You are on page 1of 10

พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 1

พระพูดได้
ตอน
ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม

โยมถาม

มีขนั ติ อยู่ในบุญ ก็ยงั ท้ อแท้ เบื่อหน่าย ไม่เห็นในสัจธรรมสักที ทังๆที


้ ่มีธรรมะอยู่มากมาย ทางัยดี

พระตอบ

เจริญพร คุณโยม อาตมาเห็นว่า คุณโยม เดินทางไกล มาถึงขันนี ้ ้แล้ ว ไม่มีอะไรที่คณ


ุ โยมไม่ร้ ู ไม่
เห็น และไม่ได้ เป็ นมาก่อน เพียงแต่บางครัง้ เราก็ไม่ร้ ูจกั มัน พระพุทธเจ้ า ทรงเคยสร้ างกุศล ทาบุญ
เสริมบารมีธรรม ให้ กบั พระองค์เอง มาต่อเนื่องยาวนาน ถึง ๔ อสงไขย์ กับอีก แสนกัปป์ ถึงขนาด
กาหนดการจุติในภพภูมิใหม่เองได้ เมื่อครัง้ ที่พระบารมีเต็ม ๓๐ ทัศ ในภพสุดท้ ายของภาคการเป็ น
ฤาษี พระเวสสันดรนัน้
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 2

แต่ครัน้ เมืองมาจุติ ยังพระครรภ์มารดาผ่านไปแล้ ว กาเนิดมาเป็ นมนุษย์อย่างเราๆท่านๆ นี ้แล้ ว


พระองค์ยงั ทรงหลงไปกับของโลกนี ้ ตามครรลองของธรรมชาติ ที่มีความไม่ร้ ูจริงห่อหุ้มอยู่ เลย

แม้ นว่าความจาได้ หมายรู้ ยังมีมาให้ ทรงทราบเป็ นระยะว่า อะไรใช่ อะไรไม่ใช้ แต่ก็ก็ยงั ไม่ทรงรู้ แจ้ ง
ในลาดับที่การฝึ กจิตให้ ไม่ถึงจุดหมาย ยังไม่จบในรูปฌาน ยังไม่ครบในอรูปฌาณ จนกระทัง่
พระองค์ทรงฝึ กการละในส่วนหยาบของรูปกายและนามกายได้ หมดแล้ ว มีความจาได้ หมายรู้ว่า
ตรงนี ้ไม่ใช้ นิพพาน ละทิ ้งจากสภาวะการถือครององค์คณ ุ แห่งฌานทังที
้ ่มีรูปกาย และที่ไม่มีรูปกาย
เข้ าไปอยู่ในสมาบัติที่เอาพระนิพพานเป็ นที่หมายว่า ต้ องมีอายตนะนันอยู
้ ่ ต้ องไปอย่างนี ้ๆ ก็ยงั ทรง
หลงไปถึง ๖ ปี ที่ป่าดงคสิริ นัน้

วันนี ้ เรามีพระพุทธเจ้ าของเรา ทรงโปรดให้ เราได้ ร้ ูทาง บนพื ้นฐานของความรู้จริงนันแล้


้ ว ไม่ต้อง
ลาบากยากเข็ญไปแบบพระองค์ ในยุคที่ ทังมี ้ พระพุทธเจ้ าก็แล้ ว ไม่มีพระพุทธเจ้ าก็แล้ ว ก็ยงั ไม่ทรง
เห็นแจ้ งได้ เหมือนกับเมื่อครัง้ ที่ทรงมีพระบารมีเต็มแล้ ว เพื่อการมาอุบตั ิเป็ นพระพุทธเจ้ า ออก
โปรดสัตว์โลกให้ เวไนยสัตว์ร้ ูตาม

และวันนี ้ คุณโยม ได้ ถึงพร้ อมด้ วยพระรัตนตรัยแล้ ว ทังด้


้ วยพระพุทธรูปโดยสมมุติ ว่าเป็ นองค์ผ้ ทู รง
บอกธรรม เสมือนว่าพระพุทธเจ้ ายังมีพระชนม์อยู่ เช่น ในสมัยที่เจริญธรรมกันในยามเช้ า เมื่อเสร็จ
จากภัตรกิจ ในระหว่างพระวิหารเชตวัน เขตเมืองสาวัตถี และมีพระธรรม คือพระปริตที่เราๆท่านๆ
ก็เจริญกันทุกเช้ า ทุกเย็น หรื อมากกว่าไปตามการและกาล และมีพระสงฆ์ทงพระอริ ั้ ยสงฆ์ และ
สมมุติสงฆ์ อยู่มากมายให้ ได้ เข้ าถึง รู้เห็น และเป็ นไปตามท่านเหล่านัน้ ครัง้ นี ้ อาตมาจึงขอโอกาส
เจริญพร บอกบุญมาให้ คณ ุ โยม ได้ มีกาลังใจ และเบิกบานร่าเริงผ่องใสอยู่แต่ในธรรมนี ้ต่อไป นะ

