Professional Documents
Culture Documents
UTQ-204 2553/1
สาระการเรี ยนรู้ คณิตศาสตร์ : คณิตศาสตร์ สำหรั บชัน้ มัธยมศึกษา 2553/1
…………………..
สังเขปหลักสูตร :
คำอธิบายรายวิชา
ความรู้ ความสามารถด้ านหลักสูตร การจัดทำหน่วยการเรี ยนรู้และแผนการจัดการเรี ยนรู้ การจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้ นผู้
เรี ยนเป็ นสำคัญ สื่อและแหล่งเรี ยนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรี ยนรู้สาระการเรี ยนรู้คณิตศาสตร์ ระดับ
มัธยมศึกษา
วัตถุประสงค์
1.เพื่อให้ ผ้ เู ข้ ารับการฝึ กอบรมมีความรู้ ความเข้ าใจในเรื่ องหลักสูตร การจัดทำหน่วยการเรี ยนรู้และแผนการจัดการ
เรี ยนรู้ สาระการเรี ยนรู้คณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษา
2.การจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้ นผู้เรี ยนเป็ นสำคัญ สาระการเรี ยนรู้คณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษา
สื่อและแหล่งเรี ยนรู้ สาระการเรี ยนรู้คณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษา
4. การวัดและประเมินผลการเรี ยนรู้ สาระการเรี ยนรู้คณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษา
3. เกณฑ์ การประเมินผล
ผู้เข้ าอบรมจะมีผลการผ่านการอบรมเมื่อ
ผลการทดสอบหลังการฝึ กอบรมไม่ต่ำกว่าร้ อยละ 70
จำนวนกิจกรรมที่เข้ าร่วมในกระดานสนทนา (Web board)
ไม่น้อยกว่า 4 กิจกรรม
ทำไมต้ องเรียนคณิตศาสตร์
เป้าหมายของการเรียนคณิตศาสตร์
อาจกล่าวได้ วา่ หน้ าที่ครูคณิตศาสตร์ ในปั จจุบนั นี ้ นอกจากจะเป็ นผู้สง่ เสริ มการเรี ยนรู้ ของนักเรี ยนในด้ านเนื ้อหา
สาระ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ตลอดจนการปลูกฝั ง คุณธรรม จริ ยธรรมและค่านิยมที่ถกู ต้ องดีงามแล้ ว ครูจะ
ต้ องสร้ างความตระหนักและทำให้ นักเรี ยนมองเห็นว่าคณิตศาสตร์ มีคณ ุ ค่า มีอยู่รอบตัว อยู่ในชีวิตประจำวันและสามารถใช้
2
ความรู้ ทางคณิตศาสตร์ เป็ นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตได้ ครูจะต้ องเปิ ดโอกาสให้ นกั เรี ยนได้ มีการถก อภิปรายเกี่ยวกับการ
ประยุกต์ใช้ คณิตศาสตร์ ซึง่ ไม่เพียงแต่ผา่ นการสนทนา การอภิปรายเท่านัน้ แต่นกั เรี ยนควรจะมี ความเข้ าใจและซาบซึ ้งในการ
ใช้ คณิตศาสตร์ ด้วย
นักเรียนต้ องเรียนรู้อะไรในคณิตศาสตร์
กลุม่ สาระการเรี ยนรู้คณิตศาสตร์ ม่งุ ให้ เยาวชนทุกคนได้ เรี ยนรู้ คณิตศาสตร์ อย่างต่อเนื่อง ตามศักยภาพ โดยกำหนด
สาระหลักที่จำเป็ นสำหรับผู้เรี ยนทุกคนดังนี ้
•จำนวนและการดำเนินการ ความคิดรวบยอดและความรู้สกึ เชิงจำนวน ระบบจำนวน จริ ง สมบัติเกี่ยวกับ
จำนวนจริ ง การดำเนินการของจำนวน อัตราส่วน ร้ อยละ การแก้ ปัญหาเกี่ยวกับ จำนวน และการใช้ จำนวนในชีวิตจริ ง
