You are on page 1of 52

1

รายงาน
เรื่อง สื่อประเภทกิจกรรม

เสนอ
อ.สุจิตตรา จันทร์ลอย

จัดทำาโดย
1. นางสาวพัชรินทร์ เทศธรรม
รหัส 537190019
2. นางสาวมณีนุช แก้วคำา รหัส
537190022
3. นางสาวเดือนนภา ทองมาก รหัส
537190247
2

4. นายธนชาติ ตำานานจิตร รหัส


537190248
5. นางสาวสตรี ปฏิการ รหัส
537190249
นักศึกษา
ประกาศนี ยบัตรวิชาชีพครู
รุุน
13 หมุูเรียน 1

งานนี้ เป็ นสุวนหนึ่ งของการศึกษารายวิชา


นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา
ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2553
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมุูบ้านจอมบึง

คำานำา

ร า ย ง า น เ ล่ ม นี้ จั ด ทำา ขึ้ น โ ด ย ส ม า ชิ ก นั ก ศึ ก ษ า

ป ร ะ ก า ศ นี ย บั ต ร บั ณ ฑิ ต วิ ช า ชี พ ค รู ร่่ น 13 ห มู่ 1

มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ หมู่ บ้ า นจอมบึ ง ซึ่ ง รายงานเล่ ม นี้ เป็ น


3

เนื้ อหาเรื่อ งสื่ อการเรียนการสอนประเภทกิ จ กรรม ได้ใ ห้ ค วาม

หมายโดยรวมของสื่อ ประเภทของสื่อตามลักษณะการใช้ และได้

บอกถึงความสำาคัญของสื่อ สื่อการสอนประเภทกิจกรรมที่ได้นำา

มาเสนอมี 6 ชนิ ด ได้ แ ก่ 1.นิ ท รรศการ 2.นาฏการ

3.การสาธิต 4.การใช้ช่มชนเพื่อการศึกษา 5.สถานการณ์จำาลอง

6.การศึกษานอกสถานที่ ได้ให้ความหมาย วิธีการใช้ส่ ือต่างๆ

และความสำาคัญของสื่อแต่ละประเภท

ผู้จัดทำาหวังเป็ นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้ จะเป็ นประโยชน์

ต่ อ ผู้ ท่ี ส นใจ เรื่อ งสื่ อประเภทกิ จ กรรม และนำา ไปปรับ ใช้ ก าร

เรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงส่ดกับนั กเรียน หากรายงาน

เล่มนี้ มีส่ิงหนึ่ งประการใดขาดตกบกพร่อง ทางคณะผู้จัดทำาต้อง

อภัยไว้ ณ ที่น้ ี

ขอ
แสดงความนับถือ
คณะผู้จัดทำา
4

สารบัญ
เรื่อง
หน้า
สื่อการเรียนการสอนประเภทกิจกรรม
1
ความหมายของสื่อ
ความสำาคัญของสื่อ
ความหมายของสื่อประเภทกิจกรรม
2
ลักษณะสื่อกิจกกรมที่ดี
ประเภทของสื่อกิจกรรม 3
1.นิ ทรรศการ 3
หลักการออกแบบสำาหรับนิ ทรรศการ
4
เทคนิ คการจัดนิ ทรรศการ 4
5

การจัดแผ่นป้ าย
4–8
การจัดป้ ายนิ เทศ
8 – 12
ตัวอย่างการจัดป้ ายนิ เทศ
13 – 14
2.นาฏการ 15 –
17
3.การสาธิต
18 – 23
4.การใช้ช่มชนเพื่อการศึกษา
24 – 25
5.สถานการณ์จำาลอง
25 – 26
6.การศึกษานอกสถานที่
26 – 27
บรรณานุกรม
6

