แบบของพินยั กรรมของประเทศอังกฤษ
และฝรั่งเศสก็แตกต่างจากแบบของพินยั กรรมตามกฎหมายไทย
ดังนัน
้ เมือ
่ มีมูลพิพาทกันด้วยความสามารถในการทาพินยั กรรมและแบบของพินยั กร
รมซึง่ นายเดวิดมีหลายสัญชาติรวมทัง้ สัญชาติไทยด้วยจึงจะใช้กฎหมายไทยทันทีไม่ไ
ด้ เนื่องจากเป็ นคดีทีม
่ ีองค์ประกอบต่างชาติ (Foreign Elements)
3.คดีทพ ี่ พ
ิ าทกันด้วยเรือ่ งความสามารถในการทาพินยั กรรมและแบบของพินยั กรรม
ซึง่ เป็ นคดีทม ี่ ีองค์ ประกอบต่างชาติดงั กล่าว
จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัตก ิ ฎหมายขัดกันอันเป็ นเครือ ่ งมือในการหากฎหม
ายมาบังคับกับคดี ซึง่ มาตรา 39 ของพระราชบัญญัตก ิ ฎหมายขัดกัน
บัญญัตวิ า่ ความสามารถของบุคคลทีจ่ ะทาพินยั กรรม
ให้เป็ นไปตามกฎหมายสัญชาติในขณะทีท ่ าพินยั กรรมจึงต้องหาสัญชาติของนายเดวิ
ดเพือ ่ หากฎหมายสัญชาติมาปรับใช้กบ ั คดี
และ มาตรา 6 ของพระราชบัญญัตก ิ ฎหมายขัดกัน บัญญัตวิ า่ ………ในกรณีใดๆ
ทีม
่ ีการขัดกันในเรือ ่ งสัญชาติของบุคคล
ถ้าสัญชาติหนึ่งสัญชาติใดซึง่ ขัดกันนัน
้ เป็ นสัญชาติไทย
กฎหมายสัญชาติซงึ่ จะใช้บงั คับได้แก่กฎหมายแห่งประเทศสยาม
ดังนัน้ นายเดวิดซึง่ มีหลายสัญชาติแต่มีสญั ชาติไทยอยูด
่ ว้ ยจึงต้องใช้สญ
ั ชาติไทยในกา
รหากฎหมายมาบังคับกับคดี
4. ดังนัน ้ เมือ
่ หากฎหมายแห่งสัญชาตินายเดวิดได้แล้วคือ กฎหมายไทย
จึงสามารถพิจารณา ความสามารถตามกฎหมายไทยต่อไป
รวมทัง้ แบบของพินยั กรรม ซึ่งมาตรา 25 ปพพ บัญญัตวิ า่
ผูเ้ ยาว์อาจทาพินยั กรรมได้เมือ ่ อายุ 15 ปี บริบูรณ์ และ
มาตรา 40 ของพระราชบัญญัตก ิ ฎหมายขัดกัน บัญญัตวิ า่
บุคคลจะทาพินยั กรรมตามแบบทีก ่ ฎหมายสัญชาติกาหนดไว้ก็ได้
หรือจะทาตามแบบทีก ่ ฎหมายของประเทศทีท ่ าพินยั กรรมกาหนดไว้ก็ได้
ดังนัน ้ เดวิดซึ่งมีสญั ชาติไทยและทาพินยั กรรมในประเทศไทยจึงสามารถทาพินยั กรร
มตามแบบทีก ่ ฎหมายไทยกาหนดได้ และ
แบบของพินยั กรรมย่อมสมบูรณ์ ตามกฎหมายไทย
หากทาตามแบบทีก ่ ฎหมายไทยกาหนด
เมือ ่ พิจารณาแบบของพินยั กรรมตามกฎหมายไทยอันเป็ นกฎหมายสัญชาติของเดวิด
และที่ ทีท ่ าพินยั กรรม จะพบว่า
กฎหมายไทยบัญญัตแ ิ บบของพินยั กรรมไว้หลายแบบ
รวมทัง้ แบบเขียนเองทัง้ ฉบับได้ ตาม มาตรา 1657 พินยั กรรมนัน ้
จะทาเป็ นเอกสารเขียนเองทัง้ ฉบับก็ได้
กล่าวคือผูท ้ าพินยั กรรมต้องเขียนด้วยมือตนเองซึง่ ข้อความทัง้ หมด วัน เดือน ปี
และลายมือชือ ่ ของตน
ดังนัน ้ นายเดวิดจึงทาพินยั กรรมแบบเขียนเองทัง้ ฉบับได้และมีผลสมบูรณ์ ตามกฎหม
ายไทย
5. เกีย่ วกับปัญหาการตีความ หรือ
การมีผลของพินยั กรรมใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับ มาตรา 41 ของพระราชบั
ญญัตก ิ ฎหมายขัดกัน บัญญัตวิ า่ ผลและการตีความพินยั กรรมก็ดี
ความเสียเปล่าแห่งพินยั กรรมหรือข้อกาหนดพินยั กรรมก็ดี
ให้เป็ นไปตามกฎหมายภูมลิ าเนาของผูท ้ าพินยั กรรมในขณะทีผ
่ ท
ู้ าพินยั กรรมถึงแก่ค
วามตาย ดังนัน
้ นายเดวิดมึภูมลิ าเนาอยูใ่ นประเทศไทยในขณะทีถ ่ งึ แก่ความตา
ยจึงต้องใช้กฎหมายไทยบังคับกับคดี
สรุป
1. นายเดวิดมีสญ
ั ชาติองั กฤษ ฝรั่งเศส และ ไทย