ตามลาดับคาถามของ คุณโยม ลองพิจารณาดูตามนี ้ก่อนนะ

ครัน้ เมื่อ ต้ องท้ อแท้ อยู่ เราก็ร้ ูว่าท้ อแท้ อยู่ แล้ วหายใจเข้ ายาวววววว,
ครัน้ เมื่อ ต้ องท้ อแท้ อยู่ เราก็ร้ ูว่าท้ อแท้ อยู่ แล้ วหายใจออกยาวววววว,
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 3

ครัน้ เมื่อ ต้ องท้ อแท้ อยู่ เราก็ร้ ูว่าท้ อแท้ อยู่ แล้ วหายใจเข้ าสัน้ (เมื่อรู้ตวั อยู่ว่าเขาละเอียดดีแล้ ว),
ครัน้ เมื่อ ต้ องท้ อแท้ อยู่ เราก้ ร้ ูว่าท้ อแท้ อยู่ แล้ วหายใจออกสัน้ (เมื่อรู้ตวั อยู่ว่าเขาละเอียดดีแล้ ว),
...
...
ครัน้ เมื่อ ละความท้ อแท้ ได้ แล้ ว ก็ร้ ูว่าไม่มีความท้ อแท้ อยู่ในตนแล้ ว หายใจเข้ ายาวววว ก็ได้ ,
ครัน้ เมื่อ ละความท้ อแท้ ได้ แล้ ว ก็ร้ ูว่าไม่มีความท้ อแท้ อยู่ในตนแล้ ว หายใจออกยาวววว ก็ได้ ,
ครัน้ เมื่อ ละความท้ อแท้ ได้ แล้ ว ก็ร้ ูว่าไม่มีความท้ อแท้ อยู่ในตนแล้ ว หายใจเข้ าสัน้ (ละเอียด) ก็ได้ ,
ครัน้ เมื่อ ละความท้ อแท้ ได้ แล้ ว ก็ร้ ูว่าไม่มีความท้ อแท้ อยู่ในตนแล้ ว หายใจออกสัน้ (ละเอียด) ก็ได้ ,
...
...
เหล่านี ้ เป็ นเบื ้องต้ นของอาการที่จะทาให้ แจ้ งในธรรม และเหตุปัจจัยในการเกิด/ดับได้ ด้วยตนเอง

อาณาปาณาสติ มี ๑๖ ระดับ ให้ ร้ ู ให้ เห็น ให้ เป็ น ให้ มากยิ่งๆขึ ้นไปในเบื ้องต้ น กิจอื่นย่อมไม่ทาให้
เอิบอิ่มไปมากกว่านี ้ในเบื ้องแรก ที่ความวุ่นวายของเรามากระทบเรา หรื ออายตนะของเราไปเกียว
เอาสวะพวกนันเข้ ้ ามาเอง สมถะนี ้ย่อมนาสุขในเบื ้องต้ นมาสู่ตนเองได้ ไม่ให้ มีความท้ อแท้ เกิดขึ ้น
อีก ถ้ าเกิดก็ร้ ูได้ เร็ว รู้เร็วแล้ วก็ละได้ เร็ว ธรรมอื่นๆที่ละเอียดผ่องใสมากกว่า ก็จะผุดขึ ้นมาให้ ร้ ู ให้
เห็น ให้ เป็ น ได้ เอง โดยไม่ต้องไปค้ นหาที่ไหน หยุด ในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่ องของเราไว้ ทาแต่เฉพาะในกิจที่
กาหนดแล้ วว่าต้ องทา แล้ วทุกอย่างจะสาเร็จเอง

