Professional Documents
Culture Documents
เพื่อ ประโยชน์ อะไร ทุก คนจึ งควรพิจ ารณาเนื่อ ง ๆ ว่ า "เรามี ความเจ็บ ไข้ เป็น
ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้"
เพราะความมั่วเมาในความไม่มีโรค มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลายเป็นเหตุให้คนทำา
ชั่วด้วยกาย วาจา และใจ เมื่อเขาพิจารณาอยู่เสมอ ๆ ย่อมละความมัวเมา ใน
ความไม่มีโรค หรือทำาให้เบาบางลงได้
ฐานสูตร ๒๒/๗๑
หลักความจริง ที่ทุกคนควรพิจารณา ๕ ข้อนี้ เป็นสิ่งที่ผู้มีชีวิตตามอายุขัยจะต้องได้ประสบทุก
คน ไม่มีใครจะหลีกหนีได้พ้น ต่างแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น
เมื่อรู้กฎความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่ควรประมาท ควรจะ
หมั่นพิจารณาอยู่เป็นประจำา เพื่อให้เกิด "ภูมิคุ้มกัน" เหมือนการฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโรคไว้ก่อน ฉะนั้น
การ "ทำาใจ" หรือ "ปรับใจ" ยอมรับความจริงไว้ก่อน เมื่อเหตุการณ์ใน ๕ ข้อนี้เกิดขึ้น เราก็
จะได้ไม่ต้อง "ฝืนกฎธรรมดาของโลก" เมื่อเราไม่ฝืนกฎของธรรมดา หรือ ธรรมชาติ ความทุกข์ก็
เกิดน้อย หรือไม่เกิดเลย
เพราะเรา "ปลงใจได้" ว่าสิ่งเหล่านี้ มิใช่ว่าจะเจาะจงเกิดหรือมีขึ้น เฉพาะเราหรือครอบครัว
ของเราเท่านั้นก็หามิได้ แต่ว่ามันเป็นสิ่งสาธารณะทั่วไป และเกิดขึ้นกับทุกคนทั่วโลก ไม่เลือกชาติ ชั้น
วรรณะ เพศ และ วัย
วิถีทางที่จะหลีกหนีพ้น จากหลักความจริง ๕ ข้อนี้ มีอยู่หนทางเดียว คือ "อย่าเกิดอีก" และ
การที่จะทำาให้ไม่มาเกิดอีก ก็เป็นเรื่องง่ายดินเดียว ตัด "ต้นเหตุแห่งการเกิด" เพียงสิ่งเดียว นั่นคือ
การ "ตัดตัวตัณหา" หรือตัวความอยากในทุกรูปแบบเสียให้ได้ เราก็จะไม่มีการเกิดอีก ไม่ว่าในภพ
หรือชาติไหน ๆ..........
เรื่องของคนเกียจคร้าน
กุสีตวัตถสูตร ๒๓/๓๐๕
ธรรมะเหมือนแพข้ามฟาก
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสารถี ได้ตรัสกับภิก ษุ ทั้ ง
หลาย เป็นใจความพอสรุปได้ว่า
อลคัททูปมสูตร ๑๒/๒๑๙
พระสูตรนี้ อยากจะขอร้องให้นักปฏิบัติธรรม ช่วยอ่านกันหลาย ๆ เที่ยว แล้วจับประเด็นหลัก
สำาคัญให้ได้ว่า เป้าหมายอันสูงสุดของพระพุทธดำารัสนี้ อยูต่ รงไหน?
ถ้านักปฏิบัติจับได้และตีปัญหาแตกแล้ว การปฏิบัติธรรมก็จะง่ายยิ่งกว่า การพลิกฝ่ามือ เสีย
อีก ที่บางท่านปฏิบัติธรรมยิ่งมาขึ้นเท่าไร ทั้งที่อยู่และจิตใจ ก็ดูเหมือนจะยิ่งรกรุงรัง และจิตก็ขุ่นมัว
หรือสกปรกลามกมายมายขึ้นเท่านั้น นั่นแสดงว่าการปฏิบัติธรรมเกิดการผิดพลาดขึ้นแล้ว
การปฏิบัติธรรมต้องมีขั้นตอน คือ ละความชั่ว ทำาความดี แต่พอถึงขั้นสูงสุด ทั้งความชั่วและ
ความดีก็ต้องละให้หมด จึงจะพบพระนิพพาน
หลักตัดสินธรรมวินัย ๘
ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ๑. ความกำาหนัด
๒. ประกอบสัตว์ไว้ในภพ
๓. ความสั่งสมกิเลส
๔. ความมักมาก
๕. ความไม่สันโดษ
๖. ความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
๗. ความเกียจคร้าน
๘. ความเลี้ยงยาก
หลักใหญ่สำาหรับเทียบเคียง ๔
(ฝ่ายพระวินัย)
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี เวลานั้นของขบฉัน
ได้แก่ผลไม้ มีผู้นำามาถวายมาก พวกภิกษุพากันสงสัยว่า ผลไม้ประเภทใดควรฉัน หรือไม่
ควร พระพุทธองค์ทรงประทาน หลักใหญ่สำาหรับเทียบเคียง ๔ ฝ่ายพระวินัยที่เรียกว่า มหา
ประเทศ คือ
วินัย ๕/๑๒๓
การตอบแทนพระคุณพ่อแม่
ปฐมปัณณาสก์ ๒๐/๗๐
เกสปุตตสูตร ๒๐/๒๑๒
ใส่ร้ายคนดี ได้รับโทษทันตา
• "คนพาลเมื่อพูดคำาชั่วร้ายออกไป ได้ชื่อว่าฆ่าตัวเองด้วยอาวุธ
• ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมความชั่วด้วย
ปาก เขาย่อมไม่ได้รับความสุข
• ความพินาศแห่งทรัพย์สินเพราะการพนันก็ดี พร้อมด้วยสิ่งของทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนเองก็ดี
ยังนับว่ามีโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนบุคคลใด ทำาใจคิดร้ายในท่านผู้ทำาดีทั้งหลาย มีโทษยิ่งใหญ่
กว่า
• ผู้พูดจาด้วยจิตอันลามก ชอบติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรก"
โกกาลิกสูตร ๑๕/๒๐๙
การใส่ร้ายคนดีมีโทษหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอรหันต์ด้วย โทษก็จะยิ่งมากเป็นทวีคูน
เพราะท่านหมดกิเลสแล้ว จัดว่าเป็น "ปาปมุต" คือ ไม่มีใครถือโทษ หรือพ้นจากโทษแล้ว
กรณีของพระโกกาลิกในเรื่องนี้ ถ้าเราไม่ยกให้เป็นอกุศลกรรมของพระโกกาลิกบันดาลให้เป็น
ไป แล้วจะเกิดจากอะไร? เพราะทั้งพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
ไม่มีให้โทษใครมีแต่ให้คุณ ก็แล้วเหตุไฉนพระโกกาลิกจึงไปริษยาท่านเล่า? ก็ไม่ใช่กรรมฝ่ายชั่วมา
