Professional Documents
Culture Documents
แนวตอบ
ตัวแทนชวง คือ บุคคลที่ไดรับแตงตั้งจากตัวแทนใหกระทําการในหนาที่ตัวแทนใหกับตัวการ ตัวแทนชวงจึงเปรียบเสมือน
ตัวแทนคนหนึ่งของตัวการ แตกตางจากการตั้งตัวแทนหลายคนตรงที่ ในกรณีตั้งตัวแทนหลายคนนั้น ตัวการเองเปนผูแตงตั้ง แตใน
กรณีตัวแทนชวง ตัวแทนเองเปนผูแตงตั้ง อาจแตงตั้งโดยความยินยอมชัดแจงจากตัวการหรือโดยการยินยอมโดยปริยายจากตัวการ
ก็ได
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 655 บัญญัติวา”ทานหามมิใหคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่คางชําระ แตทวาเมื่อดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง
คูสัญญากูยืม จะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยนั้นทบเขากับตนเงินแลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนเงินที่ทบเขากับนั้นก็ได แตการตกลงเชน
นั้นตองทําเปนหนังสือ
สวนประเพณีการคาขายที่คํานวณดอกทบตนในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการคาขายอยางอื่นทํานองเชนวานี้ก็ดี หาอยูใน
บังคับแหงบทบัญญัติซึ่งกลาวมาในวรรคกอนนั้นไม”
วินิจฉัย
ตามปญหา จํานวนเงิน 500,000 บาท พรอมดอกเบี้ยกอนสมชายถึงแกกรรมนั้น ธนาคารสามารถคิดดอกเบี้ยทบตนได
ตาม ปพพ. มาตรา 655 วรรค 2 เนื่องจากการกูเบิกเงินเกินบัญชีประกอบดวยสัญญาบัญชีเดินสะพัด และสัญญากูยืมเงิน จึงไมอยู
ในบังคับของมาตรา 655 วรรคแรก ที่หามคิดดอกเบี้ยทบตน
สวนจํานวนเงิน 500,000 บาท พรอมดอกเบี้ยหลังสมชายถึงแกกรรมแลวนั้น ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบตนไมได เนื่อง
จากการกูยืมเงินโดยวิธีบัญชีเดินสะพัดจากธนาคาร เบิกและใชคืนในวงเงินและกําหนดเวลา ตามขอตกลงเปนเรื่องเฉพาะตัว เมื่อผู
กูตายสัญญาบัญชีเดินสะพัดระงับ จึงคิดดอกเบี้ยทบตนตอไปไมได(ฎ.1862/2518) คงเรียกรองหนี้รายนี้จากทายาทของผูตายได
เฉพาะตามสัญญากูยืมตามจํานวนเงินที่คางชําระเทานั้น
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 861 บัญญัติวา”อันวาสัญญาประกันภัยนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งจะใชคาสินไหมทดแทนหรือใชเงินจํานวน
หนึ่งใหในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้นหรือในเหตุอยางอื่นในอนาคตดังไดระบุไวในสัญญา…”
มาตรา 877 บัญญัติวา”ผูรับประกันภัยจําตองใชคาสินไหมทดแทนดั่งจะกลาวตอไปนี้คือ
(1)เพื่อจํานวนวินาศภัยอันแทจริง
…”
มาตรา 880 วรรคแรก บัญญัติวา”ถาความวินาศภัยนั้นไดเกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร ผูรับประ
กันภัยไดใชคาสินไหมทดแทนไปเปนจํานวนเพียงใด ผูรับประกันภัยยอมเขารับชวงสิทธิของผูเอาประกันภัยและของผูรับประโยชน
ซึ่งมีตอบุคคลภายนอกเพียงนั้น"
มาตรา 887 บัญญัติวา”อันวาประกันภัยค้ําจุนนั้นคือสัญญาประกันภัยซึ่งผูรับประกันภัยตกลงวาจะใชคาสินไหมทด
แทนในนามของผูเอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแกบุคคลอีกคนหนึ่งและซึ่งผูเอาประกันภัยจะตองรับผิดชอบ
บุคคลผูตองเสียหายชอบที่จะไดรับคาสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะไดนั้นจากผูรับประกันภัยโดยตรง แตคาสินไหมทด
แทนเชนวานี้ หาอาจจะคิดเกินไปกวาจํานวนอันผูรับประกันภัยจะพึงตองใชตามสัญญานั้นไดไม ในคดีระหวางบุคคลผูตองเสียหาย
กับผูรับประกันภัยนั้น ทานใหผูตองเสียหายเรียกตัวผูเอาประกันภัยเขามาในคดีดวย
อนึ่ง ผูรับประกันภัยนั้นแมจะไดสงคาสินไหมทดแทนใหแกผูเอาประกันภัยแลว ก็ยังหาหลุดพนจากความรับผิดตอบุคคล
ผูตองเสียหายนั้นไม เวนแตตนจะพิสูจนไดวาสินไหมทดแทนนั้น ผูเอาประกันภัยไดใชใหแกผูตองเสียหายแลว”
วินิจฉัย
การรับชวงสิทธิเปนหลักเกณฑอันสําคัญของสัญญาประกันวินาศภัยเพราะมีความสัมพันธเกี่ยวของกับการจายคาสิน
ไหมทดแทนตามความเสียหายที่แทจริง เมื่อผูรับประกันภัยไดจายคาสินไหมทดแทนไปจํานวนเทาใดยอมเขารับชวงสิทธิของผูเอา
ประกันภัยเพียงเทานั้น การรับชวงสิทธิเกิดขึ้นโดยอํานาจของกฎหมายเมื่อลูกหนี้ตองชําระคาสินไหมทดแทนตามความเสียหายเต็ม
ราคาทรัพยซึ่งเปนวัตถุแหงมูลหนี้ ผูรับชวงสิทธิสามารถเขาใชสิทธิของผูเอาประกันภัยทั้งหมดที่มีอยูในนามของตนเองโดยไมตองได
รับความยินยอมจากผูเอาประกันภัยและกฎหมายมิไดกําหนดแบบหรือหลักเกณฑกฎหมายเปนหนังสือในการรับชวงสิทธิแตอยาง
ใด
ปญหาตามอุทาหรณ เมื่อรถยนตที่เอาประกันภัยของนายธงชัยถูกรถบรรทุก 6 ลอของนายวิรัตนชนเสียหายทั้งคัน บริษัท
ไทยประกันจํากัดผูรับประกันภัยจึงตองชดใชคาสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย (มาตรา 861 และ 877) เมื่อบริษัทไทย
ประกันจํากัดไดชดใชคาสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยเต็มจํานวนแลว ยอมรับชวงสิทธิของผูเอาประกันภัยคือนายธงชัยไป
เรียกรองคาสินไหมทดแทนจากผูกอวินาศภัยได (มาตรา 880) ในกรณีนี้ผูกอวินาศภัยคือนายดําลูกจางของนายวิรัตน ซึ่งกระทํา
ละเมิดในขณะทํางานในทางการที่จางนายดําตองรับผิด และนายวิรัตนตองรับผิดในฐานะนายจางดวย สวนบริษัทรุงเรืองประกันภัย
ในฐานะผูรับประกันภัยค้ําจุนตองชดใชคาสินไหมทดแทนแกนายธงชัยผูเสียหายในนามนายวิรัตน ผูเอาประกันภัยค้ําจุน (มาตรา
887 วรรคแรก) ดังนั้น บริษัทไทยประกันจํากัดผูรับชวงสิทธินายธงชัย สามารถเรียกรองคาสินไหมทดแทนจากบริษัทรุงเรืองประ
กันภัยได
กรณีที่บริษัทรุงเรืองประกันภัยไดชดใชคาเสียหายใหแกนางอาภรณเปนคารักษาพยาบาลและคาเสียหายที่เด็กหญิงธนา
ภรณเสียชีวิตนั้นไมเปนการชดใชคาเสียหายในกรณีที่รถยนตของนายธงชัยถูกชนเสียหายทั้งคันดวย ดังนั้นนายธงชัยยิ่งมีสิทธิไดรับ
ชดใชคาเสียหายเต็มจํานวนจากนายดํา นายวิรัตน ซึ่งบริษัทรุงเรืองประกันภัยตองรับผิดในฐานะผูรับประกันภัยค้ําจุน (มาตรา 887
วรรค2) ขอตอสูของบริษัทรุงเรืองประกันภัยจํากัด ฟงไมขึ้น
สรุป 1.บริษัทไทยประกันจํากัดตองชดใชคาสินไหมทดแทนแกนายธงชัยตามสัญญาประกันวินาศภัย
2.บริษัทไทยประกันจํากัดสามารถรับชวงสิทธิของนายธงชัยเรียกรองคาสินไหมทดแทนจากนายดํา นายวิ
รัตนได และในกรณีนี้บริษัทรุงเรืองประกันภัยจํากัดมีความผูกพันตองชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูเสียหายในนามนายวิรัตน ซึ่งตอง
รับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ําจุน
3.บริษัทไทยประกันจํากัดจึงสามารถเรียกรองคาสินไหมทดแทนจากบริษัทรุงเรืองประกันภัยจํากัดได ขออาง
ของบริษัทรุงเรืองประกันภัยจํากัดฟงไมขึ้น
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 823 บัญญัติวา”ถาตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทํา
เหนือขอบอํานาจก็ดี ทานวายอมไมผูกพันตัวการ เวนแตตัวการจะไดใหสัตยาบันแกการนั้นของตัวแทน"
วินิจฉัย
กรณีนี้เมื่อตัวการใหสัตยาบันยอนหลังใหกับตัวแทน ตัวแทนยอมมีอํานาจสมบูรณ ในการกระทําการแทนตัวการ
ดังนั้นบริษัทสุโข จํากัด จึงสามารถใหสัตยาบันได เพราะไดจดทะเบียนเปนนิติบุคคลโดยชอบดวยกฎหมายแลว
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 7 บัญญัติวา”ถาจะตองเสียดอกเบี้ยแกกันและมิไดกําหนดอัตราไวโดยนิติกรรม หรือโดยบทกฎหมายชัดแจง ให
ใชอัตรารอยละเจ็ดครึ่งตอป”
มาตรา 655 วรรคแรก บัญญัติวา”ทานหามมิใหคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่คางชําระ แตทวาเมื่อดอกเบี้ยคางชําระไมนอย
กวาปหนึ่ง คูสัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยนั้นทบเขากับตนเงิน แลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนเงินที่ทบเขากันนั้นก็ได แตการ
ตกลงเชนนั้นตองทําเปนหนังสือ”
วินิจฉัย
ตามปญหา การที่สมทําสัญญากูยืมเงินแสดจํานวน 30,000 บาท โดยระบุลงในสัญญาขอหนึ่งวา”อัตราดอกเบี้ยตาม
กฎหมาย” นั้น ยอมถือไดวากรณีนี้มิไดกําหนดอัตราดอกเบี้ยไวโดยนิติกรรมอันใดอันหนึ่งโดยชัดแจง ก็ตองถืออัตรารอยละเจ็ดครึ่ง
ตอป เพราะตองดวยกรณีตาม ปพพ. มาตรา 7 (ฎ.487/2526) แสดสามารถเรียกใหสมชําระตนเงิน จํานวน 30,000 บาท และดอก
เบี้ยในอัตราดอกเบี้ยรอยละเจ็ดครึ่งตอปได แตจะเรียกใหสมชําระดอกเบี้ยที่คางชําระในอัตรารอยละ 15 ตอป ไมได
แตในกรณีแสดจะนําตนเงินจํานวน 30,000 บาท รวมกับดอกเบี้ยที่คางชําระ และคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินใหมนั้น แสด
ทําไมได เพราะขัดกับบทบัญญัติของกฎหมายเรื่องไมใหคิดดอกเบี้ยทบตนตามมาตรา 655 ดังกลาวมาแลว แตแสดมิสิทธิคิดอัตรา
ดอกเบี้ยอัตรารอยละเจ็ดครึ่งตอปจากตนเงิน 30,000 บาท
6.นายแดงนํารถยนตของตนไปประกันภัยค้ําจุนไวกับบริษัทดีเดนประกันภัยจํากัด ในวงเงิน 200,000 บาท แตมิไดแจงใหผูประ
กันภัยทราบวารถยนตของตนเคยถูกชนมาแลวหลายครั้ง ตอมานายแดงขับรถยนตคันที่เอาประกันภัยไปชนรถของนายดําเสียหาย
เปนเงิน 100,000 บาท บริษัทดีเดนประกันภัย จํากัด ปฏิเสธความรับผิด โดยอางวานายแดงไมเปดเผยขอความจริง สัญญาประ
กันภัยค้ําจุนเปนโมฆียะ และไดบอกลางโมฆียะกรรมนั้นแลว ดังนี้ขอตอสูของบริษัทดีเดนประกันภัย ชอบดวยกฎหมายหรือไม
เพราะเหตุใด
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 865 วรรคแรก บัญญัติวา”ถาในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผูเอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอัน
การใชเงินยอมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รูอยูแลวละเวนเสียเพื่อไมเปดเผยขอความจริงซึ่งอาจจะไดจูงใจผูรับประ
กันภัยใหเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือใหบอกปดไมยอมทําสัญญา หรือรูอยูแลวแถลงขอความนั้นเปนความเท็จไซร ทานวา
สัญญานั้นเปนโมฆียะ”
วินิจฉัย
การที่นายแดงนํารถยนตของตนไปทําประกันภัยค้ําจุนไวกับบริษัทดีเดนประกันภัย แมนายแดงจะไดละเวนไมเปดเผยขอ
ความจริงแกบริษัทดีเดนประกันภัยวา รถยนตของนายแดงเคยถูกชนมากอนก็ตาม แตขอความจริงดังกลาวก็มิใชขอสําคัญอันจะมี
ผลเปนการจูงใจบริษัทดีเดนประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นกวาที่เรียกไว หรือเปนเหตุบอกปดไมยอมทําสัญญาดวย กรณีจึงไม
ตองดวย ปพพ. มาตรา 865 อันจะทําใหสัญญาประกันภัยเปนโมฆียะ
ดังนี้ ขอตอสูของบริษัทดีเดนประกันภัยจึงไมชอบดวยกฎหมาย
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 827 วรรคแรก บัญญัติวา”ตัวการจะถอนตัวแทน และตัวแทนจะบอกเลิกเปนตัวแทนเสียในเวลาใด ๆ ก็ไดทุก
เมื่อ”
วินิจฉัย
ดังนั้น เมื่อนายธานีถอนนายจินดาออกจากการเปนตัวแทนกอนเวลาที่ตกลงกันไว นายธานียอมกระทําได ตาม ปพพ.