•การวัด ความยาว ระยะทาง น้ำหนัก พื ้นที่ ปริ มาตรและความจุ เงินและเวลา หน่วยวัด ระบบต่าง ๆ การคาดคะเน
เกี่ยวกับการวัด อัตราส่วนตรี โกณมิติ การแก้ ปัญหาเกี่ยวกับการวัด และ การนำความรู้เกี่ยวกับการวัดไปใช้ ในสถานการณ์ตา่ ง
ๆ
•เรขาคณิต รูปเรขาคณิตและสมบัติของรูปเรขาคณิตหนึง่ มิติ สองมิติ และสามมิติ การนึก ภาพ แบบจำลองทาง
เรขาคณิต ทฤษฎีบททางเรขาคณิต การแปลงทางเรขาคณิต (geometric transformation)ในเรื่ องการเลื่อนขนาน
(translation) การสะท้ อน (reflection) และการหมุน (rotation)
•พีชคณิต แบบรูป (pattern) ความสัมพันธ์ ฟั งก์ชนั เซตและการดำเนินการของเซต การ ให้ เหตุผล นิพจน์ สมการ
ระบบสมการ อสมการ กราฟ ลำดับเลขคณิต ลำดับเรขาคณิต อนุกรมเลข คณิต และอนุกรมเรขาคณิต
•การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็ น การกำหนดประเด็น การเขียนข้ อคำถาม การ กำหนดวิธีการศึกษา การเก็บ
รวบรวมข้ อมูล การจัดระบบข้ อมูล การนำเสนอข้ อมูล ค่ากลางและ การกระจายของข้ อมูล การวิเคราะห์และการแปลความ
ข้ อมูล การสำรวจความคิดเห็น ความน่าจะ เป็ น การใช้ ความรู้เกี่ยวกับสถิติและความน่าจะเป็ นในการอธิบา ยเหตุการณ์ตา่ งๆ
และช่วยในการ ตัดสินใจในการดำเนินชีวิตประจำวัน
•ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ การแก้ ปัญหาด้ วยวิธีการที่หลากหลาย การให้ เหตุผล การสื่อสาร การสื่อ
ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ตา่ งๆ ทางคณิตศาสตร์ และการเชื่อมโยงคณิตศาสตร์ กบั
ศาสตร์ อื่นๆ และความคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ
มาตรฐาน ค 1.1 เข้ าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใช้ จำนนในชีวิตจริ ง
มาตรฐาน ค 1.2 เข้ าใจถึงผลที่เกิดขึ ้นจากการดำเนินการต่าง ๆ และสามารถใช้ การดำเนินการ ในการแก้ ปัญหา
มาตรฐาน ค 1.3 ใช้ การประมาณค่าในการคำนวณและแก้ ปัญหา
มาตรฐาน ค 1.4 เข้ าใจระบบจำนวนและนำสมบัติเกี่ยวกับจำนวนไปใช้ ได้
สาระที่ 2 การวัด
มาตรฐาน ค 2.1 เข้ าใจพื ้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด
มาตรฐาน ค 2.2 แก้ ปัญหาเกี่ยวกับการวัด
สาระที่ 3 เรขาคณิต
มาตรฐาน ค 3.1 อธิบายและวิเคราะห์รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ
มาตรฐาน ค 3.2 ใช้ การนึกภาพ (visualization) ใช้ เหตุผลเกี่ยวกับปริ ภมู ิ (spatial reasoning) และใช้ แบบจำลอง
ทางเรขาคณิต (geometric model) ในกาแก้ ปัญหา
สาระที่ 4 พีชคณิต
มาตรฐาน ค 4.1 เข้ าใจและวิเคราะห์แบบรู ป (pattern) ความสัมพันธ์และฟั งก์ชนั
มาตรฐาน ค 4.2 ใช้ นิพจน์ สมการ อสมการ กราฟ และตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ (mathematical model) อื่น ๆ
แทนสถานการณ์ตา่ ง ๆ ตลอดจนแปลความหมายและนำไปใช้ แก้ ปัญหา
