Professional Documents
Culture Documents
ความหมายของผู้นำา
เป็ นทีย
่ อมรับกันแล้วว่า ผ้้นำา (Leader) เป็ นปั จจัยที ่
สำาคัญยิง่ ประการหนึง่ ต่อความสำาเร็จขององค์การทัง้ นี ้
เพราะผ้้นำามีภาระหน้าที ่ และความรับผิดชอบโดยตรงทีจ
่ ะ
ต้องวางแผนสัง่ การด้แลและควบคุมให้บุคลากรขององค์การ
ปฏิบัติงานต่างๆให้ประสบความสำาเร็จตามเป้ าหมาย และ
วัตถุประสงค์ทีต
่ ัง้ ไว้ปัญหาทีเ่ ป็ นทีส
่ นใจของนักวิชาการและ
บุคคลทัว
่ ไปอย่้ตรงทีว
่ ่า ผ้้นำาทำาอย่างไรหรือมีวิธีการนำา
อย่างไรจึงทำาให้ผ้ใต้บังคับบัญชาหรือผ้้ตามเกิดความผ้กพัน
กับงานแล้วทุ่มเทความสามารถ และพยายามทีจ
่ ะทำาให้งาน
สำาเร็จด้วยความเต็มใจ ในขณะทีผ
่ ้นำาบางคนนำาอย่างไร
นอกจากผ้้ใต้บังคับบัญชาจะไม่เต็มใจในการปฏิบัติงานให้
สำาเร็จอย่างมประสิทธิภาพแล้ว ยังเกลียดชังและพร้อมทีจ
่ ะ
ร่วมกันขับไล่ผ้นำาให้ไปจากองค์การ
เพือ
่ ให้เข้าใจภาวะผ้้นำา (Leadership) และผ้้นำา (Leader)
ดีขึน
้ จึงเสนอความหมายของผ้้นำา (Leader) ไว้ดงั นี ้
ผ้้นำา คือ บุคคลทีม
่ ีความ สามารถในการใช้อิทธิพลให้
คนอืน
่ ทำางานในระดับต่าง ๆ ทีต
่ ้องการให้บรรลุเป้ าหมาย
และวัตถุประสงค์ทีต
่ ัง้ ไว้ (McFarland, 1979:214: 215)
ผ้้นำา คือ ผ้้ทีส
่ ามารถในการชักจ้งให้คนอืน
่ ทำางานให้
สำาเร็จตามต้องการ (Hues, 1978:227) ผ้้นำา คือ
บุคคลทีม
่ ีอิทธิพลส้งสุดในกลุ่ม และเป็ นผ้้ทีต
่ ้องปฏิบัติภาระ
หน้าทีข
่ องตำาแหน่งผ้้นำาทีไ่ ด้รับมอบหมายบุคคลอืน
่ ในกลุ่มที ่
เหลือก็คือผ้้ตาม แม้จะเป็ นหัวหน้ากลุ่มย่อย หรือผ้้ช่วยใน
การปฏิบัติหน้าทีต
่ ่าง ๆ ก็ตาม (Yolk, 1989:3-4)
ผ้้นำา คือ บุคคลทีม
่ าจากการเลือกตัง้ หรือแต่งตัง้ หรือ
การยกย่องขึน
้ มาของกลุ่ม เพือ
่ ให้ทำาหน้าทีเ่ ป็ นผ้้ชีแ
้ นะและ
ช่วยเหลือให้กลุ่มประสบความสำาเร็จตามเป้ าหมายทีต
่ ัง้ ไว้
กวี วงศ์พุฒ (2535: 14-15) ได้สรุปแนวคิดเกีย
่ วกับ
ผ้้นำาไว้ 5 ประการ คือ
(1) ผ้้นำา หมายถึง ผ้ซ
้ ึง่ เป็ นศ้นย์กลางหรือจุดรวมของ
กิจกรรมภายในกลุ่ม เปรียบเสมือนแกนของกลุ่ม เป็ นผ้้มี
โอกาสติดต่อสือ
่ สารกับผ้้อืน
่ มากกว่าทุกคนในกลุ่ม มีอิทธิพล
ต่อการ ตัดสินใจของกลุ่มส้ง
(2) ผ้้นำา หมายถึง บุคคลซึง่ นำากลุ่มหรือพากลุ่มไปส่้
วัตถุประสงค์หรือส่้จุดหมายทีว
่ างไว้แม้ แต่เพียงชีแ
้ นะให้กลุ่ม
ไปส่้จุดหมายปลายทางก็ถือว่าเป็ นผ้้นำาทัง้ นีร้ วมถึงผ้้นำาทีน
่ ำา
กลุ่มออกนอกล่้นอกทางด้วย
(3) ผ้้นำาหมายถึงบุคคลซึง่ สมาชิกส่วนใหญ่คัดเลือก
หรือยกให้เขาเป็ นผ้้นำาของกลุ่มซึง่ เป็ นไปโดยอาศัยลักษณะ
ทางสังคมมิติของบุคคลเป็ นฐาน และสามารถแสดง
พฤติกรรมของผ้้นำาได้
(4) ผ้้นำาหมายถึงบุคคลซึง่ มีคุณสมบัติเฉพาะบาง
อย่างคือสามารถสอดแทรกอิทธิพลบางประการอันก่อให้เกิด
การเปลีย
่ นแปลงของกลุ่มได้มากทีส
่ ุด
(5) ผ้้นำา หมายถึง บุคคลผ้้ซึง่ สามารถนำากลุ่มไปใน
ทางทีต
่ ้องการ เป็ นบุคคลทีม
่ ีส่วนร่วมและเกีย
่ วข้องโดยตรง
ต่อการแสดงบทบาทหรือพฤติกรรมความเป็ นผ้้นำา
บุญทัน ดอกไทสง (2535:266) ได้สรุปเกีย
่ วกับผ้้นำาไว้
ว่า ผ้้นำา (Leader) หมายถึง
(1) ผ้้มีอิทธิพล มีศิลปะ มีอิทธิพลต่อกลุ่มชน เพือ
่ ให้
พวกเขามีความตัง้ ใจทีจ
่ ะปฏิบัติงานให้บรรลุเป้ าหมายตาม
ต้องการ
(2) เป็ นผ้้นำาและแนะนำา เพราะผ้้นำาต้องคอยช่วย
เหลือกลุ่มให้บรรลุเป้ าหมายส้งสุดตามความสามารถ
(3) ผ้้นำาไม่เพียงแต่ยืนอย่้เบือ
้ งหลังกลุ่มทีค
่ อยแต่
วางแผนและผลักดัน แต่ผ้นำาจะต้องยืนอย่้ข้างหน้ากลุ่ม และ
นำากลุ่มปฏิบัติงานให้บรรลุเป้ าหมาย
สรุปได้ว่า ผ้้นำา (Leader) คือบุคคลทีไ่ ด้รับการแต่งตัง้
หรือการเลือกตัง้ หรือการยกย่องจากกลุ่มให้ทำาหน้าทีข
่ อง
ตำาแหน่งผ้้นำา เช่น การชีแ
้ นะ สัง่ การ และช่วยเหลือให้กลุ่ม
สามารถปฏิบัติงานได้สำาเร็จตามจุดประสงค์ทีต
่ ัง้ ไว้ได้มีการ
เขียนชือ
่ ผ้้นำาแตกต่างกันออกไปตามลักษณะงานและองค์การ
ทีอ
่ ย่้ เช่น ผ้้บริหาร ผ้้จัดการ ประธานกรรมการ ผ้้อำานวย
การ อธิการบดี ผ้้บัญชาการเหล่าทัพ ผ้้ว่าราชการ นาย
อำาเภอ กำานัน เจ้าคณะจังหวัด เจ้าอาวาส ปลัดกระทรวง
คณบดี
ความหมายของภาวะผู้นำา
ภาวะผ้้นำา (Leadership) คือความสามารถทีจ
่ ะใช้
อิทธิพลนำากลุ่มไปส่้วัตถุประสงค์ อิทธิพลนัน
้ อาจได้รับมา
แบบเป็ นทางการนัน
่ คือผ้้นำาอย่างเป็ นทางการ หรือผ้้นำาทีไ่ ม่
เป็ นทางการซึง่ คือผ้้นำาทีไ่ ม่ได้รับมอบอำานาจอย่างเป็ น
ทางการแต่สามารถนำากลุ่มและเป็ นทีย
่ อมรับ (กรองแก้ว อย่้
สุข, 2534: 132)
ภาวะผ้้นำา (Leadership) หรือความเป็ นผ้้นำา ซึง่ หมายถึง
ความสามารถในการนำา (The American Heritage
Dictionary, 1985: 719) จึงเป็ นสิง่ สำาคัญยิง่ สำาหรับความ
สำาเร็จของผ้้นำา ภาวะผ้้นำาได้รับความสนใจ และมีการศึกษา
มาเป็ นเวลานานแล้ว เพือ
่ ให้รว
้ ่าอะไรเป็ นองค์ประกอบที ่ จะ
ช่วยให้ผ้นำามีความสามารถในการนำา หรือมีภาวะผ้้นำาทีม
่ ี
ประสิทธิภาพ
การศึกษานัน
้ ได้ศึกษาตัง้ แต่คุณลักษณะ (Traits) ของ
ผ้้นำา อำานาจ (Power) ของผ้้นำาพฤติกรรม (Behavior) ของ
ผ้้นำาแบบต่าง ๆ และอืน
่ ๆ ในปั จจุบันนี ้ ก็ยงั มีการศึกษา
ภาวะผ้้นำาอย่้ตลอดเวลา และพยายามจะหาภาวะผ้้นำาทีม
่ ี
ประสิทธิภาพในแต่ละองค์การและในสถานการณ์ต่าง ๆ กัน
ความหมายของภาวะผ้้นำา ได้มีผ้ให้ความหมายของ
ภาวะผ้้นำาไว้หลากหลายและแตกต่างกันซึง่ ยุคล์ (Yolk,
1989: 3) ได้กล่าวถึงสาเหตุทีค
่ วามหมายของภาวะผ้้นำามี
หลากหลายและแตกต่างกัน ก็เนือ
่ งจากขอบเขตเนือ
้ หาและ
ความสนใจในภาวะผ้้นำา ในการศึกษาของนักวิจัยแตกต่างกัน
ในทีน
่ ีจ
้ ึงขอนำาเสนอให้ศึกษาดังต่อไปนี ้
๏ ภาวะผ้้นำาคือความริเริม
่ และธำารงไว้ซงึ่ โครงสร้าง
ของความคาดหวังและความสัมพันธ์ระหว่างกันของสมาชิก
ของกลุ่ม (Stodgily, 1974:411)
๏ ภาวะผ้้นำาคือความสามารถทีจ
่ ะชีแ
้ นะ สัง่ การ
หรืออำานวยการ หรือมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผ้้อืน
่ เพือ
่ ให้
มุ่งไปส่้จุดหมายทีก
่ ำาหนดไว้ (McFarland, 1979:303)
๏ ภาวะผ้้นำาคือศิลป์ ในการชีแ
้ นะล้กน้อง หรือผ้้ร่วม
งานให้ปฏิบัติหน้าทีด
่ ้วยความกระตือรือร้นและเต็มใจ
(Schwartz, 1980:491)