ใน ฆราวาสวิสยั ขันติบารมี ไม่ได้ ยากมากไปกว่า เนกขัมมะฯ คุณโยม ย่อมทราบดี,


ใน สมณะวิสยั เนกขัมมะฯ ไม่ได้ ยากไปกว่าขันติฯ คุณโยม ย่อมทราบแล้ ว,

สัจจธรรม ก็มีอยู่ในตัวตนของคุณโยมเองแล้ ว แต่เรามองไม่เห็นมันเอง พระพุทธเจ้ าจึงทรงโปรดให้


เรา มีสติกาหนดรู้ และสัมปชัญญะพิจารณาตาม อาการของ กายในกายของเราเองให้ มาก ก็รูป
กายของมนุษย์คือตัวเราเองนี ้แหละ, ให้ พจิ ารณาตามอาการของเวทนาในเวทนาให้ มาก ก็เวทนาที่
เกิดกับกายของมนุษย์คือตัวเราเองนี่แหละ, ให้ พจิ ารณาตามอาการของจิตในจิต ก็จิตที่ปรุงแต่งไป
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 4

ตามอาการของเวทนา ที่เกิดขึ ้นในกายของมนุษย์คือตัวของเราเองนี่แหละ, ให้ พจิ ารณาตามอาการ


ของธรรมในธรรม ก็ธรรมที่แปรเปลี่ยนไปตามจิตที่ปรุงแต่งไป ตามเวทนาที่เกิดขึ ้นแล้ วก็ดี กาลัง
เกิดก้ ดี จะเกิดขึ ้นในอนาคตก็ดี ที่ในกายของมนุษย์คือตัวเราเองนี่แหละ

อย่างนี่ ก็มี ก็เป็ นการเกิด/ดับ เกิดขึ ้น แล้ วดับไป คุณโยมก้ เห็นได้ มในตาราของปรมัตธรรมคัมภีร์

สัจจธรรมในเรื่ องการเกิด/ดับ ณ ที่ตรงนี ้ ที่ว่าธรรมในที่สดุ ทางของ มหาสติปัฏฐาน ๔ นัน้ ที่ว่า


มองเห็นแล้ วนัน้ เราเห็นเราเป็ นได้ ถึงที่สดุ ทางแล้ วหรื อไม่ แล้ วที่สดุ ของจุดหมายปลายทาง คือพระ
นพพานนันอยู ้ ่ที่ไหน และหากแต่ว่า การหลับตาให้ นิ่งสงบแต่เพียงอย่างเดียวนัน้ จะพาเราไปถึง
พระนิพพานได้ หรื อไม่ ก็ให้ นกึ ถึงช้ างป่ าที่ไม่ได้ รับการฝึ กเลยก็ดี ช้ างบ้ านที่ได้ รับการฝึ กแล้ วก็ดี เมื่อ
มันต้ องเดินไปโดยไม่มีควานช้ างคอยบังคับเอา คอยเอาของ้ าวจ้ องสับอยู่นนั ้ มันจะเดินไปถึง
เป้าหมายที่เราต้ องการได้ หรื อไม่อย่างไร และมีระดับของสัมพันธภาพการดาเนินเดินไปได้ อย่างไร
ให้ ถึงที่สดุ

ที่สดุ แห่งธรรมในการตังต้
้ นเจริญมาตลอดเส้ นสายปลายทางของมหาสติปัฏฐาน ๔ ที่มีลมหายใจ
เข้ าออก เป็ นตัวนาทางนัน้ จึงสามารถก่อให้ เกิดพลังในสัทธาเบื ้องต้ น ไปจนถึงในการรับรู้ เห็น
เป็ นไป ถึงในอาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ า และปั ญญาในการรับรู้ , ศึกษาค้ นคว้ า, ปฏิบตั ิธรรม
ต่อไป ให้ อยู่ในกรอบของปริยตั ิธรรม, ให้ มีปฏิเวทธรรมเป็ นขอบฝั่ งคันคลองให้ เราได้ มองเพื่อการไม่
หลงออกไปนอกเส้ นทาง, เหล่านี ้ก็มีอยู่ในตัวของคุณโยมเองครบถ้ วนแล้ ว แต่เรามองไม่เห็นให้ ครบ
เป็ นวงรอบของสัมพันธภาพของพระนิพพาน เราจึงหลงกันอยู่อย่างนี ้ เรื่ อยๆไป

เมื่อครัง้ สิ ้นยุคที่ นาลันทา ถูกเผาทาลายไป ผู้คนต่างหวาดกลัวที่จะปฏิบตั ิตามพระพุทธสัจธรรม