่ งความสามารถในการทาพินยั กรรมซึง่ ต้องใช้กฎหม
2. มูลพิพาทในคดีนี้เกีย่ วกับเรือ
ายสัญชาติมาบังคับกับคดี และ แบบของพินยั กรรม
ซึง่ สามารถทาตามแบบกฎหมายสัญชาติ หรือ
ตามแบบกฎหมายของประเทศทีท ่ าพินยั กรรม นั่นคือกฎหมายไทย
3. ต้องใช้กฎหมายของประเทศไทยบังคับกับคดี
เมือ
่ นายเดวิดเป็ นบุคคลทีม
่ ีหลายสัญชาติทไี่ ด้มาในเวลาเดียวกัน
แต่นายเดวิดมีสญ ั ชาติไทยด้วย กฎหมายขัดกันของไทย
ให้ใช้กฎหมายสยามเป็ นกฎหมายสัญชาติทจี่ ะมาบังคับกับคดี
4. นายเดวิดมีความสามารถในการทาพินยั กรรม
ซึง่ ตามกฎหมายไทยผูเ้ ยาว์สามารถทาพินยั กรรมได้ตง้ ั แต่อายุ 15 ปี บริบูรณ์ และ
แบบของพินยั กรรมบังคับตามกฎหมายประเทศไทยได้เพราะเป็ นกฎหมายสัญชาติข
องผูท ้ าพินยั กรรม และ
แบบของพินยั กรรมแบบเขียนเองทัง้ ฉบับเป็ นแบบของพินยั กรรมทีส ่ ามารถทาได้ตา
มกฎหมายไทยได้โดยสมบูรณ์
5. ส่วนปัญหาการตีความ หรือ
การมีผลของพินยั กรรมให้ใช้กฎหมายของประเทศไทยบังคับกับคดี
6. ดังนัน ้ นางสาวดวงใจจึงสามารถรับมรดกตามพินยั กรรมได้
แม้นางสาวดวงใจจะเป็ นผูเ้ ยาว์แต่การทานิตก ิ รรมตาม มาตรา ๒๒
ผูเ้ ยาว์อาจทาการใด ๆ ได้ทง้ ั สิน ่ จะได้ไปซึ่งสิทธิอน
้ หากเป็ นเพียงเพือ ั ใดอันหนึ่ง
หรือเป็ นการเพือ่ ให้หลุดพ้นจากหน้าทีอ ่ นั ใดอันหนึ่ง ย่อมสามารถทาได้
วิเคราะห์
ข้อสอบข้อนี้มีวตั ถุประสงค์ในการประเมินความรูข ้ องนักศึกษาว่าสามารถวิเค
ราะห์ประเด็นโจทย์ทถ ี่ ามเกีย่ วกับการกาหนดสัญชาติได้หรือไม่ และ
สามารถวิเคราะห์ การใช้เครือ ่ งมือในการหากฎหมายมาบังคับกับคดีได้หรือไม่
ตามพระราชบัญญัตก ิ ฎหมายขัดกัน ในเรือ ่ งการหาสัญชาติของบุคคล
การหากฎหมายสัญชาติทจี่ ะมาบังคับกับคดี และ การวิเคราะห์มูลคดีพพ ิ าท
ตลอดจนการปรับใช้กฎหมายไทยบังคับกับคดีได้ถูกต้องหรือไม่
เป็ นการศึกษาอย่างบูรณาการในการใช้กฎหมาย
ซึง่ จาเป็ นสาหรับนักศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ
คาถาม
นาย โมฮัมเหม็ด ชาวโรฮิงยา ต้องการหนีออกจากประเทศพม่า
โดยบุกขึน ้ ไปจี้เครือ ่ งบินสายการบินแควนตัสทีจ่ อดอยูท ่ ส
ี่ นามบินกรุงย่างกุง้
แล้วบังคับนายปี เตอร์ ซึง่ มีสญ ั ชาติองั กฤษ
และเป็ นกัปตันเครือ ่ งบินดังกล่าวให้ไปส่งทีป ่ ระเทศสิงคโปร์
แต่นายปี เตอร์ขดั ขืนจึงถูกนายโมฮัมเหม็ด ยิงบาดเจ็บ นางสาวมิชโิ กะ แอร์โฮสเตส
สัญชาติญป ี่ ุ่ น ทีท
่ างานในเครือ ่ งบินดังกล่าว เข้าช่วยเหลือกัปตัน
จึงถูกยิงบาดเจ็บอีกคน นายโมฮัมเหม็ด
ได้บงั คับให้กป ั ตันทีส่ องนาเครือ่ งบินลงจอดทีป ่ าปัวนิวกินีแทน แล้วหลบหนีไป
ต่อมานายโมฮัมเหม็ดได้รบ ั แจ้งจากเพือ่ นๆให้ทราบว่าคนไทยใจดีเลี้ยงดูช าวโรฮิงยา
อย่างดี ไม่ตอ ้ งหนีไปไหนให้มาปักหลักทีป ่ ระเทศไทยจะดีกว่า นายโมฮัมเหม็ด
ดีใจมากจึงเล็ดลอดหนีเข้ามาอยูใ่ นประเทศไทย แต่ถูก ตารวจของไทยจับตัวได้ ดังนี้
นักศึกษาจงพิจารณาว่า
1. ประเทศใดบ้างมีเขตอานาจรัฐในการดาเนินคดีจี้เครือ
่ งบินกับนายโมฮัมเหม็ดได้
2. ประเทศไทยมีเขตอานาจรัฐทีจ่ ะดาเนินคดีตอ
่ นายโมฮัมเหม็ดได้หรือไม่เพราะเหตุ
ใด
