Professional Documents
Culture Documents
ผลการตรวจร่างกาย
ผลการตรวจร่างกาย
โดย
นพ. วิชัย จตุรพิตร
ผูอ้ ำำนวยกำร
ศูนย์แพทย์อำชีวเวชศำสตร์กรุงเทพ
เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินว่าเป็น ”โรคอ้วนลงพุง”
รอบเอว
แนะนำำให้ใช้ รอบสะโพก
(Waist / Hip Circumference ratio : WHR)
ชาย ควร น้อยกว่ำ 1.0
หญิง ควร น้อยกว่ำ 0.8
ตัวอย่าง เพศชำย วัดรอบเอวได้ 42 นิำว รอบสะโพก 35 นิำว
รอบเอว = 42 = 1.2
รอบสะโพก 35
อยู่ในภำวะ “โรคอ้วนลงพุง”
จำกกำรศึกษำ พบว่ำ ผู้ที่มี “ภาวะอ้วนลงพุง” เกิดโรคหัวใจขำดเลือดสูงกว่ำ
ผู้ที่มีไขมันสะสมมำกบริเวณสะโพก และ/หรือ บริเวณต้นขำ
เนื่องจากไขมันในช่องท้องจะดักจับไขมันชนิดทีด่ ี (HDL) ทำาให้ไขมันชนิดทีด่ ี (HDL)
ในเลือดมีระดับตำ่าลง เพรำะฉะนัำนผูท้ ี่มีไขมันสะสมในบริเวณช่วงกลำงของลำำตัว จะมีระดับไขมันที่ดี
(HDL) ตำ่ำกว่ำผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณสะโพก ก้น และต้นขำ
มีข้อมูลที่น่ำสนใจว่ำชำวอินเดียในเอเชียเป็นชำติที่มีอัตรำเกิดโรคหัวใจขำดเลือดสูงสุด ทัำงๆ
ที่เกือบครึ่งหนึ่งของชนกลุ่มนีำเป็นมังสวิรตั ิมำตลอดชีวิต
จำกกำรศึกษำ พบว่ำ เกิดขึำนเนื่องจำกชนกลุ่มนีำมรี ะดับ HDL-Cholesterol ตำ่ำ
และมีไตรกลีเซอไรด์สูง ร่วมกับมีรูปร่ำงเป็นโรคอ้วนลงพุง
ซึ่งข้อมูลนีำสะท้อนให้เห็นควำมสำำคัญของโรคอ้วนลงพุง ซึ่งมักจะมีภำวะไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง
และมีไขมันที่ดีตำ่ำ (HDL ตำ่ำ)
3. โรคอ้วนทั้งตัวร่วมกับโรคอ้วนลงพุง (Combined Overall and Abdominal Obesity)
เป็นผู้ที่มที ัำงไขมันทัำงตัวมำกกว่ำปกติ และมีไขมันในช่องท้องมำกกว่ำปกติรว่ มกัน
กำรตรวจประกอบด้วย
• Hemoglobin : HGB • Hematocrit : HCT
กำรวัดปริมำณควำมเข้มข้นของฮีโมโกลบิน กำรวัดปริมำณอัดแน่นของเม็ดเลือดแดง
ค่าปกติ ชาย 13.0-18.0 gm% ค่าปกติ ชาย 40-54 %
หญิง 11.5-16.5 gm% หญิง 36-47 %
กำรตรวจวัด HGB และ HCT ใช้ตรวจคัดกรองภำวะโลหิตจำง ถ้ำค่ำของ HGB และ HCT
ที่ตรวจพบมีค่ำตำ่ำกว่ำเกณฑ์ ถือว่ำ “มีภาวะโลหิตจาง”
ภาวะโลหิตจาง มีผลทำำให้ประสิทธิภำพของกำรไหลเวียนเลือดลดลง
ทำำให้ควำมสำมำรถในกำรทำำงำน ควำมอดทน และควำมสำมำรถในกำรใช้กำำลังร่ำงกำยลดลง
ซึ่งกลุ่มที่มีโลหิตจำงได้บ่อย ได้แก่ สตรีตัำงครรภ์ สตรีในวัยเจริญพันธุ์ ประชำกรที่มีรำยได้น้อย
และเด็กที่ขำดสำรอำหำร
สำเหตุของกำรเกิดภำวะโลหิตจำงที่สำำคัญและพบบ่อยที่สดุ คือ การขาดธาตุเหล็ก
ซึ่งเป็นภำวะโลหิตจำงที่พบบ่อยที่สดุ ทั่วโลก
แต่สำำหรับในประเทศไทย ยังมีภำวะโลหิตจำงที่พบบ่อย คือ โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
และฮีโมโกลบินผิดปกติ (Hemoglobinopathies) ซึ่งเกิดเนื่องจำกมีควำมผิดปกติในกำรสร้ำงฮีโมโกลบิน
ที่เป็นมำตัำงแต่กำำเนิด และถ่ำยทอดทำงพันธุกรรม ซึ่งกลุ่มนีำ มีลักษณะตัำงแต่ ไม่มีอำกำรเลย คือ
เป็นพำหะเท่ำนัำน จนถึงมีอำกำรรุนแรงปำนกลำงถึงรุนแรงมำก (เป็นโรคธำลัสซีเมีย)
มีประชำกรไทยจำำนวนมำกที่เป็นพำหนะ โดยไม่รู้ตัว และไม่มีอำกำร แต่จะถ่ำยทอดสู่ลูกได้
และลูกอำจจะเป็นโรคธำลัสซีเมียได้
ปัจจุบันมีเครื่องตรวจนับเม็ดเลือด (Automated Electronic Cell Counters)
ซึ่งสำมำรถตรวจระดับฮีโมโกลบิน ตรวจนับจำำนวนเม็ดเลือดแดง (Red Cell Count)
ขนำดเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย (Mean Corpuscular Volume : MCV)
และกำรกระจำยตัวของขนำดเม็ดเลือดแดง (Red Cell Distribution Width : RDW)
ซึ่งทำำให้สำมำรถแยกสำเหตุ และวิ
ส่วนค่ ำอืน่ นๆิจฉัในกำรตรวจควำมสมบู
ยสำเหตุของภำวะโลหิรตณ์จำงได้
ของเม็ละเอี
ดเลืยอดด และถูกต้องยิ่งขึำน
มักจะเป็นค่ำที่ใช้ประกอบกำรวินิจฉัยโรคมำกกว่ำ ใช้ในกำรตรวจกรองสุขภำพ เช่น จำำนวนเม็ดเลือดขำว
และชนิดของเม็ดเลือดขำว มักใช้ในกำรประเมินภำวะติดเชืำอ นอกจำกในกรณี