๏ ภาวะผ้้นำา เป็ นกระบวนการทีบ
่ ุคคลใช้อิทธิพลต่อ
กลุ่ม เพือ
่ ให้บรรลุความต้องการของกลุ่ม หรือจุดมุ่งหมาย
ขององค์การ (Mitchell and Larson, Jr., 1987:435)
๏ ภาวะผ้้นำาเป็ นเรือ
่ งของศิลป์ ของการใช้อิทธิพล
หรือกระบวนการใช้อิทธิพลต่อบุคคลอืน
่ เพือ
่ ให้เขามีความ
เต็มใจ และกระตือรือร้นในการปฏิบัติงานจนประสบความ
สำาเร็จตามจุดมุ่งหมายของกลุ่ม(Koontz and Weihrich,
1988:437)
๏ ภาวะผ้้นำาเป็ นความสามารถในการใช้อิทธิพลต่อ
กลุ่ม เพือ
่ ให้ประสบความสำาเร็จตาม เป้ าหมายหมายทีต
่ ัง้ ไว้
(Robbins, 1989:302)
๏ ภาวะผ้้นำาเป็ นกระบวนการของการชีแ
้ นะและ
อิทธิพลต่อกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกของกลุ่ม (Stoner and
Freeman, 1989:459)
๏ ภาวะผ้้นำาเป็ นกระบวนการทีบ
่ ุคคลหนึง่ (ผ้้นำา)ใช้
อิทธิพลและอำานาจของตนกระตุ้นชีน
้ ำาให้บุคคลอืน
่ (ผ้้ตาม) มี
ความกระตือรือร้น เต็มใจทำาในสิง่ ทีเ่ ขาต้องการ โดยมีเป้ า
หมายขององค์การเป็ นจุดหมายปลายทาง (พยอม วงศ์สาร
ศรี, 2534:196)
จากการวิเคราะห์ความหมายของภาวะผ้้นำาข้างต้น จะ
เห็นได้ว่า แนวคิดส่วนใหญ่จะเกีย
่ วข้องกับกลุ่มคน และ
สมาชิกของกลุ่มมีความสัมพันธ์ภายในต่อกันอย่างสมำ่าเสมอ
ในการนีจ
้ ะมีสมาชิกคนใดคนหนึง่ หรือมากกว่าถ้กกำาหนด
หรือยอมรับให้เป็ นผ้้นำา (Leader) เนือ
่ งจากมีความแตกต่าง
ในด้านต่าง ๆ จากบุคคลอืน
่ ๆ ของกลุ่ม ซึง่ ถือว่าเป็ นผ้้ตาม
(Followers) หรือผ้้ใต้บังคับบัญชา หรือล้กน้อง
(Subordinates) หรือผ้้ปฏิบัติ
สำาหรับความหมายของภาวะผ้้นำาเกือบทัง้ หมดจะ
เกีย
่ วข้องกับการใช้อิทธิพล ซึง่ ส่วนมากจะเป็ นผ้้นำา (Leader)
พยายามจะมีอิทธิพลต่อผ้้ตาม (Followers) ในกลุ่มหรือ
บุคคลอืน
่ ๆ เพือ
่ ให้มีทัศนคติ พฤติกรรม และอืน
่ ๆ ไปใน
ทิศทางทีท
่ ำาให้จุดมุ่งหมายของกลุ่มหรือองค์การประสบความ
สำาเร็จ ดังนัน
้ จึงสรุปได้ว่า ภาวะผ้้นำา (Leadership) คือ
กระบวนการทีบ
่ ุคคลใดบุคคลหนึง่ หรือมากกว่า พยายามใช้
อิทธิพลของตนหรือกลุ่มตน กระตุ้น ชีน
้ ำา ผลักดัน ให้บุคคล
อืน
่ หรือกลุ่ม บุคคลอืน
่ มีความเต็มใจ และกระตือรือร้นใน
การทำาสิง่ ต่าง ๆ ตามต้องการ โดยมีความสำาเร็จของกลุ่ม
หรือองค์การเป็ นเป้ าหมาย
และยุคล์ (Yukl,1989: 7-8) ได้สรุปแนวทางการศึกษา
ภาวะผ้้นำาของงานวิจัยได้เป็ น 4 แนวทาง ดังต่อไปนีค
้ ือ
1. ศึกษาอำานาจ-อิทธิพล (Power-Influence Approach)
ของผ้้นำา
2. ศึกษาคุณลักษณะ (Trait Approach) ของผ้้นำา
3. ศึกษาพฤติกรรม (Behavior Approach) ของผ้้นำา
4. ศึกษาสถานการณ์ (Situational Approach) ของ
ผ้้นำา
1) อำานาจ-อิทธิพล (Power-Influence Approach) การ
ศึกษาประสิทธิภาพของ ภาวะผ้้นำาจากอำานาจ-อิทธิพลของ
ผ้้นำา ส่วนใหญ่จะเน้นหรือพิจารณาทีข
่ นาด ชนิดและการใช้
อำานาจ ของผ้้นำา ดังทีย
่ อมรับกันแล้วว่าอำานาจเป็ นสิง่ สำาคัญ
สำาหรับผ้้นำา เพราะนอกจากจะทำาให้มีอิทธิพลต่อ ล้กน้อง
แล้ว ยังสามารถมีอิทธิพลต่อเพือ
่ น ผ้้นำาในระดับเดียวกัน ต่อ
ผ้้บังคับบัญชาในระดับส้ง รวมทัง้ บุคคลภายนอกหน่วยงาน
และองค์การได้ ในการศึกษาวิจัยชนิดนี ้ นักวิจัยจะมีคำาถามที ่
ต้องการ คำาตอบอย่้หลายคำาถาม ได้แก่
(1) อะไรคือแหล่งของอำานาจผ้้นำา ลักษณะเฉพาะใด
ของผ้้นำา และ ในสถานการณ์เช่นไรทีท
่ ำาให้ผ้นำามีอำานาจ
(2) ทิศทางการเพิม
่ และลดอำานาจของผ้้นำาจาก
กระบวนการแลกเปลีย
่ นอิทธิพลเป็ นอย่างไร นอกจากนัน
้
การทีต
่ ้องวิเคราะห์อำานาจของผ้้นำาพร้อม ๆ กับ การ
วิเคราะห์อำานาจของหน่วยงานและกลุ่มคน ทำาให้การ
ประเมินประสิทธิภาพของภาวะผ้้นำามุ่งเน้นไปทีค
่ วามสามารถ
ในการปรับตัวขององค์การต่อสิง่ แวดล้อมทีเ่ ปลีย
่ นไป อัน
เนือ
่ งมาจากใช้ กลยุทธ์อิทธิพลของผ้้นำา
2) พฤติกรรม (Behavior Approach) การศึกษา
ประสิทธิภาพของภาวะผ้้นำาจาก พฤติกรรมหรือแบบของผ้้นำา
นัน
้ มักจะมุ่งไปทีพ
่ ฤติกรรมอะไรบ้างของผ้้นำาทีใ่ ช้ในการ
ปฏิบัติหน้าทีต
่ ่างๆหรือผ้้นำาทำาอะไรบ้างในการปฏิบัติงานให้
ประสบความสำาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาวิจัยเกีย
่ ว
กับพฤติกรรมของผ้้นำาจะแบ่งออกได้เป็ น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ โดย
กลุ่มแรกจะทำาการศึกษากิจกรรมต่าง ๆ ของงานบริหารของ
ผ้้นำาและเวลาทีผ
่ ้นำาใช้ในแต่ละกิจกรรมในระยะต้น ส่วนใน
ปั จจุบันจะมุ่งเน้นศึกษาภาระหน้าทีห
่ รืองานของผ้้นำาแต่ละ
ชนิด เพือ
่ ค้นหาพฤติกรรมของผ้้นำาทีเ่ หมาะหรือทำาให้แต่ละ
ภารกิจประสบความสำาเร็จ สำาหรับงานวิจัยกลุ่มทีส
่ องจะ
ศึกษามุ่งเน้นไปทีค
่ วามแตกต่างระหว่างพฤติกรรมทีม
่ ี
ประสิทธิภาพและไม่มีประสิทธิภาพของผ้้นำา โดยหาความ
สัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของผ้้นำา กับความพึงพอใจและผล
การปฏิบัติงานของผ้้ตามพฤติกรรมของผ้้นำาทีน
่ ำามาพิจารณา
มักเป็ นพฤติกรรมทีส
่ ำาคัญๆ (Critical Incident) ของการ
บริหาร
3) คุณลักษณะ (Trait Approach) การศึกษาวิจัยแบบนี ้
จะมุ่งเน้นไปทีค
่ ุณลักษณะเฉพาะ ของผ้้นำาซึง่ ในอดีตทีผ
่ ่านมา
เชือ
่ ว่าผ้้นำาทีป
่ ระสบความสำาเร็จจะมีคุณสมบัติพิเศษเหนือ
กว่าผ้้ตาม เช่นการทำางานไม่รจ
้ ักเหน็ดเหนือ
่ ย การสามารถ
หยัง่ ร้้ใจคนได้ การคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แม่นยำา
อย่างน่ามหัศจรรย์ และมีพรสวรรค์ในการชักจ้งคนได้อย่าง
เหลือเชือ
่ การศึกษาคุณลักษณะของผ้้นำาได้มีมากในระหว่าง
ค.ศ.1930 - 1940 แต่ก็ไม่มีงานวิจัยใดยืนยันได้ว่าคุณลักษณะ
ของ ผ้้นำาแต่ละคุณลักษณะมีความสัมพันธ์ต่อความสำาเร็จ
ของผ้้นำาได้อย่างไร จึงทำาให้นักวิจัยให้ความ สนใจใน
คุณลักษณะของผ้้นำาน้อยลงตามลำาดับ อย่างไรก็ตามได้มี
ความพยายามทีจ
่ ะศึกษาว่าคุณลักษณะของผ้้นำาชนิดทีจ
่ ำาเป็ น
สำาหรับงานของผ้้นำาแต่ละประเภทอย่างไรและในสถานการณ์
ทีแ
่ ตกต่างกัน คุณลักษณะใดทีจ
่ ะช่วยให้ผ้นำาประสบความ
สำาเร็จได้
4) สถานการณ์ (Situation Approach) การศึกษาวิจัย
สถานการณ์ทีม
่ ีผลต่อ ประสิทธิภาพของภาวะผ้้นำานัน
้ จะมุ่ง
เน้นศึกษาสถานการณ์ทีส
่ ำาคัญ ๆ เช่น อำานาจหน้าที ่ และ
ความ มัน