มาตรา 827 วรรคแรก อยางไรก็ตามหากกรณีนี้เกิดความเสียหายขึ้นแกนายจินดา นายจินดาสามารถเรียกรองเอาจากนายธานีได
เชนกัน
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 655 วรรคแรก บัญญัติวา”ทานหามมิใหคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่คางชําระ แตทวาเมื่อดอกเบี้ยคางชําระไมนอย
กวาปหนึ่ง คูสัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยนั้นทบเขากับตนเงิน แลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนเงินที่ทบเขากันนั้นก็ได แตการ
ตกลงเชนนั้นตองทําเปนหนังสือ”
วินิจฉัย
ตามปญหา การที่น้ําเงินจะนําดอกเบี้ยที่คางชําระมารวมกับตนเงิน 40,000 บาท และคิดดอกเบี้ยทบตนจากจํานวนเงิน
ดังกลาวนั้น ตองหามตาม ปพพ. มาตรา 655 แตถามีดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาปหนึ่งแลว ใหคิดดอกเบี้ยทบตนกันได ในกรณีนี้
ฟาคางชําระดอกเบี้ยมากวา 1 ปแลว คือ 2 ป น้ําเงินกับฟาจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยนั้นทบเขากับตนเงินแลวใหคิดดอกเบี้ยใน
จํานวนเงินที่ทบเขากันนั้นก็ได แตการตกลงกันเชนนั้นตองทําเปนหนังสือ เมื่อฟาตกลงกับน้ําเงินโดยไมไดทําเปนหนังสือ ดังนั้น น้ํา
เงินจะคิดดอกเบี้ยทบตนไมได ไดแตคิดดอกเบี้ยในอัตรารอยละ 15 ตอป ที่ตกลงกันไวในสัญญาเทานั้น
9.นายสีนํารถยนตไปประกันภัยค้ําจุนไวกับบริษัทรุงเรืองประกันภัย ตอมานายสีไดขับรถยนตคันดังกลาวไปชนรถยนตของนายแสง
โดยประมาทเลินเลอ เปนคาเสียหายจํานวน 50,000 บาท เวลาผานพนไป 1 ป 6 เดือน นายแสงไดเปนโจทกยื่นฟองบริษัทรุงเรือง
ประกันภัยใหชดใชคาสินไหมทดแทนตามกรมธรรมประกันภัยค้ําจุน บริษัทรุงเรืองประกันภัยตอสูวาไมตองรับผิด เนื่องจากนายแสง
ไมไดฟองคดีภายในกําหนด 1 ป นับแตวันกระทําละเมิด คดีจึงขาดอายุความดังนี้ ขอตอสูของบริษัทรุงเรืองประกันภัยรับฟงไดหรือ
ไม เพียงใด
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 882 วรรคแรก บัญญัติวา”ในการเรียกใหใชคาสินไหมทดแทน ทานหามมิใหฟองคดีเมื่อพนกําหนดสองปนับแต
วันวินาศภัย”
วินิจฉัย
จากหลักกฎหมายดังกลาว บุคคลภายนอกผูไดรับความเสียหายจะตองฟองใหผูรับประกันภัยค้ําจุนภายในกําหนดอายุ
ความ 2 ป นับแตวันวินาศภัย การที่นายแสงไดยื่นฟองบริษัทรุงเรืองประกันภัยใหใชคาสินไหมทดแทน ไมใชฟองในมูลหนี้ละเมิด
แตนายแสงไดฟองโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาประกันภัยจึงมีอายุความ 2 ปนับแตวันเกิดวินาศภัย ตาม ปพพ. มาตรา 882 วรรค
แรก จะนําอายุความละเมิดมาบังคับไมได เมื่อนายแสงไดยื่นฟองคดีภายในกําหนด 2 ปนับแตวันเกิดวินาศภัย คดีจึงยังไมขาดอายุ
ความ
ดังนั้น ขอตอสูของบริษัทรุงเรืองประกันภัยจึงรับฟงไมได
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 831 บัญญัติวา”อันความระงับสิ้นไปแหงสัญญาตัวแทนนั้น ทานหามมิใหยกขึ้นเปนขอตอสูบุคคลภายนอกผูทํา
การโดยสุจริต เวนแตบุคคลภายนอกหากไมทราบความนั้น เพราะความประมาทเลินเลอของตนเอง”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ การที่นายสําราญบอกเลิกการเปนตัวแทนของนายพร และติดประกาศไวในบริเวณปมน้ํามัน ซึ่ง
บุคคลโดยทั่วไปอาจไมสนใจอานประกาศนั้น เมื่อนายเสถียรนําเงินคาน้ํามันไปชําระใหนายพรโดยไมทราบความจริงวานายพรหา
ไดเปนตัวแทนนายสําราญแตอยางใด จึงถือไดวานายเสถียรไดกระทําการโดยสุจริต นายเสถียรจึงสามารถอางความสุจริตตอสูกับ
นายสําราญและไมจําตองชําระเงินคาน้ํามันใหกับนายสําราญอีกแตอยางใด
11.ผูรับประกันภัยเอารถยนตที่รับประกันภัยไวถูกชนเสียหายไปใหอูซอมเสร็จเรียบรอยและสงมอบใหผูเอาประกันภัยรับไปแลว
ผูรับประกันภัยจึงไปฟองเรียกรองเอาคาเสียหายจากผูที่ขับรถมาชนคันที่เอาประกันภัยเสียหายนั้นตามจํานวนคาซอมที่อูเรียกเก็บ
ผูที่ขับรถมาชนใหการตอสูวา ผูรับประกันภัยยังไมไดชําระเงินคาซอมใหอูซอมไมมีอํานาจฟองเรียกรองคาเสียหายจากตนได ขอเท็จ
จริงปรากฏวาผูรับประกันภัยยังไมไดชําระคาซอมรถยนตใหอูจริง หากทานเปนศาลจะตัดสินคดีนี้วาอยางไร
แนวตอบ
ตามเฉลย อางอิง ฎ.1006/2503 แตมิไดกลาวถึงรายละเอียดใด ๆ และมิไดสรุปธงคําตอบไวให จึงขอคัดลอกฎีกามาให
อานดังนี้
. คําพิพากษาฎีกาที่ 1006/2503
เจาของรถยนตที่ถูกรถจําเลยชน ไดเอารถประกันภัยไวกับบริษัทโจทกซึ่งมีวัตถุประสงคเพื่อรับประกันวินาศภัย บริษัทโจทกไดเอารถ
ยนตที่ถูกรถจําเลยชนเสียหายไปใหอูซอมเสร็จ และมอบรถใหเจาของรับไปเรียบรอยแลว บริษัทโจทกก็ตองมีความผูกพันที่จะตอง
ใชราคาคาซอมใหแกอูผูทําการซอมตามจํานวนเงินที่ตกลงกันไว เชนนี้ นับวาบริษัท โจทกไดใชคาสินไหมทดแทนไปแลวตามจํานวน
เงินราคาคาจางที่ไดตกลงไวกับอูผูทําการซอม บริษัทโจทกยอมเขารับชวงสิทธิของเจาของรถที่ถูกชนซึ่งมีตอจําเลย บริษัทโจทกจึงมี
อํานาจฟองเรียกคาเสียหายจากจําเลยไดตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาตรา 880 วรรค 1
หมายเหตุ หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 880 วรรคแรก บัญญัติวา"ถาความวินาศภัยนั้นไดเกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร ผูรับประ
กันภัยไดใชคาสินไหมทดแทนไปเปนจํานวนเพียงใด ผูรับประกันภัยยอมเขารับชวงสิทธิของผูเอาประกันภัยและของผูรับประโยชน
ซึ่งมีตอบุคคลภายนอกเพียงนั้น"
แนวตอบ
การที่กฎหมายกําหนดใหทํา”หลักฐานเปนหนังสือ” กรณีทําสัญญากูยืมเงินกันเกินกวาหาสิบบาทขึ้นไปนั้น ขาพเจาเขา
ใจวาการกูยืมกันเปนจํานวนตามที่กฎหมายกําหนดคือกวาหาสิบบาทขึ้นไปเทานั้นที่ตองทําหลักฐานการกูยืมเงินเปนเกณฑหรือลง
ลายมือชื่อผูยืมเปนสําคัญจึงจะฟองบังคับคดีกันไดตามมาตรา 653 กฎหมายกําหนดเพียงใหมีหลักฐานเปนหนังสือลงลายมือชื่อผู
ยืมเปนสําคัญเทานั้น สวนการกูยืมเงินกันจํานวนหาสิบบาทหรือต่ํากวาหาสิบบาทเทานั้นไมตองมีหลักฐานเปนหนังสือ ก็ฟองรอง
บังคับคดีกันได หลักฐานเปนหนังสือไมใชแบบของสัญญา แมไมไดทํากันไวสัญญากูยืมก็มีขึ้น เพียงแตถาไมไดทําเปนหนังสือลง
ลายมือชื่อผูยืมกรณีผูยืมกวาหาสิบบาทขึ้นไปก็จะรองบังคับคดีไมไดเทานั้น
หลักฐานเปนหนังสือไมไดกําหนดรูปลักษณะวาจะตองทําในรูปหนังสือสัญญากูยืมเงินเทานั้น เพราะหลักฐานเปน
หนังสือไมใชแบบของนิติกรรม หลักฐานการกูยืมเงินจะมีลักษณะรูปรางอยางใด ๆ ก็ได เพียงแตมีลายมือชื่อผูยืมเปนสําคัญ มีขอ
ความแสดงวาเปนหนังสือจริงตามสัญญากูยืมก็ใชได ตัวอยางหลักฐานแหงการกูยืมเงินไดแกจดหมายโตตอบแสดงความเปนหนี้
กัน รายงานการประชุม บันทึกเปรียบเทียบปรับของอําเภอเปนตน
13.นายกรอบกูเงินนายเกียรติจํานวน 1,000 บาท โดยไมไดทําสัญญากูยืมกันไว เนื่องจากนายเกียรติเห็นวานายกรอบเปนเพื่อน
เมื่อครบกําหนดคืนเงินนายกรอบก็ยังไมชําระหนี้เงินกู นายเกียรติไปทวงเงินนายกรอบที่สํานักงานตอหนาคนอื่น นายกรอบโมโหจึง
พูดวาไมคืนอยากไดคืนก็ไปฟองเอา ดังนี้นายเกียรติปรึกษาทนายความโดยแจงวาการกูเงินรายนี้ไมไดทําหนังสือสัญญากูกันไว
ทนายความจึงมีจดหมายถามไปยังนายกรอบวา กูเงินนายเกียรติไปจํานวน 1,000 บาท จริงหรือไมขอใหตอบดวย เงินเปนจํานวน
เล็กนอยไมอยากใหฟองรองกัน นายกรอบตอบจดหมายทนายความวากูจริงและเลาพฤติการณของนายเกียรติใหฟง และลงชื่อทาย
จดหมายวากรอบ ตอมานายกรอบก็ยังไมชําระหนี้ ดังนี้ นายเกียรติจะฟองเรียกเงินกูคืนไดหรือไม เพราะเหตุใด
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรคแรก บัญญัติวา"การกูยืมเงินกวาหาสิบบาทขึ้นไปนั้น ถามิไดมีหลักฐานแหงการกูยืมเงินเปนหนังสือ
อยางหนึ่งอยางใดลงลายมือชื่อผูยืมเปนสําคัญ ทานวาจะฟองรองบังคับคดีหาไดไม"
วินิจฉัย
ตามปญหา แมนายกรอบกูเงินนายเกียรติ จํานวน 1,000 บาท โดยไมไดทําสัญญากูยืมเงินอันเปนหลักฐานในการฟอง
รองใหบังคับคดีกันไวก็ตาม แตตอมานายเกียรติไดไปติดตอทนายความทําจดหมายถามนายกรอบไปวาไดกูเงินนายเกียรติจริงหรือ
ไมและนายกรอบไดตอบจดหมายมาวากูเงินนายเกียรติไปตามที่ถามมาจริง จดหมายตอบดังกลาวก็เปนหลักฐานในการใหกูยืมเงิน
แลว หลักฐานในการกูยืมเงินกันนั้นไมจําตองทําเปนหนังสือสัญญากูยืมกัน หลักฐานอื่น ๆ เชนจดหมายโตตอบแสดงความเปนหนี้
บันทึกประจําวันของสถานีตํารวจ หรือรายงายการประชุม ก็ถือเปนหลักฐานในการกูยืมไดแลวเชนกัน กรณีนี้นายเกียรติสามารถนํา
จดหมายที่นายกรอบเขียนตอบทนายความมาเปนหลักฐานในการฟองรองบังคับคดีใหนายกรอบใชหนี้เงินกูได
14.นายสุนัยมอบอํานาจใหนางจินตนาเปนตัวแทนไปติดตอธุรกิจการคาในตางจังหวัด และเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานของ
นางจินตนา นายสุนัยไดอนุญาตใหนางจินตนาใชรถยนตของนายสุนัยขับไปตางจังหวัดได นายสุนัยยังไดตกลงใหบําเหน็จแกนาง
จินตนาเปนเงินจํานวน 10,000 บาทดวย ตอมานางจินตนาทําหนาที่ตัวแทนใหนายสุนัยเสร็จสิ้นแลวก็ทวงถามเงินคาบําเหน็จจาก
นายสุนัย ซึ่งนายสุนัยก็ผัดผอนเปนประจํา นางจินตนาจึงยึดรถยนตคันดังกลาวของนายสุนัยไว แลวแจงแกนายสุนัยวาหากไมชําระ
คาบําเหน็จก็จะไมคืนรถยนตให นายสุนัยอางวานางจินตนาไมมีสิทธิที่จะยึดหนวงรถยนตไวได เพราะราคารถยนตเกินกวาคา
บําเหน็จมาก และไมไดมีขอตกลงกันใหยึดหนวงรถยนตไวได เชนนี้ทานเห็นวานางจินตนาจะสามารถยึดหนวงรถยนตไวจนกวานาย
สุนัยจะชําระคาบําเหน็จไดหรือไม เพราะเหตุใด
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 819 บัญญัติวา"ตัวแทนชอบที่จะยึดหนวงทรัพยสินอยางใด ๆ ของตัวการ อันตกอยูในความครอบครองของตน
เพราะการเปนตัวแทนนั้นเอาไวจนกวาจะไดรับเงินบรรดาคางชําระแกตนเพราะการเปนตัวแทน"
วินิจฉัย
ดังนั้นการที่สุนัยมอบใหนางจินตนาครอบครองรถยนตของนายสุนัย และนางจินตนายังมิไดคืนรถยนตคันดังกลาวใหแก
นายสุนัยไป จึงทําใหนางจินตนาสามารถใชสิทธิยึดหนวงรถยนตไวจนกวานายสุนัยจะชําระคาบําเหน็จ ขออางของนายสุนัยฟงไม
ขึ้น เพราะการใชสิทธิยึดหนวงในกรณีนี้เปนการใชสิทธิที่กฎหมายบัญญัติไว แมไมมีขอตกลงเรื่องนี้ไวระหวางตัวการกับตัวแทน ตัว
แทนก็สามารถใชสิทธิยึดหนวงได
15.นายแดงขอเอาประกันภัยรถยนตกับบริษัท รุงเรืองประกันภัย จํากัด นายแดงไดกรอกใบคําขอเอาประกันภัยใหนายขาวเจาหนา
ที่รับประกันภัยของบริษัทไดพิจารณาแลว นายขาวตกลงรับประกันภัยโดยกําหนดเบี้ยประกันภัยใหนายแดงชําระ 6,000 บาท ตอ
มาบริษัทรุงเรืองประกันภัย จํากัด ไดออกกรมธรรมประกันภัยใหนายแดงแลว แตนายแดงยังไมไดชําระเบี้ยประกันภัย บริษัทรุงเรือง
ประกันภัย จํากัด ไดมีหนังสือทวงถามกําหนดเงื่อนไขไปวา ถาไมนําเบี้ยประกันภัยไปชําระภายในกําหนดเวลา บริษัทรุงเรืองประ
กันภัย จํากัด จะไมรับผิดชอบใด ๆ ตามกรมธรรมประกันภัย ตอมารถยนตคันที่เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุ บริษัทรุงเรืองประ
กันภัย จํากัด จะปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาประกันภัยไดหรือไม เพราะเหตุใด จงอธิบาย
แนวตอบ
สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นตามกฎหมายแลว ผูรับประกันภัยจะปฏิเสธความรับผิดไมได ผูรับประกันภัยตองชดใชความ
เสียหาย
เทียบเคียงฎีกาที่ 1306/2514
คําพิพากษาฎีกาที่ 1306/2514
โจทกเสนอขอเอาประกันภัยรถยนตบรรทุกของโจทกตอบริษัทรับประกันภัยจําเลยนอกจากบริษัทจําเลยจะใหโจทกกรอกแบบคํา
เสนอขอเอาประกันภัยแลว พนักงานบริษัทยังไดจดแจงจํานวนเงินเบี้ยประกันภัยไวบนใบเสนอขอเอาประกันภัยนี้ เพื่อโจทกได
ทราบดวยแลวตอมาบริษัทจําเลยไดออกกรมธรรมประกันภัยใหแกโจทก พรอมทั้งมีหนังสือเตือนใหโจทกสงเงินเบี้ยประกันภัยไปยัง
บริษัททันทีเมื่อไดรับกรมธรรมประกันภัย เชนนี้ยอมถือวาสัญญาประกันภัยไดเกิดขึ้นและมีผลผูกมัดคูกรณีแลว ขอความในหนังสือ
บริษัทจําเลยซึ่งขอใหโจทกรีบสงเบี้ยประกันภัยไปยังบริษัททันที รวมทั้งที่มีระบุไวในคําขอเอาประกันภัยวา "ยังไมมีความรับผิดใด ๆ
จนกวาบริษัทจะยอมรับคําขอเอาประกันนี้และไดชําระเบี้ยประกันเต็มจํานวนแลว" ไมพอฟงเปนเงื่อนไขวา สัญญาจะมีผลผูกพันตอ
เมื่อมีการชําระเบี้ยประกันภัยครบถวนแลว
ธงคําตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 797 บัญญัติวา “อันวาสัญญาตัวแทนนั้น คือ สัญญาซึ่งใหบุคคลหนึ่ง เรียกวา ตัวแทน มีอํานาจทําการแทน
บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกวาตัวการ และตกลงจะทําการดั่งนั้น
อันความเปนตัวแทนนั้นจะเปนโดยแตงตั้งแสดงออกชัดหรือเปนโดยปริยายก็ยอมได”
มาตรา 798 บัญญัติวา “ กิจการอันใดทานบังคับไวโดยกฎหมายวาตองทําเปนหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็
ตองทําเปนหนังสือดวย…”
วินิจฉัย
ตามปญหา
1.นายกลาไดมอบหมายใหนายไกไปดําเนินการขายที่ดินของตน และนายไกก็เขาทําการแทนนายกลาจนการซื้อขายที่
ดินแปลงดังกลาวสําเร็จลุลวง เชนนี้เปนการที่นายไกตกลงรับทําการแทนนายกลาตัวการ นายไกจึงเปนตัวแทนนายกลา ตามมาตรา
797 แหง ปพพ.