ตรวจพบจำำนวนเม็ดเลือดขำวสูงมำกๆ เช่น มีจำำนวนเป็นหลำยหมื่นตัวต่อตำรำงมิลลิเมตร
ให้สงสัยว่ำจะมีมะเร็งเม็ดเลือดขำว (Leukemia) ปริมำณเกล็ดเลือด (Pletelet) ก็มกั ตรวจเพื่อกำรวินิจฉัยโรค
เช่น ไข้เลือดออกที่มีภำวะเกล็ดเลือดตำ่ำ เป็นต้น
การตรวจปัสสาวะสมบูรณ์แบบ
(Complete Urine Analysis : UA)
เป็นกำรตรวจที่มีประโยชน์มำก
เนื่องจำกสำมำรถบ่งชีำควำมผิดปกติของไตได้ตัำงแต่ระยะแรกที่ยังไม่มีอำกำร
ประเทศไทยเป็นประเทศที่พบโรคไตวำยเรือำ รังค่อนข้ำงมำก ซึ่งส่วนใหญ่สำมำรถรักษำและป้องกันได้
ถ้ำตรวจพบควำมผิ ดปกติตสัำงแต่
ในกำรตรวจปั สำวะแรกก่ อนที่ไตจะเสื่ส่อำำมจนเป็
ผลกำรตรวจที คัญ ได้นแก่ไตวำย
1. กำรตรวจหำโปรตีน (ไข่ขำว) ในปัสสำวะ
2. กำรตรวจหำเม็ดเลือดแดงในปัสสำวะ
3. กำรตรวจหำเม็ดเลือดขำวในปัสสำวะ
การตรวจโปรตีนในปัสสาวะ
โดยปกติโปรตีนจะรั่วออกมำในปัสสำวะเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะตรวจไม่พบ แต่เมื่อไตมีพยำธิ
สภำพเกิดขึำนมักจะมีผลทำำให้โปรตีนรัว่ ออกมำในปัสสำวะมำกขึำนจนตรวจพบได้
ซึง่ จะรำยงำนผลตำมควำมเข้มข้นของโปรตีน ที่ตรวจพบตัำงแต่ 1+ ถึงระดับ 4+
เพรำะฉะนัำนในผูท้ ี่ตรวจพบโปรตีนในปัสสำวะ จะต้องระวังแล้วว่ำไตของตนเอง
เริ่มมีควำมเสื่อมลงจำกสำเหตุใดสำเหตุหนึ่ง และควรต้องได้รบั กำรตรวจซำำำ
และติดตำมตรวจวิเครำะห์หำสำเหตุต่อไป
การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ
ในคนปกติตรวจพบเม็ดเลือดแดง จำานวนประมาณ 0-5
เซลล์ต่อกำรมองในกล้องขยำยกำำลังสูงหนึ่งครัำง ถ้ำตรวจพบจำำนวนเม็ดเลือดแดงมำกกว่ำปกติ เช่น
มำกกว่ำ 10 เซลล์ขึำนไป ถือว่ำไตมีควำมผิดปกติ และต้องตรวจสืบค้นหำสำเหตุต่อไป เช่น อำจเป็นนิ่ว,
อำจมีไตอักเสบที่เกิดจำกกำรติดเชืำอ หรือกำรอักเสบจำกภูมไิ วเกินของร่ำงกำย เป็นต้น
การตรวจหาเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ
ในคนปกติตรวจพบเม็ดเลือดขำวในปัสสำวะได้ประมาณ 0-5
เซลล์ต่อกำรมองกล้องจุลทรรศน์หนึ่งครัำง เช่นเดียวกับเม็ดเลือดแดง
ถ้ำตรวจพบมีจำำนวนเม็ดเลือดขำวมำกกว่ำปกติ จะบ่งชีำว่ำ
กำำลังมีกำรอักเสบติดเชืำอในระบบของทำงเดิ
นอกจำกกำรตรวจกรองโรคของระบบไตแล้ นปัสสำวะสสำวะยั
ว กำรตรวจปั ซึ่งพบบ่งช่อวยในเพศหญิ ง
ยกรองโรคเบำหวำนได้
โดยถ้ำตรวจพบนำำำตำลในปัสสำวะ จะบ่งชีำวำอำจเป็นโรคเบำหวำน
ซึง่ ควรยืนยันด้วยกำรตรวจเลือดเพิ่มเติมต่อ
การตรวจระดับนำ้าตาลในเลือด
(Fasting Blood Sugar)
ในปัจจุบัน กำรตรวจวัดค่ำของโคเลสเตอรอลรวม(Total
Cholesterol)เพียงอย่ำงเดียวไม่พอเพียงในกำรบอกสถำนะควำมเสี่ยงต่อโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด
เรำต้องกำรตรวจวัดระดับไขมันอื่นๆ ที่เกีย่ วข้องด้วย ได้แก่
1.โคเลสเตอรอลรวม(Total Cho.) 3.HDL-Cho.(ไขมันชนิดดี)
2.ไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) 4.LDL-Cho.(ไขมันชนิดไม่ดี)
โคเลสเตอรอลรวม (Total Cholesteral)
เป็นค่ำที่วัดระดับโคเลสเตอรอลรวม ซึ่งมีทัำง โคเลสเตอรอลชนิดดี
และโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดีปนกัน
ค่าโคเลสเตอรอล ผล
< 200 มก./ดล. ปกติ
201-240 มก./ดล. สูงเล็กน้อย
> 240 มก./ดล. สูงชัดเจน
ค่า HDL-Cho ผล
< 35 มก./ดล. ตำ่ำ
> 60 มก./ดล. ดี
ไขมัน LDL (Low Density Lipoprotein)
เป็นอนุภำคที่ทำำหน้ำที่ขนส่งโคเลสเตอรอลไปตำมกระแสเลือด LDL
สำมำรถจับกับผนังเส้นเลือดได้ ทำำให้เกิดกำรสะสมโคเลสเตอรอลบนผนังเส้นเลือด เพรำะฉะนัำน
LDL จึงเป็นอนุภำคไขมันชนิดเลว ซึ่งจะบ่งชีำว่ำ เรำมีควำมเสีย่ งต่อโรคหัวใจมำกหรือน้อย
เรำสำมำรถตรวจวัด หำค่ำ LDL ได้โดยตรง หรือถ้ำเรำรู้ค่ำของไขมันโคเลสเตอรอลรวม,
ไขมันไตรกลีเซอไรด์, ไขมัน HDL เรำก็สำมำรถหำค่ำ LDL ได้จำกสูตร
LDL = โคเลสเตอรอลรวม – HDL – (ไตรกลีเซอไรด์)
5
ตัวอย่าง
ค่า LDL ผล
ถ้ำเรำตรวจได้ โคเลสเตอรอล 240 มก./ดล.