สื่อการเรียนการสอนประเภทกิจกรรม

การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมประสบการณ์ให้กับเด็ก ปั จจัย
หนึ่ ง ที่จะขาดไม่ได้ก็คือ สื่อประกอบการจัดกิจกรรม เพราะสื่อมี
บทบาทสำา คัญในการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ เจตคติ ค่า
นิ ย ม รวมทั้ งทั ก ษะต่ า งๆ การเลื อ กใช้ ส่ ื อที่ เ หมาะสม และมี
ประสิทธิภาพตะทำาผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างสมบูรณ์แบบ

สื่อ หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เ ป็ นตัวกลางที่จะนำา มาใช้ การ


ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ทัศนคติ ค่านิ ยม หรือทักษะที่มี
ไปสู่เด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเด็กเกิดการเรียนรู้ตาม จ่ด
ม่่งหมายได้ดีท่ีสด

สื่ ออาจแบุงออกตามลักษณะของการใช้ได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. สื่ อการสอนประเภทวัสด่ เช่น สี กระดาน ชอล์ค ภาพ

เปลือกหอย หนั งสือพิมพ์ เป็ นต้น

2. สื่ อการสอนประเภทอ่ปกรณ์ คือสิ่ งที่ เป็ นเครื่องมือ

วิทย่ เครื่องฉายภาพวีดีโอ กระดานดำา ป้ ายนิ เทศ เป็ นต้น


7

3. สื่ อการสอนประเภทวิธี การ หรือกระบวนการจัด

กิจกรรม ได้แก่ การสาธิต การทดลอง เล่นเกม เล่นบทบาท

สมม่ติ จัดสถานการณ์จำาลอง เช่น การจัดม่มต่าง ๆ ใน

ห้องเรียน

ความสำาคัญของสื่อ
1. เป็ นเครื่องมือส่งเสริมเด็กให้กล้าแสดงออกและเกิดการ
เรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เป็ นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์
ทัศนคติ ค่า นิ ยม หรือทักษะของผู้สอนไปสู่ผู้เรียน
3. เป็ นเครื่องมือเร้าความสนใจของเด็ก ให้ติดตามเรื่องราว
ด้วย ความสนใจ และไม่เกิดความรู้สึกว่าเป็ นการ “เรียน”
4. เป็ นเครื่องมือทำาสิ่งที่เป็ นนามธรรมให้เป็ นรูปธรรม
และผ้เู รียน ได้รบ
ั ประสบการณ์ตรงทำาให้จำาได้นาน

สื่อประเภทกิจกรรม

หมายถึง กระบวนการเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน
การลงมือกระทำา สื่อการสอนมีความหมายกว้างขวาง ครอบคล่ม
ทั้งวัสด่ อ่ปกรณ์ และวิธีการต่าง ๆ ที่นำามาใช้เพื่อถ่ายทอดความ
รู้และประสบการณ์ให้กับผู้เรียน กิจกรรมหรือวิธีการนั บเป็ นสื่อ
การสอนที่มีศักยภาพสูงต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ทำาให้บทเรียน
8

ดำาเนิ นไปอย่างสน่ กสนาน น่าสนใจ ผ้เู รียนท่กคนมีโอกาสร่วมใน


กิจกรรมตลอดเวลา การใช้วิธีการหรือกิจกรรมเพื่อการเรียนการ
สอนอาจต้องใช้วัสด่อ่ปกรณ์เข้ามาช่วยเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน
เรียนรู้ได้ดีย่ิงขึ้น