2.การที่นายกลาอางวาการซื้อขายที่ดิน กฎหมายกําหนดวาตองทําเปนหนังสือ การตั้งตัวแทนก็ตองทําเปนหนังสือตาม
มาตรา 798 วรรคแรก ปพพ.นั้น เมื่อนายกลากับนายไกไมไดตกลงทําการเปนตัวแทนเปนหนังสือ สัญญาตัวแทนจึงใชไมไดนั้น
มาตรา 798 มิใชแบบของสัญญาตัวแทน สัญญาตัวแทนไมมีแบบแตอยางใด เมื่อคูสัญญาตกลงกันแมดวยวาจาสัญญาตัวแทนก็
เกิดขึ้น ผูกพันนายไกตัวแทน กับนายกลาตัวการ ตามมาตรา 797 ปพพ.แลว ขออางของนายกลาจึงฟงไมขึ้น
ธงคําตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 655 วรรคแรก “หามทานมิใหคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่คางชําระ แตทวาเมื่อดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวา 1 ป คู
สัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยนั้นทบเขากับตนเงินแลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนเงินที่ทบเขากันนั้นได แตการตกลงเชนนั้น
ตองทําเปนหนังสือ”
ตามปญหาการที่นางชอยจะคิดดอกเบี้ยทบตนในหนี้ที่นายชมคางชําระมาตั้งแตเริ่มกูยืมกันนั้นตองหามตามกฎหมาย
เพราะตาม ปพพ.มาตรา 655 นั้นมีหลักเกณฑวาดอกเบี้ยตองคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง คูสัญญาจึงจะตกลงใหคิดดอกเบี้ยทบตน
ได แสดงวาดอกเบี้ยที่คางชําระตั้งแตกูยืมกันในปแรกนั้นนางชอยจะคิดดอกเบี้ยทบตนไมได คูสัญญาจะตกลงกันใหดอกเบี้ยทบตน
ไดตอเมื่อนายชมคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง ดังนั้นนางชอยจะคิดดอกเบี้ยทบตนไดในปที่สอง คือ ตั้งแตวันที่ 21 มกราคม 2541
เปนตนไป สวนในปแรกตองคิดดอกเบี้ยตามกฎหมายคือรอยละเจ็ดครึ่ง ตอปโดยไมทบตน
สรุป 1. นางชอยคิดดอกเบี้ยทบตนในปแรกไมได คงคิดอัตราดอกเบี้ยไดรอยละ 7.5 ตอป
2. นางชอยคิดดอกเบี้ยทบตนในปที่สองเปนตนไปได
ธงคําตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 862 วรรคสาม บัญญัติวา "คําวา“ผูรับประโยชน” ทานหมายความวา บุคคลผูจะพึงจะไดรับคาสินไหมทดแทน หรือ
รับจํานวนใชให
วรรคสี่ อนึ่ง ผูเอาประกันภัยและผูรับประโยชนนั้น จะเปนบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได"
มาตรา 374 บัญญัติวา"ถาคูสัญญาฝายหนึ่งทําสัญญาตกลงวาจะชําระหนี้แกบุคคลภายนอกไซร ทานวาบุคคลภายนอกมี
สิทธิที่จะเรียกชําระหนี้จากเจาหนี้โดยตรงได
ในกรณีดังกลาวมาในวรรคตนนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกยอมเกิดมีขึ้นตั้งแตเวลาที่แสดงเจตนาแกลูกหนี้วาจะถือเอา
ประโยชนจากสัญญานั้น"
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 819 บัญญัติวา “ ตัวแทนชอบที่จะยึดหนวงทรัพยสินอยางใด ๆ ของตัวการอันตกอยูในความครอบครองของตน
เพราะการเปนตัวแทนนั้นเอาไวไดจนกวาจะไดรับเงินบรรดาคางชําระแกตนเพราะการเปนตัวแทน”
มาตรา 820 บัญญัติวา “ ตัวการยอมมีความผูกพันตอบุคคลภายนอก ในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนชวงได
ทําไปภายในขอบเขตอํานาจแหงฐานตัวแทน”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ เมื่อนายดําชําระเบี้ยประกันใหกับนายทอง กรรมสิทธิ์ในเงินจํานวนนี้ไดตกเปนของบริษัท จงดีจํากัด
ประกันภัยแลว ดังนั้นนายทองจึงสามารถยึดหนวงไวได เพราะเหตุที่บริษัทฯ ซึ่งเปนตัวการไดคางชําระบําเหน็จตัวแทนแกนายทอง
และเมื่อนายดําไดชําระเบี้ยประกันใหกับตัวแทนของบริษัทฯ โดยถูกตองครบถวนแลว บริษัทฯ ในฐานะตัวการก็ตองรับ
ผิดชอบในการกระทําของตัวแทนของตน กลาวคือ ตองถือวานายดําชําระเบี้ยประกันใหบริษัทฯไปแลว จึงไมมีหนาที่ตองชําระเบี้ย
ประกันใหมแตอยางใด
สรุป 1. เงินจํานวน 25,000 บาท เปนทรัพยสินของทางบริษัทฯที่นายทองสามารถยึดเหนี่ยวไวได
2. นายดําไมตองชําระเบี้ยประกันใหกับบริษัทฯอีก
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรค 2 “ในการกูยืมเงินมีหลักฐานเปนหนังสือนั้น ทานวาจะนําสืบการใชเงินไดก็ตอเมื่อมีหลักฐานเปน
หนังสืออยางใดอยางหนึ่ง ลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมนั้นไดเวนคืนแลว หรือไดแทงเพิก
ถอนลงในเอกสารนั้นแลว”
มาตรา 321 “ถาเจาหนี้ยอมรับการชําระหนี้อยางอื่นแทนการชําระหนี้ที่ไดตกลงกันไว ทานวาหนี้นั้นก็เปนอันระงับสิ้นไป”
วินิจฉัย
ตามปญหาการกูยืมเงินระหวางนายขาวและนายเขียวเปนการกูยืมเงินที่มีหลักฐานเปนหนังสือ การนําสืบการใชเงินก็
ตองมีหลักฐานเปนหนังสือลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือไดมีการเวนคืนหลักฐานการกูยืมเงิน หรือไดแทงเพิกถอนลงในเอกสาร
นั้นตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรค 2 จึงจะตอสูนายเขียวผูใหยืมได แตการที่นายขาวไดโอนเงินทางโทรเลขเขาบัญชีเงินฝากของนาย
เขียวที่ธนาคาร ไทยนครนั้นถือเปนการชําระหนี้อยางอื่นตาม ปพพ. มาตรา 321 ไมอยูในบังคับของมาตรา 653 วรรค 2 เมื่อนาย
เขียวในฐานะเจาหนี้ไดยอมรับแลว ถือวานายขาวไดชําระหนี้เงินกูใหนายเขียวแลว นายขาวจึงไมตองปฏิบัติตาม มาตรา 653 วรรค
2 ดังนั้นนายขาวสามารถตอสูนายเขียวไดโดยไมตองชําระหนี้ดังกลาวอีก (ฎีกา 2965/2531)
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 880 “ ถาความวินาศภัยนั้นไดเกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร ผูรับประกันภัยไดใชคาสินไหมทด
แทนไปเปนจํานวนเพียงใด ผูรับประกันก็ยอมเขารับชวงสิทธิของผูเอาประกันภัยและของผูรับประโยชนซึ่งมีตอบุคคลภายนอกเพียง
นั้น”
วินิจฉัย
กรณีตามปญหา เมื่อบริษัท จักรินทรประกันภัย จํากัด ผูรับประกันไดซอมรถยนตใหแกนายสนองผูเสียหายแลว ยอมถือ
วาไดชดใชคาสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยตามกฎหมาย จึงฟองเรียกเงินจากนายไสวในฐานละเมิดไดเปนจํานวน
100,000 บาท แมขอเท็จจริงไดความวา นายสนองยังไมไดยื่นฟองนายไสวแตอยางใด (ฎีกา 1006/2503)
22.สมทรงเปนเจาของรานขายขาวสาร แตงตั้งสมหญิงเปนตัวแทนทําหนาที่ผูจัดการราน โดนมีคําสั่งใหสมหญิงขายขาวสารใหแก
ลูกคาเงินสดเทานั้น สมนึกเปนเพื่อนสนิทของสมหญิงไดมาขอซื้อขาวสารจากรานดวยเงินเขื่อจํานวน 5,000 บาท และสมหญิงก็ได
ขายใหสมนึกไป ตอมาถึงกําหนดชําระหนี้ สมทรงไดทําหนังสือทวงถามคาขาวสารจากสมนึก แตสมนึกก็ไมยอมชําระให สมทรงจึง
เรียกรองเอาจากสมหญิง ดังนี้ สมหญิงจะมีขอตอสูเพื่อขอไมรับผิดตอสมทรงอยางไรบางหรือไม เพราะเหตุใด
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 812 บัญญัติวา “ ถามีความเสียหายเกิดขึ้นอยางใด ๆ เพราะความประมาทเลินเลอของตัวแทนก็ดี เพราะไมทํา
การเปนตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ทานวาตัวแทนจะตองรับผิด”
มาตรา 823 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ถาตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งอันปราศจากอํานาจก็ดีหรือทํานอกเหนือขอบ
อํานาจก็ดี ทานวายอมไมผูกพันตัวการ เวนแตตัวการจะใหสัตยาบันแกการนั้น…”
วินิจฉัย
การที่สมหญิงขายขาวสารแกสมนึกดวยเงินเชื่อไปนั้น เปนการที่ตัวแทนกระทําการโดยนอกเหนือขอบอํานาจ เนื่องจาก
สมทรงตัวการไดใหขายขาวสารแกลูกคาดวยเงินสดเทานั้น ตอมาเมื่อสมทรงตัวการไดทําหนังสือทวงถามคาขาวสารจากสมนึกนั้น
ยอมเปนการใหสัตยาบันแกการที่สมหญิงตัวแทนทําการนอกเหนือขอบอํานาจ เปนผลใหการซื้อขายขาวสารดวยเงินเชื่อนั้นผูกพัน
สมทรงตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 823 วรรคหนึ่ง แตอยางไรก็ตามไมเปนผลใหสมหญิงตัวแทนหลุดพนจากความรับผิดที่มีตอสม
ทรงตัวการอันเนื่องมาจากการกระทําดังกลาวที่ทําใหสมทรงตัวการไดรับความเสียหายจากการที่ไมไดรับชําระหนี้จากสมนึกเปนเงิน
จํานวน 5,000 บาท ตาม ปพพ. มาตรา 812 ดังนั้นสมหญิงจึงตองรับผิดในหนี้ดังกลาวตอสมทรง (นัยคําพิพากษาศาลฎีกาที่
1611/2512,1394/2526)
สรุป สมหญิงไมมีขอตอสูใดเพื่อไมขอรับผิดตอสมทรง
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “การกูยืมเงินกวาหาสิบบาทขึ้นไปนั้น ถามิไดมีหลักฐานการกูยืมเปนหนังสืออยางใด
อยางหนึ่งลงลายมือชื่อผูยืมเปนสําคัญ ทานวาจะฟองรองใหบังคับคดีหาไดไม…”
มาตรา 654 บัญญัติวา”ทานหามมิใหคิดดอกเบี้ยเกินรอยละสิบหาตอป ถาในสัญญากําหนดดอกเบี้ยเกินกวานั้น ก็ให
ลดลงมาเปนรอยละสิบหาตอป”
วินิจฉัย
สุนัยฟองเรียกตนเงิน 800,000 บาทจากสุนันทได เนื่องจากการกูยืมรายนี้ไดทําหลักฐานการกูยืมเงิน คือ สัญญากูยืม
เงินเปนหนังสือไว สวนการที่สุนันทตอบจดหมายวาไมเคยกูเงินสุนัยไป ก็ไมมีผลใหสัญญากูยืมเงินที่ทําไวเสียหายไปแตอยางไร สุ
นัยจึงสามารถฟองรองเรียกตนเงินจากสุนันทได
สวนดอกเบี้ยที่คิดในอัตรารอยละ 18 ตอเดือนนั้น เกินอัตราที่กฎหมายกําหนด ตามมาตรา 654 ดอกเบี้ยตามสัญญาจึง
เปนโมฆะทั้งหมด ดังนั้น สวนที่เปนดอกเบี้ยจึงเรียกไมได แตสุนัยสามารถเรียกดอกเบี้ยไดรอยละ 7ครึ่งตอป นับตั้งแตผิดนัดเปนตน
ไปตามมาตรา 224
สรุป สุนัยฟองเรียกเงินกูจํานวน 800,000 บาทได และเรียกดอกเบี้ยจากสุนันทนับตั้งแตวันที่ผิดนัดไดรอยละ 7.5
ตอป
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 863 บัญญัติวา “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถาผูเอาประกันภัยมิไดมีสวนไดเสียในเหตุที่ประกันภัยไวนั้นไซร ทาน
วายอมไมผูกพันคูสัญญาแตอยางหนึ่งอยางใด”
มาตรา 874 บัญญัติวา “ถาคูสัญญาไดกําหนดราคาแหงมูลประกันภัยไว ผูรับประกันภัยชอบที่จะไดลดจํานวนคาสิน
ไหมทดแทน ก็แตเมื่อพิสูจนไดวาราคาแหงมูลประกันภัยตามที่ไดตกลงกันไวนั้นเปนจํานวนสูงเกินไปหนัก และคืนจํานวนเบี้ยประ
กันภัยใหตามสวนกับทั้งดอกเบี้ยดวย”
วินิจฉัย
การเอาประกันภัยมากกวาสวนไดเสียที่ผูเอาประกันภัยมีอยู ไมมีผลกระทบถึงความสมบูรณของสัญญาประกันแตอยาง
ใด ตราบที่ผูเอาประกันภัยมีสวนไดเสียในเหตุที่ประกันภัยแลวสัญญายอมผูกพันกันตามมาตรา 863
ตามที่สายัณหทําสัญญาประกันภัยบานไวจํานวน 5 ลานบาทโดยเขาใจวาบานของตนมีราคา 5 ลานบาท แตปรากฏวา
เมื่อบริษัทฯ พิสูจนไดวาราคาบานที่เอาประกันภัยเปนจํานวนสูงเกินไปหนักคือราคาเพียง 2 ลานบาท บริษัทก็สามารถลดจํานวนคา
สินไหมได และคืนจํานวนเบี้ยประกันภัยใหกับสายัณหตามสวนกับทั้งดอกเบี้ย
ดังนั้นสายัณหมีสิทธิใหบริษัทฯ คืนเบี้ยประกันใหตนตามสวนพรอมทั้งดอกเบี้ยตามาตรา 874
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 797 บัญญัติวา “อันวาสัญญาตัวแทนนั้น คือ สัญญาซึ่งใหบุคคลหนึ่ง เรียกวา ตัวแทน มีอํานาจทําการแทน
บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกวาตัวการ และตกลงจะทําการดั่งนั้น
อันความเปนตัวแทนนั้นจะเปนโดยแตงตั้งแสดงออกชัดหรือเปนโดยปริยายก็ยอมได”
มาตรา 808 บัญญัติวา “ตัวแทนตองทําการดวยตนเอง เวนแตจะมีอํานาจใชตัวแทนชวงทําการได”
มาตรา 813 บัญญัติวา “ตัวแทนผูใดตั้งตัวแทนชวงตามที่ตัวการระบุใหตั้ง ทานวาตัวแทนผูนั้นจะตองรับผิดเพียงแตใน
กรณีที่ตนไดรูวาตัวแทนชวงนั้นเปนผูที่ไมเหมาะแกการหรือเปนผูที่ไมสมควรไววางใจแลวและมิไดแจงความนั้นใหตัวการทราบหรือ
มิไดเลิกถอนตัวแทนชวงนั้นเสียเอง”
วินิจฉัย
ตามปญหา สํารวยผูจัดการรานอะไหลรถยนตมีอํานาจกระทําการแทนสําลีจึงเปนตัวแทนของสําลีตาม ปพพ. มาตรา
797 สํารวยจะตั้งสํานวนและสําคัญเปนตัวแทนชวง ซึ่งตามขอเท็จจริงปรากฏวา สําลีตัวการอนุญาตใหตั้งสํานวนเปนตัวแทนชวงได
แตหาไดอนุญาตใหตั้งสําคัญเปนตัวแทนชวงดวยไม ดังนั้นสํารวยตัวแทนจึงตั้งสํานวนเปนตัวแทนชวงได แตจะตั้งสําคัญเปนตัว
แทนชวงไมได ตาม ปพพ. มาตรา 808
ขอเท็จจริงปรากฏวาสํารวยตัวแทนทราบวาสํานวนเคยถูกศาลพิพากษาใหจําคุกในคดีความผิดที่เกี่ยวกับทรัพยมาหลาย
ครั้งแลวและไมแจงใหสําลีตัวการทราบถึงการที่สํานวนตัวแทนชวงซึ่งสําลีตัวการอนุญาตใหตั้งนั้นเปนผูที่ไมสมควรไววางใจ แลวตอ
มาปรากฏวาสํานวนตัวแทนชวงไดยักยอกเงินของรานไปจํานวน 5,000 บาท เชนนี้สํารวยตัวแทนจึงตองรับผิดตอสําลีตัวการใน
กรณีดังกลาวตาม ปพพ. มาตรา 813
สรุป 1. การแตงตั้งสํานวนเปนตัวแทนชวงของสํารวยชอบดวยกฎหมาย แตการแตงตั้งสําคัญเปนตัวแทนชวงของ
สํารวยไมชอบดวยกฎหมายตาม ปพพ. มาตรา 808
2.สําลีตัวการฟองเรียกคาสินไหมทดแทนในความเสียหายดังกลาวไดจากสํารวยตัวแทนไดตามปพพ. มาตรา
813
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรค 2 “ในการกูยืมเงินมีหลักฐานเปนหนังสือนั้น ทานวาจะนําสืบการใชเงินไดก็ตอเมื่อมีหลักฐานเปน
หนังสืออยางใดอยางหนึ่ง ลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมนั้นไดเวนคืนแลว หรือไดแทงเพิก
ถอนลงในเอกสารนั้นแลว”
วินิจฉัย
การกูยืมเงินระหวางตาสอนกับยายมาไดทําสัญญากูยืมกันเปนหนังสือ ซึ่งสัญญากูยืมดังกลาวนั้นก็เปนหลักฐานเปน
หนังสือ ดังนั้นการนําสืบการใชเงินก็ตองมีหลักฐานเปนหนังสือลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือไดเวนคืนสัญญากูยืมเงินนั้นแลว
หรือไดแทงเพิกถอนลงในสัญญากูยืมดังกลาวแลวนั้นตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง แมวาจํานวนเงินที่กูยืมจะไมเกินกวา 50
บาทก็ตาม แตตามขอเท็จจริงปรากฏวาตาสอนไดไปชําระหนี้เงินกูดังกลาวใหแกยายมาโดยมิไดขอสัญญากูยืมคืน ไมไดแทงเพิก
ถอนในสัญญากูยืมนั้นและไมไดทําสัญญาการชําระเงินกันเปนหนังสือแตอยางใด คงมีตาสินเปนผูเห็นเหตุการณเทานั้น เชนนี้แลว
ตาสอนจะนําสืบการใชเงินดังกลาวไมได
สรุป ขาพเจาในฐานะนักกฎหมายจะใหคําปรึกษาแกตาสอนวาตาสอนจะนําตาสินซึ่งเปนพยานบุคคลมาสืบถึง
การใชเงินในจํานวนดังกลาวมิได ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง และจะตองชําระหนี้เงินกูดังกลาวใหแกยายมา มิฉะนั้นจะถูก
ฟองเปนคดีตอศาล
วินิจฉัย
ตามปญหา การที่สันตเปนโรคถุงลมโปงพองเรื้อรังรักษาไมหาย แจงตอแพทยของบริษัทฯวาไมเคยเปนโรคใด ๆ มากอน
การตรวจรางกายในการขอเขาทําประกันภัย ถือวา สันตละเวนไมเปดเผยขอความจริงเกี่ยวกับโรคที่เปน ซึ่งเรื่องนี้มีความสําคัญที่
บริษัทตองทราบเพื่อจะนําไปประกอบการวินิจฉัยวาจะรับประกันชีวิตผูเอาประกันหรือไม สัญญาดังกลาวตกเปนโมฆียะตามาตรา
865
การที่สันตอางวาเปนการประมาทเลินเลอของแพทยผูตรวจที่ไมตรวจรางกายใหละเอียด สัญญาประกันชีวิตสมบูรณนั้น
ไมได มาตรา 866 เพราะการตรวจโรคถุงลมโปงพองโดยวิธีธรรมดาจะทําไดยากนอกจากฉายเอ็กซเรยหรือใชสีฉีดเขาไปในปอดแลว
ฉายเอ็กซเรย แตเมื่อสันตปกปดมิไดแจงเรื่องที่เจ็บปวยใหแพทยผูตรวจสุขภาพทราบ ก็ไมมีเหตุที่แพทยจะตองฉายเอ็กซเรยเพื่อ
ตรวจถุงลมของสันต การที่บริษัทประกันภัยโดยพิจารณาจากรายงานของแพทยประกอบกับคําขอเอาประกันชีวิต จะฟงวาบริษัท
ประมาทเลินเลอไมไดเพราะหนาที่เปดเผยความจริงเปนหนาที่ของผูเอาประกันชีวิต
สรุป ขอตอสูของสันตไมชอบดวยกฎหมาย
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 807 บัญญัติวา “ตัวแทนตองทําการตามคําสั่งแสดงออกชัดแจงหรือโดยปริยายของตัวการ เมื่อไมมีคําสั่งเชนนั้น
ก็ตองดําเนินตามทางที่เคยทํากันมาในกิจการคาขายอันเขาใหตนทําอยูนั้น
อนึ่งบทบัญญัติมาตรา 659 วาดวยการฝากทรัพยนั้น ทานใหนํามาใชโดยอนุโลมตามควร”
มาตรา 814 บัญญัติวา “ตัวแทนชวงยอมรับผิดโดยตรงตอตัวการฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น”
วินิจฉัย
ก. นายพุธมีอํานาจตั้งนายศุกรเปนตัวแทนไดตามที่นายจันทรไดใหอํานาจไว ดังนั้นนายจันทรตัวการเทานั้นที่มี
อํานาจฟองเรียกเงินคืนจากนายศุกรตัวแทนชวง เพราะตัวแทนชวงยอมตองรับผิดตอตังการโดยตรงตามปพพ.มาตรา 814
ข.นายพุธเปนตัวแทนไมมีบําเหน็จ ดังนั้นความระมัดระวังในการจัดทํากิจการยอมใชในระดับตนเองเหมือนเชนเคย
ประพฤติในกิจการของตัวเอง ตาม ปพพ. มาตรา 807 ที่ใหนําบทบัญญัติวาดวยเรื่องฝากทรัพยมาใชบังคับ ซึ่งโดยปกติแลวนายพุธ
ก็เคยใชนายศุกรใหไปเก็บเงินในกิจการของตนเองเสมอมา ดังนั้นการที่นายพุธตั้งนายศุกรเปนตัวแทนชวงไปเก็บเงินจากนางอังคาร
จึงเปนการปฏิบัติหนาที่ตัวแทนตามกฎหมายแลว ไมเปนการประมาทเลินเลอแตอยางใด ดังนั้นนายพุธไมตองชดใชคาเสียหายแก
นายจันทร
นายจันทรจึงฟองเรียกเงินจากนายพุธไมได
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 655 วรรคแรก “หามทานมิใหคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่คางชําระ แตทวาเมื่อดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง
คูสัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยนั้นทบเขากับตนเงินแลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนเงินที่ทบเขากันนั้นได แตการตกลงเชนนั้น
ตองทําเปนหนังสือ”
วินิจฉัย
สัญญากูที่ตกลงใหสงดอกเบี้ยเปนรายเดือน หากผูกูผิดนัดไมชําระเดือนใด ผูใหกูมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบตนไดทันที โดย
ไมตองรอใหดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาปหนึ่งกอนนั้น ฝาฝนมาตรา 655 วรรคแรก จึงเปนโมฆะ ดังนั้นสมบูรณไมสามารถคิดดอก
เบี้ยทบตนในชวง 6 เดือน ที่สมหมายคางชําระได เนื่องจากดอกเบี้ยคางชําระนอยกวา 1 ป แมจะมีการตกลงใหคิดดอกเบี้ยทบตน
เปนหนังสือก็ตาม
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 887 บัญญัติวา “อันวาประกันภัยค้ําจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยที่ผูรับประกันภัยตกลงวาจะใชคาสินไหมทด
แทนในนามของผูเอาประกันเพื่อความวินาศภัยอันเกิดแกบุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผูเอาประกันภัยตองรับผิดชอบ
บุคคลผูเสียหายชอบที่จะไดรับคาสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะไดนั้นจากผูรับประกันโดยตรงแตคาสินไหมทดแทนเชน
วานี้หาอาจจะคิดเกินไปกวาจํานวนอันผูรับประกันภัยจะพึงตองใชตามสัญญานั้นไดไม ในคดีระหวางบุคคลผูตองเสียหายกับผูรับ
ประกันภัยนั้น ทานใหผูตองเสียหายเรียกตัวผูเอาประกันภัยเขามาในคดีดวย
มาตรา 888 บัญญัติวา “ถาคาสินไหมทดแทนอันผูรับประกันภัยไดใชไปโดยคําพิพากษานั้นยังไมไดคุมคาวินาศภัยเต็ม
จํานวนไซร ทานวาผูเอาประกันภัยก็ยังคงตองรับใชตามจํานวนที่ยังขาด เวนไวแตบุคคลผูตองเสียหายจะไดละเลยเสียไมเรียกเอา
ตัวผูเอาประกันภัยเขามาสูคดีดวยดังกลาวไวในมาตรากอน”
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “การกูยืมเงินกวาหาสิบบาทขึ้นไปนั้น ถามิไดมีหลักฐานการกูยืมเปนหนังสืออยางใด
อยางหนึ่งลงลายมือชื่อผูยืมเปนสําคัญ ทานวาจะฟองรองใหบังคับคดีหาไดไม”
วินิจฉัย
ตามปญหา ทับทิมกูเงินมรกตโดยไมไดทําหนังสือสัญญากูยืมเงินไว เพียงแตไดถายวิดีโอไวเทานั้น แมหลักฐานอื่น ๆ
เชน จดหมาย รายการการประชุมที่มีขอความบงถึงความเปนหนี้กูยืมเงินก็เปนหลักฐานแหงการกูยืมเงินเปนหนังสือได แตการ
บันทึกวิดีโอไวตามเหตุการณที่ไดมีการกูยืมเงินกันไมใชการทําหลักฐานกูยืมเงินเปนหนังสือ ดังนั้นมรกตจะฟองรองใหทับทิมชําระ
หนี้กูยืมเงินจํานวน 500,000 บาท แกตนไมได เนื่องจากเปนการกูยืมเกินกวา 50 บาท ไมมีหลักฐานการกูยืมเงินเปนหนังสือแต
อยางใด
แนวตอบ
ตัวแทนชวง คือ บุคคลที่ไดรับแตงตั้งจากตัวแทนใหกระทําการในหนาที่ตัวแทนใหกับตัวการ ตัวแทนชวงจึงเปรียบเสมือน
ตัวแทนคนหนึ่งของตัวการ การแตงตั้งชวงอาจแตงตั้งโดยความยินยอมชัดแจงจากตัวการ หรือโดยการยินยอมโดยปริยายก็ได
ตัวแทนชวงเกิดขึ้นได 2 กรณี คือ
กรณีแรก ไดแกกรณีที่ตัวการมอบอํานาจไวโดยชัดเจนใหแตงตั้งตัวแทนชวงได การมอบอํานาจนี้อาจมอบอํานาจโดย
ลายลักษณอักษรหรือโดยวาจาก็ได
กรณีที่สอง เปนกรณีเมื่อมีธรรมเนียมในทางการคาหรือกิจการนั้นยอมใหมีตัวแทนชวงกันได หรือ มีความจําเปนบังคับ
ใหจําตองมีตัวแทนชวง
โดยสรุป การตั้งตัวแทนชวงตัวการตองใหความยินยอมดวยเสมอ และเมื่อมีการแตงตั้งตัวแทนชวงโดยถูกตองแลว
ฐานะของตัวแทนชวงจะอยูในฐานะตัวแทนคนหนึ่งของตัวการ
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 865 วรรคแรก บัญญัติวา “ถาในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผูเอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอัน
การใชเงินยอมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รูอยูแลวละเวนเสียไมเปดเผยขอความจริงซึ่งอาจจะไดจูงใจผูรับประ
กันภัยใหเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือบอกปดไมยอมทําสัญญา หรือรูอยูแลววาแถลงขอความอันเปนเท็จไซร ทานวาสัญญานั้น
เปนโมฆียะ”
วินิจฉัย
บริษัทอิสระประกันภัยจํากัด กําหนดวาโรคตอมไทรอยดเปนพิษ เปนโรครายแรง ซึ่งผูเอาประกันภัยจะตองเปดเผยขอ
ความจริง หากผูเอาประกันภัยมีประวัติเปนโรคดังกลาว ดังนั้นการเปดเผยขอความจริงในเรื่องนี้ จึงถือเปนสาระสําคัญ หากผูเอา
ประกันภัยละเลยในการเปดเผยขอความจริง จึงเปนเหตุใหสัญญาประกันชีวิตเปนโมฆียะ ตามมาตรา 865 การที่ตัวแทนของบริษัท
อิสระประกันภัยจํากัดใหแพทยตรวจรางกายนายปอนั้นแพทยมิใชตัวแทนของบริษัท ฯ จะถือวา บริษัท ฯ ผูรับประกันภัยทราบการ
เปนโรคตอมไทรอยดเปนพิษไมได เมื่อนายปอปดบังขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญ สัญญาประกันชีวิตระหวางนายปอกับบริษัท ฯ