< 130 มก./ดล. ปกติ ไตรกลีเซอไรด์ 200 มก./ดล.
130-160 มก./ดล. สูงเล็กน้อย HDL 50 มก./ดล.
> 160 มก./ดล. สูง LDL = 240 – 50 – (200) = 150 มก./ดล.
5
ดังนัำน ถ้ำหำกเรำต้องกำรรู้ว่ำมีควำมเสี่ยงมำกน้อยแค่ไหน ต่อกำรเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
เรำจำำเป็นจะต้องรู้ระดับไขมันที่ไม่ดี คือ LDL-Cholesterol
CHOLESTEROL
โคเลสเตอรอล (CHOLESTEROL) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบในเลือด
แม้ไม่สำมำรถให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยได้ แต่ก็มีประโยชน์ในกำรสร้ำงกรดนำำำดีซึ่งช่วยในกำรย่อยอำหำร
สร้ำงฮอร์โมนบำงชนิด และวิตำมินดี รวมทัำงเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์
ตับสร้ำงไขมันโคเลสเตอรอลได้ แต่เมือ่ ใดที่โคเลสเตอรอลในเลือดมีมำกเกินควำมต้องกำรของร่ำงกำย คือ
มำกกว่ำ 200 mg/dl
โคเลสเตอรอลเหล่ำนีำมีโอกำสไปสะสมใต้ผนังหลอดเลือดด้ำนในมำกขึำนทำำให้หลอดเลือดตีบและอุดตันใ
โคเลสเตอรอลในเลื
โคเลสเตอรอล อดจึงให้ทัำงคุณและโทษ
นที่สดุ
และจะเป็นกำรดีอย่ำงยิ่งหำกวันนีำเรำรู้ระดับโคเลสเตอรอลของตนเอง
เพื่อทำำกำรป้องกันปัญหำโรคหลอดเลือดแดงตีบตันในอนำคตตัำงแต่เนิ่นๆ นอกจำกนีำ
ยังมีไขมันอีกชนิดหนึ่งที่เรำจำำเป็นต้องทำำควำมรูจ้ ักให้ดีก็คือ ไตรกลีเซอไรด์
ซึง่ ทำำหน้ำที่ให้พลังงำนแก่รำ่ งกำย
โดยร่ำงกำยรับไตรกลีเซอไรด์ได้โดยตรงจำกกำรกินอำหำรประเภทไขมัน
รวมถึงกำรเปลีย่ นแปลงจำกอำหำรประเภทแป้ง นำำำตำล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แต่หำกร่ำงกำยสะสมไตรกลีเซอไรด์มำกเกินไป จะเร่งกำรสะสมโคเลสเตอรอลใต้ผนังหลอดเลือด
ซึ่งเสีย่ งต่อกำรเกิดโรคหัวใจขำดเลือดได้
โคเลสเตอรอลในเลือดมาจากไหน ?
หลำยๆ ท่ำนคงคิดว่ำปริมำณของโคเลสเตอรอลในเลือดจะสูงหรือไม่นัำน
ขึำนอยู่กับพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรเพียงอย่ำงเดียว ซึ่งเป็นควำมเข้ำใจที่ไม่ถูกต้องนัก
เพรำะยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำำให้เสี่ยงต่อกำรเกิดโคเลสเตอรอลสูงได้
เรำมำดูกันว่ำโคเลสเตอรอลมำกจำกไหนได้บ้ำง
จากอาหารทีเ่ รารับประทานเข้าไป
โดยอำหำรที่มีผลกระทบต่อปริมำณโคเลสเตอรอล ได้แก่ อำหำรที่มีโคเลสเตอรอลร่วมอยู่ด้วย
ซึ่งมีอยู่ในอำหำรที่มำจำกสัตว์ทุกประเภทโดยปริมำณโคเลสเตอรอลแตกต่ำงกันตำมชนิดและอวัยวะ
โดยเครื่องในสัตว์และไข่แดง (ทุกประเภท) จะมีปริมำณโคเลสเตอรอลสูงมำก
จากการสร้างขึน้ เองของร่างกาย
ร่ำงกำยสำมำรถสังเครำะห์โคเลสเตอรอลขึำนมำได้จำกอำหำรประเภทคำร์โบไฮเดรต, โปรตีน,
และไขมัน โดยเฉพำะจำกไขมันอิ่มตัว
อำจสรุปได้ว่ำระดับโคเลสเตอรอลในเลือดจะเปลี่ยนแปลงได้จำกกำรรับประทำนอำหำรที่มีโคเลสเตอร
อล และอำหำรประเภทไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงๆ
รวมถึงผลทำงอ้อมจำกกำรรับประทำนอำหำรประเภทแป้งและนำำำตำลเกินควำมต้องกำรของร่ำงกำย
ไขมันในเลือดมีกี่ชนิด ?