เหล่านี่ ก็เพราะการมองไม่เห็นในสัมพันธภาพเหล่านี ้ มากไปกว่าการรู้ การเห็น และเป็ นแต่ความ
หวาดกลัว กับคมหอกคมดาบที่ฆ่าคนได้ ครูบาอาจารย์ในศรี ลงั กา และพม่า จึงสอนให้ ดแู ต่ลม
หายใจของตนเอง ดูท้องที่ยบุ เข้ า และพองออก ดูให้ เห็นถึงลมหายใจแรกของทารก และลม
หายใจสุดท้ ายของคนตาย ที่ทกุ คนมีเหมือนกัน สตรี จงึ ถูกสอนง่ายกว่าบุรุษ และบุรุษผู้เห็น
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 5

ธรรมได้ ยาก จึงสัทธาออกบวชได้ มากเมื่อได้ ร้ ู เห็น และเป็ นไปได้ ในสัจจะธรรม ที่พบเจอได้ อยากยิ่ง
อย่างนัน้

เหล่านัน้ ล้ วนเป็ นการกาหนดให้ จิตมีงานทาเป็ นเบื ้องต้ น ในที่ตงที


ั ้ ่ถกู ต้ อง (กัมมัฏฐาน, ที่ตงของ
ั้
งาน, งานของการฝึ กจิต, จิตที่ฝึกอบรมดีแล้ วเท่านันจึ
้ งจะไปนิพพานได้ ),

จากนันก็
้ จะมีการให้ ศกึ ษาค้ นคว้ า หรื อทบทวนไปในปรมัตถธรรมให้ มาก คือธรรมที่บอกเหตุปัจจัย
ในการเกิด การดับ ที่พระพุทธเจ้ าทรงใช้ ในการโปรดโยมมารดา ในภพภูมิที่เขาไม่มีรูปกายให้
มองเห็นกันได้ แบบเรา คือการสอน และให้ ทาในสิ่งที่มองไม่เห็น (ญาณะกรณี) เป็ นกิจที่ไม่ได้ ลืมตา
ทา (จักขุกรณี) เหมือนอย่างที่เราสามารถทาได้ ง่ายกว่า ตามระดับของปั ญญาที่ปรับปรุงได้

สืบต่อเนื่องมาจนถึงสมัยของหลวงปู่ มัน่ ผู้คนต้ องดินรนทามาหากินกันมากขึ ้น หลวงปู่ จึงมีอบุ าย


ในการให้ ช่วยกันหาดวงพุทโธในท้ องให้ ได้ ก่อน ที่จะออกไปทามาหากินอย่างอื่น เป็ นการตังกิ ้ จให้
จิตมีงานทาเป็ นเบื ้องต้ น ใครได้ เห็นดวงพุทโธเหมือนหลวงปู่ ว่าไว้ แล้ ว จิตของท่านผู้นนก็
ั ้ จกั มัน่ คง
(ในพระรัตนตรัย) แต่อ่อนโยนควรแก่งานวิปัสสนาได้ แล้ ว ท่านก็จะบอกธรรมในชันที ้ ่สงู ขึ ้นไปเรื่ อยๆ
เป็ นลาดับๆไป ไม่เร่งรี บ

ครัง้ เมือถึงสมัยของหลวงปู่ สด ผู้คนลาบากมากขึ ้นในการครองเรื อน ครองชีพ และสภาวะการบีบ


คันของสงคราม
้ การแย่งชิงดินแดน และแย่งการถือครองภพชาติต่อกันและกัน หลวงปู่ สด จึง
กาหนดให้ มีสติ กาหนดรู้ ลมหายใจของตนเองแล้ ว พิจารณาไปตามช่องทางของลมหายใจ จนเห็น
ความเป็ นไปในรูปกาย และนามกายของตน ที่เป็ นที่ตงของกั ั้ มมัฏฐาน คืองานของการฝึ กจิตใน
เบื ้องต้ นแล้ ว จนเห็นดวงธรรมคือความธรรมในตน ดวงศีลคือความมีศีล ในกายในใจของตนเอง
แล้ ว หลวงปู่ สด จึงจะสอนธรรม ในชันที
้ ่ละเอียดยิ่งๆขึ ้นไปเรื่ อยๆ ไม่เร่งรี บ

สัจธรรม ทังหลาย
้ ทังที
้ ่พระพุทธเจ้ าทรงค้ นพบเอง โดยไม่มีใครสอน ได้ มาจากการมองไม่เห็น
การไม่ร้ ู การรู้ผิด การหลงผิด ไปถึง ๖ ปี ที่ป่าดงคสิริ นัน้ บัดนี ้ พระพุทธเจ้ า ทรงไม่ต้องการให้
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 6