จึงเปนโมฆียะ บริษัทอิสระประกันภัยจํากัดจึงบอกลางสัญญาได และไมตองชําระเงินตามสัญญา (ฎีกาที่ 771/2531) ขออางของ
นายปองฟงไมขึ้น
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัติวา “ในการกูยืมเงินมีหลักฐานเปนหนังสือนั้น ทานวาจะนําสืบการใชเงินไดตอเมื่อมีหลัก
ฐานเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่งลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมนั้นไวเวนคืนแลว หรือได
แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแลว”
วินิจฉัย
ตามปญหา การที่สมัยไดชําระหนี้เงินกูยืมคืนสโมสรแลว และใหสโมสรแทงเพิกถอนลงในเอกสารสัญญากูยืม แตสโมสร
กลับใหสมัยแทงเพิกถอนเอง ซึ่งการนําสืบการใชเงินกรณีแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้น ผูใหกูยืมจะตองเปนคนแทงเพิกถอนเองและ
ลงลายชื่อผูใหกูยืมไว การแทงเพิกถอนครั้งนี้จึงใชไมได ขอตอสูขอนั้นของสโมสรถูกตอง แตการที่สมัยใหสโมสรออกใบเสร็จรับเงิน
นั้น ถือวาสมัยมีหลักฐานเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่งลงลายมือชื่อสโมสรผูใหยืมมาแสดงแลว สมัยนําสืบการใชเงินได การนําสืบ
การใชเงินตามมาตรา 653 วรรค 2 นั้น จะนําสืบอยางหนึ่งอยางใดก็ได สมัยไมตองชําระหนี้เงินกูคืนสโมสรอีก ขาพเจาเห็นวาขอตอ
สูของภริยาสมัยขอหลังนี้ถูกตอง
แนวตอบ
บําเหน็จ คืออะไรนั้น กฎหมายมิไดใหความหมายไว จึงตองพิจารณาจากความหมายธรรมดาโดยทั่วไป ซึ่งหมายความ
ถึงทรัพยสิน หรือประโยชนอื่นใดที่ตัวการตกลงที่จะใหแกตัวแทน อาจเปนเงิน หรือทรัพยสินหรือประโยชนอื่นก็ได แตประโยชนที่จะ
เปนบําเหน็จไดนั้น จะตองเปนประโยชนในลักษณะที่เปนทรัพยสิน
ตาม ปพพ. มาตรา 803 ไดกําหนดเงื่อนไขของการที่ตัวแทนจะไดรับบําเหน็จจากตัวการไวดังนี้
1. จะตองมีขอตกลงกันไววาใหบําเหน็จหรือ
2. ตัวแทน และตัวการเคยประพฤติตอกันวามีบําเหน็จ หรือ
3. มีธรรมเนียมในเรื่องนั้นวามีบําเหน็จ
เมื่อเขาหลักเกณฑอยางใดอยางหนึ่งในสามประการนี้แลว ตัวแทนก็สามารถเรียกบําเหน็จ
จากตัวการได บําเหน็จนี้ ตัวการจะจายใหตัวแทนเมื่อการเปนตัวแทนสิ้นสุดลง เวนแตจะตกลงกันเปนประการอื่น
ๆ
วินิจฉัย
จากอุทาหรณ นายสุโขไดเอาประกันชีวิตตนเองโดยมิไดระบุตัวผูรับประโยชนไว แตไดสงมอบกรมธรรมใหแกนางสาว
นวลแลว แมตอมานายสุโขสมรสกับนางนิ่ม โดยใหนางนิ่มแจงบริษัทรับประกันชีวิตเพื่อแสดงตนเปนผูรับประโยชนก็ตาม แตเปน
การแจงโดยนางนิ่มเอง และกระทําหลังจากที่ไดสงมอบกรมธรรมแกนางสาวนวลไปแลว ผูเอาประกันจึงไมอาจจะโอนประโยชนให
กับบุคคลอื่นอีก ตามมาตรา 891 และในกรณีนี้ไมเขาลักษณะการโอนประโยชนใหบริษัทประกันภัยใชเงินตามเขาสั่ง ตามมาตรา
309 ดวย
ดังนั้น เมื่อนายสุโขถูกรถชนเสียชีวิต และนางสาวนวลไดเรียกรองใหบริษัทประกันชีวิตจายเงินตามสัญญาแกตนก็เปน
การแสดงเจตนาแกลูกหนี้ คือ บริษัทประกันชีวิตวาตนถือเอาประโยชนตามสัญญาประกันชีวิตแลว ทางบริษัททรงธรรมประกันภัย
จํากัด จําตองชําระเงินตามสัญญาประกันประกันชีวิตใหนางสาวนวลดังกลาว ตามหลักกฎหมายมาตรา 891
สวนนางนิ่ม แมจะเปนภริยาที่ชอบดวยกฎหมายของนายสุโข แตนายสุโขก็มิไดดําเนินการโอนประโยชนตามสัญญา
ประกันชีวิตแกนางนิ่ม โดยถูกตองและไดสงมอบกรมธรรมดังกลาวใหกับนางสาวนวลไปกอนหนาแลว นางนิ่มจึงมิใชผูรับประโยชน
ตามกรมธรรมประกันชีวิต จึงไมมีสิทธิไดรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตดังกลาว
สําหรับนางนอยมารดานายสุโข ก็มิใชผูที่นายสุโขระบุใหเปนผูรับประโยชนตามกรมธรรมประกันชีวิต จึงไมมีสิทธิไดรับ
เงินตามสัญญาประกันชีวิตเชนกัน
สรุป หากขาพเจาเปนที่ปรึกษากฎหมายของบริษัททรงธรรมประกันภัย จํากัด จะแนะนําใหบริษัทจายเงินแกนาง
สาวนวล ซึ่งนายสุโขไดสงมอบกรมธรรมประกันชีวิตไวใหและนางสาวนวลไดบอกกลาวเปนหนังสือแสดงเจตนาจะถือเอาประโยชน
แหงสัญญาประกันชีวิตแลว
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัติวา “ในการกูยืมเงินมีหลักฐานเปนหนังสือนั้น ทานวาจะนําสืบการใชเงินไดตอเมื่อมีหลัก
ฐานเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่งลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมนั้นไวเวนคืนแลว หรือได
แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแลว”
วินิจฉัย
กรณีดังกลาว พิจารณาวาเปนเรื่องการนําสืบการใชเงิน กรณีมีหลักฐานการกูยืมเงินเปนหนังสือ ตาม ปพพ. มาตรา 653
วรรคสอง
ตามปญหาเปนเรื่องการกูยืมเงินที่มีหลักฐานการกูยืมเงินเปนหนังสือ การนําสืบการใชเงินตองปฏิบัติตามมาตรา 653
วรรคสอง การที่นายมิตรไดชําระหนี้เงินกูยืมใหนายแมนแลว แตไมไดทําหลักฐานการใชเงินเปนหนังสือลงลายชื่อนายแมนผูใหกูยืม
เปนสําคัญ และขอเท็จจริงไมไดหมายความวา นายแมนไดเวนคืนหนังสือสัญญากูใหนายมิตร หรือแทงเพิกถอนลงในสัญญากู นาย
มิตรจะนําสืบการใชตนเงินดังกลาวไมได สวนในเรื่องดอกเบี้ยนายมิตรนําสืบได
ขอตอสูเรื่องขาดอายุความนั้น กฎหมายไมไดกําหนดอายุความในการเรียกรองเงินกูไว จึงฟองคดีไดในกําหนดเวลา 10
ป นับแตทําสัญญากู ตามปญหาระยะเวลาตั้งแตทําสัญญากูยืมเงินมีกําหนด 6 ป จึงไมขาดอายุความฟองรอง ขอตอสูเรื่องอายุ
ความก็ตกไปเชนเดียวกัน
ถาขาพเจาเปนศาลจะไมรับฟงขอตอสูของนายมิตรทั้งสองกรณี
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 823 วรรคแรกบัญญัติวา”ถาตัวแทนทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือจาก
อํานาจก็ดี ทานวายอมไมผูกพันตัวการ เวนแตตัวการจะใหสัตยาบันแกการนั้น…”
มาตรา 821 บัญญัติวา”บุคคลใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเปนตัวแทนของตนก็ดี รูแลวยอมใหบุคคลอีกคนหนึ่ง
เชิดตัวของเขาเองออกแสดงเปนตัวแทนของตนก็ดี ทานวาบุคคลผูนั้นจะตองรับผิดตอบุคคลภายนอกผูสุจริตเสมือนวาบุคคลอีกคน
หนึ่งนั้นเปนตัวแทนของตน”
มาตรา 816 วรรคแรก บัญญัติวา”ถาในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแกตนนั้น ตัวแทนไดออกเงินทดรองหรือออก
เงินคาใชจายไปซึ่งพิเคราะหตามเหตุควรนับวาเปนการจําเปนไดไซร ทานวาตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใชจากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ย
นับแตวันที่ไดออกเงินไปนั้นดวยก็ได”
มาตรา 820 บัญญัติวา”ตัวการยอมมีความผูกพันตอบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนชวงไดทํา
ไปในขอบอํานาจแหงฐานตัวแทน”
วินิจฉัย
กรณีจากอุทาหรณแมนายธรรมจะขอลาออกจากการเปนผูจัดการดูแลกิจการแลว แตบริษัทก็ยังยอมใหนายธรรมติดตอ
รับซื้อพืชผลจากเกษตกรและในบางครั้งก็ใหนายธรรมจายเงินคาสินคาไปกอนดวย ทําใหบุคคลภายนอกเชื่อวานายธรรมเปนตัว
แทนของบริษัทอยูตามมาตรา 821 และเมื่อนายธรรมไดจายเงินคาสินคาแกเกษตกรไปกอนในฐานะที่เปนตัวแทนเชิดดังกลาวตัว
การยอมตองรับผิดชดใชเงินที่ตัวแทนไดทดรองจายไปกอนรวมทั้งดอกเบี้ยดวย ตามมาตรา 816
สวนกรณีที่สองนายธรรมไปกูเงินจากนายเที่ยงจํานวน 10 ลานบาท เพื่อปลูกคอนโดมิเนียมขายนั้นเปนกิจการนอกวัตถุ
ประสงคของบริษัทสุโขทัย จํากัด แมบริษัทจะใหสัตยาบันการกูเงินดังกลาวตลอดจนใหใชชื่อ สุโขทัยคอนโดเทล ก็ตาม ก็ไมอาจเปน
การใหสัตยาบันแกนายธรรมได เนื่องจากตัวการเองก็ไมมีอํานาจที่จะกระทําได ตัวการจะใหสัตยาบันการกระทําใด ๆ แกตัวแทน ตัว
การเองตองมีความสามารถที่จะกระทําการดวยตัวเองได ดังนั้นในกรณีนี้จึงไมเขาหลักเกณฑตามกฎหมาย มาตรา 823 นายธรรม
จึงมิใชตัวแทนของบริษัทสุโขทัย จํากัด เมื่อนายธรรมมิใชตัวแทนของบริษัท กิจการใด ๆ ที่นายธรรมกระทําลงไปยอมผูกพันนาย
ธรรมแตเพียวผูเดียวและไมผูกพันตัวการ ตามมาตรา 820 เพราะนายธรรมมิใชตัวแทน
ดังนั้นนายเที่ยงจะฟองรองบริษัทสุโขทัย จํากัดใหรับผิดชําระหนี้เงินกู 10 ลานบาทไมได ตองไปเรียกรองเอาจากนาย
ธรรมโดยตรง
และเมื่อนายธรรมมิใชตัวแทนของบริษัทสุโขทัย จํากัด ๆ จึงไมมีสิทธิเรียกรองใหนายธรรมชดใชคาเสียหายที่ทําใหกิจ
การคอนโดมิเนียมขาดทุน เนื่องจากการกอสรางไมดี เพราะมิใชกิจการของบริษัทสุโขทัย จํากัด ดังกลาว สวนในเรื่องเสื่อมเสียชื่อ
เสียงของบริษัทนั้นเปนเรื่องที่บริษัทใหความยินยอมใชชื่อบริษัทโดยสมัครใจจึงไมมีสิทธิเรียกรองคาเสียหายจากนายธรรม กิจการ
คอนโดมิเนียมทั้งหมดนายธรรมเปนผูรับผิดโดยสวนตัวและขาดทุนโดยสวนตัวจึงไมเกิดความเสียหายแกบริษัท สุโขทัย จํากัด นอก
จากเรื่องใชชื่อบริษัทซึ่งบริษัทยินยอมเอง
สรุป
1.นายธรรมจะเรียกรองใหบริษัทสุโขทัย จํากัด ชดใชเงินจํานวน 1 ลานบาทที่นายธรรมชําระคาพืชผลแทนบริษัทได
2.นายเที่ยงจะฟองรองใหบริษัทสุโขทัย จํากัด รับผิดชําระหนี้เงินกู 10 ลานบาทไมได ตองเรียกรองเอาจากนายธรรมโดย
ตรง
3.บริษัท สุโขทัย จํากัด จะเรียกรองใหนายธรรมชดใชคาเสียหายและคาเสื่อมเสียชื่อเสียงของบริษัทมิได เพราะนายธรรม
มิใชตัวแทนซึ่งกระทําความเสียหายแกบริษัท หากแตเปนเรื่องที่นายธรรมเสียหายเอง
แนวตอบ
คําวาสวนไดเสียในเหตุประกันภัย หมายถึง การที่บุคคลใดจะตองไดรับความเสียหาย เมื่อมีเหตุการณอันใดอันหนึ่งเกิด
ขึ้นหรือบุคคลนั้นไดรับประโยชนหากเหตุการณอันใดอันหนึ่งซึ่งระบุไวในสัญญาประกันภัยไมเกิดขึ้น ในสัญญาประกันภัยทุกชนิดผู
เอาประกันจะตองเปนผูมีสวนไดเสีย ซึ่งเปนสาระสําคัญของการประกันภัย เพื่อมิใหการประกันภัยเปนการพนันขันตอ หรือกอให
เกิดการทุจริตทําลายทรัพยสินหรือชีวิตเพื่อใหไดมาซึ่งเงินเอาประกัน แตลักษณะและสาระสําคัญของสวนไดเสียในสัญญาประกัน
วินาศภัย สัญญาประกันชีวิตและสัญญาประกันภัยรับขนจะมีสวนที่แตกตางกันคือ ในสัญญาประกันวินาศภัยเปนสัญญาเพื่อชดใช
คาสินไหมทดแทน(Indemnity Contract) สวนไดเสียของผูเอาประกันภัยจึงมีความสําคัญอยูตลอดเวลาที่สัญญายังมีผลบังคับ เมื่อ
เกิดภัยขึ้นตามที่สัญญากําหนดไว ผูรับประกันภัยคงจายคาสินไหมทดแทนเพียงเทาที่เสียหายจริงเทานั้น ถาไมสวนไดเสียก็ไมมี
ความเสียหาย จึงกลาวสรุปไดวา ลักษณะของสวนไดเสียในสัญญาประกันวินาศภัยนั้น ผูเอาประกันภัยตองมีสวนไดเสียอยูในขณะ
ที่ทําสัญญาประกันภัยดังกลาวมาแลว และสวนไดเสียยังตองสามารถประมาณเปนเงินได เพราะสวนไดเสียของผูเอาประกันภัยเปน
เครื่องกําหนดวาผูเอาประกันภัยจะไดรับชดใชคาสินไหมทดแทนมากนอยเพียงใดเพราะผูเอาประกันภัยจะไดรับการชดใชคาสินไหม
ทดแทนเทาที่ไดรับความเสียหายจริงเทานั้น ดังนั้นสวนไดเสียนั้นจึงตองเปนสวนไดเสียที่ประมาณเปนเงินได เพื่อที่จะกําหนดไดวา