มีอยู่หลำยชนิด แต่ที่สำำคัญและควรทรำบมี 3 ชนิด คือ
1. แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol)
ไขมันตัวนีำเปรียบเสมือน “ตัวผู้ร้าย”
ย
ถ้ำมีปริมำณมำกจะสะสมอยู่ในหลอดเลือดแดงเป็นต้นเหตุของหลอดเลือดแดงแข็ง ยิ่งระดับ แอล ดี แอล
โคเลสเตอรอลสูงมำกเท่ำไหร่ อัตรำเสีย่ งต่อกำรเป็นโรคหัวใจยิ่งมำกขึนำ เท่ำนัำน
2. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol)
เปรียบเสมือน “ตำารวจ”
รวจ คอยจับผูร้ ้ำย เพรำะเป็นตัวกำำจัด แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล
ออกจำกหลอดเลือดแดง กำรมีระดับเอช ดี แอล โคเลสเตอรอลสูง
จึงช่วยลดควำมเสีย่ งในกำรเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride : TG)
เป็นไขมันอีกประเภทหนึ่งในกระแสเลือด เปรียบเสมือน “ผู้ช่วยผู้ร้าย”
ย
คนที่มรี ะดับไตรกลีเซอไรด์สูงพร้อมกับระดับ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอลตำ่ำ หรือ แอล ดี แอล
โคเลสเตอรอลสูง ยิ่งเพิ่มควำมเสี่ยงต่อกำรเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
โคเลสเตอรอล...สูงหรือตำ่า วัดกันอย่างไร?
วิธดี ูว่ำใครมีโคเลสเตอรอลสูง ทำงกำรแพทย์จะเทียบกับค่ำที่พึงปรำรถนำของระดับ
แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ซึง่ ค่ำดังกล่ำวขึำนกับว่ำเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
หรือเป็นโรคเบำหวำนหรือไม่ ถ้ำยังไม่เป็น... ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องคำำนึงถึงนอกจำก แอล ดี แอล
มีดังนีำ
1. อายุ : ชำยมำกกว่ำ 45 ปี หญิงมำกกว่ำ 55 ปี
2. ญาติสายตรงป่
ายตรง วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก่อนวัยอันควร (ชำยก่อนอำยุ 55 ปี
หญิงก่อนอำยุ 65 ปี)
3. ควำมดันโลหิตสูง
4. สูบบุหรี่
5. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล น้อยกว่ำ 40 mg/dl
ตารางแสดงค่าปัจจัยเสีย่ ง
ค่ำของ
ชื่อ
แอล ดี แอล
แอล ดี แอล
-เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือเบำหวำน ควร < 100 mg/dl
-ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเบำหวำน ควร < 130 mg/dl
แต่มีปจั จัยเสี่ยงตังำ แต่ 2 ข้อขึนำ ไป
-ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเบำหวำน ควร < 160 mg/dl
และมีปจั จัยเสี่ยงน้อยกว่ำ 2 ข้อ
หำกสำมำรถลดระดับโคเลสเตอรอลรวมลงได้ 1 %
จะสำมำรถลดอัตรำเสี่ยงต่อกำรเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้ 2 %
สาเหตุที่ทำาให้โคเลสเตอรอลสูง
มีอยู่ด้วยกัน 3 ประกำร คือ
อาหาร
กำรบริโภคอำหำรประเภทไขมันอิ่มตัวมำกเกินไป
กำรบริโภคอำหำรที่มีโคเลสเตอรอลมำกๆ
กำรบริโภคอำหำรมำกเกินควำมต้องกำรของร่ำงกำย
พันธุกรรม
โรคและยา
เช่น โรคไต เบำหวำน ยำบำงชนิด เป็นต้น
ทำาอย่างไรเมือ่ รูว้ ่าโคเลสเตอรอลสูง
กำรรักษำเพื่อลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดนัำนสำมำรถทำำได้หลำยวิธี
ในบำงคนเพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็สำมำรถช่วยได้
ในขณะที่บำงคนอำจต้องพิจำรณำใช้ยำลดระดับโคเลสเตอรอลควบคู่กันไป
ลดระดับโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร
กำรรับประทำนอำหำรที่ถกู หลักโภชนำกำรถือเป็นรำกฐำนสำำคัญในกำรป้องกัน
และรักษำโคเลสเตอรอลในเลือดสูงที่ดีที่สุด โดยมีหลักปฏิบัติสำำคัญๆ ดังต่อไปนีำ
1.ลดปริมำณไขมันที่รบั ประทำนให้น้อยลง
2.หลีกเลี่ยงอำหำรที่กรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนืำอสัตว์ติดมัน มันสัตว์ต่ำงๆ นำำำมันมะพร้ำว