เราลาบากในการคลาหาทางเอง เหมือนในยุคก่อนหน้ านัน้ พระพุทธองค์ จึงทรงสัง่ สอนและฝึ ก


สัตว์โลกไว้ ดีแล้ ว และทรงเมตตาบอกวิธีการสืบต่อพระพุทธศาสนา สืบเนื่องมาจนถึงตัวเรา

เราทังหลายพึ
้ งเจริญในสติ คือการกาหนดรู้ และมีสมั ปชัญญะ คือการพิจารณาตาม ว่าตังแต่ ้
อนันตจักรวาล มาจนถึงโลก และสัตว์โลกทัง้ ๓๑ ภพนี ้ และสรรพสิ่งทังหลาย ้ รวมทังตั
้ วเราเองนี ้
มันไม่เที่ยง มีเกิด/ดับ ไปเป็ นธรรมดา เป็ นทุกข์ แล้ วในที่สดุ มันก็ไม่มีอะไร มันก็จะไปเกิด/ดับใหม่
ตามวงรอบของมัน ตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันไปด้ วยความไม่ร้ ูจรองอีกนันแหละ ้

มนุษย์ผ้ เู ป็ นเวนไยสัตว์ คือสัตว์ที่คยุ กันรู้เรื่ อง จึงชวนกันเชื่อตามกันไปในอาการตรัสรู้ของ


พระพุทธเจ้ า พิจารณากายในกายของตน เริ่มจากลมหายใจเข้ าออก ไปถึงเวทนาในเวทนา ที่
เกิดขึ ้นในกายของตน ไปถึงจิตในจิต ที่ปรุงแต่งไปตามเวทนาที่เกิดในกายตนนัน้ ไปจนถึงธรรมใน
ธรรม ที่เกิดขึ ้นในจิตที่แปรผันไปตามเวทนาที่เกิดขึ ้นในกายของตนนัน้

มนุษย์ทงหลายผู
ั้ ้ เป็ นเวไนยสัตว์คยุ กันรู้เรื่ องดีกว่าสัตว์อื่น ด้ วยมีลมหายใจ พร้ อมกับสติคือการ
กาหนดรู้ พร้ อมกับสัมปชัญญะคือการพิจารณาตาม พึงเจริญในธรรมนี ้ให้ ยิ่งๆขึ ้นไป

คือการมีสทั ธาใน ๔ ระดับ มีการเห็นความเป็ นไปในกฏของกรรม ที่มีอยู่ค่โู ลกและอนันตจักวาล


ทังหลายนี
้ ้ มีความเห็นไปใปในผลของกรรม ที่เราเห็นเกิดขึ ้นกับสรรพสิ่งทังหลายในอนั
้ ตจักรวาลนี ้
มีความเห็นเป็ นไปในกรรมที่เป็ นของตนเอง ที่นาตัวเรามาเกิดเป็ นสัตว์มนุษย์ในโลกใบนี ้ และที่สดุ
ของสัทธาในการมีความเห็นเป็ นไปในอาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ า ตังแต่ ้ ในอาการที่ ๑ ด้ วยวิชชา
ที่ ๑ คือการมองเห็นอดีตความเป็ นมาของสัตว์โลกทังหลาย
้ รวมทังของพระองค์
้ เอง ในอาการที่ ๒
คือวิชชาที่ ๒ คือการมองเห็นความเป็ นไปในอนาคตของสัตว์โลกทังหลาย ้ ในอาการที่ ๓ คือวิชชาที่
๓ คือการมองเห็นสัมพันธภาพของการเกิด/ดับ มีมาเป็ นไป จากอดีต ถึงปั จจุบนั และในอนาคต
รวมไปถึงวงจร และสาเหตุของอาการความเป็ นไปต่างๆเหล่านัน้
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 7