บันดาลให้ท่านคิดผิดไป เหมือนการซัดฝุ่นที่ละเอียดทวนลม มันก็ต้องถูกฝุ่นย้อนกลับมาเข้าตาตนเอง
ฉะนี้แล
เรื่องของคนมืดคนสว่าง
ปุคคลสูตร ๑๕/๑๓๒
พระสู ต รนี้ แ สดงว่ า ทุ ก คนไม่ อ าจจะเลื อ กที่ ม าได้ แต่ เ ราก็ อ าจที่ จ ะเลื อ กที่ ไ ปได้ นั่ น ก็
หมายความว่า เรามันเกิดมาเสียแล้วนี่ จะไปเลือกอีกได้อย่างไร? ถ้าจะเลือกอีกก็ต้องตายเสียก่อน
แล้วไปเกิดใหม่
แต่ก็ต้องระวังไว้ให้ดีนะ จะต้องเร่งรีบสร้างความดีไว้ให้มาก ถ้าไม่ความดี คือ ทาน ศีล ภาวนา
ไว้เป็นทุนในปัจจุบันนี้แล้ว เอาแต่หวังลม ๆ แล้ง โอกาสที่จะมาเกิดเป็นคนอย่างนี้อีกก็แสนยาก อย่าว่า
แต่จะมาเกิดในตระกูลดีเลย
กรรม คือ การกระทำาของเราเองนี่แหละ นับว่าสำาคัญที่สุด จะเกิดมาแล้วสวย รวย ปานใด
มันไม่สำาคัญหรอก ไม่ช้าก็ตายเน่าเข้าโลงหมด สิ่งที่จะติดตามไปไม่ลดละก็คือ ความดีกับความชั่วนั่น
แหละ เป็นของแน่นอน
ดังนั้น การที่เราได้เกิดมาเป็นคน กับเขาชาติหนึ่งนี้ ก็นับว่าโชคดีมีบุญหนุนให้เกิดมาแล้ว ควร
ที่จะเร่งรีบต่อบุญเก่าเอาไว้ อยามัวแต่หลงตกอยู่ในมายาของโลก อันหาสาระมิได้อยู่เลย ชีวิตนี้น้อยยิ่ง
นัก มิทันไรก็แก่และใกล้จะตายแล้ว
เมื่อตายแล้ว ทรัพย์สมบัติ ยศศักดิ์ ญาติมิตรและบริวารก็มิได้ตามเราไปด้วยเลย ปล่อยให้เป็น
"สมบัติผลัดกันชม" ต่อไป เมื่อถึงเวลาก็ต้องลาโลกนี้ไป โลกเป็นเช่นนี้มากี่พันกี่หมื่นปีแล้ว น่าจะเบื่อ
หน่ายกันบ้าง น่าจะคิดกันบ้างว่า คนเราเกิดมาทำาไม? อะไรคือสาระของชีวิตที่แท้จริง?
ปฏิจจสมุปบาท
เทศนาสูตร ๑๖/๑
พุทธวิธีแก้ความหวาดกลัว
ธชัคคะสูตร ๑๕/๓๐๔
มีความคิดไม่มีปัญญาก็เดือดร้อน มีปัญญาแต่ไม่มีสติกำากับก็ฟุ้งซ่าน
ธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน
มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๒๗
ธรรมะลูกโซ่
สายอกุศล
๑. อวิชชา มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ นิวรณ์ ๕
๒. นิวรณ์ ๕ มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ ทุจริต ๓
๓. ทุจริต ๓ มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ ไม่สำารวมอินทรีย์ ๖
๔. ไม่สำารวมอินทรีย์ ๖ มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ ไม่มีสติสัมปชัญญะ
๕. ไม่มีสติสัมปชัญญะ มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ ไม่มีโยนิโสมนสิการ
๖. ไม่มีโยนิโสมนสิการ มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ ไม่มีศรัทธา
๗. ไม่มีศรัทธา มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ ไม่ได้ฟังสัทธรรม
๘. ไม่ได้ฟังสัทธรรม มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ ไม่ได้คบสัปบุรุษ
สายกุศล
การคบกับสัปบุรุษย่อมเป็นเหตุให้ได้ฟังสัทธรรม เมื่อฟังสัทธรรมย่อมเกิดศรัทธา
เมื่อเกิดศรัทธาย่อมมีโยนิโสมนสิการ เมื่อมีโยนิโสมนสิการ ย่อมมีสติสัมปชัญญะ เมื่อมี
สติสัมปชัญญะ ย่อมสำา รวมอินทรีย์ เมื่อสำา รวมอินทรีย์ย่อมประพฤติสุจริต เมื่อประพฤติ
สุจริตย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ เมื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ ย่อมบริบูรณ์
เมื่อโพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
อวิชชาสูตร ๒๔/๑๑๗
คนรับใช้สอบธรรมะนาย
เรื่ อ งเคยมี ม าแล้ ว ที่ พ ระนครสาวั ต ถี นี่ แ หละ มี แ ม่ บ้ า นคนหนึ่ ง ชื่ อ "เวเทหิ ก า"
กิตติศัพท์อันงามของนางได้เล่าลือไปไกล ว่านางเป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยนเรียบร้อย นาง
ได้มีคนรับใช้หญิงคนหนึ่งชื่อ "กาลี" เป็นคนขยันขันแข็ง ทำา งานบ้านการเรือนเรียบร้อยดี
มาก เป็นที่รักใคร่ของนางเวเทหิกามาก
วั น หนึ่ ง กาลีมี ค วามคิด ว่ า การที่ น ายหญิ งของเรามี กิต ติ ศัพ ท์ ชื่อ เสี ยงว่ า เป็ น ผู้
สงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อยดุจผ้าพับไว้นั้น เป็นเพราะมีธรรมะในใจหรือเป็นเพราะว่า มี
คนรับใช้ในงานได้เรียบร้อย และถูกใจทุกอย่างกันแน่? จะต้องลองสอบธรรมะนายหญิงดู
สักครั้ง เมื่อคิดอุบายได้แล้ว เช้าวันหนึ่งจึงแกล้งนอนตื่นสายไม่ได้ทำางานบ้าน นายหญิงจึง
ตวาดเอาว่า
"ไม่เป็นไรดอก เจ้าค่ะนาย"
คนอกตัญญู ย่อมไม่พบความเจริญ
อลลฺปาณิหโต โปโส น โส ภทฺรานิ ปสฺสติ
บ้านที่ภิกษุไม่ควรไป
๑. ต้อนรับด้วยไม่เต็มใจ
๒. ไหว้ด้วยไม่เต็มใจ
๓. ให้ที่นั่งด้วยไม่เต็มใจ
๔. ซ่อนของที่มีอยู่
๕. เมื่อมีของมากให้น้อย
๖. เมื่อมีของดีแต่ให้ของเลว
๗. ให้โดยไม่เคารพ
เหตุที่พระสัทธรรมเลือนหาย
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
"กัสสป! ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ เมื่อหมู่ สัตว์เลวลง พระสัทธรรมกำา ลัง เลือนหายไป