3. หากประเทศออสเตรเลียจะร้องขอให้รฐั บาลไทยส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนไปยังออสเตรเลี
ยจะได้หรือไม่หากประเทศไทยและออสเตรเลียมีสนธิสญ ั ญาส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนระหว่า
งกัน
แนวตอบ
หลักกฎหมาย
เขตอานาจรัฐ หมายถึง อานาจตามกฎหมายของรัฐเหนือ บุคคล ทรัพย์สน ิ
หรือเหตุการณ์ ตา่ ง ๆ
ซึง่ หากพิจารณาเขตอานาจรัฐในฐานะทีเ่ ป็ นส่วนสาคัญของอธิปไตยของรัฐ แล้ว
อาจแบ่งเขตอานาจรัฐออกเป็ น เขตอานาจในทางนิตบ ิ ญ
ั ญัติ เขตอานาจในทางศาล
และเขตอานาจในการบังคับการตามกฎหมายในทางบริหาร
แต่หากคานึงถึงประโยชน์ในการทาความเข้าใจขอบเขตของเขตอานาจรัฐ
อาจจาแนกเขตอานาจของรัฐออก ดังนี้
1) เขตอานาจในการสร้างหรือบัญญัตก
ิ ฎหมาย โดยฝ่ ายนิตบ
ิ ญ
ั ญัติ
2) เขตอานาจในการบังคับใช้กฎหมายหรือบังคับการให้เป็ นไปตามกฎหมาย
โดยฝ่ ายตุลาการ และโดยฝ่ ายบริหาร
การใช้เขตอานาจรัฐ ในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศ
โดยได้มีการศึกษาสารวจทางปฏิบตั ขิ องรัฐต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
พบว่าการใช้เขตอานาจของรัฐเหนือบุคคล ทรัพย์สน ิ หรือเหตุการณ์ ตา่ ง ๆ นัน
้
มีมูลฐาน (Basis) เนื่องมาจากหลักการ (principle) 5 ประการ
ทีส
่ นับสนุนการใช้เขตอานาจของรัฐด้วยเหตุผลทีแ ่ ตกต่างกัน ได้แก่
1. หลักดินแดน (Territorial Principle) หมายถึง รัฐมีเขตอานาจเหนือบุคคล
ทรัพย์สน
ิ หรือเหตุการณ์ ตา่ ง ๆ ภายในดินแดนของรัฐ โดยไม่จาต้องคานึงว่า
บุคคลนัน้ มีสญ
ั ชาติของรัฐใด หรือทรัพย์สน
ิ นัน
้ เป็ นของบุคคลสัญชาติใด
2. หลักสัญชาติ (Nationality Principle)
ถือว่าสัญชาติเป็ นสิง่ เชือ่ มโยงทีท่ าให้รฐั สามารถใช้เขตอานาจของตนเหนือบุคคลซึง่ ถื
อสัญชาติของรัฐ
ตลอดจนทรัพย์สน ิ ทีม่ ีสญ ั ชาติของรัฐโดยไม่ตอ ้ งคานึงว่าบุคคลหรือทรัพย์สน
ิ นัน
้ จะอยู่
ทีใ่ ด
3. หลักป้ องกัน (Protection Principle)
รัฐสามารถใช้เขตอานาจของตนเหนือบุคคลซึง่ กระทาการอันเป็ นภัยต่อความมั่นคงข
องรัฐ ทัง้ ในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ เช่น การคบคิดกันล้มล้างรัฐบาล
การจารกรรม การปลอมแปลงเงินตรา ตั๋วเงิน ดวงตรา แสตมป์ หนังสือเดินทาง
หรือเอกสารมหาชนอืน ่ ๆ ซึง่ ออกโดยรัฐ เป็ นต้น
แม้วา่ ผูก
้ ระทาจะมิใช่บุคคลสัญชาติของรัฐ
และการกระทานัน ้ ภายในดินแดนของรัฐนัน
้ จะมิได้เกิดขึน ้ ก็ตาม
4. หลักผูถ
้ ูกกระทา (Passive Personality Principle) หลักสัญชาติ
และหลักผูถ ้ ูกกระทา (passive
personality) ต่างก็อาศัยสัญชาติของบุคคลเป็ นตัวเชือ่ มโยงระหว่างบุคคลและรัฐผูใ้
ช้เขตอานาจ แต่มีขอ ้ แตกต่างกันคือ ตามหลักสัญชาติ
รัฐสามารถใช้เขตอานาจของตนโดยมีมูลฐานมาจากสัญชาติของผูก ้ ระทาความผิด
ในขณะทีต ่ ามหลัก passive
personality เขตอานาจของรัฐกลับอาศัยมูลฐานจากสัญชาติของเหยือ ่ หรือผูไ้ ด้รบ
ั ผ
ลร้ายจากการกระทาความผิด
5. หลักสากล (Universality Principle)
รัฐใดๆก็ตามย่อมมีเขตอานาจเหนืออาชญากรรมทีก
่ ระทบต่อประชาคมระหว่างประเ
ทศโดยส่วนรวม
โดยไม่คานึงว่าอาชญากรรมนัน ้ จะเกิดขึน ้ ในดินแดนของรัฐนัน
