You are on page 1of 46

รากที่ n ในระบบจำนวนจริง และ

จำนวนจริงในรูปกรณฑ์
บทนิยาม
ถ้า a เป็ นจำนวนจริ งที่ a ≥ 0 รากที่สองที่เป็ นบวกของ a เรี ยกว่า
“ ค่าหลักรากที่สองของ a ” เขียนแทนด้วย a

ตัวอย่างที่ 1 จงหาค่า
1. ค่าหลักของรากที่สองของ 144 คือ 144

2. ค่าหลักของรากที่สองของ 7 คือ 5
100 100 10
3. ค่าหลักของรากที่สองของ คือ 
49 49 7
รากที่ 3 ของจำนวนจริง

บทนิยาม : ให้ a และ b เป็ นจำนวนจริ ง


b เป็ นรากที่ 3 ของ a ก็ต่อเมื่อ b3 = a

จากบทนิยามได้ขอ้ สังเกตว่า
1. a = 0 รากที่ 3 ของ 0 เท่ากับ 0 แน่นอน

2. a > 0 รากที่ 3 ของ a ออกมาเป็ นบวกแน่นอน


3. a < 0 รากที่ 3 ของ a ออกมาเป็ นลบแน่นอน
เนื่องจากค่าราที่ 3 ของ a ออกมา 1 ค่าเสมอ ก็ถือว่าเป็ นค่าหลักของรากที่ 3 ของ
a ด้วย ใช้สญั ลักษณ์เป็ น 3 a
รากที่ n ของจำนวนจริง
บทนิยาม : ให้ a และ b เป็ นจำนวนจริ ง และ n เป็ นจำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1
b เป็ นรากที่ n ของ a ก็ต่อเมื่อ bn = a

แยกพิจารณา เมื่อ n เป็ นเลขคู่ หรื อ คี่ ดังนี้


n เป็ นจำนวนคู่ n เป็ นจำนวนคี่
1. รากที่ n ของ a จะหาได้เมื่อ a ≥ 0 1. รากที่ n ของ a หาได้เสมอสำหรับจำนวนจริ ง a ใด
2. ถ้า a = 0 แล้ว รากที่ n ของ a = 0 ๆ
3. ถ้า a > 0 รากที่ n ของ a จะมี 2 ค่า เสมอ 2. ถ้า a = 0 แล้ว รากที่ n ของ a = 0
โดยเป็ นบวกและลบ 3. ถ้า a > 0 รากที่ n ของ a จะมี 1 ค่า และ เป็ น
4. ถ้า a < 0 รากที่ n ของ a จะหาค่าไม่ได้ใน จำนวนจริ งบวก
ระบบจำนวนจริ ง 4. ถ้า a < 0 รากที่ n ของ a จะมี 1 ค่า และเป็ น
จำนวนจริ งลบ
ตัวอย่ างที่ 2 จงหาค่ าของ
1. รากที่ 4 ของ 16 คือ -2 และ 2
2. รากที่ 5 ของ -243 คือ -3
3. รากที่ 7 ของ 128 คือ 7

4. รากที่ 7 ของ 128 คือ 7

5. รากที่ 6 ของ 125 คือ  5 และ 5

6. รากที่ 8 ของ -625 คือ ไม่มี ในระบบจำนวนจริ ง


ค่ าหลักของรากที่ n
บทนิยาม : ให้ a เป็ นจำนวนจริ ง และ n เป็ นจำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1
1. ถ้า a ≥ 0 และ n เป็ นจำนวนคู่ ค่าหลักของรากที่ n ของ a ก็คือ รากที่ n
ของ a ที่เป็ นบวก เขียนแทนด้วย n a
2. ถ้า a เป็ นจำนวนจริ งใด ๆ และ n เป็ นจำนวนคี่ ค่าหลักของรากที่ n
ของ a ก็คือ รากที่ n ของ a เขียนแทนด้วย n a

ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่า
1. ค่าหลักของรากที่ 4 ของ 81 คือ 4
81 = 3
2. ค่าหลักของรากที่ 5 ของ -32 คือ 5 32 = -2
ข้ อตกลง และสิ่ งทีต่ ้ องรู้เกีย่ วกับค่ าหลักของรากที่ n ของ a

