Professional Documents
Culture Documents
แนวทางเวชปฏิบัตินี้ เปนเครื่องมือสงเสริมคุณภาพของการบริการโรคเบาหวานที่เหมาะสม
กับทรัพยากรและเงื่อนไขของสังคมไทย โดยหวังผลในการสงเสริมและพัฒนาบริการโรคเบาหวาน
ใหมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชนสูงสุด และคุมคา ขอแนะนําตางๆ ในแนวทางเวชปฏิบัตินี้ไมใช
ขอบังคับของการปฏิบัติ ผูใชสามารถปฏิบัติแตกตางไปจากขอแนะนํานี้ได ในกรณีที่สถานการณ
แตกตางออกไป หรือมีขอจํากัดของสถานบริการและทรัพยากร หรือมีเหตุผลที่สมควรอื่นๆ โดยใช
วิจารณญาณซึง่ เปนที่ยอมรับและอยูบนพื้นฐานหลักวิชาการและจรรยาบรรณ
ฉ
คําชี้แจงน้ําหนักคําแนะนําและคุณภาพหลักฐาน
การประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานในผูใหญ
ในประเทศไทย ขอมูลลาสุดพบวาประมาณหนึ่งในสามของผูปวยเบาหวานไมทราบวาตนเองปวยเปน
โรค1 การตรวจคัดกรอง (screening test) มีประโยชนในการคนหาผูซึ่งไมมีอาการ เพื่อวินิจฉัยและใหการรักษา
ตั้งแตระยะเริ่มแรก โดยมุงหมายปองกันมิใหเกิดโรคแทรกซอน อยางไรก็ดี การทราบความเสี่ยงตอการเกิด
โรคเบาหวาน ทําใหสามารถตรวจคัดกรองหาโรคเบาหวานในประชากรทั่วไปไดอยางประหยัดคุมคาขึ้น คือ
เลือกทําในกลุมซึ่งมีความเสี่ยงสูงเทานั้น (high risk screening strategy)
เนื่องจากอุบัติการณของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ในประเทศไทยต่ํามาก2 แนวทางในปจจุบันจึงไมแนะนํา
ใหตรวจคัดกรองหรือประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดนี้ การประเมินความเสี่ยงตอการเกิดโรค
ในที่นี้จะเกี่ยวของกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เทานั้น
ปจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานมีหลายอยาง และมีน้ําหนักในการกอใหเกิดโรคแตกตางกัน การประเมิน
ความเสี่ ย งจํ า เป น ต อ งนํ า ป จ จั ย ส ว นใหญ ห รื อ ทั้ ง หมดเข า มาใช ร ว มกั น วิ ธี ก ารประเมิ น ความเสี่ ย งของ
โรคเบาหวาน มี 2 แนวทาง คือ
1. การประเมินความเสี่ยงในชวงเวลานั้น โดยใชแบบประเมินหรือเกณฑประเมินความเสี่ยงซึ่งไดมา
จากการศึกษาชนิดตัดขวาง (prevalence หรือ cross-sectional study) ใหตรวจคัดกรองโดยการเจาะเลือดวัดระดับ
น้ําตาลในผูที่มีความเสี่ยง จึงจะมีโอกาสสูงที่จะตรวจพบวาเปนเบาหวาน (prevalent case) การประเมินความ
เสี่ยงรูปแบบนี้ ใชสําหรับการตรวจคัดกรอง (screening) เพื่อคนหาผูปวยโรคเบาหวานที่ยังไมมีอาการและให
การรักษาไดตั้งแตระยะเริ่มแรก การศึกษาในประเทศไทย3 พบวาตัวแปร 3 อยางคือ อายุ, ดัชนีมวลกาย (body
mass index, BMI) และประวัติการเปนโรคความดันเลือดสูง มีความสัมพันธกับการตรวจพบโรคเบาหวาน โดย
ใชคะแนนความเสี่ยง (risk score) ตามสมการดังนี้
เอกสารอางอิง
1. วิชัย เอกพลากร (บรรณาธิการ). รายงานการสํารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจรางกายครั้งที่ 4 พ.ศ.
2551-2552. นนทบุรี: สํานักงานสํารวจสุขภาพประชาชนไทย / สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข; 2553.
2. สาธิต วรรณแสง. สภาพปญหาของโรคเบาหวานในประเทศไทย ใน: วรรณี นิธิยานันท, สาธิต วรรณแสง
และ ชัยชาญ ดีโรจนวงศ (บก.) สถานการณโรคเบาหวานในประเทศไทย 2550. สมาคมโรคเบาหวานแหง
ประเทศไทย 2550, หนา 1-16
3. Keesukphan P, Chanprasertyothin S, Ongphiphadhanakul B, Puavilai G. The development and validation
of a diabetes risk score for high-risk Thai adults, J Med Assoc Thai 2007; 90: 149-54.
4. Pan XR, Li GW, Hu YH, Wang JX, Yang WY, An ZX, et al. Effects of diet and exercise in preventing
NIDDM in people with impaired glucose tolerance: the DaQing IGT and Diabetes Study. Diabetes Care
1997; 20: 537-44.
5. Tumilehto J, Lindstrom J, Eriksson JG, Valle TT, Hamalainen H, llanne-Parikka P, et al. Prevention of
type 2 diabetes mellitus by changes in lifestyle among subjects with impaired glucose tolerance. N Engl J
Med 2002; 344: 1343-50.
6. Knowler WC, Barrett-Connor E, Fowler SE, Hamman RF, Lachin JM, Walker EA, et al. Reduction in the
incidence of type 2 with lifestyle intervention or metformin. N Engl J Med 2002; 346: 393-403.
7. Li G, Zhang P, Wang J, Gregg EW, Yang W, Gong Q, et al. The long-term effect of lifestyle
interventions to prevent diabetes in China Da Qing Diabetes Prevention Study: a 20-year follow-up study.
Lancet 2008; 371: 1783-9.
8. Aekplakorn W, Cheepudomwit S, Bunnag P, et al. A risk score for predicting incident diabetes in the Thai
population. Diabetes Care 2006; 29: 1872-7.
5
ชนิดของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานแบงเปน 4 ชนิดตามสาเหตุของการเกิดโรค
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM)
2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T2DM)
3. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจําเพาะ (other specific type)
4. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ (gestational diabetes mellitus, GDM)
แนวทางการคัดกรอง การวินิจฉัยโรคเบาหวานในผูใหญและการประเมินทางคลินิกเมื่อแรกวินิจฉัย
แนวทางการคัดกรองโรคเบาหวาน
การคัดกรองโรคเบาหวานในผูใหญซึ่งไมรวมหญิงมีครรภ (แผนภูมทิ ี่ 1) แนะนําใหตรวจคัดกรองใน
กรณีตอไปนี1-5 ้ (คุณภาพหลักฐานระดับ 2, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
1 ) ผูที่มีอายุ 35 ปขึ้นไป
2) ผูที่อวน (BMI ≥25 กก./ม.2 และ/หรือ มีรอบพุงเกินมาตรฐาน) และมีพอ แม พี่ หรือ นอง เปน
โรคเบาหวาน
3) เปนโรคความดันโลหิตสูงหรือรับประทานยาควบคุมความดันโลหิตอยู
4) มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ
5) มีประวัติเปนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ หรือเคยคลอดบุตรที่น้ําหนักตัวแรกเกิดเกิน 4 กิโลกรัม 6)
เคยไดรับการตรวจพบวาเปน impaired glucose tolerance (IGT) หรือ impaired fasting glucose
(IFG)
7) มีโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease)
มาตรฐานรอบพุงหรือรอบเอว (waist circumference) สําหรับคนไทยคือ นอยกวา 90 เซนติเมตร ใน
ผูชาย และนอยกวา 80 เซนติเมตร ในผูห ญิง การวัดรอบพุงใหทําในชวงเชา ขณะยังไมไดรับประทานอาหาร
ตําแหนงทีว่ ัดไมควรมีเสื้อผาปด หากมีใหเปนเสื้อผาเนื้อบาง วิธีวัดทีแ่ นะนําคือ
• อยูในทายืน เทา 2 ขางหางกันประมาณ 10 เซนติเมตร
• หาตําแหนงขอบบนสุดของกระดูกเชิงกรานและขอบลางของชายโครง
• ใชสายวัดพันรอบพุงที่ตําแหนงจุดกึ่งกลางระหวางขอบบนของกระดูกเชิงกรานและขอบลาง
ของชายโครง โดยใหสายวัดอยูในแนวขนานกับพื้น
• วัดในชวงหายใจออก โดยใหสายวัดแนบกับลําตัวพอดีไมรัดแนน
7
ใช
ใช
ระดับ fasting plasma Fasting plasma glucose
วินิจฉัยวาเปนเบาหวาน
glucose ≥ 126 มก./ดล. ไดรับการยืนยันอีก 1 ครั้ง
ไมใช
Impaired fasting glucose ลงทะเบียน
ผูปวยเบาหวานผูใหญ
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต
2. วัดระดับ fasting plasma glucose ซ้ํา สงตอพบแพทย
ทุก 1-3 ป
การคัดกรองเบาหวาน ควรทําใน
8. ผูที่อายุ 35 ปขึ้นไป
9. ผูที่อวน* และมี พอ แม พี่ หรือ นอง เปนโรคเบาหวาน
10. เปนโรคความดันโลหิตสูงหรือกําลังรับประทานยาควบคุมความดันโลหิตสูง
11. มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด ≥ 250 มก./ดล.และ/หรือ เอช ดี แอล
คอเลสเตอรอล (<35มก./ดล.)
12. มีประวัติเปนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภหรือเคยคลอดบุตรน้ําหนักเกิน 4 กิโลกรัม
13. เคยไดรับการตรวจพบวาเปน IGT หรือ IFG
14. มีโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease)
*อวน หมายถึง BMI ≥ 25กก./ม.2 และ/หรือ รอบเอวเทากับหรือมากกวา 90 ซม.ในผูชาย หรือ เทากับหรือมากกวา 80
ซม.ในผูหญิง
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน ทําไดโดย
1. ผูที่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ํามาก ปสสาวะบอยและมาก น้ําหนักตัวลดลงโดยที่ไม
มีสาเหตุ สามารถตรวจระดับพลาสมากลูโคสเวลาใดก็ได ไมจําเปนตองอดอาหาร ถามีคามากกวา
หรือเทากับ 200 มก./ดล. ใหการวินจิ ฉัยวาเปนโรคเบาหวาน
2. การตรวจระดับพลาสมากลูโคสตอนเชาหลังอดอาหารขามคืนมากกวา 8 ชัว่ โมง (FPG) พบคา ≥126
มก./ดล. ใหตรวจยืนยันอีกครั้งหนึ่งตางวันกัน
3. การตรวจความทนตอกลูโคส (75 g Oral Glucose Tolerance Test, OGTT) ใชสําหรับผูที่มีความ
เสี่ยงสูงแตตรวจพบ FPG นอยกวา 126 มก./ดล. (ดูรายละเอียดการตรวจความทนตอกลูโคสใน
ภาคผนวก 2) ถาระดับพลาสมากลูโคส 2 ชั่วโมงหลังดื่ม ≥200 มก./ดล. ใหการวินิจฉัยวาเปน
โรคเบาหวาน
รายละเอียดการแปลผลระดับพลาสมากลูโคสสรุปไวในตารางที่ 1
ตารางที่ 1. การแปลผลระดับน้ําตาลในเลือด
• การแปลผลคาพลาสมากลูโคสขณะอดอาหาร (FPG)
FPG < 100 มก./ดล. = ปกติ
FPG 100 – 125 มก./ดล. = Impaired fasting glucose (IFG)
FPG ≥ 126 มก./ดล. = โรคเบาหวาน
• การแปลผลคาพลาสมากลูโคสที่ 2 ชั่วโมงหลังดื่มน้ําตาลกลูโคส 75 กรัม (75 g OGTT)
2 h-PG < 140 มก./ดล. = ปกติ
2 h-PG 140 – 199 มก./ดล. = Impaired glucose tolerance (IGT)
2 h-PG ≥ 200 มก./ดล. = โรคเบาหวาน
9
ในประเทศไทย ยั ง ไม แ นะนํ า ให ใ ช HbA1c สํ า หรั บ การวิ นิ จ ฉั ย โรคเบาหวาน เนื่ อ งจากยั ง ไม มี
standardization และ quality control ของการตรวจ HbA1c ที่เหมาะสมเพียงพอ และคาใชจายในการตรวจยังสูง
มาก
การประเมินทางคลินิกเมื่อแรกวินิจฉัยโรคเบาหวาน4,5
ผูปวยเบาหวานเมื่อไดรับการวินิจฉัยโรควาเปนโรคเบาหวานครั้งแรก ควรไดรับการซักประวัติ ตรวจ
รางกาย และการตรวจทางหองปฏิบัติการดังตอไปนี้ (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
ประวัติ ประกอบดวย อายุ อาการและระยะเวลาของอาการของโรคเบาหวาน อาการที่เกี่ยวของกับ
ภาวะแทรกซ อ นของโรคเบาหวาน ยาอื่ น ๆ ที่ ไ ด รั บ ซึ่ ง อาจมี ผ ลทํ า ให ร ะดั บ น้ํ า ตาลในเลื อ ดสู ง เช น
glucocorticoid โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวของกับโรคเบาหวานไดแก ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรค
ระบบหลอดเลือดหัวใจและสมอง เกาท โรคตาและไต (เนื่องจากผูปวยเหลานี้มีโอกาสพบเบาหวานรวมดวย)
อาชี พ การดําเนิน ชีวิต การออกกําลั งกาย การสูบบุหรี่ อุปนิสัยการรั บประทานอาหาร เศรษฐานะ ประวัติ
ครอบครัวของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคระบบหลอดเลือดหัวใจและสมอง
การตรวจรางกาย ชั่งน้ําหนัก วัดสวนสูง รอบพุง (รอบเอว) ความดันโลหิต คลําชีพจรสวนปลาย และ
ตรวจเสียงดังที่หลอดเลือดคาโรติด (carotid bruit) ผิวหนัง เทา ฟน เหงือก และตรวจคนหาภาวะหรือโรคแทรก
ซอนเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นที่จอประสาทตา (diabetic retinopathy) ไต (diabetic nephropathy) เสนประสาท
(diabetic neuropathy) และโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
ถาเปนผูปวยเบาหวานชนิดที่ 1 ใหตรวจคนหาโรคแทรกซอนเรื้อรังขางตนหลังการวินิจฉัย 5 ป
การตรวจทางหองปฏิบัติการ เจาะเลือดจากหลอดเลือดดําเพื่อวัดระดับ FPG, HbA1c, total cholesterol,
triglyceride, HDL-cholesterol, (คํานวณหา LDL-cholesterol หรือวัดระดับ LDL-cholesterol), serum creatinine,
ตรวจปสสาวะ (urinalysis) หากตรวจไมพบสารโปรตีนในปสสาวะโดยการตรวจ urinalysis ใหตรวจหา
microalbuminuria ในกรณีที่มีอาการบงชี้ของโรคหลอดเลือดหัวใจหรือผูสูงอายุควรตรวจคลื่นไฟฟาหัวใจ
(ECG)
เอกสารอางอิง
• American Diabetes Association. Position statement. Diagnosis and classification of diabetes mellitus. Diabetes
Care 2010; 33 (Suppl 1): S62-S69.
• Kahn R, Alperin P, Eddy D, Borch-Johnsen K, Buse J, Feigelman J, et al. Age at initiation and frequency of
screening to detect type 2 diabetes: a cost-effectiveness analysis. Lancet 2010; 375: 1365-74.
• สํานักนโยบายและยุทธศาสตร สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการปองกัน ควบคุมโรคเบาหวาน
และความดันโลหิตสูง ใน: แนวทางการดําเนินงาน "โครงการสนองน้ําพระราชหฤทัยในหลวง ทรงหวงใยสุขภาพ
ประชาชน". โรงพิมพองคการสงเคราะหทหารผานศึกในพระบรมราชูปถัมภ, นนทบุรี 2553; หนา 17-46.
10
• Puavilai G, Kheesukapan P, Chanprasertyotin S, et al. Random capillary plasma measurement in the screening
of diabetes mellitus in high risk subjects in Thailand. Diabetes Res Clin Pract 2001; 51: 125-31.
• American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33 (Suppl 1):
S11-S61.
• Clinical Guidelines Task Force. Global guideline for type 2 diabetes. International Diabetes Federation 2005.
11
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต
ตารางที่ 1. ขอแนะนําอาหารทางการแพทยเพื่อปองกันหรือรักษาโรคเบาหวาน
ประเภทของผูปวย / โรค ขอแนะนํา
ผู ที่ มี น้ํ า หนั ก เกิ น และเป น •ลดน้ําหนักเพือ่ ลดภาวะดื้อตออินซูลิน (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
เบาหวานหรือเสี่ยงที่จะเปน •ใหลดปริมาณพลังงานและไขมันที่รับประทาน เพิ่มการมีกิจกรรมทาง
เบาหวาน กายอยางสม่ําเสมอและการติดตามอยางตอเนื่อง จนสามารถลดน้ําหนัก
ไดอยางนอยรอยละ 5-7 ของน้ําหนักตั้งตน (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
•การลดน้ําหนักโดยอาหารคารโบไฮเดรตต่ํา หรือ อาหารไขมันต่ํา
พลังงานต่ํา ไดผลเทาๆ กันในระยะ 1 ป (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
•ถาลดน้ําหนักดวยอาหารคารโบไฮเดรตต่ํา ควรติดตามระดับไขมันใน
เลือด การทํางานของไตและปริมาณโปรตีนจากอาหารที่รับประทาน
•การออกกําลังกาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอยางตอเนื่อง จะชวย
ในการควบคุมน้ําหนักใหคงที่ (maintenance of weights loss) (น้ําหนัก
คําแนะนํา +)
12
การออกกําลังกาย8,9
การออกกําลังกายสามารถลดระดับน้ําตาลในเลือดไดถามีอินซูลินเพียงพอ เพื่อปองกันการเกิดภาวะ
น้ําตาลต่ําในเลือด ผูปวยที่ไดรับยาอินซูลินหรือยากระตุนการหลั่งอินซูลิน ควรตรวจระดับน้ําตาลในเลือด กอน
ออกกําลังกาย เมื่อหยุดออกกําลังกาย และหลังออกกําลังกายหลายชั่วโมง ถามีระดับน้ําตาลต่ําในเลือด อาจ
จําเปนตองลดยากอนออกกําลังกาย และ/หรือรับประทานอาหารคารโบไฮเดรตเพิ่มขึ้น เพื่อปองกันไมใหเกิด
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
แนะนําใหผูปวยเบาหวานออกกําลังกายแบบแอโรบิกอยางสม่ําเสมอ (ตารางที่ 2) ผูปวยเบาหวานชนิดที่
2 อาจออกกําลังกายแบบ resistance เชน ยกน้ําหนัก 3 ครั้งตอสัปดาห ในทุกกลามเนื้อหลัก โดยทํา 8-10 ครั้ง/ชุด
วันละ 3 ชุด หรือออกกําลังกายแบบแอโรบิกรวมกับการออกกําลังกายแบบ resistance (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
ตารางที่ 2. การออกกําลังกายแบบแอโรบิก
เปาหมาย ระยะเวลาและความหนักของการออกกําลังกาย
เพื่อควบคุมระดับน้ําตาลใน • ออกกําลังกายหนักปานกลาง 150 นาที/สัปดาห (ออกกําลังกายหนัก
เลื อ ด ลดน้ํ า หนั ก ตั ว และ ปานกลางคือใหชีพจรเทากับ50-70% ของชีพจรสูงสุด) หรือออกกําลัง
ลดป จ จั ย เสี่ ย งในการเกิ ด กายหนักมาก 75 นาที/สัปดาหควรกระจายอยางนอย 3 วัน/สัปดาห
โรคหัวใจและหลอดเลือด และไมงดออกกําลังกายติดตอกันเกิน 2วัน (น้ําหนักคําแนะนํา ++)10
เพื่ อ คงน้ํ า หนั ก ที่ ล ดลงไว • ออกกําลังกายความหนักปานกลางถึงมาก 7 ชั่วโมงตอสัปดาห
ตลอดไป (น้ําหนักคําแนะนํา +)10
16
ขอควรปฏิบัติในการออกกําลังกาย9
ผูปวยเบาหวานที่ระดับน้ําตาลควบคุมไมไดหรือมีภาวะแทรกซอนจากเบาหวาน การออกกําลังกายมีขอ
พึงปฏิบัติและพึงระวังตามตารางที่ 3
การสูบบุหรี่
แนะนําใหผูปวยเบาหวานทุกคนงดหรือหยุดสูบบุหรี่9 การรักษาเพื่อหยุดบุหรี่เปนสวนหนึ่งของ
มาตรฐานการดูแลโรคเบาหวาน (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
ตารางที่ 3. ขอพึงระวังและพึงปฏิบัติเมื่อออกกําลังกายในภาวะตางๆ
ระดั บ น้ํ า ตาลในเลื อ ดสู ง • ไมควรออกกําลังกายอยางหนักในขณะที่มภี าวะ ketosis
มากเกิน • ถาน้ําตาลสูงอยางเดียวโดยไมมี ketosis และรูสึกสบายดี สามารถ
ออกกําลังหนักปานกลางไดในผูที่ฉีดอินซูลินหรือกินยากระตุนอินซูลนิ
อยู
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด • ถาระดับน้ําตาลกอนออกกําลังกาย <100 มก./ดล. ควรรับประทาน
อาหารคารโบไฮเดรตเพิ่มเติมกอนออกกําลังกาย
โรคแทรกซ อ นที่ ต าจาก • ถามี proliferative diabetic retinopathy (PDR) หรือ severe NPDR
เบาหวาน ไมควรออกกําลังกายหนักมากหรือ resistance exercise
โรคแทรกซ อ นที่ ป ระสาท • การออกกําลังปานกลางโดยการเดิน ไมไดเพิ่มความเสี่ยงตอการ
ส ว นปลายจากเบาหวาน เกิดแผลที่เทา อยางไรก็ดี ผูที่มีอาการเทาชาควรสวมใสรองเทาที่
(peripheral neuropathy) เหมาะสมในการออกกําลังกาย และตรวจเทาทุกวัน ผูที่มีแผลที่เทาควร
เลี่ยงแรงกดกระแทกทีแ่ ผล ใหออกกําลังโดยไมลงน้ําหนักที่เทา (non-
weight bearing exercise) แทน
ระบบประสาทอั ต โนมั ติ • ควรตรวจประเมินระบบหัวใจ ถาหากจะออกกําลังกายเพิม่ ขึ้นกวา
ผิดปกติ ที่เคยปฏิบัติอยู
ไตเสื่อมจากเบาหวาน • ไมมีขอหามจําเพาะใดๆ ในการออกกําลังกาย
17
เอกสารอางอิง
1. Lifestyle management. In: Global guideline for type 2 diabetes. International Diabetes Federation 2005, p
22-5.
2.American Diabetes Association. Nutrition recommendations and interventions for diabetes 2006: a position
statement of the American Diabetes Association. Annual Review of Diabetes 2007, p 132-49.
3. Diabetes prevention program research group. Reduction of the incidence of type 2 diabetes with lifestyle
intervention or metformin. N Engl J Med 2002: 346: 393-403.
4. Tuomilehto J, Lindstrom J, Eriksson JG, et al. Prevention of type 2 diabetes mellitus by changes in
lifestyle among subjects with impaired glucose tolerance. N Engl J Med 2001; 344: 1343-50.
5. กรกต วีรเธียร อินทรเอื้อ. โภชนบําบัด. ใน: การใหความรูเพื่อจัดการโรคเบาหวานดวยตนเอง. สมเกียรติ
โพธิสัตย, วรรณี นิธิยานันท, อัมพา สุทธิจํารูญ, ยุพิน เบ็ญจสุรัตนวงศ, บรรณาธิการ. ชุมนุมสหกรณ
การเกษตรแหงประเทศไทย กรุงเทพมหานคร 2553, หนา 35-55.
6. คณะกรรมการโภชนาการ ชมรมผูใหความรูโรคเบาหวาน. โภชนบําบัดสําหรับโรคเบาหวาน ใน: โครงการ
ใหความรูโรคเบาหวาน 21-24 กุมภาพันธ 2543. ชมรมผูใหความรูโ รคเบาหวาน สมาคมตอมไรทอแหง
ประเทศไทย
7. คณะทํางานจัดทําขอปฎิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดขี องคนไทย. คูมือธงโภชนาการ กินพอดี สุขีทั่ว
ไทย. กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 2543; 62-3.
8. Sigal RJ, Kenny GP, Wasserman DH, Castaneda-Sceppa C, White RD. Physical activity / exercise and
type 2 diabetes: a consensus statement from the American Diabetes Association. American Diabetes
Association. Annual Review of Diabetes 2007, p 167-72.
9. American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
10. Buse JB, Ginsberg HN, Bakris GL, et al. Primary prevention of cardiovascular diseases in people with
diabetes mellitus: a scientific statement from the American Heart Association and the American Diabetes
Association. Circulation 2007; 115: 114-26.