สิ ก ขาบทจึ ง มี ม ากขึ้ น พระอรหั น ต์ จึ ง มี น้ อ ยลง เหตุ ดั ง นี้ เพราะเกิ ด สั ท ธรรมปฏิ รู ป คื อ
สัทธรรมปลอมหรือเทียมขึ้น สัทธรรมแท้จึงเลือนหายไป
สัทธรรมปฏิรูปกสูตร ๑๖/๒๔๖
คุณธรรมที่ทำาให้คนเป็นพระอินทร์
๑. เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต
๒. อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
๓. พูดจาอ่อนหวานตลอดชีวิต
๔. ไม่พูดจาส่อเสียดตลอดชีวิต
๕. ยินดีในการบริจาคทานตลอดชีวิต
๖. พูดคำาสัตย์ตลอดชีวิต
๗. ไม่โกรธตลอดชีวิต ถ้าเกิดความโกรธก็ระงับโดยเร็ว
ปฐมเทวสูตร ๑๕/๓๑๘
การเห็นกายเนื้อของพระพุทธเจ้า
พรหมชาลสูตร ๙/๕๒
พระสูตรนี้ น่าจะเป็นหลักฐานที่ควรเชื่อได้อย่างดีว่า การเห็นกายเนื้อ หรือ ร่างกายที่จะต้อง
เน่าเปื่อย ไปตามวัยนี้ ของพระพุทธเจ้ากับของคนทั่วไป ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย แต่คุณธรรมต่าง ๆ ที่
อาศัยร่างกายนี้เกิดขึ้นต่างหากเล่า ที่ทำาให้คนเราแตกต่างกัน
มีสำานักปฏิบัติบางแห่ง สอนให้เพ่งดูรูปพระพุทธเจ้า หรือเพ่งให้เห็นทางมโนภาพ นัน่ ก็เกิดจาก
การที่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติมีศรัทธา และจิตรวมตัวเป็นสมาธิ เพราะถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ เพ่งอย่างไร เพ่ง
เท่าไร มันก็ไม่มีทางเห็นได้
ในเรื่องนี้พึงดูพระวักกลิเป็นตัวอย่าง พระวักกลิท่านบวชเข้ามาก็ด้วยเพียงอยากอยู่ใกล้ อยาก
เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา อันนี้ก็ไม่ใช่ของแปลกประหลาด เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นลูกกษัตริย์
ทั้งมีบุญวาสนาสูงส่งมาก่อน ท่านจึงมีพระรูปงามกว่าคนธรรมดา
แต่เพราะพระวักกลิสนใจมองดูแต่ร่างกาย เพียงอย่างเดียว ไม่สนใจธรรมะเลย จึงต้องถูก
พระพุทธองค์ขับไล่ให้หนีไป จึงเกิดความเสียใจ ถึงกับจะกระโดดภูเขาตาย ทรงเมตตาสั่งสอนว่า "ผู้ใด
เห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม" พระวักกลิปฏิบัติตามจึงสามารถบรรลุ
ธรรมขั้นต้นได้
นี่ก็แสดงว่า การเห็นธรรม ย่อมสำาคัญกว่าการเห็นด้วยกายเนื้อ เพราะทำาให้หมดกิเลสตัณหา
หรือสามารถดับทุกข์ได้.
ธรรมะจากยักษ์
"เงียบเสียงหน่อยเถอะลูกอุตราและลูกปุนัพสุ! แม่จะขอฟังธรรมของพระพุทธเจ้าผู้
ประเสริฐให้จบก่อน พระพุทธเจ้าตรัสนิพพานว่าเป็นธรรมเครื่องเปลื้องตัวตน เสียจากกิเลส
ทั้งปวง เวลาที่ปรารถนาในธรรมจะล่วงเลยแม่ไปเสีย
ลูกและผัวเป็นที่รักในโลก แต่ความปรารถนาในธรรมนั้นเป็นที่รักของแม่ยิ่งกว่าลูก
และผัว เพราะลูกและผัวอันเป็นที่รักนั้น ไม่อาจจะเปลื้องความทุกข์ได้ แต่การฟังธรรมย่อม
ปลดเปลื้องเหล่าสัตว์ออกจากความทุกข์ได้ ในเมื่อโลกอันทุกข์วงล้อมแล้ว มีความแก่และ
ความตายเป็นจุดหมาย แม่อยากจะฟังธรรม เพื่อพ้นจากความแก่และความตาย ลูกรักจง
เงียบเสียงเถิด"
ปุนัพสุ ลูกชายตอบว่า
ยักขิณีมีความยินดี ตอบลูกว่า
ปนัพสุสูตร ๑๕/๒๙๑
ความหมายของขันธ์ ๕
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกะภิกษุทั้ง
หลายถึงความหมายของ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ไว้ดังนี้
ขัชชนิสูตร ๑๗/๙๕
ขั น ธ์ ๕ เป็ น เรื่ อ งที่ ช าวพุ ท ธทุ ก คน ควรจะทำา ความเข้ า ใจให้ ก ระจ่ า ง เพราะเป็ น เรื่ อ งที่
พระพุทธเจ้าทรงสอนมาก เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้ว การปฏิบัติธรรมก็ง่ายเข้า เพราะเหตุว่า รูปที่เราหลง
รักใคร่ หลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา และของเรานั้น แท้จริงมันมิได้อยู่ในอำานาจของใครทั้งสิ้น มันย่อม
เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์
ขันธ์ ๕ นี้เมื่อเรายึดถือว่า มันเป็นของเรา เมื่อมันเปลี่ยนแปรไป เราก็เป็นทุกข์ เสียใจ ถ้าเรา
ไม่มีความยึดมั่นว่าเรา ว่าของเรา ความทุกข์ก็ไม่มี พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ชาวโลกยอมรับสภาพตาม
เป็นจริง อย่าไปฝืนหรือทวนกระแสธรรมดาเข้า
ชีวิตของแต่ละคน ย่อมประกอบขึ้นด้วยขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
และเพราะอาศัยขันธ์ ๕ นี้แหละ ถ้าเราขาดการพิจารณา โมหะความหลงก็จะเข้ามาครอบงำา ยึดถือว่า
เป็นเราและของเรา แล้วก็ทำาบุญบ้างทำาบาปบ้าง แล้วก็เสวยผลของกรรมนัน้ ๆ เวียนว่ายตาย -เกิด ไม่รู้
จักจบสิ้น
ถ้าเราไม่พบคำาสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามคำาสั่งสอนของพระองค์ เราก็จะไม่มีการ
สิ้นสุดภพชาติได้ เมื่อเราได้พบพระธรรมอันประเสริฐเช่นนี้แล้ว ก็อย่าได้รีรอต่อไปอีกเลย ชีวิตเป็นของ
น้อย และไม่มีหลักอะไรประกัน ควรจะรีบทำาที่พึ่งให้ตนเองเสียแต่บัดนี้เถิด.