นำำำมันปำล์ม กะทิ นม เนยแข็ง ครีม ฯลฯ
3.รับประทำนกรดไขมันไม่อิ่มตัวมำกขึำน ซึ่งได้จำกนำำำมันพืชต่ำงๆ
เพรำะนำำำมันพืชมีกรดไลโนเลอิกมำก สำมำรถลดโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
4.หลีกเลี่ยงอำหำรที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลำหมึก หอย
5.รับประทำนอำหำรที่มีเส้นใยให้มำกขึำน เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่ำงๆ
ลดอำหำรประเภทแป้งและนำำำตำล
6.รับประทำนอำหำรที่มีโปรตีนอย่ำงเหมำะสม เช่น ปลำต่ำงๆ เนืำอสัตว์ไม่ติดมัน
การออกกำาลังกาย
กำรออกกำำลังกำยเป็นวิธีกำรหนึ่งที่มีส่วนช่วยทำำให้ระดับโคเลสเตอรอลลดลง เพิ่ม HDL
โคเลสเตอรอล และสร้ำงควำมแข็งแรงให้ร่ำงกำยอีกด้วย
โดยวิธีกำรออกกำำลังกำยที่เหมำะสมในกำรช่วยให้หัวใจและปอดแข็งแรง
คือการออกกำาลังกายแบบแอโรบิค เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ำย นำำำ ขี่จักรยำน อย่ำงต่อเนื่องนำน 20-50 นำที
สัปดำห์ละ 3-4 ครังำ กีฬำบำงประเภท เช่น กอล์ฟ เทนนิส แม้จะช่วยเผำผลำญพลังงำน
แต่ไม่จัดเป็นกำรออกกำำลังกำยแบบแอโรบิค
เมือ่ ต้องการเลือกใช้ยาลดโคเลสเตอรอล
Statins
Bile Acid Sequestrans ยำกลุ่มนีำนอกจำกลดโคเลสเตอรอลได้ดีมำกแล้ว
มีลักษณะเป็นผง เวลำรับประทำนต้องผสมกับนำำำ ยังเชื่อว่ำมีผลดีต่อหลอดเลือดแดง
ยำชนิดนีำจะไม่ถูกดูดซึมเข้ำสูร่ ่ำงกำยจึงไม่มีผลต่อตับ โดยกลไกที่ไม่เกี่ยวข้องกับกำรลดไขมันด้วย
แต่รสชำติไม่อร่อยและมีผลแทรกซ้อนทำงลำำไส้บ่อย ยำนีำจึงสำมำรถใช้เป็นกลุ่มแรกสำำหรับผูท้ ี่มีโคเลสเต
เช่น ท้องอืด ท้องผูก อรอลสูง
สำมำรถลดโคเลสเตอรอลได้ในระดับหนึ่ง นอกจำกนีำยังสำมำรถลดไตรกลีเซอไรด์ได้พอสมควร
แต่มีผลต่อไตรกลีเซอไรด์ และ เอช ดี แอล น้อย และเพิ่ม เอช ดี แอลได้ด้วย
Niacin
แต่ก็มีผลแทรกซ้อนบ้ำงเล็กน้อยต่อกำรเกิดตับอักเสบ
แม้จะมีประสิทธิภำพลดโคเลสเตอรอลได้ดี
และกล้ำมเนืำออักเสบรุนแรง ซึ่งพบในอัตรำที่ตำ่ำมำก
แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้มำกนักเนื่องจำกมีผลแทรกซ้อนม
ยำกลุ่มนีำไม่ควรใช้ในผูป้ ่วยโรคตับที่ยังดำำเนินอยู่
ำก อำทิ
(ActiveFibrates
Liver Disease)
อำกำรร้อนวูบวำบเนื่องจำกกำรขยำยหลอดเลือดแดง
ควำมดันโลหิตตำ่ำนำำำตำลในเลือดสูงขึำนหรือควบคุมไ เหมำะกับผูป้ ่วยเบำหวำนที่มักจะมีไขมันไตรกลีเซอไ
ด้ยำกขึำน กรดยูริคสูงขึำน อำจทำำให้ตับอักเสบรุนแรง รด์สงู และ HDL ตำ่ำ และไม่ควรใช้ในผูป้ ่วยโรคตับ
Niacin
รูปแบบที่ออกฤทธิ์นำนอำจช่วยลดผลแทรกซ้อนดังก
ถ้าเราเลือกรับประทานแต่อาหารที่ไม่มีโคเลสเตอร
เขาว่า.....เชื่อได้แค่ไหน อลเลย
แค่หลีกเลี่ยงอาหารมันๆ ออกกำาลังกายสมำ่าเสมอ
Q: Q: ก็ไม่มีทางเกิดโคเลสเตอรอลในเลือดสูงใช่มั้ยคะ ?
ไม่ดมื่ แอลกอฮอล์ก็เพียงพอในการป้องกันโคเลสเ
ตอรอลสูงแล้ว ใช่ไหมครับ ? ไม่จริงครับ
ไม่ถูกทัำงหมดครับ อำหำรบำงชนิดแม้ไม่มีโคเลสเตอรอลเลย
A: A: แต่ทำำให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึำนได้ เช่น
เพรำะกำรเกิดโคเลสเตอรอลสูงอำจมำจำกกรรมพั
นธุ์ก็ได้ อำหำรที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อำทิ
จะสังเกตอาการได้อย่างไรว่าตัวเองโคเลสเตอรอล อำหำรที่มีส่วนผสมของกะทิ เนยเทียม
Q:
สูง ? หรือครีมเทียมที่ทำำจำกนำำำมันพืช
เป็นเรื่องที่คนส่วนมำกเข้ำใจผิดอย่ำงยิ่ง ไขมันอิม่ ตัวเหล่ำนีำจะไปขัดขวำงกำรเผำผลำญโคเ
A:
เพรำะโคเลสเตอรอลสูงไม่ได้ทำำให้เกิดอำกำรหรือ ลสเตอรอลที่ตับ
ปัญหำโดยตรง เช่น โคเลสเตอรอลสูง 300 ซึ่งก็จะทำำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึำนได้
ไม่ได้ทำำให้เวียนศีรษะหรือแน่นหน้ำอก รวมทัำงอำหำรที่ให้แป้งและนำำำตำลมำก
แต่กำรสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดแดงนำน หรือเครือ่ งดื่มแอลกอฮอล์
ๆ ต่ำงหำกที่จะทำำให้เกิดหลอดเลือดตีบตำมมำ ถ้ำรับประทำนในปริมำณมำกๆ
พูดง่ำยๆ ก็คือยิ่งปล่อยให้โคเลสเตอรอลสูงนำนๆ ก็จะทำำให้ไขมันในเลือดอีกตัว คือ
กำรสะสมของไขมันก็มำกตำมไปด้วย ไตรกลีเซอไรด์สูงขึำนได้
จนเสี่ยงต่อกำรเกิดโรคหัวใจขำดเลือดในอนำคตค
รับ
การตรวจสมรรถภาพการทำางานของตับ
(SGOT & SGPT)
กำรตรวจสอบว่ำตับมีกำรทำำงำนปกติหรือไม่ แพทย์จะสั่งตรวจในกรณีตรวจร่ำงกำยประจำำปี
หรือตรวจในกรณีที่สงสัยว่ำมีอำกำรที่เกิดจำกโรคตับ เช่น ตัวเหลือง ตำเหลือง โดยสิง่ ที่แพทย์ตรวจ
ได้แก่
- ตรวจหำโปรตีนที่สร้ำงจำกตับ
- กำรตรวจว่ำมีดีซ่ำนหรือไม่
- การตรวจระดับเอนไซม์จากตับ
- กำรตรวจกำรทำำงำนของตับเมื่อมีกำรอุดตันของทำงเดินนำำำดี
- กำรตรวจทำงรังสีวิทยำ
- กำรตรวจเลือดดูเชืำอไวรัสตับอักเสบ
- กำรตรวจเลือดหำมะเร็งตับ
กำรตรวจที่นิยมตรวจ และใช้ในกำรตรวจบ่อยที่สุด ก็คือ กำรตรวจระดับเอนไซม์จำกตับ
เป็นกำรตรวจวัดประสิทธิภำพกำรทำำงำนของไต
ว่ำยังคงสำมำรถทำำงำนในกำรกรองของเสียออกจำกร่ำงกำยหรือไม่
โดยตรวจวัดสำร 2 ตัว คือ Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Creatinine (Cr) ซึ่งสำรทัำง 2
ตัวนีำ เป็นสารซึง่ เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา จากขบวนการ การเผาผลาญทางชีวเคมีในเลือด
ซึ่งไตจะทำำหน้ำที่ในกำรขับถ่ำยสำรเหล่ำนีำออกจำกร่ำงกำย ทำำให้ไม่มีกำรสะสมอยู่ในเลือด
เพรำะฉะนัำน ถ้ำตรวจพบระดับของ BUN และ Cr สูงขึำนกว่ำระดับปกติ
แสดงว่ำไตไม่สำมำรถทำำงำนขับถ่ำยของเสียได้ตำมปกติแล้ว
และเป็นตัวบ่งชีำว่ำมีภำวะไตวำยเรือำ รังเกิดขึำน
อย่ำงไรก็ตำม กำรตรวจพบระดับ BUN, Cr สูงกว่ำปกติ
มักจะตรวจพบเมื่อไตมีความเสือ่ มมากแล้ว ซึ่งโดยมากมักจะมีการทำางานลดลงมากกว่า 50 % แล้ว
และมักจะเป็นระยะที่ไตไม่สำมำรถฟื้นตัวกลับมำปกติได้
จึงเป็นกำรตรวจที่ไม่สำมำรถตรวจพบโรคไตในระยะแรกได้ควรเสริมด้วยกำรตรวจปัสสำวะร่วมด้วย
การตรวจระดับกรดยูรคิ
(Uric Acid)
การเตรียมตัวสำารับเข้4.ารัเพืบ่อการตรวจการได้
ติดตำมผลของกำรป้ยอินงกัเพืน่อกำรสู ญเสียกำรได้ยิน ในสถำนประกอบกำร
ให้ผลของกำรตรวจกำรได้ ยินมีควำมถูกต้อง
ผู้เข้ำรับกำรตรวจควรมีขอ้ ปฏิบตั ิดงั นีำ
1. หลีกเลีย่ งกำรสัมผัสรับเสียงดังๆ ก่อนเข้ำรับกำรตรวจ ไม่ว่ำจะเป็นเสียงดังที่บำ้ นหรือที่ทำำงำน
และถ้ำทำำได้กค็ วรหลีกเลี่ยงเสียงดังอย่างน้อยที่สุดนาน 12 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการตรวจ
เพื่อหลีกเลีย่ งกำรมีสภำวะเสื่อมสมรรถภำพกำรได้ยินชัว่ ครำว (TTS) ขณะรับกำรตรวจ
2. กรณีระหว่ำงรอรับกำรตรวจ ถ้ำจำำเป็นต้องเข้ำไปปฏิบัตงิ ำน จะต้องสวมใส่อปุ กรณ์ป้องกันเสียง
ทีส่ ำมำรถลดเสียงที่เข้ำสู่หูให้
ให้เหลือตำ่ากว่าระดับ 85 dB(A) ตลอดระยะเวลำทีท่ ำำงำน
และอนุญำตให้เข้ำไปปฏิบตั ิงำนได้ไม่นานเกินกว่า 4 ชั่วโมงเท่านัน้
3. ออกจำกสถำนทีท่ ี่มีเสียงดังก่อนจะเข้ำรับกำรตรวจกำรได้ยิน อย่างน้อย 15
นาทีก่อนเข้าทำาการตรวจ
4. ควรมำถึงห้องตรวจกำรได้ยิน และนั่งพักก่อนประมำณ 5 นำที เป็นอย่ำงน้อย
เพื่อป้องกันกำรเหนื่อยหอบในขณะตรวจวัดกำรได้ยิน