้ หรือไม่
และผูก
้ ระทาหรือผูไ้ ด้รบ
ั ผลเสียหายจากการกระทาจะเป็ นคนสัญชาติของรัฐใด ดังนัน
้
เขตอานาจสากลจึงมีความเชือ ่ มโยงอยูก ่ บ
ั ลักษณะของการกระทาความผิดหรืออาชญ
ากรรมเป็ นสาคัญ ได้แก่ การจี้เครือ่ งบิน โจรสลัด การจับคนเป็ นตัวประกัน
การค้ายาเสพติด การก่อการร้ายเป็ นต้น
การพิจารณากรณีทม ี่ ีการร้องขอให้สง่ ผู้รา้ ยข้ามแดน
ต้องพิจารณาตามลาดับต่อไปนี้คอ ื ประเภทของบุคคล ประเภทของความผิด
ฐานะพิเศษบางประการของผูก ้ ระทาความผิด พิธีการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดน
ผลการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดน และหลักทั่วไปของการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดน
หลักทั่วไปของการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนอาจสรุปได้ดงั นี้
1. บุคคลทีถ
่ ูกขอให้สง่ ตัว เป็ นผูก ้ ระทาผิดทางอาญาหรือถูกลงโทษในทางอาญา
ในเขตของประเทศผูร้ อ้ งขอ
หรือเป็ นคดีอาญาทีม ่ ีมูลทีจ่ ะนาตัวผูต
้ อ ้ ฟ้ องร้องต่อศาลได้
้ งหาขึน
2. ต้องไม่ใช่คดีทข ี่ าดอายุความ
หรือคดีทศ ี่ าลของประเทศใดได้พจิ ารณาและพิพากษาให้ปล่อยหรือได้รบ
ั โทษในควา
มผิดทีร่ อ้ งขอให้สง่ ข้ามแดนแล้ว
3. บุคคลทีถ
่ ูกขอให้สง่ ตัว
จะเป็ นพลเมืองของประเทศผูร้ อ้ งขอหรือของประเทศผูร้ บ
ั คาขอ
หรือของประเทศทีส ่ ามก็ได้
4. ความผิดซึ่งบุคคลผูถ
้ ูกขอให้สง่ ตัวได้กระทาไปนัน
้
ต้องเป็ นความผิดต่อกฎหมายอาญาของทัง้ สองประเทศ
คือประเทศผูร้ อ้ งขอและประเทศผูร้ บ
ั คาขอ (principle of double criminality)
5. ต้องเป็ นความผิด
ซึง่ กฎหมายกาหนดโทษจาคุกไม่ต่ากว่าหนึ่งปี (ตามอนุสญ
ั ญา Montevideo ค.ศ.
1933) และกฎหมายไทยก็ยด ึ ถือหลักเกณฑ์นี้ดว้ ย
6. บุคคลผูถ
้ ูกขอตัวได้ปรากฏตัวอยู่ในประเทศทีถ
่ ูกร้องขอให้สง่ ตัว (ประเทศผู้
รับคาขอ)
7. ประเทศเจ้าของท้องทีเ่ กิดเหตุ (ประเทศผูร้ อ้ งขอ) เป็ นผูด
้ าเนินการร้องขอใ
ห้สง่ ตัวโดยปฏิบตั ต
ิ ามพิธีการต่างๆ
ครบถ้วนดังทีก่ าหนดไว้ในสนธิสญ ั ญาหรือตามกฎหมายว่าด้วยการนัน ้
8. ผูท
้ ถ
ี่ ูกส่งตัวไปนัน ้
จะต้องถูกฟ้ องเฉพาะในความผิดทีร่ ะบุมาในคาขอให้สง่ ตัวหรืออย่างน้อยทีส
่ ุดจะต้อง
เป็ นความผิดทีม ่ ีระบุไว้ในสนธิสญ
ั ญาระหว่างกัน
9. ต้องไม่ใช่ความผิดทางการเมือง
เพราะมีหลักห้ามการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนในคดีการเมือง
นอกจากนัน้ ยังมีความผิดบางประเภทซึง่ ประเทศต่างๆ ไม่นิยมส่งผูร้ า้ ยข้ามแดน
หลักกฎหมายไทยกาหนดวิธีพจิ ารณาการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนไว้สองวิธีคอ ื
กรณีทป ี่ ระเทศไทยมีสนธิสญ ั ญาหรือสัญญาส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนไว้กบ ั ประเทศผูร้ อ้ งขอ
ก็ให้พจิ ารณาสนธิสญ ั ญาหรือสัญญานัน้ เป็ นหลักพิจารณา
และกรณีทป ี่ ระเทศไม่มีสนธิสญ
ั ญาหรือสัญญาส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนไว้กบ ั ประเทศผูร้ อ้ งข
อก็ให้นาหลักทั่วๆ ไปในพระราชบัญญัตส ิ ง่ ผูร้ า้ ยข้ามแดน พ.ศ.