พระพุทธเจ้าทรงตำาหนิลาภสักการะ
พฬิสสูตร ๑๖/๒๔๘
การที่พระพุทธเจ้าทรงตำาหนิลาภ ยศ สักการะ และชื่อเสียง ไว้อย่างรุนแรง ก็เพื่อให้สาวกเห็น
ความสำาคัญของสิ่งเหล่านี้ ที่ได้ทำาลายคนดีมามากมายแล้วนั้นเอง
ทั้งนี้ก็เพราะว่า จิตใจของปุถุชนนั้นกลับกลอกง่าย หวัน่ ไหวง่าย ถ้าได้ใกล้ชิดสิ่งใดนาน ๆ แล้ว
จิตใจก็ย่อมจะเปลี่ยนแปรไปได้ กลายเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว มีตัวอย่างให้เราได้ศึกษา ทั้งในอดีต
และปัจจุบันทุกยุคทุกสมัย
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงโทษไว้ก่อน เพื่อให้เกิดการสังวรระวัง ไม่เกิดความประมาท เมื่อมี
ลาภ สักการะเกิดขึ้น ก็จะได้บริโภคใช้สอย ด้วยความไม่หลงลืมตน มีสติและปัญญา คอยหมั่นกำากับ
และพิจารณาอยู่เสมอ ทุกข์ โทษ และภัย อันแสบเผ็ดรุนแรง ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้
เพราะการทำาความดีนั้น ต้องใช้เวลานาน ใช้ความอดทนมาก ต้องเสียสละทั้งทรัพย์สิน กำาลัง
กาย และกำาลังใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แม้กระนั้นเมื่อเผลอใจเพียงนิดเดียว ความดีที่ทำามาเป็นเวลานาน
ก็อาจพังทลายลงได้ในพริบตา ความไม่ประมาทจึงเป็นวิถีทางที่ปลอดภัย ด้วยประการทั้งปวง
ธรรมที่ไม่เสื่อมของภิกษุ
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้น
๔. เคารพภิกษุที่เป็นประธาน
๕. ไม่ลุอำานาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น
๖. ยินดีในเสนาสนะป่า
๗. ระลึกถึงเพื่อนพรหมจารีผู้มีศีล ที่ยังไม่มาขอให้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่เป็นสุข
ภิกขุสูตร ๒๓/๒๓
ธรรม ๗ ประการนี้ ถ้าวัดใด สำานักใดปฏิบัติได้ ความเสื่อมก็ย่อมไม่เกิดขึ้นกับวัดนั้นหรือสำานัก
นั้นอย่างแน่นอน ผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่า ธรรม ๗ ประการนี้ ถ้าปฏิบัติได้แล้ว จะไม่ทำาให้เสื่อมได้จริงหรือ?
ก็ขอได้โปรดพิจารณาด้วยความเป็นจริง ถึงวัดหรือสำานักต่าง ๆ ที่เสื่อมความเคารพนับถือของ
พระและชาวบ้านดูว่า วัดหรือสำา นักเหล่านั้น มีคุณธรรมนี้อยู่ในหัวใจของตน ของคนที่อยู่ในวัดและ
สำานักเหล่านั้นหรือไม่?
ธรรม ๗ ประการนี้ มิใช่ว่าจะใช้ได้เฉพาะภายในวัด หรือสำานักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แม้ชาวบ้าน
ที่รวมกันเป็นหมู่คณะก็นำาไปใช้ได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ประยุกต์บ้างข้อให้เหมาะสมเท่านั้น
นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็น "อกาลิโก" ของสัจจธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ แม้จะ
ล่วงกาลผ่านสมัยมาตั้งหลายพันปี ก็ยังแจ่มและแจ๋วอยู่ตลอดกาล
เอ้า... วัดหรือสำานักใด ขึ้นต้นก็ดูฟู่ฟ่าดี มีคนขึ้นคึกคักหนาแน่น แต่ไม่นานนักก็จิดจางโรยรา
หาคนเข้ายาก ก็ขอได้โปรดนำา เอาธรรมทั้ง ๗ ข้อนี้ เข้าไปเปรียบเทียบดู แล้วยพยายามขัดเกลียวเข้า
และปฏิบัติอยู่อย่างสมำ่าเสมอ ความเจริญก็ย่อมจะเกิดแก่วัด หรือสำานักนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ขอแต่ว่า
อย่าทำา เป็น "หน้าไหว้ หลังหลอก" หรือ "มือถือสาก ปากถือศีล" ก็แล้วกัน รับรองว่าไม่เสื่อม และต้อง
เจริญแน่ ๆ.
การให้ทานที่ได้รับผลต่างกัน
ส่วนอุตตรมาณพได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งสูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
หนึ่งชั้น และพรัง่ พร้อมด้วยยศและบริวารเป็นอันมาก
ปายาสิราชัญญสูตร ๑๐/๓๐๗
เหตุผลที่คนเกิดมาแล้วไม่เหมือนกัน
อุบาสกชาวสักกะถูกตำาหนิศีล
ทรงสรุปในตอนท้ายว่า
พวกอุบาสกชาวสักกะกราบทูลตอบว่า
สักกสูตร ๒๔/๘๖
ธนัญชานีสูตร ๑๕/๒๒๒
อันวิสัยของคนดีนั้น ย่อมไม่ระลึกและจดจำาคุณ
ที่เคยได้ทำาไว้แก่ผู้อื่น
แต่ย่อมระลึกและจดจำาพระคุณ
ที่ผู้อื่นได้กระทำาไว้แก่ตนอยู่เสมอ
และย่อมหาโอกาสที่จะสนองพระคุณของท่าน
ศีลกับปัญญาต่างอาศัยกัน
โสณฑัณฑสูตร ๙/๑๔๘
ภิกษุที่ถูกลมเวรัมภาพัดขาด
เวรัมภสูตร ๑๖/๒๕๓
การคิดค้นหาเหตุผล เป็นการพัฒนาจิต
แต่การคิดชั่ว คิดผิด ทำาให้สุขภาพจิตเสื่อม
พรหมจรรย์ที่ไม่บริสุทธิ์
เรื่องทีพ่ ระควรพูดและไม่ควรพูด
พระพุทธองค์ตรัสในอีกแห่งหนึ่งว่า
ปาสราสิสูตร ๑๒/๒๕๙
นักบวชเป็นผู้เว้นจากการงานแบบชาวบ้าน จึงมีเวลาที่ว่างมาก ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่ปฏิบัติ
ธรรม ไม่มีการงานอันเหมาะสมกับสมณะ เป็นภาระอยู่ประจำา ก็ไม่รู้ว่าจะทำา อะไร ก็เลยต้องบริหาร
ปาก ด้วยการยกเอาเรื่องต่าง ๆ อันไร้สาระมาพูดคุยเพื่อฆ่าเวลาให้หมดไปวัน ๆ
เมื่อมีการพูดมาก จิตใจก็ย่อมจะฟุ้งซ่านมาก เรื่องมาก มีปัญหามาก พระพุทธองค์จึงทรงขีด
วง ให้นักบวชได้พูดคุยอยู่ในกรอบของ "กถาวัตถุ ๑๐ ประการ"
ส่วนการ "นั่งนิ่งตามแบบพระอริย ะ" นั้น ได้แก่การเจริญสติ สมาธิ และ วิปัสสนา หรือการ
เจริญสติปัฏฐานสี่ อันเป็นการงานของจิตโดยตรงนั่นเอง
ถ้านักบวชรูปใดใส่ใจ สำารวมวาจาและใส่ใจให้อยู่ในหลักนี้ได้ ความเจริญงอกงามไพบูลย์ ใน
เพศของนักบวชก็ย่อมเกิดขึ้นแก่ตน อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
กกจูปมสูตร ๑๒/๒๐๓
สิ่งที่ควรเกี่ยวข้องและไม่ควร
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า
สุปุพพัณหสูตร ๒๐/๓๓๕
ปัญหาที่ไม่ควรสนใจ
จูฬมาลุงโกยวาทสูตร ๑๓/๑๓๒
ทรงให้พระราหุลทำาใจเหมือนดินนำ้าไฟลม
มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๒๖
หลักใหญ่สำาหรับเทียบเคียง ๔
(ฝ่ายธรรมะ)
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ อานันทเจดีย์ ใกล้โภคนคร ได้ตรัสถึงมหาประเทศ ๔
สำาหรับสอบสวนเปรียบเทียบ หลักคำาสอนของพระพุทธเจ้า คือ