18
การใหความรูโรคเบาหวานเพื่อการดูแลตนเอง
การให ค วามรู โ รคเบาหวาน มี จุ ด มุ ง หมายให ผู ป ว ยและผู ดู แ ลผู ป ว ยมี ค วามรู ค วามเข า ใจเกี่ ย วกั บ
โรคเบาหวาน วิธีการดูแลรักษา ความรวมมือในการรักษา ตลอดจนสามารถปฏิบัติเพื่อดูแลตนเองอยางถูกตอง
และตอเนื่อง ทําใหบรรลุเปาหมายของการรักษาได1-4 ผูใหความรูแกผูปวยตองมีความรูความเขาใจโรคเบาหวาน
เปนอยางดี มีความมุงมั่น มีทักษะ รวมทั้งมีความสามารถในการสรางแรงจูงใจและเสริมพลัง (empowerment)
ใหผูปวยและผูดูแลผูปวยปฏิบัติไดจริง5,6
เนื้อหาความรูเรื่องโรคเบาหวาน
เนื้อหาความรูเรื่องโรคเบาหวานที่จําเปนในการใหความรูโรคเบาหวาน ประกอบดวย
11. ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับเบาหวาน
12. โรคแทรกซอนจากเบาหวาน
13. โภชนบําบัด
14. การออกกําลังกาย
15. ยารักษาเบาหวาน
16. การตรวจวัดระดับน้ําตาลในเลือดและปสสาวะและแปลผลดวยตนเอง
17. ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดและวิธีปองกันแกไข
18. การดูแลสุขภาพโดยทั่วไป
19. การดูแลในภาวะพิเศษ เชน ตั้งครรภ ขึ้นเครื่องบิน เดินทางไกล ไปงานเลี้ยง เลนกีฬา
20. การดูแลรักษาเทา
กรณี ผู เ ป น เบาหวานชนิ ด ที่ 1 ควรเน น และให ค วามสํ าคั ญ ในเรื่ อง ยาอิ น ซู ลิน ชนิ ด การออกฤทธิ์
ความสัมพันธของยาอินซูลิน กับ อาหาร การออกกําลังกาย การเจาะเลือดประเมินผลการควบคุมเบาหวานดวย
ตนเอง (SMBG) 4 ครั้งตอวัน
ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับเบาหวาน
จุ ด ประสงค เ พื่ อ ให เ กิ ด การเรี ย นรู ร ายละเอี ย ดของการเกิ ด โรคเบาหวานและวิ ธี ก ารดู แ ลที่ ถู ก ต อ ง
รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
• เบาหวานคืออะไร
• ชนิดของโรคเบาหวาน
• อาการโรคเบาหวาน
• ปจจัยเสีย่ งในการเกิดโรค
19
โรคแทรกซอนจากเบาหวาน
จุดประสงคเพื่อใหเขาใจหลักการและวิธีการคนหาความเสี่ยง การปองกันและรักษาภาวะแทรกซอน
เฉียบพลันและเรื้อรังอันเนื่องมาจากเบาหวาน รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
• โรคแทรกซอนเฉียบพลันไดแก ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด ภาวะเลือดเปนกรดจากสารคีโตน (diabetic
ketoacidosis,DKA)ภาวะเลือดเขมขนจากระดับน้ําตาลในเลือดที่สูงมาก (hyperglycemic
hyperosmolar non-ketoticsyndrome, HHNS)ใหรแู ละเขาใจสาเหตุการเกิดวิธกี ารปองกันและการ
แกไข
• โรคแทรกซอนเรื้อรัง เชน โรคแทรกซอนเรื้อรังที่ตา ไต ระบบประสาท ปญหาที่เทาจากเบาหวาน
ใหรูและเขาใจ ปจจัยการเกิดและการปองกัน
• โรคที่มักพบรวมกับเบาหวานเชน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคอวน ความเกีย่ วของกับ
เบาหวาน ใหรูและเขาใจ วิธปี องกันและการแกไข
โภชนบําบัด
จุ ด ประสงค เ พื่ อ ให ส ามารถตั ด สิ น ใจเลื อ กอาหารและจั ด การโภชนาการตามความเหมาะสมใน
ชีวิตประจําวัน รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
• ความสําคัญของการควบคุมอาหารในโรคเบาหวาน
• ชนิดตางๆ ของสารอาหาร
• ปริมาณอาหารและการแบงมือ้ อาหาร
• หลักการเลือกอาหารที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมระดับน้าํ ตาลในเลือด และน้ําหนักตัว
• อาหารเฉพาะในสภาวะตางๆ เชนไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคตับ เปนตน
1. สัดสวนคารโบไฮเดรทที่ตองไดแตละมื้อตอวันในผูปวยที่ตองการพลังงานเพื่อการเจริญเติบโต/วัน
• การแลกเปลี่ยนคารโบไฮเดรทแตละมื้อ
การออกกําลังกาย
จุ ด ประสงค เ พื่ อ ให ส ามารถออกกํ า ลั ง กายได อ ย า งถู ก ต อ งเหมาะสม ทํ า ให ก ารใช ชี วิ ต ประจํ า วั น
กระฉับกระเฉงขึ้น รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
20
• ผลของการออกกําลังกายตอสุขภาพ
• ประโยชนและผลเสียของการออกกําลังกายในผูปว ยเบาหวาน
• การเลือกออกกําลังกายทีเ่ หมาะสมสําหรับผูปวยแตละคน และวิธีการออกกําลังกายอยางถูกตอง
ยารักษาเบาหวาน
จุดประสงคเพื่อใหเขาใจการใชยาและอุปกรณที่เกี่ยวของในการดูแลรักษาเบาหวานอยางถูกตองและมี
ประสิทธิภาพ รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
• ยาเม็ดลดระดับน้ําตาลชนิดตางๆ
• อินซูลินและการออกฤทธิ์ของอินซูลิน
• อุปกรณการฉีดอินซูลิน วิธกี ารใช รวมทั้งเทคนิคและทักษะ การเก็บยาที่ถูกตอง
• ปฏิกิริยาตอกันระหวางยา
• อาการขางเคียงหรืออาการไมพึงประสงคของยาในกลุมตางๆ
การตรวจวัดระดับน้ําตาลในเลือดและปสสาวะ และการแปลผลดวยตนเอง
จุดประสงคเพื่อใหทราบวิธีการติดตาม ควบคุม กํากับระดับน้ําตาลในเลือด ทําใหสามารถควบคุม
เบาหวานไดอยางมีประสิทธิภาพ รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
• ความสําคัญในการติดตามผลการควบคุมเบาหวานดวยตนเอง
• การตรวจปสสาวะ
• การตรวจเลือดดวยตนเอง
• การแปลผลและการปรับเปลี่ยนการรักษา
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดและวิธีปองกันแกไข
จุดประสงคเพื่อใหผูปวยสามารถคนพบดวยตนเองวามีอาการ หรือจะเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด รูวิธี
ปองกันและแกไขปญหาภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดได รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
• อาการของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
• ปจจัยที่ทําใหเกิด
• วิธีการแกไข
21
การดูแลสุขภาพโดยทั่วไป
จุดประสงคเพื่อการสงเสริมสุขภาพ การแกไขปญหาในการใชชีวิตประจําวัน และบูรณาการจัดการ
ปญหาดานจิตวิทยาสังคมในชีวิตประจําวัน รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
• การดูแลตนเองทั่วไปในภาวะปกติ การตรวจสุขภาพประจําป รวมทั้งตรวจสุขภาพชองปาก
• การคนหาปจจัยเสี่ยงและตรวจหาภาวะแทรกซอนในระยะตนประจําป รูและเขาใจวิธแี กไข
• ปญหาที่ควรแจงใหแพทยหรือทีมงานเบาหวานทราบ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณและ
ความรูสึก ปญหาที่ควรพบแพทยโดยเร็วหรือเรงดวน
การดูแลในภาวะพิเศษ
• การตั้งครรภ เพื่อใหเขาใจการดูแลสุขภาพตั้งแตกอนการปฏิสนธิ สงเสริมการจัดสุขภาพระหวาง
ตั้งครรภ และการควบคุมเบาหวานใหไดตามเปาหมาย
• การดูแลตนเองขณะที่เจ็บปวย เชน ไมสบาย เปนหวัด เกิดโรคติดเชื้อตางๆ เปนตน
• การไปงานเลี้ยง เลนกีฬา เดินทางโดยเครื่องบินระหวางประเทศ เพื่อใหผปู วยมีความรูความเขาใจ
สิ่งที่อาจเกิดขึน้ สามารถปรับตัว ปรับยา ปรับอาหารไดอยางถูกตองทําใหการใชชีวติ ประจําวันมี
ความกระฉับกระเฉง
การดูแลรักษาเทา
จุ ด ประสงค เ พื่ อ ป อ งกั น ภาวะแทรกซ อ นที่ เ ท า สามารถค น หาความผิ ด ปกติ ที่ เ ท า ในระยะต น ได
รายละเอียดของเนื้อหาประกอบดวย
1. การตรวจและดูแลเทาในชีวติ ประจําวัน
2. การเลือกรองเทาที่เหมาะสม
3. การดูแลบาดแผลเบื้องตน และแผลที่ไมรุนแรงดวยตนเอง
สื่อใหความรู
สื่อใหความรูมีไดหลายชนิด ขึ้นอยูกับเนื้อหาที่ตองการสอน ไดแก
• แผนพับ
• โปสเตอร
• แบบจําลองหรือตัวอยางของจริง เชน อาหาร
• เอกสารแจกประกอบการบรรยาย
• คูมือหรือหนังสือ
22
• สื่ออิเลคทรอนิคส
การประเมินผลและติดตาม
มี ก ารประเมิ น โปรแกรมที่ นํ า มาใช ส อน ถึ ง ความถู ก ต อ ง เหมาะสม ภายหลั ง ที่ นํ า มาปฏิ บั ติ ห รื อ
ดําเนินการไปแลวระยะหนึ่ง เพราะโปรแกรมหนึ่งอาจไมเหมาะสมกับทุกสถานที่ เชน วัฒนธรรมที่ตางกัน การ
สอนเรื่องอาหารมีความแตกตางกันระหวางอาหารภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง หรือภาคใตเปนตน
การประเมินผลของการใหความรูโรคเบาหวานและทักษะในการดูแลตนเอง ทําโดยใหผูปวยบันทึก
ขอมูลลงในสมุดพกประจําตัว รวมกับผลตรวจระดับน้ําตาลในเลือด เพื่อประเมินความเขาใจ และใชติดตามการ
ปฏิบัติตามจุดประสงคที่กําหนด
เอกสารอางอิง
8. Bodenheimer T, Davis C, Holman H. Helping patients adopt healthier behaviors. Clin Diabetes
2007; 25: 66-70.
9. American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
10. Gary T, Genkinger J, Guallar E, Peyrot M, Brancati F. Meta-analysis of randomized educational
and behavioral interventions in type 2 diabetes. Diabetes Edu 2003; 29: 488-501.
11. Steed L, Cooke D, Newman S. A systemic review of psychosocial outcomes following education,
self-management and psychological interventions in diabetes mellitus. Patient Educ Cons 2003; 51: 5-15.
12. International Diabetes Federation Consultative Section on Diabetes Education. The International
Curriculum for Diabetes Health Professional Education. International Diabetes Federation 2006.
13. การใหความรูเพื่อจัดการโรคเบาหวานดวยตนเอง. สมเกียรติ โพธิสัตย, วรรณี นิธิยานันท, อัมพา
สุทธิจํารูญ, ยุพิน เบ็ญจสุรัตนวงศ, บรรณาธิการ. ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย
กรุงเทพมหานคร 2553.
23
การใหยาเพื่อควบคุมระดับน้าํ ตาลในเลือดในผูใหญ
ยาที่ใชมี 3 กลุม คือ ยากิน ยาฉีดอินซูลนิ และยาฉีด GLP-1 Analog ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 1 ตองฉีด
อินซูลินเปนหลัก ในบางรายอาจจําเปนตองเสริมยากิน สําหรับผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 สวนหนึ่งอาจเริ่มดวย
การปรับพฤติกรรม คือ ควบคุมอาหาร และการออกกําลังกายกอน หากควบคุมระดับน้ําตาลไมไดตามเปาหมาย
จึงเริ่มใหยา โดยเลือกยาใหเหมาะกับผูปว ยแตละราย ในบางกรณีจําเปนตองเริ่มยาลดระดับน้ําตาลตั้งแตแรก ซึ่ง
อาจเปนยากินหรือยาฉีดขึ้นกับระดับน้ําตาลในเลือดและสภาวะเจ็บปวยอื่นๆ ที่อาจมีรวมดวย1-3
ยาลดระดับน้าํ ตาลในเลือด
ยาเม็ดลดระดับน้ําตาลในเลือด
ยาเม็ดลดระดับน้ําตาลในเลือดที่ไดรับอนุมัติการใชจากคณะกรรมการอาหารและยาแบงออกเปน 3 กลุม
ใหญตามกลไกของการออกฤทธิ์ (ตารางที่ 1) ไดแก
a. กลุมที่กระตุนใหมีการหลั่งอินซูลินจากตับออนเพิ่มขึ้น (insulin secretagogue) ไดแกยา กลุม
ซัลโฟนีลยูเรีย (sulfonylurea) ยากลุมที่ไมใชซัลโฟนีลยูเรีย (non-sulfonylurea หรือ glinide)
และยาทีย่ ับยั้งการทําลาย glucagon like polypeptide-1 (GLP-1) ไดแกยากลุม DPP-4 inhibitor
(หรือ glipin)
b. กลุมที่ลดภาวะดื้ออินซูลินคือ biguanide และกลุม thiazolidinedione หรือ glitazone
c. กลุมที่ยับยั้งเอ็นไซมแอลฟากลูโคไซเดส (alpha-glucosidase inhibitor) ที่เยื่อบุลําไส ทําใหลด
การดูดซึมกลูโคสจากลําไส
ยาฉีดอินซูลิน
อินซูลินที่ใชในปจจุบัน (อินซูลินตนแบบ) สังเคราะหขึ้นโดยกระบวนการ genetic engineering มี
โครงสรางเชนเดียวกับอินซูลนิ ที่รางกายคนสรางขึ้น เรียกวา human insulin ระยะหลังมีการดัดแปลง human
insulin ใหมีการออกฤทธิ์ตามตองการ เรียกอินซูลินดัดแปลงนี้วาอินซูลินอะนาล็อก (insulin analog) อินซูลิน
แบงเปน 4 ชนิด ตามระยะเวลาการออกฤทธิ์ (รายละเอียดในภาคผนวก 10) คือ
1. อินซูลินตนแบบออกฤทธิ์สั้น (short acting หรือ regular human insulin, RI)
2. อินซูลินตนแบบออกฤทธิ์นานปานกลาง (intermediate acting insulin, NPH)
3. อินซูลินอะนาล็อกออกฤทธิ์เร็ว (rapid acting insulin analog, RAA) เปนอินซูลินรุนใหมที่
เกิดจากการดัดแปลงกรดอะมิโนที่สายของอินซูลินมาตรฐาน
4. อินซูลินอะนาล็อกออกฤทธิ์ยาว (long acting insulin analog, LAA) เปนอินซูลินรุนใหมที่
เกิดจากการดัดแปลงกรดอะมิโนที่สายของอินซูลินมาตรฐาน และเพิ่มเติมกรดอะมิโน
หรือเสริมแตงสายของอินซูลินดวยกรดไขมัน
24
นอกจากนี้ยังมีอินซูลินผสมสําเร็จรูปเพื่อสะดวกในการใช เปนอินซูลินตนแบบออกฤทธิ์สั้นผสมกับ
ออกฤทธิ์นานปานกลาง และอินซูลินอะนาล็อกออกฤทธิ์เร็วผสมกับออกฤทธิ์นานปานกลาง อินซูลินที่จําหนาย
มีความเขมขนของอินซูลิน 100 ยูนิตตอมิลลิลิตร ในประเทศไทยอินซูลินที่ใชโดยทั่วไป คือ RI, NPH และ
อินซูลินตนแบบผสมสําเร็จรูป ขอจํากัดของอินซูลินผสมสําเร็จรูปคือ ไมสามารถเพิ่มขนาดอินซูลนิ เพียงชนิดใด
ชนิดหนึ่งได เมื่อปรับเปลี่ยนปริมาณที่ฉีดสัดสวนของอินซูลินทั้งสองชนิดจะคงที่
ยาฉีด GLP-1 Analog
เปนยากลุมใหมที่สังเคราะหขึ้นเลียนแบบ GLP-1 เพื่อทําใหออกฤทธิ์ไดนานขึ้น ยากลุมนี้ออกฤทธิ์
โดยการกระตุนการหลั่งอินซูลินและยับยั้งการหลั่งกลูคากอน นอกจากนี้ ยังมีผลลดการบีบตัวของกระเพาะ
อาหารทําใหอิ่มเร็วขึ้น และลดความอยากอาหารโดยออกฤทธิ์ที่ศูนยความอยากอาหารที่ไฮโปธาลามัส ยาใน
กลุมนี้ไดแก exenatide
การใหยาควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด1,3-7
• ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 การรักษาเริ่มดวยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตกอนการใหยา หรือ
พรอมกับการเริ่มยา ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 1 ใหเริ่มยาฉีดอินซูลินพรอมกับการใหความรู
เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ควรเนนย้ําเรื่องการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมกับผูปวยทุกรายในทุก
ขั้นตอนของการรักษา4
2. การเริ่มตนใหการรักษาขึ้นอยูกับ
2.1 ระดับน้ําตาลในเลือด และ HbA1c (ถามี)
2.2 อาการหรือความรุนแรงของโรค (อาการแสดงของโรคเบาหวานและโรคแทรกซอน)
2.3 สภาพรางกายของผูปวย ไดแก ความอวน โรคอื่นๆ ที่อาจมีรวมดวย การทํางานของตับและไต
3. ระยะเวลาที่พิจารณาผลการรักษา เมื่อเริ่มการรักษาควรติดตามและปรับขนาดยาทุก 1-4 สัปดาห
จนไดระดับน้ําตาลในเลือดตามเปาหมาย ในระยะยาว เปาหมายการรักษาใชระดับ HbA1c เปน
หลัก โดยติดตามทุก 2-6 เดือนหรือโดยเฉลี่ยทุก 3 เดือน (คุณภาพหลักฐานระดับ 2, น้ําหนัก
คําแนะนํา ++)
d. สําหรับผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 การเริ่มยากิน เริ่มขนานเดียว (แผนภูมิที่ 1) ถาผูปวยมีลักษณะ
ของการขาดอินซูลินใหเริ่มดวยซัลโฟนีลยูเรีย หรือถาผูปวยมีลักษณะของการดื้ออินซูลินใหเริ่ม
ดวยเม็ ทฟอร มิน (คุ ณภาพหลักฐานระดับ 2, น้ําหนั กคําแนะนํา ++) หลักการใชย าอื่นๆ ที่เปน
ทางเลือกในกรณีเริ่มยาขนานเดียว คือ
4.1 Repaglinide: พิจารณาเลือกใชในกรณีที่ผูปวยไมสามารถรับประทานอาหารตามมื้อไดตรง
เวลา หรือไมสามารถควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดหลังอาหารได (คุณภาพหลักฐานระดับ
2, น้ําหนักคําแนะนํา +)
26
เมื่อวินิจฉัยโรค ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
พลาสมากลูโคสขณะอดอาหาร โภชนบําบัด การออกกําลังกาย เรียนรูโรคเบาหวานและการดูแลตนเอง 1-3
< 180 มก./ดล. และ HbA1c < 8% เดือนถายังควบคุมไมไดตามเปาหมาย ใหเริ่มรักษาดวยยา
การใหยากินลดน้ําตาล พิจารณาตามลักษณะของผูปวย*
พลาสมากลูโคสขณะอดอาหาร
Metformin Sulfonylurea
180-250 มก./ดล.
ปรับ ลักษณะดื้ออินซูลิน : ลักษณะขาดอินซูลิน :
• BMI ≥ 23 กก./ม.² หรือรอบเอวเกิน • BMI < 23 กก./ม.² และรอบเอว
มาตรฐาน ไมเกินมาตรฐาน
เปลี่ยน • ตรวจพบ acanthosis nigricans • มีอาการจากน้ําตาลในเลือดสูง
• ความดันโลหิต ≥130/85 มม.ปรอท ชัดเจน
พฤติ หรือไดยาลดความดันโลหิต
• Elevated TG, low HDL-C
ยาที่เปนทางเลือก: Glitazone หรือ Repaglinide หรือ α- GI หรือ DPP-4 inhibitor
กรรม
กรณีพลาสมากลูโคสขณะอดอาหาร
อยูระหวาง 250-350 มก./ดล. การใชยารวมกัน 2 ชนิด
พรอม
หรือ HbA1c >9% ยาที่ใชในขั้นแรก Metformin Sulfonylurea
อาจพิจารณาเริ่มยา 2 ชนิด ยาเพิ่มเติม 1. Sulfonylurea หรือ glinide 1. Metformin
กับ 2. Thiazolidinedione 2. Thiazolidinedione
กรณีพลาสมากลูโคสขณะอด 3. DPP-4 inhibitor 3. DPP-4 inhibitor
เริ่ม 4. Basal insulin 4. Basal insulin
อาหาร >300 มก./ดล. หรือ
HbA1c >11% รวมกับมีอาการ ยาที่เปนทางเลือก : alpha – glucosidase inhibitor
จากน้ําตาลในเลือดสูง
ยา
ใหยาเม็ดลดน้ําตาล ใหยาเม็ดลดน้ําตาล 2 ชนิด
ไดรับการรักษาอยู แตพลาสมากลูโคส 3 ชนิด รวมกับการฉีดอินซูลิน
ขณะอดอาหาร >300 มก./ดล. หรือ NPH หรือ LAA กอนนอน
HbA1c >11% ± มีโรคหรือภาวะอื่น (21.00 – 23.00 น.)
คํายอสําหรับอินซูลิน
ฉีดอินซูลินวันละหลายครั้งเลียนแบบการตอบสนองในคนปกติ
RAA = Rapid Acting Insulin Analog g
RI – RI – RI – NPH or LAA หรือ RAA –RAA – RAA –LAA or NPH
RI = Regular Human Insulin เริ่มฉีดอินซูลินชนิด LAA กอนนอน (อาจฉีดกอนอาหารเชา) หรืออินซูลินชนิด NPH กอนนอน และ
NPH = Neutral Protamine Hagedorn Insulin อินซูลินชนิด RI หรือ RAA กอนอาหารแตละมื้อ ปรับขนาดโดยดูผลระดับน้ําตาลในเลือดหลังอาหาร
LAA = Long Acting Insulin Analog หรือสงตอผูเชี่ยวชาญโรคเบาหวาน
แบบแผนการฉีดอินซูลิน
RI – RI – RI – NPH คือฉีด กอนอาหารเชา-กอนอาหารกลางวัน-กอนอาหารเย็น-กอนนอน
เมื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 1
และไมมีภาวะเฉียบพลัน*
แผนภูมิที่ 2. ขั้นตอนการรักษาเบาหวานชนิดที่ 1
30
ขอบงชี้การรักษาดวยยาฉีดอินซูลิน
การรักษาเบาหวานดวยยาฉีดดวยอินซูลินมีขอบงชี้ที่ชัดเจน ไดแก
1. เปนเบาหวานชนิดที่ 1
2. เกิดภาวะแทรกซอนเฉียบพลัน มีภาวะเลือดเปนกรดจากคีโตน (diabetic ketoacidosis)
หรือ ภาวะเลือดเขมขนจากระดับน้ําตาลในเลือดที่สูงมาก (hyperglycemic hypersmolar
nonketotic syndrome)
3. เปนเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีปญ
หาตอไปนี้
a. ภาวะน้ําตาลในเลือดสูงมาก
b. ใชยาเม็ดรับประทาน 2 ชนิด ในขนาดสูงสุดแลวควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดไมได
c. อยูในภาวะผิดปกติ เชน การติดเชื้อรุนแรง อุบัติเหตุรุนแรง และมีระดับน้ําตาลในเลือดสูง
รวมทั้งภาวะขาดอาหาร (malnutrition)
d. ระหวางการผาตัด การตั้งครรภ
e. มีความผิดปกติของตับและไตที่มีผลตอยา
f. แพยาเม็ดรับประทาน
4. เปนเบาหวานขณะตั้งครรภที่ไมสามารถควบคุมระดับน้าํ ตาลในเลือดดวยการปรับพฤติกรรม
3. เปนเบาหวานจากตับออนถูกทําลาย เชน ตับออนอักเสบเรื้อรัง ถูกตัดตับออน
เอกสารอางอิง
• American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
• Clinical Guidelines Task Force. Global Guideline for type 2 diabetes. International Diabetes
Federation 2005.
• American College of Endocrinology / American Association of Clinical Endocrinologists Diabetes
Road Map Task Force. Road maps to achieve glycemic control in type 2 diabetes mellitus. Endocr
Pract 2007; 13: 261-8.
• Rydén L, Standl E, Bartnik M, Van den Berghe G, Betteridge J, de Boer MJ, et al. Guidelines on
diabetes and Cardiovascular Diseases of the European Society of Cardiology (ESC) and of the European
Association for the Study of Diabetes (EASD). Eur Heart J 2007; 28: 88-136.
• Nathan Dm, Buse JB, Davidson MB, Ferranni E, Holman RR, Sherwin R, Zinman B. Management
of hyperglycemia in type2 diabetes mellitus: a consensus algorithm for initiation and adjustment of
therapy. Diabetologia 2008; 51: 8-11.
31
• Bhattacharyya OK, Estey EA, Cheng AYY. Update on the Canadian Diabetes Association 2008
clinical practice guidelines. Canadian Fam Physicians 2009; 55: 39-43.
• National Institute for Health and Clinical Excellence. NICE short clinical guideline 87. Type 2
diabetes: newer agents. London: May 2009. <www.nice.org.uk>
32
การตรวจระดับน้ําตาลในเลือดดวยตนเอง
ขอบงชี้การทํา SMBG1-4
1. ผูปวยเบาหวานที่การทํา SMBG มีความจําเปน
1.1 ผูที่ตองการคุมเบาหวานอยางเขมงวด ไดแก ผูปวยเบาหวานที่มีการตั้งครรภ (pre-gestational
DM) และผูปวยเบาหวานขณะตั้งครรภ (gestational DM) (คุณภาพหลักฐานระดับ 1,
น้ําหนักคําแนะนํา ++)
1.2 ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 1 (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
1.3 ผูปวยเบาหวานที่มีภาวะระดับน้ําตาลต่ําในเลือด (hypoglycemia) บอยๆ หรือ รุนแรง หรือ
hypoglycemia unawareness (คุณภาพหลักฐานระดับ 2, น้ําหนักคําแนะนํา +)
2. ผูปวยเบาหวานที่ควรไดรับคําแนะนําใหทํา SMBG
2.1 ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งไดรับการรักษาดวยการฉีดอินซูลิน (คุณภาพหลักฐานระดับ 1,
น้ําหนักคําแนะนํา ++)
3. ผูปวยเบาหวานที่อาจพิจารณาใหทํา SMBG
3.1 ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 ไมไดฉีดอินซูลินแตเบาหวานควบคุมไมได พิจารณาใหทํา SMBG เมื่อ
ผูปวย และ/หรือผูดูแล พรอมที่จะเรียนรู ฝกทักษะ และนําผลจาก SMBG มาใชปรับเปลี่ยน
พฤติ ก รรมเพื่ อ ควบคุ ม ระดั บ น้ํ า ตาลในเลื อ ดให ไ ด ต ามเป า หมายที่ กํ า หนด โดยบุ ค ลากรทาง
การแพทยใหคําแนะนําและปรับเปลี่ยนการรักษาอยางเหมาะสม
3.2 ผูที่เพิ่งไดรับการวินิจฉัยวาเปนเบาหวาน เพื่อเรียนรูในการดูแลตนเองทั้งเรื่องอาหาร การออกกําลัง
กาย หรือยาใหเหมาะสมกับกิจวัตรประจําวัน (คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา +/-)
3.3 SMBG เปนสวนหนึ่งของการใหความรูโรคเบาหวานในการดูแลตนเอง เพื่อชวยใหผูปวยเบาหวาน
มีความเขาใจโรคของตนเอง และเปนเครื่องมือใหผูนั้นมีสวนรวมในการรักษาดวยการปรับเปลี่ยน
33
พฤติกรรมชีวิตและยาที่ไดรับตามความเหมาะสมดวยตนเอง หรือภายใตการปรึกษากับบุคลากร
ทางการแพทย
3.4 การทํา SMBG มีสวนชวยในการดูแลตนเองในภาวะเจ็บปวย เพื่อใหทราบวาเกิดภาวะน้ําตาลต่ําใน
เลือดหรือระดับน้ําตาลในเลือดสูง เพื่อปรับเปลี่ยนการรักษา หรือปรึกษาบุคลากรทางการแพทย
ความถี่ของการทํา SMBG
ความถี่ของการทํา SMBG เปนไปตามความเหมาะสมกับชนิดของโรคเบาหวาน การรักษาที่ไดรับ และ
ความจําเปนทางคลินิกของผูปวยเบาหวานแตละราย เพื่อใหบรรลุเปาหมายการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดที่ตั้ง
ไว มีขอแนะนําโดยทั่วไปดังนี้
1. ผูปวยเบาหวานระหวางการตั้งครรภ ควรทํา SMBG กอนอาหารและหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมงทั้ง 3
มื้อ และกอนนอน ลดจํานวนครั้งลงเมื่อควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดไดดี
2. ผูปวยเบาหวานที่ฉีดอินซูลินตั้งแต 3 ครั้งขึ้นไป ควรทํา SMBG กอนอาหาร 3 มื้อทุกวัน ควรทํา
SMBG กอนนอน และหลังอาหาร 2 ชม.เปนครั้งคราว หากสงสัยวามีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
กลางดึกหรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดควรตรวจระดับน้ําตาลชวงเวลา 2.00-4.00 น.
3. ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ไดรับการรักษาดวย insulin pump ควรทํา SMBG วันละ 4-6 ครั้ง
4. ผูปวยเบาหวานที่ฉีดอินซูลินวันละ 2 ครั้ง ควรทํา SMBG อยางนอยวันละ 2 ครั้ง โดยตรวจกอน
อาหารเช า และเย็ น อาจมี ก ารตรวจก อ นอาหารและหลั ง อาหารมื้ อ อื่ น ๆ เพื่ อ ดู แ นวโน ม การ
เปลี่ยนแปลงของระดับน้ําตาลในเลือด และใชเปนขอมูลในการปรับยา
5. ในภาวะเจ็บปวยควรทํา SMBG อยางนอยวันละ 4 ครั้ง ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง หรือกอนมื้ออาหาร เพื่อ
คนหาแนวโนมที่จะเกิดภาวะระดับน้ําตาลต่ําในเลือดหรือระดับน้ําตาลในเลือดสูงเกินควร
6. ในผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งฉีดอินซูลินกอนนอน ควรทํา SMBG กอนอาหารเชาทุกวันหรืออยาง
นอย 3 ครั้ง/สัปดาหในชวงที่มีการปรับขนาดอินซูลิน หลังจากนั้นควรทํา SMBG กอนและหลัง
อาหารมื้ออื่นๆ สลับกัน เพื่อดูแนวโนมการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ําตาลในเลือด
ทั้งนี้ ตองมีการทบทวนขอมูล รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ําตาลในเลือดกับแพทยหรือทีมงาน
เบาหวาน เพื่อความเขาใจและการปรับเปลี่ยนการรักษาที่เหมาะสม
เทคนิคการตรวจ6
อุปกรณ: เครื่องกลูโคสมิเตอร (รายละเอียดในภาคผนวก 3) แถบตรวจกลูโคส อุปกรณสําหรับเจาะเลือด
ปลายนิ้ว (finger prick device) หรือเข็มเจาะเลือด สําลีที่อบฆาเชื้อแลว แอลกอฮอล 70%
ขั้นตอนการตรวจ:
1. ลางมือใหสะอาดและเช็ดใหแหง หอยแขนขางที่จะเจาะเลือดลงไวเปนเวลา 10-15 วินาที
34
ความรูที่จําเปนเมื่อทํา SMBG
ผูปวยเบาหวานที่ทํา SMBG หรือผูดูแลผูปวย ควรไดรับการสอนความรูตอไปนี้
• ความสําคัญและประโยชนของการทํา SMBG เวลาที่ควรทําการตรวจ
• เทคนิคการตรวจที่ถูกตองสําหรับเครื่องกลูโคสมิเตอรที่ใช
• การแปลผล SMBG ความรูในการปรับขนาดยาฉีดอินซูลิน ความรูเรื่องยาเม็ดลดระดับน้ําตาลที่
ตนเองไดรับ เรื่องอาหารและการออกกําลังกาย ผูปวยจะไดประโยชนสูงสุดเมื่อสามารถใชขอมูล
จาก SMBG ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตและการรักษา
• การปองกันและแกไขเมื่อมีระดับน้ําตาลในเลือดสูงเกินควรหรือภาวะระดับน้ําตาลต่ําในเลือด
เพื่อใหสามารถปรับหรือเปลี่ยนแปลงใหเหมาะสมกับระดับน้ําตาลที่ตรวจวัดได
35
เอกสารอางอิง
1. International Diabetes Federation. Guideline: Self-monitoring of blood glucose in non-insulin
treated type 2 diabetes 2009.
2. Towfigh A, Romanova M , Weinreb JE, Munjas B, et al. Self-monitoring of blood glucose
levels in patients with type 2 diabetes mellitus not taking insulin: A meta-analysis. Am J Manag Care.
2008; 14(7): 468-75.
3. Boutati EI, Raptis SA. Self-monitoring of blood glucose as part of the integral care of type 2
diabetes. Diabetes Care 2009; 32 (Suppl2): S205-S210.
4. Diabetes UK. Care recommendations: Self monitoring of blood glucose (SMBG). Accessed on
15 September 2010 from http://www.diabetes.org.uk/About_us/Our_Views/Care_recommendations/Self-
monitoring_of_blood_glucose/
5. American Diabetes Association. Standard of medical care in diabetes 2010. Diabetes CARE.
2010; 33 ( Suppl 1): S11-S61.
6. ศิริรัตน พลอยบุตร, อภิรดี ศรีวิจิตรกมล, สุทิน ศรีอัษฎาพร. การตรวจหองปฏิบัติการเพื่อการ
วินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคเบาหวาน. ใน: โรคเบาหวาน พิมพครัง้ ที่ 1. สุทิน ศรีอัษฎาพร, วรรณี นิธิ
ยานันท, บรรณาธิการ. กรุงเทพมหานคร. เรือนแกวการพิมพ 2548, หนา 81-106.
36
วัตถุประสงคในการรักษาโรคเบาหวานคือ
• รักษาอาการที่เกิดขึ้นจากภาวะน้ําตาลในเลือดสูง
• ปองกันและรักษาการเกิดโรคแทรกซอนเฉียบพลัน
• ปองกันหรือชะลอการเกิดโรคแทรกซอนเรือ้ รัง
• ใหมีคุณภาพชีวิตที่ดใี กลเคียงกับคนปกติ
• สําหรับเด็กและวัยรุนใหมีการเจริญเติบโตสมวัยและเปนปกติ
เปาหมายของการรักษาโรคเบาหวาน
เพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคขางตน การดูแลรักษาเบาหวานใหเริ่มทันทีเมื่อใหการวินิจฉัยโรค และควรให
ถึงเปาหมายของการรักษาโดยเร็ว1,2 โดยตั้งเปาหมายใหเหมาะสมในแตละราย
1. ผูใหญอายุนอยที่เปนโรคเบาหวานไมนาน ไมมีภาวะแทรกซอน1,2 หรือโรครวมอื่น ควรควบคุม
ระดับน้ําตาลในเลือดใหเปนปกติหรือใกลเคียงปกติตลอดเวลา คือการควบคุมเขมงวดมาก เปาหมาย HbA1c
<6.5% (ตารางที่ 1) โดยไมเกิดภาวะระดับน้ําตาลต่ําในเลือด ซึ่งทําไดยากและไมสามารถทําไดในผูปวยทุกราย
ปญหาของการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดเขมงวดมากคือ เกิดภาวะระดับน้ําตาลต่ําในเลือดและน้ําหนักตัว
เพิ่มขึ้น
2. ผูปวยที่มีภาวะระดับน้ําตาลต่าํ ในเลือดบอยหรือรุนแรง ผูป วยสูงอายุที่สขุ ภาพดี หรือไมมีโรครวม3
ใหควบคุมในระดับเขมงวดคือใชเปาหมาย HbA1c <7.0%
3. กรณีผูปวยสูงอายุที่ไมสามารถดูแลตนเองได ผูปวยที่มโี รคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจลมเหลว
โรคหลอดเลือดสมอง โรคลมชัก โรคตับและโรคไตระยะทาย ควบคุมในระดับไมเขมงวด4-6 เนื่องจากหากเกิด
ระดับน้ําตาลต่าํ ในเลือดอาจมีอันตรายได (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
4. ผูปวยเบาหวานเด็กและวัยรุน มีเปาหมายของการรักษาตามวัย (ดูรายละเอียดในการคัดกรอง การ
วินิจฉัย การรักษาผูปวยเบาหวานเด็กและวัยรุน หนา...)
ความดันโลหิต**
ความดันโลหิตซิสโตลิค (systolic BP) < 130 มม.ปรอท
ความดันโลหิตไดแอสโตลิค (diastolic BP) < 80 มม.ปรอท
น้ําหนักตัว
ดัชนีมวลกาย 18.5-22.9 กก./ม.²
รอบเอว: ผูชาย < 90 ซม.
ผูหญิง < 80 ซม.
การสูบบุหรี่ ไมสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่
การออกกําลังกาย ตามคําแนะนําของแพทย
* ถามีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือมีปจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจหลายอยางรวมดวยควรควบคุมให LDL-C ต่ํากวา
70 มก./ดล.
7,8
** ผูปวยที่มีความเสี่ยงสูงตอการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตซิสโตลิคควรนอยกวา 140 มม.ปรอท
แตไมควรต่ํากวา 110 มม.ปรอท สําหรับความดันโลหิตไดแอสโตลิคไมควรต่ํากวา 70 มม.ปรอท
การติดตามและการประเมินผลการรักษาทั่วไป
การติดตามผลการรักษาขึ้นอยูกับ ความรุนแรงของโรคและวิธีการรักษา ในระยะแรกอาจจะตองนัด
ผูปวยทุก 1-4 สัปดาห เพื่อใหความรูเกี่ยวกับโรคเบาหวานใหผูปวยสามารถดูแลตนเองได ติดตามระดับน้ําตาล
ในเลือด และปรับขนาดของยา จนควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดไดตามเปาหมายภายใน 3-6 เดือน ระยะตอไป
ติดตาม ทุก 1-3 เดือน เพื่อประเมินการควบคุมวายังคงไดตามเปาหมายที่ตั้งไว ควรประเมินระดับน้ําตาลในเลือด
ทั้งกอนและหลังอาหาร และ/หรือ ระดับ HbA1c (แผนภูมิที่ 1) ตรวจสอบวามีการปฏิบัติตามแผนการรักษาอยาง
สม่ํ า เสมอและถู ก ต อ งหรื อ ไม หรื อ มี อุ ป สรรคในการรั ก ษาอย า งไร การปฏิ บั ติ ใ นการติ ด ตามการรั ก ษา
ประกอบดวย
38
ผูปวยเบาหวาน
ประเมินการควบคุมระดับ
น้ําตาลในเลือด
แผนภูมิที่ 1. ภาพรวมการใหการดูแลรักษาผูปวยเบาหวาน
39
การประเมินการเกิดภาวะหรือโรคแทรกซอนจากเบาหวาน
ควรประเมินผูปวยเพื่อหาความเสี่ยงตอการเกิดภาวะแทรกซอน และประเมินผูปวยทุกรายวามีภาวะ
หรือโรคแทรกซอนจากเบาหวานหรือไม1,2,9-11 หากยังไมพบควรปองกันไมใหเกิดขึ้น ถาตรวจพบภาวะหรือโรค
แทรกซอนในระยะตน สามารถใหการรักษาเพื่อใหดีขึ้นหรือชะลอการดําเนินของโรคได ตารางที่ 3 แสดง
ลักษณะผูปวยที่มีความเสี่ยงในระดับตางๆ และการสงผูปวยตอเพื่อรับการดูแลรักษา
ตารางที่ 3. การประเมินผูปวยเพื่อหาความเสี่ยงตอการเกิดภาวะแทรกซอนและการสงตอ
ค ว า ม เ สี่ ย ง ป า น มีโรคแทรกซอ นเรื้อรั ง
รายการ ความเสี่ยงต่ํา ความเสี่ยงสูง*
กลาง* รุนแรง**
การควบคุมระดับ • HbA1c < 7% • HbA1c 7.0-7.9% • HbA1c ≥8%
น้ําตาลในเลือด • มี hypoglycemia 3
ครั้งตอสัปดาห
โรคแทรกซ อ นที่• ไมมี proteinuria 1. มี microabuminuria • มี macroproteinuria • serum creatinine
ไต • Albumin/creatinine • serum creatinine = ≥2มก./ดล. หรือ eGFR
ratio < 30 ไมโครกรัม/ 1.5 มก./ดล. หรือ 30-59 และลดลง >7
มก. eGFR 30-59 และมี ml/min/1.73m2 ห รื อ
การลดลงไมมากกวา eGFR <30
2
7 ml/min/1.73m 2
ml/min/1.73m
โรคแทรกซ อ นที่• ไมมี retinopathy • mild NPDR y moderate NPDR • severe NPDR
ตา y VA ผิดปกติ • PDR
• macular edema
• VA ผิดปกติ
โ ร ค หั ว ใ จ แ ล ะ• ไมมี hypertension • มี hypertension และ • ควบคุม • มี angina pectoris หรือ
หลอดเลือด • ไมมี dyslipidemia / หรือ dyslipidemia hypertension CAD หรือ myocardial
• ไมมีอาการของระบบ กํ า ลั ง รั บ การรั ก ษา แ ล ะ / ห รื อ infarction หรือ ผาตัด
หัวใจและหลอดเลือด และควบคุมไดตาม dyslipidemia ไมได CABG
เปาหมาย ตามเปาหมาย • มี CVA
• มี heart failure
โรคแทรกซ อ นที่• protective sensation • มี peripheral • มีประวัติแผลที่เทา • มี rest pain
เทา ปกติ neuropathy • previous • พบ gangrene
• peripheral pulse ปกติ • peripheral pulse amputation
ลดลง • มี intermittent
claudication
* ผูปวยที่มีความเสี่ยงปานกลางและความเสี่ยงสูงควรสงพบอายุรแพทยหรือแพทยเชี่ยวชาญเฉพาะทางเปนระยะ
** ผูปวยที่มีโรคแทรกซอนเรื้อรังรุนแรงควรสงพบแพทยเชี่ยวชาญเฉพาะโรคเพื่อดูแลรักษาตอเนื่อง
eGFR12 = estimated glomerular filtration rate; NPDR = non-proliferative diabetic retinopathy; PDR = proliferative
40
diabetic retinopathy; VA = visual acuity; CAD = coronary artery disease; CABG = coronary artery bypass graft; CVA =
cerebrovascular accident
การประเมินและการติดตามในกรณีที่ยังไมมีโรคแทรกซอนจากเบาหวาน
นอกจากการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดแลว ควรจะประเมินปจจัยเสี่ยง และตรวจหาภาวะหรือโรค
แทรกซอนเปนระยะดังนี้ (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ตรวจรางกายอยางละเอียดรวมทั้งการตรวจเทาอยางนอยปละครั้ง
• ตรวจตาปละ 1 ครั้ง
• ตรวจปสสาวะและ microalbuminuria หรือ urine albumin/creatinine ratio ปละ 1 ครั้ง12
• เลิกสูบบุหรี่
• ผูไมดื่มแอลกอฮอลไมแนะนําใหดื่มแอลกอฮอล หากจําเปน เชน รวมงานสังสรรคควรดื่มใน
ปริมาณจํากัดคือ ไมเกิน 1 สวน สําหรับผูหญิง หรือ 2 สวน สําหรับผูชาย (1 สวน เทากับ วิสกี้ 45
มล. หรือไวน 120 มล. หรือเบียรชนิดออน 360 มล.)
• ประเมินคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของผูป วยและครอบครัว
การประเมินและการติดตามในกรณีที่มีโรคแทรกซอนจากเบาหวาน
เมื่อตรวจพบภาวะหรือโรคแทรกซอนจากเบาหวานระยะเริ่มแรกที่อวัยวะใดก็ตาม จําเปน ตองเนนการ
ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดใหไดตามเปาหมาย รวมทั้งปจจัยเสี่ยงตางๆ ที่พบรวมดวย เมื่อมีโรคแทรกซอน
เกิดขึ้นแลว ความถี่ของการประเมินและติดตามมีรายละเอียดจําเพาะตามโรคและระยะของโรค (ดูรายละเอียด
การประเมินและติดตามจําเพาะโรค)
เอกสารอางอิง
• American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
• Clinical Guidelines Task Force. Global guideline for type 2 diabetes. International Diabetes Federation
2005.
• Greenfield S, Billimek J, Pellegrini F, et al. Comorbidity affects the relationship between glycemic
control and cardiovascular outcomes in diabetes. A cohort study. Ann Intern Med 2009; 151: 854-60.
• Skyler JS, Bergenstal R, Bonow RO, Buse J, Deedwania P, Gale EAM, et al. Intensive Glycemic Control
and the Prevention of Cardiovascular Events: Implications of the ACCORD, ADVANCE, and VA
Diabetes Trials: A position statement of the American Diabetes Association and a scientific statement of
41
the American College of Cardiology Foundation and the American Heart Association. Diabetes Care
2009; 32:187–92.
• Meier M, Hummel M. Cardiovascular disease and intensive glucose control in type 2 diabetes mellitus:
moving practice toward evidence-based strategies. Vasc Health Risk Management 2009; 5: 859–71.
5. Currie CJ, Peters JR, Tynan A, et al. Survival as a function of HbA1c in people with type 2 diabetes: a
retrospective cohort study. Lancet 2010; 375: 481-9.
6. Anderson RJ, Bahn GD, Moritz TE, et al. Blood pressure and cardiovascular disease risk in the Veterans
Affairs Diabetes Trial (VADT). Published online before print November 8, 2010, doi: 10.2337/dc10-
1420, Diabetes Care.
7. Cooper-DeHoff RM, Gong Y, Handberg EM, et al. Tight blood pressure control and cardiovascular
outcomes among hypertensive patients with diabetes and coronary artery disease. JAMA 2010; 304: 61-8.
• Mazze RS, Strock E, Simonson G, Bergenstal R. Macrovascular Diseases. In: Staged Diabetes
Management: a Systemic Approach, 2nd ed. International Diabetes Center. West Sussex, England. John
Wiley & Sons, Ltd 2004: 299-321.
• สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย. แนวทางเวชปฏิบัตกิ ารดูแลรักษาภาวะแทรกซอนจาก
โรคเบาหวาน (ตา ไต เทา). กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุข. บริษัท โอ-วิทย (ประเทศไทย) จํากัด,
นนทบุรี 2553.
8. Buse JB, Ginsberg HN, Bakris GL, et al. Primary prevention of cardiovascular diseases in people with
diabetes mellitus: a scientific statement from the American Heart Association and the American Diabetes
Association. Circulation 2007; 115: 114-26.
9. แนวทางเวชปฏิบัติสําหรับโรคไตเรื้อรัง กอนการบําบัดทดแทนไต พ.ศ. 2552. สมาคมโรคไตแหงประเทศ
ไทย กรุงเทพมหานคร 2552
42
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน1,2
• การกําหนดเกณฑวินิจฉัยภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปว ยเบาหวานอยูภ ายใตหลักการดังนี้
1. เกณฑวินจิ ฉัยสามารถนําไปใชและปฏิบัตไิ ดงายโดยทีมงาน ผูดูแล และตัวผูปว ยเบาหวานเอง ในทุก
สถานที่ เชน ที่โรงพยาบาล สํานักงานแพทย และที่บาน และทุกเวลา
2. ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดทีว่ ินจิ ฉัยตามเกณฑนี้มีความสําคัญทางคลินิก คือ มีผลตอความปลอดภัยของ
ผูปวย และการปรับการรักษา
3. เพื่อใหการรายงานหรือบันทึกการวินิจฉัยภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดเปนมาตรฐานและมีความผิดพลาด
หรือคลาดเคลื่อนนอยที่สุด
• การวินจิ ฉัยภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปว ยเบาหวานอาศัยเกณฑ 3 ประการ รวมกัน (Whipple triad) ไดแก
ระดับพลาสมากลูโคสที่ <70 มก./ดล., มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด และอาการ
หายไปเมื่อไดรับน้ําตาลหรือคารโบฮัยเดรต
• การกําหนดระดับพลาสมากลูโคสที่ <70 มก./ดล. เปนเกณฑวินิจฉัยภาวะน้าํ ตาลต่ําในเลือดในผูปวย
เบาหวาน แทนที่จะใชเกณฑ <50 มก./ดล. ดังที่ใชโดยทั่วไป เนื่องจาก ระดับพลาสมากลูโคสที่ <70 มก./ดล.