่ คงของผ้้นำา ลักษณะงานของผ้้นำา ความสามารถ
และแรงจ้งใจของผ้้ตาม สภาพแวดล้อมภายนอก ความคาด
หวังและข้อเรียกร้องต่าง ๆ เกีย
่ วกับงานของล้กน้อง เพือ
่ น
ร่วมงาน และบุคคลภายนอก องค์การ การศึกษาวิจัยเกีย
่ ว
กับสถานการณ์นี ้ แยกออกได้เป็ น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ โดยกลุ่ม
แรกจะมุ่ง เน้นว่าสถานการณ์ใดทีจ
่ ะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
แต่ละพฤติกรรมของผ้้นำาอย่างไร ดังนัน
้ การวิจัย ประเภทนี ้
จึงต้องศึกษาว่าพฤติกรรมการบริหารงานของผ้้นำาต่าง
องค์การ ต่างระดับเหมือนหรือ แตกต่างกันอย่างไร สำาหรับ
กลุ่มทีส
่ อง ม่งุ ทีจ
่ ะศึกษาว่า สถานการณ์ลักษณะใดจะมีส่วน
ทำาให้พฤติกรรมหรือแบบของผ้้นำา รวมทัง้ คุณลักษณะของ
ผ้้นำามีผลต่อประสิทธิภาพของภาวะผ้้นำา เพราะนักวิจัยกลุ่มนี ้
มี พืน
้ ฐานความคิดทีว
่ ่าพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึง่ ไม่เหมาะ
สำาหรับทุกสถานการณ์ หรือประสิทธิภาพ ของผ้้นำาขึน
้ อย่้กับ
ความสามารถในการปรับพฤติกรรมให้เป็ นไปตามการ
เปลีย
่ นแปลงของสถานการณ์ หรือเหมาะสมกับสถานการณ์
ลักษณะของผู้นำา
มิทเชล และ ลาร์สัน จ้เนียร์ (Michel and Larson, Jr.,
1987:435-436) ได้ชีใ้ ห้เห็นองค์ประกอบทีส
่ ำาคัญ 3 ประการ
ในการพิจารณาว่าผ้้นำาใดมีภาวะผ้้นำาหรือไม่ ได้แก่
1. ผ้้นำาเป็ นกระบวนการ
2. มีระดับความถ้กต้องของการใช้อิทธิพล
3. มีความสำาเร็จของจุดมุ่งหมายทีต
่ ัง้ ไว้
1) ภาวะผ้้นำา เป็ นกระบวนการของการใช้อิทธิพล ที ่
ผ้้นำาพยายามจะมีอิทธิพลเหนือผ้้ตามเพือ
่ ให้มีพฤติกรรมการ
ปฏิบัติงานตามต้องการโดยมีจุดมุ่งหมายขององค์การเป็ นเป้ า
หมาย ไม่ใช่เรือ
่ งของบุคคลทีจ
่ ะพึงมีภาวะผ้้นำาได้โดยทีไ่ ม่ได้
มีการกระทำาใด ๆ เป็ นกระบวนการ (process) ให้เกิด
อิทธิพลต่อผ้้อืน
่ ดังนัน
้ ผ้้นำาทางจากการแต่งตัง้ เช่น ผ้้
อำานวยการ ผ้้บัญชาการ อาจจะมีภาวะผ้้นำาหรือไม่กไ็ ด้ ทัง้ นี ้
ขึน
้ อย่้ว่ามีลักษณะทัง้ 3 ประการหรือเปล่า ในทางตรงข้าม
ผ้้ทีแ
่ สดงภาวะผ้้นำาอาจจะไม่เป็ นผ้้นำาทีเ่ ป็ นแบบทางการ แต่มี
องค์ประกอบ 3 ประการเหล่านัน
้
2) ภาวะผ้้นำา นอกจากเป็ นกระบวนการแล้ว ภาวะ
ผ้้นำาจะเกิดขึน
้ ได้ก็ต่อเมือ
่ ผ้้ตามยอมให้ผ้นำาใช้อิทธิพลต่อตัว
เขา ซึง่ โดยทัว
่ ไปก็ต้องพิจารณาถึงระดับความถ้กต้องของ
อิทธิพลทีใ่ ช้ด้วยว่าไม่ใช่เป็ นการใช้อำานาจเข้าข่้เข็ญ หรือบีบ
บังคับให้ทำาตาม เพราะถ้าเป็ นการเช่นนัน
้ ก็ไม่ถือว่าผ้้นำามี
ภาวะผ้้นำาได้
3) ภาวะผ้้นำา จะถ้กอ้างถึงเมือ
่ จุดมุ่งหมายของกลุ่ม
หรือองค์การประสบความสำาเร็จ ดังนัน
้ ถ้าหากผ้้นำาไม่
สามารถนำากลุ่มไปส่้ความสำาเร็จดังกล่าวได้ ก็ยอ
่ มหมาย
ถึงว่าผ้้นำาไม่ได้แสดงภาวะผ้้นำาหรือไม่มีความสามารถใน
การนำานัน
่ เอง
(ทีม
่ า: http://www.nrru.ac.th/article/leadership/page1.1.html)
เมือ
่ เปรียบเทียบความหมายของคำาว่าผ้้นำากับภาวะผ้้นำา
พบว่า มีความแตกต่างและคล้ายคลึงกันทีผ
่ ้นำาหมายถึงบุคคล
ส่วนภาวะผ้้นำาหมายถึงการใช้กระบวนการของความสามารถ
ของบุคคลทีใ่ ช้อิทธิพลของตนในการชักชวน ชีน
้ ำาหรือชักจ้งผ้้
อืน
่ ให้รว
่ มมือร่วมใจกับตนในการ ปฏิบัติงานอย่างใดอย่าง
หนึง่
จากการจำาแนกประเภทของผ้้นำา อาจจำาแนกโดย
อธิบายให้เห็นถึงการเกิดภาวะผ้้นำาว่าเกิดขึน
้ ได้ 2 ประเภท
คือ ประเภทโดยสถานการณ์และโดยตำาแหน่ง หรืออาจ
จำาแนกโดย ลักษณะในการบริหาร ซึง่ มี 3 ประเภท การ
จำาแนกแบบของผ้้นำานีแ
้ ตกต่างไปจากประเภทของผ้้นำาที ่
กล่าวคือจะเน้นทีพ
่ ฤติกรรมของผ้้นำาเป็ นสำาคัญว่า ผ้้นำามี
พฤติกรรมอย่างไร เช่น เป็ นแบบม่งุ งานหรือม่งุ สัมพันธ์ เป็ น
แบบใช้พระเดชหรือใช้พระคุณซึง่ มีลักษณะทีส
่ รุปได้ดังนี ้
1) ผ้้นำาแบบใช้พระเดช หมายถึงผ้้นำายึดถือเอา
กฎหมาย ระเบียบแบบแผนเป็ นทีต
่ ัง้
2) ผ้้นำาแบบใช้พระคุณ หมายถึงผ้้นำาทีม
่ ีอำานาจและ
ศิลปะในการทีจ
่ ะสามารถจ้งใจให้บุคคลทัง้ หลายทัง้ ปวง
ปฏิบัติตามทีต
่ นประสงค์
3) ผ้้นำาแบบสัญลักษณ์ หมายถึงผ้้นำาทีม
่ ีลักษณะเป็ น
สัญลักษณ์ของผ้้อย่้ในฐานะตำาแหน่งทีค
่ วรแก่การเคารพ
นับถือ
ถ้าพิจารณาผ้้นำาแบบใช้พระเดชจะพบว่า ตรงกับ
ประเภทของภาวะผ้้นำา คือ ผ้้นำาประเภทนิเสธ ส่วนผ้้นำาโดย
ตำาแหน่งก็มักจะมีพฤติกรรมแบบผ้้นำาแบบใช้พระเดชเป็ นส่วน
มาก คือเมือ
่ ได้รับการแต่งตัง้ ให้ดำารงตำาแหน่ง ก็มักยึดถือ
กฎหมายและระเบียบแบบแผนเป็ นทีต
่ ัง้ แต่ก็มีบ้างทีใ่ ช้
พระคุณ ส่วนผ้้นำาแบบใช้พระคุณนัน
้ ตรงกับผ้้นำาประเภทปฏิ
ฐาน และผ้้นำาโดยสถานการณ์ เพราะเป็ นผ้้นำาทีท
่ ำาให้ผ้ร่วม
งานเลือ
่ มใสศรัทธา และเห็นอกเห็นใจผ้ร
้ ่วมงานเหมือน ๆ
กัน ทัง้ ยังเป็ นผ้้นำาทีอ
่ าจจะไม่ได้รับการแต่งตัง้ ตามกฎหมาย
อีกด้วย
ร้ปแบบของผ้้นำาอาจสรุปได้จากลักษณะการใช้อำานาจ
และลักษณะของการปฏิบัติงาน ได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนีค
้ อ
ื
• การกำาหนดทีใ่ ช้สถานะเป็ นหลัก ได้แก่
• ผ้้นำาทีเ่ ป็ นมรดกตกทอด จากการสืบสกุล สืบทอด
• ผ้้นำาตามกฎหมาย จากการดำารง• ตำาแหน่ง• จาก
หน้าที ่
• ผ้้นำาทีส
่ ร้าง• สมบารมี จากการยอมรับ จากความ
เสน่หา
• ผ้้นำาทีเ่ ป็ นสัญ• ลักษณ์ จากการดำารง• ตำาแหน่ง•
ประมุขของ• ประเทศ สถาบัน ฯลฯ
• ผ้้นำาทีไ่ ด้รับการคัดเลือกในช่วง• ระยะเวลาสัน
้ ๆ
จากกรณีฉก
ุ เฉินชัว
่ คราว ผ้้นำาแบบไม่มีพิธีการ ผ้้นำา
แบบเปิ ดโอกาส
• การกำาหนดลักษณะการทำาง• านหรือพฤติกรรม
การปฏิบัติง• านเป็ นหลัก ได้แก่
ผ้้นำาทีย
่ ึดความคิดตนเป็ นหลัก ใช้อำานาจในการ
บังคับบัญ ชาการทำาง านอาจในลักษณะ
เผด็จการ มุ่ง ง านเป็ นหลัก ม่งุ
ผลผลิตเป็ นศ้นย์กลาง
ผ้้นำาทีป
่ ล่อยปละละเลย ทำาตัวตามสบาย แบบหนี
ง าน แบบนักบุญ หรือประนีประนอมมาก
เกินควร
ผ้้นำาทีย
่ ึดการทำาง านร่วมกันเป็ นหลัก มุ่ง
ความสัมพันธ์ทีด
่ ีต่อกัน มีการส่ง เสริม
แรง จ้ง ใจในการทำาง าน มีการ
นิเทศช่วยเหลือให้คำาแนะนำา มุ่ง คนเป็ น
ศ้นย์กลาง นักพัฒนา
ผ้้นำาผสมผสานผ้้นำาทีย
่ ึดทุกร้ปแบบหรือผสมผสาน
แนวทาง ในการดำาเนินการตามสถานการณ์
ตามลักษณะของ กลุ่มง านในอง ค์กา
รนัน
้ ๆ เช่นตามทฤษฎี ของ McGregor นัก
เผด็จการทีม