1. เราจะเรี ยกเครื่ องหมาย n ว่า “ เครื่ องหมายกรณฑ์ ” และเรี ยก


n ว่า เป็ นอันดับของกรณฑ์
2. ถ้า a เป็ นจำนวนจริ งที่หารากที่ n ได้ เราจะอ่าน n a ว่า กรณฑ์ที่ n ของ a
หรื อค่าหลักของรากที่ n ของ a
3. ถ้า a เป็ นจำนวนจริ งที่หารากที่ n ได้ จะได้วา่  a   a
n
n
คุณสมบัตขิ องรากที่ n ของจำนวนจริง

1. ถ้า a และ b เป็ นจำนวนจริ งที่มีรากที่ n แล้ว n


a n b  n ab

n
n
a a
2. ถ้า a และ b เป็ นจำนวนจริ งที่มีรากที่ n และ b ≠ 0 แล้ว n

b
b

3. ถ้า a เป็ นจำนวนจริ งใด ๆ และ n เป็ นจำนวนเต็มบวกโดยที่ n ≥ 2 แล้ว


3.1 a  a เมื่อ n เป็ นจำนวนเต็มบวกคี่
n n

3.2 a  a เมื่อ n เป็ นจำนวนเต็มบวกคู่


n n
ตัวอย่ างที่ 3 กำหนดให้ a และ b เป็ นจำนวนจริงใด ๆ จงหาค่ าของ

1. a 4b 6 2. 4
16a12b8

n
4. ถ้า a เป็ นจำนวนจริ งที่ทำให้ a เป็ นจำนวนจริ ง และ m เป็ นจำนวนเต็มที่
m ≥ 2 และทำให้
m n
a เป็ นจำนวนจริ งแล้ว m n
a  mn a

ตัวอย่ างที่ 4 กำหนด a เป็ นจำนวนจริง จงหาค่ าของ


1. a4  4 a4  a
2. 3
a12  6 a12  6 (a 2 )6  a 2  a 2

3.
4 3
a 36  12 a 36  12 (a 3 )12  a 3
ตัวอย่ างที่ 5 จงหาค่ าของ
1. 8 16 

2. 15
32 

3. 9
125 

4. 15
27 

5. 6
64 

ตัวอย่ างที่ 6 ถ้ า a ≥ 0 และ b ≥ 0 จงจัดให้ อยู่ในรู ปอย่ างง่ ายของ


2. 4ab 6a b 
3 2 3 2 5
1. 24
a16b12 
การหาผลบวก ผลต่ าง ผลคูณและผลหารของกรณฑ์
การหาผลบวก ผลต่างของกรณฑ์
ต้องเป็ นกรณฑ์เดียวกัน และค่าภายในกรณฑ์กต็ อ้ งเหมือนกันจึงนำ
จำ
เอาสัมประสิ ทธิ์ หน้ากรณฑ์มาบวกลบกันได้เลย

ตัวอย่ างที่ 7 จงหาค่ าของ


1. 3 16  3 3 54  3 250 2. 3 3  243  2 27
การหาผลคูณ ผลหารของกรณฑ์
จำ 1. ถ้า a และ b เป็ นจำนวนจริ งที่มีรากที่ n แล้ว
n
a n b  n ab
n
n
a a

n
b b

ถ้า อันดับของกรณฑ์ไม่เท่ากัน ต้องทำให้เป็ นกรณฑ์อนั ดับ


เดียวกันก่อน
n
2. ถ้า a เป็ นจำนวนจริ ง ซึ่ง a เป็ นจำนวนจริ งแล้ว

2.1 nm
am  n a เมื่อ m เป็ นจำนวนคี่
2.2 nm
am  n a เมื่อ m เป็ นจำนวนคู่ และ a ≥ 0
ตัวอย่ างที่ 8 จงหาผลคูณของ
1. 3
2 4 2. 34 3
3
9

3. 2 3(2 2  3 3) 4. ( 7  5)( 7  5)