เปนระดับทีเ่ ริ่มมีผลตอระบบควบคุมไมใหระดับกลูโคสในเลือดต่ําลงมากเกิน (glucose counter-regulatory
system) และเพื่อใหผูปว ยไดรับการวินิจฉัยและแกไขโดยเร็วกอนที่จะเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับ
รุนแรง
• อาการและอาการแสดงของภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดแบงเปน 2 ชนิด ไดแก อาการออโตโนมิค (autonomic
symptom) และอาการสมองขาดกลูโคส (neuroglycopenic symptom)
4. อาการออโตโนมิค ไดแก ใจสั่น หัวใจเตนเร็ว ความดันโลหิตซิสโตลิคสูง มือสั่น รูสึกกังวล
กระสับกระสาย คลื่นไส รูสึกรอน เหงื่อออก ชา และรูสึกหิว อาการดังกลาวเปนสัญญาณเตือนใหผูปวย
ทราบวามีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดเกิดขึ้นและตองแกไข เชน กินอาหาร กอนที่จะมีอาการสมองขาด
กลูโคสที่รุนแรงเกิดขึ้น
5. อาการสมองขาดกลูโคส ไดแก ออนเพลีย รูสึกรอนทั้งที่ผิวหนังเย็นและชื้น อุณหภูมิกายต่ํา มึนงง ปวด
ศีรษะ การทํางานสมองดาน cognitive บกพรอง ปฏิกิริยาตอบสนองชาลง สับสน ไมมีสมาธิ ตาพรามัว
พูดชา งวงซึม หลงลืม พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง อัมพฤกษครึ่งซีกรางกาย (hemiparesis) คลายโรคหลอด
เลือดสมอง (stroke), หมดสติ และชัก
• ผูปวยเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดเกิดขึ้นบอย เมื่อมีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
เกิดขึ้นซ้ําๆ หลายครั้ง อาจมีอาการสมองขาดกลูโคสเกิดขึ้นโดยไมมีอาการออโตโนมิคนํามากอนเพื่อเตือน
43
การวินิจฉัยและรายงานภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน
การวินิจฉัยและรายงาน ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน อาศัยผลการตรวจวัดระดับกลูโคส
ในเลือดรวมกับอาการทางคลินิก แบงไดเปน 4 แบบ1,2
1. Documented symptomatic hypoglycemia หมายถึง ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดที่มหี ลักฐานชัดเจน คือ
ผูปวยมีอาการทางคลินิกของภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือด และมีผลการตรวจวัดระดับพลาสมากลูโคสที่ <70
มก./ดล. ในขณะเกิดอาการ
2. Asymptomatic hypoglycemia หมายถึง ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดที่ไมมอี าการ คือผูปวยมีผลการตรวจวัด
ระดับพลาสมากลูโคสที่ <70 มก./ดล. แตไมมีอาการทางคลินิกของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
3. Probable symptomatic hypoglycemia หมายถึง การที่ผูปวยมีอาการทางคลินิกของภาวะน้ําตาลต่ําใน
เลือด แตไมมผี ลการตรวจวัดระดับพลาสมากลูโคสในขณะเกิดอาการ
4. Relative hypoglycemia หมายถึง การที่ผูปว ยมีอาการทางคลินิกของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดที่ชัดเจน แต
มีผลการตรวจวัดระดับพลาสมากลูโคสที่ >70 มก./ดล. ในขณะเกิดอาการ
การประเมินความรุนแรงของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
ความรุนแรงของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด แบงไดเปน 3 ระดับ ตามอาการและอาการแสดงที่เกิดขึ้น และ
ความสามารถของผูปวยในการชวยเหลือตนเอง1,5 ไดแก
1. ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดระดับไมรุนแรง (mild hypoglycemia) หมายถึง ผูปวยมีระดับพลาสมากลูโคสต่ํา
แตไมมีอาการหรือมีอาการออโตโนมิคซึ่งผูปวยสามารถทําการแกไขไดดวยตัวเอง
2. ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดระดับปานกลาง (moderate hypoglycemia) หมายถึง ผูปวยมีระดับพลาสมา
กลูโคสต่ํา และมีอาการออโตโนมิคและอาการสมองขาดกลูโคสเกิดขึ้นเล็กนอยหรือปานกลาง ซึ่งผูปวย
สามารถทําการแกไขไดดวยตัวเอง
3. ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดระดับรุนแรง (severe hypoglycemia) หมายถึง ผูปวยมีอาการรุนแรงจนไม
สามารถแกไขไดดว ยตัวเองและตองอาศัยผูอื่นชวยเหลือ หรืออาการรุนแรงมาก เชน ชัก หมดสติ ผูปวย
ในกลุมนี้อาจไดรับหรือไมไดรับการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดในขณะเกิดอาการก็ได สําหรับผูปวย
ที่ไมไดรับการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดแตมีอาการสมองขาดกลูโคสซึ่งหายไปหลังจากไดรับการ
แกไขใหระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มสูงขึ้นแลว ก็สามารถใหการวินิจฉัยภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับ
รุนแรงได1
44
การปองกันไมใหเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวานมีความสําคัญทางคลินิก6-10 (ภาคผนวก 4) และจําเปนตอง
ปองกันไมใหเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด ซึ่งทําโดยคนหาปจจัยเสี่ยงตอการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด และขจัด
หรือลดปจจัยเสี่ยงที่ทําได หรือเฝาระวังอยางใกลชิด
ปจจัยเสี่ยงตอการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน
• ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดในผูปวยเบาหวานเกือบทั้งหมดเกิดในผูปวยทีไ่ ดรับการรักษาดวยอินซูลิน หรือกลุม
ยาที่มีฤทธิ์กระตุนการหลั่งอินซูลิน (insulin secretagogue) ไดแก ยากลุม sulfonylurea และยากลุม glinide1,5
• ยารักษาเบาหวานกลุมอื่นๆ ไดแก metformin, thiazolidinedione, dipeptidyl peptidase-IV inhibitor และ
glucagon-like peptide-1 receptor agonist เมื่อใชเปนยารักษาชนิดเดียว (monotherapy) มีโอกาสเกิดภาวะ
น้ําตาลต่ําในเลือดไดนอย สําหรับ α-glucosidase inhibitor โดยทัว่ ไปไมทําใหเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด ยา
เหลานี้เมื่อใชเปนยารักษารวม (combination therapy) กับอินซูลินหรือกลุมยาที่มีฤทธิ์กระตุนการหลั่ง
อินซูลิน สามารถสงเสริมใหเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดได1,5
• ปจจัยเสีย่ งตอการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน ไดแก1
4. การไดรับยารักษาเบาหวานที่ไมเหมาะสมทั้งชนิดของยา ขนาดยามากเกิน และเวลาบริหารยา
5. การกินอาหารปริมาณนอยกวาที่เคยดวยเหตุตางๆ หรือไมเพียงพอ หรือมื้ออาหารถูกงดหรือเลื่อนเวลา
ออกไปจากเวลาปกติ และการปรับเปลี่ยนองคประกอบอาหารทําใหปริมาณคารโบฮัยเดรตลดลง
6. มีการใชกลูโคสเพิ่มขึ้น เชน ออกกําลังกายมากขึ้น
7. การผลิตกลูโคสที่ตับ (endogenous hepatic glucose production) นอยลง เชน การดื่มแอลกอฮอล โรค
ตับแข็ง
8. รางกายมีความไวตออินซูลิน (insulin sensitivity) เพิ่มขึ้น เชน น้ําหนักตัวลดลง ออกกําลังกายเพิ่มขึ้น
9. การกําจัดอินซูลินหรือยารักษาเบาหวานลดลง เชน การทํางานของไต และ/หรือ ตับ เสื่อมลง
10. สูงอายุ
11. มีการควบคุมเบาหวานอยางเขมงวดโดยกําหนดระดับเปาหมาย HbA1c และ/หรือ ระดับกลูโคสในเลือด
ที่ใกลเคียงระดับปกติมากหรือที่ระดับปกติ
12. เคยมีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดโดยเฉพาะระดับรุนแรงเกิดขึ้นมากอน
13. เคยมีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดโดยไมมีอาการเตือนเกิดขึ้นมากอน
ผูปวยเบาหวานที่มีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด อาจมีปจจัยเสี่ยงตอการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดขางตน
หลายประการรวมกัน ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีอัตราการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดโดยรวมและภาวะ
น้ําตาลต่ําในเลือดระดับรุนแรงต่ํากวาผูปวยเบาหวานชนิดที่ 11 และผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไดรับการรักษา
ดวยอินซูลิน ความชุกและอุบัติการณของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับรุนแรงจะเพิ่มสูงขึ้นตามระยะเวลาทีไ่ ดรบั
การรักษาดวยอินซูลิน11
45
การรักษาภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน1,12
ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดระดับไมรุนแรงและปานกลาง
การรักษาสามารถทําเปนขั้นตอนไดทั้งที่บานโดยผูปวยเอง และที่สํานักงานแพทย หรือโรงพยาบาลโดย
ทีมผูดูแล ดังนี้
1. ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดระดับไมรุนแรงใหกินอาหารที่มคี ารโบฮัยเดรต 15 กรัม สําหรับ
ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดระดับปานกลางใหกินอาหารที่มคี ารโบฮัยเดรต 30 กรัม11 ซึ่งปริมาณอาหารที่มี
คารโบฮัยเดรต 15 กรัม ไดแก กลูโคสเม็ด 3 เม็ด น้ําสมคั้น 180 มล. น้ําอัดลม 180 มล. น้ําผึ้ง 3 ชอนชา
ขนมปง 1 แผนสไลด นมสด 240 มล. ไอศกรีม 2 สคูป ขาวตมหรือโจก ½ ถวยชาม กลวย 1 ผล อาการ
มักดีขึ้นภายใน 15-20 นาที หลังไดรับกลูโคสหรืออาหารในปริมาณดังกลาว
2. ติดตามระดับกลูโคสในเลือดโดยใชกลูโคสมิเตอร (ถาสามารถทําได) ที่ 15-20 นาที หลัง
กินคารโบฮัยเดรตครั้งแรก
3. กินอาหารที่มคี ารโบฮัยเดรต 15 กรัม ซ้ํา ถาระดับกลูโคสในเลือดยังคง <70 มก./ดล.
4. ถาอาการดีขึ้น และผลการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือด >80 มก./ดล. ใหกินอาหารตอเนื่อง
ทันทีเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อหลัก หรือถาตองรอเวลาอาหารมื้อหลักนานเกินกวา 1 ชั่วโมง ใหกินอาหาร
วาง (snack) ที่มีคารโบฮัยเดรต 15 กรัมและโปรตีน เพื่อปองกันการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดซ้ํา
โดยเฉพาะผูปวยที่ไดรับการรักษาดวยอินซูลิน
5. ตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดซ้ําโดยใชกลูโคสมิเตอรเปนระยะ ความถี่ในการตรวจขึ้นกับสาเหตุ และ
ปจจัยที่ทําใหเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด และโอกาสเกิดภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดซ้ํา
6. ประเมินสาเหตุ และปจจัยทีท่ ําใหเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด และทําการแกไขตอไป
ชนิดและองคประกอบของอาหารมีความสําคัญในการแกไขภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดและการปองกันการ
เกิดซ้ํา อาหารที่มีการยอยเปนกลูโคสและดูดซึมเร็ว (เชน น้ําหวาน น้ําผลไม หรือผลไม) จะทําใหระดับกลูโคส
ในเลือดเพิ่มขึ้นเร็ว แตจะผานกระเพาะอาหารและลําไสเร็วเชนกัน ซึ่งอาจทําใหระดับกลูโคสในเลือดลดลงเร็ว
และเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดซ้ําอีกไดในระยะเวลาอันสั้น สวนอาหารที่มีคารโบฮัยเดรตเชิงซอน (complex
carbohydrate) และโปรตีนเปนองคประกอบ เชน นม เนยแข็ง ขนมปง ขาว จะผานกระเพาะอาหารและลําไส
และถูกยอยเปนกลูโคสชากวา จะชวยคงระดับกลูโคสในเลือดใหสูงขึ้นไดนาน และลดการเกิดภาวะน้ําตาลต่าํ ใน
เลือดซ้ํา
ภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือดระดับรุนแรง
การรักษาที่บานโดยญาติหรือผูใกลชิด
ในกรณีที่มีฮอรโมนกลูคากอน ใหปฏิบัติดังนี้
1. ฉีดฮอรโมนกลูคากอนในขนาด 1 มก. เขาใตผิวหนังหรือเขากลามเนื้อ
2. รีบนําตัวผูปวยสงโรงพยาบาลที่ใกลที่สุด หรือโทรศัพทแจงหนวยกูชีวิตเพื่อมาใหการชวยเหลือ
ตอไป และนําตัวผูปวยสงโรงพยาบาลที่อยูใ กลที่สุด
46
อาการของภาวะน้ําตาลต่าํ ในเลือด
• อาการออโตโนมิค ไดแก ใจสั่น, หัวใจเตนเร็ว, ความดัน
ผูปวยเบาหวานที่มีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด เลือดซิสโตลิคสูง, มือสั่น, รูสึกกังวล, คลื่นไส, รูสึกรอน,
เหงื่อออก, ชา และรูสึกหิว
ระดับกลูโคสในเลือด <70 มก./ดล. และมีอาการ
• อาการสมองขาดกลูโคส ไดแก ออนเพลีย, มึนงง, ปวด
ศีรษะ, การทํางานสมองดาน cognitive บกพรอง, ปฏิกิริยา
ตอบสนองชาลง, สับสน, ไมมีสมาธิ, ตาพรามัว, พูดชา,
งวงซึม, หลงลืม, พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง, อัมพฤกษ, หมด
สติ และชัก
ระดับความรุนแรงของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
• ระดับไมรุนแรงหมายถึง มีผลตรวจเลือดพบระดับพลาสมา
ประเมินความรุนแรงของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด กลูโคสต่ําแตไมมีอาการ
• ระดับปานกลาง หมายถึง มีอาการเกิดขึ้นเล็กนอยหรือปาน
กลาง และสามารถทําการแกไขไดดวยตัวเอง (เชน ดื่มน้าํ
ผลไมหรือกลูโคส หรือกินอาหาร)
• ระดับรุนแรง หมายถึง มีอาการรุนแรงมากจนไมสามารถ
ทําการแกไขไดดวยตัวเองและตองอาศัยผูอื่นชวยเหลือ
การรักษาภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับไมรุนแรง-ปานกลาง
ระดับไมรุนแรง - • กินอาหารประเภทคารโบฮัยเดรตในปริมาณ 15 กรัม
รุนแรงปานกลาง ไดแก กลูโคสเม็ด 3 เม็ด, น้ําสมคั้น 180 มล., น้ําอัดลม 180
มล., น้ําผึ้ง 3 ชช., ขนมปงปอนด 1 แผนสไลด, นมสด 1
ถวย, ขาวตมหรือโจก ½ ถวยชาม
• ติดตามระดับกลูโคสในเลือดที่ 15 นาที
ระดับรุนแรง • กินคารโบฮัยเดรตทในปริมาณ 15 กรัม ซ้ํา ถาระดับ
กลูโคสในเลือดยังคง <70 มก./ดล.
• ถาอาการดีขึ้น และการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดซ้ํา
ไดผล >80 มก./ดล. ใหรับประทานอาหารตอเนื่องทันที
การรักษาภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับรุนแรง เมื่อถึงเวลาอาหาร
• โดยบุคลากรการแพทยหรือญาติผูปวย: บริหารกลูคากอน
(ถามี) 0.5 มก. (ผูปวยอายุ <5 ป) หรือ 1 มก. (ผูปวยอายุ >5
ป) ฉีดเขากลามหรือใตผิวหนัง
• โดยบุคคลากรการแพทย: เปดหลอดเลือดดํา, เก็บตัวอยาง
เลือดดําเพื่อสงตรวจเพิ่มเติมที่จําเปน, บริหารสารละลาย
กลูโคส 50% 10-20 มล. bolus และเปดหลอดเลือดดํา
ตอเนื่องไวดวย heparin หรือ saline lock หรือ บริหาร
สารละลายเด็กซโตรส 5-10% หยดตอเนื่อง ตามความ
เหมาะสม
• ติดตามระดับกลูโคสในเลือดที่ 15 นาที
• รัมกษาระดั
แผนภู บกลูโคสในเลื
ิที่ 1. การวิ นิจฉัยอและรั
ดที่ >80กษาภาวะน้
มก./ดล. ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน
49
คําแนะนําทั่วไป
• ผูปวยเบาหวานทุกรายที่ไดรบั การรักษาดวยอินซูลินและยาที่มีฤทธิ์กระตุนการหลั่งอินซูลิน ควรไดรับการ
เนนย้ําใหตระหนักถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดเสมอ โดยเฉพาะอยางยิ่งในกรณีทพี่ บวาระดับ
กลูโคสในเลือดมีการลดลงอยางรวดเร็ว หรืออยูในระดับที่ <70 มก./ดล. (คุณภาพหลักฐานระดับ 2, น้ําหนัก
คําแนะนํา +)1
6. ในผูปวยเบาหวานที่มีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดโดยไมมีอาการเตือน การควบคุมเบาหวานโดยไมใหมี
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดเกิดขึ้นซ้ําอีกเลยเปนเวลา 2-3 สัปดาห12 จะชวยใหผูปวยกลับมามีอาการเตือนเมือ่
มีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดได (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา +)1
• การรักษาภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับไมรุนแรงและระดับปานกลาง สามารถทําไดทั้งที่บานโดยผูปวยเอง
หรือผูดูแล หรือที่สํานักงานแพทย หรือที่โรงพยาบาล (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)1 การ
กินกลูโคส 15 กรัม จะชวยใหระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้นประมาณ 38 มก./ดล. ภายในเวลา 20 นาที และ
การกินกลูโคส 20 กรัม จะชวยใหระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้นประมาณ 65 มก./ดล. ภายในเวลา 45 นาที
การกินคารโบฮัยเดรตแตละครั้งในปริมาณมากกวา 30 กรัม5 นอกจากจะใหผลการแกไขภาวะน้าํ ตาลต่ําใน
เลือดไมแตกตางจากการรับประทานในปริมาณ 15-30 กรัมแลว ยังอาจทําใหเกิดปญหาภาวะน้าํ ตาลสูงใน
เลือดตามมาได
1. ผูปวยเบาหวานที่มีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับรุนแรง จะตองไดรับการปฏิบัติรักษาอยางเร็วที่สุด
ตั้งแตที่บานและในระหวางทางที่นําผูปวยสงโรงพยาบาลโดยญาติ ผูใกลชิด หรือหนวยกูชวี ติ ที่ไปรับตัว
ผูปวย และที่โรงพยาบาลโดยทีมผูรักษา (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
2. การแกไขภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับรุนแรงในเบื้องตนสามารถทําได 2 วิธี คือ การฉีดสารละลาย
กลูโคส 50% เขาหลอดเลือดดํา ซึ่งเปนวิธกี ารที่ไดผลดีและแนนอนที่สุด (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนัก
คําแนะนํา ++) ในกรณีทไี่ มสามารถเปดหลอดเลือดดําเพื่อฉีดสารละลายกลูโคส 50% ไดทันที การฉีด
ฮอรโมนกลูคากอนใตผวิ หนังหรือกลามเนือ้ สามารถแกไขภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับรุนแรงไดดี แตมี
ขอจํากัดที่มีราคาแพงและจัดหาไดยาก (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา +)
เอกสารอางอิง
a. Cryer PE, Axelrod L, Grossman AB, Heller SR, Montori VM, Seaquist ER, Service FJ. Evaluation and
management of adult hypoglycemic disorders: an Endocrine Society Clinical Practice Guideline. J Clin
Endocrinol Metab 2009; 94: 709–28.
b. American Diabetes Association Workgroup on Hypoglycemia. Defining and reporting hypoglycemia in
diabetes: a report from the American Diabetes Association Workgroup on Hypoglycemia. Diabetes Care
2005; 28: 1245-9.
c. Dagogo-Jack SE, Craft S, Cryer PE. Hypoglycemia-associated autonomic failure in insulin-dependent
diabetes mellitus. Recent antecedent hypoglycemia reduces autonomic responses to, symptoms of, and
defense against subsequent hypoglycemia. J Clin Invest 1993; 91: 819–28.
d. Segel SA, Paramore DS, Cryer PE. Hypoglycemia-associated autonomic failure in advanced type 2
diabetes. Diabetes 2002; 51: 724–33.
51
e. Yale JF, Begg I, Gerstein H, Houlden R, Jones H, Meheux P, Pacaud D. 2001 Canadian Diabetes
Association Clinical Practice Guidelines for the prevention and management of hypoglycemia in diabetes.
Can J Diabetes 2001; 26: 22-35.
f. Cryer PE. Hypoglycemia, functional brain failure, and brain death. J Clin Invest 2007; 117: 868–870.
g. Laing SP, Swerdlow AJ, Slater SD, Botha JL, Burden AC, Waugh NR, et al. The British Diabetic
Association Cohort Study, II: cause-specific mortality in patients with insulin-treated diabetes mellitus.
Diabet Med 1999; 16: 466–71.
h. Gerstein HC, Miller ME, Byington RP, Goff Jr DC, Bigger JT, Buse JB, et al. Effects of intensive
glucose lowering in type 2 diabetes. The Action to Control Cardiovascular Risk in Diabetes Study Group.
N Engl J Med 2008; 358: 2545–59.
i. Zoungas S, Patel A, Chalmers J, de Galan BE, Li Q, Billot L, Woodward M, et al. for the ADVANCE
Collaborative Group. Severe hypoglycemia and risks of vascular events and death. N Engl J Med 2010;
363: 1410-8.
j. Desouza CV, Bolli GB, Fonseca V. Hypoglycemia, diabetes, and cardiovascular events. Diabetes Care.
2010; 33: 1389-94.
k. UK Hypoglycaemia Study Group. Risk of hypoglycaemia in types 1 and 2 diabetes: effects of treatment
modalities and their duration. Diabetologia 2007; 50: 1140–7.
l. Fanelli CG, Epifano L, Rambotti AM, Pampanelli S, Di Vincenzo A, Modarelli F, et al. Meticulous
prevention of hypoglycemia normalizes the glycemic thresholds and magnitude of most of
neuroendocrine responses to, symptoms of, and cognitive function during hypoglycemia in intensively
treated patients with short-term IDDM. Diabetes 1993; 42: 1683–9.
52
แนวทางการตรวจคนและดูแลรักษาภาวะแทรกซอนจากเบาหวานที่ตาและไต
ผูปวยเบาหวานที่เปนโรคมานานและ/หรือควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดไมไดดี จะเกิดภาวะแทรกซอน
เรื้อรังจากเบาหวานที่ตา (diabetic retinopathy) และที่ไต (diabetic nephropathy) ไดงาย1-4 นอกจากนี้ อาจจะพบ
ภาวะแทรกซอนทั้งสองตั้งแตแรกวินิจฉัยวาเปนเบาหวาน เนื่องจากผูปวยอาจเปนเบาหวานมานานโดยไมมี
อาการ ดังนั้นจึงจําเปนที่แพทยควรมีแนวทางการตรวจคน การปองกันและดูแลรักษาภาวะแทรกซอนที่ตาและ
ไตจากเบาหวาน เพื่อลดการสูญเสียการทํางานของอวัยวะที่สําคัญทั้งสอง และการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สูงมาก
ในการดูแลรักษาโรคระยะทาย
แนวทางการตรวจคนและการวินิจฉัยภาวะจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน5,6
การตรวจคนภาวะจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน มีแนวทางปฏิบัติคือ (แผนภูมิที่ 1)
• ถามอาการทางตาและสายตา
• ผูปวยทุกรายควรไดรับการตรวจจอประสาทตา โดยการขยายมานตาและวัด visual acuity โดย
จัก ษุ แพทย (คุณ ภาพหลัก ฐานระดับ 2, น้ํา หนั กคํ าแนะนํา ++) ในกรณีที่ไ ม มี จัก ษุ แ พทย อาจ
ถายภาพจอประสาทดวย digital camera โดยขยายมานตาหรือไมขยายมานตา และอานภาพถายจอ
ประสาทตาโดยผูชํานาญการ (คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา ++) ผูปวยเบาหวาน
ชนิดที่ 1 ควรตรวจจอประสาทตาหลังเปนเบาหวาน 5 ป หรือเมื่ออายุ 12 ป และตรวจตาตามแพทย
นัดหรืออยางนอยปละ 1 ครั้ง (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
53
ผูปวยเบาหวาน
ผูปวยเบาหวาน ผูปวยเบาหวาน
ชนิดที่ 1 ชนิดที่ 2
ตรวจตาหลังเปนเบาหวาน 5 ป
ตรวจตาทันทีหลังวินิจฉัย
และเมื่ออายุ 12 ป
ผลการตรวจตา
ติดตามโดยจักษุแพทยทั่วไป
นัด 1 ป นัด 6 เดือน นัด 3-6 เดือน
หรือจักษุแพทยจอประสาทตา
แผนภูมิที่ 1. การคัดกรองและติดตามจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน
54
แนวทางการปองกันและดูแลรักษาภาวะจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน
• ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดใหอยูใกลเคียงปกติตลอดเวลา หากควบคุมระดับน้าํ ตาลในเลือดให
HbA1c นอยกวา 7% สามารถลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดภาวะจอประสาทตาผิดปกติจาก
เบาหวาน (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++) ระดับ HbA1c ที่นอยกวา 6.5% จะลด
ความเสี่ยงและชะลอการเกิดภาวะจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวานไดมากขึน้ (น้ําหนัก
คําแนะนํา ++)
• ควรวัดความดันโลหิตทุกครั้งที่มาพบแพทย และควบคุมใหความดันโลหิตนอยกวา 130/80
มิลลิเมตรปรอท เพราะสามารถลดความเสี่ยงการเกิดภาวะจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน1,5,6
(น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ควบคุมระดับไขมันในเลือดใหไดตามเปาหมาย โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อมีโรคไตรวมดวย1,7,8
(น้ําหนักคําแนะนํา +)
• ผูที่เปน severe NPDR หรือ PDR หรือ Macula edema ควรพบจักษุแพทยหรือผูเชี่ยวชาญในการรักษา
ภาวะจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวานทันที (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• การรักษาดวยเลเซอรในเวลาที่เหมาะสม สามารถปองกันการสูญเสียสายตาในผูที่ทีภาวะจอ
ประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
หลักการใหสุขศึกษาเรื่องจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวานแกผูปวย
• ใหความรูเกี่ยวกับภาวะจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน ความสําคัญตอสายตา และความจําเปน
ในการตรวจจอประสาทตาแมไมมีอาการผิดปกติ
• แนะนําใหผูปวยเบาหวานติดตอแพทยโดยเร็วที่สุดเมื่อเกิดมีอาการผิดปกติเกีย่ วกับสายตา (น้ําหนัก
คําแนะนํา ++)
• ผูปวยเบาหวานควรทราบถึงความสัมพันธของการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด กับการเกิดจอ
ประสาทตาผิดปกติจากเบาหวาน เพื่อกระตุนใหมีความตั้งใจและรวมมือในการรักษาเบาหวานใหดี
ยิ่งขึ้น (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ผูปวยเบาหวานควรทราบถึงความสําคัญของความดันโลหิตสูง ที่มีตอ ภาวะจอประสาทตาผิดปกติ
จากเบาหวาน ควรไดรับการวัดความดันโลหิตทุกครั้งที่พบแพทย และไดรับการรักษาที่ถูกตองหาก
มีความดันโลหิตสูง (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ผูปวยควรทราบถึงความสําคัญของภาวะไขมันผิดปกติในเลือด และควบคุมใหไดตามเปาหมาย
(น้ําหนักคําแนะนํา +)
55
แนวทางการคัดกรองและการวินิจฉัยโรคไตจากเบาหวาน11-12
การคัดกรองหาโรคไตจากเบาหวานมีแนวทางคือ (แผนภูมิที่ 2)
• คัดกรองผูปวยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เปนโรคนานเกิน 5 ป หรือเมื่อเขาสูวัยรุน สําหรับผูปวย
เบาหวานชนิดที่ 2 เมื่อไดรับการวินจิ ฉัยโรคควรไดรบั การตรวจหาโรคไตจากเบาหวาน และ
หลังจากนัน้ ควรตรวจตามทีแ่ พทยแนะนําหรือปละหนึ่งครั้ง (คุณภาพหลักฐานระดับ 2, น้าํ หนัก
คําแนะนํา ++)
• วิธีการตรวจ urine protein หรือ albuminuria
• ตรวจโดยใช dipstick หากใหผลบวก โดยที่ไมมกี ารติดเชื้อของทางเดินปสสาวะ ถือวาเปน
macroalbuminuria หรือ macroproteinuria อาจเกิดจากเบาหวานหรือโรคไตอื่นๆ หากสงสัย
โรคไตจากเหตุอื่นควรสงตอแพทยผูเชีย่ วชาญโรคไต เพื่อการตรวจรักษาที่เหมาะสม
• หากการตรวจ dipstick ไดผลลบ ใหเก็บปสสาวะในเวลาเชาตรวจหา urinary albumin
creatinine ratio (Alb/Cr) ถา Alb/Cr 30-299 มก./กรัม หรืออาจตรวจโดยใช dipstick สําหรับ
ตรวจ microalbuminuria ถาพบ microalbuminuria 20 มก./ลิตร ถือเปนผลบวก ควรตรวจซ้ํา
อีก 1-2 ครั้งในเวลา 6 เดือน ใหการวินิจฉัยภาวะ microalbuminuria เมื่อพบผลเปนบวก 2 ใน
3 ครั้ง
1. ควรประเมินคาประมาณอัตราการกรองของไต (estimated GFR, eGFR)12 โดยคํานวณจากคา
serum creatinine ทุกป (คุณภาพหลักฐานระดับ 2, น้ําหนักคําแนะนํา ++) ดูคาประมาณอัตราการ
กรองของไตที่คํานวณจากคา serum creatinine ในภาคผนวก 5
56
ผูปวยเบาหวานและไมไดรับการประเมินดานไตในระยะ 12 เดือนที่ผานมา
โรคไตจากเบาหวาน โรคอื่น ๆ
ตรวจ ใหการรักษาเพื่อควบคุมระดับ
microalbuminuria น้ําตาลและไขมันในเลือด และ
ซ้ําทุกป ความดันโลหิตใหไดตาม
เปาหมาย
แนวทางการปองกันและการดูแลรักษาโรคไตจากเบาหวาน11,12
2. ระยะที่ยังไมพบ microalbuminuria
o ควรควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดใหเทากับหรือใกลเคียงคาปกติเทาที่สามารถทําได โดย
พิจารณาความเหมาะสมในผูปวยเบาหวานแตละราย พบวาสามารถลดความเสี่ยงและชะลอ
การเกิดโรคไต (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
o ควบคุมระดับความดันโลหิตใหนอยกวา 130/80 มิลลิเมตรปรอท สามารถลดความเสี่ยงและ
ชะลอการเกิดโรคไตจากเบาหวานได (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
3. ระยะที่ตรวจพบ microalbuminuria (incipient nephropathy)
o ควรควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดใหเทากับหรือใกลเคียงคาปกติเทาที่สามารถทําได โดย
พิจารณาความเหมาะสมในผูปวยเบาหวานแตละราย พบวาสามารถลดความเสี่ยงและชะลอ
การเสื่อมสมรรถภาพของไตไมใหเกิด microalbuminuria หรือ โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney
disease, CKD) ได (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
o ควบคุมระดับความดันโลหิตใหนอยกวา 130/80 มิลลิเมตรปรอท สามารถลดความเสี่ยงและ
ชะลอการเกิดโรคได (น้ําหนักคําแนะนํา ++) ยาลดความดันโลหิตสูงบางกลุม เชน
angiotensin converting enzyme inhibitor (ACEI) หรือ angiotensin II receptor blocker
(ARB) มีสวนชวยชะลอการเสื่อมของไตไดดีกวายากลุมอื่น (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
o ควรจํากัดโปรตีนในอาหารไมใหเกินวันละ 0.8 กรัมตอน้ําหนักตัวหนึง่ กิโลกรัม (น้าํ หนัก
คําแนะนํา ++)
o หลีกเลี่ยงการใชยาหรือสารที่อาจมีอันตรายตอไต เชน ยาตานการอักเสบที่ไมใชสตีรอยด ยา
อื่นๆ เชน ยาปฏิชีวนะกลุม aminoglycoside และการฉีดสารทึบรังสีเพื่อถายภาพเอกซเรย
o ควรสืบคนหาและใหการรักษาโรคหรือภาวะอื่นที่อาจทําใหไตเสื่อมสภาพ เชน การติดเชื้อ
ทางเดินปสสาวะ ภาวะหัวใจลมเหลว
o ควรตรวจหาและใหการดูแลรักษา diabetic retinopathy ซึ่งอาจพบรวมดวย
4. ระยะที่มี macroalbuminuria (clinical or overt diabetic nephropathy)
o การควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดใหใกลเคียงปกติ และความดันโลหิตใหนอยกวา
130/80 มิลลิเมตรปรอท รวมทั้งการจํากัดปริมาณโปรตีนในอาหารชวยชะลอการเสื่อมของ
ไตใหชาลงได (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
o ควรเลือกยาลดความดันโลหิตที่มีผลกระทบตอระดับน้าํ ตาล หรือระดับไขมันใน
เลือดใหนอยทีส่ ุด ยาลดความดันโลหิตสูงบางกลุม เชน ACEI หรือ ARB มีสวนชวยชะลอ
การเสื่อมของไตไดดกี วายากลุมอื่น (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
o ควรตรวจหาและใหการดูแลรักษา diabetic retinopathy ซึ่งมักพบรวมดวยในระยะ
นี้
58
เอกสารอางอิง
1. Chetthakul T, Deerochanawong S, Suwanwalaikorn S, et al. Thailand Diabetes Registry Project:
Prevalence of diabetic retinopathy and associated factors in type 2 diabetes mellitus. J Med Assoc Thai
2006; 89 (Suppl 1): S27-S36.