่ ีศิลปะ นักบริหาร นักพัฒนา
ทฤษฎีผู้นำา
1) ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
พืน
้ ฐานความคิดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมโดยสรุป
เชือ
่ ว่าพฤติกรรมของมนุษย์นัน
้ เกิดขึน
้ จากการเรียนร้้
สามารถสังเกตพฤติกรรมได้ในร้ปแบบต่างๆ กัน และเชือ
่
ว่าการให้ตัวเสริมแรง (Rein forcer) จะช่วยกระตุ้นให้เกิด
พฤติกรรมตามต้องการได้ นักจิตวิทยาทีไ่ ด้รับการยอมรับใน
กลุ่มนีไ้ ด้แก่ Pavlov ซึง่ เดิมเป็ นนักวิทยาศาสตร์ทีม
่ ีชือ
่ เสียง
ของรัสเซีย Watson นักจิตวิทยาชาวอเมริกันซึง่ ได้รับการ
ยอมรับว่า เป็ นบิดาของจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม และ
Skinner ชาวอเมริกัน ทีโ่ ดดเด่นในการนำาทฤษฎีด้าน
จิตวิทยามาประยุกต์ใช้เพือ
่ การเรียนการสอนโดยเฉพาะอย่าง
ยิง่ ทฤษฎีทีเ่ กีย
่ วข้องกับการเสริม แรง ได้มก
ี ารศึกษาวิจัย
อย่างต่อเนือ
่ งจนถึงปั จจุบัน
Skinner เชือ
่ ว่าตัวเสริมแรง เป็ นตัวแปรสำาคัญใน
การเปลีย
่ นพฤติกรรมหรือการเรียนร้้ของผ้้เรียน เกีย
่ วข้องกับ
ความเร็ว ความอดทนในการทำางาน ความสามารถบังคับ
ตนเอง และช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การเสริมแรงอาจ
เป็ นร้ปแบบของการให้รางวัลทีเ่ หมาะสม หรืออาจเป็ นความ
พึงพอใจทีเ่ กิดขึน
้ จากความสำาเร็จในการทำางานหรือทำา
กิจกรรม
2) ทฤษฎีภาวะผู้นำาดูานการศึกษาวิถีทางสู้เปูา
หมายของเฮาส์
เน้นบทบาทของผ้้จัดการทีส
่ ามารถเอือ
้ อำานวยการปฏิบัติ
งานไปส่้จุดหมายปลายทาง ด้วยการจัดวิถีทางการกำาหนด
งานให้มีความชัดเจนและการสร้างขวัญ มีการจัดรางวัลแก่ผ้
ปฏิบัติงานทีท
่ ำางานบรรลุประสิทธิผล
3) ทฤษฎีภาวะผู้นำาแบบตูอเนือ
่ งของทันเน
นบอมและชมิดท์
เน้นแนวความคิดว่าก่อนจะเลือกใช้แบบของผ้้นำา
ลักษณะใดนัน
้ จำาเป็ นต้องมีการพิจารณาปั จจัยให้รอบคอบ
เพือ
่ การตัดสินใจแบบผ้้นำาได้ผลเหมาะสมกับสถานการณ์
นัน
้ ๆ
1)ทฤษฎีความเป็ นผู้นำาตามวง2) จรชีวิต
เน้นว่าแบบของผ้้นำาทีม
่ ีประสิทธิภาพมากทีส
่ ุดจะ
เปลีย
่ นแปลงไปตามความเจริญวัยของผ้้ใต้บังคับบัญชา
3)ทฤษฎีสิง่ 4) ทดแทนความเป็ นผู้นำา
จะชีใ้ ห้เห็นว่าปั จจัยสถานการณ์บางอย่างสามารถ
ทดแทนพฤติกรรมของผ้้นำานัน
่ คือปั จจัยทางสถานการณ์ที ่
ทำาให้พฤติกรรมของผ้้นำาไม่จำาเป็ น สิง่ ทดแทนอาจจะเป็ น
คุณลักษณะของพนักงาน ดังนัน
้ ในบางครัง้ สมาชิกของกลุ่ม
บางคนจะเป็ นผ้้นำาทีไ่ ม่เป็ นทางการ ซึง่ ไม่ต้องการผ้้นำาทีเ่ ป็ น
ทางการช่วยเหลือการดำาเนินงานประจำาวันของกลุ่มให้บรรลุ
ความสำาเร็จ
5)ทฤษฎี 3 ทักษะ
ประกอบด้วยทักษะ 3 ประการ ด้วยกันคือทักษะใน
คตินิยม คือทักษะทีส
่ ามารถเข้าใจหน่วยงานของตนในทุก
ลักษณะ ทักษะทางมนุษย์สัมพันธ์ คือทักษะในความสามารถ
ทีจ
่ ะทำางานร่วมกับคนหลายประเภทได้เป็ นอย่างดีและทักษะ
ทางเทคนิค การทำางานเกีย
่ วกับกิจกรรมเฉพาะอย่างทีต
่ ้อง
อาศัยความร้้ การวิเคราะห์ การใช้เครือ
่ งมือในการปฏิบัติ
งาน
ในปั จจุบันนักวิจัยได้ดำาเนินการศึกษาถึงความเเตก
ต่างระหว่างความเป็ นผ้้นำาเชิงการจัดการเเละความเป็ นผ้้นำา
เชิงการปฏิร้ปพบว่าความเป็ นผ้้นำาเชิงการจัดการเป็ นอย่าง
เดียวกับการบริหารงานประจำาวันเนือ
่ งจากการดำาเนินการ
ต้องการเพียงให้มีประสิทธิภาพเท่านัน
้ เเต่นักวิจัยหลายคน
ยืนยันว่าความเป็ นผ้้นำาเชิงการจัดการอย่างเดียวอาจจะไม่
เพียงพอทีจ
่ ะนำาองค์การเผชิญกับความท้าทายภายใต้สภาพ
เเวดล้อมทีเ่ ปลีย
่ นเเปลงเเละซับซ้อนมากขึน
้ ได้ ดังนัน
้ ความ
เป็ นผ้้นำาเชิงการปฏิร้ปจึงมีความจำาเป็ น ทีจ
่ ะจ้งใจพนักงานให้
กระทำามากกว่าทีค
่ าดหวังเอาไว้และจะปลุกเร้าพนักงานให้
มองนอกเหนือไปจากผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขาเอง
เเละกลายเป็ นความผ้กพันต่อการทำางานหนักมากขึน
้ เพือ
่ ที ่
จะทำาให้โลกทัศน์ของผ้้นำากลายเป็ นความจริง ดังนัน
้ ผ้้นำาเชิง
การปฏิร้ปจะต้องควบค่้กับผ้้นำาเชิงการจัดการ เพือ
่ ทีจ
่ ะรักษา
การดำาเนินงานขององค์การของพวกเขาให้ราบรืน
่ ต่อไป
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมือ
่ ผ้้นำา ( Leader ) คือ ผ้้ทีจ
่ ะ
ต้องมีอำานาจ ( Power ) หรือเป็ นผ้้มีอิทธิพลเหนือผ้้อืน
่
(Influence over others) หรือเป็ นผ้้มีอำานาจการบังคับบัญชา
ตามกฎหมายระเบียบภายในองค์กร ( Authority ) เมือ
่ พ้ดสิง่
ใดผ้้อืน
่ จะเชือ
่ ถือและทำาตาม โดยทีอ
่ ำานาจจะตัง้ อย่้บนฐานทัง้
3 ฐาน ทีจ
่ ะสร้างอำานาจและมีขีดความสามารถในการเป็ น
ผ้้นำาส้งได้ดังนี ้ ต้องอย่้บนความชอบธรรมด้านกฎหมาย ด้าน
สังคมด้านฐานบนบารมี ( Base on charisma ) ซึง่ ในสังคม
ไทยบารมีเกิดจากการให้เป็ นกระบวนการสะสมกุศลบารมี
ทัง้ ด้านทรัพยากร วัตถุ การช่วยเหลือด้านแรงกายและแรงใจ
ส่วนบทบาทของการนำาทีจ
่ ะเป็ นตัวชีข
้ าดนัน
้ จะเป็ น
เรือ
่ งของการนำาทางความคิด ซึง่ มีความสำาคัญกว่าการมี
ตำาแหน่งการนำา เพราะจะต้องเข้าใจในตัวของผ้้ตาม และ
ผ้้นำาควรมีความรับผิดชอบต่อสิง่ ทีก
่ ระทำาเสมอ ซึง่ หัวหน้า
งานควรมีบทบาทการเป็ นผ้้นำา โดยจะเป็ นคนด้แลควบคุมการ
ทำางานของล้กน้องให้เป็ นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การ
เป็ นผ้้กระจายข่าวสารข้อม้ลให้แก่องค์การ และเป็ นผ้้ริเริม
่ ให้
เกิดการเปลีย
่ นแปลงแนวทางในการทำางานของกลุ่ม
สถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ทำาให้คนมี
บทบาททีแ
่ ตกต่างกัน ดังนัน
้ เรายึดสถานภาพอะไรเป็ นตัว
กำาหนดบทบาทของผ้้นำา คือยึดตำาแหน่งทางโครงสร้างของ
องค์การยึดสถานภาพทางการและไม่เป็ นทางการ ยึดความ
ชอบธรรมโดยตำาแหน่งและโดยการยอมรับด้านบารมีรวมทัง้
โดยยึดสัญลักษณ์กับผลงาน ซึง่ จะทำาให้เห็นทีม
่ าของผ้้นำา
สถานภาพและบทบาท ของผ้้นำาทีจ
่ ะทำาให้เราสามารถ
จำาแนกแยกประเภทภาวะผ้้นำาหรือร้ปแบบการนำาได้
จากร้ปแบบการเป็ นผ้้นำาทัง้ หมดนี ้ ผ้้นำาแบบออกคำาสัง่
ได้ผลน้อยทีส
่ ุด เพราะการข่มข่้สง่ ผลกระทบต่อการทำางาน
ของผ้้ปฏิบัติงานและยังบ่อนทำาลายความภาคภ้มิใจของผ้้รว
่ ม
งาน แต่ก็สามารถใช้ได้ผลในบางสถานการณ์เช่นกัน เช่น
กรณีฉุกเฉิน ดังนัน
้ การจะใช้ร้ปแบบการเป็ นผ้้นำาอย่างได้ผล