คาสินไหมทดแทนจะเปนจํานวนเทาใด แตถาในขณะที่เกิดเหตุแมผูเอาประกันภัยไมมีสวนไดเสีย สัญญาก็สมบูรณเพียงแตผูเอา
ประกันภัยเมื่อไมมีสวนไดเสีย ยอมไมอาจเรียกคาสินไหมทดแทนไดดังกลาว
สวนลักษณะของสวนไดเสียตามสัญญาประกันชีวิตนั้นจะแตกตางกันไป เพราะสัญญาประกันชีวิต ไมใชสัญญาชดใช
คาสินไหมทดแทน(Non- Indemnity Contract) สวนไดเสียในการประกันชีวิตจึงไมจําเปนจะตองประมาณราคาเปนเงินได การ
ประกันชีวิตตนเองราคาของสวนไดเสียไมเปนสาระสําคัญจึงเอาประกันชีวิตตนเองเทาไหรก็ได หากสามารถสงเบี้ยประกันได เพราะ
ชีวิตคนเราถือวาไมอาจจะประเมินราคาเปนเงินได ตางจากสวนไดเสียในสัญญาประกันวินาศภัย สําหรับการเอาประกันชีวิตผูอื่น
นั้น ถาผูเอาประกันมีสวนไดเสียเนื่องจากความสัมพันธทางครอบครัว ราคาของสวนไดเสียก็ไมเปนสาระสําคัญเชนกัน แตถาผูเอา
ประกันมีสวนไดเสียเนื่องจากความสัมพันธทางธุรกิจก็สามารถกําหนดราคาสวนไดเสีย การประกันชีวิตคํานึงถึงสวนไดเสียวาจะ
ตองมีขณะที่เกิดสัญญาประกันภัยเปนสําคัญ แตเมื่อเกิดเหตุขึ้นตามสัญญา ผูเอาประกันหรือผูรับประโยชนจะมีสวนไดเสียหรือไม
ไมเปนสาระสําคัญ ผูรับประกันภัยตองใชเงินตามจํานวนที่ไดตกลงกันไว
สําหรับสวนไดเสียในสัญญาประกันภัยรับขนนั้น มีลักษณะที่พิเศษกวาในสัญญาประกันภัยทั้ง 2 ขางตน การประกันภัย
ในการรับขนเปนการประกันภัยเพื่อคุมครองวินาศภัยที่เกิดขึ้นในการรับขนสินคาจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งอาจมีการ
เสี่ยงภัยในระหวางการขนสงดวยวินาศภัยชนิดตาง ๆ ตลอดเวลาที่สินคาอยูในความครอบครองของผูขนสง ซึ่งเปนการไมแนนอนวา
ผูรับตราสงจะไดรับสินคาหรือไม จึงมีความจําเปนตองมีบทบัญญัติเฉพาะในการประกันภัยรับขนใหผูรับประกันภัยตองรับผิดใน
วินาศภัยทุกชนิดที่เกิดขึ้นในระหวางการขนสง และวัตถุที่เอาประกันภัยในการขนสงอาจมีราคาเพิ่มขึ้น เมื่อไปถึงตําบลอันกําหนด
ใหสง ฉะนั้นมูลประกันภัยในสถานที่ที่ผูรับประกันภัยรับสินคาจากผูสง กับมูลประกันภัยในสถานที่ที่ผูขนสงมอบสินคาใหกับผูรับ
สินคายอมไมเทากัน และสินคายังมีราคาสูงขึ้นจากคาระวางและคาใชจายในการขนสงตลอดถึงผลกําไรอันจะพึงได ซึ่งมูลประ
กันภัยนี้เปนสิทธิโดยชอบที่จะไดรับความคุมครองตามกฎหมายและเมื่อเกิดวินาศภัย ผูเอาประกันหรือผูรับประโยชนก็ไมตองสูญ
เสียทรัพยสินรวมทั้งคาใชจายผลกําไรอันพึงมีดังกลาว นอกจากนั้นการประกันภัยรับขนอาศัยหลักสุจริตอยางยิ่งในการพิจารณา
สวนไดเสียของผูเอาประกันภัย กลาวคือ แมสินคาที่ขนสงไดเกิดวินาศภัยแลว แตคูสัญญาทั้งสองฝายไมทราบถึงการเกิดวินาศภัย
ดังกลาว ถือวาสัญญาประกันภัยมีผลบังคับใช ผูรับประกันตองจายคาสินไหมทดแทน เมื่อวินาศภัยที่ไดเกิดมีขึ้นกอนทําสัญญาประ
กันภัย ซึ่งยกเวนหลักทั่วไปที่วาผูเอาประกันภัยตองมีสวนไดเสียในทรัพยที่เอาประกันภัยขณะทําสัญญาประกันภัย นอกจากนี้ผูมี
สวนไดเสียในเหตุประกันภัยซึ่งอาจมีการซื้อขายสินคาที่เอาประกันในระหวางการขนสงอันจะทําใหกรรมสิทธิ์ในทรัพยสินโอนไปยังผู
ซื้อแลวก็ตามผูขายก็อาจเอาประกันภัยได โดยขายสินคารวมกับเงื่อนไขในการประกันภัยสินคาและกระทําการแทนผูซื้อ และถือวา
การโอนทรัพยที่เอาประกันภัยนั้นไมเปนเหตุใหชองแหงภัยเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้น และผูเอาประกันตองมีสวนไดเสียในวัตถุที่เอา
ประกันภัยในเวลาที่เกิดวินาศภัย ถึงแมวาจะไมมีสวนไดเสียในขณะที่สัญญาประกันภัยมีผลบังคับก็ตาม ซึ่งตางจากการประกัน
วินาศภัยโดยทั่วไป
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 657 บัญญัติวา “อันวาฝากทรัพยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกวาผูฝาก สงมอบทรัพยสินใหแกบุคคลอีกคน
หนึ่งเรียกวา ผูรับฝาก และผูรับฝากตกลงวาจะเก็บรักษาทรัพยสินนั้นไวในอารักขาแหงตนแลวจะคืนให”
วินิจฉัย
กรณีเปนเรื่องสัญญาฝากทรัพย ตามปญหาเปนการที่ปมน้ํามันของนายเล็งรับมอบการครอบครองรถยนตไวในอารักขา
แหงตนแลว เพราะเปนการจอดไมประจําที่ และปมสามารถเคลื่อนยายที่จอดรถได มีรั้วปดกั้นหนาปมใสกุญแจและมีคนเฝาปมเปน
ประจํา แมจะมีประกาศปดไววาใหเชาที่จอดรถก็ตาม กรณีนี้นายเลี่ยเจาของรถยนตมิไดตกลงดวย จึงเปนสัญญาฝากทรัพย ไมใช
สัญญาเชาที่จอดรถดังที่นางเล็งอาง ดังนั้นเมื่อทรัพยที่รับฝากสูญหายไป นายเล็งเจาของปมที่รับฝากตองรับผิดชดใชคาเสียหายให
แกนายเลี่ยเจาของรถยนต (ฎ.331/2524)
41.นายมั่นเอาประกันชีวิตตนเองกับบริษัทสุโขทัยประกันชีวิต จํากัด วงเงิน 1 ลานบาท ชําระเบี้ยประกันปละ 1 แสนบาท ระยะเวลา
10 ป โดยระบุนางคงภรรยา เปนผูรับประโยชน นอกจากนี้นายมั่นยังเอาประกันชีวิตตนเองกับบริษัทธรรมาธิราชประกันภัย จํากัด
วงเงิน 1 ลานบาท ชําระเบี้ยประกันปละ 1 แสนบาท ระยะเวลา 10 ป เชนกัน โดยระบุใหนายจงรักเจาหนี้เปนผูรับประโยชน โดย
นายมั่นมีรายไดเดือนละ 15,000 บาท นายมั่นทําประกันชีวิตทั้งสองรายได 5 ป นายมั่นก็เสียชีวิตลง นายมั่นมีเจาหนี้อีก 3 ราย คือ
นายทนงศักดิ์ นายภักดี และนายเทวา เจาหนี้ทั้งสามตางเรียกรองใหชดใชหนี้แกตนจากเงินประกันที่บริษัททั้งสองจายใหแกผูรับ
ประโยชน โดยอางวานายมั่นนํารายไดที่ควรจะนํามาใชหนี้ไปชําระเบี้ยประกัน ทําใหตนเสียเปรียบ หากทานเปนที่ปรึกษากฎหมาย
ของนางคง และนายจงรัก ทานจะใหคําแนะนําแกบุคคลทั้งสองอยางไร
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 1637 บัญญัติวา”ถาคูสมรสฝายใดที่ยังมีชีวิตอยูเปนผูรับประโยชนตามสัญญาประกันชีวิต คู
สมรสฝายนั้นมีสิทธิรับจํานวนเงินทั้งหมดที่ไดตกลงไวกับผูรับประกันภัย แตจําตองเอาจํานวนเบี้ยประกันภัย
เพียงเทาที่พิสูจนไดวาสูงกวาจํานวนเงินที่ผูตายจะพึงสงใชเปนเบี้ยประกันภัยได ตามรายไดหรือฐานะของตน
โดยปกติ ไปชดใชสินเดิมของคูสมรสอีกฝายหนึ่ง หรือสินสมรสแลวแตกรณี
ถึงอยางไรก็ดี จํานวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งจะพึงสงคืนตามบทบัญญัติขางตนนั้นรวมทั้งสิ้นตองไมเกินจํานวนเงินที่ผูรับ
ประกันภัยไดชําระให"
มาตรา 1742 บัญญัติวา”ถาในการชําระหนี้ซึ่งคางชําระอยูแกตนเจาหนี้คนใดคนหนึ่ง ไดรับตั้งในระหวางที่ผูตายยังมี
ชีวิตอยูใหเปนผูรับประโยชนในการประกันชีวิต เจาหนี้คนนั้นชอบที่จะไดรับเงินทั้งหมด ซึ่งไดตกลงไวกับผูรับประกัน อนึ่งเจาหนี้เชน
วานั้น จําตองสงเบี้ยประกันภัยคืนเขากองมรดก ก็ตอเมื่อเจาหนี้คนอื่น ๆ พิสูจนไดวา
(1) การที่ผูตายชําระหนี้ใหแกเจาหนี้โดยวิธีดังกลาวมานั้นเปนการขัดตอบทบัญญัติมาตรา 1237 แหงประมวล
กฎหมายนี้ และ
(2) เบี้ยประกันเชนวานั้น เปนจํานวนสูงเกินสวนเมื่อเทียบกับรายไดและฐานะของผูตาย
ถึงอยางไรก็ดี เบี้ยประกันภัยซึ่งพึงจะสงคืนเขากองมรดกนั้นตองไมเกินกวาจํานวนเงินที่ผูรับประกันชําระให"
วินิจฉัย
จากอุทาหรณ นายมั่นเอาประกันชีวิตตนเองกับบริษัทสุโขทัยประกันภัย จํากัด และบริษัทธรรมาธิราชประกันภัย จํากัด
โดยชําระเบี้ยประกันปละ 1แสนบาทตอบริษัทนั้นรวมเบี้ยประกันเปนเงิน 2 แสนบาทตอป นายมั่นมีรายไดเดือนละ 15,000 บาท
เทากับมีรายไดปละ 180,000 บาทตอป ดังนั้น นายมั่นตองสงเบี้ยประกันภัยในจํานวนที่สูงกวารายได 20,000 บาทตอป หรือสูง
กวาที่จะพึงสงใชเบี้ยประกันภัยบริษัทละหนึ่งหมื่นบาทตอป
ในกรณีแรก นางคงผูภรรยามีสิทธิไดรับเงินประกันชีวิตในฐานะผูรับประโยชนทั้งหมดตามสัญญาประกันชีวิต 1 ลาน
บาท แตตองเอาจํานวนเบี้ยประกันภัยเพียงที่สูงกวาจํานวนเงินที่ผูตายพึงจะสงใชเบี้ยประกันภัยไดตามปกติ กลาวคือ ปละ 1 หมื่น
บาท รวม 5 ป เปนจํานวนเงิน 5 หมื่นบาท ไปชดใชสินสมรสและเงินจํานวนดังกลาวไมเกินจํานวนเงินที่บริษัทประกันภัยไดชําระให
นางคง
ดังนั้น นางคงมีสิทธิรับเงินใชใหทั้งจํานวน 1 ลานบาทและชดใชสินสมรส 5 หมื่นบาท
ในกรณีที่สอง นายจงรักเปนผูไดรับตั้งในระหวางที่ผูตายยังมีชีวิตอยูใหเปนผูรับประโยชนในการประกันชีวิต และชอบที่
จะไดรับเงินใชใหเต็มจํานวน 1 ลานบาท แตเนื่องจากการชําระหนี้ดังกลาวทําใหเจาหนี้รายอื่นเสียเปรียบ และเบี้ยประกันชีวิตสูง
เกินสวนของรายได นายจงรักจึงตองสงเบี้ยประกันภัยคืนเขากองมรดก เบี้ยประกันภัยทั้งหมดปละ 1 แสนบาทรวม 5 ป เปนเงิน 5
แสนบาท อนึ่ง เงินดังกลาวไมเกินจํานวนเงินใชใหที่บริษัทประกันภัยไดชําระให
ดังนั้น นายจงรักมีสิทธิไดรับเงินใชใหทั้งจํานวนหนึ่งลานบาท และชดใชกองมรดก 5 แสนบาท
สรุป ขาพเจาจะใหคําปรึกษาดังกลาวแกนางคงและนายจงรักตามหลักกฎหมายขางตน โดยใหนางคงรับเงินใชใหหนึ่ง
ลานบาท และชดใชสินสมรสในสวนเบี้ยประกันภัยที่เกินราคาได 5 หมื่นบาท
ใหนายจงรักรับเงินใชใหหนึ่งลานบาทและชดใชกองมรดกจากเบี้ยประกันทั้งหมด 5 แสนบาท
แนวตอบ
ตัวแทนเชิดเปนหลักการที่สรางขึ้นเพื่อคุมครองบุคคลภายนอกผูสุจริต กลาวคือ เปนกรณีที่บุคคลหนึ่งไปแสดงตนตอ
บุคคลภายนอกวาตนเปนตัวแทนของบุคคลอีกคนหนึ่งจนบุคคลภายนอกหลงเชื่อและกอนิติสัมพันธขึ้นดวย ตัวแทนเชิดอาจเกิดขึ้น
ได 2 ทาง คือ ทางหนึ่งเปนกรณีที่ไมเคยมีความเปนตัวการตัวแทนมากอนเลย กับอีกทางหนึ่งเปนกรณีที่เปนตัวแทนกันอยูแลวแตตัว
แทนทําการเกินอํานาจที่ไดรับมอบหมาย ผลทางกฎหมายก็คือ ถือวาเกิดสัญญาตัวแทนขึ้นระหวางคูกรณี แตสําหรับบุคคลภาย
นอกหับตัวแทนเชิดนั้น ตัวแทนจะตองรับผิดตอบุคคลภายนอกในฐานะคูสัญญาดวยลําพังตนเอง ตอเมื่อบุคคลภายนอกมารูความ
จริงในภายหลังแลว เมื่อนั้นบุคคลภายนอกก็มีสิทธิจะเลือกวาจะยึดถือใครเปนคูสัญญา
เชน ก.ไปอวดอางกับ ข. วาเปนตัวแทนของ ค. จะขายรถยนตของ ค. ให ข. ข. หลงเชื่อจึงซื้อรถยนตไป สวน ค. นั้น เมื่อ
ทราบแตแรกก็ไมชี้แจงหรือปฏิเสธแก ข. วา ก. มิใชตัวแทน เชนนี้ ค. ตองรับผิดชอบตอการกระทําของ ก. ในฐานะเปนตัวการ
43.นางอําไพมอบหมายใหนางอนงคนําที่ดินของตนไปจํานองไวกับนางองุน ซึ่งนางอนงครับทําการดังกลาวแตไดกรอกขอความลง
ในใบมอบอํานาจที่มีแตเพียงลายมือชื่อของนางอําไพวานางอําไพมอบหมายใหตนนําที่ดินดังกลาวไปขายใหแกนางองุน และนาง
องุนไดตกลงทําสัญญาซื้อขายที่ดินดังกลาว โดยไมทราบถึงการกระทําของนางอนงคดังกลาว เมื่อถึงเวลาชําระหนี้ตามสัญญาซื้อ
ขาย นางอําไพปฏิเสธไมยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกลาวใหแกนางองุนโดยอางวาตนไมไดรับมอบหมายใหนางอนงคนําที่ดินแปลง
ดังกลาวไปขายแตอยางใด ดังนี้ ขออางของนางอําไพฟงขึ้นหรือไม อยางไร
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 821 บัญญัติวา “บุคคลผูใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเปนตัวแทนของตนก็ดี รูแลวยอมใหบุคคลอีกคนหนึ่ง