2. Diabetes Control and Complications Trial/Epidemiology of Diabetes Interventions and Complications
Research Group. Retinopathy and nephropathy in patients with type 1 diabetes four years after a trial of
intensive therapy. N Engl J Med 2000; 342: 381-9.
3. Holman RR, Paul SK, Bethel MA, Matthews DR, Neil HAW. 10-Year Follow-up of intensive glucose
control in type 2 diabetes. N Engl J Med 2008; 359: 1577-89.
4. American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
5. สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย. แนวทางเวชปฏิบัตกิ ารดูแลรักษาภาวะแทรกซอนจาก
โรคเบาหวาน (ตา ไต เทา). กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุข. บริษัท โอ-วิทย (ประเทศไทย)จํากัด,
นนทบุรี 2553.
6. Holman RR, Paul SK, Bethel MA, Neil HAW, Matthews DR. Long-term follow-up after tight control of
blood pressure in type 2 diabetes. N Engl J Med 2008; 359: 1565-76.
7. Keech A, Mitchell P, Summanen P, et al. Effect of fenofibrate on the need for laser treatment for diabetic
retinopathy (FIELD study): a randomized controlled trial. Lancet 2007; 370: 1687-97.
8. Ngarmukos C, Bunnag P, Kosachunhanun N, et al. Thailand Diabetes Registry Project: Prevalence
characteristics and treatment of patients with diabetic nephropathy. J Med Assoc Thai 2006; 89 (Suppl 1):
S37-S42.
9. National Kidney Foundation: K/DOQI Clinical practice guidelines for chronic kidney disease: evaluation,
classification and stratification. Am J Kidney Dis 2002; 39 (Suppl 1): S1-S266
59
10. Eknoyan G, Hostetter T, Bakris G, et al. Proteinuria and other markers of chronic kidney disease: a
position statement of the National Kidney Foundation (NKF) and the National Institute of Diabetes and
Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). Am J Kidney Dis 2003; 42: 617-22
11. Kramer H, Molitch M. Screening for kidney disease in adults with diabetes. Diabetes Care 2005; 28:
1813-6
12. แนวทางเวชปฏิบัติสําหรับโรคไตเรื้อรัง กอนการบําบัดทดแทนไต พ.ศ. 2552. สมาคมโรคไตแหงประเทศ
ไทย กรุงเทพมหานคร 2552
60
แนวทางการปองกันและรักษาภาวะแทรกซอนของหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
ผูปวยเบาหวานมีความเสี่ยงตอการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงตีบตันสูงกวาประชากรทั่วไป ทําใหเกิดโรค
หลอดเลือดหัวใจโคโรนารี และโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อผูปวยเบาหวานเกิดภาวะกลามเนื้อหัวใจตายจะมีการ
พยากรณโรคเลวรายกวาผูไมเปนเบาหวาน ปจจัยที่ทําใหเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบตันมีหลากหลาย
การดูแลรักษาผูปวยเบาหวานเพื่อปองกันโรคแทรกซอนจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบตัน จําเปนตอง
ดูแลสหปจจัยหรือดูแลแบบองครวม การดูแลรักษาเบาหวานและสหปจจัยอยางเขมงวดสามารถลดอัตราตายได
ชัดเจนและมีความคุมคา1,2
การตรวจคนภาวะแทรกซอนของหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
การคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจในผูปวยเบาหวานที่ไมมีอาการแตมีปจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือด
หัวใจ 2 อยางขึ้นไปอาจทําได แตมีการศึกษาแสดงใหเห็นวาไมไดประโยชนนัก3
ผูปวยเบาหวานทุกราย ควรไดรับการคัดกรองปจจัยเสี่ยงที่ทําใหเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรค
หลอดเลือดสมอง4 (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++) ไดแก
• การสูบบุหรี่
• ประวัติของโรคหลอดเลือดหัวใจในครอบครัว
• ความดันโลหิตสูง
• ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
• ภาวะ peripheral arterial disease
• การตรวจพบ albuminuria ทั้ง microalbuminuria และ macroalbuminuria
• หลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตถาความดันโลหิตยังสูงเกินเปาหมาย ใหพิจารณาใชยาตอไปนี้
2,6
เอกสารอางอิง
• Gaede P, Lund-Anderseo H, parving HH, Pedersen O. Effect of a multifactorial intervention on mortality
in type 2 diabetes. New Engl J Med 2008; 358: 580-91.
• Li R, Zhang P, Barker LE, Chowdhury FM, Zhang X. Cost-effectiveness of interventions to prevent and
control diabetes mellitus: a systematic review. Diabetes Care 2010; 33: 1872-94.
• Wackers FJ, Young LH, lnzucchi SE, et al. Detection of silent myocardial ischemia in asymptomatic
diabetic subjects: the DIAD study. Diabetes Care 2004; 27: 1954-61.
• American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
2. The ACCORD Study Group. Effects of intensive blood-pressure control in type 2 diabetes mellitus. New
Engl J Med 2010; 362: 1575-85.
• แนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงในเวชปฏิบัติทวั่ ไป พ.ศ. 2551 โดยสมาคมความดันโลหิตสูงแหง
ประเทศไทย. Thai Hypertension Society: Guidelines in the treatment of hypertension 2008.
• Brunzell JD, Davidson M, Furberg CD, et al. Lipoprotein management in patients with cardiometabolic
risk: Consensus conference report from the American Diabetes Association and the American College of
Cardiology Foundation. J Am Coll Cardiol 2008; 51: 1512-24.
• Skyler JS, Bergenstal R, Bonow RO, et al. Intensive glycemic control and the prevention of
cardiovascular events: Implications of the ACCORD, ADVANCE and VA Diabetes Trials. A position
statement of the American Diabetes Association and the scientific statement of the American College of
Cardiology Foundation and the American Heart Association. Circulation 2009; 119: 351-7.
3. Greenfield S, Billimek J, Pellegrini F, et al. Comorbidity affects the relationship between glycemic
control and cardiovascular outcomes in diabetes. A cohort study. Ann Intern Med 2009; 151: 854-60.
4. Cooper-DeHoff RM, Gong Y, Handberg EM, et al. Tight blood pressure control and cardiovascular
outcomes among hypertensive patients with diabetes and coronary artery disease. JAMA 2010; 304: 61-8.
5. Anderson RJ, Bahn GD, Moritz TE, et al. Blood pressure and cardiovascular disease risk in the Veterans
Affairs Diabetes Trial (VADT). Published online before print November 8, 2010, doi: 10.2337/dc10-
1420, Diabetes Care.
64
คําแนะนําทั่วไปเกี่ยวกับการดูแลเทาในผูปวยเบาหวาน2,4
การดูแลรักษาเทาที่มีประสิทธิภาพ ตองอาศัยความรวมมือระหวางผูปวยและบุคลากรทางการแพทยทุก
ดานที่เกี่ยวของ โดยจะตองรวมกันกําหนดแนวทางการดูแลและรักษาเทาที่เหมาะสม (คุณภาพหลักฐานระดับ 1,
น้ําหนักคําแนะนํา ++)5
• ผูปวยเบาหวานทุกรายควรไดรับการตรวจเทาอยางละเอียด (foot examination) อยางนอยปละ 1
ครั้ง เพื่อประเมินระดับความเสี่ยง (risk category) ตอการเกิดแผลที่เทา6 (คุณภาพหลักฐานระดับ 1,
น้ําหนักคําแนะนํา ++) และผูปวยเบาหวานควรไดรับการสํารวจ (foot inspection) เปนประจําอยาง
สม่ําเสมอ เพื่อวินิจฉัยและแกไขปญหาทีเ่ กิดขึ้นตั้งแตระยะแรก ทําใหการรักษาไดผลดี และลด
คาใชจายในการรักษา6 (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ควรใหความรูเกี่ยวกับปญหาการเกิดแผลที่เทา รวมทั้งการปองกันและการดูแลตนเองแกผูปว ย
เบาหวานทุกราย ตั้งแตแรกวินิจฉัยโรคเบาหวานและควรทําอยางตอเนื่อง โดยเฉพาะผูปวย
เบาหวานที่มีความเสี่ยงตอการเกิดแผลที่เทา7-9 (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++) (ดู
รายละเอียดการใหคําแนะนําการปฏิบัติตัวทั่วไปสําหรับผูปวยเบาหวานเพื่อปองกันการเกิดแผลที่
เทา ในภาคผนวก 3)
• ผูปวยที่มีปญหาหลอดเลือดแดงสวนปลายที่ขาตีบ (peripheral vascular disease) จนมีอาการของขา
ขาดเลือด อาจตองพิจารณาใหการรักษาดวยการผาตัดเปลี่ยนเสนทางของเลือด2,4 (arterial bypass
surgery) (คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา +)
ปจจัยเสี่ยงตอการเกิดแผลที่เทาและการถูกตัดขาหรือเทาในผูปวยเบาหวาน1-4,10,11
• ประวัติเคยมีแผลที่เทาหรือถูกตัดขาหรือเทามากอน (คุณภาพหลักฐานระดับ 1)
• มีภาวะแทรกซอนที่เสนประสาทจากเบาหวาน (คุณภาพหลักฐานระดับ 1)
• มีหลอดเลือดสวนปลายที่ขาตีบ (คุณภาพหลักฐานระดับ 1)
• มีจอประสาทตาผิดปกติจากเบาหวานและสายตาเสื่อม (คุณภาพหลักฐานระดับ 1)
65
การจําแนกระดับความเสี่ยงตอการเกิดแผลที่เทา2
ระดับความเสี่ยงตอการเกิดแผลที่เทาแบงไดเปน
• มีความเสี่ยงต่าํ หมายถึง เทาไมมีแผลขณะประเมิน และไมมีประวัตกิ ารมีแผลที่เทาหรือการถูกตัด
ขาหรือเทา รูปเทาปกติไมมกี ารผิดรูป ผิวหนังที่เทาและเล็บปกติ มีการรับความรูสึกปกติ ชีพจรที่
เทาปกติ
• มีความเสี่ยงปานกลาง หมายถึง เทาไมมีแผลขณะประเมิน แตมีการรับความรูสกึ ลดลง หรือ ชีพจร
เบาลง หรือ มีเทาผิดรูป หรือ ผิวหนังที่เทาและเล็บผิดปกติ
• มีความเสี่ยงสูง หมายถึง เทาไมมีแผลขณะประเมิน แตมีการรับความรูสึกลดลง หรือ ชีพจรเบาลง
รวมกับ มีเทาผิดรูป หรือ ผิวหนังทีเ่ ทาและเล็บผิดปกติ หรือ มีประวัตเิ คยมีแผลที่เทา หรือการถูกตัด
ขาหรือเทา
แนวทางการปฏิบัติในการปองกันการเกิดแผลที่เทา2
แนวทางปฏิบัติทั่วไปสําหรับทุกกลุมความเสี่ยง (แผนภูมิที่ 1)
• ใหความรูแ กผปู วยเกี่ยวกับการดูแลเทาทั่วไป และเนนใหผูปว ยตระหนักถึงประโยชนที่จะไดรบั
จากการดูแลเทาที่ดี (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
66
ผูปวยเบาหวานที่ไมไดรับการตรวจเทาในระยะเวลา 1 ป หรือมากกวา
แผนภูมิที่ 1. การดูแลเทาในผูปวยที่มีความเสี่ยงตอการเกิดแผลที่เทาในระดับตาง ๆ
แนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมสําหรับกลุมที่มีความเสี่ยงต่ํา
• ตรวจเทาอยางละเอียดปละ 1 ครั้ง (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ถาผลการตรวจเทามีการเปลีย่ นแปลง ประเมินระดับความเสี่ยงใหม (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
แนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมสําหรับกลุมที่มีความเสี่ยงปานกลาง
• สํารวจเทาผูปวยทุกครั้งที่มาตรวจตามนัด (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ตรวจเทาอยางละเอียดทุก 6-12 เดือน (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• เนนการใหผูปว ยดูแลเทาดวยตนเองอยางถูกตองเพิ่มขึ้น (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ถาผลการตรวจเทามีการเปลีย่ นแปลง ประเมินระดับความเสี่ยงใหม (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
แนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมสําหรับกลุมที่มีความเสี่ยงสูง
• สํารวจเทาผูปวยทุกครั้งที่มาตรวจตามนัด (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ตรวจเทาอยางละเอียดทุก 6 เดือนหรือถี่ขึ้นตามความจําเปน (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• เนนการใหผูปว ยดูแลเทาดวยตนเองอยางถูกตองและเขมงวด (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• สงตอผูปวยเพือ่ รับการดูแลรักษาโดยทีมผูเชี่ยวชาญการดูแลรักษาโรคเบาหวานและ/หรือการดูแล
เทาระดับสูงขึน้ (น้าํ หนักคําแนะนํา ++) ทีมผูเชี่ยวชาญประกอบดวย แพทยผูเชี่ยวชาญ
โรคเบาหวาน และ/หรือ ศัลยแพทย ศัลยแพทยออรโธปดิกส แพทยเวชศาสตรฟนฟู และพยาบาลที่
มีความชํานาญในการดูแลแผลเบาหวาน
• พิจารณาใหผป ู วยสวมรองเทาพิเศษที่เหมาะสมกับปญหาที่เกิดขึ้นที่เทา12 (คุณภาพหลักฐานระดับ
1, น้ําหนักคําแนะนํา +)
การตรวจเทาอยางละเอียด
• ตรวจเทาทั่วทั้งเทา (หลังเทา ฝาเทา สนเทา และซอกนิ้วเทา) วามีแผลเกิดขึ้นหรือไม (น้ําหนัก
คําแนะนํา ++)
• ตรวจผิวหนังทั่วทั้งเทา (หลังเทา ฝาเทา และซอกนิ้วเทา) โดยดู สีผิว (ซีดคล้ํา gangrene) อุณหภูมิ
ขน ผิวหนังแข็งหรือตาปลา (callus) และ การอักเสบติดเชื้อ รวมทั้งเชื้อรา (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ตรวจเล็บ โดยดูวามีเล็บขบ (ingrown toenail) หรือไม ดูลักษณะของเล็บที่อาจทําใหเกิดเล็บขบได
งาย (เชน เล็บงุมขางมากเกินไป) และ ดูรองรอยของวิธีการตัดเล็บวาถูกตองหรือไม (น้ําหนัก
คําแนะนํา ++)
68
แนวทางปฏิบัติสําหรับผูปวยเบาหวานที่มีแผลที่เทา
เมื่อพบผูปวยมีแผลที่เทาเกิดขึ้นควรปฏิบัติดังนี้
• ประเมินชนิดของแผลที่เทาวาเปนแผลเสนประสาทเสื่อม (neuropathic ulcer) แผลขาดเลือด
(ischemic ulcer) แผลที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน (acute ulcer) จากการบาดเจ็บ หรือดูแลเทาไมถูกตอง
หรือแผลติดเชือ้ หรือหลายกลไกรวมกัน (น้ําหนักคําแนะนํา ++) (ดูรายละเอียดวิธกี ารวินิจฉัยแผล
ชนิดตาง ๆ ในภาคผนวก 6)
• ประเมินขนาดแผล (ขนาดความกวางและความลึก) และประเมินความรุนแรงของแผลตามวิธีของ
Wagner และ Meggitt16 (น้ําหนักคําแนะนํา ++) (ดูรายละเอียดวิธีการประเมินในภาคผนวกที่ 6)
• ทําความสะอาดแผลดวยน้ําเกลือปลอดเชื้อ (sterile normal saline) วันละ 2 ครั้ง หามใช alcohol,
betadine เขมขน, น้ํายา Dakin, หรือ hydrogen peroxide ทําแผล เนื่องจากมีการระคายเนื้อเยื่อมาก
ซึ่งจะรบกวนการหายของแผล (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
69
• วัสดุทําแผลแตละชนิด เชน alginate, cream, debriding agent, foam, film, gauze, hydrocolloid และ
hydrogel ตางมีขอดีและขอเสียตางกัน การเลือกใชขึ้นกับลักษณะของแผล ลักษณะของผูปวย และ
คาใชจายเปนสําคัญ2 (คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา +/-)
• หลีกเลี่ยงมิใหแผลเปยกน้ํา ถูกกด หรือรับน้าํ หนัก (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ควบคุมระดับระดับน้ําตาลในเลือดใหไดตามเปาหมายหรือใกลเคียง (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
แนวทางรักษาแผลที่เทาไมรุนแรง
• แผลไมรุนแรง (Wagner grade 1 ที่มีขนาดความกวาง < 2 ซม. ลึกนอยกวา 0.5 ซม. และมีการ
อักเสบของผิวหนังรอบแผล < 2 ซม.) สามารถใหการรักษาแบบผูป วยนอกได และนัดผูปว ยมา
ประเมินติดตามซ้ําอยางนอยทุกสัปดาห2,17 (คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• ใหยาปฏิชวี นะชนิดรับประทานสําหรับแผลติดเชื้อ นานประมาณ 1-2 สัปดาห18 (คุณภาพหลักฐาน
ระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++) (ดูรายละเอียดยาปฏิชวี นะในภาคผนวก )
• ควรทําการเพาะเชื้อสําหรับสําหรับแผลติดเชื้อไมรุนแรงที่ไดรับการรักษามากอนและไมดีขึ้น18
(คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
• การใชยาปฏิชวี นะชนิดทาเฉพาะที่ (local antibiotic) ใหพิจารณาตามความเหมาะสม เนื่องจากมี
ขอมูลจํากัด18 (คุณภาพหลักฐานระดับ 2, น้ําหนักคําแนะนํา +/-)
• แผลที่รักษาไมหายภายใน 2 สัปดาห ควรทําการเพาะเชื้อ ประเมินผูปวยใหมและใหการดูแลรักษา
แบบแผลรุนแรง (น้ําหนักคําแนะนํา ++)
แนวทางรักษาแผลที่เทารุนแรง
1. แผลรุนแรง (แผลที่มีขนาด >2 ซม. หรือลึก > 0.5 ซม. หรือ มีการอักเสบของผิวหนังรอบแผล >2
ซม. หรือ Wagner grade 2 ขึ้นไป) ควรรับไวรักษาในโรงพยาบาลและปรึกษาทีมผูเชี่ยวชาญ
รวมกันดูแล2,17 (คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
2. ควรทําการเพาะเชื้อโดยการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) หรือการขูด (curettage) เนื้อเยื่อจากกนแผล เพื่อ
เพาะเชื้อ ซึ่งจะชวยใหสามารถทราบจุลชีพที่เปนสาเหตุไดถกู ตองมากกวาการปายหนองหรือ
discharge ที่คลุมแผล18 (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
3. ผูปวยที่มีแผลรุนแรงและติดเชื้อซึ่งรักษาไมหายในเวลา 6 สัปดาห ควรไดรับการเอกซเรยเทาเพื่อดู
วามี osteomyelitis หรือไม18 (คุณภาพหลักฐานระดับ 4, น้ําหนักคําแนะนํา +)
4. ใหยาปฏิชวี นะทางหลอดเลือดดําเปนเวลานาน 2-4 สัปดาหสําหรับแผลติดเชื้อรุนแรง และอยาง
นอย 6 สัปดาหในกรณีที่มี osteomyelitis18 (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
70
เอกสารอางอิง
- Crawford F, lnkster M, Kleijnen J, Fahey T. Predicting foot ulcers in patients with diabetes: a systematic
review and meta-analysis. QJM 2007; 100: 65-86.
- Mclntosch A, Peters JR, Young RJ, et al. Prevention and management of foot problems in type 2 diabetes:
Clinical guidelines and evidence 2003. (full NICE guideline). Sheffield: University of Sheffield.
www.nice.org.uk
- Sriussadaporn S, Mekanandha P, Vannasaeng S, et al. Factors associated with diabetic foot ulceration in
Thailand: a case-control study. Diabet Med 1997; 14: 50-6.
- American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
- Donohoe ME, Fletton JA, Hook A, et al. Improving foot care for people with diabetes mellitus-a
randomized controlled trial of an integrated care approach. Diabet Med 2000; 17: 581-7.
- McCabe CJ, Stevenson RC, Dolan AM. Evaluation of a diabetic foot screening and protection
programme. Diabet Med 1998; 15: 80-4.
- Valk GD, Kriegsman DM, Assendelft WJ. Patient education for preventing diabetic foot ulceration. A
systematic review. Endocrinol Metab Clin North Am 2002; 31: 633-58.
- Litzelman DK, Slemenda CW, Langefeld CD, et al. Reduction of lower extremity clinical abnormalities
in patients with non-insulin dependent diabetes. Ann lntern Med 1993; 119: 36-41.
- Barth R, Campbell LV, Allen S, Jupp JJ, Chisholm DJ. Intensive education improves knowledge,
compliance and foot problems in type 2 diabetes. Diabet Med 1991; 8: 111-7.
- Mayfield JA, Reiber GE, Sanders LJ, Janisse D, Pogach LM. Preventive foot care in people with diabetes
(Technical Review). Diabetes Care 1998; 21: 2161-77.
71
การคัดกรอง
การคัดกรองโรคเบาหวานในเด็กและวัยรุน1 เปนการคัดกรองเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะตรวจ
คัดกรองในเด็กและวัยรุนอายุตั้งแต 10 ปขึ้นไป ที่อวนและมีปจจัยเสี่ยง 2 ใน 3 ขอ ตอไปนี้
1. มีพอ แม พี่ หรือนอง เปนโรคเบาหวาน
2. มีความดันโลหิตสูง (BP ≥130/85 มม.ปรอท)
3. ตรวจรางกายพบ acanthosis nigricans
(น้ําหนักคําแนะนํา ++) วิธีการคัดกรองและคําแนะนําปรากฏในแผนภูมิที่ 1
สําหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ไมมีการตรวจการคัดกรอง เด็กและวัยรุนที่มีอาการนาสงสัยวาเปน
โรคเบาหวาน ใหดําเนินการตามแผนภูมิที่ 2 หากตรวจพบระดับน้ําตาลในเลือด ≥200 มก./ดล.ใหตรวจสอบวามี
ภาวะเลือดเปนกรดจากโรคเบาหวาน (diabetic ketoacidosis, DKA) หรือไม กรณีที่ตรวจผูปวยในสถานีอนามัย
ควรสงตอไปยังโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลทั่วไป เพื่อใหการวินิจฉัยและรักษาทันที
เกณฑการวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคเบาหวานใชเกณฑเดียวกับผูใหญ ยกเวนการตรวจ OGTT ใชปริมาณกลูโคสตามน้าํ หนัก
ตัว (ภาคผนวก 2) การระบุชนิดของโรคเบาหวานใชลักษณะทางคลินิกเปนหลัก (รายละเอียดดูจากชนิดของ
โรคเบาหวาน หนา 5)
การดูแลรักษา
• การดูแลผูปวยเบาหวานเด็กและวัยรุน มีความแตกตางจากผูใหญ เพราะมีพัฒนาการ มีการปรับตัว
ตามวัย มีขอจํากัดในการดูแลตนเอง ฉีดอินซูลิน อาหาร กิจวัตรประจําวัน รวมทั้งความวิตกกังวล
ของผูปกครอง คนใกลชิด เพื่อนและครู
• ใหการดูแลรักษาโดยทีมสหสาขาวิชา ใหความรูโรคเบาหวาน สรางความเขาใจ ฝกทักษะและ
ประสบการณในการดูแลตนเอง ใหความชวยเหลืออื่นๆ แกผูปวยและครอบครัว (รายละเอียดใน
ภาคผนวก 10)
• การรักษาดวยอินซูลิน
73
• กําหนดอาหารและพลังงานตามวัย
• การมีกิจกรรมทางกาย
• การติดตามผลการรักษา
• การเฝาระวังปจจัยเสี่ยงและภาวะแทรกซอน
• แนะนําใหลดน้ําหนักลงรอยละ 5-10
Capillary blood glucose ไมใช • แนะนําและสนับสนุนการจัดการตนเองเพื่อลดโอกาส
≥ 110 มก./ดล. เสี่ยงของการเปนโรคเบาหวานและหลอดเลือด
• ตรวจซ้ําทุก 1 ป
ใช
ตารางที่ 1. การคํานวณพลังงานที่ควรไดรับในแตละวันในเด็กและวัยรุน
อายุ (ป) พลังงานที่ควรไดรับในแตละวัน (กิโลแคลอรี)
0-12 ป 1,000 + [100 x อายุ (ป)]
12-15 ป (หญิง) 1,500 – 2,000 + [100 x อายุ (ป) ที่มากกวา 12 ป]
12-15 ป (ชาย) 2,000 – 2,500 + [200 x อายุ (ป) ที่มากกวา 12 ป]
15-20 ป (หญิง) [29-33] x DBW* (กิโลกรัม)
15-20 ป (ชาย) [33-40] x DBW* (กิโลกรัม)
* DBW: Desired body weight
เปาหมายการรักษา
เปาหมายการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด และ HbA1c ขึ้นกับวัยของผูปวย เพื่อใหมีความปลอดภัยและ
สามารถปฏิบัติได รายละเอียดตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2. เปาหมายการควบคุมเบาหวานในเด็กและวัยรุน
กลุมอายุ หัวขอประเมิน เปาหมาย
เด็กอายุ 0-6ป ระดับน้ําตาลในเลือดกอนมื้ออาหาร 100 - 180 มก./ดล.