2472 มาเป็ นหลักพิจารณา และ
การส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนเป็ นอานาจอธิปไตยของประเทศผูร้ บ ั คาขอทีจ่ ะส่งหรือไม่สง่ ก็ไ
ด้
วินิจฉัย
1. ประเทศใดบ้างมีเขตอานาจรัฐในการดาเนินคดีจี้เครือ
่ งบินกับนายโมฮัมเหม็ดได้
ในกรณี นี้จะเห็นได้วา่ การกระทาของนายโมฮัมเหม็ดเป็ นการกระทาทีเ่ ป็ นอันตรายต่
อมวลมนุษยชาติตามหลักเกณฑ์ในการกาหนดเขตอานาจศาลตามมูลฐานหลักสากลที่
ไม่คานึงว่าผูใ้ ดเป็ นผูก
้ อ
่ ความผิด และใครจะเป็ นผูเ้ สียหายโดยตรง และ
ไม่วา่ จะกระทาในเขตแดนของรัฐใดก็ตาม ทุกประเทศก็มีเขตอานาจรัฐเหนือคดีนี้
ดังนัน้ ประเทศทีม ่ ีเขตอานาจรัฐเหนือคดีนี้ คือ ทุกประเทศ
2.ประเทศไทยมีเขตอานาจรัฐทีจ่ ะดาเนินคดีตอ ่ นายโมฮัมเหม็ดได้หรือไม่เพราะเหตุ
ใดนัน้ เมือ
่ ทุกประเทศมีเขตอานาจรัฐตามมูลฐานหลักสากล
ดังนัน
้ ประเทศไทยย่อมมีเขตอานาจรัฐเหนือคดีนี้ดว้ ย
แม้วา่ การกระทาในการจี้เครือ ้ ในประเทศไทย
่ งบินของนายโมฮัมเหม็ดไม่ได้เกิดขึน
และคนไทยไม่ได้เป็ นผูเ้ สียหาย หรือ
คนไทยไม่ได้เกีย่ วข้องในการกระทาผิดเลยก็ตาม
3.หากประเทศออสเตรเลียจะร้องขอให้รฐั บาลไทยส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนไปยังออสเตรเลีย
จะได้หรือไม่หากประเทศไทยและออสเตรเลียมีสนธิสญ ั ญาส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนระหว่าง
กัน ในกรณี นี้ ประเทศออสเตรเลียก็มีเขตอานาจรัฐเหนือคดีนี้ เช่นกัน
ในกรณีของการมีเขตอานาจรัฐทับซ้อน (Concurrent
Jurisdiction) ซึ่งหมายถึงการทีม
่ ีประเทศมากกว่าหนึ่งประเทศมีเขตอานาจรัฐเหนื อ
การกระทาอันเป็ นความผิด ดังเช่นในกรณีนี้
ประเทศทีจ่ ะใช้เขตอานาจรัฐในการดาเนินคดี
จะต้องเป็ นประเทศทีผ ่ กู้ ระทาผิดได้เข้าไปอยูใ่ นเขตอานาจรัฐนัน ้ ๆ
ดังนัน ้ หากผูก ้ ระทาผิดไม่ได้เข้าไปอยูใ่ นเขตอานาจรัฐนัน ้
ถึงแม้รฐั นัน ้ จะมีเขตอานาจรัฐเหนือคดีดงั กล่าวก็จะไม่สามารถใช้อานาจรัฐได้
เว้นแต่จะมีการขอให้มีการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนเพือ ่ ส่งตัวผูก ้ ระทาผิดไปยังรัฐทีร่ อ้ งขอนั้
น ดังนัน ้ ประเทศออสเตรเลียซึง่ ก็มีเขตอานาจรัฐเหนือการกระทาผิดฐานจี้เครือ ่ งบิน
จึงอยูใ่ นกรณีดงั กล่าวนี้
หากประเทศออสเตรเลียประสงค์ทจี่ ะขอให้มีการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนจากประเทศไทย
ซึง่ ผูก
้ ระทาผิดได้เข้ามาอยูใ่ นเขตอานาจรัฐของไทยแล้ว
และประเทศไทยซึง่ มีเขตอานาจรัฐเหนือคดีนี้ดว้ ยและมีสนธิสญ ั ญาส่งผูร้ า้ ยข้ามแดน
กับประเทศออสเตรเลียนัน ้ จะส่ง หรือ
ไม่สง่ นายโมฮัมเหม็ดให้แก่ประเทศออสเตรเลียก็ได้
โดยปกติประเทศทีไ่ ด้ตวั ผูก ้ ระทาผิดหากไม่ได้เกีย่ วข้องโดยตรงมักจะส่งผูร้ า้ ยข้ามแ
ดนไปยังประเทศทีม ่ ีความเกีย่ วข้องกับการกระทาผิด เช่นในกรณีของ
ประเทศอังกฤษ หรือ ประเทศญีป ่ ุ่ น เป็ นต้น
แต่ในกรณี ทป ี่ ระเทศออสเตรเลียซึง่ ไม่ได้เกีย่ วข้องโดยตรง มาร้องขอให้สง่ ผูร้ า้ ยข้าม
แดนประเทศทีไ่ ด้ตวั ผูก ้ ระทาผิดมักจะดาเนินคดีกบ ั ผูน
้ น
้ ั เองในฐานะทีเ่ ป็ นเจ้าของดิน
แดนทีผ ่ กู้ ระทาผิดเข้ามาอยูใ่ นเขตอานาจรัฐ
เว้นแต่ประเทศทีเ่ กีย่ วข้องโดยตรงจะร้องขอให้มีการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนดังกล่าว เช่น
อังกฤษ หรือ ญีป ่ ุ่ น
สรุป