5. ( 5  3)( 5  3) 6. ( 7  2)( 7  2)
เทคนิค การหาผลหารของกรณฑ์

เทคนิคที่ 1 : ส่ วนมีกรณฑ์เพียงตัวเดียว
b
เช่น n ทำส่ วนไม่ติดกรณฑ์ โดยนำ n
a n 1 คูณข้างบนและข้างล่างจะได้
a

ตัวอย่าง 9 จงหาผลหารของ (ทำส่ วนไม่ติดกรณฑ์)


4
1. 9 2  8 3  36 1 2. 3
3 2 6 2

6 8
3. 4.
4
3 5
4
จากตัวอย่ างที่ 9 ข้ อ 4 สรุปได้ ว่า
b
การทำส่ วนไม่ติดกรณฑ์ ของ n m
,m  n
a
ทำส่ วนให้ไม่ติดกรณฑ์ตอ้ งคูณด้วย n
a nm

ตัวอย่าง 10 จงทำส่ วนไม่ติดกรณฑ์


4 9
1. 4 2. 5
27
8

5 11
3. 6 4.
625 7
1331
เทคนิคที่ 2 : ส่ วนมีกรณฑ์อนั ดับที่ 2 2 พจน์ บวก หรื อลบกัน
c
เช่น
a b

แก้โดยใช้หลักการที่วา่ ( )   และ (น+ล)(น-ล) = น2 – ล2


2

ซึ่งเรี ยกคู่ของ (น+ล) กับ (น-ล) ว่าเป็ นคู่สงั ยุค กัน

ดังนั้นการทำตัวส่ วนไม่ติดกรณ์ นั้นทำได้โดยคูณคู่สงั ยุคของตัวส่ วนท้งข้าง


บนและข้างล่าง
ตัวอย่างที่ 11 จงทำส่ วนไม่ติดกรณฑ์
2 2 7 3
1. 2.
3 1 7 3

เทคนิคที่ 3 : ส่ วนมีกรณฑ์อนั ดับที่ 3 แก้โดย ใช้หลักผลบวกหรื อผลต่าง


กำลัง 3 ที่วา่
น3-ล3 = (น-ล)(น2 + นล + ล2)
น3+ล3 = (น+ล)(น2 - นล + ล2)

โดยนำ (น-ล) หรื อ (น+ล) คูณทั้งเศษ และส่ วน


ตัวอย่ างที่ 12 จงทำตัวส่ วนไม่ ตดิ กรณฑ์
5 4
1. 3
43639 2. 3
25  3 5  1
การหารากที่ 2 ของนิพจน์ ทอี่ ยู่ในรู ป

ตัวอย่ างที่ 13
วิธีทำ
เลขยกกำลังทีม่ เี ลขชี้กำลังเป็ นจำนวนตรรกยะ
บทนิยาม : ถ้า n เป็ นจำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 และ a เป็ นจำนวนจริ งที่มี
รากที่ n แล้ว 1
an  a
n

บทนิยาม : ให้ m,n เป็ นจำนวนเต็


1
มโดยที่ n > 0 ที่ (m,n) = 1 ถ้า a เป็ น
จำนวนจริ งที่ทำให้หาค่า a n ได้
m 1

จะได้วา่ a  (a )
n n m
โดยที่ m ≥ 0 และ a≠ 0
1

บทนิยามm: ถ้า m,n เป็ นจำนวนเต็มบวก ถ้า a เป็ นจำนวนจริ งที่ a หาค่าได้
n

 1
แล้ว a  m
n

an
m 1

จากบทนิยาม แสดงว่า a n
 (a ) n m

3

ตัวอย่างที่ 14 จงหาค่าของ 81 4

3 1

4 3
1 1 3 3
81  (81 )  ( 81)  3  3 
4 4

3 27
สมบัตขิ องเลขยกกำลังทีม่ เี ลขชี้กำลังเป็ นจำนวนตรรกยะ

ให้ m,n เป็ นจำนวนตรรกยะ และ am , an , bn เป็ นจำนวนจริ งจะได้


1. aman = am+n
am
2. a n  a mn
,a0

3. ( a m n
)  a mn

4. ( ab ) n
 a n n
b
n
 
a an
5.  b   bn ,b0
โจทย์ หาค่ าเลขยกกำลัง
แบบที่ 1 การหาค่ าเลขยกกำลังทีม่ เี ลขชี้กำลังเป็ นเศษส่ วน
m