ระดับน้ําตาลในเลือดกอนนอน 110 - 200 มก./ดล.
คาฮีโมโกบิลเอวันชี (HbA1c) 7.5 - 8.5%
เด็กอายุ 6-12 ป ระดับน้ําตาลในเลือดกอนมื้ออาหาร 90 - 180 มก./ดล.
ระดับน้ําตาลในเลือดกอนนอน 100 - 180 มก./ดล.
คาฮีโมโกบิลเอวันชี (HbA1c) < 8%
วัยรุนอายุ 13 ปขึ้นไป ระดับน้ําตาลในเลือดกอนมื้ออาหาร 90 - 130 มก./ดล.
ระดับน้ําตาลในเลือดกอนนอน 90 - 150 มก./ดล.
คาฮีโมโกบิลเอวันชี (HbA1c) < 7.5%
การติดตามการรักษาและตรวจปจจัยเสี่ยงหรือภาวะแทรกซอนจากเบาหวาน
79
การพิจารณาใหทบทวนความรูใหม
ควรมีการใหความรูโรคเบาหวานและเสริมทักษะการดูแลตนเองเมื่อ
1. ระดับ HbA1c สูงกวา 8.5% ในเบาหวานชนิดที่ 1 และสูงกวา 7% ในเบาหวานชนิดที่ 2
2. กรณีเกิด DKA ซ้ําในเวลา 6 เดือนหรือนอยกวา
3. กรณีเกิด hypoglycemia บอยครั้ง หรือมี hypoglycemia unawareness โดยเนนใหการทบทวน
ความรูเรื่องสาเหตุ การปองกัน และแกไข
เอกสารอางอิง
1. American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
2. International Society for Pediatric and Adolescent Diabetes. Consensus Guideline 2000: ISPAD
Consensus guidelines for the management of type 1 diabetes mellitus in children and adolescent. Medical
Forum International. Zeist Netherlands 2000; 11-19R.
3. Likitmaskul S, Wekawanich J, Wongarn R, Chaichanwatanakul K, Kiattisakthavee P, Nimkarn S, et al.
Intensive diabetes education program and multidisciplinary team approach in management of newly
diagnosed type 1 diabetes mellitus: a greater patient benefit, experience at Siriraj Hospital. J Med Assoc
Thai 2002; 85 (Suppl 2): S488-95.
81
4. National Collaborating Center for Woman’s and Children’s Health. Type 1 diabetes diagnosis and
management of type 1 diabetes in children and young people: clinical guideline 2004. RCOG Press
London.
5. Bangstad HJ, Danne T, Deeb LC, Jaroz-Chabot P, Urakami T, Hanas R. Insulin treatment in children and
adolescents with diabetes. Pediatric Diabetes 2009:10 Suppl 12:82-99.
6. Bode BW, Davidson PC, Steed RD, Robertson DG, Skyler JS, editors. How to control and manage
diabetes mellitus. Alexandria: American Diabetes Association; 2001.
7. Garg A, Barnett JP. Nutritional management of the person with diabetes. In: Porte D Jr, Sherwin RS,
Baron A, editors. Ellenberg & Rifkin’s diabetes mellitus. 6th ed. New York: McGraw-Hill; 2003. p.437-52
8. Likitmaskul S, Santipraphob J, Nakavachara P, Sriussadaporn P, Parkpreaw C, Kolatat T and 31
members. A holistic care and self management education programe for children and adolescents with
diabetes at Siriraj Hospital. Abstract presented in International Conference on Health Promotion and
Quality in Health Services. 19-21 November 2008, Bangkok, Thailand. p 253-55.
82
การปองกันและแกไขภาวะแทรกซอนเฉียบพลันในเบาหวานเด็กและวัยรุน
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด (hypoglycemia)
I. การวินิจฉัยและการประเมินความรุนแรง1,2
อาการและอาการแสดง การวิ นิ จ ฉั ย และการประเมิ น ความรุน แรงของภาวะน้ํ า ตาลต่ํ า ในเลื อด ดู
รายละเอียดจากการวินิจฉัย ประเมิน รักษา และปองกันภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน (หนา 41
ระดับน้ําตาลต่ําที่ทําใหเกิดอาการในผูปวยแตละคนจะแตกตางกัน อาการที่พบเปนอาการจากระบบออ
โตโนมิค (autonomic symptom) และอาการสมองขาดกลูโคส (neuroglycopenic symptom) ในเด็กอาการที่เกิด
จากสมองและรางกายขาดน้ําตาล ไดแก
• ไมมีแรง แขน ขาออนแรง
• ปวดศีรษะ ตามัว
• พูดไมชัด พูดสะดุด ติดอาง
• มึนงง เวียนศีรษะ
• คิดไมออก สับสน
• อารมณเปลี่ยนแปลง เชน ซึมเศรา โกรธ หงุดหงิด โวยวาย ขวางปาสิ่งของ
• เหนื่อย ซึม ไมรูตัว ชัก
อาการของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด อาจไมเหมือนกันทุกครั้ง ผูปกครองหรือผูใกลชิดจะตองหาสาเหตุ
และตรวจระดับน้ําตาลในเลือดเมื่อสงสัยเสมอ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งอาจมีอาการเพียงรองไหโยเย เทานั้น
II. การแกไขภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
เด็กและวันรุนที่เปนเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ที่รักษาดวยยา มีโอกาสเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดได
แตพบในเบาหวานชนิดที่ 2 ไดนอยกวา เมื่อมีอาการควรตรวจเลือดกอนใหการรักษาเสมอ ยกเวนกรณีฉุกเฉิน
ตรวจไมได การแกไขขึ้นกับความรุนแรงที่ประเมินได และ/หรือ ผลระดับน้ําตาลในเลือดที่ตรวจได1,2 แนว
ทางการแกไขกอนพบแพทยมีดังนี้
83
ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 1
1. ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดไมรุนแรง (mild hypoglycemia)
1.1 ระดับน้ําตาลในเลือดสูงกวา 70 มก./ดล. และมีอาการ
o ดื่มน้ําผลไม น้ําอัดลม หรือของขบเคี้ยวที่มีรสหวาน (ท็อฟฟ ช็อกโกแลตแทงเล็ก) อยางใด
อยางหนึ่ง ในปริมาณไมมากที่ทําใหอาการหายไป
o หากไมมีอาการแลวหรือเกิดกอนมื้ออาหาร 20 -30 นาที ใหกินอาหารมื้อตอไปตามเวลา
1.2 ระดับน้ําตาลในเลือดนอยกวา 70 มก./ดล. อาการนอยหรือไมมีอาการ
2. กรณีกอนมื้ออาหาร 20-30 นาที ใหน้ําหวาน 5-10 ซีซี และใหกินอาหารมื้อตอไปทันที หาก
เปนมื้ออาหารที่ตองฉีดอินซูลิน ใหฉีดอินซูลินหลังกินอาหารโดยลดขนาดอินซูลินลงรอยละ
10-15 ของที่ฉีดเดิม
3. กรณีระหวางมือ้ อาหาร ใหคารโบไฮเดรตชนิดดูดซึมเร็ว 10 กรัม อยางใดอยางหนึ่งตอไปนี้
- soft drink หรือนมหวาน 90 ซีซี - ท็อฟฟ ขนาดมาตรฐาน 3-4 เม็ด
- ช็อกโกแลต 1 แทงเล็ก - น้ําหวาน น้ําผึ้ง 20-30 ซีซี
4. เมื่ออาการดีขนึ้ ใหคารโบไฮเดรตชนิดดูดซึมชา 15 กรัม (1 สวน) อยางใดอยางหนึ่งตอไปนี้
- นมจืด 1 กลอง (200 ซีซี) - กลวย หรือแอปเปล 1 ลูก
- โยเกิรต 200 กรัม - ขนมปง 1 แผนมาตรฐาน
o ตรวจระดับน้ําตาลในเลือดภายใน 30-60 นาที จนมีคาสูงกวา 80 มก./ดล.
o งดออกกําลังกายในวันนั้น
o ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดรุนแรงปานกลาง (moderate hypoglycemia) ระดับน้ําตาลในเลือด <70
มก./ดล.
o ใหคารโบไฮเดรตชนิดดูดซึมเร็ว 10 กรัมอยางใดอยางหนึ่งตอไปนี้
- soft drink หรือนมหวาน 90 ซีซี - ท็อฟฟมาตรฐาน 3-4 เม็ด
- ช็อกโกแลต 1 แทงเล็ก - น้ําหวานหรือน้ําผึ้ง 20-30 ซีซี
1. เมื่ออาการดีขึ้นใหคารโบไฮเดรตชนิดดูดซึมชา 15 กรัม (1 สวน) อยางใดอยางหนึ่ง ตอไปนี้
- นมจืด 1 กลอง (250 ซีซี) - กลวย หรือแอปเปล 1 ลูก
- โยเกิรต 200 กรัม - ขนมปง 1 แผนมาตรฐาน
2. ตรวจระดับน้ําตาลในเลือดภายใน 30-60 นาที จนระดับน้ําตาลในเลือดสูงกวา 80 มก./ดล. และ
ไมมีอาการ
3. งดการออกกําลังกายในวันนั้น
4. ปรึกษาหรือพบแพทยเรื่องการฉีดอินซูลินในมื้อตอไป
3. ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดรุนแรง (severe hypoglycemia) ไมรูตัว หรือรูตัวแตชวยตัวเองไมได หรือ
กินไมได
84
ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2
กรณีที่รักษาดวยยาฉีดอินซูลินใหการรักษาเชนเดียวกับเบาหวานชนิดที่ 1 กรณีที่รักษาดวยยากินใหการรักษา
เบื้องตนเชนเดียวกัน หากกินยาซัลโฟนิลยูเรียตองสังเกตอาการตอเนื่องเพราะอาจเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดซ้ํา
ได ปรึกษาหรือพบแพทยเพื่อรับคําแนะนําและปรับขนาดยาใหเหมาะสม
III. การปองกัน
การเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดสวนใหญเปนผลจากความไมสมดุลของอาหาร อินซูลิน กิจกรรมในวัน
นั้น การเจ็บปวยและอื่นๆ ทีมดูแลเบาหวานตองสรางความรูความเขาใจใหผูปวยและผูดูแล รวมทั้งสรางทักษะ
ในการสังเกตหรือคนพบอาการเริ่มตนของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด สามารถปฏิบัติแกไข ดูแลอยางถูกตองเมื่อมี
อาการเจ็บปวย เพื่อปองกันการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
ตอเพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
เอกสารอางอิง
o Silink M, et al. hypoglycemia. In: Silink M, ed. APEG Handbook on Childhood and Adolescent Diabetes; the
management of insulin dependent diabetes mellitus (IDDM). 1st ed. Australia: Parramatta NSW; 1996: 61-8.
o Clarke W, Jones T, Rewers A, Dunger D, Klingensmith GJ. Assessment and management of hypoglycemia in
children and adolescents with diabetes: ISPAD Clinical Practice Consensus Guideline 2009. Pediatric Diabetes
2009:10 (Suppl 12): 134-45.
o American Diabetes Association. Standards of Medical care in Diabetes. Diabetes Care 2010; 33 (1): S11- S61.
o Wolfsdort J, Craig ME, Daneman D, et al. Diabetes ketoacidosis in children and adolescents with diabetes: ISPAD
Clinical Practice Consensus Guideline 2009. Pediatric Diabetes 2009:10 (Suppl 12): 118-33.
o คณะกรรมการโรคตอมไรทอในเด็ก. การรักษาภาวะไดอะบิติก คีโตเอซิโดซิส (Management for diabetic
ketoacidosis). วารสารกุมารเวชศาสตร 2545: 41 (1): 115-22.
87
เบาหวานในหญิงมีครรภ
ตารางที่ 1. เปาหมายของระดับน้ําตาลในเลือดของผูปวยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ
เวลา กลูโคสในเลือด (มก./ดล.)
กอนอาหารเชา มื้ออื่น และกอนนอน 60-95
หลังอาหาร 1 ชั่วโมง <140
หลังอาหาร 2 ชั่วโมง <120
เวลา 2.00 – 4.00 นาฬิกา >60
ผูปวยที่มีภาวะแทรกซอนจากเบาหวานที่ตาและไตระยะตนไมเปนอุปสรรคตอการตั้งครรภ แตถามี
proliferative diabetic retinopathy ควรไดรับการรักษากอนที่จะตั้งครรภ เนื่องจากขณะตั้งครรภอาจรุนแรงขึ้นจน
เปนอันตรายได และระหวางการตั้งครรภควรไดรับการตรวจจอรับภาพของตาโดยจักษุแพทยเปนระยะ ในผูปวย
ที่มี diabetic nephropathy ระยะตนจะพบ proteinuria เพิ่มขึ้น และพบความดันโลหิตสูงไดบอยถึงรอยละ 70 การ
88
การรักษาเบาหวานในวันคลอดและหลังคลอด
ในขณะคลอดควรควบคุมใหระดับน้ําตาลในเลือดอยูระหวาง 70-120 มก./ดล. เพื่อปองกันไมใหเกิด
ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดของทารกแรกเกิด และการเกิดภาวะ ketosis ในมารดา เนื่องจากขณะคลอดผูปวยไมได
รับประทานอาหารและน้ํา ตองใหสารละลายกลูโคส 5% เขาทางหลอดเลือดดําในอัตรา 100-125 มล./ชั่วโมง
และตรวจระดับน้ําตาลในเลือดทุก 1-2 ชั่วโมง ถาระดับน้ําตาลในเลือดสูงกวาเกณฑที่กําหนด ควรใหอินซูลิน
ผสมกับน้ําเกลือ (normal saline) หยดเขาหลอดเลือดดําอีกสายหนึ่งในอัตรา 1-2 ยูนิต/ชั่วโมง
กรณีที่ตองคลอดโดยการผาตัดทางหนาทอง (caesarian section) ผูปวยฉีดอินซูลินประจําวันตามเดิม ควรทําการ
ผาตัดในชวงเชาซู ในขณะที่ผูปวยอดอาหารเชาใหเริ่มหยดสารละลาย 5% กลูโคสเขาทางหลอดเลือดดําในอัตรา
100-125 มล./ชั่วโมง และตรวจระดับน้ําตาลในเลือดทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อปรับอัตราการใหสารละลาย 5% กลูโคส
ใหระดับน้ําตาลในเลือดอยูระหวาง 70-120 มก./ดล. ถาน้ําตาลในเลือดสูงเกินเปาหมาย ใหอินซูลินผสมกับ
สารละลายน้ําเกลือ (normal saline) หยดเขาหลอดเลือดดําอีกสายหนึ่งในอัตรา 1-2 ยูนิต/ชั่วโมง หรือฉีดอินซูลิน
90
การตรวจคัดกรองและวินจิ ฉัยโรค
หญิงตั้งครรภทุกคนควรไดรับการตรวจคัดกรองหาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ ยกเวนหญิงที่มีความ
เสี่ยงต่ํามาก ไดแก อายุนอยกวา 25 ป น้ําหนักตัวกอนการตั้งครรภปกติ ไมมีประวัติเบาหวานในครอบครัว และ
ไมเคยมีประวัติการตั้งครรภที่ผิดปกติมากอน หญิงที่มีความเสี่ยงสูงแนะนําใหตรวจคัดกรองเมื่อฝากครรภครั้ง
แรก ถาผลปกติใหตรวจซ้ําใหมเมื่ออายุครรภได 24-28 สัปดาห การตรวจคัดกรองทําเวลาใดก็ได ไมจําเปนตอง
อดอาหาร โดยใหหญิงตั้งครรภดื่มน้ําที่ละลายน้ําตาลกลูโคส 50 กรัม (50 g glucose challenge test) หลังดื่ม 1
ชั่วโมง เจาะเลือดจากหลอดเลือดดําตรวจวัดระดับน้ําตาล ถามีคามากกวาหรือเทากับ 140 มก./ดล. ถือวาผิดปกติ
ตองทําการทดสอบตอไปดวย oral glucose tolerance test (OGTT) เพื่อวินิจฉัย ซึ่งปจจุบันมีอยูหลายเกณฑ
ดวยกัน (รายละเอียดในภาคผนวก 2) เกณฑของ National Diabetes Data Group (NDDG) เปนเกณฑทนี่ ยิ มใชกนั
มากที่สุดในประเทศไทย และเปนเกณฑที่ American College of Obstetricians and Gynecologist แนะนํา
การรักษาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ
หลักในการรักษาเชนเดียวกับผูปวยที่เปน pregestational diabetes คือพยายามควบคุมระดับน้ําตาลใน
เลือดใหอยูในเกณฑที่กําหนดไวในตารางที่ 1 หญิงที่เปนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภสวนใหญ สามารถควบคุม
ระดับน้ําตาลไดโดยการควบคุมอาหารอยางเดียว จะพิจารณาใหอินซูลินในรายที่ระดับน้ําตาลในเลือดขณะอด
91
การติดตามหลังคลอดในหญิงที่เปนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ
หญิงที่เปนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ มีโอกาสเปนโรคเบาหวานในอนาคตมากกวาหญิงปกติ 7.4 เทา5
ดังนั้นทุกรายควรไดรับการติดตามตรวจระดับน้ําตาลในเลือดหลังคลอด 6 สัปดาห โดยการตรวจความทนตอ
กลูโคส 75 กรัม (75 g oral glucose tolerance test, OGTT) ถาผลปกติควรไดรับการติดตามทุก 1 ป และหญิงที่
เปนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภทุกรายควรไดรับคําแนะนําการควบคุมอาหารและออกกําลังกาย เพื่อปองกันการ
เกิดโรคเบาหวานในอนาคต (คุณภาพหลักฐานระดับ 1, น้ําหนักคําแนะนํา ++)
เอกสารอางอิง
5. ชัยชาญ ดีโรจนวงศ. เบาหวานในหญิงตั้งครรภ. ใน: สถานการณโรคเบาหวานในประเทศไทย 2550.วรรณี
นิธิยานันท, สาธิต วรรณแสง, ชัยชาญ ดีโรจนวงศ, บรรณาธิการ. สมาคมโรคเบาหวานแหงประเทศไทย.
กรุงเทพ 2550
6. IDF Clinical Guidelines Task Force. Global Guideline on Pregnancy and Diabetes. International Diabetes
Federation. Brussels, 2009.
7. Deerochanawong C, Putiyanun C, Wongsuryrat M, Jinayon P. Comparison of NDDG and WHO criteria
for detecting gestational diabetes. Diabetologia 1996; 39: 1070-3.
8. The HAPO study cooperative research group. Hyperglycemia and adverse pregnancy outcomes. New
Engl J Med 2008; 358: 1991-202.
9. Bellamy L, Casas JP, Hingoranai AB, Williams D. Type 2 diabetes mellitus after gestational
diabetes: a systemic review and meta-analysis. Lancet 2009; 373: 1273-9.
92
บทบาทหนาที่สถานบริการและตัวชี้วัด
เบาหวานเปนโรคที่ตองการการดูแลตอเนื่อง สามารถใชกระบวนการการดูแลผูปวยโรคเรื้อรังของ
Wagner’s Chronic Care Model (CCM) และ WHO’s Chronic Care Model1,2 สรางเครือขายความรวมมือขั้น
พื้นฐานในการดูแลอยางรอบดาน ทั้งการรักษาที่ถูกตองตามหลักวิชาการ การสงเสริมสุขภาพทั้งกายและจิตใจ
การปองกันการเกิดโรค การฟนฟูผูปวย ทั้งนี้ บนพื้นฐานของความทัดเทียมในการเขาถึงบริการซึ่งจัดโดย
เครือขายบริ การดูแ ลผู ปวยเบาหวานสหวิ ชาชี พ มุง เนนใหประชาชนและชุมชนมีสวนรว ม เพื่อ ใหผูปว ยมี
ความสุขทั้งกายและใจ สามารถดํารงชีวิตบนพื้นฐานความพอเพียงอยางมีเหตุผล และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยูใน
สังคม เพื่อบรรลุเปาหมายนี้ สถานบริการระดับตางๆ จําเปนตองมีบทบาทหนาที่ชัดเจน สามารถจัดเครือขายได
เหมาะสมตามทรัพยากรของระดับสถานบริการ เพื่อพัฒนาไปสูกระบวนการดูแลสุขภาพรวมกันดังนี้3,4
ตัวชี้วัดการดูแลและบริการโรคเบาหวานของสถานพยาบาล
อั ต ราการลดลงของกลุ ม เสี่ ย ง / ป จ จั ย เสี่ ย ง โดยติ ด ตามการเปลี่ ย นแปลงของน้ํ า หนั ก ตั ว รอบเอว
พฤติกรรมการบริโภค การมีกิจกรรมออกแรงหรือออกกําลังกาย เปนตัวชี้วัดที่บงชี้ถึงประสิทธิภาพในการ
ปองกันโรคเบาหวาน ตัวชี้วัดที่ติดตามเพื่อบงบอกถึงประสิทธิภาพการดูแลผูปวย และการบริหารจัดการภาระ
โรคเบาหวานในปจจุบัน5 ไดแก
• อัตราความชุก(Prevalence)และอัตราการเกิดโรค(Incidence)
• อัตราของระดับ fasting plasma glucose อยูในเกณฑที่ควบคุมได (FPG = 70 - < 130 มก./ดล.)
• อัตราผูปวยเบาหวานที่ไดรับการตรวจ HbA1c ประจําป
• อัตราผูปวยเบาหวานที่มีระดับ HbA1c นอยกวา 7%
• อัตราการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะแทรกซอนเฉียบพลันจากโรคเบาหวาน
• อัตราผูปวยเบาหวานที่ไดรับการตรวจ lipid profile ประจําป
• อัตราของผูปวยเบาหวานที่มีระดับ LDL-C นอยกวา 100 มก./ดล.
• อัตราของระดับความดันโลหิตที่ต่ํากวาหรือเทากับ 130/80 มม.ปรอท
• อัตราผูปวยเบาหวานที่ไดรับการตรวจ microalbuminuria ประจําป
94
เอกสารอางอิง
1. King H, Gruber W, Lander T. lmplementing national diabetes programmes. Report of a WHO
Meeting. World Heath Organization. Division of Non-communicable Diseases, Geneva 1995.
2. Wagner EH. Chronic Disease Management: What will it take to improve care for chronic illness?
Effective Clinical Practice 1998; 1: 2-4.
http://www.improvingchroniccare.org/change/model/ components.html >>verified 2/5/2007
3. U.S. Department of Health and Human Service, 2006 National Healthcare Quality Report AHRQ.
Publication No 07-0013, December 2006.
4. American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetes-2010. Diabetes Care 2010; 33
(Suppl 1): S11-S61.
5. TCEN เบาหวาน-ชี้ทิศ กําหนดเปา เรงเราพัฒนา. สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย
กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุข 2552.
