You are on page 1of 64

การอบรม “การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง”

โดย
นพ. วิชัย จตุรพิตร
ผูอ้ ำำนวยกำร
ศูนย์แพทย์อำชีวเวชศำสตร์กรุงเทพ

วันอังคำรที่ 9 พฤษภำคม 2549 เวลำ 08.00 – 17.00 น.


หัวข้อเรื่อง
- ชั่งนำำำหนัก-วัดส่วนสูง - สมรรถภำพกำรทำำงำนของตับ (SGOT & SGPT)
- ควำมดันโลหิต - สมรรถภำพกำรทำำงำนของไต (BUN & Cr)
- เอกซเรย์ทรวงอก - ระดับกรดยูริค (Uric Acid)
- ควำมสมบูรณ์ของเม็ดเลือด - ไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg & HBsAb)
- ตรวจปัสสำวะสมบูรณ์แบบ - สมรรถภำพกำรได้ยิน (Audiometry)
- ระดับนำำำตำลในเลือด (FBS) - สมรรถภำพกำรทำำงำนของปอด (Spirometry)
- ระดับไขมันในเลือด (Cholesterol)
ประโยชน์ของการตรวจสุขภาพ • การสร้างเสริมคุณภาพชีวิต (Improve Quality of Life)
ในปัจจุบันประชำชนมีควำมตื่นตัวในด้ำนกำร ดังนัำนกำรตรวจสุขภำพใดๆ
ตรวจสุขภำพมำกขึำน และรัฐบำลได้มีกำรส่งเสริม ที่เพียงทำำให้สำมำรถวินิจฉัยควำมผิดปกติได้
ให้ดำำเนินกำรดังกล่ำว โดยไม่บรรลุเป้ำหมำยที่กล่ำวแล้ว
เห็นได้จำกกำรที่กระทรวงกำรคลังได้มีระเบียบอนุมั ย่อมไม่ได้รับกำรถือว่ำมีประโยชน์
ติให้ ข้ำรำชกำรสำมำรถเบิกจ่ำยค่ำตรวจสุขภำพได้ จำกที่กล่ำวมำ จะเห็นได้ว่ำ
ตำมรำยกำรที่กำำหนด “การตรวจสุขภาพ จะมีประโยชน์ได้ควรจะต้อง
และในพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ.2541 มีรายการ การตรวจที่เหมาะสม และผู้รับการตรวจ
ให้นำยจ้ำงต้องจัดให้มีกำรตรวจสุขภำพให้กับลูกจ้ำง มีความเข้าใจต่อผล และค่าทีไ่ ด้จากการตรวจ
เป็นประจำำ มีกำรประชำสัมพันธ์ และมีความรู้ที่จะสามารถปรับเปลี่ยน
ให้ประชำชนรับกำรตรวจสุขภำพประจำำปี และปรับปรุงตัว ให้สอดคล้องกับผลการตรวจนั้นๆ”
โดยกำำหนดให้เป็นข้อหนึ่งอยู่ในสุขบัญญัติ 10 ตัวอย่ำงที่เห็นได้ชัด
ประกำร เป็นต้น ประโยชน์ของเวชกรรมป้องกัน
อย่ำงไรก็ตำม ที่ทำำให้ป้องกันโรคได้จำกกำรค้นหำโรคตัำงแต่ระยะ
กำรตรวจสุขภำพควรคำำนึงถึงเป้ำหมำยที่จะได้รับจำ ต้นๆ ได้แก่
• การมีชีวิตกกำรตรวจ
ที่ยืนยาวขึน้ จึง(Prolong Life)
จะมีประโยชน์ สถิติกำรเสียชีวิตจำกโรคหลอดเลือดสมอง
เป้• ำการลดการเจ็
หมำยสุดท้ำยของกำรให้
บป่วย (Decreaseบริกำรด้ ำนสุขภำพได้แก่
Morbidity) ลดลงตัำงแต่ปี พ.ศ.2515 มำกกว่ำร้อยละ 50
เนื่องจำกแนวโน้มในกำรค้นหำ
การชั่งนำ้าหนัก และวัดส่วนสูง

วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินโรคอ้วน และภำวะทุพโภชนำกำรในผูใ้ หญ่


ปัจจุบันในทำงกำรแพทย์ ถือว่ำ “ความอ้วน” เป็นโรคเรือำ รังชนิดหนึ่ง ควำมอ้วนเกิดจำก
กำรมีปริมำณไขมันในร่ำงกำยมำกกว่ำปกติ จนมีผลกระทบต่อสุขภำพ ทำำให้เกิดโรคควำมดันโลหิตสูง,
โรคหัวใจขำดเลือด, โรคเบำหวำน, โรคถุงนำำำดี, โรคหลอดเลือดสมอง
โรคอ้วนที่มีผลร้ำยต่อร่ำงกำย มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ โรคอ้วนทัำงตัว, โรคอ้วนลงพุง,
และโรคอ้วนทัำงตัวร่วมกับโรคอ้วนลงพุง
1. โรคอ้วนทั้งตัว (Overall Obesity) จะมีไขมันทัำงร่ำงกำยมำกกว่ำปกติ
ไขมันมิได้จำำกัดอยู่ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งโดยเฉพำะ
เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินว่าเป็น ”โรคอ้วน”
แนะนำำให้ใช้ กำรคำำนวณดัชนีมวลร่ำงกำย (Body Mass Index : BMI)

ดัชนีมวลร่างกาย (BMI) = นำำำหนักตัว (กิโลกรั2 ม)


ส่วนสูง (เมตร)
กำรวินิจฉัย “โรคอ้วนทั้งตัว” ที่แน่นอนที่สดุ คือ
การวัดปริมาณไขมันในร่างกายว่
งกาย ำมีมำกน้อยเพียงใด แต่เป็นเรือ่ งยุ่งยำกเกินควำมจำำเป็น
ในทำงปฏิบัติกำรใช้ ”ดัชนีมวลร่างกาย(BMI)”เป็นวิธีที่เหมำะสม โดยเหตุผลที่ว่ำ
ดัชนีมวลร่ำงกำยแปรตำมส่วนสูงน้อย
และจำกกำรศึกษำพบว่ำค่ำของดัชนีมวลร่ำงกำยจะมีควำมสัมพันธ์กบั ปริมำณไขมันจริงในร่ำงกำย
และมีควำมสัมพันธ์กับอัตรำกำรตำย
โดยผูท้ ี่มีดัชนีมวลร่ำงกำยมำกหรือน้อยกว่ำเกณฑ์จะมีอัตรำกำรตำยสูงกว่ำ ผู้ที่มีดัชนีมวลร่ำงกำยปกติ

ค่าดัชนีมวลร่างกาย ผล ตัวอย่าง ผู้ที่มีนำำหนักตัว 80 กก. ส่วนสูง 160 ซม.


20.0-25.0 ปกติ
BMI = 80 กิโ2ลกรัม = 31.25 กิโลกรัม / ตำรำงเมตร
ตำ่ำกว่ำ 20.0 นำำำหนักน้อยเกินควร (1.6) เมตร
อยู่ในเกณฑ์ เป็น “โรคอ้วน”
25.0 – 30.0 อ้วนเล็กน้อย
สูงกว่ำ 30.0 เป็น ”โรคอ้วน”
2. โรคอ้วนลงพุง (Visceral Obesity) กลุ่มนีำจะมีไขมันของอวัยวะภำยใน
ที่อยู่ในช่องท้องมำกกว่ำปกติ และอำจมีไขมันใต้ผวิ หนังที่หน้ำท้อง เพิ่มมำกกว่ำปกติด้วย

เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินว่าเป็น ”โรคอ้วนลงพุง”

รอบเอว
แนะนำำให้ใช้ รอบสะโพก
(Waist / Hip Circumference ratio : WHR)
ชาย ควร น้อยกว่ำ 1.0
หญิง ควร น้อยกว่ำ 0.8
ตัวอย่าง เพศชำย วัดรอบเอวได้ 42 นิำว รอบสะโพก 35 นิำว
รอบเอว = 42 = 1.2
รอบสะโพก 35
อยู่ในภำวะ “โรคอ้วนลงพุง”
จำกกำรศึกษำ พบว่ำ ผู้ที่มี “ภาวะอ้วนลงพุง” เกิดโรคหัวใจขำดเลือดสูงกว่ำ
ผู้ที่มีไขมันสะสมมำกบริเวณสะโพก และ/หรือ บริเวณต้นขำ
เนื่องจากไขมันในช่องท้องจะดักจับไขมันชนิดทีด่ ี (HDL) ทำาให้ไขมันชนิดทีด่ ี (HDL)
ในเลือดมีระดับตำ่าลง เพรำะฉะนัำนผูท้ ี่มีไขมันสะสมในบริเวณช่วงกลำงของลำำตัว จะมีระดับไขมันที่ดี
(HDL) ตำ่ำกว่ำผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณสะโพก ก้น และต้นขำ
มีข้อมูลที่น่ำสนใจว่ำชำวอินเดียในเอเชียเป็นชำติที่มีอัตรำเกิดโรคหัวใจขำดเลือดสูงสุด ทัำงๆ
ที่เกือบครึ่งหนึ่งของชนกลุ่มนีำเป็นมังสวิรตั ิมำตลอดชีวิต
จำกกำรศึกษำ พบว่ำ เกิดขึำนเนื่องจำกชนกลุ่มนีำมรี ะดับ HDL-Cholesterol ตำ่ำ
และมีไตรกลีเซอไรด์สูง ร่วมกับมีรูปร่ำงเป็นโรคอ้วนลงพุง
ซึ่งข้อมูลนีำสะท้อนให้เห็นควำมสำำคัญของโรคอ้วนลงพุง ซึ่งมักจะมีภำวะไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง
และมีไขมันที่ดีตำ่ำ (HDL ตำ่ำ)
3. โรคอ้วนทั้งตัวร่วมกับโรคอ้วนลงพุง (Combined Overall and Abdominal Obesity)
เป็นผู้ที่มที ัำงไขมันทัำงตัวมำกกว่ำปกติ และมีไขมันในช่องท้องมำกกว่ำปกติรว่ มกัน

ผลร้ายของโรคอ้วนทีม่ ีต่อสุขภาพ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม


1. เกิดโรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับความอ้วน เช่น โรคหัวใจขำดเลือด, โรคควำมดันโลหิตสูง,
โรคหลอดเลือดสมอง, โรคเบำหวำน โรคถุงนำำำดี
2. มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และการเผาผลาญทางชีวเคมีในร่างกาย (Metabolism)
เซลล์ไขมันทำำหน้ำที่เป็นเซลล์ของต่อมไร้ท่อได้ด้วย โดยสำมำรถสร้ำงฮอร์โมนได้
และยังเป็นเซลล์เป้ำหมำยของฮอร์โมนหลำยชนิด
ทำำให้คนอ้วนมีระดับและกำรตอบสนองต่อฮอร์โมนผิดปกติ เช่น มีกำรหลั่งฮอร์โมนอินซูลินเพิ่มขึำน
แต่มีภำวะดืำอต่ออินซูลินมีระดับฮอร์โมนเพศชำย (Testosterone) ลดลง
3. ปัญมีหาสุ
ฮอร์โขมนที
ภาพที่ช่ว่อยในกำรเจริ
ญเติบโตว(Growth
่อนแอลงจากความอ้ น เช่น เกิHormone)
ดโรคข้อเสืลดลง
่อม มีเป็ นต้น ดปกติ
กำรหำยใจผิ
มีควำมต้ำนของระบบทำงเดินหำยใจส่วนบนเพิ่มขึำน มีแนวโน้มมีระดับกรดยูรคิ ในเลือดสูง เป็นต้น
4. ปัญหาทางสังคม และจิตใจ ซึง่ อำจจะเป็นปัญหำในบำงคน
มาตรการที่เสนอแนะ
แนะนำำให้ตรวจวัดส่วนสูง และชั่งนำำำหนักเป็นระยะๆ ในบุคคลทุกคน
เพื่อนำำมำใช้คำำนวณดัชนีมวลร่ำงกำยควบกับกำรวัดสัดส่วนเส้นรอบวง-(เอว) ต่อเส้นรอบวง-
(สะโพก) และประเมินโรคหรือภำวะทำงกำรแพทย์ที่เกีย่ วข้อง
เพื่อเป็นพืำนฐำนในกำรดำำเนินมำตรกำรที่เหมำะสมต่อไป
เมื่อตรวจพบว่ำ บุคคลใดอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นโรคอ้วนก็ควรต้องให้กำรรักษำ
โดยมีเป้ำหมำยหลัก 3 ประการ
1. ลดนำ้าหนัก โดยควรให้ได้ไม่ตำ่ำกว่ำร้อยละ 10 ของนำำำหนักตัวเดิม
2. ต้องมีมาตรการในการรักษานำ้าหนักตัวที่ลดแล้ว ให้คงอยู่ได้ตลอดไป
3. ตรวจสอบดูแลรักษาป้องกัน โรคต่างๆ ที่เกิดร่วมกับควำมอ้วน
โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งโรคควำมดันโลหิตสูง นำำำตำลในเลือดสูง ภำวะระดับไขมันในเลือดผิดปกติ
เป็นต้น
การบำาบัดโรคอ้วน
กำรที่มนุษย์จะมีนำำหนักเพิ่มขึำนหรือลดลงย่อมขึำนอยู่กบั ดุลยภำพของพลังงำน
ซึง่ มำจำกควำมสมดุลของพลังงำนที่ได้จำกกำรบริโภค และพลังงำนที่ร่ำงกำยนำำไปใช้
พลังงานทีบ่ ริโภค ขึำนกับปริมำณพลังงำนที่บริโภคทัำงหมด
และขึนำ กับสัดส่วนของพลังงำนที่ได้รับนัำนมำจำกอำหำรประเภทโปรตีน ไขมัน
และคำร์โบไฮเดรต(แป้ง) อย่ำงละเท่ำใด
พลังงานที่ร่างกายนำาไปใช้ จะประกอบด้วยอัตรำฐำนของกำรเผำผลำญในร่ำงกำย
และพลังงำนที่ใช้ไปกับกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำย เช่น กำรทำำงำน กำรเล่นกีฬำ
เพราะฉะนั้น แนวทำงกำรปฏิบัติเพื่อกำรป้องกันโรคอ้วน
จึงต้องมีกำรบริโภคอำหำรที่เหมำะสม และมีกำรเพิ่มระดับกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำยที่มำกเพียงพอ
แนวทางการบริโภคอาหาร เพื่อควบคุมนำ้าหนักตัว
1. การบริโภคอาหารทีใ่ ห้พลังงานแต่พอควร
ถ้ำกำรบริโภคมำกเกินกว่ำพลังงำนที่ร่ำงกำยนำำไปใช้
ก็จะเกิดกำรสะสมของไขมันในร่ำงกำยจนเกิดเป็นโรคอ้วนในที่สดุ
แต่ก็ไม่ควรจำำกัดมำกจนเกินควร กำรจำำกัดอำหำรให้นำำหนักตัวลดลงประมำณสัปดำห์ละ
0.25-0.5 กิโลกรั
2. การบริโภคไขมั นไม่มเกิจันดว่ร้ำอเหมำะสมและปลอดภั
ยละ 30 ของพลังงานทียไ่ ด้รับ
ไขมันเป็นอำหำรที่ให้พลังงำนสูงกว่ำอำหำรอื่นๆ และเป็นอำหำรที่ยับยัำงควำมรู้สึกหิวได้ตำ่ำ
ดังนัำนกำรบริโภคไขมันมำกจึงเป็นบ่อนทำำลำยกำรควบคุมนำำำหนักตัว
ในทำงปฏิบัติกระทำำได้ โดยหลีกเลี่ยงกำรบริโภคอำหำรที่มีไขมันสูง เช่น ไขมันหมู,
นำำำมันมะพร้ำว, กะทิ, หมูสำมชัำน, เนยเหลว, ครีม, ไส้กรอก, หมูยอ, เนืำอติดมัน ของทอด เช่น
ปำท่องโก๋, กล้วยแขก, ทอดมัน เป็นต้น
3. การบริโภคโปรตีน ประมาณร้อยละ 15-20 ของพลังงานทีไ่ ด้รับ
อำหำรโปรตีนมีพลังงำนตำ่ำกว่ำไขมัน และมีควำมสำมำรถในกำรยับยัำงยุติควำมรู้สึกหิวได้ดี
และร่ำงกำยจะถ่ำยโอนโปรตีนที่บริโภคเกินเป็นสำรอืน่ ได้ดี มีกำรสะสมโปรตีนตำ่ำ
เพรำะฉะนัำนอำหำรโปรตีนมีผลดีต่อกำรควบคุมนำำำหนักตัวได้ดี แต่กำรบริโภคมำกเกินควร
จะมีผลเสียต่อสุขภำพได้เช่นกัน
ในทำงปฏิบัติ ควรบริโภคเนืำอสัตว์ ชนิดที่ไม่มีไขมันมำก เช่น เนืำอปลำ, เนืำอไก่เอำหนังออก,
ถั่วเหลือง, นมไขมันตำ่ำ, ไข่ไก่ (ไม่ควรเกินวันละ 1 ฟอง)

4. การบริโภคคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 50-55 ของพลังงาน


คำร์โบไฮเดรต ก็คือ อำหำรจำำพวก ข้ำว แป้ง ของหวำน
เป็นอำหำรที่ให้พลังงำนตำ่ำกว่ำไขมัน และยับยัำงควำมรูส้ ึกหิวได้ดี
ร่ำงกำยมีขีดควำมสำมำรถสูงในกำรใช้คำร์โบไฮเดรตเป็นพลังงำน แต่ถ้ำได้รับมำกเกิน
ประมำณร้อยละ 80 ของพลังงำนที่บริโภคเกินจะถูกสะสมไว้ในร่ำงกำยในรูปของไขมัน
นอกจำกปริมำณแล้ว ยังต้องคำำนึงถึงชนิดของคำร์โบไฮเดรตที่บริโภคด้วย
โดยในทำงปฏิบัติให้บริโภคข้ำว (ข้ำวซ้อมมือหรือข้ำวกล้อง) เป็นหลัก
เพรำะข้ำวเป็นสำรคำร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งเป็นแหล่งให้ใยอำหำร ไม่ควรรับประทำนอำหำร
และเครื่องดื่มที่มีนำำตำล และรสหวำน ในผูท้ ี่ติดรสหวำนเลิกไม่ได้ อำจต้องใช้สำรที่มีรสหวำน
และให้พลังงำนน้อยแทนนำำำตำล เช่น แอสปาร์เทม (Aspartame)
(Aspartame
5. การงด หรือการลดการดืม่ แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ไม่ใช่สำรอำหำร แต่เป็นสำรเคมีชนิดหนึ่ง
ร่ำงกำยจะให้ลำำดับกำรนำำแอลกอฮอล์มำใช้เป็นพลังงำนก่อนสำรอำหำรปกติ
ดังนัำนกำรบริโภคแอลกอฮอล์จะมีผลให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยไปส่วนหนึ่ง และมีผลทำำให้รำ่ งกำย
ใช้พลังงำนจำกสำรอำหำรน้อยลง และทำำให้สำรอำหำรถูกสะสมเป็นไขมันในร่ำงกำยมำกขึำน
6. การบริโภคผัก และผลไม้เป็นประจำา
ผัก และผลไม้ นอกจำกให้วิตำมิน และเกลือแร่แล้ว ยังเป็นใยอำหำรซึ่งทำำให้ลดควำมหิว
และลดกำรบริโภคพลังงำนลง อย่ำงไรก็ตำมควรบริโภคผลไม้ที่ไม่หวำนจัด เป็นหลัก
ใยอำหำร เป็นสำรที่พบในผัก และผลไม้ ซึ่งลำำไส้ของมนุษย์จะไม่สำมำรถย่อยสลำยได้
ดังนัำนใยอำหำรจึงไม่เพิ่มจำำนวนพลังงำน
และมีบทบำทสำำคัญในกำรทำำให้กำรขับถ่ำยอุจจำระเป็นปกติ
การวัดความดันโลหิต

เป็นที่ทรำบกันทั่วไป ภำวะควำมดันโลหิตสูง ทำำให้เกิดโรคอันตรำยร้ำยแรง เช่น


เส้นโลหิตในสมองแตก ทำำให้เป็นอัมพำต โรคหัวใจขำดเลือด โรคไตวำยเรือำ รัง เป็นต้น
ภำวะควำมดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอำกำร
จนกว่ำจะมีโรคแทรกซ้อนร้ำยแรงเกิดขึำนแล้วจึงจะปรำกฏอำกำร
เพรำะฉะนัำนปัญหำที่สำำคัญในกำรควบคุมโรคควำมดันโลหิตสูง คือ
กำรทำำให้ประชำกรกลุ่มที่มีควำมดันโลหิตสูง ทรำบว่ำตนเองมีควำมดันโลหิตสูง จำกสถิติพบว่ำ
ในประเทศไทย ประชำกรที่มีควำมดันโลหิตสูง ทรำบว่ำตนเองมีควำมดันโลหิตสูง เฉลี่ยเพียงร้อยละ 10
ควำมดันโลหิต จะประกอบด้วย ควำมดันตัวบน เรียกว่ำ ความดันซิสโตลิค (Systolic
เท่ำนัำน
Pressure) และควำมดันตัวล่ำง เรียกว่ำ ความดันไดแอสโตลิค (Diastolic Pressure) ซึ่งค่ำปกติจะไม่เกิน
140/90 มิลลิเมตรปรอท ถ้ำควำมดันโลหิตสูงกว่ำนีำ ถือว่ำมี “ความดันโลหิตสูง”
ตำมมำตรฐำนขององค์กำรอนำมัยโลกได้กำำหนดเกณฑ์กำรวินิจฉัยควำมดันโลหิตสูงไว้ว่ำ
“ความดันโลหิตสูง” คือ สภำวะที่ค่ำของควำมดันเลือดที่วัดอย่ำงถูกต้อง
และมีกำรตรวจวัดหลำยๆ ครัำง ในต่ำงวำระกันแล้ว พบว่ำมีระดับของควำมดันโลหิตสูงกว่ำ 140/90
มม.ปรอท
เรำแบ่งระดับควำมรุนแรง ของภำวะควำมดันโลหิตสูงไว้ ดังนีำ
Systolic Diastolic
ระดับ
(มม.ปรอท) (มม.ปรอท)
เหมำะสม (Optimal) < 120 < 80
ปกติ (Normal) < 130 < 85
เกือบสูง (High-Normal) 130-139 85-89
ควำมรุนแรงระดับ 1 : Mild Hypertension 140-159 90-99
ควำมรุนแรงระดับ 2 : Moderate Hypertension 160-179 100-109
ควำมรุนแรงระดับ 3 : Severe Hypertension >= 180 >= 110
Isolated Systolic Hypertension >= 140 < 90
หมำยเหตุ : ถ้ำหำกระดับ sBP และ dBP อยู่ในระดับควำมรุนแรงต่ำงกัน ให้ถอื ระดับที่สูงกว่ำเป็นเกณฑ์
ผูร้ ับกำรตรวจวัดควำมดันโลหิต ควรละเว้นสิ่งต่อไปนี้ ก่อนวัดความดันโลหิต ประมำณ 1
ชั่วโมง ได้แก่
1. กำรออกกำำลังกำย
2. กำรดื่มกำแฟ สุรำ หรือเครือ่ งดื่มผสม คำเฟอีน
3. กำรสูบบุหรี่
4. ควรนั่งพักประมำณ 5 นำที และถ้ำพบว่ำ มีควำมดันโลหิตสูง ควรตรวจวัดซำำำอีก 2-3 ครัำง
ส่วน ผู้ที่ยืนยันกำรวินิจฉัยว่ำ มีความดันโลหิตสูง ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
เพื่อลดระดับควำมดันโลหิตลง ดังนีำ
1. ลดนำำำหนัก ถ้ำมีนำำหนักเกิน
2. จำำกัดกำรดื่มแอลกอฮอล์
3. เพิ่มกำรออกกำำลังกำย ชนิดแอโรบิค (30-45 นำที/วัน)
4. จำำกัดปริมำณโซเดียม (งดรับประทำนเค็มให้มำกที่สุด)
5. ได้รบั โปแตสเซียมอย่ำงเพียงพอ เช่น รับประทำนผลไม้มำกขึำน
6. หยุดกำรสูบบุหรี่
7. ลดกำรรับประทำนไขมัน และโคเลสเตอรอล
จำกกำรศึกษำ กำรรับประทำนอำหำรที่เน้น ผัก ผลไม้ และนมไขมันตำ่ำ ลดเค็ม
ร่วมกับลดปริมำณไขมัน สำมำรถลดควำมดันโลหิตลงได้ประมำณ 8-14 มม.ปรอท
กำรเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ดังกล่ำวจะให้ประโยชน์ทัำงในด้ำนกำรลดควำมดันโลหิต
และลดควำมเสีย่ งต่อกำรเกิดโรคหัวใจ จึงถือว่ำเป็นสิง่ จำำเป็น
ถึงแม้ผู้ป่วยจะได้รับยำลดควำมดันโลหิตแล้วก็ตำม
เมื่อปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแล้ว 3-6 เดือน ยังไม่สำมำรถลดควำมดันโลหิตได้ดีพอ
ควรใช้ยำรักษำลดควำมดันโลหิต ตำมคำำแนะนำำของแพทย์
เอกซเรย์ทรวงอก