เช่น ให้หา () แก้โดยการจัด □ ให้เป็ นเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็ น n ให้ได้ ถ้าทำได้


n

m m

จำ ()  ( ) m
n n n

ตัวอย่างที่ 15 จงหาค่าของเลขยกกำลังต่อไปนี้
3
3 3
25  5 2   5  125
2
1. ( )  ( )     
2
16  4   42 64
 2 2
32  52  2 5  5  2   3 9
2. ( )   ( )          
243  3   3  2 4
แบบที่ 2 การหาค่ าเลขยกกำลังด้ วยการดึงตัวร่ วม
1
2 2 3 n 1
 2 n 1 n
ตัวอย่างที่ 16 จงหาค่าของ  2 n 1 n 1 
 2 2 
วิธีทำ 1 1
 23n 1  22 n 1  n  22 n (2n 1  21 )  n
 2 n 1 n 1  =  n n 1 1 
 2 2   2 (2  2 ) 
1

(2 2 n n )
n
=
1
n n
= (2 )
= 2
แบบที่ 3 การหาค่ าเลขยกกำลังด้ วยเลขยกกำลังด้ วยสู ตรกำลังสองสั มบูรณ์
ผลต่ างกำลังสอง ผลบวก และผลต่ างกำลังสาม

ตัวอย่ างที่ 17 ถ้ า a > 0 และ an – a-n = 3 แล้ ว a


2n
– a-2n มีค่าเท่าใด

ตัวอย่ างที่ 18 ถ้ า a > 0 และ a + a-1 = 5 แล้ ว a 3


+ a-3 มีค่าเท่าใด

1 1
สู ตรลัด a k แล้ว a3  3
 k 3
 3k
a a
1 1
a k แล้ว a  3  k 3  3k
3

a a
แบบที่ 4 การหาค่ าของเลขยกกำลังด้ วยการใช้ สมบัตขิ องเลขยกกำลังต่ าง ๆ

ตัวอย่ างที่ 19 กำหนด 2-2x = 25 จงหาค่ าของ 23x + 1

1 1 1
 
ตัวอย่ างที่ 20 กำหนด 3 = 2 = 6 จงหาค่ าของ
2x 2y -2z
x y z
โจทย์ แก้ สมการเลขยกกำลัง
แบบที่ 1 ถ้ าตัวแปรอยู่ทฐี่ านของเลขยกกำลัง
m
(p(x))  a และ a เป็ นจำนวนจริ ง
n

n
แก้สมการโดยทำให้เลขชี้กำลังของ p(x) เป็ น 1 ให้ได้ ด้วยการยกกำลัง m
ทั้งสองข้าง แล้วก็หาค่าตัวแปร x ต่อไปได้เลย
ตัวอย่ างที่ 21 จงแก้ สมการ 2  5 ( x 2  2 x  29)3  10
แบบที่ 2 ถ้ าตัวแปรอยู่ในเครื่องหมายกรณฑ์ ทสี่ อง
เมื่อแก้หาค่าตัวแปร แล้ว ก่อนตอบต้องตรวจคำตอบทุกครั้ง นัน่ คือ ต้องทำให้
ค่าภายในกรณฑ์ที่สองทุกเทอมมากกว่าหรื อเท่ากับศูนย์

ตัวอย่ างที่ 22 จงแก้ สมการ 3x  7  x  1

ตัวอย่ างที่ 23 จงแก้ สมการ 4x  8  2x  5  1


แบบที่ 3 ถ้ าตัวแปรอยู่ทเี่ ลขชี้กำลัง

a f(x) = a g(x) ,a > o และ a ≠ 1


สรุ ปได้วา่ f(x) = g(x)

ตัวอย่ างที่ 24 จงแก้ สมการต่ อไปนี้


2 x  x2 1
1. 3  2. 9 x  2  6(9 x 1 )  34 x
27
การหาค่ ารากที่ n
การหาค่ารากที่สอง
1. โดยวิธีแยกตัวประกอบ จัดกลุ่มเป็ นจำวนยกกำลังสอง
225 = 3355
= (35)2
= 152