1. ทุกประเทศมีเขตอานาจรัฐในการดาเนินคดีจี้เครือ
่ งบินกับนายโมฮัมเหม็ดได้
2. ประเทศไทยมีเขตอานาจรัฐทีจ่ ะดาเนินคดีตอ
่ นายโมฮัมเหม็ดได้ตามมูลฐานหลักส
ากล
3. ประเทศออสเตรเลียจะร้องขอให้รฐั บาลไทยส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนไปยังออสเตรเลียได้
หากประเทศไทยและออสเตรเลียมีสนธิสญ ั ญาส่งผูร้ า้ ยข้ามแดนระหว่างกัน
แต่ประเทศไทยย่อมมีอานาจอธิปไตยในการส่งหรือไม่สง่ ผูร้ า้ ยข้ามแดนก็ได้
วิเคราะห์
ข้อสอบข้อนี้มีวตั ถุประสงค์ในการประเมินผลความรู ้
ความเข้าใจเกีย่ วกับเขตอานาจรัฐ และ มูลฐานในการกาหนดเขตอานาจรัฐ
การใช้อานาจรัฐ ตลอดจนความเข้าใจเกีย่ วกับการส่งผูร้ า้ ยข้ามแดน
นักศึกษาส่วนใหญ่ตอบข้อสอบข้อนี้ได้แต่ไม่สมบูรณ์ ครบถ้วน
ส่วนนักศึกษาทีต ่ อบผิดมักจะไม่เข้าใจเขตอานาจรัฐตามหลักสากล
โดยตอบว่าการกระทาผิดไม่ได้เกิดขึน ้ ในราชอาณาจักรไทยและ
คนไทยไม่ได้เกีย่ วข้องในการกระทาผิดในคดีดงั กล่าวเลย
นอกจากนัน ้ นักศึกษาบางส่วนยังตอบผิดเกีย่ วกับการไม่มีเขตอานาจรัฐของออสเตรเ
ลีย ด้วยเหตุผลทีว่ า่ การกระทาผิด บุคคลทีก ่ ระทาผิด
หรือผูเ้ สียหายไม่ได้เกีย่ วข้องกับออสเตรเลียเลย เป็ นต้น
การตอบข้อสอบผิดในลักษณะนี้สว่ นใหญ่เนื่องจากไม่ได้ศก ึ ษามา
เพราะเป็ นหลักเกณฑ์ท่วั ไปเกีย่ วกับเขตอานาจรัฐ
จึงแนะนาให้นกั ศึกษาตัง้ ใจอ่านหนังสือให้เข้าใจ
วิชานี้ไม่ได้ยากหากได้ศก ึ ษามาอย่างดี
นักศึกษาจาเป็ นจะต้องมีความรูจ้ งึ จะสามารถสอบผ่านได้
คาถาม
นายเจฟฟรี เอกอัครราชทูต ชาวอังกฤษ ประจาประเทศ ฝรั่งเศส
ได้นารถยนต์สว่ นตัวของตนไปจอดอยูท ่ ี่ ถนน ชองเอลิเซ่ ซึง่ เป็ นทีห
่ า้ มจอด
จึงถูกตารวจจราจรฝรั่งเศสจับ และถูกปรับ
นายเจฟฟรีโต้แย้งว่าตนเป็ นทูตได้รบ ั เอกสิทธิแ ์ ละความคุม ้ กันทางการทูต
จะไม่ถูกจับ หรือ ปรับแต่ประการใด แต่ตารวจฝรั่งเศสก็โต้แย้งว่า นายเจฟฟรี
ไม่ได้กาลังปฏิบตั ห ิ น้าทีท
่ ูต ออกมาทาธุรกิจส่วนตัวและใช้รถยนต์สว่ นตัวด้วย
จึงไม่รบ ั ฟัง นายเจฟฟรีโกรธมาก
จึงทาหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลฝรั่งเศสและแจ้งรัฐบาลอังกฤษให้ทราบว่ารัฐบาลฝรั่
งเศสละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
รัฐบาลอังกฤษจึงทาหนังสือประท้วงรัฐบาลฝรั่งเศสทีจ่ บ ั กุมเอกอัครราชทูต แล้วปรับ
ซึง่ ฝ่ าฝื นกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการคุม ้ ครองทูต
เนื่องจากทูตจะบริโภคเอกสิทธิแ ์ ละความคุม ้ กันทางการทูต
นักศึกษาจงพิจารณาว่าในกรณีดงั กล่าวนี้
รัฐบาลฝรั่งเศสจะต้องรับผิดชอบต่อทูตและรัฐบาลอังกฤษหรือไม่อย่างไร และ
ข้อโต้แย้งของตารวจจราจรฝรั่งเศสชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพราะเหตุใด
แนวตอบ
หลักกฎหมาย
“เอกสิทธิท์ างทูต” เป็ นสิทธิพเิ ศษของรัฐผูร้ บ
ั ทีใ่ ห้แก่ผแ ู้ ทนทางทูตของรัฐผูส ้ ง่ ตา
มทางปฏิบตั ริ ะหว่างประเทศอันเป็ นประเพณีนิยม
โดยอาศัยหลักอัธยาศัยไมตรีและการถ้อยทีถอ ้ ยปฏิบตั ต ิ อ่ กันเป็ นมูลฐาน
สิทธิพเิ ศษเช่นว่านี้อาจเป็ นการให้ประโยชน์หรือให้ผลปฏิบตั อ ิ ย่างใดอย่างหนึ่งเป็ นพิ
เศษ เช่น การให้สท ิ ธิผแ
ู้ ทนทางทูตมีโบสถ์สาหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
การให้เกียรติในงานพิธี อาทิ
การยิงสลุตให้ในเมือ