หากมีภิกษุกล่าวว่า
สัญเจตนิยวรรค ๒๑/๑๙๕
การมีความดีแล้วอวดคนอื่น
ทำาให้ค่าของความดีลดลง และไม่บริสุทธิ์
ทรงให้ภิกษุรู้คุณและตอบแทนคุณคน
ภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายจงปฏิบัติอย่างนี้แล"
สิคาลสูตร ๑๖/๓๐๗
ผู้ลิขิตกรรม
"ไม่ได้ พระเจ้าข้า"
"ไม่ลอยขึ้นมา พระเจ้าข้า"
ภูมกสูตร ๑๘/๓๔๒
ศึกษาธรรมผิดเหมือนจับงูพิษที่หาง
ธรรมของคนดีและของคนชั่ว
ธรรมะของคนชั่ว คือ
๑. ผู้ออกบวชจากสกุลสูง
๒. ผู้ออกบวชจากสกุลใหญ่
๓. ผู้มคี นรู้จัก มียศ
๔. ผู้มีลาภ
๕. ผู้มีการศึกษามาก
๖. ผู้ทรงจำาวินัย
๗. ผู้เป็นนักพูดธรรมะ
๘. ผู้อยู่ป่า
๙. ผู้นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
๑๐. ผู้ถือบิณฑบาต
๑๑. ผู้อยูโ่ คนไม้
๑๒.ผู้อยู่ป่าช้า
๑๓.ผู้ได้รูปฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔
๑๔.และผู้ที่ได้อรูปฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔ รวม ๒๐ พวก
สัปปุริสสูตร ๑๔/๑๑๓
พระพุทธองค์ตรัสห้ามในทันทีว่า
นิทานสูตร ๑๖/๑๐๑
พระสูตรนี้มีเรื่องที่น่าคิด คือ พระพุทธองค์ทรงหมดกิเลสแล้ว ส่วนพระอานนท์ท่านยังไม่หมด
กิเลส ท่านได้แค่พระโสดาบันเท่านั้น การมองปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นการมองคนละแง่ คือพระพุทธองค์
ทรงมองตลอดสาย แต่พระอานนท์ท่านอาจมองจุดใดจุดหนึ่ง ตามเยี่ยงของคนที่ยังไม่หมดกิเลส
จากความคิดอันนี้ ทำา ให้เราได้ตัวอย่างต่าง ๆ หลักฐานต่าง ๆ แม้ในพระไตรปิฎก มักจะมีผู้
แสดงความเห็ น หรื อ ตี ค วามธรรมะต่ า ง ๆ กั น ไป เพราะขึ้ น อยู่ กั บ คุ ณ ธรรมในใจ ความรู้ แ ละ
ประสบการณ์ต่าง ๆ
ดังนั้น การตีความธรรมะ จึงควรที่จะยึดหลักฐานในพระไตรปิฎกเป็นแนว มิฉะนัน้ ก็จะเกิดการ
แตกแยก และไม่อาจจะหาข้อยุติได้ ความปรารถนาดีก็เลยกลายเป็นผลร้ายให้มือที่สามได้ประโยชน์
แบบตีงใู ห้กากิน ฉะนั้น
วิธีแก้ความกลัว
พระพุทธเจ้าทรงเล่าความหลังของพระองค์ ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะได้ตรัสรู้
ว่า ทรงเคยอยู่ในป่าและป่าเปลี่ยวมาแล้ว แต่เพราะทรงมีกาย วาจา และใจ สะอาดสุจริต มี
ราคะและนิวรณ์ ๕ สงบระงับแล้ว จึงไม่มีความหวาดกลัวแล้ว หรือเกิดความหวาดกลัว เมื่อ
อยู่ในป่าหรือป่าเปลี่ยวเช่นกัน
ในตอนท้ายสูตร พระพุทธองค์ทรงเล่าเป็นเชิงแนะการแก้ความหวาดกลัวว่า
ภยเภรวสูตร ๑๒/๒๖-๓๒
พระสู ต รนี้ ทรงแสดงว่ า ผู้ ที่ ไ ม่ มี ค วามบริ สุ ท ธิ์ ท าง กาย วาจา และใจ เป็น ผู้ ทุ ศี ล มีค วาม
ปรารถนาลามก หลังลาภยศชื่อเสียง แล้วหลบเข้าไปอยู่ในป่าหรือป่าเปลี่ยว เพื่อหวังความนิยมเป็นคน
ขลัง หรือเพื่อเรียกร้องศรัทธา
บุคคลประเภทนี้ ย่อมเรียกร้องความหวาดกลัว หรือภัยอันเกิดจากป่าและป่าเปลี่ยวได้ร้อยแปด
ส่วนผู้ที่มีจิตใจเสียสละ ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้อย่างแท้จริงแล้ว ย่อมจะไม่มีความหวาดกลัวสิ่ง
ใด ๆ เลย แม้จะเกิดขึ้นบ้างบางครั้ง เพราะจิตยังไม่หลุดพ้น ก็สามารถจะระงับและข่มความหวาดกลัวได้
โดยอาศัยบารมีธรรมช่วย ที่ตนได้ประพฤติมาดีแล้ว เป็นต้น
การระงับความกลัว ด้วยวิธีหนามยอกเอาหนามบ่งคือ เมื่อเกิดความหวาดกลัวขึ้นในอิริยาบถใด
ๆ ก็ให้อยู่ในอิริยาบถนั้น ๆ จนกว่าจะหายหวาดกลัวจึงค่อยเปลี่ยนไปอิริยาบถอื่น ถ้าไม่หายก็ไม่เปลี่ยน
ผู้ที่มีความกลัวน่าจะลองเอาไปปฏิบัติดู
อันความกลัวใด ๆ ของมนุษย์ในโลกนี้ ที่จะยิ่งไปกว่าความตายเป็นไม่มีแล้ว เมื่อคนเราสามารถ
ปลงภาระในความตายของตนได้แล้ว ความกลัวในสิ่งอื่นย่อมจะหมดไปเอง เพราะสิ่งใด ๆ ในโลกล้วน
แต่สิ้นสุดลงที่ความตายทั้งสิ้น
ดังนั้น การเจริญมรณัสสติ คือการระลึกถึงความตาย จึงเป็นอุบายหนึ่งในหลายอย่าง ที่จะช่วย
บรรเทาความหวาดกลัวได้อย่างดี ข้อสำาคัญคือจะต้องทำาให้จริงจัง และทำาอยู่สมำ่าเสมอ
เมื่อเรากำาจัดความกลัวตายลงได้เพียงอย่างเดียว ความกลัวสายอื่น ๆ ก็กลายเป็นเรื่องเล็กไป
หมด เพราะความตายมันเป็นความสิ้นหวังของทุกสิ่งในโลก
ภิกษุอยู่รูปเดียว เป็นเหมือนพรหม
อยู่สองรูป เป็นเหมือนเทวดา
อยู่ด้วยกันมากากว่าสามรูปขึ้นไป เป็นเหมือนชาวบ้าน
ย่อมมีแต่ความโกลาหลมากขึ้น
ฉะนั้น ภิกษุจึงควรอยู่แต่ผู้เดียว
ยถา พฺรหฺมา ตถา เอโก ยถา เทโว ตถา ทุเว
ยถา คาโม ตถา ตโย โกลาหลำ ตตุตฺตรำ
ยโสชเถรคาถา ๒๖/๓๐๐
สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
กัณฏกสูตร ๒๔/๑๓๗
หลักการฟังคำาพูดของผู้อื่น
๑. กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๒. กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง
๓. กล่าวด้วยคำาอ่อนหวานหรือหยาบคาย
๔. กล่าวด้วยคำามีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
๕. กล่าวด้วยจิตเมตตาภายในหรือประสงค์ร้าย
ภิกษุทั้งหลาย! เมื่อผู้อื่นจะพูดด้วยประการใด ๆ ก็ตาม พวกเธอพึงตั้งจิตอย่าให้
แปรปรวน เราจะไม่พูดจาที่ลามก เราจะสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจะต้องมี
เมตตาจิต ไม่มีความโกรธภายในใจ เราจะแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้น เราจะต้องแผ่เมตตา
จิตไปไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง
ภิ กษุ ทั้ ง หลาย! แม้ เพราะเหตุ นั้ น พวกเธอพึ ง ปฏิ บั ติ อ ย่ า งนี้ ว่ า จิ ตของเราจะไม่
แปรปรวน เราจะไม่พูดคำา ที่ลามก เราจะอนุเคราะห์ผู้อื่นด้ วยสิ่งเป็นประโยชน์ เราจะมี
เมตตาจิต ไม่มีความโกรธภายใน เราจะแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลเหล่านั้น และบุคคลทั่วไป
อันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่ง
เป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้."