ดังนั้น รากที่สองของ 225 คือ 15 และ -15

2. โดยวิธีแบ่งช่วง นำเสนอ 2 วิธียอ่ ย ตามขั้นตอนดังนี้


2.1 วิธีที่ 1 แบ่ ง เป็ น 10 ช่ วง
ขัน้ ที่ 1 หาจำนวนจริ งสองจำนวนเรี ยงกัน ที่กำลังสองของจำนวนจริ งทั้งสองนั้นมีค่า
น้อยกว่า และมากกว่าจำนวนที่ตอ้ งการหารากที่สอง เช่นต้องการหาค่าหลัก
รากที่สองของ 5 จำนวนจริ งสองจำนวนจะเป็ น 2 และ 3
โดยที่ 22 = 4 และ 32 = 9
แสดงว่า 5 มีค่าอยูร่ ะหว่าง 2 กับ 3
ขัน้ ที่ 2 หาจำนวนจริ งที่มากกว่า 2 แต่นอ้ ยกว่า 3 ที่ยกกำลังสองแล้วมีค่า
ใกล้เคียง 5 โดยแบ่งเป็ น 10 ช่วง ดังนี้
พิจารณาจาก 2.1 , 2.2 , 2.3 , …., 2.9 จะได้วา่ (2.1)2 = 4.41, (2.2)2 = 4.84 ,
(2.3)2 = 5.29
ดังนั้น 5 มีค่าอยูร่ ะหว่าง 2.2 กับ 2.3
ขัน้ ที่ 3 หาจำนวนจริ งที่มากกว่า 2.2 แต่นอ้ ยกว่า 2.3 ที่ยกกำลังสองแล้ว
มีค่าใกล้เคียง 5 โดยแบ่งเป็ น 10 ช่วง ดังนี้
พิจารณาจาก 2.21 , 2.22 , 2.23 , …., 2.29 จะได้วา่ (2.21)2 = 4.8841, (2.22)2 = 4.9284,
(2.23)2 = 4.9729 , (2.24)2 = 5.0176
ดังนั้น 5 มีค่าอยูร่ ะหว่าง 2.23 กับ 2.24
ขัน้ ที่ 4 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 3 มาแบ่งออกเป็ น 10 ช่วง
เช่นเดียวกับขั้นที่ 2 และ 3 ไปเรื่ อย ๆ จนกว่าจะได้ค่ารากที่สองของจำนวนที่
ต้องการหารากที่สองตามตำแหน่งทศนิยมที่ตอ้ งการ
หาจำนวนจริ งที่มากกว่า 2.23 แต่นอ้ ยกว่า 2.24 ที่ยกกำลังสอง
แล้วมีค่าใกล้เคียง 5 โดยแบ่งเป็ น 10 ช่วง ดังนี้
พิจารณาจาก 2.231 , 2.232 , 2.233 , …., 2.239 จะได้วา่ (2.234)2 = 4.990756
(2.235)2 = 4.995225 , (2.236)2 = 4.999696 , (2.237)2 = 5.004169

ถ้าต้องการตอบเป็ นทศนิยมสามตำแหน่ง ดังนั้น 5 มีค่าประมาณ 2.236


2.2 วิธีที่ 2 แบ่ ง เป็ น 2 ช่ วง

ขัน้ ที่ 1 หาจำนวนจริ งสองจำนวนเรี ยงกัน ที่กำลังสองของจำนวนจริ งทั้ง


สองนั้นมีค่าน้อยกว่า และมากกว่าจำนวนที่ตอ้ งการหารากที่สอง
เช่นต้องการหารากที่สองของ 5 จำนวนจริ งสองจำนวนจะเป็ น 2 และ 3
โดยที่ 22 = 4 และ 32 = 9
แสดงว่า 5 มีค่าอยูร่ ะหว่าง 2 กับ 3
ขัน้ ที่ 2 นำจำนวนเต็มทั้งสองที่หาได้ในขั้นที่ 1 มาหาค่าเฉลี่ย
2
23  23
จะได้  2.5 และเนื ่ อ งจาก    2.5  6.25
2