่ กองเรือรบของรัฐผูส ้ ง่ เข้าไปในเมืองท่าของรัฐผูร้ บ
ั เป็ นต้น
หรืออาจเป็ นการยกเว้นไม่ให้ตอ ้ งปฏิบตั กิ ารหรือไม่ให้ตอ้ งรับภาระอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น
การยกเว้นไม่ตอ้ งให้ผแ
ู้ ทนทางทูตต้องปฏิบตั ก ิ ารในฐานะของคนต่างด้าวในรัฐผูร้ บ ั
การยกเว้นภาษี อากรให้แก่ผแ ู้ ทนทางทูต เป็ นต้น
ส่วน “ความคุม ้ กันทางทูต” นัน ้ เป็ นสิทธิของรัฐผูส
้ ง่ หรือทีร่ ฐั ผูส
้ ง่ มีอยูใ่ นตัวตาม
กฎหมายระหว่างประเทศ และพึงสังเกตไว้ดว้ ยว่า ความคุม ้ กันเป็ นสิทธิของรัฐผูส ้ ง่
ไม่ใช่ของผูแ้ ทนทางทูตของรัฐผูส ้ ง่ การสละความคุม ้ กันจึงให้รฐั ผูส ้ ง่ เป็ นผูส
้ ละ
ผูแ
้ ทนทางทูตจะสละเสียเองหาได้ไม่ ความคุม ้ กันเช่นว่านี้
ั ปลอดหรือหลุดพ้นจากอานาจหรือภาระอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็ นการยกเว้นให้ผไู้ ด้รบ
เช่น ความคุม ้ กันจากการจับกุม กักขังหรือจาขัง
ความคุม้ กันจากอานาจพิจารณาพิพากษาของศาล
หรือจากการถูกฟ้ องร้องคดียงั โรงศาลของรัฐผูร้ บ ั
เอกสิทธิท ์ างทูตได้แก่ เอกสิทธิท ์ างด้านภาษี อากร และค่าธรรมเนียม
ั เอกสิทธิเ์ กีย่ วกับภาษี รายได้ แบ่งได้เป็ น 2
หรือค่าภาระทีเ่ รียกเก็บในรัฐผูร้ บ
ลักษณะ คือ เอกสิทธิท ์ างด้านภาษี ทเี่ กีย่ วกับสถานทีข่ องคณะผูแ้ ทน
์ างด้านภาษี ของบุคคลในคณะผูแ
กับเอกสิทธิท ้ ทน
เอกสิทธิท ์ างด้านภาษี เกีย่ วกับสถานทีข่ องคณะผูแ ้ ทนนัน้ โดยหลักแล้ว
สถานทีข ่ องคณะผูแ ์ องรัฐผูส
้ ทนซึง่ เป็ นกรรมสิทธิข ้ ง่ หรือบุคคลทีท
่ าในนามของรัฐผูส
้ ่
ง ซึง่ ได้ใช้ประโยชน์ ในทางราชการ ย่อมถูกยกเว้นจากการเรียกเก็บภาษี บารุงท้องที่
หรือภาษี ทเี่ กีย่ วกับการซื้อขาย
ข้อยกเว้นทีไ่ ม่ได้รบ
ั สิทธิพเิ ศษ ดังต่อไปนี้คอ
ื
(ก) ภาษี ทางอ้อมชนิดทีต่ ามปกติรวมอยูใ่ นราคาของสินค้าหรือบริการแล้ว
ภาษี ประเภทนี้เป็ นภาษี ทบ
ี่ วกเข้าไปในราคาสินค้า เช่น ภาษี สน
ิ ค้าของฟุ่ มเฟื อย
เป็ นต้น สาหรับภาษี ทางอ้อมนี้ ตัวแทนทางการทูตมิได้รบ ั การยกเว้นภาษี
(ข) ค่าติดพัน
และภาษี จากอสังหาริมทรัพย์สว่ นตัวซึ่งตัง้ อยูใ่ นอาณาเขตของรัฐผูร้ บ
ั นอกจากตัวแท
นทางการทูตครอบครองอสังหาริมทรัพย์นน ้ ั ไว้
ในนามของรัฐผูส้ ง่ เพือ
่ ความมุง่ ประสงค์ของคณะผูแ ้ ทน
(ค) อากรกองมรดก การสืบมรดก หรือการรับมรดกซึ่งรัฐผูร้ บ
ั เรียกเก็บ
(ง) ค่าติดพัน และภาษี จากเงินได้สว่ นตัว ซึง่ มีแหล่งกาเนิดในรัฐผูร้ บ
ั
และภาษี เก็บจากเงินทุนซึง่ ได้ลงทุนประกอบการพาณิชย์ในรัฐผูร้ บ ั
(จ) ค่าภาระซึ่งเรียกเก็บสาหรับบริการจาเพาะทีไ่ ด้ให้
(ฉ) ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ค่าธรรมเนียมศาล หรือสานวนความ
ค่าติดพันในการจานอง และอากรแสตมป์ ในส่วนทีเ่ กีย่ วกับอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ยงั มีเอกสิทธิทางด้าน เสรีภาพในการคมนาคมสือ ่ สาร และ
เอกสิทธิความคุม ้ กันเกีย่ วกับตัวบุคคลทีจ่ ะไม่ถูกจับกุม คุมขังไม่วา่ รูปแบบใด
ให้รฐั ผูร้ บ
ั ปฏิบตั ติ อ
่ ตัวแทนทางทูตด้วยความเคารพตามสมควร
และดาเนินการทีเ่ หมาะสมทัง้ มวลทีจ่ ะป้ องกันการประทุษร้ายใดต่อตัวบุคคล เสรีภาพ
หรือเกียรติของตัวแทนทางการทูต"
เอกสิทธินี้ให้ความคุม ้ กันเกีย่ วกับตัวบุคคลโดยเด็ดขาด
และไม่จากัดขอบเขต คือหมายความ ครอบคลุมถึงการกระทาทุกประการ