5. ให้ถอดสิ่งของใดๆ ทีจ่ ะขัดขวำงกำรได้ยิน เช่น แว่นตำ หมวก ตุม้ หู เป็นต้น
6. รวบเส้นผมให้เรียบร้อย ไม่ควรให้มีเส้นผมขวำงอยู่
7. ไม่ควรเคลื่อนไหวร่ำงกำยไปมำ ขณะรับกำรตรวจ เพรำะจะเกิดเสียงรบกวนได้
8. สวมใส่หูฟังให้แนบ โดยไม่รูสึกอึดอัด โดยหูฟังสีแดงอยู่ข้ำงขวำ หูฟังสีนำำเงินอยู่ข้ำงซ้ำย
ขยับให้ตรงช่องพอดี หลังจำกสวมใส่ดแี ล้ว อย่ำแตะต้องอีก
9. ผู้ที่มีปญ
ั หำนำำำไหลออกจำกหู มีขหีำ มู ำกจนอุดตัน มีอำกำรของหวัดจนหูอืำอ ควรแจ้งให้ทรำบด้วย
10. เมื่อได้ยินเสียงสัญญำณให้ตอบสนองโดยกำรกดปุ่ม ระดับเสียงที่ได้ยินถึงแม้จะเบำมำก
แต่ถำ้ ได้ยินขอให้มีกำรตอบสนองด้วย
การควบคุมเสียงดัง และป้ องกันการสัมผัสเสียงดัง
เพ่ ือป้ องกันโรคหูเส่ อ
ื มจากการทำางาน
กำรควบคุมเสียงดัง จะพิจำรณำดำำเนินกำรทีแ่ หล่งกำำเนิดเสียงก่อนเป็นลำำดับแรก
และพิจำรณำดำำเนินกำรเพิ่มเติมทีท่ ำงผ่ำนของเสียง และมำควบคุมทีต่ ัวผู้ปฏิบตั ิงำนตำมลำำดับ
ซึ่งควรใช้องค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน ผสมผสานกัน
อย่ำงไรก็ตำมในทำงปฏิบตั ิกำรควบคุมลดเสียงที่เครื่องจักร และทำงผ่ำนของเสียงมีขอ้ จำำกัดมำก
วิธีกำรที่มีควำมสำำคัญจึงมักเป็นวิธีกำรควบคุมเสียงดังที่ตวั บุคคลผู้รับเสียง
เป็นวิธีกำรหลักในกำรป้องกันหูเสื่อมจำกเสียงดัง
การควบคุมเสียงดังที่ผู้รับเสียง
วิธีนจีำ ะต้องมีกำรลงทุนค่ำใช้จ่ำยในกำรจัดซืำออุปกรณ์คุ้มครองควำมปลอดภัยส่วนบุคคล
ซึ่งอุปกรณ์ดงั กล่ำวก็มีอำยุกำรใช้งำนแตกต่ำงกันไป และกำรบังคับใช้กบั คน มักจะมีควำมยุ่งยำกพอสมควร
เนื่องจำกปัจจัยที่จะทำำให้บคุ คลมีพฤติกรรมอนำมัยทีด่ ีในกำรป้องกันขึำนกับองค์ประกอบหลำยอย่ำง เช่น
อุปกรณ์ทตี่ อ้ งกำรให้สวมใส่ควรมีนำำหนักเบำ สวมใส่สบำย ใส่แล้วไม่เจ็บ ไม่เป็นอุปสรรคต่อกำรสื่อสำร
การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
จุดมุ่งหมำยในกำรใช้อปุ กรณ์คุ้มครองควำมปลอดภัยส่วนบุคคล ก็เพื่อลดระดับเสียงทีผ่ ่ำนเข้ำมำในช่องหู
ซึ่งจะมีอุปกรณ์อยู่ 2 ประเภท ได้แก่ ที่ครอบหู (Ear Muff) และที่อุดหู (Ear Plugs) โดยทั่วไปทีค่ รอบหู (Ear
Muff) จะลดระดับเสียงได้มำกกว่ำทีอ่ ุดหู แต่กม็ ีข้อดีข้อเสียทีจ่ ะต้องนำำมำพิจำรณำควำมเหมำะสมในกำรใช้ดว้ ย
ท่ีอด
ุ หู (Ear Plug)
ข้อดี ข้อจำากัด
ตารางแสดงการได้รับเสียงที่อนุญาตให้สัมผัสเสียงได้
ระดับเสียง ช.ม. การทำางานที่สัมผัสเสียงได้ ในบำงบริเวณงำนของสถำนประกอบกำรบำงแห่
90 dB 8 ง อำจจะมีเสียงเครื่องจักรดังจนเกินกว่ำ 100
dB(A) ก็อำจจำำเป็นต้องสวมใส่ทงัำ ทีอ่ ุดหู
95 dB 4 และทีค่ รอบหูร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องทีพ่ บน้อย
100 dB 2
และกำรใช้อปุ กรณ์ทมี่ ีค่ำ NRR
105 dB 1 สูงเกินควำมจำำเป็น
110 dB 0.5 ก็อำจจะมีผลเสียในกำรที่ไปลดกำรรับฟังเสียงใน
กำรสนทนำไปด้วย
สมรรถภาพปอด
(Spirometry)
หมำยถึง กำรตรวจสมรรถภำพของปอด โดยกำรตรวจวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้า
และออกจากปอด โดยอำศัยเครื่องมือที่ใช้วัด เรียกว่ำ “Spirometer”
Spirometer
กำรตรวจสมรรถภำพปอดจะสำมำรถบ่งชีำถึงกำรเสื่อมของกำรทำำงำนของปอดก่อนที่จะมีอำกำรเกิดขึำน
ข้อบ่งชี้ในการตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry)
1. เพื่อการวินิจฉัยโรค เช่น ในผูท้ ี่มีอำกำรไอเรือำ รัง มีอำกำรหอบ หำยใจมีเสียงหวีด
อำกำรตรวจจะช่วยในกำรวินิจฉัยโรคที่ทำำให้เกิดอำกำรเหล่ำนีำ
2. เพือ่ การประเมิน ระดับควำมรุนแรงของโรคระบบทำงเดินหำยใจที่เป็นอยู่