ลักษณะสื่อกิจกรรมที่ดี

1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำาหนดวัตถ่ประสงค์ การทำา
กิจกรรม และประเมินผลกิจกรรม
2. ผู้เรียนได้ฝึกฝนพฤติกรรมการเรียนทั้งทางด้าน
ความรู้ เจตคติ และทักษะผสมผสานกันเป็ นบูรณาการอย่างเป็ น
ระบบ
3. มีลักษณะของการกระทำาเด่นชัดด้วยการกำาหนดคำา
ที่แสดงถึงการกระทำาไว้ด้วยท่กครั้ง
4. กำาหนดเงื่อนไขสำาหรับประกอบกิจกรรมไว้ชัดเจน
สามารถวัดผล และสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนได้
5. มีเกณฑ์หรือมาตรฐานในการดำาเนิ นกิจกรรม
กำาหนดพฤติกรรมที่ถือเป็ นระดับตำ่าส่ดที่พึงพอใจ
6. ใช้เวลาพอเหมาะที่ผเู้ รียนจะสามารถดำาเนิ น
กิจกรรมให้ประสบผลสำาเร็จ และก่อให้เกิดความภาคภูมิใจได้
7. มีการชี้แนวทางหรือนำาทางในการดำาเนิ นกิจกรรม
ได้เด่นชัด
9

8. กิจกรรมต้องตรงกับเนื้ อหาและจ่ดม่่งหมายที่
กำาหนดไว้
9. กิจกรรมไม่มีความย่่งยากสลับซับซ้อน มีความยาก
ง่ายเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน
10. เป็ นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความคิดริเริม
่ สร้างสรรค์

สื่อการสอนประเภทกิจกรรมที่จะนำาเสนอมี 6 ชนิ ด ได้แกุ


1. นิ ทรรศการ (Exhibition)
2. นาฏการ (Dramatization)
3. การสาธิต (Demonstration)
4. การใช้ช่มชนเพื่อการศึกษา (Community Study)
5. สถานการณ์จำาลอง (Simulation)
6. การศึกษานอกสถานที่ (Field Trip)

1. นิ ทรรศการ (Exhibition)
หมายถึง การจัดแสดงสิ่งของวัสด่ อ่ปกรณ์มีความสัมพันธ์
กันในแต่ละเรื่อง เพื่อเร้าความสนใจให้ผู้ชมมีส่วนร่วมและเรียนรู้
ด้วยการดู ฟั ง สังเกต จับต้อง และทดลองภายใต้จ่ดม่่งหมาย
อย่างใดอย่างหนึ่ ง หรือจ่ดม่่งหมาย โดยการใช้ส่ ือหลายชนิ ด
เช่น แผนภาพ ห่น
่ จำาลอง ของจริง นอกจากนี้ นิ ทรรศการยัง
10

สามารถจัดกิจกรรมอื่น ๆ ประกอบ เพื่อให้เกิดความสะดวก


และรวดเร็วในการสื่อความหมายกับผู้ชม

คุณคุาของนิ ทรรศการ
1. ส่งเสริมการทำางานเป็ นหมู่คณะ ฝึ กความรับ
ผิดชอบ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในทางที่ดี
2. สื่อต่าง ๆ ที่นำามาจัดแสดงสามารถสื่อความ
หมายสิ่งที่เป็ นนามธรรมให้เป็ นรูปธรรมได้
3. เป็ นการจัดการเรียนการสอนตามอัธยาศัย ผู้
เรียนมีอิสระในการเรียนรู้ด้วยการดู ฟั ง สังเกต
4. สามารถนำาความคิดที่กระจัดกระจายมารวมกัน
ไว้ให้ผู้ชมสร่ปเป็ นความคิดรวบยอดได้อย่างถูกต้อง

หลักการออกแบบสำาหรับนิ ทรรศการ
การจัดนิ ทรรศการให้มีประสิทธิภาพในการเร้า
ความสนใจ และให้ประสบการณ์ท่ีดีแก่ผู้ชม ควรยึดหลักการ
ออกแบบดังต่อไปนี้
1. ความเป็ นเอกภาพ (Unity) หมายถึง การ
ออกแบบท่กสิ่งท่กอย่างในการจัดนิ ทรรศการให้เป็ นอันหนึ่ งอัน
11