ในประเทศไทยวัตถุประสงค์หลัก ในกำรเอกซเรย์ทรวงอกในผู้ที่ไม่มีอำกำร คือ


เพือ่ ตรวจหาวัณโรคปอดระยะแรก ที่อำจจะยังไม่มีอำกำร เนื่องจำกวัณโรคปอด
ยังเป็เอกซเรย์
เมื่อเป็นวัณโรคปอด นโรคที่พจบบ่
ะเห็อนยในประเทศไทย
เป็นจุดทึบ หรือเป็นหย่อมทึบที่เนืำอปอด
ซึ่งจะต้องตรวจเพิ่มเติมว่ำ จุดหรือรอยทึบที่เห็นนัำน เป็นวัณโรคปอดหรือไม่ เช่น ตรวจหำเชืำอจำกเสมหะ
เป็นต้รนับกำรรักษำจนหำยเรียบร้อยแล้ว เมื่อเอกซเรย์ปอด
สำำหรับผู้มีประวัติ เคยเป็นวัณโรคปอด และได้
ก็อำจจะยังพบมีรอยทึบ หรือจุดในปอดหลงเหลืออยู่ และพบตลอด เนื่องจำกเป็นรอยแผลเป็น
ในกรณีเช่นนีำ ควรมีเอกซเรย์ปอดของเก่ำเก็บไว้ เพื่อเปรียบเทียบกับเอกซเรย์ใหม่
ถ้ำจุดที่พบในเอกซเรย์ยังคงเหมือนเดิม ก็บอกได้ว่ำ “ผลปกติ”
นอกจำกวัณโรคปอด เอกซเรย์ทรวงอกจะช่วยตรวจกรองเนืำองอกในปอด ประเมินขนำดของหัวใจ
และดูแนวกระดูกสันหลังว่ำ มีคดงอหรือไม่
ในกรณีถ้ำแพทย์ อ่ำนผลกำรเอกซเรย์ทรวงอกว่ำ มีหัวใจโตเล็กน้อย อย่ำกังวลใจ
ถ้ำตรวจร่ำงกำยผลปกติ และควำมดันโลหิตไม่สูง หัวใจโตเล็กน้อย จะไม่บ่งชีำโรค
เพรำะเมือ่ อำยุมำกขึำนหัวใจมักจะมีขนำดโตขึำน และเกณฑ์กำรวัดขนำดของหัวใจจำกเอกซเรย์ทรวงอก
จะเป็นเพียงกำรประเมินคร่ำวๆ เท่ำนัำน แต่ถ้ำเอกซเรย์ปอดแล้วมีหัวใจโตมำก ต้องพบแพทย์
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
(Complete Blood Count : CBC)

กำรตรวจประกอบด้วย
• Hemoglobin : HGB • Hematocrit : HCT
กำรวัดปริมำณควำมเข้มข้นของฮีโมโกลบิน กำรวัดปริมำณอัดแน่นของเม็ดเลือดแดง
ค่าปกติ ชาย 13.0-18.0 gm% ค่าปกติ ชาย 40-54 %
หญิง 11.5-16.5 gm% หญิง 36-47 %
กำรตรวจวัด HGB และ HCT ใช้ตรวจคัดกรองภำวะโลหิตจำง ถ้ำค่ำของ HGB และ HCT
ที่ตรวจพบมีค่ำตำ่ำกว่ำเกณฑ์ ถือว่ำ “มีภาวะโลหิตจาง”
ภาวะโลหิตจาง มีผลทำำให้ประสิทธิภำพของกำรไหลเวียนเลือดลดลง
ทำำให้ควำมสำมำรถในกำรทำำงำน ควำมอดทน และควำมสำมำรถในกำรใช้กำำลังร่ำงกำยลดลง
ซึ่งกลุ่มที่มีโลหิตจำงได้บ่อย ได้แก่ สตรีตัำงครรภ์ สตรีในวัยเจริญพันธุ์ ประชำกรที่มีรำยได้น้อย
และเด็กที่ขำดสำรอำหำร
สำเหตุของกำรเกิดภำวะโลหิตจำงที่สำำคัญและพบบ่อยที่สดุ คือ การขาดธาตุเหล็ก
ซึ่งเป็นภำวะโลหิตจำงที่พบบ่อยที่สดุ ทั่วโลก
แต่สำำหรับในประเทศไทย ยังมีภำวะโลหิตจำงที่พบบ่อย คือ โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
และฮีโมโกลบินผิดปกติ (Hemoglobinopathies) ซึ่งเกิดเนื่องจำกมีควำมผิดปกติในกำรสร้ำงฮีโมโกลบิน
ที่เป็นมำตัำงแต่กำำเนิด และถ่ำยทอดทำงพันธุกรรม ซึ่งกลุ่มนีำ มีลักษณะตัำงแต่ ไม่มีอำกำรเลย คือ
เป็นพำหะเท่ำนัำน จนถึงมีอำกำรรุนแรงปำนกลำงถึงรุนแรงมำก (เป็นโรคธำลัสซีเมีย)
มีประชำกรไทยจำำนวนมำกที่เป็นพำหนะ โดยไม่รู้ตัว และไม่มีอำกำร แต่จะถ่ำยทอดสู่ลูกได้
และลูกอำจจะเป็นโรคธำลัสซีเมียได้
ปัจจุบันมีเครื่องตรวจนับเม็ดเลือด (Automated Electronic Cell Counters)
ซึ่งสำมำรถตรวจระดับฮีโมโกลบิน ตรวจนับจำำนวนเม็ดเลือดแดง (Red Cell Count)
ขนำดเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย (Mean Corpuscular Volume : MCV)
และกำรกระจำยตัวของขนำดเม็ดเลือดแดง (Red Cell Distribution Width : RDW)
ซึ่งทำำให้สำมำรถแยกสำเหตุ และวิ
ส่วนค่ ำอืน่ นๆิจฉัในกำรตรวจควำมสมบู
ยสำเหตุของภำวะโลหิรตณ์จำงได้
ของเม็ละเอี
ดเลืยอดด และถูกต้องยิ่งขึำน
มักจะเป็นค่ำที่ใช้ประกอบกำรวินิจฉัยโรคมำกกว่ำ ใช้ในกำรตรวจกรองสุขภำพ เช่น จำำนวนเม็ดเลือดขำว
และชนิดของเม็ดเลือดขำว มักใช้ในกำรประเมินภำวะติดเชืำอ นอกจำกในกรณี
ตรวจพบจำำนวนเม็ดเลือดขำวสูงมำกๆ เช่น มีจำำนวนเป็นหลำยหมื่นตัวต่อตำรำงมิลลิเมตร
ให้สงสัยว่ำจะมีมะเร็งเม็ดเลือดขำว (Leukemia) ปริมำณเกล็ดเลือด (Pletelet) ก็มกั ตรวจเพื่อกำรวินิจฉัยโรค
เช่น ไข้เลือดออกที่มีภำวะเกล็ดเลือดตำ่ำ เป็นต้น
การตรวจปัสสาวะสมบูรณ์แบบ
(Complete Urine Analysis : UA)
เป็นกำรตรวจที่มีประโยชน์มำก
เนื่องจำกสำมำรถบ่งชีำควำมผิดปกติของไตได้ตัำงแต่ระยะแรกที่ยังไม่มีอำกำร
ประเทศไทยเป็นประเทศที่พบโรคไตวำยเรือำ รังค่อนข้ำงมำก ซึ่งส่วนใหญ่สำมำรถรักษำและป้องกันได้
ถ้ำตรวจพบควำมผิ ดปกติตสัำงแต่
ในกำรตรวจปั สำวะแรกก่ อนที่ไตจะเสื่ส่อำำมจนเป็
ผลกำรตรวจที คัญ ได้นแก่ไตวำย
1. กำรตรวจหำโปรตีน (ไข่ขำว) ในปัสสำวะ
2. กำรตรวจหำเม็ดเลือดแดงในปัสสำวะ
3. กำรตรวจหำเม็ดเลือดขำวในปัสสำวะ
การตรวจโปรตีนในปัสสาวะ
โดยปกติโปรตีนจะรั่วออกมำในปัสสำวะเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะตรวจไม่พบ แต่เมื่อไตมีพยำธิ
สภำพเกิดขึำนมักจะมีผลทำำให้โปรตีนรัว่ ออกมำในปัสสำวะมำกขึำนจนตรวจพบได้
ซึง่ จะรำยงำนผลตำมควำมเข้มข้นของโปรตีน ที่ตรวจพบตัำงแต่ 1+ ถึงระดับ 4+
เพรำะฉะนัำนในผูท้ ี่ตรวจพบโปรตีนในปัสสำวะ จะต้องระวังแล้วว่ำไตของตนเอง
เริ่มมีควำมเสื่อมลงจำกสำเหตุใดสำเหตุหนึ่ง และควรต้องได้รบั กำรตรวจซำำำ
และติดตำมตรวจวิเครำะห์หำสำเหตุต่อไป
การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ
ในคนปกติตรวจพบเม็ดเลือดแดง จำานวนประมาณ 0-5
เซลล์ต่อกำรมองในกล้องขยำยกำำลังสูงหนึ่งครัำง ถ้ำตรวจพบจำำนวนเม็ดเลือดแดงมำกกว่ำปกติ เช่น
มำกกว่ำ 10 เซลล์ขึำนไป ถือว่ำไตมีควำมผิดปกติ และต้องตรวจสืบค้นหำสำเหตุต่อไป เช่น อำจเป็นนิ่ว,
อำจมีไตอักเสบที่เกิดจำกกำรติดเชืำอ หรือกำรอักเสบจำกภูมไิ วเกินของร่ำงกำย เป็นต้น

การตรวจหาเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ
ในคนปกติตรวจพบเม็ดเลือดขำวในปัสสำวะได้ประมาณ 0-5
เซลล์ต่อกำรมองกล้องจุลทรรศน์หนึ่งครัำง เช่นเดียวกับเม็ดเลือดแดง
ถ้ำตรวจพบมีจำำนวนเม็ดเลือดขำวมำกกว่ำปกติ จะบ่งชีำว่ำ
กำำลังมีกำรอักเสบติดเชืำอในระบบของทำงเดิ
นอกจำกกำรตรวจกรองโรคของระบบไตแล้ นปัสสำวะสสำวะยั
ว กำรตรวจปั ซึ่งพบบ่งช่อวยในเพศหญิ ง
ยกรองโรคเบำหวำนได้
โดยถ้ำตรวจพบนำำำตำลในปัสสำวะ จะบ่งชีำวำอำจเป็นโรคเบำหวำน
ซึง่ ควรยืนยันด้วยกำรตรวจเลือดเพิ่มเติมต่อ
การตรวจระดับนำ้าตาลในเลือด
(Fasting Blood Sugar)

เป็นกำรตรวจเพื่อหำโรคเบำหวำน โดยใช้วิธีกำรตรวจวัดระดับกลูโคส (นำำำตำล) ในเลือด


หลังจำกอดอำหำรมำก่อน อย่ำงน้อย 8 ชั่วโมง
กำรมีเบำหวำน หมำยถึง มีนำำตำลในเลือดสูงกว่ำปกติ และก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตำมมำได้
ทัำงชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรืำอรัง เช่น โรคเบำหวำนขึำนตำ โรคไตจำกเบำหวำน
และนำำไปสู่ภำวะไตวำย ซึ่งต้องอำศัยกำรรักษำด้วยกำรฟอกเลือด ซึ่งลำำบำกไม่น้อย
เบำหวำนยังก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือดสมอง โรคอัมพำต และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
และหลอดเลือดของแขนขำตีบ ซึ่งชักนำำให้เกิดภำวะแผลหำยยำก เนืำอตำย
และอำจต้องสูญเสียอวัยวะบำงส่วน ในผูท้ ี่เพิ่งค้นพบว่ำเป็นโรคเบำหวำน มีกำรตรวจพบว่ำ
มีโรคเบำหวำนขึำนตำแล้ว ถึงร้อยละ 20 ซึ่งแสดงว่ำ คนเหล่ำนีำเป็นเบำหวำนมำแล้วอย่ำงน้อย 4-7 ปี
โดยไม่รู้ตัว ซึ่งคนเหล่ำนีำ ถ้ำทรำบว่ำตนเองเป็นเบำหวำน
และรักษำควบคุมให้ดีก็สำมำรถป้องกันโรคแทรกซ้อนเหล่ำนีำได้
ค่าการตรวจเลือด ผล
110 มก./ดล. ปกติ
110 -125 มก./ดล. มีแนวโน้ม เป็น โรคเบำหวำน
≥126 มก./ดล.
เป็น โรคเบำหวำน
(ตรวจอย่ำงน้อย 2 ครัำง)

ผู้ที่ “มีแนวโน้มเป็นเบาหวาน” ควรควบคุมอำหำร ลดนำำำหนัก และติดตำมตรวจเลือดบ่อยขึำน


อำจจะปีละ 2-3 ครังำ

สำำหรับ ผู้ที่ได้รับกำรวินิจฉัยว่ำ เป็น”โรคเบำหวำน” แน่นอนแล้ว ถ้ำควบคุมได้ดี


วัดระดับนำำำตำลในเลือด ได้ตำ่ากว่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ก็ไม่ได้แปลว่า ผู้นั้นหายจากโรคเบาหวาน
เพียงแต่ควบคุมโรคเบาหวานได้เท่านั้น และยังจำำเป็นจะต้องใช้มำตรกำรควบคุมต่อเนื่องตลอดไป
การตรวจระดับไขมันในเลือด

เป็นที่ทรำบกันดีว่ำ ภำวะไขมันในเลือดสูง เป็นสำเหตุสำำคัญของโรคหัวใจ และโรคอัมพำต


เรำจึงควรมีกำรตรวจวัดระดับไขมันในเลือด เพื่อป้องกันโรคเหล่ำนีำ
โดยให้กำรบำำบัดรักษำอย่ำงถูกต้องไม่ให้มีระดับไขมันในเลือดสูง
แต่ถ้ำในขณะนีำ เรำมีผลกำรตรวจเลือดอยู่ในมือ
เรำจะทรำบได้อย่ำงไรว่ำผลที่ตรวจได้บอกอะไร หรือตัวเลขที่ได้นัำน หมำยถึงอะไร สูง-ตำ่ำอย่ำงไร