อย่างนี ้ ให้ เป็ นปกติอยู่ในใจของเราด้ วย, ให้ ร้ ูในสรรพสิ่งทังหลายรวมทั


้ งตั
้ วเราเอง ที่มีอดีต มี
อนาคต และมีวงจรสัมพันธภาพของการเกิด/ดับ ว่าเป็ นวัฏฏสังสาระ ว่ามีทกุ ข์ ๒ ตัวอยู่ในตัวเรา
คือ ทุกข์ในการติดอยู่ในกามสุข และทุกข์ที่ติดอยู่ในอัตตาตัวตน ให้ ค้นหาว่ามันอยู่ไหน ให้ กาหนด
แผนการขึ ้นมาว่าจะแก้ ไขคือละวางมันออกไปจากตัวเราอย่างไร และปฏิบตั ิตามแผนการนันไปเป็ ้ น
ขันๆ
้ ๘ ขันตอน
้ ก็จะหลุดพ้ นจากบ่วงกรรมนันได้
้ ทุกคน

ใครทาใครได้ เหมือนกันทังนั
้ น้ บริษัทการค้ าในปั จจุบนั เอาอาการอย่างนี ้ ไปเขียนเป็ นคู่มือการ
ทางานกันมากมาย แต่พวกเขาจะเจริญในทางโลก จึงต้ องไปทาที่บ้าน ที่ทางาน ที่ๆจะไปเกิดมา
เกิดได้ ไม่มีที่สิ ้นสุด

แต่พระพุทธองค์ทรงให้ หยุด นัง่ ทา ยืนทา เดินทา นอนทา อยู่ ณ ที่นนๆ


ั ้ จนกว่าจะแจ้ ง จนกว่าสว่าง
ผ่องใสอยู่ ณ ภายในกายในใจของตน ตรงนัน้ ไม่ได้ หอบไปทาเป็ นการบ้ าน ไม่ได้ ไปทาที่บ้านหรื อที่
อื่นๆ ทาตรงนัน้ สาเร็จตรงนันทุ
้ กคน ที่ผ่านพ้ นความเพียรในที่สดุ ของสุดในความเพียรของตน ไปได้
ตามระดับภูมิธรรม และกุศล บุญ บารมีธรรม ที่สงั่ สมมาแล้ วด้ วยดี

รู้อย่างนี ้ เห็นอย่างนี ้ เป็ นอย่างนี ้แล้ ว จึงมีปัญญาใฝ่ หาการรับรู้ต่อไปเป็ นปั ญญาขันที้ ่ ๑ ค้ นคว้ า
และศึกษาให้ แตกฉาน เป็ นปั ญญาในขันที ้ ่ ๒ ปฏิบตั ิตามแนวทางที่ได้ ศกึ ษาไว้ แล้ ว ให้ เกิดผลดีกบั
ตนแล้ ว เป็ นปั ญญาในชันที ้ ่๓

ระหว่างนี ้ กุศล ๑๐ ประการ ก็ จะถูกสร้ างขึ ้นมาเป็ นลาดับ ตามความแจ้ งในสัทธาทัง้ ๔ เรื่ อง และ
ปั ญญาทัง ๓ ลาดับนัน้

บุญกิริยา ทัง ๑๐ ประการก็จกั ถูกหมัน่ เพียรทาขึ ้นทุกวันเวลานาที


พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 8

บารมีทงั ้ ๑๐ ประการ ในอีก ๓ ลาดับ เป็ นที่เรี ยกว่า ๓๐ ทัศ ก็จะถูกเสริมสร้ างขึ ้นมาเป็ นลาดับไป
เหมือนการก่ออิฐ ถือปูน เชื่อมเหล็ก สร้ างอาคารสูงขึ ้นไป ให้ เป็ นสง่า ผ่องใจ เบิกบาน ร่าเริง อยู่แต่
ในใจ ใจของแต่ละคน (ที่สงั เกตุได้ ด้วยผู้ร้ ูท่านอื่นด้ วย)

อธิ คือ ความยิ่งในการสารวมระวังในศีลก็จะมีมากขึ ้น ละเอียดรอบคอบมากขึ ้น ผิดพลาดน้ อยลง

อธิจิต คือ การฝึ กอบรมจิตใจให้ มนั่ คง ก็จะมีความละเอียดมากขึ ้น มีความแจ้ ง แจ่มชัด ในสมถะ


ทัง้ ๔๐ วิธี เป็ นวสีที่คล่องแคล่ว ฝึ กการละวางส่วนหยาบของจิตใจ จากได้ ที่เรื่ องหนึง่ แล้ วละไปหา
อีกเรื่ องหนึง่ จนคล่องแคล่วกับการ ไม่ให้ มีห่วงหยาบๆอย่างใดๆ อยู่ภายในตน โดยมีองค์คณ ุ แห่ง
ฌาณทัง้ ๘ ระดับ เป็ นเสมือนเครื่ องวัดความสาเร็จในตน