2  2 

ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2 แต่ไม่ถึง 2.5


ขัน้ ที่ 3 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 2 มาหาค่าเฉลี่ย
2
2  2.5  2  2.5 
จะได้ 2
 2.25 และเนื่องจาก 
 2 
  2.25  5.0625
2

ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2 แต่ไม่ถึง 2.25

ขัน้ ที่ 4 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 3 มาหาค่าเฉลี่ย


2  2.25 2
 2  2.25 
จะได้  2.125และเนื่องจาก    2.125 2
 4.515625
2  2 
ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2.125 แต่ไม่ถึง 2.25
ขัน้ ที่ 5 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 4 มาหาค่าเฉลี่ย
2.125  2.25  2.125  2.25 
2
จะได้  2.1875
และเนื่องจาก    2.1875  4.785
2

2  2 
ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2.1875 แต่ไม่ถึง 2.25

ขัน้ ที่ 6 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 5 มาหาค่าเฉลี่ย


2.1875  2.25  2.125  2.25 
2
จะได้  2.219
และเนื่องจาก    2.219  4.924
2

2  2 
ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2.219 แต่ไม่ถึง 2.25

ขัน้ ที่ 7 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 6 มาหาค่าเฉลี่ย


2.219  2.25  2.219  2.25 
2
จะได้  2.235
และเนื่องจาก    2.235 2
 4.995
2  2 
ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.25
ขัน้ ที่ 8 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 7 มาหาค่าเฉลี่ย
2.235  2.25  2.235  2.25 
2
จะได้  2.243
และเนื่องจาก    2.2432
 5.031
2  2 
ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.243

ขัน้ ที่ 9 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 8 มาหาค่าเฉลี่ย


จะได้ 2.235  2.243  2.239
2
 2.235  2.243 
2 และเนื่องจาก 
 2
  2.239  5.013

2

ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.239

ขัน้ ที่ 10 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 8 มาหาค่าเฉลี่ย


จะได้ 2.235  2.239  2.237
2
 2.235  2.239 
2 และเนื่องจาก 
 2
  2.237  5.004

2

ดังนั้น 5 มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.237


ขัน้ ที่ 11 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 10 มาหาค่าเฉลี่ย
จะได้ 2.235  2.237  2.236
2
 2.235  2.237 
2 และเนื่องจาก 
 2
  2.236  4.999696

2

ถ้าต้องการค่าของรากที่สองของ 5 ที่มีทศนิยมสามตำแหน่ง ก็ไม่ตอ้ งทำขั้นต่อไป

ดังนั้น 5 มีค่าประมาณ 2.236

ข้ อสั งเกต ได้วา่ ถ้าแบ่งเป็ น 10 ช่วงจะได้ผล เร็ วกว่าแบ่งเป็ น 2 ช่วง


3. โดยวิธีต้ งั หาร ดำเนินการดังนี้
ขัน้ ที่ 1 แบ่งกลุ่มตัวเลขของจำนวนที่ตอ้ งการหารากที่สองโดยส่ วนของ
จำนวนเต็มแบ่งจากขวาไปซ้ายส่ วนของทศนิยมแบ่งจากซ้ายไปขวากลุ่มละ 2 ตัว
เช่น ต้องการหารากที่สองของ 3 15 . 42 6
ขัน้ ที่ 2 ตั้งหารโดยการหาตัวเลข 2 ตัวที่เท่ากันคูณกันได้เท่ากับหรื อน้อยกว่า
ตัวเลขที่อยูก่ ลุ่มซ้ายสุ ด หาเศษเหลือและชักเลขสองหลักในกลุ่มถัดไปลงมา

ขัน้ ที่ 3 เอา 2 คูณผลลัพธ์ที่ได้นำมาเป็ นตัวต้นของตัวหารครั้งต่อไป โดยหาเลข 0


ถึง 9 มาต่อท้าย ให้ผลคูณของตัวหารทั้งหมดกับตัวต่อท้ายมีค่าเท่ากับหรื อน้อย
กว่าเศษเหลือและเลขสองหลักที่ชกั ลงมา
ขัน้ ที่ 4 ทำเช่นเดียวกันกับขั้นที่ 2 และ 3 ไปเรื่ อย ๆ จนได้จำนวนที่เป็ นรากที่
สองที่มีทศนิยมตามต้องการ