ในปัจจุบัน กำรตรวจวัดค่ำของโคเลสเตอรอลรวม(Total
Cholesterol)เพียงอย่ำงเดียวไม่พอเพียงในกำรบอกสถำนะควำมเสี่ยงต่อโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด
เรำต้องกำรตรวจวัดระดับไขมันอื่นๆ ที่เกีย่ วข้องด้วย ได้แก่
1.โคเลสเตอรอลรวม(Total Cho.) 3.HDL-Cho.(ไขมันชนิดดี)
2.ไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) 4.LDL-Cho.(ไขมันชนิดไม่ดี)
โคเลสเตอรอลรวม (Total Cholesteral)
เป็นค่ำที่วัดระดับโคเลสเตอรอลรวม ซึ่งมีทัำง โคเลสเตอรอลชนิดดี
และโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดีปนกัน

ค่าโคเลสเตอรอล ผล
< 200 มก./ดล. ปกติ
201-240 มก./ดล. สูงเล็กน้อย
> 240 มก./ดล. สูงชัดเจน

โดยทั่วไประดับโคเลสเตอรอลรวมที่ตรวจพบ จะมำจำก มีโคเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-Cho)


ประมำณร้อยละ 70 และเป็นไขมันชนิดที่ดี(HDL-Cho) ประมำณร้อยละ 17
ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
กำรมีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
จะเพิ่มควำมเสี่ยงต่อกำรเกิดโรคหัวใจเช่นเดียวกับโคเลสเตอรอล ไขมันที่เรำรับประทำน
ไม่ว่ำจะเป็นนำำำมันพืช ไขมันสัตว์ ไขมันที่ซอ่ นอยู่ในอำหำรชนิดต่ำงๆ ส่วนใหญ่ คือไตรกลีเซอไรด์
นั่นเอง ไตรกลีเซอไรด์ที่ถูกดูดซึมเข้ำสูร่ ่ำงกำยจะถูกนำำไปใช้เป็นพลังงำน
แต่ถำ้ มีมำกเกินกว่ำที่ร่ำงกำยต้องกำร
ไตรกลีเซอไรด์จะถูกเปลี่ยนเป็นเนืำอเยื่อไขมันสะสมอยู่ภำยในร่ำงกำย
ค่าไตรกลีเซอไรด์ ผล
< 170 มก./ดล. ปกติ
171-400 มก./ดล. สูงปำนกลำง
> 400 มก./ดล. สูง
ไขมัน HDL (High Density Lipoprotein )
เป็นไขมันที่ทำำหน้ำที่จับโคเลสเตอรอลจำกเซลล์ของร่ำงกำย และนำำไปกำำจัดทิำงที่ตับ
ดังนัำนจึงเป็นไขมันที่ดตี ่อร่ำงกำย ถ้ำมีระดับ HDL-Cholesterol สูง จะมีควำมเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยลง

ค่า HDL-Cho ผล
< 35 มก./ดล. ตำ่ำ
> 60 มก./ดล. ดี
ไขมัน LDL (Low Density Lipoprotein)
เป็นอนุภำคที่ทำำหน้ำที่ขนส่งโคเลสเตอรอลไปตำมกระแสเลือด LDL
สำมำรถจับกับผนังเส้นเลือดได้ ทำำให้เกิดกำรสะสมโคเลสเตอรอลบนผนังเส้นเลือด เพรำะฉะนัำน
LDL จึงเป็นอนุภำคไขมันชนิดเลว ซึ่งจะบ่งชีำว่ำ เรำมีควำมเสีย่ งต่อโรคหัวใจมำกหรือน้อย
เรำสำมำรถตรวจวัด หำค่ำ LDL ได้โดยตรง หรือถ้ำเรำรู้ค่ำของไขมันโคเลสเตอรอลรวม,
ไขมันไตรกลีเซอไรด์, ไขมัน HDL เรำก็สำมำรถหำค่ำ LDL ได้จำกสูตร
LDL = โคเลสเตอรอลรวม – HDL – (ไตรกลีเซอไรด์)
5
ตัวอย่าง
ค่า LDL ผล
ถ้ำเรำตรวจได้ โคเลสเตอรอล 240 มก./ดล.
< 130 มก./ดล. ปกติ ไตรกลีเซอไรด์ 200 มก./ดล.
130-160 มก./ดล. สูงเล็กน้อย HDL 50 มก./ดล.
> 160 มก./ดล. สูง LDL = 240 – 50 – (200) = 150 มก./ดล.
5
ดังนัำน ถ้ำหำกเรำต้องกำรรู้ว่ำมีควำมเสี่ยงมำกน้อยแค่ไหน ต่อกำรเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
เรำจำำเป็นจะต้องรู้ระดับไขมันที่ไม่ดี คือ LDL-Cholesterol
CHOLESTEROL
โคเลสเตอรอล (CHOLESTEROL) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบในเลือด
แม้ไม่สำมำรถให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยได้ แต่ก็มีประโยชน์ในกำรสร้ำงกรดนำำำดีซึ่งช่วยในกำรย่อยอำหำร
สร้ำงฮอร์โมนบำงชนิด และวิตำมินดี รวมทัำงเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์
ตับสร้ำงไขมันโคเลสเตอรอลได้ แต่เมือ่ ใดที่โคเลสเตอรอลในเลือดมีมำกเกินควำมต้องกำรของร่ำงกำย คือ
มำกกว่ำ 200 mg/dl
โคเลสเตอรอลเหล่ำนีำมีโอกำสไปสะสมใต้ผนังหลอดเลือดด้ำนในมำกขึำนทำำให้หลอดเลือดตีบและอุดตันใ
โคเลสเตอรอลในเลื
โคเลสเตอรอล อดจึงให้ทัำงคุณและโทษ
นที่สดุ
และจะเป็นกำรดีอย่ำงยิ่งหำกวันนีำเรำรู้ระดับโคเลสเตอรอลของตนเอง
เพื่อทำำกำรป้องกันปัญหำโรคหลอดเลือดแดงตีบตันในอนำคตตัำงแต่เนิ่นๆ นอกจำกนีำ
ยังมีไขมันอีกชนิดหนึ่งที่เรำจำำเป็นต้องทำำควำมรูจ้ ักให้ดีก็คือ ไตรกลีเซอไรด์
ซึง่ ทำำหน้ำที่ให้พลังงำนแก่รำ่ งกำย
โดยร่ำงกำยรับไตรกลีเซอไรด์ได้โดยตรงจำกกำรกินอำหำรประเภทไขมัน
รวมถึงกำรเปลีย่ นแปลงจำกอำหำรประเภทแป้ง นำำำตำล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แต่หำกร่ำงกำยสะสมไตรกลีเซอไรด์มำกเกินไป จะเร่งกำรสะสมโคเลสเตอรอลใต้ผนังหลอดเลือด
ซึ่งเสีย่ งต่อกำรเกิดโรคหัวใจขำดเลือดได้
โคเลสเตอรอลในเลือดมาจากไหน ?
หลำยๆ ท่ำนคงคิดว่ำปริมำณของโคเลสเตอรอลในเลือดจะสูงหรือไม่นัำน
ขึำนอยู่กับพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรเพียงอย่ำงเดียว ซึ่งเป็นควำมเข้ำใจที่ไม่ถูกต้องนัก
เพรำะยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำำให้เสี่ยงต่อกำรเกิดโคเลสเตอรอลสูงได้
เรำมำดูกันว่ำโคเลสเตอรอลมำกจำกไหนได้บ้ำง
จากอาหารทีเ่ รารับประทานเข้าไป
โดยอำหำรที่มีผลกระทบต่อปริมำณโคเลสเตอรอล ได้แก่ อำหำรที่มีโคเลสเตอรอลร่วมอยู่ด้วย
ซึ่งมีอยู่ในอำหำรที่มำจำกสัตว์ทุกประเภทโดยปริมำณโคเลสเตอรอลแตกต่ำงกันตำมชนิดและอวัยวะ
โดยเครื่องในสัตว์และไข่แดง (ทุกประเภท) จะมีปริมำณโคเลสเตอรอลสูงมำก
จากการสร้างขึน้ เองของร่างกาย
ร่ำงกำยสำมำรถสังเครำะห์โคเลสเตอรอลขึำนมำได้จำกอำหำรประเภทคำร์โบไฮเดรต, โปรตีน,
และไขมัน โดยเฉพำะจำกไขมันอิ่มตัว
อำจสรุปได้ว่ำระดับโคเลสเตอรอลในเลือดจะเปลี่ยนแปลงได้จำกกำรรับประทำนอำหำรที่มีโคเลสเตอร
อล และอำหำรประเภทไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงๆ
รวมถึงผลทำงอ้อมจำกกำรรับประทำนอำหำรประเภทแป้งและนำำำตำลเกินควำมต้องกำรของร่ำงกำย
ไขมันในเลือดมีกี่ชนิด ?
มีอยู่หลำยชนิด แต่ที่สำำคัญและควรทรำบมี 3 ชนิด คือ
1. แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol)
ไขมันตัวนีำเปรียบเสมือน “ตัวผู้ร้าย”

ถ้ำมีปริมำณมำกจะสะสมอยู่ในหลอดเลือดแดงเป็นต้นเหตุของหลอดเลือดแดงแข็ง ยิ่งระดับ แอล ดี แอล
โคเลสเตอรอลสูงมำกเท่ำไหร่ อัตรำเสีย่ งต่อกำรเป็นโรคหัวใจยิ่งมำกขึนำ เท่ำนัำน
2. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol)
เปรียบเสมือน “ตำารวจ”
รวจ คอยจับผูร้ ้ำย เพรำะเป็นตัวกำำจัด แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล
ออกจำกหลอดเลือดแดง กำรมีระดับเอช ดี แอล โคเลสเตอรอลสูง
จึงช่วยลดควำมเสีย่ งในกำรเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride : TG)
เป็นไขมันอีกประเภทหนึ่งในกระแสเลือด เปรียบเสมือน “ผู้ช่วยผู้ร้าย”

คนที่มรี ะดับไตรกลีเซอไรด์สูงพร้อมกับระดับ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอลตำ่ำ หรือ แอล ดี แอล
โคเลสเตอรอลสูง ยิ่งเพิ่มควำมเสี่ยงต่อกำรเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
โคเลสเตอรอล...สูงหรือตำ่า วัดกันอย่างไร?
วิธดี ูว่ำใครมีโคเลสเตอรอลสูง ทำงกำรแพทย์จะเทียบกับค่ำที่พึงปรำรถนำของระดับ
แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ซึง่ ค่ำดังกล่ำวขึำนกับว่ำเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
หรือเป็นโรคเบำหวำนหรือไม่ ถ้ำยังไม่เป็น... ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องคำำนึงถึงนอกจำก แอล ดี แอล
มีดังนีำ
1. อายุ : ชำยมำกกว่ำ 45 ปี หญิงมำกกว่ำ 55 ปี
2. ญาติสายตรงป่
ายตรง วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก่อนวัยอันควร (ชำยก่อนอำยุ 55 ปี
หญิงก่อนอำยุ 65 ปี)
3. ควำมดันโลหิตสูง
4. สูบบุหรี่
5. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล น้อยกว่ำ 40 mg/dl
ตารางแสดงค่าปัจจัยเสีย่ ง
ค่ำของ
ชื่อ
แอล ดี แอล
แอล ดี แอล
-เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือเบำหวำน ควร < 100 mg/dl
-ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเบำหวำน ควร < 130 mg/dl
แต่มีปจั จัยเสี่ยงตังำ แต่ 2 ข้อขึนำ ไป
-ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเบำหวำน ควร < 160 mg/dl
และมีปจั จัยเสี่ยงน้อยกว่ำ 2 ข้อ

ไตรกลีเซอไรด์ ควร < 150 mg/dl

เอช ดี แอล ควร > 40 mg/dl

หำกสำมำรถลดระดับโคเลสเตอรอลรวมลงได้ 1 %
จะสำมำรถลดอัตรำเสี่ยงต่อกำรเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้ 2 %
สาเหตุที่ทำาให้โคเลสเตอรอลสูง
มีอยู่ด้วยกัน 3 ประกำร คือ
อาหาร
กำรบริโภคอำหำรประเภทไขมันอิ่มตัวมำกเกินไป
กำรบริโภคอำหำรที่มีโคเลสเตอรอลมำกๆ
กำรบริโภคอำหำรมำกเกินควำมต้องกำรของร่ำงกำย