อธิปัญญา คือความละเอียดผ่องในในธรรม ก็จกั เกิดขึ ้นให้ เห็นได้ เอง ด้ วยการฝึ กละวางในส่วน


ละเอียดยิ่งๆขึ ้นไปของจิตใจ มีวิปัสสนาภูมิทงั ้ ๖ เป็ นตัวเลือกใช้ ในการให้ จิตได้ รับรู้ มองเห็น และ
เป็ นไปตามสภาวะความเป็ นจริงในสังขารที่ประกอบกันให้ เรามองเห็น และสภาวะวิสงั ขารการปรุง
แต่งกันขึ ้นมาด้ วยธาตุขนั ธ์ที่มองไม่เห็นด้ วยตามนุษย์ มีวิชชา ๓ วิชชา ๘ และอภิญญา ๖ เป็ นองค์
คุณวิเศษ ให้ ตนได้ สมั ผัสรับรู้ เป็ นพยานในพระสัจธรรมชันที ้ ่สงู ขึ ้น ละเอียดมากยิ่งขึ ้น มีวิปัสสนา
ญาณทัง้ ๙ เป็ นเสมือนเครื่ องวัดในการที่จกั ไม่เกี่ยวข้ องอยู่กบั โลกนี ้อีก

ความถึงพร้ อมด้ วย วิมตุ ิทงั ้ ๒ อาการ ก็จกั เกิดขึ ้นกับตน ด้ วยอาการอย่างใดอย่างหนึง่ เป็ นปกติ ทัง้
ทางใจ และทางปั ญญา มีวิมตุ ิ ๕ อาการ มีวิโมกข์ ๘ ลักษณะ เป็ นเสมือนเครื่ องวัดระดับ
ความสาเร็จในตน

ญาณทัสสนะในวิมตุ ิของตน ก็จกั แจ่มใสขึ ้นมาให้ พจิ ารณาได้ ในส่วนละเอียดของจิตทึฝ่ ึ กอบรมดี


แล้ วนันต่
้ อไป, ตามแนวทางที่ตนประสงค์ว่า จะทาอย่างไรกับอาการในวิมตุ ิของตน, จะสอนคน
หรื อ ไม่สอนใคร
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 9

เหมือนเมื่อครัง้ พระพุทธเจ้ าได้ ทรงตรัสรู้แล้ ว ณ พุทธคยานัน้

วิมตุ ติทงั ้ ๗ จึงเป็ นไปเพื่อการตังญาณทั


้ สสนะ ให้ เกิดประโยชน์ต่อสัตว์โลกที่มีบารมีธรรมมามาก
พอที่จะไปนิพพานกับคาสัง่ สอนของพระพุทธองค์ได้ แล้ ว ทังวิ้ มตุ ติญาณทัสสนะ ที่จะต้ องมีต่อสัตว์
โลกที่ครองขันธ์ ๕ และวิมตุ ติญาณทัสสนะที่จะเป็ นประโยชน์กบั สัตว์โลกที่ไม่ได้ ถือครองขันธ์ ๕
เช่น โยมมารดา เป็ นต้ น

สังโยชน์ ทัง้ ๑๐ ประการ จึงเป็ น เสมือนเครื่ องวัด ในชันของความละเอี


้ ยดในวิมตุ ติญาณทัสสนะ นี ้

อายตนะนิพพพานจึงอยู่ตรงนัน้ ให้ ร้ ูแล้ ว เห็นแล้ ว และเป็ นแล้ ว ด้ วยรูปกายนัน้ ทาให้ แจ้ งได้ แล้ ว
ว่า พ้ นจากรูปกายนี ้แล้ ว พ้ นจากนามกายทังปวงนี
้ ้แล้ ว ก็จกั มีแต่ธรรมกาย ที่จะเจริญอยู่ด้วยความ
ผ่องใสสว่างอยู่แต่ในที่ที่ไม่มีดวงดาวทุกชนิด แต่มีความสว่างเหมือนกลางวันตลอดเวลา และ
เข้ าถึงไม่ได้ ด้วยยาน ฌาณ และญาณส่วนหยาบใดๆในใจ ทังสิ ้ ้น