ไม่จากัดเฉพาะแต่ทีป ่ ฏิบตั ห
ิ น้าทีท
่ างการของตัวแทนทางการทูตเท่านัน ้
สาหรับความคุม ้ กันเกีย่ วกับสถานทีข ่ องคณะผูแ ้ ทน
หรือความละเมิดมิได้เกีย่ วกับสถานทีท ่ าการของผูแ ้ ทนทางการทูต
เป็ นหลักกฎหมายทีย่ อมรับกันโดยทั่วไป
จากหลักดังกล่าวก่อให้เกิดภาระหน้าทีแ ่ ก่รฐั ผูร้ บ ั คือ
รัฐผูร้ บ
ั จะต้องงดเว้นการกระทาทีเ่ ป็ นสภาพบังคับ เช่น
การบุกรุกเข้าในสถานทูตเพือ ่ กระทาการบางอย่าง
และในขณะเดียวกันรัฐผูร้ บ ั ก็จะต้องให้ความคุม ้ ครองแก่สถานทีด ่ งั กล่าวด้วย
ความคุม ้ กันเกีย่ วกับสถานทีน ่ ี้
มิได้หมายความถึงสถานทีต ่ ง้ ั ของคณะผูแ ้ ทนทางการทูตแต่อย่างเดียว
แต่รวมถึงทีอ ่ ยูส
่ ว่ นตัวของผูแ ้ ทนทางการทูตด้วย
ความคุม ้ กันในสถานทีน ่ ี้ถือว่าเป็ นสิง่ จาเป็ นทีจ่ ะทาให้คณะผูแ ้ ทนสามารถปฏิบตั งิ านไ
ด้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจ้าพนักงานส่วนท้องถิน ่ ไม่สามารถทีจ่ ะเข้าไปในสถานทีท ่ าการทางการทูต
เพือ่ ปฏิบตั ก ิ ารควบคุม จับกุมบุคคลในสถานทูตเพือ ่ ตรวจค้นเอกสาร
เว้นเสียแต่ได้รบ ั ความยินยอมจากหัวหน้าคณะผูแ ้ ทน
วินิจฉัย
การทีน
่ ายเจฟฟรี เอกอัครราชทูต ชาวอังกฤษ ประจาประเทศ ฝรั่งเศส
ได้นารถยนต์สว่ นตัวของตนไปจอดอยูท ่ ี่ ถนน ชองเอลิเซ่ ซึง่ เป็ นทีห
่ า้ มจอด
และได้ถูกตารวจจราจรฝรั่งเศสจับ และถูกปรับ
นายเจฟฟรีโต้แย้งว่าตนเป็ นทูตได้รบ
ั เอกสิทธิแ์ ละความคุม้ กันทางการทูต
จะไม่ถูกจับ หรือ ปรับแต่ประการใด แต่ตารวจฝรั่งเศสก็โต้แย้งว่า นายเจฟฟรี
ไม่ได้กาลังปฏิบตั ห ิ น้าทีท ่ ูต ออกมาทาธุรกิจส่วนตัวและใช้รถยนต์สว่ นตัวด้วย
จึงไม่รบ
ั ฟังนัน ้ ไม่ชอบเพราะกฎหมายการทูตกาหนดให้เอกสิทธิความคุม ้ กันเกีย่ วกับ
ตัวบุคคลทีจ่ ะไม่ถูกจับกุม คุมขังไม่วา่ รูปแบบใด
และให้รฐั ผูร้ บ
ั ปฏิบตั ต ิ อ
่ ตัวแทนทางทูตด้วยความเคารพตามสมควร
และดาเนินการทีเ่ หมาะสมทัง้ มวลทีจ่ ะป้ องกันการประทุษร้ายใดต่อตัวบุคคล เสรีภาพ
หรือเกียรติของตัวแทนทางการทูต
เอกสิทธินี้ให้ความคุม ้ กันเกีย่ วกับตัวบุคคลโดยเด็ดขาด และไม่จากัดขอบเขต
คือหมายความ ครอบคลุมถึงการกระทาทุกประการ
ไม่จากัดเฉพาะแต่ทีป ่ ฏิบตั หิ น้าทีท
่ างการของตัวแทนทางการทูตเท่านัน
้
สรุป
รัฐบาลฝรั่งเศสจะต้องรับผิดชอบต่อทูตและรัฐบาลอังกฤษ และ
ข้อโต้แย้งของตารวจจราจรฝรั่งเศสไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเอกสิทธิและความคุม ้
กันในตัวบุคคลอันละเมิดมิได้น้นั เป็ นเอกสิทธิเด็ดขาดไม่จากัดเฉพาะแต่ทปี่ ฏิบตั ห
ิ น้า
ทีท
่ างการของตัวแทนทางการทูตเท่านัน ้ อย่างไรก็ตามตัวทูตเองจะต้องมีสานึกในกา
รปฏิบตั ห
ิ น้าทีข
่ องตนโดยเคารพต่อกฎหมายของรัฐผูร้ บ ั ด้วย
วิเคราะห์
ข้อสอบข้อนี้มีวตั ถุประสงค์ทีจ่ ะประเมินความรูข ้ องนักศึกษา เกีย่ วกับ เอกสิทธิ
และความคุม ้ กันทางการทูตว่านักศึกษามีความรู ้ และสามารถวิเคราะห์
การปรับใช้หลักกฎหมายดังกล่าวกับข้อเท็จจริงทีเ่ กิดขึน ้ ได้หรือไม่
นักศึกษาส่วนใหญ่สามารถตอบข้อสอบนี้ได้ แต่มีนกั ศึกษาบางส่วนทีต ่ อบผิดโดย
ตอบว่า
การกระทาของทูตทีผ ่ ด
ิ กฎหมายในขณะทีไ่ ม่ได้ปฏิบตั ห ิ น้าทีจ่ ะไม่ได้รบั เอกสิทธิและ
ความคุม ้ กัน
ซึง่ หลักเกณฑ์การให้ความคุม ้ กันนี้ในข้อนี้ตอ
้ งการทีจ่ ะให้ความคุม ้ กันทูตแบบเด็ดขา
ด