พันธุกรรม

โรคและยา
เช่น โรคไต เบำหวำน ยำบำงชนิด เป็นต้น
ทำาอย่างไรเมือ่ รูว้ ่าโคเลสเตอรอลสูง
กำรรักษำเพื่อลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดนัำนสำมำรถทำำได้หลำยวิธี
ในบำงคนเพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็สำมำรถช่วยได้
ในขณะที่บำงคนอำจต้องพิจำรณำใช้ยำลดระดับโคเลสเตอรอลควบคู่กันไป
ลดระดับโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร
กำรรับประทำนอำหำรที่ถกู หลักโภชนำกำรถือเป็นรำกฐำนสำำคัญในกำรป้องกัน
และรักษำโคเลสเตอรอลในเลือดสูงที่ดีที่สุด โดยมีหลักปฏิบัติสำำคัญๆ ดังต่อไปนีำ
1.ลดปริมำณไขมันที่รบั ประทำนให้น้อยลง
2.หลีกเลี่ยงอำหำรที่กรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนืำอสัตว์ติดมัน มันสัตว์ต่ำงๆ นำำำมันมะพร้ำว
นำำำมันปำล์ม กะทิ นม เนยแข็ง ครีม ฯลฯ
3.รับประทำนกรดไขมันไม่อิ่มตัวมำกขึำน ซึ่งได้จำกนำำำมันพืชต่ำงๆ
เพรำะนำำำมันพืชมีกรดไลโนเลอิกมำก สำมำรถลดโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
4.หลีกเลี่ยงอำหำรที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลำหมึก หอย
5.รับประทำนอำหำรที่มีเส้นใยให้มำกขึำน เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่ำงๆ
ลดอำหำรประเภทแป้งและนำำำตำล
6.รับประทำนอำหำรที่มีโปรตีนอย่ำงเหมำะสม เช่น ปลำต่ำงๆ เนืำอสัตว์ไม่ติดมัน
การออกกำาลังกาย
กำรออกกำำลังกำยเป็นวิธีกำรหนึ่งที่มีส่วนช่วยทำำให้ระดับโคเลสเตอรอลลดลง เพิ่ม HDL
โคเลสเตอรอล และสร้ำงควำมแข็งแรงให้ร่ำงกำยอีกด้วย
โดยวิธีกำรออกกำำลังกำยที่เหมำะสมในกำรช่วยให้หัวใจและปอดแข็งแรง
คือการออกกำาลังกายแบบแอโรบิค เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ำย นำำำ ขี่จักรยำน อย่ำงต่อเนื่องนำน 20-50 นำที
สัปดำห์ละ 3-4 ครังำ กีฬำบำงประเภท เช่น กอล์ฟ เทนนิส แม้จะช่วยเผำผลำญพลังงำน
แต่ไม่จัดเป็นกำรออกกำำลังกำยแบบแอโรบิค
เมือ่ ต้องการเลือกใช้ยาลดโคเลสเตอรอล
Statins
Bile Acid Sequestrans ยำกลุ่มนีำนอกจำกลดโคเลสเตอรอลได้ดีมำกแล้ว
มีลักษณะเป็นผง เวลำรับประทำนต้องผสมกับนำำำ ยังเชื่อว่ำมีผลดีต่อหลอดเลือดแดง
ยำชนิดนีำจะไม่ถูกดูดซึมเข้ำสูร่ ่ำงกำยจึงไม่มีผลต่อตับ โดยกลไกที่ไม่เกี่ยวข้องกับกำรลดไขมันด้วย
แต่รสชำติไม่อร่อยและมีผลแทรกซ้อนทำงลำำไส้บ่อย ยำนีำจึงสำมำรถใช้เป็นกลุ่มแรกสำำหรับผูท้ ี่มีโคเลสเต
เช่น ท้องอืด ท้องผูก อรอลสูง
สำมำรถลดโคเลสเตอรอลได้ในระดับหนึ่ง นอกจำกนีำยังสำมำรถลดไตรกลีเซอไรด์ได้พอสมควร
แต่มีผลต่อไตรกลีเซอไรด์ และ เอช ดี แอล น้อย และเพิ่ม เอช ดี แอลได้ด้วย
Niacin
แต่ก็มีผลแทรกซ้อนบ้ำงเล็กน้อยต่อกำรเกิดตับอักเสบ
แม้จะมีประสิทธิภำพลดโคเลสเตอรอลได้ดี
และกล้ำมเนืำออักเสบรุนแรง ซึ่งพบในอัตรำที่ตำ่ำมำก
แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้มำกนักเนื่องจำกมีผลแทรกซ้อนม
ยำกลุ่มนีำไม่ควรใช้ในผูป้ ่วยโรคตับที่ยังดำำเนินอยู่
ำก อำทิ
(ActiveFibrates
Liver Disease)
อำกำรร้อนวูบวำบเนื่องจำกกำรขยำยหลอดเลือดแดง
ควำมดันโลหิตตำ่ำนำำำตำลในเลือดสูงขึำนหรือควบคุมไ เหมำะกับผูป้ ่วยเบำหวำนที่มักจะมีไขมันไตรกลีเซอไ
ด้ยำกขึำน กรดยูริคสูงขึำน อำจทำำให้ตับอักเสบรุนแรง รด์สงู และ HDL ตำ่ำ และไม่ควรใช้ในผูป้ ่วยโรคตับ
Niacin
รูปแบบที่ออกฤทธิ์นำนอำจช่วยลดผลแทรกซ้อนดังก
ถ้าเราเลือกรับประทานแต่อาหารที่ไม่มีโคเลสเตอร
เขาว่า.....เชื่อได้แค่ไหน อลเลย
แค่หลีกเลี่ยงอาหารมันๆ ออกกำาลังกายสมำ่าเสมอ
Q: Q: ก็ไม่มีทางเกิดโคเลสเตอรอลในเลือดสูงใช่มั้ยคะ ?
ไม่ดมื่ แอลกอฮอล์ก็เพียงพอในการป้องกันโคเลสเ
ตอรอลสูงแล้ว ใช่ไหมครับ ? ไม่จริงครับ
ไม่ถูกทัำงหมดครับ อำหำรบำงชนิดแม้ไม่มีโคเลสเตอรอลเลย
A: A: แต่ทำำให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึำนได้ เช่น
เพรำะกำรเกิดโคเลสเตอรอลสูงอำจมำจำกกรรมพั
นธุ์ก็ได้ อำหำรที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อำทิ
จะสังเกตอาการได้อย่างไรว่าตัวเองโคเลสเตอรอล อำหำรที่มีส่วนผสมของกะทิ เนยเทียม
Q:
สูง ? หรือครีมเทียมที่ทำำจำกนำำำมันพืช
เป็นเรื่องที่คนส่วนมำกเข้ำใจผิดอย่ำงยิ่ง ไขมันอิม่ ตัวเหล่ำนีำจะไปขัดขวำงกำรเผำผลำญโคเ
A:
เพรำะโคเลสเตอรอลสูงไม่ได้ทำำให้เกิดอำกำรหรือ ลสเตอรอลที่ตับ
ปัญหำโดยตรง เช่น โคเลสเตอรอลสูง 300 ซึ่งก็จะทำำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึำนได้
ไม่ได้ทำำให้เวียนศีรษะหรือแน่นหน้ำอก รวมทัำงอำหำรที่ให้แป้งและนำำำตำลมำก
แต่กำรสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดแดงนำน หรือเครือ่ งดื่มแอลกอฮอล์
ๆ ต่ำงหำกที่จะทำำให้เกิดหลอดเลือดตีบตำมมำ ถ้ำรับประทำนในปริมำณมำกๆ
พูดง่ำยๆ ก็คือยิ่งปล่อยให้โคเลสเตอรอลสูงนำนๆ ก็จะทำำให้ไขมันในเลือดอีกตัว คือ
กำรสะสมของไขมันก็มำกตำมไปด้วย ไตรกลีเซอไรด์สูงขึำนได้
จนเสี่ยงต่อกำรเกิดโรคหัวใจขำดเลือดในอนำคตค
รับ
การตรวจสมรรถภาพการทำางานของตับ
(SGOT & SGPT)

กำรตรวจสอบว่ำตับมีกำรทำำงำนปกติหรือไม่ แพทย์จะสั่งตรวจในกรณีตรวจร่ำงกำยประจำำปี
หรือตรวจในกรณีที่สงสัยว่ำมีอำกำรที่เกิดจำกโรคตับ เช่น ตัวเหลือง ตำเหลือง โดยสิง่ ที่แพทย์ตรวจ
ได้แก่

- ตรวจหำโปรตีนที่สร้ำงจำกตับ
- กำรตรวจว่ำมีดีซ่ำนหรือไม่
- การตรวจระดับเอนไซม์จากตับ
- กำรตรวจกำรทำำงำนของตับเมื่อมีกำรอุดตันของทำงเดินนำำำดี
- กำรตรวจทำงรังสีวิทยำ
- กำรตรวจเลือดดูเชืำอไวรัสตับอักเสบ
- กำรตรวจเลือดหำมะเร็งตับ
กำรตรวจที่นิยมตรวจ และใช้ในกำรตรวจบ่อยที่สุด ก็คือ กำรตรวจระดับเอนไซม์จำกตับ

เอนไซม์ตับที่สำาคัญ SGOT & SGPT


SGOT เป็นเอนไซม์ที่พบในตับ ไต กล้ำมเนืำอ หัวใจ SGPT เป็นเอนไซม์ที่พบมำกในตับ
พบน้อยในกล้ำมเนืำอ หัวใจ ตับอ่อน เพรำะฉะนัำนระดับเอนไซม์ SGPT จะมีความสำาคัญ
และมีความจำาเพาะในการประเมินโรคตับมากกว่าเอนไซม์ SGOT ซึ่งอำจสูงจำกสำเหตุอื่น เช่น
กำรออกกำำลังกำยมำกเกินไป
เมื่อตับเกิดโรคมีกำรทำำลำย หรือกำรอักเสบของเนืำอตับ จะทำำให้มกี ำรหลัง่ เอนไซม์ SGOT, SGPT
ออกมำสูก่ ระแสเลือดมำกขึำน ทำำให้ตรวจพบมีระดับสูงขึำนกว่ำปกติ ซึ่งระดับเอนไซม์ SGOT, SGPT
จะผิดปกติ ให้พบได้ไวมำก โดยระดับ SGPT จะมีควำมสำำคัญ และมีควำมจำำเพำะมำกกว่ำ
อย่ำงไรก็ตำม เนื่องจำกเป็นกำรตรวจที่มีควำมไวมำก
จึงอำจพบผลผิดปกติได้เล็กน้อยบ้ำงในคนทั่วไป จึงควรมีกำรกรองผล ดังนีำ
1. ค่า SGOT, SGPT ทีส่ ูงกว่าปกติ ไม่มากกว่า 1.5 เท่า อำจพบได้ในคนปกติ เพรำะฉะนัำน
ควำมผิดปกติเล็กน้อยในผูท้ ี่ไม่มีอำกำร อำจไม่มีควำมสำำคัญ
2. ค่า SGOT, SGPT อาจจะสูงกว่าปกติในคนที่อ้วน เนื่องจำกคนอ้วนมักจะมีไขมันเกำะที่ตับ
ซึ่งพบว่ำเมือ่ นำำำหนักลดลง ค่ำ SGOT และ SGPT ก็จะลดลง
สำำหรับโรคที่ทำำให้ค่ำ SGOT, SGPT สูง ได้แก่
- ตับอักเสบจำกไวรัส
- ตับอักเสบจำกกำรดื่มสุรำ
- ตับอักเสบจำกยำ หรือสมุนไพร
- เนืำองอกในตับ
- ไขมันพอกตับ
การตรวจสมรรถภาพการทำางานของไต
(BUN & Creatinine)

เป็นกำรตรวจวัดประสิทธิภำพกำรทำำงำนของไต
ว่ำยังคงสำมำรถทำำงำนในกำรกรองของเสียออกจำกร่ำงกำยหรือไม่
โดยตรวจวัดสำร 2 ตัว คือ Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Creatinine (Cr) ซึ่งสำรทัำง 2
ตัวนีำ เป็นสารซึง่ เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา จากขบวนการ การเผาผลาญทางชีวเคมีในเลือด
ซึ่งไตจะทำำหน้ำที่ในกำรขับถ่ำยสำรเหล่ำนีำออกจำกร่ำงกำย ทำำให้ไม่มีกำรสะสมอยู่ในเลือด
เพรำะฉะนัำน ถ้ำตรวจพบระดับของ BUN และ Cr สูงขึำนกว่ำระดับปกติ
แสดงว่ำไตไม่สำมำรถทำำงำนขับถ่ำยของเสียได้ตำมปกติแล้ว
และเป็นตัวบ่งชีำว่ำมีภำวะไตวำยเรือำ รังเกิดขึำน
อย่ำงไรก็ตำม กำรตรวจพบระดับ BUN, Cr สูงกว่ำปกติ
มักจะตรวจพบเมื่อไตมีความเสือ่ มมากแล้ว ซึ่งโดยมากมักจะมีการทำางานลดลงมากกว่า 50 % แล้ว
และมักจะเป็นระยะที่ไตไม่สำมำรถฟื้นตัวกลับมำปกติได้
จึงเป็นกำรตรวจที่ไม่สำมำรถตรวจพบโรคไตในระยะแรกได้ควรเสริมด้วยกำรตรวจปัสสำวะร่วมด้วย
การตรวจระดับกรดยูรคิ
(Uric Acid)

กำรมีกรดยูริค (Uric Acid) สูงในเลือด อำจทำำให้เกิดโรคข้ออักเสบ ที่เรียกว่ำ เก๊าท์ (Gout)