95
การใหบริการโรคเบาหวานโดยเภสัชกรรานยาคุณภาพ
เภสัชกรในรานยาคุณภาพมีบทบาทรวมใหบริการโรคเบาหวานอยางครบวงจรดังนี1-3
้
1. การคัดกรองผูปวยใหมและการปองกันหรือเฝาระวังโรค
2. การสงเสริมการรักษารวมกับทีมสหวิชาชีพและแกปญหาจากการใชยา
3. การสงกลับหรือสงตอผูปวย
การคัดกรองผูปวยใหมและการปองกันหรือเฝาระวังโรค
รานยาเปนสถานบริการสาธารณสุขที่อยูใกลชิดชุมชน เปนที่พึ่งทางสุขภาพระดับตนๆ ของประชาชน
ดังนั้นสามารถแสดงบทบาทในการคัดกรอง ปองกัน และเฝาระวังโรคเบาหวานในกลุมเสี่ยงในชุมชนได
การคัดกรอง โดยประเมินความเสี่ยงของผูเขามารับบริการทั่วไป (ตามแบบประเมินการคัดกรองความ
เสี่ยง) และตรวจระดับน้ําตาลในเลือดขณะอดอาหารโดยใชเลือดเจาะจากปลายนิ้ว (capillary blood glucose,
CBG) อานผลดวย glucose meter หรือ point-of-care-device เพื่อคัดกรองผูที่มีความเสี่ยง (การปฏิบัติและแปลผล
การตรวจระดับน้ําตาลในเลือดเปนไปตามรายละเอียดที่ระบุใน แนวทางการคัดกรองและวินิจฉัยโรคเบาหวาน
หนา 6) รวมทั้งการสงตอสถานพยาบาลในระบบเพื่อใหตรวจวินิจฉัยยืนยันตอไป ทําใหสามารถวินิจฉัยและ
รักษาโรคในระยะตนได
การปองกันหรือเฝาระวังโรค ใหคําแนะนําในการปฏิบัติตัวแกผูที่มีปจจัยเสี่ยงตอการเกิดโรคเบาหวาน
และประชาชนทั่วไป เพื่อดูแลสุขภาพไมใหเกิดปจจัยเสี่ยงขึ้น ไดแก คําแนะนําในการออกกําลังกายสม่ําเสมอ
บริโภคอาหารอยางเหมาะสม ลดความอวน แนะนําการงดสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลในปริมาณที่
เหมาะสมจากนั้นติดตามผลการปฏิบัติตัวและการเปลี่ยนแปลง
การสงเสริมการรักษาและแกปญหาจากการใชยา
การสงเสริมการรักษา การเพิ่มความสะดวกและคุณภาพการบริการ จะลดปญหาการรั่วไหลของผูปวยที่
ไดรับการรักษาออกจากสถานพยาบาล การดูแลจากเภสัชกรในรานยาคุณภาพถือเปนบริการทางเลือกเพื่อรองรับ
ผูปวยที่รั่วไหลออกจากระบบ ทําใหการรักษายังสามารถดําเนินตอไปอยางมีคุณภาพ สามารถเชื่อมตอกับระบบ
ไดเมื่อจําเปน จะทําใหการรักษาบรรลุเปาหมายมากขึ้น
ผูปวยที่ไดรับการวินิจฉัยแลวและไดรับการรักษาอยู ไมวาจะมีการใชยาหรือไม สามารถรับการติดตาม
ผลการรักษาจากเภสัชกรในรานยาคุณภาพได โดยเภสัชกรติดตามผลระดับน้ําตาลในเลือดเปนระยะทุก 1 เดือน
มีการประเมินปญหาที่อาจเกิดจากยารับประทานที่ไดรับอยู หากระดับน้ําตาลในเลือดขณะอดอาหารอยูในระดับ
ที่ยอมรับได คือ 70-130 มก./ดล. ใหการรักษาตามเดิม และสงพบแพทยเพื่อรับการประเมินทุก 6 เดือน (แผนภูมิ
ที่ 1) หากระดับน้ําตาลในเลือดไมอยูในระดับที่กําหนดหรือมีปญหาอื่น สงพบแพทยโดยเร็วเพื่อรับการประเมิน
ตามขอบงชี้ (ดูหลักเกณฑการสงผูปวยกลับหนวยบริการประจําทันที)
96
นอกจากนี้เภสัชกรสามารถใหความรูเกี่ยวกับโรคเบาหวาน และภาวะแทรกซอนจากโรคเบาหวาน
รวมทั้งแนะนําอาหาร การออกกําลังกาย และการลดปจจัยเสี่ยงอื่นๆ เชน การงดบุหรี่ ปริมาณเครื่องดื่มที่มี
แอลกอฮอลที่เหมาะสม รวมถึงเปนที่ปรึกษาเมื่อผูปวยเกิดปญหาเกี่ยวกับโรคเบาหวานขึ้น ทําหนาที่เปนผูต ดิ ตาม
ประเมิน และบันทึกผลการรักษาในแตละชวงเวลา ซึ่งจะไดขอมูลที่เปนประโยชนตอการไปพบแพทยในครั้ง
ถัดไป
หลักเกณฑการสงผูปวยกลับหนวยบริการประจําทันที
เมื่อพบปญหาตามรายการขางลางนี้ ควรสงผูปวยพบแพทยทันทีหรือโดยเร็ว พรอมแจงปญหาที่เกิด
ประวัติการใชยา และผลระดับน้ําตาลในเลือด
2. CBG < 70 มก./ดล.
3. ผูปวยมีอาการ hypoglycemia บอย โดยไมทราบสาเหตุ
4. CBG > 200 มก./ดล. ติดตอกันมากกวา 2 ครั้งที่มาพบที่รานยา
5. CBG > 300 มก./ดล.
6. มีอาการเจ็บแนนหนาอก
7. มีอาการเหนื่อยมากขึ้นโดยไมทราบสาเหตุ
8. มีอาการหนามืดเปนลมโดยไมทราบสาเหตุ
9. มี tachycardia (ชีพจรขณะพัก > 100 ครั้ง/นาที) และ/หรือ orthostatic hypotension
10. ปวดนองเวลาเดิน และ/หรือมีปวดขาขณะพักรวมดวย หรือปวดในเวลากลางคืน
11. ความดันโลหิต 180/110 มม.ปรอทหรือมากกวา หรือในผูปวยที่มีประวัติรับการรักษาโรคความดัน
โลหิตสูงมากอนพบมี systolic BP > 130 มม.ปรอท และ/หรือ diastolic BP > 80 มม.ปรอท
ติดตอกันมากกวา 3 เดือน
12. มีแผลเรื้อรังที่ขาหรือที่เทา หรือมีเทาหรือขาบวม หรือภาวะอื่นๆ ที่ไมสามารถดูแลความปลอดภัย
ของเทาได
13. สายตามัวผิดปกติทันที
14. ภาวะตั้งครรภ
15. มีอาการบงบอกวาอาจจะเกิดการติดเชื้อ เชน มีไข และมีอาการที่บงบอกวามีภาวะ hyperglycemia
หรือ hypoglycemia รวมดวย
16. มีอาการที่อาจบงชี้ถึงโรคหลอดเลือดสมองคือ พบอาการตอไปนี้เกิดขึ้นอยางเฉียบพลัน
¾ มีการชาหรือออนแรงของบริเวณใบหนา แขนหรือขา โดยเฉพาะอยางยิง่ ที่เปนขางใดขางหนึ่ง
¾ มีการมองเห็นที่ผิดปกติ
¾ มีอาการสับสน หรือความผิดปกติของการพูด หรือไมเขาใจคําพูด
¾ มีความผิดปกติเรื่องการทรงตัว การเดิน การควบคุมการเคลื่อนไหวอื่นๆ
16. อาการผิดปกติอื่นๆ ที่เภสัชกรพิจารณาวาควรสงตอแพทย
97
ผูปวยเบาหวานรับ กลุมเสี่ยงที่อาจเกิดปญหาการใชยา
บริการจากเภสัชกร • กลุมผูปวยที่ไดรับยาในแตละครั้ง มากกวา 5 รายการ
• กลุมผูปวยเบาหวานที่ CBG > 130 มก./ดล. ตอเนื่อง 3 เดือน
ใช • กลุมผูปวยที่แพทย เภสัชกรหรือพยาบาล สงสัยอาจจะเกิดปญหา
จากการใชยา
รับการประเมิน
ไมใช
จากแพทยทุก 6 เดือน
1.ศึกษาแผนการรักษาโดยรวม รวมกับทีมสหวิชาชีพ
2. สืบคนประวัติผูปวยในสวนที่เกี่ยวกับความปลอดภัยการใชยา
3. ทบทวนและประเมินยาที่ไดรับอยางเปนองครวม
ปรึกษาแพทย พรอมรายงาน
ปญหาที่พบ/เสนอแนวทางการ
แกไขใหแพทยตัดสินใจ
พบ พบความคลาดเคลือ่ นทางยา (medication error)
ไมพบ
ปรึกษาแพทย พรอมรายงาน:
มีนัยสําคัญ มีอันตรกิริยา (drug interaction) ระหวาง ยา-ยา
ผูที่มีอันตรกิริยา
ยา-อาหาร ยา-โรค ยา-อาหารเสริม/สมุนไพร หรือไม
ผลของอันตรกิริยา ทางคลินิก
ความรุนแรง
ไมมี/ไมมีนัยสําคัญทางคลินิก
ทางเลือกในการแกไข
มี มีปญหาอาการขางเคียง หรือไม (ทั้งจากยาเบาหวาน
เอง และยาอื่นๆ ทีผ่ ูปวยเบาหวานไดรับ)
ปรึกษาแพทยพรอมรายงาน:
ความรุนแรง ไมมี
ทางเลือกในการแกไข
มีปญหาการใชยาตามสั่ง (non-compliance) หรือไม
มี ไมมี
เภสัชกรใหคําปรึกษา
เพื่อปรับพฤติกรรมการ จายยาสําหรับใช 1 เดือน (เติมยา)
การใชยาและรายงานแพทย และใหคําแนะนําในการใชยาอยาง ไมใช
ถูกตองเหมาะสม
ครบกําหนด
6 เดือน
ควบคุมไดไมดี CBG ≥ 130 มก./ดล.
3 ครั้งตอเนื่องหรือมีขอบงชี้อื่น ไมใช การควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด ใช
ตามหลักเกณฑการสงผูปวยกลับ อยูในเกณฑยอมรับได ใช
(CBG < 130 มก./ดล.)
แผนภูมิที่ 1. การใหบริการผูปวยเบาหวานโดยเภสัชกร
98
การสงกลับหรือสงตอผูปวย
เภสัชกรชุมชนจะสัมภาษณผูที่เขามาซื้อยาเบาหวานทุกคน เพื่อประเมินวาผูนั้นซื้อยารับประทานเอง
หรือยาที่ซื้อนั้นเพื่อนําไปใหผูอื่น ซึ่งเปนการรักษาเองโดยไมไดรับการดูแลจากสถานพยาบาลหรือบุคลากรทาง
การแพทยใดๆ เลยหรือไม หากพบกรณีดังกลาว เภสัชกรจะซักประวัติ เก็บขอมูลผูปวยที่เกี่ยวของ และทํา
บันทึกสงผูปวยเขาสูสถานพยาบาลเครือขายหากไมเคยรับบริการในสถานพยาบาลมากอน
เอกสารอางอิง
1. Katherine K, Max, R, Anandi L, et al. The role of community pharmacies in diabetes care: eight case
studies. California Healthcare Foundation 2005. Available at:
http://www.chcf.org/topics/chronicdsease/index.cfm?itemID=112672. Accessed November 11, 2006
2. Stacy AM, Kim RK, Warren AN. Identifying at-risk patient through community pharmacy-based
hypertension and stroke prevention screening projects. J AM Pharm Assoc 2003; 43: 50-5
3. World Health Organization. Diabetes Mellitus Available at:
http://www.who.int/topics/diabetes_mellitus/en./. Accessed November 11, 2006
99
ภาคผนวก 1. ชนิดโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานแบงเปนชนิดตางๆ ดังนี้
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM)
a. Immune mediated
b. Idiopathic
2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T2DM)
o Predominant insulin resistance
o Predominant insulin secretory deficiency
• โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจําเพาะ (other specific type)
2.1 โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติบนสายพันธุกรรมเดี่ยวที่ควบคุมการทํางานของเบตา
เซลล คือ Maturity onset diabetes in the young (MODY) หลากหลายรูปแบบ และความ
ผิดปกติของ Mitochondrial DNA เชน
1. MODY 3 มีความผิดปกติของ Chromosome 12 ที่ HNF-1α
2. MODY 2 มีความผิดปกติของ Chromosome 7 ที่ glucokinase
3. MODY 1 มีความผิดปกติของ Chromosome 20 ที่ HNF-4α
o โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติบนสายพันธุกรรมที่ควบคุมการทํางานของ
อินซูลิน เชน Type A insulin resisitance, Leprechaunism, Lipoatrophic diabetes
o โรคเบาหวานที่เกิดจากโรคที่ตับออน เชน Hemochromatosis ตับออนอักเสบ ถูกตัด
ตับออน
o โรคเบาหวานที่เกิดจากโรคของตอมไรทอ เชน Acromegaly, Cushing syndrome,
Pheochromocytoma, Hyperthyroidism
o โรคเบาหวานที่เกิดจากยาหรือสารเคมีบางชนิด เชน Pentamidine, Steroid, Dilantin,
α-interferon, Vacor
o โรคเบาหวานที่เกิดจากโรคติดเชื้อ เชน Congenital rubella, Cytomegalovirus
o โรคเบาหวานที่เกิดจากปฏิกริ ิยาภูมิคุมกันที่พบไมบอย เชน Anti-insulin receptor
antibodies, Stiff-man syndrome
o โรคเบาหวานที่พบรวมกับกลุมอาการตางๆ เชน Down syndrome, Turner syndrome,
Klinefelter syndrome, Prader-Willi syndrome, Friedrich’s ataxia, Huntington’s
chorea, Myotonic dystrophy
• โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ (gestational diabetes mellitus, GDM)
100
การทดสอบความทนตอกลูโคสในเด็ก
สําหรับการทดสอบความทนตอกลูโคสในเด็กมีวิธีการเชนเดียวกันกับในผูใหญแตปริมาณกลูโคสที่ใช
ทดสอบคือ 1.75 กรัม/น้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม รวมแลวไมเกิน 75 กรัม
ตาราง. วิธีการและเกณฑวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ
ป ริ ม า ณ ระดับพาสมากลูโคส (มก./ดล.) ที่เวลา (ชั่วโมง) หลังดื่ม วิ นิ จ ฉั ย GDM
วิธีการ กลูโคสที่ใช กอนดื่ม 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง เมื่อพบคาผิดปกติ
NDDG 100 กรัม 105 190 165 145 ≥ 2 คา
Carpenter & Couston 100 กรัม 95 180 155 140 ≥ 2 คา
ADA 75 กรัม 95 180 155 - ≥ 2 คา
WHO 75 กรัม < 126 - 140 - ที่ 2 ชั่วโมง
IADPSG 75 กรัม 92 180 153 - คาใดคาหนึ่ง
NDDG = National Diabetes Data Group; ADA = American Diabetes Association, IADPSG = International Association of
Diabetes Pregnancy Study Group
102
ภาคผนวก 3. การตรวจระดับน้ําตาลในเลือดดวยตนเอง
ประโยชนของการทํา SMBG
มีขอมูลชัดเจนที่แสดงประโยชนของ SMBG ในการควบคุมเบาหวานใหดีขึ้นในผูปวยเบาหวานชนิดที่
1 และชนิดที่ 2 ซึ่งรักษาดวยยาฉีดอินซูลิน สําหรับผูปวยเบาหวานที่ไมไดฉีดอินซูลินมีทั้งขอมูลที่สนับสนุนวา
SMBG มีประโยชนทําใหการควบคุมเบาหวานดีขึ้น และที่ไมพบวามีความแตกตางของการควบคุมเบาหวานใน
กลุมควบคุมและกลุมที่ทํา SMBG1 จากการทํา meta-analysis และมีการ stratified ขอมูล แนะนําวา SMBG มี
ประโยชนถานํามาใชโดยมีการปรับเปลี่ยนการรักษา ประโยชนของ SMBG คือ
1. SMBG ชวยเสริมขอมูลของคาน้ําตาลสะสมเฉลี่ย (HbA1c) ในการประเมินการควบคุมเบาหวาน
2. ระดับน้ําตาลในเลือดที่ไดจากการทํา SMBG เปนขอมูลในชวงเวลาขณะนั้น (real time) ซึ่งจะชวย
สะทอนผลของยาที่ใชรักษา พฤติกรรมการกิน และการออกกําลังกาย ตอการเปลี่ยนแปลงของ
ระดับน้ําตาล จึงใชเปนแนวทางในการปรับเปลี่ยนการรักษาใหเหมาะสม และสามารถใชติดตามผล
การปรับเปลี่ยนนั้นๆ
3. สามารถตรวจคนหาหรือหาแนวโนมที่จะเกิดภาวะระดับน้ําตาลต่ําในเลือดและภาวะน้ําตาลในเลือด
ที่สูงเกินเกณฑเปาหมาย ทําใหเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจของผูปวย เปนแรงจูงใจใหมีการ
ดูแลตนเอง
4. ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งไมไดรับการรักษาดวยอินซูลิน SMBG จะเปนประโยชนในบางกรณี
ไดแก
• เมื่อสงสัยหรือมีอาการของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด
• มีการติดเชื้อ การเจ็บปวย การเดินทาง ภาวะเครียด
• อยูในระหวางการปรับยาที่ไดรับ โภชนบําบัด และ/หรือการออกกําลังกาย
• การออกกําลังกายบางประเภทที่อาจมีอันตรายเมื่อเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด เชน การวายน้ํา
การดําน้ํา
• มีการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือภาระกิจ เชน ไปโรงเรียน เริ่มงานใหม หรือเปลี่ยนชวงเวลาการ
ทํางาน
• ในผูที่ขับรถและไดรับยาที่กระตุนการหลั่งอินซูลิน
• มีระดับ HbA1c สูงขึ้น
• ไมแ นใ จหรือต องการข อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธรรมชาติของโรคและ/หรือผลของการรั กษา
(โภชนบําบัด การออกกําลังกาย และยา) ตอระดับน้ําตาล
• วางแผนในการตั้งครรภหรืออยูในระหวางการตั้งครรภ เพื่อควบคุมระดับน้ําตาลใหดี
• ผูที่อาศัยอยูเพียงลําพัง
103
ปจจัยที่มีผลรบกวนตอการอานคา SMBG2
4. เทคนิคการตรวจ ไดแก
o เจาะเลือดขณะที่แอลกอฮอลยังไมแหง อาจจะเจือจางกับเลือดทําใหผลการตรวจ
ผิดพลาด
o เลือดที่หยดมีปริมาณไมเพียงพอที่จะหยดลงบนแถบตรวจ
o เวลาในการเสียบแถบตรวจเพื่ออานผล
5. ปญหาของแถบทดสอบ
- แถบทดสอบหมดอายุ เมื่อใชแถบตรวจตองเช็ควันหมดอายุกอนเสมอ
- แถบทดสอบเสื่อม พบไดในกรณีที่แถบทดสอบเปนแผนที่ไมมีแผงฟอยลหุม ถาปดฝาไมแนน
อาจทําใหชื้นและเสื่อมกอนวันหมดอายุ หรือแถบทดสอบถูกความรอนจัดหรือแสงแดด
- ไมมีการปรับเครื่องใหตรงตามโคดของแถบตรวจเมื่อเปลี่ยนแถบตรวจขวดใหม
6. ตําแหนงและเวลาที่เจาะเลือด
- กลูโคสที่ไดจากการเจาะเลือดที่บริเวณแขนสวนปลายและตนขาจะใกลเคียงกับการเจาะจากที่
ปลายนิ้วเฉพาะในกรณีที่ทําการตรวจวัดระดับกลูโคสขณะอดอาหาร กอนมื้ออาหารและหลัง
มื้ออาหารอยางนอย 2 ชั่วโมง แตในภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ําตาลกลูโคสเร็วๆ
เชน หลังอาหาร 1 ชั่วโมง หลังการออกกําลังกาย และในขณะที่มีภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด ควร
เจาะตรวจที่ปลายนิ้ว เนื่องจาการไหลเวียนเลือดที่ผิวหนังบริเวณปลายนิ้ว มีความเร็วมากกวาที่
บริเวณอื่นๆ
7. ปจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวของ ไดแก
o ระดับฮีมาโตคริต เลือดที่มีคาฮีมาโตคริตต่ํากวาเกณฑที่เครื่องกําหนด จะทําใหไดคา
สูงกวาความเปนจริง (ดูรายละเอียดจากตารางขางทาย)
o ระดับความดันโลหิต ภาวะความดันโลหิตต่ําจะทําใหคา ต่ํากวาความเปนจริง
o ความเขมขนของออกซิเจน (PaO2) คา PaO2 ที่มากกวา 150 มม.ปรอท จะทําใหเครื่อง
กลูโคส มิเตอรชนิด biosensor ซึ่งใชเอนไซมกลูโคสออกซิเดส (glucose oxidase) ในการตรวจ
กลูโคสมีคาต่ํากวาที่เปนจริง
เอกสารอางอิง
1. Towfigh A, Romanova M, Weinreb JE, Munjas B, et al. Self-monitoring of blood glucose levels in
patients with type 2 diabetes mellitus not taking insulin: A meta-analysis. Am J Manag Care 2008; 14(7):
468-75.
2. ศิริรัตน พลอยบุตร, อภิรดี ศรีวิจิตรกมล, สุทิน ศรีอัษฎาพร. การตรวจหองปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัยและ
ติดตามการรักษาโรคเบาหวาน ใน: โรคเบาหวาน พิมพครั้งที่ 1. สุทิน ศรีอัษฎาพร, วรรณี นิธิยานันท,
บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ. เรือนแกวการพิมพ 2548, หนา 81-106.
104
ภาคผนวก 4. ภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน
ความสําคัญของภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน
การเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน มีความสําคัญทางคลินิก คือ
1. ทําใหเกิดอาการไมสบายซึ่งอาจรุนแรงจนทําใหเกิดความพิการหรือเสียชีวิตจากภาวะสมองขาด
กลูโคส1 หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด2-5
2. การเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในแตละครั้งจะเพิ่มความเสี่ยงตอการเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดซ้ํา6
การเกิดซ้ําๆ มักเปนภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดระดับรุนแรง7 และภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดโดยไมมี
อาการเตือน (hypoglycemia unawareness)8,9 ซึ่งเปนอันตราย
3. การเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดบอยทําใหรบกวนการดําเนินกิจวัตรประจําวันตามปกติ และคุณภาพ
ชีวิตของผูปวยเบาหวาน6
4. การเกิดภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดบอยโดยเฉพาะผูปวยที่ไดรับการรักษาดวยอินซูลิน เปนอุปสรรค
สํ า คั ญ ที่ ทํ า ให แ พทย แ ละผู ป ว ยไม ส ามารถควบคุ ม เบาหวานอย า งเข ม งวด เพื่ อ ป อ งกั น
ภาวะแทรกซอนเรื้อรังจากโรคเบาหวาน เนื่องจากเกรงอันตรายจากภาวะน้ําตาลต่ําในเลือด10
วิธีการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดเพื่อวินิจฉัยภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในผูปวยเบาหวาน
1) การตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดที่ไดผลถูกตองที่สุดเพือ่ การวินิจฉัยภาวะน้ําตาลต่ําใน
เลือดจะใชการตรวจวัดระดับพลาสมากลูโคส (plasma glucose) เปนหลัก6,11 ซึ่งตองเก็บตัวอยาง
เลือดดํา (venous blood) ใสในหลอดเก็บตัวอยางเลือดที่มีโซเดียมฟลูออไรดเปนสารตานการจับ
เปนลิ่มเลือด (anticoagulant) และสงหองปฏิบัติการเพื่อแยกพลาสมา (plasma) และตรวจวัดระดับ
พลาสมากลูโคสโดยวิธีมาตรฐาน (laboratory-based glucose measurement) เชน วิธี glucose
oxidase หรือ วิธี hexokinase
2) ผูปวยเบาหวานซึ่งไดรับการรักษาดวยยาลดน้ําตาล (hypoglycemic agent) การตรวจวัด
ระดับแคปลลารีกลูโคส (capillary blood glucose) โดยการเจาะเลือดแคปลลารีที่ปลายนิ้วมือและใช
เครื่องตรวจวัดระดับกลูโคสชนิดพกพา (กลูโคสมิเตอร) ที่ไดรับการควบคุมความถูกตองของผล
ตรวจวัด (validated portable glucose meter) ซึ่งใชในการติดตามผลการรักษา (monitor-based
glucose measurement) ไมวาจะเปนการตรวจดวยตนเองที่บาน (self monitoring of blood glucose,
SMBG) หรือการตรวจที่จดุ ใหการรักษาผูปวย (point-of-care testing of blood glucose) ที่
โรงพยาบาล หรือที่สํานักงานแพทย เปนที่ยอมรับไดในการวินิจฉัยภาวะน้ําตาลต่ําในเลือดในทาง
ปฏิบัติ12
106
เอกสารอางอิง
1) Cryer PE. Hypoglycemia, functional brain failure, and brain death. J Clin Invest 2007; 117: 868–870.
2) Laing SP, Swerdlow AJ, Slater SD, Botha JL, Burden AC, Waugh NR, et al. The British Diabetic
Association Cohort Study, II: cause-specific mortality in patients with insulin-treated diabetes mellitus.
Diabet Med 1999; 16: 466–71.
3) Gerstein HC, Miller ME, Byington RP, Goff Jr DC, Bigger JT, Buse JB, et al. Effects of intensive
glucose lowering in type 2 diabetes. The Action to Control Cardiovascular Risk in Diabetes Study Group.
N Engl J Med 2008; 358: 2545–59.
107
4) Zoungas S, Patel A, Chalmers J, de Galan BE, Li Q, Billot L, Woodward M, et al. for the ADVANCE
Collaborative Group. Severe hypoglycemia and risks of vascular events and death. N Engl J Med 2010;
363:1410-8.
5) Desouza CV, Bolli GB, Fonseca V. Hypoglycemia, diabetes, and cardiovascular events. Diabetes Care.
2010;33:1389-94.
6) Cryer PE, Axelrod L, Grossman AB, Heller SR, Montori VM, Seaquist ER, Service FJ. Evaluation and
management of adult hypoglycemic disorders: an Endocrine Society Clinical Practice Guideline. J Clin
Endocrinol Metab 2009; 94: 709–28.
7) Gold AE, MacLeod KM, Frier BM. Frequency of severe hypoglycemia in patients with type I diabetes
with impaired awareness of hypoglycemia. Diabetes Care 1994; 17: 697–703.
8) Dagogo-Jack SE, Craft S, Cryer PE. 1993 Hypoglycemia-associated autonomic failure in insulin-
dependent diabetes mellitus. Recent antecedent hypoglycemia reduces autonomic responses to, symptoms
of, and defense against subsequent hypoglycemia. J Clin Invest 1993; 91: 819–28.
9) Segel SA, Paramore DS, Cryer PE. Hypoglycemia-associated autonomic failure in advanced type 2
diabetes. Diabetes 2002; 51: 724–33.
10) Cryer PE. Hypoglycaemia: the limiting factor in the glycaemic management of type I and type II
diabetes. Diabetologia 2002; 45: 937–48.
11) D’Orazio P, Burnett RW, Fogh-Andersen N, Jacobs E, Kuwa K, Wolf R. Külpmann KK, et al. The
International Federation of Clinical Chemistry Scientific Division Working Group on selective electrodes
and point of care testing. Approved IFCC Recommendation on reporting results for blood glucose
(Abbreviated). Clinical Chemistry 2005; 51: 9: 1573–6.
12) American Diabetes Association Workgroup on Hypoglycemia. Defining and reporting hypoglycemia in
diabetes: a report from the American Diabetes Association Workgroup on Hypoglycemia. Diabetes Care
2005; 28: 1245-9.
13) The effect of intensive treatment of diabetes on the development and progression of long-term
complications in insulin-dependent diabetes mellitus. The Diabetes Control and Complications Trial
Research Group. N Engl J Med 1993; 329: 977–86.
14) Intensive blood-glucose control with sulphonylureas or insulin compared with conventional treatment and
risk of complications in patients with type 2 diabetes (UKPDS33). UK Prospective Diabetes Study
(UKPDS) Group. Lancet 1998; 352: 837–53.