เชิดตัวเขาเองออกแสดงเปนตัวแทนของตนก็ดี ทานวาบุคคลผูนั้นจะตองรับผิดตอบุคคลภายนอกผูสุจริตเสมือนวาบุคคลอีกคนหนึ่ง
นั้นเปนตัวแทนของตน”
มาตรา 822 บัญญัติวา”ถาตัวแทนทําการอันใดเกินอํานาจของตัวแทน แตทางปฏิบัติของตัวแทนทําใหบุคคลภายนอกมี
มูลเหตุอันสมควรจะเชื่อวาการอันนั้นอยูภายในขอบอํานาจของตัวแทนไซร ทานวาใหใชบทบัญญัติมาตรากอนนี้เปนบทบังคับ แลว
แตกรณี”
วินิจฉัย
ตามปญหา นางอนงคเปนตัวแทนเชิดของนางอําไพที่มีอํานาจนําที่ดินของนางอําไพไปจํานองไวกับนางองุน แตนาง
อนงคไดนําที่ดินดังกลาวไปขายใหแกนางองุนซึ่งเปนการกระทําที่เกินอํานาจของตัวแทนตามมาตรา 822 แตในทางปฏิบัติของนาง
อําไพที่ลงลายมือชื่อในใบมอบอํานาจโดยไมกรอกขอความแลวนางอนงคไดกรอกขอความวานางอําไพมอบหมายใหตนนําที่ดินดัง
กลาวไปขายใหแกนางองุนนั้นทําใหนางองุนซึ่งเปนบุคลภายนอกมีมูลเหตุจูงใจอันสมควรจะเชื่อไดวาการอันนั้นอยูในขอบอํานาจ
ของนางอนงคตัวแทน ตามมาตรา 822 แหง ปพพ. ดังนั้นเมื่อนางองุนเปนบุคคลภายนอกที่สุจริต ไมทราบถึงการกระทําของนาง
อนงคดังกลาวเชนนี้ นางอําไพจะตองรับผิดโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกลาวใหแกนางองุนตามมาตรา 821 แหง ปพพ. จะอางวาตนไม
ไดรับมอบหมายใหนางอนงคนําที่ดินแปลงดังกลาวไปขายไมได
สรุป ขออางของนางอําไพฟงไมขึ้น
44. แมวกูยืมเงินจากเหมียวไป 100,000 บาท มีกําหนดชําระคืนภายใน 3 ป แมวชําระหนี้ใหเหมียวทุกเดือน ๆ ละ 5,000 บาท
พรอมดอกเบี้ย เมื่อกูยืมไปได 2 ป แมวก็ชําระทั้งตนเงินและดอกเบี้ยใหเหมียวเสร็จสิ้น เหมียวไมคืนสัญญากูยืมใหแมว แตไดออก
ใบเสร็จรับเงินใหแมวไวในงวดสุดทาย 5,000 บาท เมื่อเวลาผานไป 2 ป เหมียวไดนําสัญญากูฉบับที่ทําไวกับแมวมาฟองเรียกให
แมวชําระหนี้รายนี้อีก แมวทําใบเสร็จรับเงินหายหมดเหลือแตใบเสร็จรับเงินในงวดสุดทายมาแสดง เหมียวอางวาชําระเพียง 5,000
บาทเทานั้น แมวจะตอสูเหมียวอยางไร
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรค 2 “ในการกูยืมเงินมีหลักฐานเปนหนังสือนั้น ทานวาจะนําสืบการใชเงินไดก็ตอเมื่อมีหลักฐานเปน
หนังสืออยางใดอยางหนึ่ง ลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมนั้นไดเวนคืนแลว หรือไดแทงเพิก
ถอนลงในเอกสารนั้นแลว”
มาตรา 327 บัญญัติวา”ในกรณีชําระดอกเบี้ย หรือชําระหนี้อยางอื่นอันมีกําหนดชําระเปนระยะเวลานั้น ถาเจาหนี้ออก
ใบเสร็จใหเพื่อระยะหนึ่งแลวโดยมิไดอิดเอื้อน ทานใหสันนิษฐานไวกอนวาเจาหนี้ไดรับชําระเพื่อระยะกอน ๆ นั้น”
วินิจฉัย
การที่แมวชําระหนี้ใหเหมียวแลว แมเหมียวจะไมไดเวนคืนหรือแทงเพิกถอนเอกสารสัญญากูยืมเงินก็ตาม แตเหมียวได
ออกใบเสร็จรับเงินไวใหแมว ถือวาไดมีหลักฐานเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่งลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง แมวจึงนําใบเสร็จรับเงิน
งวดสุดทายมาตอสูวาชําระหนี้ใหเหมียวแลว การที่เหมียวออกใบเสร็จรับเงินงวดสุดทายใหแมว กฎหมายสันนิษฐานวาในเดือนกอน
ๆ ไดรับชําระตนเงินจากแมวผูยืมแลว ตามมาตรา 327
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 863 บัญญัติวา “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถาผูเอาประกันภัยไมมีสวนไดเสียในเหตุที่ประกันภัยไวนั้นไซร ทานวา
จะไมผูกพันคูสัญญาแตอยางหนึ่งอยางใด”
มาตรา 869 บัญญัติวา”อันวาคําวา “วินาศภัย” ในหมวดนี้ ทานหมายรวมเอาความเสียหายอยางใด ๆ ซึ่งจะพึง
ประมาณเปนเงินได”
มาตรา 880 บัญญัติวา “ถาความวินาศภัยนั้นไดเกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร ผูรับประกันเสียคาสิน
ไหมทดแทนไปเปนจํานวนเพียงใด ผูรับประกันภัยยอมเขารับชวงสิทธิของผูเอาประกันและของผูรับประโยชนซึ่งมีบุคคลภายนอก
เพียงนั้น”
วินิจฉัย
ตามปญหา การที่สมศักดิ์เจาของรถยนตหมายเลขทะเบียน 1ง-3914 ไดโอนขายรถยนตใหสาวิตรีไปกอนการนํารถยนต
ไปประกันวินาศภัยไดกับโจทกตามมาตรา 869 แมการประกันทําในนามของสมศักดิ์เอง แตสมศักดิ์ก็มิใชผูมีสวนไดเสียในรถยนตที่
เอาประกันไว ตามมาตรา 863 ที่วาผูเอาประกันภัยตองมีสวนไดเสียในเหตุที่เอาประกันภัยไว มิฉะนั้นจะไมผูกพันคูสัญญา ดังนั้น
กรมธรรมประกันภัยระหวางสมศักดิ์กับบริษัทประกันจึงไมผูกพันคูกรณี เมื่อรถยนตที่บริษัทประกันฯ รับประกันไว ชนกับรถของสุ
ชาติ แมบริษัทฯ ไดชําระคาซอมรถยนตแทนสมศักดิ์ผูเอาประกันไปแลว บริษัทฯ ก็ไมไดรับชวงสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกคาซอม
รถจากสุชาติตามมาตรา 880(ฎ.115/2521)
46.นางเดือนมอบหมายใหนางดาวเปนตัวแทนนําลําไยไปสงใหแกนางจันทร ซึ่งเปนแมคาขายผลไมที่ตลาดน้ําอําเภอดําเนินสะดวก
จังหวัดราชบุรี โดยใหนางดาวนํารถยนตของตนบรรทุกลําไยดังกลาว ในระหวางเดินทางปรากฎวา รถยนตคันที่นางดาวขับเสียหลัก
พุงเขาชนเสาไฟฟาขางถนนเสียหายเปนเงินจํานวน 20,000 บาท ดังนั้นนางดาวจะเรียกคาเสียหายดังกลาวจากนางเดือนไดหรือไม
ถาความเสียหายดังกลาวเกิดจากเหตุการณตอไปนี้
(1) นางดาวหักพวงมาลัยหลบรถยนตที่นายเมฆขับรถสวนทางมาดวยความเร็วสูงและล้ําเขามาในเลนของนางดาวซึ่ง
ขับมาปกติ
(2) นางดาวขับรถยนตดังกลาวดวยความเร็วสูง โดยไมไดใชความระมัดระวังในขณะนั้นแลวหักพวงมาลัยหลบรถยนต
ที่นายเมฆขับสวนทางมาตามปกติ
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 816 วรรคสาม บัญญัติวา”ถาในการจัดกิจกรรมการอันเขามอบหมายแกตนนั้น เปนเหตุใหตัวแทนตองเสียหาย
อยางหนึ่งอยางใด มิใชเปนเพราะความผิดของตนเองไซร ทานวาตัวแทนจะเรียกเอาคาสินไหมทดแทนจากตัวการก็ได”
วินิจฉัย
ตามปญหา
(1) การที่นางดาวนํารถยนตของตนบรรทุกลําไยไปสงใหแกนางจันทร ซึ่งเปนการจัดทํากิจกรรมตามที่นางเดือนตัวการ
มอบหมาย เปนเหตุใหรถยนตคันดังกลาวเสียหายจากการที่ตนหักพวงมาลับหลบรถยนตที่นายเมฆขับสวนทางมาดวยความเร็วสูง
และล้ําเขามาในเลนของนางดาวซึ่งขับมาตามปกติ โดยมิใชความผิดของตนเอง ตาม ปพพ. มาตรา 816 วรรคสาม
ดังนั้น ในกรณีนี้ นางดาวเรียกคาสินไหมทดแทนดังกลาวจากนางเดือนตัวการได
(2) การที่นางดาวนํารถยนตของตนบรรทุกลําไยไปสงใหแกนางจันทร ซึ่งเปนการจัดทํากิจกรรมตามที่นางเดือนตัวการ
มอบหมาย เปนเหตุใหรถยนตคันดังกลาวเสียหายจากการที่ตนขับรถดวยความเร็วสูง โดยไมไดใชความระมัดระวังในขณะนั้น แลว
หักพวงมาลัยหลบรถยนตที่นายเมฆขับสวนทางมาตามปกติ โดยเปนความผิดของตนเอง ตาม ปพพ. มาตรา 816 วรรคสาม
ดังนั้น ในกรณีนี้ นางดาวตัวแทนจะเรียกคาสินไหมทดแทนดังกลาวจากนางเดือนตัวการไมได
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรคแรก บัญญัติวา “การกูยืมเงินเกินกวาหาสิบบาทขึ้นไปนั้น ถามิไดมีหลักฐานแหงการกูยืมเงินเปน
หนังสือแตอยางใดอยางหนึ่งลงลายมือชื่อผูยืมเปนสําคัญ ทานวาจะฟองรองบังคับคดีหาไดไม”
วินิจฉัย
ตามปญหา รายงานประจําวันเกี่ยวกับคดีที่เปรียบเทียบปรับนางสมในขอหาทํารายพระภิกษุแดงซึ่งมีขอความวา นาง
สมไดกูยืมเงินพระภิกษุแดง และสัญญาจะชดใชเงินคืนทั้งหมดไดลงลายมือชื่อไวดวย ถือวาเปนหลักฐานแหงการกูยืมเงินที่พระ
ภิกษุแดงใชฟองรองนางสมเปนคดีได แมวาในขณะทําสัญญากูยืมเงินจะมิไดมีหลักฐานเปนหลักฐานลงลายมือนางสมก็ตาม
ดังนั้น พระภิกษุแดงยอมมีสิทธิฟองเรียกรองตนเงินและดอกเบี้ยจากนางสมได และสัญญากูยืมเงินดังกลาวหาตกเปน
โมฆะแตอยางใด
สรุป ขอตอสูของนางสมฟงไมขึ้น
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 863 บัญญัติวา “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถาผูเอาประกันภัยมิไดมีสวนไดเสียในเหตุที่ประกันไวนั้นไซร ทานวา
ยอมไมผูกพันคูสัญญาแตอยางหนึ่งอยางใด”
มาตรา 889 บัญญัติวา”ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใชจํานวนเงินยอมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของบุคคลคน
หนึ่ง”
มาตรา 895 บัญญัติวา”เมื่อใดจะตองใชจํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ทานวาผูรับประกันภัยจําตอง
ใชเงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เวนแต…
(2)บุคคลผูนั้นถูกผูรับประโยชนฆาตายโดยเจตนา”
วินิจฉัย
ตามปญหา นายสุดจิตสามารถเอาประกันชีวิต ด.ช.สุดใจ บุตรของตนได เพราะถือวานายสุดจิตมีสวนไดเสียในชีวิตบุตร
ตาม ปพพ. มาตรา 863 และเมื่อ ด.ช.สุดใจ ถึงแกความตาย บริษัทรุงโรจนยอมตองใชเงินใหแกนายสุดจิตเพราะสัญญาประกันชีวิต
นั้นการใชเงินตองอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลหนึ่ง
แตบริษัทฯ ไมตองจายเงินจํานวนที่เอาประกันไว เมื่อบุคคลผูนั้นถูกผูรับผลประโยชนฆาตายโดยเจตนา ดังนั้นตามขอ
เท็จจริงดังกลาว ไมไดความวาการที่นายสุดจิตขับรถยนตชนตนไมใหญมีเจตนาฆา ด.ช.สุดใจ บริษัทฯ ตองใชเงินในเหตุมรณะของ
ด.ช.สุดใจ ไมตองตามมาตรา 895(2)
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 797 วรรคแรก บัญญัติวา”อันวาสัญญาตัวแทนนั้น คือสัญญาซึ่งใหบุคคลหนึ่ง เรียกวา ตัวแทน มีอํานาจทําการ
แทนบุคคลอีกบุคคลหนึ่ง เรียกวา ตัวการ และตกลงจะกระทําการดั่งนั้น…”
มาตรา 798 วรรคแรก บัญญัติวา”ถาในการใด ทานบังคับไวโดยกฎหมายวาทําเปนหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้น
ก็ตองทําเปนหนังสือดวย…”
มาตรา 816 วรรคแรก บัญญัติวา “ถาในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแกตนนั้นตัวแทนไดออกเงินทดรองหรือออก
เงินคาใชจายไป ซึ่งพิเคราะหตามเหตุควรนับวาเปนการจําเปนไดไซร ทานวาตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใชจากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ย
นับตั้งแตวันที่ไดออกเงินไปนั้นดวยก็ได…”
วินิจฉัย
ตามปญหา ราตรีเปนตัวแทนของทิวาในการทําสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 123 กับจันตรี ตาม ปพพ. มาตรา 797
เพราะราตรีตกลงรับทําการใหกับทิวาตามที่ไดรับมอบหมายและในการจัดทํากิจการตามที่ทิวาไดรับมอบหมายนั้น ราตรีไดออกเงิน
คาธรรมเนียมสําหรับการทําสัญญาดังกลาวอันเปนเงินทดรอง ซึ่งถือไดวาเปนการจําเปนเพื่อใหการทําสัญญานั้นสําเร็จลุลวงไป
ตาม ปพพ. มาตรา 816 วรรคแรก ทิวาซึ่งเปนตัวการจึงมีหนาที่ตองชดใชเงินจํานวน 2,000 บาท ที่ราตรีไดออกไป ทิวาจะปฏิเสธ
โดยอางวา การที่ราตรีออกเงินคาธรรมเนียมไปนั้น มิไดมีหลักฐานเปนหนังสือลงลายมือชื่อทิวาไมได เพราะตามปญหาไมใชกรณี
การกูยืมเงินกวา 50 บาท แตอยางใด และจะอางวาการมอบหมายใหราตรีไปทําการดังกลาวนั้นมิไดทําเปนหนังสือ ตาม ปพพ.