3. เพื่อการเฝ้าระวังการเกิดโรค ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่มีอำชีพที่เสีย่ งต่อกำรเกิดโรค
เช่น ทำำงำนเหมืองแร่ ทำำงำนที่มีไอระเหยของโลหะ หรือสำรอื่นๆ ทำำงำนในที่มีฝุ่นฝ้ำย เช่น โรงทอผ้ำ
ทำำงำนในที่มีฝนุ่ หินทรำย (ซิลิคำ) เช่น โรงงำนบด โม่ ย่อย สกัด ระเบิดหิน และอุตสำหกรรมปูนซิเมนต์
การเตรียมตัวก่อนทำาการตรวจ
1. ไม่ออกกำำลังกำยก่อนมำตรวจอย่ำงน้อย 30 นำที
2. ไม่ควรสวมเสือำ ผ้ำที่รัดทรวงอก และท้อง
3. หลีกเลีย่ งอำหำรที่อิ่มมำกก่อนตรวจ 2 ชั่วโมง
4. ในผูท้ ี่มีโรคหืด ให้หยุดยำขยำยหลอดลมก่อนตรวจ
5. งดสูบบุหรี่อย่ำงน้อย 2 ชั่วโมง
วิธีการทดสอบสมรรถภาพปอด
1. ยืนตัวตรงตำมสบำย
2. หนีบจมูก
3. หำยใจเข้ำจนเต็มที่
4. อมกระบอกเครื่องเป่ำ และปิดปำกให้แน่นรอบๆ กระบอกเป่ำ
พยำยำมไม่ให้มีลมรั่วออกภำยนอกได้ เมื่อหำยใจออกมำ
5. หำยใจออกให้เร็ว และแรงอย่ำงเต็มที่จนหว่ำจะไม่มีอำกำศออกจำกปอดอีก
(ซึง่ ควรจะหำยใจออกโดยมีระยะนำน ไม่น้อยกว่ำ 6 วินำที โดยไม่ควรมีลมรั่วออกขณะเป่ำ
ปัญหาที่พบในขณะทำาการตรวจ ซึง่ ทำาให้การตรวจไม่สมบูรณ์
ปัญหำที่พบบ่อย ซึ่งทำำให้กำรเป่ำไม่สมบูรณ์ ได้แก่
1. เป่ำออกมำไม่เต็มที่ ไม่แรง และไม่นำนพอจนสุด
2. มีลมรั่วออกมำขณะเป่ำ
3. กำรหำยใจเข้ำหรือกำรหำยใจออก ไม่สุดเต็มที่
4. เริ่มต้นเป่ำมีควำมลังเล ทำำให้เป่ำช้ำไม่เร็วพอ
5. ไอระหว่ำงกำรเป่ำ โดยเฉพำะในช่วงวินำทีแรก
การแปลผลการตรวจ
กำรเป่ำปอดจะทำำให้รคู้ ่ำที่สำำคัญ ก็คือ
FVC (Forced Vital Capacity)
เป็นจำานวนของอากาศที่วัดได้ เมื่อหายใจออกมา (หลังจำกที่หำยใจเข้ำเต็มปอด) อย่ำงเร็ว
และแรงเต็มที่จนสุด ผู้ที่มีปอดที่มีควำมยืดหยุ่นน้อยกว่ำปกติ ก็จะวัดได้ค่ำของ FVC น้อยกว่ำปกติ
โดยเทียบกับเกณฑ์มำตรฐำน แล้วได้ไม่ถึง 80 %
FEV1 (Forced Expiratory Volume in One second)
เป็นจำำนวนอำกำศที่สำมำรถ “หายใจออกมาได้ใน 1 วินาที” เมื่อทำำกำรหำยใจอย่ำงเร็ว
และแรงเต็มที่ (หลังจำกกำรได้หำยใจเข้ำไปเต็มที่แล้ว)
ผู้ที่มีหลอดลมอุดกัำน เช่น เป็นหืด หลอดลมอักเสบเรืำอรัง จะมีค่ำ FEV1 ตำ่ำกว่ำปกติ เพรำะ
ไม่สำมำรถหำยใจเอำอำกำศออกมำได้เหมือนปกติ ทำำให้ค่ำที่วัดได้ไม่ถึง 80 % ของเกณฑ์มำตรฐำน
FEV1 / FVC
เป็นกำรนำำเอำค่ำที่ตรวจได้ 2 ค่ำข้ำงบนมำประเมินร่วมกัน เพื่อเปรียบเทียบดูว่ำ
“ปริมาตรอากาศทีห่ ายใจออกมาได้ใน 1 วินาที
จะเป็นจำานวนกี่เปอร์เซ็นต์ของอากาศที่มีอยู่ในปอดของคนนั้น”
ซึ่งโดยปกติควรหำยใจออกมำได้ไม่น้อยกว่ำ 70 % ผู้ที่มีค่ำ FEV1 / FVC ตำ่ำกว่ำ 70 %
Means Predict % Predict
(ค่ำที่ตรวจได้) (เกณฑ์มำตรฐำน) (เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบ)
FVC L L < 80 %
FEV1 L L < 80 %
FEV1/FVC % % < 70 %
ความผิดปกติที่ตรวจพบ
จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1. Obstructive
หมำยถึง มีการอุดกั้นของหลอดลม เช่น ในผู้ที่เป็นโรคหืด โรคถุงลมโป่งพองจำกกำรสูบบุหรี่
โรคหลอดลมอักสบเรืำอรัง กลุ่มนีำจะตรวจพบค่ำ FEV1 / FVC ตำ่ำกว่ำ 70 % โดยค่ำ FVC จะปกติ
2. Restrictive
หมำยถึง ความยืดหยุ่นของปอดลดลง ทำำให้ความจุ ความจุของปอดลดลง เช่น ผูท้ ี่มีโรคของเนืำอปอด
ผู้ที่โครงสร้ำงกล้ำมเนืำอ หรือกระดูกที่ช่วยในกำรหำยใจผิดปกติ
กลุ่มนีำจะมีค่ำ FVC เมื่อเทียบกับมำตรฐำนตำ่ำกว่ำ 80 % แต่ค่ำ FEV1 / FVC จะมำกกว่ำ 70 %
3. Combine
หมำยถึง ผู้ที่ตรวจพบมีความผิดปกติทั้ง 2 อย่างร่วมกัน