ต้องอาศัยทักษะความฉลาดทางอารมณ์ 3 ประการ คือ
1. การสร้างอิทธิพลเหนือคนอืน
่ (Influence)
2. การใฝ่ หาความสำาเร็จ (Achievement)
3. การริเริม
่ สร้างสรรค์ (Initiative)
ส้ง
มูุงมิตรสัมพันธ์
ตำ่า มูุงกิจสัมพันธ์
ส้ง
2) การศึกษาภาวะผ้้นำาทีม
่ หาวิทยาลัยมิชิแกน (The
University of Michigan studies) ในขณะเดียวกันกับการ
ศึกษาภาวะผ้้นำาทีโ่ อไฮโอสเตทนัน
้ คณะนักวิจัยของ
มหาวิทยาลัย มิชิแกน ก็ได้ทำาการวิจัยเช่นกัน โดยจำาแนก
พฤติกรรมของผ้้นำาออกเป็ น 2 แบบ ได้แก่ พฤติกรรมของ
ผ้้นำาทีม
่ ุ่งผลผลิต (Production-centered leaders) กับ
พฤติกรรมของผ้้นำาทีม
่ ุ่งคนงาน (Employee – centered
leaders) ดังนี ้
2.1) ผ้้นำาทีม
่ ุ่งผลผลิต (Production – centered
leaders) เป็ นผ้้นำาทีแ
่ สดงพฤติกรรมต่าง ๆ ทีเ่ กีย
่ วกับ
กระบวนการทีน
่ ำาไปส่้การผลิต เช่น พฤติกรรมในการกำาหนด
มาตรฐาน การจัดแบ่งงาน การอธิบายขัน
้ ตอนและวิธีการ
ทำางาน การนิเทศตรวจสอบการปฏิบัติงานของคนทัง้ นีเ้ พือ
่
ประกันความสำาเร็จของงาน
2.2) ผ้้นำาทีม
่ ุ่ง2.3) คนง2.4) าน (Employee-
centered leaders) เป็ นผ้้นำาทีแ
่ สดง2.5) พฤติกรรมต่อ
พนักง2.6) านด้วยการกระตุ้นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ
กำาหนดเป้ าหมายการทำาง2.7) าน การตัดสินใจทีเ่ กีย
่ วกับ
การทำาง2.8) าน พฤติกรรมของ2.9) ผ้้นำาจะแสดง2.10)
ออกด้วยการไว้วาง2.11) ใจ เคารพต่อกัน ใช้วิธี
จ้ง2.12) ใจต่อการทำาง2.13) านเพือ
่ ให้ได้ผลผลิตออกมา
ส้ง2.14) พฤติกรรมของ2.15) ผ้้นำาทีม
่ ุ่ง2.16) ผลผลิต
และมุ่ง2.17) คนง2.18) าน จึง2.19) มีความ
คล้ายคลึง2.20)กับพฤติกรรมมุ่ง2.21) กิจสัมพันธ์และ
มุ่ง2.22) มิตรสัมพันธ์ทีก
่ ล่าวมาแล้วตามลำาดับ สิง่ 2.23)
ทีเ่ ป็ นข้อแตกต่าง2.24) กันก็คอ
ื แนวคิดตามการ
ศึกษาที ่ มิชิแกน ระบุว่า ผ้้นำาจะต้อง2.25) มีพฤติกรรม
เป็ นเพียง2.26) อย่าง2.27) ใดอย่าง2.28) หนึง่ 2.29)
ระหว่าง2.30) พฤติกรรมทีม
่ ุ่ง2.31) ผลผลิตหรือพฤติกรรมที ่
มุ่ง2.32) คนง2.33) าน จึง2.34) เป็ นแนวคิดเชิง2.35) มิติ
เดียว (One dimension) ส่วนแนวคิดของ2.36)การศึกษาที ่
มหาวิทยาลัยโอไฮโอ สเตทเป็ นแนวคิดแบบสอง2.37) มิติ
โดยถือว่า ผ้้นำาแต่ละคนจะแสดง2.38) พฤติกรรมทัง้ 2.39)
มิติมุ่ง2.40) กิจสัมพันธ์และมุ่ง2.41) มิตร
สัมพันธ์ เกิดเป็ นผ้้นำา 4 แบบดัง2.42) กล่าวมาแล้ว
9 1,9 9,9
พฤติกรรมม่งุ คน(Concernfor People) C
ountryC lubM anagem ent T eam Managem ent
8 ผน้ ำา
ท เอ
ี่ า
แตน่า
ำ้ ใจ
คน ผ
น้ ำา
แ
บ บ
ทำา
งานเป็นทมี
5 5,5
M
iddleoftheR oadM
anagem ent
4 ผน้ ำา
แ
บ บพบก
นัค
รงึ่ท
าง
3
A
uthority-C
om pliance
Im
poverishedM anagem ent M anagem ent
2 ผน
้ ำา
แ
บ บยาำ่ แ
ย่ ผ น
้ ำา
แบ บ
เอาแต ง่ า
น
1 1,1 9,1
1 2 3 4 5 6 7 8 9
Low H
igh
พ
ฤตก
ิร
รมม
งุ่ ผ
ลผล
ติ (C
oncernforR
esults)
กล่าวโดยสรุป แม้ว่าผลงานวิจัยเกีย
่ วกับภาวะผ้้นำาเชิง
พฤติกรรมทีย
่ กเป็ นตัวอย่างทัง้ สามแนวคิด จะให้กรอบความ
คิดในการจัดแบ่งมิติของพฤติกรรมหลัก และแบบต่าง ๆ
ของผ้้นำาซึง่ ผ้้บริหารสามารถนำาไปใช้วิเคราะห์ตนเองและ
เลือกใช้ตามทีต
่ ้องการก็ตาม แต่ผลวิจัยเหล่านีไ้ ด้เสนอ
แนะแนวทางปฏิบัติทีม
่ ีประโยชน์ต่อผ้้บริหาร ได้แก่
(1) ผ้้บริหารจำาเป็ นต้องหาแนวปฏิบัติ ทีเ่ น้นทัง้ ด้านงาน
และความสัมพันธ์ไปพร้อมกัน
(2) ต้องใช้วัตถุประสงค์และลำาดับความสำาคัญก่อนหลัง
ของภารกิจเป็ นตัวนำาพฤติกรรม
(3) ร้จ
้ ักเลือกใช้พฤติกรรมทีเ่ หมาะสมและสอดคล้องกับ
สถานการณ์
10) ทฤษฎีการแลกเปลีย
่ นระหวูาง11) ผู้นำากับ
สมาชิก (Leader-Member Exchange Theory)
แนวคิดของทฤษฎีภาวะผ้้นำาส่วนใหญ่จะมองถึงความ
สัมพันธ์ระหว่างผ้้นำากับผ้้ตามในลักษณะทีผ
่ ้นำาปฏิบัติต่อผ้้
ตามเป็ นกลุ่มโดยเฉลีย
่ ใช้ภาวะผ้้นำาต่อผ้้ตามแต่ละคนเท่ากัน
แต่ทฤษฎีการแลกเปลีย
่ นระหว่างผ้้นำากับสมาชิก ซึง่ จะเรียก
โดยย่อว่า “ทฤษฎี LMX” เชือ
่ ว่าความสัมพันธ์ ระหว่างผ้้นำา
กับผ้้ตามแต่ละคนเป็ นกระบวนการแลกเปลีย
่ นทีไ่ ม่เท่ากันโดย
มากหรือน้อยขึน
้ อย่ก
้ ับความสัมพันธ์แบบสองต่อสองระหว่าง
ตัวผ้้นำากับผ้้ตามแต่ละคนเป็ นสำาคัญ ทัง้ นีผ
้ ้ตามแต่ละคนทีม
่ ี
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับผ้้นำามักจะได้รับการปฏิบัติที ่
ดีจากผ้้นำา ผ้้ตามเหล่านีจ
้ ึงมีลักษณะเป็ น “คนวงใน” (in-
group) ส่วน ผ้้ตามอีกส่วนหนึง่ ซึง่ แต่ละคนมีความสัมพันธ์
กับผ้้นำาแบบปกติธรรมดาตามเงือ
่ นไขของการทำางานและไม่
ได้รับความสนิทสนมเป็ นพิเศษแต่อย่างใด ผ้้ตามกลุ่มหลังนี ้
เรียกว่า “คนวงนอก” (Out-group) ดังภาพ
+3 +3 +3 +3 +3
+3 0 0 0 0
0 0
น่าพึง 8 7 6 5 4 3 2 1 ไม่น่าพึง
พอใจ พอใจ
เป็ นมิตร 8 7 6 5 4 3 2 1 ไม่เป็ น
มิตร
ไม่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ยอมรับ
ยอมรับ
เครียด 1 2 3 4 5 6 7 8 ผ่อน
คลาย
ฯลฯ
3) ความสอดคล้องระหว่างแบบภาวะผ้้นำากับ
สถานการณ์
ในการหาคำาตอบว่าภาวะผ้้นำาแบบใดจะมีประสิทธิผล
ในสถานการณ์ใดนัน
้ ฟี ดเลอร์ได้รวบรวมข้อม้ลจากการ
ศึกษาไม่น้อยกว่า 800 กลุ่มในช่วงเวลากว่า 10 ปี โดยแต่ละ
กลุ่มจะหาความสัมพันธ์ระหว่างแบบภาวะผ้้นำากับประสิทธิผล
ของกลุ่ม จากนัน
้ นำามาเขียนเป็ นกราฟโดยใช้มัธยฐาน
(Median) ของค่าสหสัมพันธ์ในแต่ละสถานการณ์ ซึง่ ปรากฏ
ดังภาพที ่ 8.5 ทีไ่ ด้ปรับปรุงใหม่แล้ว ดังนี ้
แอลพีซส ี ูง :
มุง
ุ สัมพันธ์ 1.00
0.80
0.60
0.40
0.20
ความสัมพันธ์ แบบมุงุ สัมพันธ์
ระหวุางแบบ 0.00
มีประสิทธิผลมาก
ภาวะผู้น่ากับ
ประสิทธิผล แบบมุงุ งาน
-0.20 แบบมุงุ งาน มีประสิทธิผลมาก
มีประสิทธิผลมาก
-0.40
-0.60
-0.80
แอลพีซีต่่า :
มุง
ุ งาน -1.00
ควบคุมมาก 1 2 3 4 5 6 7 8 ควบคุมน้อย
ความสัมพันธ์ระหวุาง
ผู้น่ากับสมาชิก ดี ดี ดี ดี ไมุดี ไมุดี ไมุดี ไมุดี
โครงสร้างของงาน ชัด ชัด ไมุชัด ไมุชดั ชัด ชัด ไมุชัด ไมุชัด
อ่านาจในต่าแหนุ ง มาก น้อย มาก น้อย มาก น้อย มาก น้อย
ภาพที ่ 2.4 สรุปตัวแบบการวิจัยตามสถานการณ์ของฟี ดเลอร์
ทีม
่ า : สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ 2544: 268
จากแผนภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าความเหมาะสม
ของแบบภาวะผ้้นำาทีท
่ ำาให้กลุ่มมีประสิทธิผลส้งสุดขึน
้ อย่้กับ
สถานการณ์ทีเ่ อือ
้ ต่อผ้้นำา หรือสถานการณ์ทีง่ ่าย-ยากต่อการ
ควบคุมหรือปกครอง จากผลการวิจัย ฟี ดเลอร์จึงสรุปสาระ
สำาคัญของทฤษฎีสถานการณ์ของเขาไว้ดังนี ้
1) ในสถานการณ์ทีต
่ ้องควบคุมมาก ผ้้นำาแบบมุ่งงาน
(มีแอลพีซีตำ่า) จะมีประสิทธิผลส้งกว่าผ้้นำาแบบมุ่งความ
สัมพันธ์
2) ในสถานการณ์ทีต
่ ้องควบคุมปานกลาง ผ้้นำาแบบมุ่ง
สัมพันธ์ (หรือมีแอลพีซีส้ง) จะมีประสิทธิผลส้งกว่าผ้้นำาแบบ
มุ่งงาน
3) ในสถานการณ์ทีค
่ วบคุมน้อย ผ้้นำาแบบมุ่งงาน (มี
แอลพีซีตำ่า) จะมีประสิทธิผลส้งกว่า ผ้้นำาแบบมุ่งความ
สัมพันธ์
ในส่วนของตัวผ้้นำาโดยเสน่หานัน
้ ผลการศึกษาของคอง
เกอร์และคานันโก (Conger and Kanungo, 1998) ได้สรุป
เปรียบเทียบพฤติกรรมผ้้นำาโดยเสน่หากับผ้้นำาทีม
่ ิใช่ผ้นำาโดย
เสน่หา ดังตารางต่อไปนี ้
ตารางที ่ 2.5: แสดงพฤติกรรมของผ้้นำาโดยเสน่หากับผ้้นำา
มิใช่ผ้นำาโดยเสน่หา
(Charismatic and non-charismatic leaders behaviors)
ทีม
่ า : Conger & Kanungo,1998 : 51
อย่างไรก็ตาม กระบวนการทีผ
่ ้นำาโดยเสน่หาใช้ในการ
ทำาให้ผ้ตามเกิดความเลือ
่ มใสศรัทธาและเกิดความผ้กพันขึน
้
นัน
้ ยังเป็ นเรือ
่ งทีไ่ ม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนนัก แต่ก็มีแนว
โน้มทีพ
่ อเชือ
่ ได้ว่า ความร้้สึกผ้กพันของผ้้ตามจะเพิม
่ ขึน
้ ถ้า
ผ้้นำาสามารถทำาให้วิสัยทัศน์มีความชัดเจน สามารถเข้าใจได้
ง่ายจนผ้้ตามร้้สึกมัน
่ ใจว่าทำาได้สำาเร็จจริง ผ้้นำาทีร
่ ิเริม
่ กลยุทธ์
ใหม่ๆ จึงมีความเสีย
่ งต่อความสำาเร็จค่อนข้างมาก แต่เมือ
่
กลยุทธ์นัน
้ ประสบความสำาเร็จได้ ก็จะยิง่ เพิม
่ ลักษณะความ
เสน่หาให้แก่ตัวผ้้นำายิง่ ขึน
้ และเพิม
่ ความสำาเร็จขององค์การ
ตามไปด้วย
ผ้้นำาโดยเสน่หาสามารถมีอิทธิพลทีก
่ ระทบต่อองค์การ
อย่างมหาศาล โดยไม่จำาเป็ นต้องเป็ นผลกระทบด้านบวก
เสมอไป ดังตัวอย่างของผ้้ประกอบการทีส
่ ามารถนำาพาบริษัท
ไปส่้ความร่งุ เรืองมากได้ แต่ต่อมาด้วยความหลงตนเองกับ
ความสำาเร็จมากเกินไปจนเกิดพฤติกรรมเผด็จการหลงอำานาจ
ไม่ฟัง คนอืน
่ สุดท้ายทำาให้บริษัทพบความหายนะในเวลาต่อ
มา การทีผ
่ ้นำาโดยเสน่หามีพฤติกรรมหลงอำานาจดังกล่าว จะ
แสดงออกด้วยการควบคุมกำากับ ครอบงำา ใช้อารมณ์กับผ้้
ตาม ขาดความร้้สึกทีไ่ วต่อความต้องการของผ้้อืน
่ และชอบ
ปกป้ องตนเอง บางครัง้ ผ้้นำาโดยเสน่หาเชิงลบ อาจแสดง
พฤติกรรมหน้าฉากเสมือนเป็ นผ้้เสียสละทีค
่ อยกระตุ้น
สนับสนุนการทำางานของผ้้ตามไปส่้อุดมการณ์ขององค์การ
แต่มีพฤติกรรมซ่อนเร้นอย่้เบือ
้ งหลังก็คือเพือ
่ ให้ได้ประโยชน์
ส่วนตนเป็ นสำาคัญ ส่วนผ้้นำาโดยเสน่หา เชิงบวก จะแสดง
การเสียสละอย่างบริสุทธิใ์ จในการสนับสนุนการดำาเนินงาน
ทัง้ หลายให้ไปส่้วิสัยทัศน์ขององค์การอย่างแท้จริง ในขณะ
เดียวกันก็จะคอยเอาใจใส่ไม่ละเลยทีจ
่ ะตอบสนองความ
ต้องการส่วนบุคคลของผ้้ตามควบค่้ไปด้วย
21) ทฤษฎีภาวะผู้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพ
(Transformational Leadership)
แนวคิดเกีย
่ วกับภาวะผ้้นำาทีม
่ ีการศึกษาวิจัยมากในช่วง
ตัง้ แต่ทศวรรษ 1980 เป็ นต้นมาได้แก่ ภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ น
สภาพ (Transformational leadership) จากชือ
่ ของทฤษฎีนีไ้ ด้
บ่งบอกถึงกระบวนการเปลีย
่ นแปลงหรือการแปรสภาพในตัว
บุคคล โดยผ้้นำาจะมุ่งเน้นการเปลีย
่ นแปลงเรือ
่ งค่านิยม
คุณธรรม มาตรฐานและการมองการณ์ไกลไปในอนาคต
ผ้้นำาเปลีย
่ นสภาพจะให้ความสำาคัญต่อการประเมินเพือ
่ ทราบ
ถึงระดับแรงจ้งใจของผ้้ตาม แล้วพยายามหาแนวทางตอบ
สนองความต้องการและปฏิบัติต่อผ้้ตามด้วยคุณค่าความเป็ น
มนุษย์ โดยสาระของทฤษฎีแล้ว ภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพ
จะกว้างขวางครอบคลุมแนวคิดของภาวะผ้้นำาโดยเสน่หา
(Charismatic leadership) ภาวะผ้้นำาเชิงวิสัยทัศน์ (Visionary
leadership) รวมทัง้ ภาวะผ้้นำาเชิงวัฒนธรรม (Cultural
leadership) ด้วย
ภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพจึงเป็ นทฤษฎีภาวะผ้้นำาที ่
สามารถใช้ในการอธิบายกระบวนการอิทธิพลได้อย่างกว้าง
ขวาง ตัง้ แต่ระดับจุลภาคระหว่างผ้้นำากับผ้้ตามเป็ นรายบุคคล
ไปจนถึงระดับมหภาคระหว่างผ้้นำากับบุคลากรทัง้ องค์การ
ตลอดจนทัง้ ระบบวัฒนธรรม แม้ว่าโดยบทบาทหลักของผ้้นำา
แบบเปลีย
่ นสภาพคือก่อให้เกิดการเปลีย
่ นแปลงต่าง ๆ ขึน
้ ใน
องค์การก็ตาม แต่ตลอดเส้นทางของกระบวนการ
เปลีย
่ นแปลงดังกล่าว ผ้้นำากับผ้้ตามจะผ้กพันต่อกันอย่าง
มัน
่ คง ทฤษฎีภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพได้รับการยอมรับว่า
มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกในยุคทีม
่ ีความ
เปลีย
่ นแปลงเกิดขึน
้ อย่้ตลอดเวลามากทฤษฎีหนึง่ ในปั จจุบัน
เบอร์น (Burns, 1978) เป็ นบุคคลแรกทีน
่ ำาเสนอมโน
ทัศน์เกีย
่ วกับภาวะผ้้นำาเปลีย
่ นสภาพในผลงานวิจัยเรือ
่ งผ้้นำา
ทางการเมืองของตน โดยเบอร์นอธิบายภาวะผ้้นำาเปลีย
่ น
สภาพว่า“เป็ นกระบวนการทีท
่ ัง้ ผ้้นำาและผ้้ตามต่างช่วยยก
ระดับของคุณธรรมและแรงจ้งใจของกันและกันให้ส้งขึน
้ ”
ผ้้นำาดังกล่าวจะหาวิธีการยกระดับจิตใจของผ้้ตามด้วยการ
ดึงด้ดความสนใจมาส่้อุดมการณ์และค่านิยมทางศีลธรรมทีด
่ ี
งาม เช่น เสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค สันติภาพ
และความมีมนุษยธรรม เป็ นต้น และพ้นจากสิง่ ชัว
่ ช้าทาง
อารมณ์ เช่น ความกลัว ความโลภ ความอิจฉาริษยาหรือ
ความเกลียดชัง เป็ นต้น ผ้้ตามจะถ้กยกระดับความคิดจาก
“ทำาพอแค่วันนี ้” ไปส่้ “ทำาเพือ
่ ความดีงามทีด
่ ีกว่าของพร่งุ นี ้”
ตามแนวคิดของเบอร์นใครก็ได้ในองค์การจะอย่้ในตำาแหน่ง
หรืออย่้ในองค์การแบบใดก็ตามสามารถแสดงพฤติกรรม
ภาวะผ้้นำาเปลีย
่ นสภาพได้ทัง้ สิน
้ โดยสามารถมีอิทธิพลต่อ
เพือ
่ นร่วมงาน ต่อผ้้บังคับบัญชาหรือต่อผ้้อย่้ใต้บังคับบัญชา
ก็ได้ และทัง้ สามารถเกิดขึน
้ ในชีวิตประจำาวันของบุคคลทัว
่ ไป
ก็ได้