มาตรา 798 วรรคแรก ก็ไมไดเนื่องจากสัญญาตัวแทนไมมีแบบ เมื่อทิวาเปนตัวการยอมมีหนาที่ตาม ปพพ. มาตรา 816 วรรคแรก
ดังกลาวทั้งตามปญหาเปนเรื่องระหวางตัวการกับตัวแทนซึ่งไมอยูในบังคับของมาตรา 798
สรุป ขออางของทิวาฟงไมขึ้น
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 653 วรรคแรก บัญญัติวา “การกูยืมเงินเกินกวาหาสิบบาทขึ้นไปนั้น ถามิไดมีหลักฐานแหงการกูยืมเงินเปน
หนังสือแตอยางใดอยางหนึ่งลงลายมือชื่อผูยืมเปนสําคัญ ทานวาจะฟองรองบังคับคดีหาไดไม
ในการกูยืมเงินมีหลักฐานเปนหนังสือนั้น ทานวาจะนําสืบการใชเงินไดตอเมื่อมีหลักฐานเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่ง
ลงลายมือชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมนั้นไวเวนคืนแลว หรือไดแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแลว”
วินิจฉัย
ตามปญหานกเอี้ยงสามารถฟองเรียกเงินคาแชรที่คางจากนกขุนทองนายวงแชรได เนื่องจากการเลนแชรเปยหวยเปน
สัญญาชนิดหนึ่งผูกพันคูสัญญา สัญญาเลนแชรเปยหวยไมใชสัญญากูยืมเงิน ไมจําเปนตองมีหลักฐานเปนหนังสือก็สามารถเรียก
รองเงินกันได (ตามนัยคําพิพากษาฎีกาที่ 2253/2518)
สวนกรณีนกขุนทองนั้น การใหนกแกวยืมเงิน มีวัตถุประสงคเพื่อจายคาแชรไมตองหามตามกฎหมายแตอยางใด จึงใช
บังคับกันได เมื่อการกูยืมเงินกันเปนจํานวนกวา 50 บาท ไมมีหลักฐานในการกูยืมกันเปนหนังสือลงลายมือชื่อนกแกวผูยืมเปน
สําคัญ จึงฟองรองบังคับคดีไมได แมวาจะมีพยานบุคคลรูเห็นก็ตาม
สรุป นกเอี้ยงจะฟองเรียกเงินคาแชรที่คางชําระได และนกขุนทองจะฟองเรียกเงินที่นกแกวกูยืมไปไมได
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 861 บัญญัติวา “อันวาสัญญาประกันภัยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งตกลงจะชดใชคาสินไหมทดแทน หรือใชเงิน
จํานวนหนึ่งในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอยางอื่นในอนาคตดั่งไดระบุไวในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะ
สงเงินซึ่งเรียกวา เบี้ยประกันภัย”
มาตรา 865 วรรคแรก บัญญัติวา “ถาในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผูเอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอัน
การใชเงินยอมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รูอยูแลวละเวนเสียไมเปดเผยขอความจริงซึ่งอาจจะไดจูงใจผูรับประ
กันภัยใหเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือบอกปดไมยอมทําสัญญา หรือรูอยูแลววาแถลงขอความอันเปนเท็จไซร ทานวาสัญญานั้น
เปนโมฆียะ”
วินิจฉัย
แมภริยาของนายสดใสจะมีสวนไดเสียในสัญญาประกันชีวิตตาม ปพพ. มาตรา 863 แตก็ไมมีสิทธิเรียกรองใหบริษัท
แสนสุขประกันชีวิต จํากัด ชดใชคาสินไหมทดแทนเนื่องจากความตายของสดใสได เพราะสัญญาประกันชีวิตนั้นเปนโมฆียะ บริษัท
ฯ มีสิทธิบอกลางสัญญาดังกลาวได การที่นายสุขสมตัวแทนตกลงรับประกันชีวิตใหแกนายสดใสโดยทราบขอความจริงวา นายสด
ใสเปนโรคความดันโลหิตสูง และไมไดแจงใหบริษัททราบ จะถือวาบริษัท ฯ รับทราบขอความจริงเกี่ยวกับนายสดใสไมได เพราะ
นายสุขสมเปนตัวแทนหาประกันชีวิตใหกับบริษัทเทานั้น ไมไดมีลักษณะเปนตัวแทนตาม ปพพ. เพราะฉะนั้นขอความจริงที่ตัวแทน
ประกันชีวิตรูจะถือวาบริษัทรูไมได
สรุป หากขาพเจาเปนทนายความจะแนะนําวาบริษัท ฯ รับทําสัญญาประกันชีวิต โดยไมทราบขอความจริงเกี่ยว
กับเรื่องที่นายสดใสเปนโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจจะจูงใจใหบริษัท ฯ เรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือบอกปดไมยอมทําสัญญา
สัญญานี้ยอมมีผลเปนโมฆียะ เมื่อบริษัท ฯ บอกลางสัญญายอมตกเปนโมฆะ ภริยานายสดใสจึงไมมีสิทธิเรียกรองใหบริษัท ฯ ชด
ใชคาสินไหมทดแทนในกรณีนี้ได
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 827 บัญญัติวา “ตัวการจะถอนตัวแทน และตัวแทนจะบอกเลิกเปนตัวแทนเสียในเวลาใดก็ไดทุกเมื่อ
คูสัญญาฝายซึ่งถอนตัวแทน หรือบอกเลิกเปนตัวแทนในเวลาที่ไมสะดวกแกอีกฝายจะตองรับผิดตอคูสัญญาฝายนั้นใน
ความเสียหายอยางใด ๆ อันเกิดแตการนั้น เวนแตในกรณีที่ความจําเปนอันมิอาจจะกาวลวงเสียได
วินิจฉัย
มาตรา 827 ไดบัญญัติวา ใหตัวการหรือตัวแทนสามารถบอกเลิกการเปนตัวการหรือตัวแทนตอกันไดทุกเมื่อ กลาวคือตัว
การจะถอนตัวแทนเมื่อใดก็ได และตัวแทนจะบอกเลิกการเปนตัวแทนเมื่อใดก็ได แตเพื่อปองกันมิใหฝายใดฝายหนึ่งตองเสียหายอัน
เนื่องมาจากการบอกเลิกสัญญาตัวแทนในเวลาที่ไมสะดวกแกฝายใดฝายหนึ่ง บทบัญญัติวรรคสองจึงกําหนดใหคูสัญญาฝายที่
บอกเลิกสัญญาตองรับผิดชอบตอคูสัญญาอีกฝายในความเสียหายอยางใด ๆ ที่เกิดจากการบอกเลิกสัญญาในเวลาที่ไมสะดวกแก
อีกฝายหนึ่ง เวนแตกรณีที่มีความจําเปนอันมิอาจกาวลวงเสียได
ตามขอเท็จจริงนายอาสาบอกเลิกสัญญาตัวแทนตอนายธานีในขณะที่ขาวสารในรานกําลังมีราคาดี ขาดคนดูแลออกไป
ซื้อขาวสารมาขาย อันอยูในเวลาที่ไมสะดวกแกนายธานี และภายหลังบอกเลิกสัญญาแลว นายอาสาก็งดปฏิบัติหนาที่ตัวแทนทันที
ทําใหกิจการของนายธานีเสียหาย นายอาสาจึงตองรับผิดในความเสียหายดังกลาวตอนายธานีทั้งในกรณีมิไดมีความจําเปนอันมิ
อาจจะกลาวลวงเสียได นายอาสาจึงตองรับผิดในคาเสียหายดังกลาว
สรุป นายธานีเรียกรองเอาคาเสียหายจากนายอาสาได
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 655 บัญญัติวา”ทานหามมิใหคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่คางชําระ แตทวาเมื่อดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง
คูสัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยทบเขากับตนเงินแลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนที่ทบเขานั้นก็ได แตการตกลงเชนนั้นตองทํา
เปนหนังสือ”
วินิจฉัย
ตามปญหา การที่ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบตนในหนี้ที่นายวองไดคางชําระมาตั้งแตเริ่มกูยืมกันนั้นตองหามตาม
กฎหมาย เพราะตามมาตรา 655 นั้นบัญญัติวาดอกเบี้ยตองคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง คูสัญญาจึงจะตกลงใหคิดดอกเบี้ยทบตน
ได แสดงวาดอกเบี้ยที่คางชําระตั้งแตกูยืมกันในปแรก ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบตนไมได คูสัญญาจะตกลงใหคิดดอกเบี้ยทบตนได
ตอเมื่อนายวองคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง ดังนั้นธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบตนไดในปที่สอง คือ ตั้งแต 31 ตุลาคม 2537 เปนตนไป
สวนในปแรกตองคิดในอัตรา 15% ตอป ไมทบตน
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 816 บัญญัติวา”ตัวแทนสามารถเรียกรองเงินทดรองหรือคาใชจาย หรือคาเสียหายจากตัวการไดหากในการ
ปฏิบัติหนาที่ของตนนั้น ตัวแทนไดออกเงินหรือคาใชจายอยางใดไปเพื่อตัวการ”
วินิจฉัย
กรณีของนายดนัย ขอเท็จจริงฟงไดวา นายดนัยจําเปนตองซอมรถยนตและจําเปนตองออกเงินทดรองใหแกนายสุชาติไป
กอน ดังนั้น นายดนัยสามารถเรียกรองใหนายสุชาติชําระหนี้คาซอมรถยนตแทนตนได ในขณะเดียวกันนายสุชาติก็ตองชําระเงิน
10,000 บาท คืนใหนายดนัยพรอมทั้งดอกเบี้ยดวย ซึ่งในกรณีนี้ไมไดกําหนดอัตราดอกเบี้ยกันไว ก็ตองใชอัตรา 7.5% ในจํานวนเงิน
10,000 บาท ดังกลาว ทั้งนี้ตาม ปพพ. มาตรา 7
55.จงอธิบายการโอนและผลของการโอนวัตถุที่ไดเอาประกันภัยโดยผลของกฎหมายและโดยผลของนิติกรรมพรอมทั้งยกตัวอยาง
ประกอบดวย และเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิตามสัญญาประกันภัยโดยละเอียด
แนวตอบ
การโอนวัตถุที่เอาประกันโดยผลของกฎหมาย มีดังนี้
(1) การโอนทางมรดกทั้งในฐานะทายาทโดยธรรม และผูรับพินัยกรรม
(2) การโอนโดยบทบัญญัติของกฎหมาย เชน การบังคับซื้อตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย
การโอนทรัพยที่เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมอยูในประเภทการโอนโดยกฎหมายเพราะการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพยจากผูทําพินัยกรรมไปยังผูรับพินัยกรรมเปนไปโดยผลของกฎหมายเนื่องจากการตายของผูทําพินัยกรรม เชนเดียวกับการรับ
มรดกของทายาทโดยธรรมซึ่งเปนการโอนที่ปราศจากการแสดงเจตนาของเจามรดก
การโอนทรัพยที่เอาประกันภัยโดยผลของกฎหมาย ไมเปนผลใหผูรับโอนเขาเปนผูเอาประกันภัยคนใหมตามสัญญาประ
กันภัยเดิม เพราไมเขาเงื่อนไขตามมาตรา 862 วรรคสาม กลาวคือไมใชคูสัญญาฝายซึ่งตกลงจะสงเบี้ยประกันภัย
การโอนทรัพยที่เอาประกันโดยนิติกรรมมีผลใหสิทธิตามสัญญาประกันภัยโอนตามไปยังผูรับโอนดวย แตถาผูโอนไมมี
สิทธิใด ๆ ตามสัญญาประกันภัย เชน ไดยกประโยชนตามสัญญาประกันภัยนั้นใหผูรับประโยชนแลว ผูรับโอนยอมไมไดรับสิทธิตาม
สัญญาประกันภัย
กรณีที่สัญญาประกันภัยมิไดหามการโอนทรัพยที่เอาประกันภัยไว สิทธิในสัญญาประกันภัยจะโอนตามไปดวย เมื่อการ
โอนไดปฏิบัติถูกตองตามที่กฎหมายกําหนด และผูเอาประกันภัยไดบอกกลาวการโอนไปยังผูรับประกันภัยแลว
สัญญาประกันภัยจะตกเปนโมฆะเนื่องจากการโอนทรัพยที่เอาประกันภัยโดยนิติกรรมที่เปนผลโดยตรงใหชองวางแหง
ภัยเปลี่ยนไป หรือเพิ่มมากขึ้น
ผลของการโอนวัตถุที่เอาประกันภัยแยกประเภทได 2 กรณี คือ
(1) โอนโดยผลของกฎหมาย สิทธิของผูเอาประกันภัยยอมโอนตามไปดวยโดยไมตองไดรับความยินยอมจากผูรับประ
กันภัย
(2) โอนโดยนิติกรรม แยกไดเปน 2 กรณี คือ ในกรณีที่สัญญาประกันภัยไมมีเงื่อนไขหามโอน เมื่อไดปฏิบัติตามมาตรา
875 วรรคสอง คือ ไดบอกกลาววาการโอนทรัพยไปยังผูรับประกันภัยแลว สิทธิของผูเอาประกันภัยโอนไปยังผูรับโอนดวย แตใน
กรณีที่การโอนโดยนิติกรรมนี้เปนผลใหชองแหงภัยเปลี่ยนแปลงไป หรือเพิ่มมากขึ้น สัญญาประกันภัยเปนโมฆะ
เปรียบเทียบเหตุผลของกฎหมายในกรณีการโอนโดยกฎหมาย และการโอนโดยนิติกรรม
การโอนโดยผลของกฎหมาย
(1) สิทธิของผูเอาประกันภัยโอนตามไปดวยโดยมิตองบอกกลาว หรือไดรับความยินยอมจากผูรับประกันภัย
(2) เงื่อนไขหามโอนวัตถุที่เอาประกันภัยในสัญญาประกันภัยใชบังคับไมได
(3) สัญญาประกันภัยยังใชบังคับได แมการโอนนั้นจะทําใหชองแหงภัยเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มมากขึ้นก็ตาม
การโอนโดยนิติกรรม
(1) สิทธิของผูเอาประกันภัยโอนเมื่อไดมีการบอกกลาวการโอนตามมาตรา 875 วรรคสองแลว
(2) เงื่อนไขหามโอนวัตถุที่เอาประกันภัยในสัญญาประกันภัยใชบังคับได
(3) หากการโอนเปนผลใหชองแหงภัยเปลี่ยนแปลงไป หรือเพิ่มมากขึ้น สัญญาประกันภัยเปนโมฆะ
ผลของเงื่อนไขที่หามโอนวัตถุที่เอาประกันภัยในสัญญาประกันภัย แยกพิจารณาได 2 กรณี คือ
(1) การโอนโดยบทบัญญัติของกฎหมาย เงื่อนไขหามโอนดังกลาวใชบังคับไมได เพราะมิใชการโอนโดยการแสดง
เจตนาของคูสัญญาแตอยางใด
(2) การโอนโดยนิติกรรม เงื่อนไขหามโอนดังกลาวใชบังคับได เพราะการโอนเกิดขึ้นดวยการแสดงเจตนาของผูเอาประ
กันภัยซึ่งเปนคูสัญญาฝายหนึ่งที่ไดตกลงในเงื่อนไขหามโอนแลวยอมใชบังคับได ประกอบกับสิทธิตามสัญญาประกันภัยเปนบุคคล
สิทธิไมติดไปกับตัวทรัพยที่โอนดวย เมื่อคูสัญญาตกลงหามโอนยอมเปนไปตามเจตนานั้น
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 655 บัญญัติวา”ทานหามมิใหคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่คางชําระ แตทวาเมื่อดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาปหนึ่ง
คูสัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยทบเขากับตนเงินแลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนที่ทบเขานั้นก็ได แตการตกลงเชนนั้นตองทํา
เปนหนังสือ”
วินิจฉัย
ตามปญหา การที่นายวุธไดคางชําระดอกเบี้ยในปที่ 2 และ 3 นั้น เปนการคางชําระดอกเบี้ยกวาปหนึ่งแลว แมธนาคาร
จะไดแจงใหนายวุธทราบเมื่อทวงถามแลวนายวุธไมชําระก็ไมมีขอตกลงเปนหนังสือระหวางคูสัญญาใหเอาดอกเบี้ยทบเขากับตน
เงิน แลวใหคิดดอกเบี้ยในจํานวนที่ทบกันนั้น ซึ่งเปนวิธีคิดดอกเบี้ยทบตน ดังนั้นธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบตนในหนี้ที่คางชําระไมได
ไดแตจะคิดในวิธีธรรมดาไมทบตน
57.กรณีที่ตัวแทนทําการเกินอํานาจหนาที่ที่ไดรับมอบจากตัวการ และตอมาตัวการใหสัตยาบันกับการกระทําดังกลาวนั้นของตัว
แทน การใหสัตยาบันเชนนี้เกิดผลอยางไรทางกฎหมาย
แนวตอบ
การใหสัตยาบันของตัวการยอมกอใหเกิดผลทางกฎหมาย กลาวคือ ถือวาการกระทํานั้นสมบูรณ ผูกพัน และจะถือวา
เปนการกระทําของตัวการมาตั้งแตตน ลักษณะดังกลาวนี้ ยอมกอใหเกิดผลตอตัวการและตัวแทนดังนี้
1.ตัวแทนหลุดพนความรับผิดเปนการสวนตัว ทั้งนี้เพราะถือวา ตัวแทนไดกระทําในนามของตัวการแลว
2.ตัวแทนมีสิทธิตอตัวการ เมื่อมีการใหสัตยาบันแลว ตัวแทนยอมมีสิทธิและหนาที่ตอตัวการตามกฎหมาย เชน สิทธิใน
บําเหน็จ เปนตน
อยางไรก็ตามในบางกรณีการใหสัตยาบันของตัวการอาจไมทําใหเกิดผลเปลี่ยนแปลงฐานะของตัวแทนตอบุคล
ภายนอกได เชน กรณีที่ตัวแทนทําละเมิดตอบุคคลภายนอก ตัวแทนจะตองรับผิดตอบุคคลภายนอกในเหตุ
ละเมิดนั้น แตเมื่อตัวการใหสัตยาบันแกการกระทํานั้นก็ทําใหตัวการตองรวมรับผิดดวย และการใหสัตยาบันนั้น
ยอมไมกระทบกระเทือนตอสิทธิที่บุคคลภายนอกเขามีอยูแลวกอนใหสัตยาบัน
58 .ก.เหตุใดผูรับประกันภัยที่ชําระคาสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยค้ําจุนใหผูเอาประกันจึงไมหลุดพนความรับผิด และการ
ที่ผูตองเสียหายไมเรียกเอาผูเอาประกันภัยเขาไปในคดีที่ตนฟองผูรับประกันภัยนั้น มีผลตามกฎหมายอยางไร จงอธิบาย
ข. อายุความตมสัญญาประกันภัยค้ําจุนเกี่ยวของกับอายุความในมูลหนี้ที่ผูเอาประกันภัยจะตองรับผิดอยางใด และปญหาอายุ
ความเปนปญหาที่เกี่ยวดวยอํานาจฟองของผูรับประกันภัยใชหรือไม
แนวตอบ
ก. ผูรับประกันภัยที่ชําระคาสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยค้ําจุน ใหผูเอาประกันภัยไมหลุดพนความรับผิด
เพราะผูเอาประกันภัยมิใชผูไดรับความเสียหายจากวินาศภัยที่เกิดขึ้น การที่ผูรับประกันภัยชําระคาสินไหมทดแทนใหไปจึงไมใชการ
ชดใชคาสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แทจริง ผูรับประกันภัยจึงไมหลุดพนความรับผิด
การที่ผูตองเสียหายไมเรียกเอาผูเอาประกันภัยเขาไปในคดีที่ฟองผูรับประกันภัยนั้น มีผลตามกฎหมายคือ ผูตองเสียหาย
จะนําคดีไปฟองผูเอาประกันภัยใหชดใชคาสินไหมทดแทนสวนที่ขาดเปนคดีใหมไมได เพราะถือวาผูตองเสียหายไดแสดงเจตนา
สละสิทธิของตนในมูลหนี้ที่มีตอผูเอาประกันภัยแลว
ข. อายุความตามสัญญาประกันภัยค้ําจุนเกี่ยวของกับอายุความในมูลหนี้ที่ผูเอาประกันภัยจะตองรับผิด กลาวคือ ถา
ปรากฏวาคดีที่ผูตองเสียหายฟองผูเอาประกันภัยขาดอายุความ ผูเอาประกันภัยไมตองรับผิดตอผูเสียหาย ผูรับประกันภัยยอมไม
ตองรับผิด ตามมาตรา 887 วรรคแรก แตถาไมมีคดีฟองผูกอความเสียหายและผูเอาประกันภัยไมไดปฏิเสธความรับผิดดวยเหตุอายุ
ความ ผูรับประกันภัยจะตอสูวาสิทธิเรียกรองของผูเสียหายที่มีตอผูเอาประกันภัยขาดอายุความแลวไมได เพราะไมใชขอตอสูในมูล
หนี้ของสัญญาประกันภัย
ตามปกติปญหาอายุความไมใชปญหาที่เกี่ยวดวยอํานาจฟองของผูรับประกันภัย แตถาการขาดอายุความนั้นเปนปญหา
ที่เกี่ยวดวยความรับผิดของผูเอาประกันภัย ซึ่งเปนผลใหผูตองเสียหายไมมีอํานาจฟองผูรับประกันภัยแลว แมผูรับประกันภัยจะไม
ไดยกเรื่องอายุความขึ้นมาตอสู ศาลก็มีอํานาจยกขึ้นวินิจฉัยได