ซึ่งเกิดจำกกรดยูริคมีกำรสะสมอยู่ในเนืำอเยื่อของข้อในรูปของผลึกยูเรต นอกจำกนัำนกำรมีกรดยูริคสูง
ทำำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ด้วย
ค่ำปกติของกรดยูริคในเลือด อยู่ที่ประมำณ 2.7-8.0
มิลลิกรัม/เดซิลิตรในกรณีที่ตรวจเลือดแล้วตรวจพบกรดในเลือดสูงกว่ำปกติ
แต่ยังไม่มีอำกำรของโรคข้ออักเสบ(เก๊ำท์) เรำไม่ถือว่ำเป็นโรคเก๊ำท์
เป็นเพียงแค่มีภำวะกรดยูรคิ ในเลือดสูงเท่ำนัำน
ผู้ที่ตรวจพบภำวะกรดยูริคในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงกำรรับประทำนอำหำรประเภทสัตว์ปีก
เครือ่ งในสัตว์ หน่อไม้ กระถิน กะหลำ่ำดอก ชะอม
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี
(Hepatitis B Surface Antigen : HBsAg)
ประเทศไทย เป็นประเทศที่เป็นถิ่นระบำดของ ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี (Hepatitis B Virus)
ซึง่ เป็นสำเหตุสำำคัญของโรคตับอักเสบ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
จำกกำรศึกษำ พบว่ำ กำรติดเชืำอไวรัสตับอักเสบ บี ในผูท้ ี่มีอำยุไม่มำก ผู้ป่วยมำกกว่ำร้อยละ 90
ไม่มีอำกำรเหลืองชัดเจน ทำำให้ผปู้ ่วยที่ติดเชืำอไวรัสตับอักเสบบี ส่วนใหญ่มักไม่ทรำบว่ำตนเองมีเชืำอ
หรือเคยมีกำรติดเชืำอมำก่อน
วิธีกำรตรวจคัดกรองกำรติดเชืำอไวรัสตับอักเสบ บี ที่สำำคัญ คือ กำรตรวจหำ Hepatitis B surface
Antigen (HBsAg) ในเลือด ซึ่งเป็นแอนติเจน (ตัวกระตุ้นปฏิกิริยำภูมิต้ำนทำนของร่ำงกำย)
อยู่ที่ผวิ ของเชืำอไวรัส
สถิติในประเทศไทย ตรวจพบ HBsAg เป็นผลบวก ร้อยละ 6-10
ในผู้ที่ตรวจเลือด พบว่ำ มีเชืำอไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี ในเลือด (HBsAg Positive) เพียงครัำงเดียว
หรือตรวจพบเป็นครังำ แรก อำจจะเป็นผู้ที่เพิ่งได้รับเชืำอมำใหม่ๆ ซึ่งอำจจะหำย
และตรวจไม่พบเชืำอในเวลำต่อมำ เพรำะฉะนัำนถ้ำตรวจพบเชืำอไวรัสในเลือด
ให้ตรวจเลือดติดตำมดูอีกอย่ำงน้อย 1 ครังำ ถ้ำหลังจำก 6 เดือน นับจำกตรวจพบเชืำอครัำงแรกแล้ว
ยังคงตรวจพบเชืำอในเลือดอยู่อีก จึงจะถือว่ำ ผู้ป่วยรำยนีำอยู่ในกลุ่มที่เป็นพาหะเรื้อรังของไวรัสตับอักเสบ
ชนิด บี และส่วนใหญ่จะพบเชืำอในเลือดตลอดไป
ผู้ที่เป็นพาหะของไวรั
พาหะ สตับอักเสบ ชนิด บี ส่วนใหญ่ไม่มีภำวะตับอักเสบเรืำอรังเกิดขึำน
และมีสุขภำพดีเหมือนคนทั่วไป จะมีส่วนน้อยเท่ำนัำนที่มีตับอักเสบเรือำ รังร่วมด้วย
ซึง่ จะทรำบได้จำกกำรตรวจเลือด พบว่ำมีเอนไซม์ SGOT และ SGPT สูงกว่ำปกติ
ซึ่งกลุ่มนีำควรอยู่ในควำมดูแลของแพทย์ต่อไป
แพทย์จะวินิจฉัยว่ำมีกำรอักเสบเรืำอรังของตับจะต้องมีหลักฐำนว่ำ การอักเสบมีต่อเนื่องกัน ไม่ตำ่ากว่า 6
เดือน โดยดูจากผลการตรวจเอนไซม์ตับ SGOT, SGPT พบว่าสูงกว่าปกติมากกว่า 2 เท่าขึน้ ไป นานกว่า
6 เดือน ซึผู่ง้ทกรณี นีำอำจจำำเป็นต้้ออไวรั
ี่เป็นพาหะของเชื งให้สตักบำรรั
อักกเสบ
ษำเฉพำะเพิ
ควรปฏิบ่มัตเติิตมัวต่ดัองไป
นี้
1. ไม่ดื่มเหล้ำ (คือเครือ่ งดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมทัำงไวน์, เบียร์)
2. พักผ่อนให้เพียงพอ นอกให้พอ ไม่ใช่นอน ตี 1 – ตี 2 ทุกคืน คือ อย่ำให้ร่ำงกำยโทรม
3. ออกกำำลังกำยให้สมำ่ำเสมอ เช่น เดิน 3-5 กิโลเมตร สัปดำห์ละ 3-4 วัน หรือ ว่ำยนำำำ เล่นกีฬำ
เพื่อให้รำ่ งกำยแข็งแรง ถ้ำแข็งแรงควำมต้ำนทำนโรคจะดีแน่
4. เลีย่ งอำหำรที่มีเชืำอรำ เพรำะสำรอัลฟำร์ทอกซินของเชืำอรำ ทำำให้เกิดมะเร็งตับในสัตว์ทดลอง
เชืำอนีำมักพบในอำหำรจะเก็บไว้ในที่ชืำนนำนๆ พบมำกในถั่วลิสง พริกป่น
5. หลีกเลีย่ งยำ หรือสำรที่เป็นอันตรำยต่อตับ เมื่อจะรับประทำนยำ ควรปรึกษำแพทย์
6. ป้องกันกำรแพร่เชืำอสู่คนใกล้ชิด
ไวรัสอับอักเสบ ติดต่อสู่บุคคลอื่น ทางเลือด นำ้าเหลือง และเพศสัมพันธ์เท่านั้น
แต่ไม่ติดต่อจากการรับประทานอาหารร่วมกัน พูดคุยกัน หรือจับมือกัน เพรำะฉะนัำน ผูท้ ี่มีเชืำอไวรัส บี
ในเลือดสำมำรถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ เหมือนคนปกติทุกประกำร แต่สำำหรับผูท้ ี่อยู่ใกล้ชิด เช่น ภรรยำ บุตร
ถ้ำยังไม่มีภูมิต้ำนทำนก็ควรจะได้รบั กำรฉีดวัคซีนป้องกันให้ครบถ้วน
การตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี
(Hepatitis B Surface Antibody : HBsAb)
กำรตรวจหำภูมคิ ุ้มกันไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี คือ ตรวจ Hepatitis B surface Antibody : HBsAb
(ถ้ำตรวจหำเชืำอไวรัสจะตรวจหำ Hepatitis B surface Antigen : HBsAg) ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว จะพบ
HBsAb ให้ผลบวก
ผู้ตรวจพบมีภูมิคุ้มกันแล้ว แสดงว่ำ เคยได้รับเชืำอมำก่อน และหำยเรียบร้อยดี
หรือเคยได้รับกำรฉีดวัคซีนมำครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว
เมือ่ ตรวจพบว่ำ มีภูมิคุ้มกันแล้ว ถือว่ำสำมำรถป้องกัน ตับอักเสบจำกเชืำอไวรัส ชนิด บี
ได้ตลอดชีวิต
แต่ในผู้ที่ฉีดวัคซีน อำจจะมีระดับภูมิคุ้มกันขึำนไม่สูงนัก และระดับภูมคิ ุ้มกัน
อำจจะค่อยลดลงจนอำจตรวจไม่พบในระยะเวลำต่อมำได้ แต่ถึงแม้จะตรวจให้ผลลบ
ในทำงกำรแพทย์ พบว่ำ ยังมีคุ้มกันเพียงพอที่จะป้องกันโรคตับอักเสบจำกไวรัส บี ได้
เพรำะภูมิคุ้มกันในระดับตำ่ำจนตรวจไม่พบนีำ จะเพิ่มระดับขึำนอย่ำงรวดเร็วทันที ถ้ำมีเชืำอไวรัส บี
อย่ำงไรก็ตำม ในผูท้ ี่ตรวจสอบ พบว่เข้ำระดั
ำสู่รบ่ำภูงกำย
มิคุ้มกันของตนเอง ลดตำ่ำลงตำมที่กล่ำวมำแล้ว
อำจเพิ่มควำมมั่นใจ ด้วยกำรฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มอีก 1 เข็ม ก็ได้
สมรรถภาพการการได้ยิน
(Audiometry)
การสูญเสียการได้ยน ิ จากก
ารทำางาน
กำรทำำงำนอำจมีผลทำำให้เกิดกำรสูญเสียกำรได้ยิน ในกำรทำำงำนโดยทั่วไป
กำรสูญเสียกำรได้ยินสำมำรถเกิดได้จำกหลำยสำเหตุ เช่น กำรบำดเจ็บทีศ่ รี ษะ กำรเกิดแผลไฟไหม้บริเวณหู
กำรเกิดกำรฉีกขำดของแก้วหูจำกควำมกดอำกำศสูงๆ
แต่สำเหตุกำรสูญเสียกำรได้ยินจำกกำรทำำงำนทีพ่ บบ่อยที่สุด คือ
กำรสูญเสียกำรได้ยินจำกการสัมผัสเสียงดังที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในการทำางาน (Noise – Induced Hearing
Loss)
การสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง
เสียงทีด่ ังจะก่อให้เกิดอันตรำยต่อเซลล์ประสำทรับฟังเสียง ซึ่งอยู่ในหูชัำนใน
โดยเซลล์จะถูกทำำให้ผิดรูป หรือหลุดลอกออกเมื่อได้รับแรงสั่นสะเทือนจำกเสียงที่เข้ำมำ
เมื่อมีควำมผิดปกติเกิดขึนำ จำกำรสัมผัสเสียงดัง
ในระยะแรกกำรสูญเสียกำรได้ยินจะเกิดขึำนเพียงชั่วครำว หลังจำกได้พักหูจำกเสียงดัง
กำรสูญเสียกำรได้ยินจะสำมำรถฟื้นคืนกลับมำสู่กำรรับฟังปกติได้ ซึ่งกำรสูญเสียกำรได้ยินชั่วครำวเช่นนีำ
อำจจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง หรืออำจจะนำนหลำยชั่วโมงจนเป็นวันก็ได้ เช่น
ผู้ที่ทำำงำนในสภำพแวดล้อมทีม่ ีเสียงดัง จะมีกำรสูญเสียสมรรถภำพกำรได้ยินเมื่อเลิกงำน
หลังจำกกลับไปพักผ่อนทีบ่ ำ้ น วันรุ่งขึนำ กำรได้ยินจะกลับมำเป็นปกติ เรียกภำวะดังกล่ำวว่ำ
“การสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราว” (Temporary Threshold Shift : TTS)
หลังจำกเกิดสภำวะกำรสูญเสียกำรได้ยินชั่วครำวแล้ว ถ้ำไม่ได้มีกำรป้องกันและแก้ไข
ยังคงรับสัมผัสเสียงดังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ กำรสูญเสียกำรได้ยิน
จะรุนแรงขึำนจนเกิด”การสูญเสียการได้ยินแบบถาวร” (Permanent Threshold Shift)
และจะไม่กลับมำได้ยินปกติได้อีกเลย ซึ่งเกิดจำกกำรทีเ่ ซลล์ประสำท (Sensory Cells)
ในหูที่เสียหำยจำกควำมสั่นสะเทือนของเสียงมีกำรหลุดลอกหรือผิดรูปไป และมีเซลล์ใหม่งอกขึำนมำทดแทน
โดยเซลล์ใหม่ทงี่ อกขึำนมำนัำนไม่สำมำรถทำำงำนรับสัญญำณเสียงได้อกี ต่อไป (Non Functioning Scar Tissue)
ปั จจัยท่ีมีผลต่อการเกิดภาวะสูญเสียการได้ยน
ิ จากการทำางาน
1. ระดับความเข้มของเสียง (Intensity) คือ ระดับควำมดังของเสียง มีหน่วยวัดเป็น “เดซิเบล (db)”
แน่นอนว่ำเสียงที่ดังมำกย่อมก่ออันตรำยต่อหูมำกกว่ำเสียงทีด่ งั น้อย
2. ความถี่ของเสียง (Frequency) มีหน่วยวัดเป็น “เฮิรตซ์ (Hz)” เสียงทีม่ ีควำมถี่สูง คือ เสียงแหลม
จะทำำลำยประสำทหูได้มำกกว่ำเสียงชนิดควำมถีต่ ำ่ำ
3. ระยะเวลาที่สัมผัสเสียงดัง ผู้ที่สัมผัสเสียงดังมำนำนย่อมมีโอกำสเกิดหูเสื่อมมำกกว่ำ
ซึ่งจะขึำนกับจำำนวนชั่วโมงทีร่ ับเสียงต่อวัน และจำำนวนปีทที่ ำำงำนมำ
4. ลักษณะของเสียง เสียงชนิดที่กระแทกไม่เป็นจังหวะ
จะทำำลำยประสำทหูได้มำกกว่ำเสียงชนิดที่ดงั ต่อเนื่องสมำ่ำเสมอ
5. ความไวต่อการเสื่อมของหูของแต่ละบุคคลเอง เป็นลักษณะเฉพำะของคนทีไ่ ม่เหมือนกัน
บำงคนโชคดีทนต่อเสียงได้ดี แต่บำงคนจะมีควำมไวต่อกำรเสื่อมของประสำทหูมำก ก็จะเกิดปัญหำเร็วกว่ำ
ลักษณะทางคลินิค