เบอร์นยังอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างผ้้นำาแบบ
เปลีย
่ นสภา (Transformational leaders) กับผ้้นำาแบบแลก
เปลีย
่ น (Transactional leaders) โดยทีผ
่ ้นำาแบบแลกเปลีย
่ น
จะจ้งใจผ้้ตามของตน ด้วยการดึงด้ดความสนใจให้มาอย่้ทีผ
่ ล
ประโยชน์ส่วนตัว ยกตัวอย่างเช่น ผ้้นำาทางการเมืองเสนอข้อ
แลกเปลีย
่ นกับผ้้อืน
่ ว่า จะให้งานให้ตำาแหน่ง เงินอุดหนุน
หรือให้ผลตอบแทนจากสัมปทานของรัฐ แก่หว
ั คะแนนทีช
่ ่วย
หาเสียงทำาให้ตนได้รับเลือกตัง้ หรือผ้้นำาบริษัทเสนอข้อแลก
เปลีย
่ นการขึน
้ เงินเดือนหรือตำาแหน่งหน้าทีง่ าน เมือ
่ ล้กน้อง
ขยันขันแข็งและมีผลงานดีเยีย
่ ม เป็ นต้น ผ้้นำาแบบแลก
เปลีย
่ น เกีย
่ วข้องกับเรือ
่ งค่านิยมเช่นกัน แต่เป็ นค่านิยมที ่
สอดคล้องกับกระบวนการแลกเปลีย
่ น (Exchange process)
เช่น แลกเปลีย
่ นอย่างเป็ นธรรม อย่างซือ
่ สัตย์ อย่างมีความ
รับผิดชอบและค่านิยมอืน
่ ทีม
่ ี เกีย
่ วข้องกับกระบวนการแลก
เปลีย
่ น เป็ นต้น
(สุเทพ พงศรีวัฒน์, 2544)
2) ทฤษฎีภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพของแบส
(Bass’s Theory of Transformational Leadership)
แบส(Bass, 1985) ได้เสนอทฤษฎีภาวะผ้้นำาแบบ
เปลีย
่ นสภาพโดยอาศัยพืน
้ ฐานแนวความคิดของเบอร์น ซึง่
แบ่งผ้้นำาออกเป็ น 2 แบบ ดังกล่าวแล้ว โดยแบสให้ทัศนะว่า
ผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ น (Transactional leaders) ใช้การให้
รางวัลเพือ
่ แลกเปลีย
่ นกับการยินยอมปฏิบัติตาม ส่วนผ้้นำา
แบบเปลีย
่ นสภาพ (Transformational leaders) นัน
้ ได้ให้
นิยามในแง่ผลของผ้้นำาทีก
่ ระทบต่อผ้้ตามอันได้แก่ ผ้้ตามให้
ความไว้วางใจ มีความร้้สก
ึ ทีช
่ ืน
่ ชม ให้ความจงรักภักดี และ
ความเคารพนับถือต่อผ้้นำา จนสามารถส่งผลให้เกิดแรงจ้งใจ
ทำางานได้ผลมากกว่าความคาดหวังเดิมทีก
่ ำาหนดไว้ โดยแบ
สอธิบายว่า ผ้้นำาเปลีย
่ นแปลงและจ้งใจต่อผ้้ตามด้วยวิธีการ
ดังนี ้
1) ทำาให้ผ้ตามเกิดตระหนักในความสำาคัญของผลงาน
ทีเ่ กิดขึน
้
2) โน้มน้าวจิตใจของผ้้ตามให้เปลีย
่ นจากการยึดในผล
ประโยชน์ของตนเอง มาเป็ นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
ขององค์การและหม่้คณะแทน
3) กระตุ้นให้ผ้ตามยกระดับของความต้องการทีส
่ ้งขึน
้
กว่าเดิม (Higher order needs) แม้ว่ากระบวนการอิทธิพลที ่
เกิดจากภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพจะยังไม่สามารถอธิบาย
ได้ชัดเจนก็ตาม แต่ทฤษฎีนีก
้ ็เชือ
่ ว่า ภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ น
สภาพจะส่งเสริมแรงจ้งใจและผลงานของผ้้ตามได้มากกว่า
ภาวะผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ น
1.1 ข้อแตกต่างระหว่างภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพกับ
ภาวะผ้้นำาโดยเสน่หา แบสมีความเห็นว่า ภาวะผ้้นำาแบบ
เปลีย
่ นสภาพมีลักษณะเด่นทีต
่ ่างไปจากภาวะผ้้นำาโดยเสน่หา
อย่้หลายประการ (Bass, 1985) กล่าวคือ ความเสน่หา
(Charisma) เป็ นเพียงองค์ประกอบหนึง่ ทีจ
่ ำาเป็ นของภาวะผ้้นำา
แบบเปลีย
่ นสภาพเท่านัน
้ และโดยลำาพังทฤษฎีภาวะผ้้นำาโดย
เสน่หาเองนัน
้ ยังไม่มีความสามารถพอทีจ
่ ะก่อให้เกิด
กระบวนการเปลีย
่ นแปลงขึน
้ ได้ ทัง้ นีแ
้ ม้ว่าผ้้ตามจะชืน
่ ชม
ศรัทธา ลอกเลียนแบบพฤติกรรมและบุคลิกภาพของผ้้นำาโดย
เสน่หาแล้วก็ตามแต่ยังไม่เกิดแรงจ้งใจทีส
่ ้งพอทีจ
่ ะเปลีย
่ น
ความติดยึดจากผลประโยชน์ตนเอง ไปเป็ นการเห็นแก่
ประโยชน์ของส่วนร่วมซึง่ ค่อนข้างมีลักษณะเป็ นนามธรรมได้
แต่อย่างใด สิง่ ทีภ
่ าวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพเหมือนกับผ้้นำา
โดยเสน่หาก็คือ การมีอิทธิพลต่อผ้้ตามด้วยการปลุกเร้าด้าน
อารมณ์และให้เกิดการลอกเลียนแบบอย่างของผ้้นำา รวมทัง้
การพยายามเปลีย
่ นแปลงผ้้ตามโดยผ้้นำาทำาหน้าทีเ่ ป็ นคร้ พี ่
เลีย
้ ง ผ้้ฝึกสอนทีค
่ อยด้แลและแนะนำาแก่ผ้ตาม ทัง้ นีผ
้ ้นำาแบบ
เปลีย
่ นสภาพจะใช้วิธีการยกระดับผ้้ตามด้วยการมอบอำานาจ
ความรับผิดชอบการตัดสินใจ (Empower) แก่ผ้ตาม ในขณะ
ทีผ
่ ้นำาโดยเสน่หาส่วนใหญ่วิธีการทีใ่ ช้ทำาให้ผ้ตามอ่อนแอลง
โดยถ้กสอนให้คอยการพึง่ พาและถ้กหล่อหลอมซึมซับให้
จงรักภักดีต่อผ้้นำามากกว่าการยึดมัน
่ ต่ออุดมการณ์ของ
องค์การ
ในทัศนะของแบส ผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพพบได้ทัว
่ ไปใน
องค์การไม่ว่าแบบใดและไม่ว่าระดับตำาแหน่งใด ในทางตรง
กันข้าม ผ้้นำาโดยเสน่หาเป็ นสิง่ ทีห
่ ายากมักจะพบได้ในภาวะที ่
องค์การตึงเครียดเนือ
่ งมาจากอำานาจทีเ่ ป็ นทางการไม่
สามารถใช้เพือ
่ แก้ปัญหาวิกฤติทีเ่ กิดขึน
้ โดยเฉพาะปั ญหาที ่
บ่อนทำาลายต่อประเพณีความเชือ
่ และค่านิยมดีงามของส่วน
รวม ผ้้คนส่วนใหญ่จะออกมา ถามหาผ้้นำาโดยเสน่หาให้ช่วย
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าว อย่างไรก็ตามความเสน่หาเป็ น
สิง่ ทีม
่ ีสองขัว
้ ทีอ
่ ย่้สุดทัง้ สองข้าง ดังจะเห็นได้จากผ้้นำาโดย
เสน่หาจะมีทัง้ กลุ่มคนทีร
่ ักมาก และกลุ่มคนทีเ่ กลียดชังมาก
เช่นกัน และนีค
่ ือสาเหตุว่าทำาไมผ้้นำาโดยเสน่หาจึงมักถ้กลอบ
ปลงชีวิต ในขณะทีก
่ รณีเช่นนีเ้ กิดขึน
้ กับผ้้นำาแบบเปลีย
่ น
สภาพน้อยมาก
1.2 พฤติกรรมผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพและพฤติกรรมผ้้นำา
แบบแลกเปลีย
่ น (Transformational and transactional
behaviors)
พฤติกรรมของผ้้นำาตามทฤษฎีของแบส ดังได้กล่าวมา
แล้วแบ่งออกเป็ น 2 แบบใหญ่ ๆ ได้แก่ พฤติกรรมของผ้้นำา
แบบเปลีย
่ นสภาพ กับพฤติกรรมของผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ น
โดยผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพมีพฤติกรรมอย่้ 4 องค์ประกอบ
และผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ นมีพฤติกรรมอย่้ 3 องค์ประกอบโดย
แบสเห็นว่าแม้ภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพจะต่างจากภาวะ
ผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ นอย่างเด่นชัด แต่โดยกระบวนการแล้วไม่
สามารถทีจ
่ ะแยกจากกันได้อย่างแท้จริงโดยเขายอมรับว่า
ผ้้นำาคนเดียวกันอาจใช้ภาวะผ้้นำาได้ทัง้ สองแบบในเวลาและ
สถานการณ์ทีต