สาระที่ 5 การวิเคราะห์ ข้อมูลและความน่ าจะเป็ น
มาตรฐาน ค 5.1 เข้ าใจและใช้ วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
มาตรฐาน ค 5.2 ใช้ วิธีการทางสถิติและความรู้เกี่ยวกับความน่าจะเป็ นในการคาดการณ์ได้ อย่าง สมเหตุสมผล
3
"อภิธานศัพท์ "
การดำเนินการ (operation)
การดำเนินการในที่นี ้จะหมายถึงการดำเนินการของจำนวนและ การดำเนินการของเซต ซึง่ ดำเนินการของจำนวน
ในที่นี ้ ได้ แก่ การบวก การลบ การคูณ การหาร การยกกำลัง และการถอดรากของจำนวนที่กำหนด การดำเนินการของเซตในที่
นี ้ ได้ แก่ ยูเนียน อินเตอร์ เซกชัน่ และคอมพลีเมนต์ของเซตการตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบ (awareness of
reasonableness of answer) การตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบ เป็ นการสำนึก เฉลียวใจ หรื อฉุกคิดว่าคำจอบที่
ได้ มานันน่้ าจะถูกต้ องหรื อไม่ เป็ นคำตอบที่เป็ นไปได้ หรื อเป็ นไปไม่ได้ หรื อเป็ นคำตอบที่ควรตอบหรื อไม่ เช่น นักเรี ยนคนหนึง่
6
เมื่อต้ องการหาปริ มาตรและพื ้นที่ผิวของปริ ซมึ ในรูป ก ถ้ าสามารถใช้ การนึกภาพได้ วา่ ปริ ซมึ ดังกล่าวประกอบด้ วยปริ ซมึ 2 แท่ง
ดังรูป ข หรื อรูป ค ก็อาจทำให้ หาปริ มาตรและพื ้นที่ผวิ ของปริ ซมึ ในรูป ก ได้ ง่ายขึ ้น
การประมาณ (approximation)
การประมาณเป็ นการหาค่าซึง่ ไม่ใช่คา่ ที่แท้ จริ ง แต่เป็ นการหาค่าที่มีความละเอียดเพียงพอที่จะนำไปใช้ เช่น
ประมาณ 25.20 เป็ น 25 หรื อประมาณ 178 เป็ น 180 หรื อประมาณ 18.45 เป็ น 20 เพื่อสะดวกในการคำนวณ ค่าที่ได้ จากการ
ประมาณ เรี ยกว่า ค่าประมาณ
การประมาณ (estimation)
การประมาณค่าเป็ นการคำนวณหาผลลัพธ์โดยประมาณ ด้ วยการประมาณแต่ละจำนวนที่จะนำมาคำนวณอาจใช้
หลักการปั ดเศษหรื อไม่ใช้ ก็ได้ ขึ ้นอยู่กบั ความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์
การแปลงทางเรขาคณิต (geometric transformation)
การแปลงทางเลขาคณิคในที่นี ้เน้ นเฉพาะการเปลี่ยนตำแหน่ง ของรูปเรขาคณิตที่ลกั ษณะและขนาดของรูปยังคง
เดิม ซึง่ เป็ นผลจากการเลื่อนขนาน (translation) การสะท้ อน (reflection) หรื อการหมุน (rotation) โดยไม่กล่าวถึงสมการหรื อ
สูตรที่แสดงใความสัมพันธ์ในการแปลงนันการแปลงทางเรขาคณิ
้ ต (geometric transformation)
การแปลงทางเรขาคณิตในที่นี ้เน้ นเฉพาะการเปลี่ยนตำแหน่ง ของรูปเรขาคณริ ตที่ลกั ษณะและขนาดของรูปยังคงเดิม ซึง่ เป็ น
ผลจากการเลื่อนขนาด (translation) การสะท้ อน (reflection) หรื อการหมุน (rotation) โดยไม่กล่าวถึงสมการหรื อสูตรที่แสดง
ความสัมพันธ์ในการแปลงนันการสื ้ บเสาะ สังเกต และคาดการณ์เกี่ยวกับสมบัติ ทางเรขาคณิต การสืบเสาะ สังเกต และการ