กกจูปมสูตร ๑๒/๒๑๐
การอยู่ร่วมกับคนผู้ไม่เสมอกัน นำาความทุกข์มาให้
ทุกฺโข สมานสำวาโส
การปฏิบัติธรรมที่ให้ผลต่างกัน
จูฬธรรมสมาทานสูตร
คนตาบอดคลำาช้าง
กิรสูตร ๒๔/๑๕๔
พระสูตรนี้ ทรงแสดงถึงความเห็นต่าง ๆ ของเจ้าลัทธิทั้งหลาย ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน เหตุ
เพราะ "รู้ไม่จริง" แต่พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งโลก จึงไม่มีปัญหาที่ชาวพุทธจะต้องถกเถียงกันอีกต่อไป
แต่ใ นวงการภายในของชาวพุท ธ ก็ ยั งมี ค วามเห็น ไม่ ต รงกั น อยู่ ในที่ ทั่ ว ๆ ไป ทั้ งนี้ เ พราะ
พระพุทธศาสนาหรือคำาสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนช้าง ผู้ที่ไม่รู้จริงที่มาศึกษาธรรมะ ก็เปรียบ
เหมือนคนตาบอดที่มีคลำาถูกช้างแต่ละจุด แล้วก็ถือเอาสิ่งที่ได้พบเห็นว่า เป็นตัวศาสนาที่แท้ แล้วต่างก็
ถกเถียงกันว่า ของฉันถูกของฉันแท้ ของแกผิดของแกเก๊
เหตุที่พุทธศาสนาแตกเป็นนิกายต่าง ๆ เป็นแบบและแนวการศึกษา และปฏิบั ติ ต่า งกัน ไม่
สามารถจะลงกันได้ในความเห็น ทั้ง ๆ ที่พระธรรมและพระวินัย ก็เหมือนกัน ก็ด้วยเหตุผลที่สติปัญญา
ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนมีปัญญาน้อยก็มองได้ในวงแคบ คนที่มีปัญญามากก็มองได้กว้างไกล
พระพุทธศาสนาเป็นขุมความรู้ เพื่อความดับทุกข์ที่กว้างใหญ่ ยากที่ปุถุชนคนหน้าด้วยกิเลสจะ
ศึกษาให้แตกฉาน และรู้ให้ทั่วถึงได้โดยง่าย
ฉะนัน้ ผูท้ ี่มีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ ผู้เกิด แก่ เจ็บ และตายร่วมกัน จึงไม่ควรจะผูกขาดความคิด
ว่า ของฉันถูก แต่ผู้เดียว เพราะนอกจากจะเป็นเหตุป กปิ ดปั ญญาของตนเองแล้ ว ยั งก่อ ให้ เกิ ดความ
แตกแยก ในหมู่พุทธบริษัทด้วยกันอีกด้วย
เราควรยอมรับความจริงว่า ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ตราบนั้น เชื้ออวิชชาหรือ
ความโง่ ก็ย่อมจะมีเป็นทุนเดิมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย.
การทำาบุญเป็นการพัฒนาจิตให้สูงขึ้น
บริสุทธิ์สะอาดและผ่องใสขึ้น
แต่ถ้ายึดและติดในบุญ
ก็ไม่อาจจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
พระมหากัสสปผู้ยอดสันโดษ
สันตุฏฐสูตร ๑๖/๒๑๖
พระมหากั ส สปรู ป นี้ มีคุ ณ ธรรมหนั ก แน่ น ที่ ท่ า นถื อ และปฏิ บั ติ ไ ด้ จ นตลอดชี วิ ต อย่ า งน่ า
อัศจรรย์ยิ่ง แม้ท่านจะชราภาพแล้ว พระพุทธองค์ทรงขอร้อง ให้บรรเทาลงบ้างเถิด ท่านก็ไม่ยอม จึง
ทรงถามถึงเหตุผล ท่านจึงได้กราบทูลตอบว่า "เพื่ออนุเคราะห์ชนรุ่นหลัง"
จากพระสูตรนี้ เราจะเห็นแนวปฏิปทา ที่พระพุทธองค์ทรงโปรดเป็นพิ เศษแก่พ ระที่ ปฏิบัติ
ขัดเกลากิเลสตัณหา ที่เรียกว่า "พระป่า" หรือ "พระธุดงค์" ก็ได้แก่พระฝ่ายวิปัสสนาธุระนั่นเอง
โดนนัยนี้ ผู้ที่หวังจะให้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ ของพระพุทธเจ้า ก็จงเอาอย่างพระมหากัสสป
เถิด และเราก็สามารถที่จะประยุกต์เอามาปฏิบัติได้ทั้งชาววัดและชาวบ้าน นั่นคือหลักการสันโดษ คือ
ความพอใจตามที่มี และยินดีตามที่ได้ ถ้าเราทำาตามได้ อยู่ที่ไหนเราก็มีความสุขที่นั่น
ทุกวันนี้ ชาวพุทธเราไม่ขาดแคลนตำารา หรือคนที่จะสอนเลย แต่เราขาดแคลนคนที่จะทำาตาม
คำาสอนของพระพุทธเจ้ายิ่งนัก ขอให้เราเป็นหนึ่ง ในท่านเหล่านั้น ที่จะทำาตัวอย่างไว้ให้ลูก ทำาถูกไว้ให้
หลานได้ชื่นชม เมื่อเราล่วงลับไปแล้วสมตามปณิธานของท่านพระมหากัสสป แม้ว่าท่านจะมีอายุยืน
เพียง ๑๒๐ ปี ท่านก็ไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนของท่านเลย แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสขอก็ตาม สาธุ...
พระกายพระพุทธเจ้าเหมือนพระสาวก
พระพุท ธเจ้ า ประทับ อยู่ ณ สวนอั ม พวัน ของหมอชี วก โกมารภั จ จ์ เมื อ ง
ราชคฤห์ เพื่อแก้ข้อข้องใจของบางท่านที่ว่า พระกายของพระพุทธเจ้า จะเหมือนกับของคน
ทั่วไปในสมัยนั้น หรือไม่ บางท่านก็ว่าไม่เหมือน บางท่านก็ว่าเหมือน ยังหาเป็นที่ยุติไม่ แต่
ในพระสูตรนี้ ได้แสดงหลักฐานที่น่าเชื่อ ว่าพระกายของพระพุทธเจ้าเหมือนกับของสาวก
ทั่วไป
"ชีวกผู้สหาย! ไหนพระผู้มีพระภาค?"