เดียวกัน
2. ความสมดุล (Balancing) หมายถึง การ
จัดสิ่งต่าง ๆ ให้ได้สัดส่วนที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสบาย ไม่หนั ก
หรือเบาไปด้านใดด้านหนึ่ ง
3. การเน้น (Emphasis) เป็ นการจัดสิ่งเร้า
ให้ดเู ด่นเร้าความสนใจตามวัตถ่ประสงค์ในการจัดนิ ทรรศการ
องค์ประกอบต่าง ๆ
ที่เป็ นตัวเน้นได้ดี เช่น เส้น สี นำ้าหนั ก ทิศทาง ขนาด แสง
เสียง เป็ นต้น
4. ความเรียบงุาย (Simplicity) การจัดสิ่ง
เร้าให้มีความเรียบง่ายจะช่วยให้รู้สึกสบายสะด่ดตา
5. ความแตกตุาง (Contrast) เป็ นการจัด
องค์ประกอบให้มีลักษณะแตกต่างกัน ให้ความรู้สึกตัดกัน เพื่อ
ความชัดเจนและโดดเด่น
6. ความกลมกลืน (Harmony) เป็ นการจัด
องค์ประกอบให้มีลักษณะใกล้เคียงกัน ให้ความรู้สึกกลมกลืน
น่่มนวล ราบเรียบ

เทคนิ คการจัดนิ ทรรศการ


การจัดแผุนป้ าย
แผ่นป้ าย (board) หมายถึง แผ่นหนั งสือหรือแผ่น
เครื่องหมายที่บอกให้รู้ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546, หน้า 696)
12

เป็ นวัสด่รองรับสื่อหรือเนื้ อหาต่าง ๆ ที่นำามาจัดแสดงซึ่งมีหลาย


รูปแบบหลายลักษณะแตกต่างกัน มีท้ ังรูปสี่เหลี่ยมจัต่รส

สี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน บ้างเป็ นแผ่น
ป้ ายที่สามารถถอดประกอบกับขาตั้งไว้ บางป้ ายยึดติดกับขาตั้ง
อย่างถาวร แผ่นป้ ายบางชนิ ดเคลื่อนย้ายได้แต่บางป้ ายติดอยู่กับ
ที่อย่างตายตัวไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ วัสด่ท่ีใช้ทำาแผ่นป้ ายมี
หลายชนิ ด เช่น ไม้อัด ไม้ไผ่สาน ไม้เนื้ อแข็ง แผ่นพลาสติก
แผ่นโลหะ แผ่นเซลโลกรีต เป็ นต้น

1. ประเภทของแผุนป้ าย
แผ่นป้ ายมีหลายประเภท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้
ในการพิจารณา
1.1 การจำาแนกตามวัสด่ท่ีใช้ทำา ได้แก่ ไม้ พลาสติก
โลหะ
1.1.1 ไม้ เป็ นวัสด่แข็งแรงแต่สามารถตกแต่ง
ดัดแปลงได้ง่ายและสะดวกในการใช้งาน ไม้ท่ีเหมาะกับการทำา
แผ่นป้ าย ได้แก่ ไม้อัด ซึ่งมีความหมายขนาดแต่ท่เี หมาะกับการ
ทำาแผ่นป้ ายนิ เทศควรมีความหนาตั้งแต่ 6 มิลิเมตรขึ้นไป ขนาด
ของแผ่นป้ ายที่นิยมทำากันโดยทัว่ ไป หากเป็ นป้ ายขนาดใหญ่จะมี
13