คาดการณ์เป็ นกระบวนการเรี ยนรู้ ที่สง่ เสริ มให้ ผ้ เู รี ยนสร้ างองค์ความ รู้ขึ ้นมาด้ วยตนเอง ในที่นี ้ใช้ สมบัติทางเรขาคณิตเป็ นสื่อ
ในการเรี ยนรู้ ผู้สอนควรกำหนดกิจกรรมทิศทางเรขาคณิตที่ผ้ เู รี ยนสามารถใช้ ความรู้พื ้นฐาน เดิมที่เคยเรี ยนมาเป็ นฐานในการ
ต่อยอดความรู้ ด้ วยการสำรวจ สังเกต หาแบบรูป และสร้ างข้ อความคาดการณ์ ที่อาจเป็ นไปได้ อย่างไรก็ตามผู้สอนต้ องให้ ผ้ ู
เรี ยนตรวจสอบว่าข้ อความคาดการณ์นนถู ั ้ กต้ อง หรื อไม่ โดยอาจค้ นคว้ าหาความรู้เพิ่มเติมว่าข้ อความคาดการณ์นนสอดคล้
ั้ อง
กับสมบัตทาง เรขาคณิตหรื อทฤษฎีบททางเรขาคณิตใดหรื อไม่ ในการประเมินผลสามารถพิจารณาได้ จากการทำกิจกรรมของ
ผู้เรี ย
ความรู้สึกเชิงจำนวน (number sense)
ความรู้สกึ เชิงจำนวนเป็ นสามัญสำนึกและความเข้ าใจเกี่ยวกับจำนวนที่อาจพิจารณาในด้ านต่างๆ เช่น
-เข้ าใจความหมายของจำนวนที่ใช้ บอกปริ มาณ (เช่น ดินสอ 5 แท่ง) และใช้ บอกอันดับที่ (เช่น วิ่งเข้ าเส้ นชัยเป็ นที่ 5
)
-เข้ าใจความสัมพันธ์ที่หลากหลายของจำนวนใดๆกับจำนวนอื่นๆเช่น 8 มากกว่า 7 อยู่ 1 แต่น้อยกว่า 10 อยู่ 2
-เข้ าใจเกี่ยวกับขนาดของจำนวนใดๆเมื่อเปรี ยบเทียบกับจำนวนอื่นๆ เช่น 8 ใกล้ เคียงกับ 4 แต่น้อยกว่า 100 มาก
7
แบบจำลองทางเรขาคณิต
แบบจำลองทางเรขาคณิต ได้ แก่ รูปเรขาคณิต ซึง่ ใช้ ในการแสดง การอิบายความสัมพันธ์หรื อช่วยแก้ ปัญหาที่
กำหนดให้
แบบรูป (pattern)
แบบรูปเป็ นความสัมพันธ์ที่แสดงลักษณะสำคัญร่วมกันของชุด ของจำนวนรูปเรขาคณิต หรื ออื่นๆ การให้ ผ้ เู รี ยนได้
ฝึ กสังเกตและวิเคราะห์แบบรู ปเป็ นส่วนหนึง่ ที่จะช่วยส่ง เสริ มให้ เกิดกระบวนการสร้ างองค์ความรู้ ทางคณิตศาสตร์ กล่าวคือ
สังเกต สำรวจ คาดการณ์ และให้ เหตุผลสนับสนุนหรื อด้ านการคาดการณ์
ตัวอย่างเช่น ในระดับประถมศึกษา เมื่อกำหนดชุดของรูปเรขาคณิต และถ้ าความสัมพันธ์เป็ นเช่นนี ้
ไปเรื่ อยๆ ผู้เรี ยนน่าจะคาดการณ์ได้ วา่ รูปต่อไปในแบบรูปนี ้ควรเป็ น ด้ วยเหตุผลที่วา่ มีการเขียนรูปสามเหลี่ยมและรูป
สี่เหลี่ยมสลับกันครัง้ ล่ะหนึง่ รูป
เช่นเดียวกัน เมื่อมีแบบรูปชุดของจำนวน 101 1001 10001 100001 และถ้ าความสัมพันธ์เป็ นเช่นนี ้เรื่ อยไป ผู้เรี ยนน่าจะคาด
การณ์ได้ วา่ จำนวนถัดไปควรเป็ น 1000001 ด้ วยเหตุผลที่วา่ ตัวเลขที่แสดงจำนวนถัดไปได้ มาจากการเติม 0 เพิ่มขึ ้นมาหนึง่ ตัว
ในระหว่างเลขโดด 1 ที่อยู่หวั ท้ าย
ในระดับชันที้ ่สงู ขึ ้น แบบรูปที่กำหนดให้ ผ้ เู รี ยนสังเกตและวิเคราะพ์ควรเป็ นแบบรู ปที่สามารถนำไปสู่ การเขียนรูปทัว่ ไปโดยใช้
ตัวแปรในลักษณะเป็ นฟั งก์ชนั่ หรื อความสัมพันธ์อื่นๆ เชิงคณิตศาสตรฺ์ เช่น เมื่อกำหนดรูป 1 3 5 7 9 11 มาให้ และถ้ าความ
สัมพันธ์เป็ นเช่นนี ้เรื่ อยไป ผู้เรี ยนควรเขียนรูปทัว่ ไปของจำนวนในแบบรูปได้ เป็ น 2∏-1 เมื่อ ∏= 1,2,3,.....