หมอชีวกได้ทูลตอบว่า
สามัญผลสูตร ๙/๕๗
ทรงเตือนภิกษุอย่าเป็นฟืนเผาศพ
ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เรากล่ า วบุ ค คลผู้ เ สื่ อ มแล้ ว จากโภคะแห่ ง คฤหั ส ถ์ ด้ ว ย ไม่ ทำา
ประโยชน์ คือ ความเป็นสมณะให้บริบูรณ์ด้วย ว่ามีอุปมาเหมือนกับดุ้นฟืนในที่เผาศพ ซึ่งมี
ไฟติดทั้งสองข้าง แถมตรงกลางก็เปื้อนคูถ จะใช้เป็นฟืนในบ้านก็ไม่ได้ จะใช้เป็นฟืนในป่าก็
ไม่ได้ ฉะนั้น"
ปิณโฑลยสูตร ๑๗/๙๙
พระสูตรนี้ ทรงเตือนภิกษุที่นับว่ารุนแรงมาก เพื่อมิให้หลงลืมในเพศและภาวะของตน ที่ต้อง
อาศัยฝากปากท้องไว้กับชาวบ้าน นัน่ คือการขอเขากิน
พระเราต่างจากขอทานก็ตรงที่ ขอทานรับของจากผู้ให้แล้วต้องไหว้ หรือแสดงความเคารพผู้ให้
แต่พระนั้นตรงกันข้าม คือผู้ให้จะต้องไหว้หรือแสดงความเคารพผู้รับ ทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้รับมีศีลและ
ธรรมเหนือกว่า จึงอยู่ในฐานะที่เป็น "เนื้อนาบุญ" ของผูใ้ ห้
ด้วยเหตุนี้ การไปบิณฑบาตของพระ จึงมิใช่ไปขอทานหรือขอข้าวเขากิน แต่ถือว่า "ไปโปรด
สัตว์" คือทำาให้ผู้ที่ยังข้องอยู่ในโลกได้รับส่วนบุญ หรือเป็นการสร้างบารมี แต่ทั้งนี้ผู้ที่ไปโปรดสัตว์ จะ
ต้องดำารงตนให้เหมาะสมกับความเป็น "พระแท้" ด้วย มิฉะนั้นผู้รับทานก็จะกลายสภาพเป็น "ลูกหนี้"
ไป
ทรงเปรียบกับคนที่ไร้สาระทั้งสองเพศ คือ อยู่ในเพศของคฤหัสถ์ ก็ไม่ทำาหน้าที่ของฆราวาสที่
ดี อยู่ในเพศของนักบวช ก็ไม่ทำาหน้าที่ของสมณะที่ดี ก็เลยกลายเป็นคนประเภทฟืนเผาผีในป่าช้า มีไฟ
ติดอยู่ที่หัวและท้าย แถมตรงกลางยังเปื้อนอุจจาระเสียอีก เลยใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย.
พระพุทธเจ้าทรงปวารณา
"ข้ า แต่ พ ระองค์ ผู้ เ จริ ญ ! ข้ า พระองค์ ทั้ ง หลายจะติ เ ตี ย นการกระทำา อะไร ๆ ของ
พระองค์ที่เป็นไปทางพระกายและพระวาจามิได้เลย เพราะพระองค์เป็นผู้ตัดทาง ทรงเป็นผู้
บอกทาง ทรงรู้แจ้งทาง ทรงฉลาดในทาง สาวกทั้งหลายเป็นผู้เดินตามทางของพระองค์
บัดนี้แลขอปวารณาแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนการกระทำาอะไร ๆ
อันเป็นไปทางกายหรือวาจาของข้าพระองค์บ้างหรือ?"
ปวารณาสูตร ๑๕/๒๖๕
การปฏิบัติธรรมเหมือนตัดไม้มีแก่น
๑. สักกายทิฐิ (ความเห็นเป็นเหตุยึดกายของตน)
๒. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๓. สีลัพพตปรามาส (การลูบคลำาศีล)
๔. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม)
๕. พยาบาท (ความคิดปองร้าย)
โดยทรงยกเอาตัวอย่างเด็กทารกนอนแบเบาะ มาเป็นตัวอย่างแห่งการเกิดสัญโญชน์
ซึ่งมองดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เป็นอนุสัย (กิเลสที่แฝงตัวตาม) มีอยู่ตลอดเวลา ในตอนท้าย
ได้ทรงแสดงหนทางปฏิบัติ เพื่อละสัญโญชน์ ๕ เหมือนคนที่ต้องการตัดไม้แก่น แต่ต้องผ่าน
เปลือกและกะพี้ไม้ ก่อนที่จะถึงแก่นไม้ ไว้ดังนี้
มหามาลุงโกยวาทสูตร ๑๓/๑๓๗
และทรงแสดงผลแห่งสงคราม เป็นคติเตือนใจว่า
สังคามวัตถุสูตร ๑๕/๑๑๙
พระอานนท์ยอดพระนักประหยัด
"อาตมาจะแจกจ่ายแก่พระ ที่มีจีวรครำ่าคร่า"
"แล้วจีวรที่ครำ่าคร่าล่ะ ท่านจะทำาอย่างไรต่อไป?"
"อาตมาจะทำาเป็นผ้าดาดเพดาน.
"ถ้าผ้าดาดเพดานครำ่าคร่าล่ะ ท่านจะใช้ทำาอะไร?"
"อาตมาจะใช้ทำาเป็นผ้าปูฟูก"
"ถ้าผ้าปูฟูกครำ่าคร่าล่ะ ท่านจะใช้ทำาอะไร?"
"อาตมาจะใช้ทำาเป็นผ้าปูพื้น"
"ถ้าผ้าปูพื้นครำ่าคร่าล่ะ ท่านจะใช้ทำาอะไร?"
"อาตมาจะใช้ทำาเป็นผ้าเช็ดเท้า"
"ถ้าผ้าเช็ดเท้าครำ่าคร่าล่ะ ท่านจะใช้ทำาอะไร?"
"อาตมาจะใช้ทำาเป็นผ้าเช็ดฝุ่น"
"ถ้าผ้าเช็ดฝุ่นครำ่าคร่าล่ะ ท่านจะใช้ทำาอะไร?"
พระวินัย ๗/๓๑๓
การให้ทานที่เลื่อนชั้นทางจิต
ทานสูตร ๒๓/๕๙
ผู้ไม่มีศีล ๕ ย่อมมีแต่ภัยเวร
คนผู้มีปกติลักทรัพย์ ย่อมประสบภัยเวร.....
คนผู้ประพฤติผิดในกาม ย่อมประสบภัยเวร....
คนผู้มีปกติพูดเท็จ ย่อมประสบภัยเวร....