ขนาดประมาณ 112 x 244 ซ.ม. ขนาดกลางประมาณ 122 x


122 ซ.ม. ขนาดเล็กประมาณ 61 x 122 ซ.ม.
1.1.2 พลาสติก เป็ นวัสด่สังเคราะห์มีหลายชนิ ด
ชนิ ดที่สามารถนำามาทำาแผ่นป้ ายได้มีลักษณะเป็ นแผ่นขนาด
ความกว้างยาวเท่ากับไม้อัด มีท้ ังชนิ ดเนื้ อทึบตันและชนิ ดโปร่ง
ด้านในชนิ ดโปร่งด้านในหรือที่เรียกโดยทัว่ ไปว่า ฟิ วเจอร์บอร์ด
ใช้งานได้ง่าย มีหลายสีให้เลือก นำ้าหนั กเบามากเหมาะกับการทำา
ป้ ายนิ เทศแบบแขวน แต่ข้อเสียคือไม่แข็งแรง อาย่การใช้งาน
สั้น
1.1.3 โลหะ เป็ นวัสด่ท่ีมีความทนทานที่ส่ดแต่มี
นำ้าหนั กมาก โดยเฉพาะเหล็กแผ่น หรือสแตนเลสแผ่น ต้องใช้
เครื่องมือเฉพาะในการสร้างสรรค์ดัดแปลง วัสด่โลหะเหมาะเป็ น
แผ่นป้ ายกลางแจ้งหรือป้ ายถาวรติดตั้งอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อน
ย้าย เนื้ อหาเป็ นเชิงประวัติศาสตร์หรือการบันทึกเพื่อเป็ นหลัก
ฐานสำาคัญ ป้ ายนิ เทศโลหะสามารถแสดงถึงค่ณค่า ความมัน
่ คง
ถาวร น่าเชื่อถือหากมีความเหมาะสมก็สามารถติดตั้งในอาคารได้
1.2 การจำาแนกตามลักษณะการติดตั้ง ได้แก่ ป้ ายที่
เคลื่อนที่ได้และป้ ายที่เคลื่อนที่ไม่ได้
1.2.1 ป้ ายที่เคลื่อนที่ได้ สามารถนำาไปติดตั้งใน
บริเวณพื้ นที่ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ จึงจำาเป็ นต้องมีขาตั้งที่
มัน
่ คง ไม่กระดกโยกเยก ขาตั้งอาจเป็ นแบบติดตายตัวกับแผ่น
14

ป้ ายหรือถอดประกอบเข้าออกได้ ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสีย
แตกต่างกัน
1.2.2 ป้ ายที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เป็ นป้ ายนิ เทศที่ตด

ตั้งอยู่กับที่อย่างถาวร ซึ่งอาจเป็ นฝาผนั งหรือบริเวณพื้ นที่ท่ี
สวยงาม ป้ ายนิ เทศแบบนี้ มีข้อดีคือไม่ต้องเสียเวลาในการ
ออกแบบติดตั้งอยู่บ่อย ๆ แต่มีข้อจำากัดคือเมื่อติดตั้งไว้นาน ๆ
แล้วจะทำาให้เกิดความเคยชิน จนอาจมีความรู้สึกชินชากับเรื่อง
ราวหรือความรู้ท่ีนำาเสนอในภายหลัง
1.3 การจำาแนกตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่ แบบ
สำาเร็จรูป และแบบถอดประกอบ
1.3.1 แบบสำาเร็จรูป เป็ นป้ ายนิ เทศที่ออกแบบ
และจัดสร้างไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมนำาไปจัดแสดงหรือใช้งานได้
ทันที
1.3.2 แบบถอดประกอบ เป็ นช่ดป้ ายนิ เทศที่ขา
ตั้งกับแผ่นป้ ายแยกชิ้นจากกันเมื่อต้องการใช้งานจึงนำามา
ประกอบติดขาตั้งเข้าด้วยกัน
1.4 การจำาแนกตามลักษณะการจัดแสดง ได้แก่ แบบ
ตั้งแสดง แบบแขวน แบบติดฝาผนั ง
1.4.1 แบบตั้งแสดง เป็ นป้ ายนิ เทศที่เห็นอยู่โดย
ทัว่ ไป เป็ นแบบที่สะดวกในการออกแบบและติดตั้ง มีความ
มัน
่ คงสู สามารถปรับเปลี่ยนตำาแหน่งและทิศทางได้ง่าย
15