รูปเรขาคณิต (geometric fiqure)
รูปเรขาคณิตเป็ นรู ปที่ประกอบด้ วย จุด เส้ นตรง เส้ นโค้ ง ระนาบ ฯลฯ อย่างน้ อยหนึง่ อย่าง
-ตัวอย่างของรูปเรขาคณิตหนึง่ มิติ ได้ แก่ เส้ นตรง ส่วนของเส้ นตรง และรังสี
-ตัวอย่างของรูปเรขาคณิตสองมิติ ได้ แก่ มุม วงกลม รูปสามเหลี่ยม และรูปสี่เหลี่ยม
8
การออกแบบหน่วยการเรี ยนรู้
การออกแบบหน่วยการเรี ยนรู้อิงมาตรฐาน เป็ นขันตอนสำคั ้ ญที่สดุ ของการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา เพราะเป็ นส่วนที่นำ
มาตรฐานการเรี ยนรู้ไปสูก่ ารปฏิบตั ิในการเรี ยนการสอนอย่าง แท้ จริ ง นักเรี ยนจะบรรลุมาตรฐานหรื อไม่ อย่างไร ขึ ้นอยู่กบั ขัน้
ตอนนี ้
1. Backward Design คืออะไร
Backward Design เป็ นการออกแบบที่ยึดเป้าหมาย การเรี ยนรู้แบบย้ อนกลับโดยเริ่ มจากการกำหนดเป้าหมาย
ปลายทางที่เป็ นคุณภาพผู้ เรี ยนที่คาดหวังเป็ นจุดเริ่ มต้ นแล้ วจึงคิดออกแบบองค์ประกอบอื่น เพื่อนำไม่ร้ ูปลายทาง และทุกขัน้
ตอนของกระบวนการออกแบบต้ องเชื่อมโยงสัมพันธ์กนั อย่างเป็ นเหตุเป็ น ผล
2. การออกแบบหน่วยการเรี ยนรู้อิงมาตรฐานโดยใช้ Backward Design ทำอย่างไร
การนำ Backward Design มาใช้ ในการออกแบบหน่วยการเรี ยนรู้อิงมาตรฐาน มีขนตอนที ั้ ่สำคัญ 3 ขันตอน ้ ดังนี ้
ขัน้ ตอนที่ 1 กำหนดเป้าหมายการเรี ยนรู้ ที่สะท้ อนมาตรฐานการเรี ยนรู้ / ตัวชี ้วัด หรื อผลการเรี ยนรู้ ซึง่ บอกให้
ทราบว่าต้ องการให้ นกั เรี ยนรู้อะไร และสามารถทำอะไรได้ เมื่อจบหน่วยการเรี ยนรู้
ขัน้ ตอนที่ 2 กำหนดหลักฐาน ร่องรอยการเรี ยนรู้ ที่ชดั เจนและแสดงให้ เห็นว่าผู้เรี ยนเกิดผลการเรี ยนรู้ตามเป้า
หมายการเรี ยนรู้
ขัน้ ตอนที่ 3 ออกแบบกระบวนการ/กิจกรรมการเรี ยนรู้ ที่ช่วยพัฒนาผู้เรี ยนให้ มีคณ ุ ภาพตามเป้าหมายการเรี ยนรู้
3. เป้าหมายการเรี ยนรู้
3.1 เป้าหมายของหน่วยการเรี ยนรู้คืออะไร
เป้าหมายของหน่วยการเรี ยนรู้คือ มาตรฐานการเรี ยนรู้ / ตัวชี ้วัด ซึง่ แต่ละหน่วยการเรี ยนรู้ อาจระบุมากกว่าหนึง่ มาตรฐาน/ตัว
ชี ้วัด แต่ไม่ควรมากเกินไป และควรมีมาตรฐาน/ตัวชี ้วัด ที่หลากหลายลักษณะ เช่น มาตรฐานที่เป็ นเนื ้อหา มาตรฐานที่เป็ นกระ
บวนการ เพื่อช่วยให้ การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้มีความหมายต่อผู้เรี ยน สามารถสร้ างเป็ นแก่นความรู้ได้ ชดั เจนขึ ้น และนำไป