1 7
. 7 6
1 3 15 . 42 6
1

27 2 15 ดังนั้นรากที่สองของ 315.426 มีค่าประมาณ


1 89
17.8 และ -17.8
347 26 42
24 29
3546 2 13 60
2 12 76
84
4. โดยวิธีดูจากตารางตรงช่อง n

การหาค่ารากที่ n เมื่อ n ≥ 2 ก็สามารถหาได้โดยวิธีที่กล่าวมา


( ยกเว้นวิธีต้ งั หารยาว )
ตัวอย่างที่ 8 ในหนังสื อหน้า 15
การหาอัตราเงินเฟ้ อคำนวณจากราคาสิ นค้าโดยใช้
1
สูตร
 q n
r    1
 p
ถ้า p = 80,000 บาท
q = 500,000 บาท
n = 12 ปี
1
 500, 000  12
จากสูตร จะได้ r   80, 000   1
 
1
=  6.25 12 1
1 1 1
 6.25
 
= 2 2 3 1
1
r   1.58 3 1

เนื่องจาก (1.165)3  1.581


1

นัน่ คือ ค่าประมาณของ (1.58) 3


คือ 1.165
1
และจะได้วา่  1.58 3  1  1.165 - 1 = 0.165

สรุ ปได้วา่ อัตราเงินเฟ้ อ ซึ่งประมาณจากราคาที่ดินซึ่งปั จจุบนั มีราคา 500,000


บาท เท่ากับ 0.165 หรื อ 16.5 %
ตัวอย่างที่ 9 ในหนังสื อหน้า 16

สูตร การหาจำนวนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย

A  P(1  r )t

A คือ จำนวนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย
P คือ เงินต้นที่กยู้ มื จากธนาคาร
r คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกูต้ ่อปี
t คือ จำนวนปี ที่กู้
โจทย์ ให้ P = 900,000 r = 8.5 % และ t = 2.5
5
จะได้ A  900, 000(1  0.085) 2

1
 900, 000  1.085 
5 2

 900, 000 1.0855

 900, 000 1.5037

 900, 000(1.226)
= 1,103,400
A  1,103,400
ดังนั้น จำนวนดอกเบี้ยที่ตอ้ งจ่ายกับธนาคารเมื่อครบกำหนด 2 ปี 6
เดือน คื 1,103,400 – 900,000 = 203,400 บาท
ตัวอย่างที่ 10 ในหนังสื อหน้า 17
ถ้า r คือ ความยาวของรัศมีของทรงกลมมีหน่วยเป็ นเซนติเมตร และ
V คือ ปริ มาตรของทรงกลมมีหน่วยเป็ นลูกบาศก์เซนติเมตร
สูตร หา รัศมี ของทรงกลม
1
 3V  3
r   
 4 
อยากทราบว่า ทรงกลมซึ่งมีปริ มาตร 1,000 ลบ.ซม. จะมีรัศมียาวเท่าใด

กำหนดให้ V = 1,000 ลบ.ซม. และ ให้   3.14


1
 3 1,000  3 1

จะได้ r   
 4  3.14  หรื อ (238.8535) 3

ทำการหาค่าประมาณของ (238.8535) 3
ได้ดงั นี้
จาก 63 = 216 และ 73 = 343
1

แสดงว่า (238.8535) 3
มีค่าอยูร่ ะหว่าง 6 และ 7
พิจารณา 6.1 , 6.2 , 6.3 , …., 6.8 , 6.9
เนื่องจาก (6.2)3 = 238.328 และ (6.3) = 250.0473

ดังนั้น (238.8535) มีค่าระหว่าง 6.2 กับ 6.3


3

พิจารณา 6.21 , 6.22 , 6.23 , …., 6.28 , 6.29


เนื่องจาก (6.21)3 = 239.483
ดังนั้น รัศมีของทรงกลม มีความยาวประมาณ 6.2 เซนติเมตร

You might also like