1.4.2 แบบแขวน เป็ นป้ ายนิ เทศที่กระต้่นความ


สนใจได้ดี ให้ความรู้สึกตื่นเต้นไม่ส้ ินเปลืองขาตั้ง แต่มีข้อจำากัด
คือต้องออกแบบราวแขวนให้แข็งแรงเหมาะกับนำ้าหนั กของแผ่น
ป้ ายไม่สะดวกในการปรับเปลี่ยนตำาแหน่งหรือทิศทาง
1.4.3 แบบติดฝาผนั ง ป้ ายติดผนั งช่วยในการ
ประหยัดพื้ นที่ในการตั้งแสดง ให้ความรู้สึกมัน
่ คง เป็ นระเบียบ
ทำาให้บริเวณห้องจัดแสดงโล่ง แต่มีข้อจำากัดคือไม่สามารถ
ออกแบบเป็ นอย่างอื่นได้ นอกจากติดตั้งไปตามทิศทางของฝา
ผนั งเท่านั้ น
2. เทคนิ คการจัดทำาแผุนป้ าย
2.1 แผ่นป้ ายยึดติดกับขาตั้งอย่างถาวร มีลักษณะ
แต่ละป้ ายติดตายตัวกับขาตั้งสามารถวางตั้งได้อย่างอิสระไม่ต้อง
พึ่งพิงเกาะเกี่ยวกับวัสด่อ่ ืน ปลายขาด้านล่างมีกากบาทหรือแผ่น
โลหะรองรับนำ้าหนั กช่วยให้แผ่นป้ ายตั้งอยู่ได้อย่างมัน
่ คง
สามารถเคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนไปมาได้สะดวก แผ่นป้ ายทำาด้วย
ไม้อัดหรือไม้ไผ่สาน โดยทัว่ ไปนิ ยมทำาเป็ นขนาด 112 x 122
ซ.ม. หรือขนาดครึง่ แผ่นไม้อัด
2.2 แผ่นป้ ายอิสระ เป็ นแผ่นป้ ายอิสระไม่ยึดติดกับขา
ตั้ง สามารถถอดประกอบกับขาตั้งและอ่ปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้
ส่วนสำาคัญของแผ่นป้ ายแบบนี้ ได้แก่ ขาตั้ง ซึ่งเป็ นขาที่ได้รบ

การออกแบบเป็ นพิเศษสามารถยึดเกาะแผ่นป้ ายแล้วยืดหรือย่อ
16

ให้สูงตำ่าได้ ทำาให้มีความยืดหย่่นสูงในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะ
สมกับสถานที่ท้ ังแนวตั้งและแนวนอน
2.3 แผ่นป้ ายสามเหลี่ยมรูปตัวเอ เป็ นแผ่นป้ ายยึดติด
กับขาตั้งอีกแบบหนึ่ งประกอบด้วยแผ่นป้ าย 2 แผ่น ด้านบนติด
บานพับทำาให้สามารถพับเก็บและกางออกเพื่อตั้งแสดงได้เหมาะ
สำาหรับตั้งแสดงไว้กลางห้องหรือบริเวณที่ห่างจากผนั งห้อง
เพราะผู้ชมจะสามารถชมเนื้ อหาได้ท้ ังด้านหน้าและด้านหลังขณะ
กางออกและตั้งแสดง
2.4 แผ่นป้ ายแบบแขวน เป็ นแผ่นป้ ายไม่ยึดติดกับขา
ตั้งโดยตรงสามารถถอดประกอบได้ การติดตั้งต้องใช้วิธีแขวนกับ
ราวหรือกรอบที่ทำาไว้รองรับโดยเฉพาะซึ่งอาจต่อเติมเสริมแต่งให้
มีหลังคาขึงด้วยผ้าดิบ หรือเป็ นกรอบราวแขวนธรรมดาก็ได้
แผ่นป้ ายแบบนี้ ให้ความรู้สึกน่าสนใจ พิถีพิถัน ดูไม่แข็งกระด้าง
เหมาะกับการนำาเสนอเนื้ อหาที่เป็ นเรื่องพิเศษเฉพาะที่แปลกกว่า
เรื่องอื่นทัว่ ๆ ไป หากเป็ นป้ ายมีหลังคาจะเหมาะกับนิ ทรรศการ
ที่จด
ั แสดงเป็ นเวลานาน ๆ หรือนิ ทรรศการภายนอกอาคาร
2.5 แผ่นป้ ายแบบโค้งงอรูปเป็ นรูปทรงต่าง ๆ เป็ น
แผ่นป้ ายที่ทำาจากแผ่นพลาสติกหรือพีวีซี ปั จจ่บันกำาลังได้รบ