1. Tinnitus ผู้ทเี่ ริ่มมีกำรเสื่อมสมรรถภำพกำรได้ยิน อำจจะมีกำรได้ยินเสียงผิดปกติดงั อยู่ในหู


ซึ่งเสียงจะชัด และดังมำกขึำนในขณะอยู่ในทีเ่ งียบๆ
ดังนัำนบำงคนบ่นรำำคำญกำรมีเสียงในหูที่รบกวนจนนอนไม่คอ่ ยหลับ
ลักษณะของเสียงที่ดงั รบกวนมักจะเป็นเสียงทีม่ ีควำมถีส่ ูง (เสียงแหลมมำกกว่ำเสียงทุ้ม)
และอำจจะดังอยู่เป็นพักๆ หรือดังอยู่ตลอดเวลำก็ได้ ศัพท์ทำงแพทย์เรียกอำกำรเช่นนีำว่ำ “Tinnitus”
2. ความผิดปกติของการได้ยิน
ในระยะแรกจะเกิดขึ้นที่เซลล์ประสาทที่ทำาหน้าที่รับเสียงความถี่สูงก่อน ทำำให้กำรได้ยินเสียงชนิดทีม่ ีเสียงสูง
(เช่น เสียงเด็ก หรือเสียงผู้หญิงทีเ่ สียงแหลม)
มีควำมผิดปกติไปโดยที่ยังเป็นในระยะที่เซลล์ประสำทรับฟังเสียงควำมถีต่ ำ่ำยังปกติ
กำรรับฟังเสียงพูดคุยธรรมดำทั่วๆ ไปจะเป็นปกติ เมื่อกำรเสื่อมของหูเพิ่มมำกขึำน
จะลำมไปยังเซลล์ประสำททีท่ ำำหน้ำที่รับฟังเสียงควำมถีต่ ำ่ำ ซึ่งจะมีผลทำำให้เกิดหูตึงฟังคนอื่นพูดไม่ชัด
โดยเฉพำะกำรได้ยินจะลำำบำกมำกขึำน ถ้ำมีเสียงรบกวนในบริเวณนัำนด้วย
เพรำะเสียงรบกวนทั่วไปมักจะเป็นเสียงควำมถี่ตำ่ำ ทำำให้มำบดบังคลืน่ เสียงของคำำพูด ซึ่งมีควำมถี่ตำ่ำเช่นกัน
3. การตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยินด้วยเครื่องตรวจวัดการได้ยิน (Audiometer)
เครื่องตรวจวัดกำรได้ยินจะใช้เสี เสียงที่มีความถี่สูง 1 ชุด (ความถี่ 4,000-8,000 Hz) และเสียงที่มีความถี่ตำ่า
ซึ่งเป็นเสียงทีใ่ ช้พูพดู สนทนากันตามปกติ (ความถี่ 500-2,000 Hz) อีก 1 ชุดแล้วตรวจสอบดูว่ำ
เรำได้ยินลดลงหรือไม่ และถ้ำได้ยินลดลงเป็นกำรลดลงในส่วนไหน
ส่วนที่รับฟังเสียงควำมถีส่ ูงหรือส่วนที่รับฟังเสียงควำมถี่ตำ่ำ หรือลดลงทังำ หมด
และถ้ำลดลงควำมรุกลุ นแรงของกำรลดลงมำกน้
่มที่ 1 ผลกำรตรวจปกติ อทัยำงกำรรั
แค่ไหนซึ
บฟัง่งเสีจำกผลกำรตรวจ เราจะสามารถแบ่
ยงความถี่สูง และกำรรั งออกได้่ตำ่าเป็น 4
บฟังเสียงความถี
กลุ่ม
กลุ่มที่ 2 ผลกำรตรวจผิดปกติ โดยกำรรับฟังเสียงทีผ่ ิดปกติ
เกิดขึ้นเฉพาะในส่วนที่เป็นเซลล์ประสาทที่ทำาหน้าที่รับฟังเสียงความถีส่ ูงเท่านั้น
เซลล์ประสำททีร่ ับฟังเสียงควำมถี่ตำ่ำยังปกติดี เพราะฉะนัน้
กลุม่ นีจำ ึงมีควำมเสื่อมสมรรถภำพของหูเกิดขึนำ แต่ยังไม่มีหตู ึง และจะยังไม่มีปัญหำในกำรสื่อสำรกับบุคคลอื่นๆ
ระยะนีเำ ป็นระยะที่ยังสำมำรถดำำเนินกำรป้องกันไม่ให้เกิดภำวะหูตึงในอนำคตได้
กลุ่มที่ 3 ผลกำรตรวจผิดปกติ พบทังำ ในส่วนของการรับฟังเสียงความถีส่ ูง (4,000-8,000 Hz)
และในส่วนของการรับฟังเสียงความถี่ตำ่า (500-2,000 Hz) เพราะฉะนั้น
กลุม่ นีจำ ะมีควำมเสื่อมสมรรถภำพของกำรได้ยินจนถึงระดับทีม่ ีภำวะหูตึงเกิดขึนำ แล้ว
ซึ่งควำมรุนแรงของหูตึงก็จะตรวจวัดได้จำกระดับควำมดังของเสียงที่ยังมีควำมสำมำรถรับฟังได้
กลุ่มที่ 4 เป็นกลุม่ ซึ่งมีควำมผิดปกติ ของกำรรับฟังเสียงทีส่่ สว่ นรับฟังเสียงความถี่ตำ่า (ความถี่ 500-
2,000 Hz) เท่านั้น กำรรับฟังเสียงควำมถีส่ ูง (ควำมถี่ 4,000-8,000 Hz) ยังปกติ
แนวทางการตรวจสมรรถภาพการได้ยน

ในสถานประกอบการ
วัตถุประสงค์ กำรตรวจกำรได้ยินในสถำนประกอบกำร
1.
เพื่อเป็นข้อมูลพืำนฐำนด้ำนระดับกำรได้ยินเสียงของลูกจ้ำงที่เข้ำปฏิบตั ิงำนใหม่ในแผนกทีม่ ีเสียงดังจำกเค
รื่องจักรมากกว่า 85 dB(A)
2. เพื่อเป็นกำรค้นหำผู้ทมี่ ีกำรสูญเสียกำรได้ยินในระยะเริ่มต้น
3. เพื่อใช้เป็นข้อมูลในกำรวำงแผนกำรควบคุมป้องกันกำรสูญเสียกำรได้ยินในสถำนประกอบกำร

การเตรียมตัวสำารับเข้4.ารัเพืบ่อการตรวจการได้
ติดตำมผลของกำรป้ยอินงกัเพืน่อกำรสู ญเสียกำรได้ยิน ในสถำนประกอบกำร
ให้ผลของกำรตรวจกำรได้ ยินมีควำมถูกต้อง
ผู้เข้ำรับกำรตรวจควรมีขอ้ ปฏิบตั ิดงั นีำ
1. หลีกเลีย่ งกำรสัมผัสรับเสียงดังๆ ก่อนเข้ำรับกำรตรวจ ไม่ว่ำจะเป็นเสียงดังที่บำ้ นหรือที่ทำำงำน
และถ้ำทำำได้กค็ วรหลีกเลี่ยงเสียงดังอย่างน้อยที่สุดนาน 12 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการตรวจ
เพื่อหลีกเลีย่ งกำรมีสภำวะเสื่อมสมรรถภำพกำรได้ยินชัว่ ครำว (TTS) ขณะรับกำรตรวจ
2. กรณีระหว่ำงรอรับกำรตรวจ ถ้ำจำำเป็นต้องเข้ำไปปฏิบัตงิ ำน จะต้องสวมใส่อปุ กรณ์ป้องกันเสียง
ทีส่ ำมำรถลดเสียงที่เข้ำสู่หูให้
ให้เหลือตำ่ากว่าระดับ 85 dB(A) ตลอดระยะเวลำทีท่ ำำงำน
และอนุญำตให้เข้ำไปปฏิบตั ิงำนได้ไม่นานเกินกว่า 4 ชั่วโมงเท่านัน้
3. ออกจำกสถำนทีท่ ี่มีเสียงดังก่อนจะเข้ำรับกำรตรวจกำรได้ยิน อย่างน้อย 15
นาทีก่อนเข้าทำาการตรวจ
4. ควรมำถึงห้องตรวจกำรได้ยิน และนั่งพักก่อนประมำณ 5 นำที เป็นอย่ำงน้อย
เพื่อป้องกันกำรเหนื่อยหอบในขณะตรวจวัดกำรได้ยิน
5. ให้ถอดสิ่งของใดๆ ทีจ่ ะขัดขวำงกำรได้ยิน เช่น แว่นตำ หมวก ตุม้ หู เป็นต้น
6. รวบเส้นผมให้เรียบร้อย ไม่ควรให้มีเส้นผมขวำงอยู่
7. ไม่ควรเคลื่อนไหวร่ำงกำยไปมำ ขณะรับกำรตรวจ เพรำะจะเกิดเสียงรบกวนได้
8. สวมใส่หูฟังให้แนบ โดยไม่รูสึกอึดอัด โดยหูฟังสีแดงอยู่ข้ำงขวำ หูฟังสีนำำเงินอยู่ข้ำงซ้ำย
ขยับให้ตรงช่องพอดี หลังจำกสวมใส่ดแี ล้ว อย่ำแตะต้องอีก
9. ผู้ที่มีปญ
ั หำนำำำไหลออกจำกหู มีขหีำ มู ำกจนอุดตัน มีอำกำรของหวัดจนหูอืำอ ควรแจ้งให้ทรำบด้วย
10. เมื่อได้ยินเสียงสัญญำณให้ตอบสนองโดยกำรกดปุ่ม ระดับเสียงที่ได้ยินถึงแม้จะเบำมำก
แต่ถำ้ ได้ยินขอให้มีกำรตอบสนองด้วย
การควบคุมเสียงดัง และป้ องกันการสัมผัสเสียงดัง
เพ่ ือป้ องกันโรคหูเส่ อ
ื มจากการทำางาน
กำรควบคุมเสียงดัง จะพิจำรณำดำำเนินกำรทีแ่ หล่งกำำเนิดเสียงก่อนเป็นลำำดับแรก
และพิจำรณำดำำเนินกำรเพิ่มเติมทีท่ ำงผ่ำนของเสียง และมำควบคุมทีต่ ัวผู้ปฏิบตั ิงำนตำมลำำดับ
ซึ่งควรใช้องค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน ผสมผสานกัน
อย่ำงไรก็ตำมในทำงปฏิบตั ิกำรควบคุมลดเสียงที่เครื่องจักร และทำงผ่ำนของเสียงมีขอ้ จำำกัดมำก
วิธีกำรที่มีควำมสำำคัญจึงมักเป็นวิธีกำรควบคุมเสียงดังที่ตวั บุคคลผู้รับเสียง
เป็นวิธีกำรหลักในกำรป้องกันหูเสื่อมจำกเสียงดัง

การควบคุมเสียงดังที่ผู้รับเสียง
วิธีนจีำ ะต้องมีกำรลงทุนค่ำใช้จ่ำยในกำรจัดซืำออุปกรณ์คุ้มครองควำมปลอดภัยส่วนบุคคล
ซึ่งอุปกรณ์ดงั กล่ำวก็มีอำยุกำรใช้งำนแตกต่ำงกันไป และกำรบังคับใช้กบั คน มักจะมีควำมยุ่งยำกพอสมควร
เนื่องจำกปัจจัยที่จะทำำให้บคุ คลมีพฤติกรรมอนำมัยทีด่ ีในกำรป้องกันขึำนกับองค์ประกอบหลำยอย่ำง เช่น
อุปกรณ์ทตี่ อ้ งกำรให้สวมใส่ควรมีนำำหนักเบำ สวมใส่สบำย ใส่แล้วไม่เจ็บ ไม่เป็นอุปสรรคต่อกำรสื่อสำร
การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
จุดมุ่งหมำยในกำรใช้อปุ กรณ์คุ้มครองควำมปลอดภัยส่วนบุคคล ก็เพื่อลดระดับเสียงทีผ่ ่ำนเข้ำมำในช่องหู
ซึ่งจะมีอุปกรณ์อยู่ 2 ประเภท ได้แก่ ที่ครอบหู (Ear Muff) และที่อุดหู (Ear Plugs) โดยทั่วไปทีค่ รอบหู (Ear
Muff) จะลดระดับเสียงได้มำกกว่ำทีอ่ ุดหู แต่กม็ ีข้อดีข้อเสียทีจ่ ะต้องนำำมำพิจำรณำควำมเหมำะสมในกำรใช้ดว้ ย

ท่ีอด
ุ หู (Ear Plug)

ข้อดี ข้อจำากัด

- ลดเสียงทีค่ วำมถี่ตำ่ำได้ดีกว่ำทีค่ รอบหู - หำยง่ำย

- สวมใส่สบำย ไม่ร้อน - ใช้ไม่ได้หำกหูมีบำดแผล

- ไม่เป็นอุปสรรคต่อกำรสวมใส่อปุ กรณ์อนื่ บนศีรษะ - ใช้เวลำในกำรสวมใส่ให้กระชับรูหมู ำกกว่ำ