คนผู้มีปกติดื่มนำ้าเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ย่อมประสบ
ภัยเวร ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี ที่เป็นไปในภพหน้าก็มี ได้รับทุกข์ทางใจก็มี เพราะการดื่มสุรา
เป็นเหตุและปัจจัย เมื่อเว้นจากการดื่มนำ้าเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ภัยเวรอันนั้น
ย่อมสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้"
เวรภยสูตร ๑๙/๔๓๘
โง่แล้วขยันก็อันตราย
แต่ฉลาดแล้วขี้เกียจก็ไม่สบาย
ผู้โกรธตอบคนที่โกรธก่อน เป็นคนที่เลวกว่า
พระพุทธองค์ตรัสตอบด้วยพระเมตตาว่า
อสุรินทกสูตร ๑๕/๒๒๖
เวลาเป็นของมีค่า
อย่าปล่อยให้หมดไปกับสิ่งที่ไร้สาระและทำาลายตนเอง
อายุของคนขึ้นอยู่กับศีลธรรม
จักกวัตติสูตร ๑๑/๖๔
การมีวิชาความรู้ แต่ขาดคุณธรรม
ก็เหมือนมีมีดคมแต่ขาดฝัก
ความเป็นผู้สำารวมอินทรีย์
เกิดความชอบใจ หรื อไม่ ชอบใจ ปรุ ง ขึ้นในจิตแล้ว ยัง หยาบอยู่ ส่ง ที่ละเอียดคื อ
อุเบกขา ความวางเฉยในอารมณ์เหล่านั้น มีอุเบกขาตั้งมั่นไม่ให้ความชอบหรือความชังเกิด
ขึ้นได้ เมื่อฝึกหัดได้เร็วฉับพลัน ก็จะตัดอารมณ์นั้น ๆ ได้ เหมือนคนตาดีกระพริบตา ฉะนั้น
อินทรียภาวนาสูตร ๑๔/๔๖๕
การสำารวมอินทรีย์ ๖ ถือว่าจำาเป็น และเป็นข้อปฏิบัติหลัก ทีน่ ักบวชจะต้องปฏิบัติเป็นประจำา มิ
ฉะนัน้ การอยู่ในเพศของนักบวช ก็จะไม่มีอะไรต่างจากชาวบ้าน และสิ่งที่จะพอกพูนตามมาก็คืออกุศล
อันลามกต่าง ๆ
การเป็นพระที่ สมบูร ณ์ จึงมิไ ด้ห มายเพีย งแต่ ว่า ได้ผ่านพิธี กรรมจากคณะสงฆ์แ ล้ว เท่ า นั้น
เพราะนั่นเป็นแต่เพียงรูปแบบที่สมมติกันขึ้น เพื่อความอยู่ผาสุกในหมู่คณะเท่านั้น แก่นหรือสาระแห่ง
การบวชที่แท้จริง จึงอยู่ที่การอบรมและฝึกหัดกาย วาจา และใจ ไม่ให้เกิดความยินดีและยินร้าย เมื่อ
กระทบกับอายตนะทั้ง ๖ พร้อมทั้งพิจารณาจนเกิดความเบื่อหน่าย และปล่อยวางเสียได้ ด้วยการมีสติ
และสัมปชัญญะกำากับ.
หนังสือคือประตูของดวงตา
อ่านไป พิจารณาไป ย่อมได้ปัญญา
คนทำาบาปในปัจจุบันได้รับทุกข์ก็มี สุขก็มี
มหาธรรมสมาทานสูตร ๑๒/๔๖๗
อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ ๑.ฆ่าสัตว์ ๒.ลักทรัพย์ ๓. ผิดกาม ๔.พูดปด ๕.พูดส่อเสียด ๖.พูดคำา
หยาบ ๗.พูดเพ้อเจ้อ ๘.โลภมาก ๙.พยาบาท ๑๐.เห็นผิด
ในที่นี้ได้ยกแต่เพียงข้อต้น คือการฆ่าสัตว์ หรือ ไม่ฆ่าสัตว์มาเป็นตัวอย่างเพียงข้อเดียว ส่วน
กรรมบถ ข้ออื่น ๆ พึงทราบตามนัยนี้
เหตุแห่งการกระทำา กรรม ไม่ว่าจะทำา ด้วยดีใจหรือเสียใจ ย่อมได้รับผลโดยยุติธรรมเสมอกัน
หมด ทำาดีย่อมได้รับผลดี ทำาชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่ผู้ที่มีปัญญาย่อมละเว้นจากการทำาความชั่ว และจำา
ประกอบแต่กรรมดีเท่านั้น
การเป็นคฤหัสถ์โดยไม่มีลูกเมีย (ผัว)
ก็เสมือนเป็นทหารไม่ได้ออกศึก
ชำาระศีลให้ดีก่อนจึงทำาวิปัสสนา
ภิกขุสูตร ๑๙/๑๘๕
คำาว่า "พุทธะ" ท่านแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน โดยเฉพาะคำาว่า "ผู้รู้" นั้น ดูเหมือนว่าจะ
สมพระนามยิ่งนัก เพราะทรงรอบรู้ทั้งเบื้องตำ่า เบื้องสูง ทั้งภายนอก และภายใน ชาติก่อน ชาตินี้ และ
ชาติหน้า อย่างเจนจบ ลึกซึ้งจริง ๆ
ด้วยเหตุนี้ คำา สอนของพระองค์จึงมีมากมาย ยังไม่เคยมีศาสดาองค์ใดในโลก จะมีคำา สอน
มากมายเท่าพระองค์เลย แต่ถึงแม้คำาสอนจะมีมาก ลำาดับของการปฏิบัติก็มีขั้นตอนที่ศาสนิกจะเลือก
ศึกษา และนำาไปปฏิบัติ ให้เหมาะกับจริตนิสัย และ บารมีได้ทุกคน ตั้งแต่ระดับตำ่าสุด จนถึงขั้นสูงสุด
อย่างในพระสูตรนี้ ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนา อันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อกำา จัดกิเลสตัณหาให้หมดสิ้น
สำาหรับผู้ที่ยังมีบารมีอ่อน ท่านก็จะสอนให้สำารวมระวังศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์หมดจดก่อน แล้วจึงค่อย
ก้าวขึ้นไปเจริญวิปัสสนาต่อไป
แต่ท่านผู้อ่านก็ต้องไม่ลืมว่า คำาสอนแนวนี้ ท่านจะสอนแก่พระเป็นส่วนมาก ถ้าสอนชาวบ้าน
ท่านก็จะตั้งต้นที่ ทาน คือ การเสียสละบริจาคด้านวัตถุก่อน แล้วจึงจะเลื่อ นขึ้ นมาศีล สมาธิ และ
วิปัสสนาต่อไป
พระสูตรนี้ น่าจะเป็นบทเรียนที่ดี ของผู้ที่มักจะเห็นว่าศีลเป็นของตำ่า เป็นของไม่จำาเป็น ไม่น่า
สนใจ สูเ้ จริญสมาธิหรือวิปัสสนาไม่ได้ หรือไม่ก็คิดว่า เมื่อเราเจริญสมาธิและวิปัสสนาอยู่ ศีลมันก็มีอยู่
พร้อมแล้ว เพราะไม่อาจจะล่วงศีลได้ แต่อย่าลืมว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ในระดับปุถุชนแล้ว ไม่มีใครจะ
ทำาอยู่ตลอดวันตลอดคืนได้ ศีลจึงควรจะมีอยู่ตลอดเวลา
อันตรายของภิกษุผู้อยู่ป่า
ถ้าภิกษุที่เป็นอาจารย์หรือเป็นศิษย์ก็ดี เมื่ออยู่ป่าแล้วไม่หลงลืมตัวให้อกุศลธรรม
ครอบงำาได้ ก็จะพ้นจากอันตรายชนะทุกข์ ก้าวหน้าในพรหมจรรย์ต่อไป
ในตอนท้ายของสูตรนี้ ได้ทรงกล่าวเตือนภิกษุทั้งหลายผ่านพระอานนท์ว่า