มีแต่บคุ คลผู้ฝึกจิตของตนได้ ดีแล้ วเท่านัน้ จึงจะได้ เข้ าถึง รู้ เห็น และเป็ นพระนิพพานธาตุ ตามที่
พระพุทธเจ้ าทุกพระองค์ทรงปฏิบตั ิมาได้ ด้วยดีแล้ วอย่างนี ้ เราจึงแจ้ งอย่างนี ้ ด้ วยการมีอาการอย่าง
นี ้ และเห็นไปในทัง้ ๓ นัย ๓ วิธีการของการเข้ าถึงอายตนะนี ้แล้ ว ด้ วยดี

อนึง่ เมื่อพระพุทธเจ้ า ไม่ได้ ทรงอยู่กบั เราในรูปกายนี ้ ไม่มีกายเนื ้อให้ เราเห็น แต่มีพระพุทธรูปโดย


สมมุติ ว่ามีว่าเป็ น มีพระธรรมของพระพุทธองค์มากมาย ให้ เราค้ นคว้ าศึกษาและปฏิบตั ิตาม ให้ ได้
ตามระดับปั ญญา ๓ ขันนั ้ น้ และทบทวน ด้ วยอาการอย่างนี ้อย่างนี ้ว่า

อายตนะนิพพานนัน้ มีอยู่อย่างนันเป็ ้ นธรรมดา พึงศึกษาสอบทาน ให้ เข้ าใจตามได้ ในสภาวะวิ


สังขารธรรม คือสภาวะของการไปถึง รู้เห็น และเป็ นไป ในสภาวะที่ไม่ได้ ครองสังขาร ได้ จาก
ความหมายของ อนัตลักขณสูตร ก็จกั เข้ าใจทังในอาการตรั
้ สรู้ของพระพุทธเจ้ า และลาดับอาการ
การตรัสรู้ของปั ญจวัคคย์ทงั ้ ๕ ด้ วย
พระพูดได้ ตอน ขันติ ท้ อแท้ ความเบื่อ กับการไม่ เห็นสัจธรรม| 10

และหากว่า ยังไม่เข้ าใจในความหมายนี ้ หรื อยังไม่แจ้ งชัดในการเตรี ยมการสัง่ สอนอบรมแนะนา


ผู้อื่นต่อแล้ ว พึงพิจารณาไปในความหมายของ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ให้ มาก ให้ ละเอียดยิ่งขึ ้นก่อน
ก็จกั รู้เห็นเป็ นไปใน ความเข้ าใจในอาการของ การเห็นสัจธรรมได้ ด้วยตนเอง และจักเข้ าใจใน
อาการถึงธรรมก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ า และปั ญจวัคคีย์ทงั ้ ๕ ด้ วย

ตลอดจนการมองเห็น สัตว์โลกในภพภูมิที่มีรูปกายและนามกายที่ละเอียดมากกว่าเรา เรามองไม่


เห็น แต่พวกเขามองเห็นเราตลอดเวลานัน้ ด้ วยอาการของรูปขันธ์ รูปกาย หรื อนามขันธ์ นามกาย
หรื อธรรมขันธ์ ธรรมกาย ได้ โดยไม่ต้องถกเถียงกัน

แต่หากว่า ความแจ้ งชัดเหล่านี ้ ยังไม่มีในตน หรื อยังไม่พอกับการอธิบายความสัมพันธ์ ในส่วน


ละเอียดเพื่อการให้ ผ้ อู ื่นเข้ าใจตาม พึงตังตนให้
้ เจริ ญให้ มาก ในโพธิปักขิยธรรมทัง้ ๓๗ ประการ

ทังนี
้ ้ ขอให้ มีพร้ อมใน จรณะ ทัง้ ๑๕ ประการ เพื่อกันไว้ ให้ เป็ นกรอบในการศึกษาค้ นคว้ า ในส่วน
ละเอียด ให้ เกิดผลดีกบั ตนเองด้ วย และผู้อื่นด้ วยต่อไป ขออานวยพร

นิพพานะ ปั จจะโย โหตุ


เจริญพร.

พระชัยอนันต์ ชยาภิรโต
วัดศรี ศากยะสิงหะวิหาร
กัฏมัณฑุ, เนปาล: (+977).98.0755.3326
๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
Email: Chaianunt@gmail.com
FB: http://www.facebook.com/Jayabhirato
Group at: >>>DhammasalaNET<<
>>>DhammasalaTHAI<<<
Ebook:
http://www.scribd.com/Jayabhirato
Photo:
http://picasaweb.google.co.in/chaianunt
http://picasaweb.google.co.in/india2553

You might also like