- พกพำสะดวก เก็บง่ำย - ผู้ใช้มักปฏิเสธกำรใช้ในระยะแรก


ที่ครอบหู (Ear Muff)
ข้อดี ข้อจำากัด
- ลดเสียงทีค่ วำมถี่สูงได้ดกี ว่ำที่อดุ หู - หนัก ขนำดใหญ่ พกพำไม่สะดวก
- สวมใส่ง่ำย - ไม่เหมำะกับอำกำศร้อน
- ผู้ใช้ยอมรับได้ง่ำย - อำจเป็นอุปสรรคเมื่อสวมใส่ร่วมกับอุปกรณ์อนื่
- ใช้กบั ศีรษะได้หลำยขนำด - รำคำสูง

กำรจะเลือกใช้อปุ กรณ์ลดเสียงชนิดใดขึนำ อยู่กับระดับควำมดังของเสียงทีไ่ ด้รับ


และอำจจะขึำนกับชนิด และควำมถีข่ องเสียงที่ได้รับ ถ้ำสำมำรถตรวจวัดเสียงโดยแยกควำมถี่ได้
อย่ำงไรก็ตำม จะต้องคำำนึงถึงควำมสะดวกสบำย และไม่เป็นอุปสรรคต่อกำรติดต่อสื่อสำรด้วย
ประสิทธิภำพกำรป้องกัน ยังขึำนอยู่กบั วัสดุที่ใช้ทำำ ตลอดจนพฤติกรรมกำรสวมใส่ทถี่ ูกต้อง
และควำมพอดีกบั ช่องหูดว้ ย
อุปกรณ์ปอ้ งกันเสียงจะมีกำรระบุค่าความสามารถในการลดเสียง (Noise Reduction Rating : NRR)
ซึ่งโดยปกติผู้ผลิตจะระบุไว้ ดังตัวอย่ำง
EAR MUFF : HOWARDLEIGHT EAR MUFF : HOWARDLEIGHT

คุณลักษณะ : ที่ครอบหูลดเสียง นำำำหนักเบำ คุณลักษณะ : ที่ครอบหูลดเสียง นำำำหนักเบำ


สวมใส่สบำย สวมใส่ได้เป็นเวลำนำน สวมใส่ได้ทัำงบนศีรษะ และใต้คำง ไม่บีบรัดศีรษะ
ไม่บีบรัดศีรษะ รำคำประหยัด
ลดเสียง NRR 25 เดซิเบล นำ้าหนัก 6 Oz.
ลดเสียง NRR 25 เดซิเบล นำ้าหนัก 6 Oz.

EAR PLUG : HOWARDLEIGHT EAR PLUG : HOWARDLEIGHT

คุณลักษณะ : ที่อุดหูลดเสียง ยำงซิลิโคน คุณลักษณะ : ที่อุดหูลดเสียง ยำงซิลิโคน


มีควำมอ่อนนุ่ม รูปทรงแบบต้นสน 3 ชัำน มีควำมอ่อนนุ่ม รูปทรงแบบจุกนม ผิวเรียบ
แบบมีสำยไนล่อนสีขำว สวมใส่สบำย มีตัวช่วยส่ง (Insert) สวมใส่งำ่ ยขึำน
ไม่ระคำยเคือง
ลดเสียง NRR 26 เดซิเบล
ลดเสียง NRR 27 เดซิเบล
EAR PLUG : HOWARDLEIGHT EAR PLUG : BILSOM

คุณลักษณะ : ที่อุดหูลดเสียงแบบโฟม คุณลักษณะ : ที่อุดหูรนุ่ ประหยัด ผลิตจำกโฟม


สีเหลืองขอบทองเรืองแสง ชนิดม้วนบีบก่อนใส่ มีคุณสมบัติกำรคลำยตัวได้ดี
แบบมีสำยไวนิลสีเหลือง รูปทรงเรียว ผิวเรียบ จึงแนบสนิทกับช่องหู
แนบสนิทกับช่องหู
ลดเสียง NRR 29 เดซิเบล
สำมำรถล้ำงทำำควำมสะอำดได้
แต่จำกกำรศึกษำพบว่ำ ค่ำ NRR ทีร่ ะบุไว้มำจำกกำรทดสอบในห้องปฏิบตั ิกำร
ซึ่งเมื่อนำำมำประยุกต์ใช้ในกำรทำำงำนจริง พบว่ำค่ำ NRR ทีไ่ ด้ต้องปรับลดลง เรียกว่ำ Derated NRR
ซึ่งโดยทัว่ ไปจะเป็นดังนีำ
1. ถ้ำเป็นที่ครอบหู
ครอบหู ให้ปรับโดยใช้ค่ำ NRR ทีระบุมำ แล้วหักออกไปอีก 25 %
2. ถ้ำเป็นที่อุดหูที่ทำาจากโฟม ให้ปรับโดยใช้คำ่ NRR ที่ระบุมำ แล้วหักออก 50%
3. ถ้ำเป็นที่อุดหูที่ทำาจากวัสดุอนื่ ๆ นอกเหนือจำกโฟมให้ปรับโดยใช้คำ่ NRR ทีร่ ะบุมำ แล้วหักออก 70%
ปัจจุบนั ทีอ่ ุดหู Ear Plug ส่วนใหญ่จะมี
จะมีค่า NRR ระหว่าง 25-30 dB เมื่อปรับลดค่ำลงมำ
ในขณะใช้งำนจริงก็ยังสำมำรถลดเสียงที่ผ่ำนเข้ำมำได้ พอเพียงในกำรป้องกันหูเสื่อม

ตารางแสดงการได้รับเสียงที่อนุญาตให้สัมผัสเสียงได้
ระดับเสียง ช.ม. การทำางานที่สัมผัสเสียงได้ ในบำงบริเวณงำนของสถำนประกอบกำรบำงแห่
90 dB 8 ง อำจจะมีเสียงเครื่องจักรดังจนเกินกว่ำ 100
dB(A) ก็อำจจำำเป็นต้องสวมใส่ทงัำ ทีอ่ ุดหู
95 dB 4 และทีค่ รอบหูร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องทีพ่ บน้อย
100 dB 2
และกำรใช้อปุ กรณ์ทมี่ ีค่ำ NRR
105 dB 1 สูงเกินควำมจำำเป็น
110 dB 0.5 ก็อำจจะมีผลเสียในกำรที่ไปลดกำรรับฟังเสียงใน
กำรสนทนำไปด้วย
สมรรถภาพปอด
(Spirometry)
หมำยถึง กำรตรวจสมรรถภำพของปอด โดยกำรตรวจวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้า
และออกจากปอด โดยอำศัยเครื่องมือที่ใช้วัด เรียกว่ำ “Spirometer”
Spirometer
กำรตรวจสมรรถภำพปอดจะสำมำรถบ่งชีำถึงกำรเสื่อมของกำรทำำงำนของปอดก่อนที่จะมีอำกำรเกิดขึำน

ข้อบ่งชี้ในการตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry)
1. เพื่อการวินิจฉัยโรค เช่น ในผูท้ ี่มีอำกำรไอเรือำ รัง มีอำกำรหอบ หำยใจมีเสียงหวีด
อำกำรตรวจจะช่วยในกำรวินิจฉัยโรคที่ทำำให้เกิดอำกำรเหล่ำนีำ
2. เพือ่ การประเมิน ระดับควำมรุนแรงของโรคระบบทำงเดินหำยใจที่เป็นอยู่
3. เพื่อการเฝ้าระวังการเกิดโรค ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่มีอำชีพที่เสีย่ งต่อกำรเกิดโรค
เช่น ทำำงำนเหมืองแร่ ทำำงำนที่มีไอระเหยของโลหะ หรือสำรอื่นๆ ทำำงำนในที่มีฝุ่นฝ้ำย เช่น โรงทอผ้ำ
ทำำงำนในที่มีฝนุ่ หินทรำย (ซิลิคำ) เช่น โรงงำนบด โม่ ย่อย สกัด ระเบิดหิน และอุตสำหกรรมปูนซิเมนต์
การเตรียมตัวก่อนทำาการตรวจ
1. ไม่ออกกำำลังกำยก่อนมำตรวจอย่ำงน้อย 30 นำที
2. ไม่ควรสวมเสือำ ผ้ำที่รัดทรวงอก และท้อง
3. หลีกเลีย่ งอำหำรที่อิ่มมำกก่อนตรวจ 2 ชั่วโมง
4. ในผูท้ ี่มีโรคหืด ให้หยุดยำขยำยหลอดลมก่อนตรวจ
5. งดสูบบุหรี่อย่ำงน้อย 2 ชั่วโมง
วิธีการทดสอบสมรรถภาพปอด
1. ยืนตัวตรงตำมสบำย
2. หนีบจมูก
3. หำยใจเข้ำจนเต็มที่
4. อมกระบอกเครื่องเป่ำ และปิดปำกให้แน่นรอบๆ กระบอกเป่ำ
พยำยำมไม่ให้มีลมรั่วออกภำยนอกได้ เมื่อหำยใจออกมำ
5. หำยใจออกให้เร็ว และแรงอย่ำงเต็มที่จนหว่ำจะไม่มีอำกำศออกจำกปอดอีก
(ซึง่ ควรจะหำยใจออกโดยมีระยะนำน ไม่น้อยกว่ำ 6 วินำที โดยไม่ควรมีลมรั่วออกขณะเป่ำ
ปัญหาที่พบในขณะทำาการตรวจ ซึง่ ทำาให้การตรวจไม่สมบูรณ์
ปัญหำที่พบบ่อย ซึ่งทำำให้กำรเป่ำไม่สมบูรณ์ ได้แก่
1. เป่ำออกมำไม่เต็มที่ ไม่แรง และไม่นำนพอจนสุด
2. มีลมรั่วออกมำขณะเป่ำ
3. กำรหำยใจเข้ำหรือกำรหำยใจออก ไม่สุดเต็มที่
4. เริ่มต้นเป่ำมีควำมลังเล ทำำให้เป่ำช้ำไม่เร็วพอ
5. ไอระหว่ำงกำรเป่ำ โดยเฉพำะในช่วงวินำทีแรก
การแปลผลการตรวจ
กำรเป่ำปอดจะทำำให้รคู้ ่ำที่สำำคัญ ก็คือ
FVC (Forced Vital Capacity)
เป็นจำานวนของอากาศที่วัดได้ เมื่อหายใจออกมา (หลังจำกที่หำยใจเข้ำเต็มปอด) อย่ำงเร็ว
และแรงเต็มที่จนสุด ผู้ที่มีปอดที่มีควำมยืดหยุ่นน้อยกว่ำปกติ ก็จะวัดได้ค่ำของ FVC น้อยกว่ำปกติ
โดยเทียบกับเกณฑ์มำตรฐำน แล้วได้ไม่ถึง 80 %
FEV1 (Forced Expiratory Volume in One second)
เป็นจำำนวนอำกำศที่สำมำรถ “หายใจออกมาได้ใน 1 วินาที” เมื่อทำำกำรหำยใจอย่ำงเร็ว
และแรงเต็มที่ (หลังจำกกำรได้หำยใจเข้ำไปเต็มที่แล้ว)
ผู้ที่มีหลอดลมอุดกัำน เช่น เป็นหืด หลอดลมอักเสบเรืำอรัง จะมีค่ำ FEV1 ตำ่ำกว่ำปกติ เพรำะ
ไม่สำมำรถหำยใจเอำอำกำศออกมำได้เหมือนปกติ ทำำให้ค่ำที่วัดได้ไม่ถึง 80 % ของเกณฑ์มำตรฐำน

FEV1 / FVC
เป็นกำรนำำเอำค่ำที่ตรวจได้ 2 ค่ำข้ำงบนมำประเมินร่วมกัน เพื่อเปรียบเทียบดูว่ำ
“ปริมาตรอากาศทีห่ ายใจออกมาได้ใน 1 วินาที
จะเป็นจำานวนกี่เปอร์เซ็นต์ของอากาศที่มีอยู่ในปอดของคนนั้น”
ซึ่งโดยปกติควรหำยใจออกมำได้ไม่น้อยกว่ำ 70 % ผู้ที่มีค่ำ FEV1 / FVC ตำ่ำกว่ำ 70 %
Means Predict % Predict
(ค่ำที่ตรวจได้) (เกณฑ์มำตรฐำน) (เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบ)
FVC L L < 80 %

FEV1 L L < 80 %

FEV1/FVC % % < 70 %

ความผิดปกติที่ตรวจพบ
จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1. Obstructive
หมำยถึง มีการอุดกั้นของหลอดลม เช่น ในผู้ที่เป็นโรคหืด โรคถุงลมโป่งพองจำกกำรสูบบุหรี่
โรคหลอดลมอักสบเรืำอรัง กลุ่มนีำจะตรวจพบค่ำ FEV1 / FVC ตำ่ำกว่ำ 70 % โดยค่ำ FVC จะปกติ
2. Restrictive
หมำยถึง ความยืดหยุ่นของปอดลดลง ทำำให้ความจุ ความจุของปอดลดลง เช่น ผูท้ ี่มีโรคของเนืำอปอด
ผู้ที่โครงสร้ำงกล้ำมเนืำอ หรือกระดูกที่ช่วยในกำรหำยใจผิดปกติ
กลุ่มนีำจะมีค่ำ FVC เมื่อเทียบกับมำตรฐำนตำ่ำกว่ำ 80 % แต่ค่ำ FEV1 / FVC จะมำกกว่ำ 70 %
3. Combine
หมำยถึง ผู้ที่ตรวจพบมีความผิดปกติทั้ง 2 อย่างร่วมกัน

You might also like