่ ่างกัน
ตารางที ่ 2.6: พฤติกรรมแบบเปลีย
่ นสภาพและพฤติกรรม
แบบแลกเปลีย
่ น
พฤติกรรมแบบเปลีย
่ นสภาพ (Transformational
Behaviors)
- อิทธิพลด้านอุดมการณ์ (Idealized influence)
- การม่งุ - ความสัมพันธ์เป็ นรายคน
(Individualized consideration)
- การจ้ง- ใจด้านแรง- ดลใจ (Inspirational
motivation)
- การกระตุ้นการใช้ปัญ- ญ- า (Intellectual
stimulation)
พฤติกรรมแบบแลกเปลีย
่ น (Transactional
Behaviors)
- การให้ราง- วัลตามสถานการณ์
(Contingent rewards)
- การบริหารแบบวาง-เฉยเชิง- รุก (Active
management by exception)
- การบริหารแบบวาง-เฉยเชิง- รับ (Passive
management by exception)
- ภาวะผ้้นำาแบบปล่อยตามสบาย (Laissez-faire
leadership)
ทีม
่ า : Northouse, 2001: 133
เมือ
่ แรกเริม
่ เสนอทฤษฎีใหม่ ๆ แบส (Bass, 1985) ได้
ระบุพฤติกรรมของผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพไว้เพียง 3 องค์
ประกอบได้แก่ ความเสน่หา (Charisma) การกระตุ้นการใช้
ปั ญญา (Intellectual stimulation) และการม่งุ ความสัมพันธ์
เป็ นรายคน (Individual consideration) เท่านัน
้ ความเสน่หา
(บางทีเรียกว่า อิทธิพลด้านอุดมการณ์ (Idealized influence)
คือ พฤติกรรมทีส
่ ามารถกระตุ้นความร้้สึกด้านอารมณ์ของผ้้
ตามให้ส้งขึน
้ ก่อให้เกิดการเลียนแบบและผ้กพันต่อผ้้นำา
การกระตุ้นการใช้ปัญญา คือพฤติกรรมของผ้้นำาในการ
ทำาความเข้าใจต่อปั ญหาได้ดี จนสามารถทำาให้ผ้ตามมอง
ปั ญหาดังกล่าวจากมุมมองใหม่ของตนได้เอง ส่วนการมุ่ง
ความสัมพันธ์เป็ นรายคน เป็ นพฤติกรรมของผ้้นำาทีเ่ กีย
่ วกับ
การให้การสนับสนุนการกระตุ้นให้กำาลังใจและการเป็ นพี ่
เลีย
้ งสอนแนะแก่ผ้ตาม ต่อมาทฤษฎีของแบสได้ปรับปรุงใหม่
(Bass and Avolio, 1990) จึงเพิม
่ พฤติกรรมของผ้้นำาแบบ
เปลีย
่ นสภาพอีกหนึง่ องค์ประกอบ คือ การจ้งใจด้านแรง
ดลใจ (Inspirational motivation) ซึง่ เป็ นพฤติกรรมของผ้้นำาที ่
เกีย
่ วกับการสือ
่ สารเพือ
่ ดึงด้ดใจส่้วิสัยทัศน์ โดยการใช้
สัญลักษณ์เพือ
่ ให้เกิดการใช้ความพยายามส้งขึน
้ ของผ้้ตาม
และการทีผ
่ ้นำาแสดงแบบอย่างของพฤติกรรมแก่ผ้ตาม
เป็ นต้น พฤติกรรมของผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพทัง้ สีอ
่ งค์
ประกอบดังกล่าว ต่างมีความสัมพันธ์ต่อกัน และมี
ปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในการก่อให้เกิดอิทธิพลให้มีการ
เปลีย
่ นแปลงขึน
้ แก่ผ้ตาม
ส่วนพฤติกรรมของผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ นนัน
้ ในระยะแรก
ของทฤษฎี แบสได้ระบุพฤติกรรมไว้เพียง 2 องค์ประกอบ
ได้แก่ การให้รางวัลตามสถานการณ์ (Contingent reward)
กับ การบริหารแบบวางเฉยเชิงรับ (Passive management
by exception) การให้รางวัลตาม สถานการณ์ หมายถึง
พฤติกรรมของผ้้นำาในการกำาหนดความชัดเจนของงานทีเ่ ป็ น
เกณฑ์ทีส
่ มควรได้รับรางวัลและใช้เป็ นเครือ
่ งจ้งใจแก่ผ้ตาม
ส่วนการบริหารแบบวางเฉยเชิงรับ ได้แก่ พฤติกรรมของผ้้นำา
ทีใ่ ช้การลงโทษตามสถานการณ์เพือ
่ ให้ผ้ตามเกิดการปรับปรุง
แก้ไขในกรณีผลงานเบีย
่ งเบนไปจากมาตรฐานทีก
่ ำาหนด แต่
เมือ
่ มีการปรับปรุงทฤษฎีใหม่ (Bass & Avolio, 1990 a) ได้
เพิม
่ พฤติกรรมของผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ นอีก 2 องค์ประกอบ
ได้แก่ การบริหารแบบวางเฉย เชิงรุก (Active management
by exception) ซึง่ เป็ นพฤติกรรมของผ้้นำาทีเ่ กีย
่ วกับการเข้าไป
ติดตามตรวจสอบผ้้ตามแล้วดำาเนินการแก้ไขเพือ
่ ให้แน่ใจว่า
งานทีส
่ ำาเร็จออกมานัน
้ มีประสิทธิผล ส่วนอีกองค์ประกอบ
หนึง่ คือ การบริหารแบบปล่อยตามสบาย (Laissez-faire)
เป็ นพฤติกรรมของผ้้นำาทีไ่ ม่ให้ความสนใจใด ๆ ไม่ว่าด้าน
งานหรือด้านคน (เช่นไม่เอาใจใส่ด้แลช่วยเหลือ ไม่รับร้้
ปั ญหา ไม่สนใจความต้องการของล้กน้อง) มีลักษณะปล่อย
ให้ทุกอย่างเกิดขึน
้ และเป็ นไปตามยถากรรมเหมือนไม่มีผ้นำา
ด้วยเหตุนีน
้ ักวิชาการบางคนจึงไม่นับการบริหารแบบปล่อย
ตามสบายว่า เป็ นการบริหารหรือเกีย
่ วกับภาวะผ้้นำา (Non-
leadership) กรณีนีท
้ ำาให้พฤติกรรมของผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ น
ทีเ่ กีย
่ วข้องจริงเพียง 3 องค์ประกอบเท่านัน
้ และสรุปเปรียบ
เทียบข้อแตกต่างระหว่างผ้้นำาแบบเปลีย
่ นสภาพกับผ้้นำาแลก
เปลีย
่ นดังตารางที ่ 2.7
ภาพที ่ 2.7: ร้ปแบบพฤติกรรมของภาวะผ้้นำาแบบเปลีย
่ น
สภาพและภาวะผ้้นำาแบบแลกเปลีย
่ น
ทีม
่ า : Northouse, 2001: 136
- - ริเริม
่ สิง่ ใหมู (สรูาง - รักษาสมดุลของ
แนวทาง โอกาส, จินตนาการสิง่ งานทีท
่ ำาอยู้
ใหมูเพือ
่ คูนหา)
- การ - มูุงความสัมพันธ์สูวน - ยึดบทบาทตาม
ปฏิสัมพัน บุคคลกับสมาชิกกลูุม หนูาทีก
่ ำาหนด
ธ์
- จุดเนูน - เนูนวิสัยทัศน์คูานิยม - เนูนการ
ความคาดหวังและ ควบคุม,ผลผลิตและ
บริบท ผลงาน
- การใชู - ทัง
้ ภายในและ - ภายในกลูุมที ่
อิทธิพล ภายนอกขอบเขต กำาหนด
โครงสรูางหนูวยงาน
- การ - กิจกรรมสรูางกำาลัง - อำานาจทางการ
จ้งใจโดย ใจ (เชิงอารมณ์ใหูการ และกลไก
ใชู แนะนำา)
- ใชู - อำานาจอิทธิพล - การควบคุม
- คูานิยม - ความรูวมมือ - การประสานงาน
เอกภาพ ความเสมอ ประสิทธิภาพ และ
ภาค ความยุติธรรม ประสิทธิผล
และเป็ นธรรม รวมทัง
้
ประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล
- การ - ทางตรงและทางอูอม - ใหูความชัดเจนตูอ
สือ
่ สาร แตูงานทีม
่ อบหมายซำ้า ทิศทางงานทีม
่ อบ
ซูอนและขาดความ หมายในเชิงร้ปธรรม
ชัดเจน
- มูุงสู้ - ผลปลายทาง (Ends) - แนวทาง (Means)
- เป็ น - นักปรัชญา - นักเทคโนโลยี
- ผลที ่ - การเปลีย
่ นแปลง - การแลกเปลีย
่ น
เกิดคือ
- บทบาท - ใหูอิสระในการคิด - ใหูทำาตามระบุ
- งาน - การใหูความหมาย - นำาเปูาหมายสู้การ
หลัก และการสือ
่ สารแกูเปูา ปฏิบัติ เป็ นผู้สอน
หมาย การสรูางแรง งาน และเป็ น
จ้งใจ กรรมการตัดสิน
- กรอบ - มองอนาคต - มองปั จจุบัน
เวลา
- บริบท - ระดับสากล - ระดับทูองถิน
่
ความคิด
- ทิศทาง - แสวงหาสิง่ ใหมู วิธี - การรักษาสภาพ
หลัก การใหมู เดิม
- การเปลีย
่ นแปลง - ความมัน
่ คง
- วิธีการ - ใชูการนำา (Leading) - ใชูการจัดการ
(Managing)