108
ภาคผนวก 6. คําแนะนําการปฏิบัติตัวทั่วไปสําหรับผูปวยเบาหวานเพื่อปองกันการเกิด
แผลที่เทา
การปฏิบัติตัวทั่วไปที่แนะนําประกอบดวย*
1)ทําความสะอาดเทาทุกวันดวยน้ําสะอาดและสบูออน วันละ 2 ครั้ง และทําความสะอาดทันทีทุกครัง้ ที่
เทาเปอนสิ่งสกปรก และเช็ดเทาใหแหงทันที รวมทั้งบริเวณซอกนิ้วเทา
2)สํารวจเทาอยางละเอียดทุกวัน รวมทั้งบริเวณซอกนิ้วเทา วามีแผล, หนังดานแข็ง, ตาปลา, รอยแตก
หรือการติดเชือ้ รา หรือไม
3)หากมีปญหาเรือ่ งสายตา ควรใหญาติหรือผูใ กลชิดสํารวจเทาและรองเทาใหทุกวัน
4)หากผิวแหงควรใชครีมทาบางๆ แตไมควรทาบริเวณซอกระหวางนิว้ เทาเนื่องจากอาจทําใหซอกนิว้
อับชื้น ติดเชื้อรา และผิวหนังเปอยเปนแผลไดงาย
5)หามแชเทาในน้ํารอนหรือใชอุปกรณใหความรอน (เชน กระเปาน้าํ รอน) วางที่เทาโดยไมไดทาํ การ
ทดสอบอุณหภูมิกอน
6)หากจําเปนตองแชเทาในน้ํารอนหรือใชอปุ กรณใหความรอนวางที่เทา จะตองทําการทดสอบอุณหภูมิ
กอน โดยใหผูปวยใชขอศอกทดสอบระดับความรอนของน้ําหรืออุปกรณใหความรอนกอนทุกครั้ง
ผูปวยที่มีภาวะแทรกซอนที่เสนประสาทสวนปลายมากจนไมสามารถรับความรูสึกรอนได ควรให
ญาติหรือผูใกลชิดเปนผูทําการทดสอบอุณหภูมแิ ทน
7)หากมีอาการเทาเย็นในเวลากลางคืน ใหแกไขโดยการสวมถุงเทา
8)เลือกสวมรองเทาที่มีขนาดพอดี ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมกับรูปเทา และทําจากวัสดุทนี่ ุม (เชน หนังที่
นุม) แบบรองเทาควรเปนรองเทาหุมสน เพื่อชวยปองกันอันตรายที่เทา ไมมีตะเข็บหรือมีตะเข็บนอย
เพื่อมิใหตะเข็บกดผิวหนัง และมีเชือกผูกหรือมีแถบ velcro ซึ่งจะชวยใหสามารถปรับความพอดีกับ
เทาไดอยางยืดหยุนกวารองเทาแบบอื่น
9)หลีกเลี่ยงหรือหามสวมรองเทาที่ทําดวยยางหรือพลาสติก เนื่องจากมีโอกาสเกิดการเสียดสีเปนแผลได
งาย
10) หามสวมรองเทาแตะประเภทที่ใชนิ้วเทาคีบสายรองเทา
11) หากสวมรองเทาที่ซื้อใหม ในระยะแรกไมควรสวมรองเทาใหมเปนเวลานานหลายๆ ชั่วโมง
ตอเนื่องกัน ควรใสสลับกับรองเทาเกากอนระยะหนึ่ง จนกระทั่งรองเทาใหมมีความนุมและเขากับรูป
เทาไดดี
12) ผูปวยที่ตองสวมรองเทาหุมสนทุกวันเปนเวลาตอเนื่องหลายชั่วโมงในแตละวัน ควรมีรองเทาหุม
สนมากกวา 1 คู สวมสลับกัน และควรผึ่งรองเทาที่ไมไดสวมใหแหงเพื่อมิใหรองเทาอับชื้นจากเหงื่อ
ที่เทา
111
* กุลภา ศรีสวัสดิ์, สุทิน ศรีอัษฎาพร. การดูแลรักษาและปองกันแผลที่เทาในผูปวยเบาหวาน ใน: สุทิน ศรีอัษฎาพร, วรรณี นิธิ
ยานันท, บรรณาธิการ. โรคเบาหวาน Diabetes Mellitus. พิมพครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: เรือนแกวการพิมพ; 2548:583-608.
112
ภาคผนวก 7. การทดสอบการรับความรูสึกของเทา
* Klenerman L, McCabe C, Cogley D, Crerand S, Laing P, White M. Screening for patients at risk of diabetic foot ulceration
in a general diabetic outpatient clinic. Diabet Med 1996; 13: 561-3
113
ตําแหนงที่จะทําการตรวจการรับความรูสึกดวย monofilament
• ตําแหนงทีต่ รวจ คือ ที่ฝาเทา 4 จุด ของเทาแตละขาง ไดแก หัวแมเทา metatarsalhead ที่ 1, ที่ 3 และ
ที่ 5 ดังภาพ
เพื่อใหแนใจวาความรูสึกที่ผูปวยตอบเปนความรูสึกจริงและไมใชการแสรงหรือเดา ในการตรวจ
แตละตําแหนงใหทําการตรวจ 3 ครั้ง โดยเปนการตรวจจริง (real application คือมีการใช
monofilament แตะและกดลงที่เทาผูปวยจริง) 2 ครั้ง และตรวจหลอก (sham application คือ ไมได
ใช monofilament แตะที่เทาผูปวย แตใหถามผูปวยวา “รูสึกวามี monofilament มาแตะหรือไม?”) 1
ครั้ ง ซึ่ ง ลํ า ดั บ การตรวจจริ ง และหลอกไม จํ า เป น ต อ งเรี ย งลํ า ดั บ เหมื อ นกั น ในการตรวจแต ล ะ
ตําแหนง
• ถาผูปวยสามารถตอบการรับความรูสึกไดถกู ตอง 2 ครั้ง ใน 3 ครั้ง (ซึ่งรวมการตรวจหลอกดวย 1
ครั้ง ดังกลาวในขอ 5) ของการตรวจแตละตําแหนง แปลผลวาเทาของผูปวยยังมี protective sense
อยู
• ถาผูปวยสามารถตอบการรับความรูสึกไดถกู ตองพียง 1 ครั้ง ใน 3 ครั้ง (ซึ่งรวมการตรวจหลอกดวย
1 ครั้ง ดังกลาวในขอ 5) หรือตอบไมถูกตองเลย ใหทําการตรวจซ้ําใหมที่ตําแหนงเดิม ตามขอ 5
ขอพึงระวัง ผูป วยที่มีเทาบวม หรือเทาเย็นอาจใหผลตรวจผิดปกติได
• ถาทําการตรวจซ้ําแลวผูปวยยังคงตอบการรับความรูสึกไดถูกตองเพียง 1 ครั้ง ใน 3 ครั้ง หรือไม
ถูกตองเลยเชนเดิม แสดงวา เทาของผูปวยมีการรับความรูสึกผิดปกติ
• ทําการตรวจใหครบทั้ง 4 ตําแหนงทั้ง 2 ขาง โดยไมจําเปนตองเรียงลําดับตําแหนงทีต่ รวจเหมือนกัน
2 ขาง
• การตรวจพบการรับความรูสึกผิดปกติ แมเพียงตําแหนงเดียว แปลผลวาเทาของผูปวยสูญเสีย
protective sensation (insensate foot)
• ผูปวยที่มีผลการตรวจปกติควรไดรับการตรวจซ้ําปละ 1 ครั้ง
115
การทดสอบการรับความรูสึกโดยใชสอมเสียง
The American College of Physicians 2007 แนะนําวิธีการทดสอบการรับความรูสึกดวยสอมเสียง ดังนี้
• เลือกใชสอมเสียงชนิดที่การสั่นมีความถี่ 128 เฮิรทซ
• ทําการตรวจในหองที่มีความเงียบและสงบ
• อธิบายขั้นตอนและกระบวนการตรวจใหผูปวยเขาใจกอนทําการตรวจ และใชสอ ม
เสียงวางที่ขอมือหรือขอศอกในขณะที่สอมเสียงกําลังสั่น และหยุดสั่น การทําเชนนี้
เพื่อใหผูปว ยรับทราบและเขาใจถึงความรูส กึ ที่สอมเสียงสั่น และไมสนั่ ไดอยางถูกตอง
• ใหผูปวยหลับตา กอนเริ่มตรวจ
• ตําแหนงทีต่ รวจ ไดแก หลังนิ้วหัวแมเทาบริเวณ distal interphalangeal joint ทั้ง 2 ขาง
• เริ่มการตรวจแตละขางดวยการตรวจหลอกโดยการวางสอมเสียงซึ่งไมสั่นตรงตาม
ตําแหนงทีต่ รวจ จากนั้นใหถามผูปวยวา “รูสึกวาสอมเสียงสั่นหรือไม?” ซึ่งผูปวยควร
ตอบไดถูกตองวา “ไมสั่น” การทําเชนนี้เพื่อใหแนใจวาผูปว ยมีความเขาใจถูกตอง
เกี่ยวกับความรูสึกสั่น
• ทําการตรวจจริงโดยวางสอมเสียงที่มีการสั่นตรงตําแหนงที่จะตรวจในแนวตั้งฉากและ
ในน้ําหนักที่คงที่ จากนัน้ ใหถามผูปวยวา “รูสึกวาสอมเสียงสั่นหรือไม?” และใหผูปวย
บอกทันทีเมื่อรูสึกวาสอมเสียงหยุดสั่น โดยผูตรวจสามารถทําใหสอมเสียงหยุดสั่นได
ทุกเวลา ในขณะที่ผูตรวจใชมือขางหนึ่งจับสอมเสียงวางลงที่นิ้วหัวแมเทาของผูปวย
ใหผูตรวจใชนวิ้ ชี้ของมืออีกขางหนึ่งแตะทีใ่ ตนิ้วหัวแมเทาของผูปวยขางที่กําลังตรวจ
เพื่อรับทราบความรูสึกสั่นไปพรอมกับผูปวย ในการนี้จะชวยใหผูตรวจสามารถ
ประเมินความนาเชื่อถือของคําตอบที่ผูปวยตอบได ในการตรวจ 1 ครั้งจะไดคําตอบ 2
คําตอบ คือ เมื่อเริ่มรูสึกวาสอมเสียงสั่น และ เมื่อรูสึกวาสอมเสียงหยุดสั่น
• ทําการตรวจดังขอ 7 ที่นิ้วหัวแมเทาขางเดิมซ้ําอีก 1 ครั้ง จะไดคําตอบจากการตรวจ 2
ครั้งรวม 4 คําตอบ
• ทําการตรวจอีกขางหนึ่งซ้ํา 2 ครั้ง เชนกัน เปนการตรวจครบ 1 รอบ
• ทําการตรวจดังขอ 7-9 ใหมอีก 1 รอบ ทั้ง 2 ขาง รวมการตรวจทั้ง 2 รอบจะได คําตอบ
8 คําตอบสําหรับการตรวจแตละขาง
• การแปลผล ถาผูปวยตอบไมถูกตองตั้งแต 5 คําตอบในแตละขาง แปลผลวาผูปวยมี
การรับความรูสึกผิดปกติ หรือมี peripheral neuropathy
116
ภาคผนวก 8. วิธีการประเมินความพอดีและเหมาะสมของรองเทา
การประเมินความพอดีและเหมาะสมของรองเทาทําไดดังนี้*
• วัดขนาดของเทาทั้งสองขางทั้งความยาวและความกวาง เนื่องจากสวนใหญแลวขนาดของเทาแตละ
ขางมักไมเทากัน
• ตรวจความพอดีของรองเทาทั้งสองขางในขณะยืนลงน้ําหนักเสมอ เนื่องจากเทาสวนใหญจะมีการ
ขยายขนาดเมือ่ มีการลงน้ําหนัก
• ตําแหนงของขอ metatarsophalangeal ที่ 1 ควรอยูตรงกับตําแหนงทีก่ วางที่สุดของรองเทา
• ระยะหางระหวางปลายนิว้ เทาที่ยาวที่สุดกับปลายรองเทา (นิว้ ที่ยาวที่สุดซึ่งไมจําเปนตองเปนนิว้ หัว
แมเทาเสมอไป) ควรมีระยะหางประมาณ 3/8 ถึง 1 นิ้วฟุต
• เนื้อที่ภายในรองเทาในสวนของเทาสวนหนา (forefoot) และตามแนวขวางของ metatarso-
phalangeal joints ควรมีความกวางและความลึกพอประมาณ โดยผูปวยสามารถขยับนิ้วเทาได
พอสมควร โดยเฉพาะผูปวยที่มีปญหานิว้ เทางองุม (claw หรือ hammer toe)
• บริเวณสนเทาควรจะพอดี ไมคับและไมหลวมจนเกินไป
• ชนิดของรองเทาที่เหมาะสมกับผูปวยเบาหวานคือ รองเทาชนิดผูกเชือกหรือมีแถบ velcro ที่ไมมี
รอยตะเข็บบริเวณหลังเทา เพื่อสามารถปรับขยายหรือรัดใหพอดีในกรณีที่ผูปวยมีอาการบวมหรือมี
เทาผิดรูป
• วัสดุที่ใชในการทํารองเทา ควรเปนหนังหรือผาที่มีความยืดหยุน ภายในบุดวยวัสดุทนี่ มุ ดูดซับและ
ระบายความชืน้ ไดดี
• สิ่งที่สําคัญที่ควรทราบคือขนาดของรองเทานั้นไมมีมาตรฐาน จะมีความแตกตางกันไปตามยีห่ อ
และแบบของรองเทา ดังนั้นจึงใชเปนเครื่องชี้วัดความพอดีไมได
หลักการประเมินแผลที่เทา
การประเมินแผลที่เทามีหลักการดังนี้*
1) ตรวจแผลอยางละเอียด โดยเฉพาะในผูปว ยที่มีปญหาของระบบประสาทสวนปลายรวมดวย
เนื่องจากผูปว ยมักสูญเสียความรูสึกเจ็บ จึงไมสามารถบอกสาเหตุ ลักษณะ ความรุนแรง และ
ตําแหนงของแผลได
2) ประเมินวาแผลมีการติดเชื้อรวมดวยหรือไมเสมอ โดยเฉพาะในผูปว ยที่มีแผลที่เทาซึ่งหายชากวาที่
ควร และ/หรือ มีหนองหรือน้ําเหลืองไหลออกมาจากแผลในปริมาณมากหรือมีกลิ่นเหม็น
3) ไมควรมองขามแผลที่มีลักษณะภายนอกดูเล็กและตื้น โดยเฉพาะอยางยิ่งแผลที่ถูกปกคลุมดวยหนัง
หนาดานสีน้ําตาลเขม (hemorrhagic callus) เนื่องจากบอยครั้งที่เมื่อทําแผลและตัดพังผืดออกแลว
พบวาเปนแผลติดเชื้อขนาดใหญซอนอยูใตชั้นผิวหนัง ดังนั้นกอนที่จะประเมินความรุนแรงของ
แผลควรทําการตัดหนังสวนที่ตายแลวออกกอนเสมอ เพือ่ ใหสามารถประเมินความรุนแรงที่แทจริง
ของแผลได
4) แยกใหไดวาแผลที่เทาเกิดจากสาเหตุหรือปจจัยใดเปนหลัก (เชน ขาดเลือด ปลายประสาทเสื่อม ติด
เชื้อ เปนตน) เพื่อเปนแนวทางในการวางแผนการรักษาทีเ่ หมาะสมตอไป
การแยกชนิดของแผลที่เทา**
- แผลปลายประสาทเสื่อม มักเกิดบริเวณฝาเทา โดยเฉพาะตําแหนงที่มีการรับน้ําหนัก รูปรางแผล
คอนขางกลม และขอบแผลนูนจากพังผืด หรือ callus กนแผลมีสีแดงจากมีเนื้อเยื่อ granulation
ผูปวยมักไมมอี าการเจ็บแผล และมักมีอาการชารวมดวย โดยเฉพาะบริเวณฝาเทา มีประวัติเปนแผล
บอยๆ ตรวจรางกายพบวาผูปวยไมมีความรูสึกสัมผัสหรือเจ็บปวดบริเวณฝาเทา อาจมีเทาผิดรูป
โดยนิว้ เทามีการหงิกงอ (claw หรือ hammer toe) และผิวหนังของเทาแหงและแตกงาย
- แผลขาดเลือด มักเกิดบริเวณนิว้ เทา แผลจะมีการลุกลามจากสวนปลายนิว้ มายังโคนนิ้วและลามขึ้น
มาถึงเทา ขอบแผลเรียบ กนแผลมีสีซีด ไมมีเลือดออก และอาจตรวจพบมีการตายของนิ้วเทา
ขางเคียงรวมดวย ในระยะแรกของการขาดเลือดผูปวยมักมีอาการปวดบริเวณขาเวลาเดิน ซึ่งดีขึ้น
เมื่อพัก (intermittent claudication) และในระยะทายของการขาดเลือดจะมีอาการปวดบริเวณที่เทา
ในขณะพัก (rest pain) ผูปวยมีประวัติเปนแผลที่เทาและหายยาก การตรวจขาและเทาพบวาผิวหนัง
แหง เย็นและสีซีด ขนรวง เสนแตกงาย กลามเนื้อนองลีบลง และคลําชีพจรที่เทา คือ หลอดเลือด
แดง dorsalis pedis และ posterior tibial ไดเบาลงหรือคลําไมได
- แผลที่ติดเชื้อ แผลที่มีการอักเสบเฉียบพลันจะพบลักษณะบวมแดง รอน กดเจ็บที่แผลและรอบแผล
และอาจมีหนองไหลออกมา สวนแผลที่มกี ารอักเสบเรื้อรังจะมีลักษณะบวม แดง และรอนบริเวณ
แผล อาจไมมาก ผูปวยที่มแี ผลที่มีการอักเสบติดเชื้อรุนแรงมักมีอาการปวดและมีไขรว มดวย และ
อาจมีอาการของติดเชื้อในกระแสเลือด (ไดแก ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตลดลง และซึมลง) ถามี
การติดเชื้อลุกลามออกไปจากแผลจะพบวาบริเวณเทาและนองบวม ตึง และกดเจ็บ
**ประมุข มุทิรางกูร แผลที่เทาในผูปวยเบาหวาน. ใน: สุทิน ศรีอัษฎาพร, วรรณี นิธิยานันท, บรรณาธิการ. โรคเบาหวาน
Diabetes Mellitus. พิมพครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: เรือนแกวการพิมพ 2548: 563-82
119
แนวทางการบริหารยาปฏิชีวนะในการรักษาแผลติดเชื้อที่เทา*
SEVERITY OF INFECTION MILD MODERATE SEVERE
ROUTES OF ADMINISTRATION P.O. P.O. I.V.
Dicloxacillin or Clindamycin or Catexin √
Amoxycillin / Clavulanate or Co-trimoxazole √ √
Levofloxacin √ √
Ceftriaxone or Cefoxitin √
Ampicillin / Sulbactam √
Cefuroxime with or without metronidazole √ √
Ticarcillin / Clavulaniate √ √
Piperacillin / Tazobactam √ √
Ciprofloxacin or Levofloxacin + Clindamycin √ √
Imipenem / Cilastatin √
Vancomycin + Ceftazidime + metronidazole √
* Infectious Disease Society of America Guideline 2004
P.O. = ใหโดยการกิน I.V. = ใหโดยฉีดเขาหลอดเลือดดํา √ = แนะนําใหเลือกใช
ระยะเวลาการบริหารยาปฏิชีวนะในการรักษาแผลติดเชื้อที่เทา*
SITE AND EXTENT ROUTE SETTING DURATION
OF INFECTIONS OF Rx OF Rx OF Rx
SOFT TISSUE ONLY
Mild T.C. / P.O. OPD 1-4 สัปดาห
Moderate I.V. → P.O. IPD/OPD 2-4 สัปดาห
Severe I.V. → P.O. IPD→OPD 2-4 สัปดาห
BONE OR JOINT
No residual infected tissues e.g. post
I.V. / P.O. IPD→OPD 2-5 วัน
amputation
Residual soft tissues (not bone) I.V. / P.O. IPD→OPD 2-4 สัปดาห
Residual infected viable bone I.V. → P.O. IPD→OPD 4-6 สัปดาห
Residual dead bone / No surgery I.V. → P.O. IPD→OPD > 3 เดือน
* Infectious Disease Society of America Guideline 2004
T.C. = ใหโดยทาที่ผิว, P.O. = ใหโดยการกิน, I.V. = ใหโดยฉีดเขาหลอดเลือดดํา, IPD = inpatient department,
OPD = outpatient department
120
I. การวินิจฉัย
1. อาการและอาการแสดงของ DKA ไดแก ปวดทอง คลื่นไส อาเจียน หายใจหอบลึก (Kussmaul
breathing จากภาวะ metabolic acidosis) ลมหายใจมีกลิ่น acetone ซึมหรือหมดสติ รวมทั้งอาการของภาวะขาด
น้ํา (dehydration) เชน ความดันโลหิตต่ํา ชีพจรเตนเร็ว ช็อก
2. การตรวจพบทางหองปฏิบัติการดังนี้
- ระดับน้ําตาลในเลือดสูง >250 มก./ดล.
- ภาวะเลือดเปนกรด (acidosis): serum bicarbonate (HCO3) <18 มิลลิโมล/ลิตร หรือ arterial
pH <7.30 หรือ venous pH <7.25
- ตรวจพบ ketone ในปสสาวะและในเลือด
3. ความรุนแรงของภาวะ DKA แบงไดดังนี2้
- Mild DKA: arterial pH 7.25-7.30 HCO3 15-18 มิลลิโมล/ลิตร
- Moderate DKA: arterial pH 7.00-7.24 HCO3 10-14 มิลลิโมล/ลิตร
- Severe DKA: arterial pH <7.00 HCO3 <10 มิลลิโมล/ลิตร
4. ภาวะอื่นที่อาจพบรวมดวย ไดแก lactic acidosis หรืออาจตองแยกจากภาวะอื่น ไดแก alcoholic
ketoacidosis, ingestion of drugs เชน salicylate, methanol, ethylene glycol, paraldehyde และ chronic renal
failure
II. การรักษา
ชั่วโมงที่ 1
1. การประเมินผูปวย
- ซักประวัติและตรวจรางกายอยางละเอียด ประเมินความรูตัวทางระบบประสาท
- หาสาเหตุของการเกิด diabetic ketoacidosis ไดแก การขาดยาฉีดอินซูลิน ภาวะติดเชื้อ ภาวะ
ฉุกเฉินทางศัลยศาสตร เชน ไสติ่งอักเสบ ลําไสอุดตัน หรืออื่นๆ
2. การตรวจทางหองปฏิบัติการ
- glucose และ ketone ในเลือดและปสสาวะ
- serum electrolytes, BUN, Cr, Ca, PO4, CBC
- blood gas ถาตรวจพบ urine ketone ปานกลางถึงมาก
- อาจจําเปนตอง monitor EKG lead II กรณีที่ serum potassium สูงหรือต่ํากวาปกติ
124
เอกสารอางอิง
ผลกระทบจากโรคเบาหวานตอการตั้งครรภ
โรคเบาหวานมีผลตอการตั้งครรภทั้งตอมารดาและทารก มารดาเพิ่มอัตราเสี่ยงของภาวะครรภเปนพิษ
(toxemia of pregnancy) การติดเชื้อของกรวยไต (pyelonephritis) ครรภแฝดน้ํา (polyhydramnios) การคลอดโดย
การผาตัดทางหนาทอง (caesarian section) และเพิ่มความเสี่ยงตอการเสียชีวิตของมารดาจากการเกิดความดัน
โลหิตสูง การติดเชื้อ และการผาตัดคลอด มารดาที่ควบคุมเบาหวานไมดีในระยะแรกของการตั้งครรภ จะเพิ่ม
ความเสี่ยงตอการแทงบุตร (spontaneous abortion) ทารกมีความพิการแตกําเนิด (congenital malformation) ใน
ระยะเวลา 9 สัปดาหแรกหลังการปฏิสนธิเปนชวงที่เสี่ยงตอการเกิดความพิการแตกําเนิดมากที่สุด คา HbA1c
ในชวง 9 สัปดาหแรกของการตั้งครรภมีความสัมพันธกับการเกิดความพิการแตกําเนิดของทารก macrosomia
129
เป น ความผิ ด ปกติ ข องทารกที่ พ บได บ อ ยที่ สุ ด ในจํ า นวนความผิ ด ปกติ ทั้ ง หมด สาเหตุ เ กิ ด จากภาวะ
hyperinsulinemia ของทารกในครรภ เนื่องจากการที่น้ําตาลกลูโคสและกรดอะมิโนจากมารดาผานมาสูทารก
มากเกินไป intrauterine growth retardation (IUGR) พบในทารกของหญิงตั้งครรภที่เปนโรคเบาหวานมานาน
และมีโรคแทรกซอนทางหลอดเลือด (microangiopathy) ทําใหทารกในครรภเจริญเติบโตชาและตัวเล็กได
สาเหตุเชื่อวาเกิดภาวะ uteroplacental insufficiency ทารกตายในครรภ (intrauterine fetal death) การควบคุม
โรคเบาหวานใหดีในชวงตั้งครรภจะสามารถลดภาวะดังกลาวได เชื่อวาสาเหตุเกิดจากการที่ทารกในครรภมี
ระดับน้ําตาลในเลือดสูง ทําใหมีการกระตุนการใชออกซิเจนเพิ่มขึ้น มีการสรางสาร lactate จากรกเพิ่มขึ้นทําให
ทารกเกิดภาวะขาดออกซิเจน เปนผลใหเกิดภาวะ metabolic acidosis ซึ่งเปนอันตรายตอเด็ก นอกจากนี้ทารกที่
เกิดจากมารดาที่เปนโรคเบาหวานยังเพิ่มความเสี่ยงตอการเกิด respiratory distress syndrome ภาวะน้ําตาลใน
เลือดต่ําซึ่งสาเหตุเกิดจากภาวะ hyperinsulinemia ในทารก ภาวะนี้สามารถปองกันไดโดยการควบคุมระดับ
น้ําตาลในเลือดอยางเขมงวดในระหวางการตั้งครรภและการคลอด ภาวะแคลเซียมและแมกนีเซียมในเลือดต่ํา
(hypocalcemia และ hypomagnesemia).
เอกสารอางอิง
1. The HAPO study cooperative research group. Hyperglycemia and adverse pregnancy outcomes. New
Engl J Med 2008; 358: 1991-202.
2. Bellamy L, Casas JP, Hingoranai AB, Williams D. Type 2 diabetes mellitus after gestational
diabetes: a systemic review and meta-analysis. Lancet 2009; 373: 1273-9.