ปรับใช้ กบั สถานการณ์จริ งได้ ทังนี ้ ้ขึ ้นอยู่กบั ความเหมาะสมของธรรมชาติกลุม่ สาระการเรี ยนรู้
3.2 การกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ จากที่เป็ นหน่วยการเรี ยนรู้อิงมาตรฐาน เป้าหมาย การเรี ยนรู้ของหน่วยฯ
ได้ แก่
ชื่อหน่ วย....................................................
11
เป้าหมายการเรียนรู้
สาระสำคัญ ........................(นำมาจากโครงสร้ างรายวิชา).................................
มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชีว้ ัด.............(นำมาจากโครงสร้ างรายวิชาเขียนรหัสและรายละเอียดของแต่ละตัวชี ้วัด )..................
คุณลักษณะ...(นำมาจากตารางการวิเคราะห์ตวั ชี ้วัด เพื่อจัดทำคำอธิบายรายวิชา หรื ออาจจะเลือกคุณลักษณะที่สำคัญและ
เด่น กำหนดเป็ นคุณลักษณะของหน่วยฯ)..................
3.3 ทำอย่างไรให้ เป้าหมายของหน่วยการเรี ยนรู้มีความชัดเจนต่อการพัฒนาผู้เรี ยน และสะดวกต่อการนำไปใช้
วางแผนจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้เนื่องจากหน่วยการเรี ยนรู้หนึง่ อาจมี 1 หรื อมากกว่า 1 มาตรฐานการเรี ยนรู้ /ตัวชี ้วัด จึงควร
หลอมรวมแล้ วเขียนเป็ นสาระสำคัญที่จะพัฒนาให้ เกิดคุณภาพเป็ นองค์รวมแก่ ผู้เรี ยน และเพื่อให้ การวางแผนจัดกิจกรรมการ
เรี ยนรู้สอดคล้ องกับแต่ละมาตรฐาน / ตัวชี ้วัด จึงควรวิเคราะห์และแยกแยะเป็ น 3 ส่วน คือ ความรู้ ทักษะ / กระบวนการ และ
คุณลักษณะ ทังนี ้ ้มาตรฐานการเรี ยนรู้ /ตัวชี ้วัด บางตัวอาจมีไม่ครบทัง้ 3 ส่วน ผู้สอนสามารถนำเนื ้อหาจากแหล่งอื่น เช่น สาระ
ท้ องถิ่น และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่กำหนดไว้ ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน มาเสริ มได้
4. หลักฐานที่เป็ นผลการเรี ยนรู้ของผู้เรี ยน
4.1 ชิ ้นงานหรื อภาระงานคืออะไร
ชิน้ งานหรือภาระงาน หมายถึง สิ่งต่อไปนี ้
ชิน้ งาน ได้ แก่
1. งานเขียน เช่น เรี ยงความ จดหมาย โคลงกลอน การบรรยาย การเขียนตอบ ฯลฯ
2. ภาพ / แผนภูมิ เช่น แผนผัง แผนภูมิ ภาพวาด กราฟ ตาราง ฯลฯ
3. สิ่งประดิษฐ์ เช่น งานประดิษฐ์ งานแสดงนิทรรศการ หุน่ จำลอง ฯลฯ
ภาระงาน ได้ แก่
การพูด / รายงานปากเปล่า เช่น การอ่าน กล่าวรายงาน โต้ วาที ร้ องเพลง สัมภาษณ์ บทบาทสมมติ เล่นดนตรี การ
เคลื่อนไหวร่างกาย ฯลฯ
งานที่มีลักษณะผสมผสานกันระหว่ างชิน้ งาน / ภาระงาน ได้ แก่
การทดลอง การสาธิต ละคร วีดิทศั น์ ฯลฯ
4.2 ชิ ้นงานหรื อภาระงานของหน่วยการเรี ยนรู้ กำหนดขึ ้นเพื่ออะไร และกำหนดได้ อย่างไร
ชิ ้นงานหรื อภาระงานเป็ นหลักฐาน / ร่องรอย ว่านักเรี ยนบรรลุมาตรฐานการเรี ยนรู้ / ตัวชี ้วัดในหน่วยการเรี ยนรู้นนั ้ ๆ อาจเกิด
จากผู้สอนกำหนดให้ หรื ออาจให้ ผ้ เู รี ยนร่วมกันกำหนดขึ ้นจากการวิเคราะห์ตวั ชี ้วัดในหน่วยการ เรี ยนรู้
4. หลักฐานที่เป็ นผลการเรี ยนรู้ของผู้เรี ยนหลักการกำหนดชิ ้นหรื อภาระงาน มีดงั นี ้
1. ดูจากมาตรฐานการเรี ยนรู้ / ตัวชี ้วัดในหน่วยการเรี ยนรู้ ระบุไว้ ชดั เจนหรื อไม่
2. ภาระงานหรื อชิ ้นงานครอบคลุมตัวชี ้วัดที่ระบุไว้ หรื อไม่ อาจระดมความคิดจากเพื่อนครู หรื อผู้เรี ยน หรื ออาจ
ปรับเพิ่มกิจกรรมให้ เกิดชิ ้นงานหรื อภาระงานที่ครอบคลุม
3. ชิ ้นงานชิ ้นหนึง่ หรื อภาระงาน 1 อย่าง อาจเชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรี ยนรู้เดียวกัน และ / หรื อตัวชี ้วัดต่าง
มาตรฐานการเรี ยนรู้กนั ได้
4. ควรเลือกตัวชี ้วัดที่จะให้ เกิดงานที่จะส่งเสริ มให้ ผ้ เู รี ยนได้ พฒ
ั นาสติปัญญา หลาย ๆ ด้ านไปพร้ อมกัน เช่น การ
แสดงละคร บทบาทสมมติ เคลื่อนไหวร่างกาย ดนตรี เป็ นต้ น
5. เลือกงานที่ผ้ เู รี ยนมีโอกาสเรี ยนรู้และทำงานที่ชอบใช้ วิธีทำที่หลากหลาย
6. เป็ นงานที่ให้ ทางเลือกในการประเมินผลที่หลากหลาย โดยบุคคลต่าง ๆ เช่น ผู้ปกครอง ผู้สอน ตนเอง เป็ นต้ น
ชิ ้นงานหรื อภาระงานที่แสดงให้ เห็นถึงพัฒนาการของผู้ เรี ยนที่ได้ รับการพัฒนาการเรี ยนรู้ของแต่ละเรื่ อง หรื อแต่ละขันตอนของ
้
การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ นำสูก่ ารประเมินเพื่อปรับ ปรุงเพิ่มพูนคุณภาพผู้เรี ยน / วิธีสอนสูงขึ ้นอย่างต่อเนื่อง
4.3 การกำหนดหลักฐานที่เป็ นผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็ นการนำเป้าหมายทุกเป้าหมาย(สาระสำคัญ ตัวชี ้วัดทุกตัวชี ้
วัด และคุณลักษณะ) มากำหนดหลักฐานที่เป็ นผลการเรี ยนรู้ของผู้เรี ยน อาจจะใช้ ตาราง ดังนี ้อาจจะใช้ ตาราง ดังนี ้
12