ความนิ ยมในวงการธ่รกิจ และหน่วยงานที่มีงบประมาณมากพอ
สมควร เพราะโดยทัว่ ไปแผ่นป้ ายแบบนี้ จะผลิตเนื้ อหาเป็ น
รูปภาพและตัวอักษรจากระบบการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ออก
17

มาเป็ นภาพเหมือนจริงขนาดใหญ่ สามารถออกแบบตกแต่งให้


ได้ผลงานตามจินตนาการหรือตามวัตถ่ประสงค์ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
2.6 แผ่นป้ ายแบบกำาแพง เป็ นแผ่นป้ ายที่มีความหนา
เป็ นพิเศษด้านล่างยึดติดกับฐานกล่องรูปสามเหลี่ยมหรือ
สี่เหลี่ยมทำาให้สามารถวางตั้งได้ตามลำาพัง แผ่นป้ ายแบบนี้ ให้
ความรู้สึกมัน
่ คง แข็งแรง จึงเหมาะกับการนำาเสนอเนื้ อหาเกี่ยว
กับความเชื่อถือศรัทธา ความเป็ นปึ กแผ่น ความสามัคคี ความ
มัน
่ คงถาวร เช่นเรื่องพระมหากษัตริย์ ศาสนา ราชการ การเมือง
การปกครอง เป็ นต้น
2.7 แผ่นป้ ายสำาหรับจัดร้านขายสินค้า เป็ นแผ่นป้ าย
หลายแผ่นเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วทำาให้เกิดบริเวณพื้ นที่ท่ี
แสดงขอบเขตเฉพาะขึ้น อาจเป็ นห้องรูปสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม
เป็ นเกาะรูปสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม หรือวงกลมที่ผู้ชมสามารถเดิน
ดูได้โดยรอบ แผ่นป้ ายแบบนี้ จะได้รบ
ั การออกแบบเป็ นพิเศษ
เพื่อให้สามารถยึดเกี่ยวกันเป็ นรูปทรงหรือบริเวณตามต้องการ
สามารถนำาตัวอย่างสินค้าผลิตภัณฑ์มานำาเสนอผสมผสานกับ
รูปภาพ และข้อความบนแผ่นป้ าย ทำาให้ผู้ชมเข้าใจประทับใจกับ
สิ่งต่าง ๆ ในขอบเขตที่แผ่นป้ ายตั้งแสดงได้
2.8 แผ่นป้ ายตั้งแสดง เป็ นแผ่นป้ ายที่มีโครงสร้าง
สามารถพับยืดและเก็บได้มีความหนาประมาณ 40 ซ.ม. บางคน
18

เรียกว่า ป๊ อปอัพแสตน(pop-up stand) สามารถวางตั้งแสดงได้


ด้วยตัวเอง และเนื่ องจากเป็ นแผ่นป้ ายขนาดใหญ่พอสมควรจึง
สามารถเร้าความสนใจได้ดี ทั้งยังทำาหน้าที่เป็ นฉากหลังสำาหรับ
บริเวณจัดแสดงด้านหน้าได้อีก
2.9 แผ่นป้ ายผืนธง เป็ นป้ ายที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืน
ผ้ามีข้อความเชิญชวนคำาขวัญ คำาโฆษณา หรือรูปภาพ ในวงการ
โฆษณานิ ยมเรียกว่า แบนเนอร์ (banner) เป็ นสื่อใหม่ท่ีกำาลังได้
รับความนิ ยมอย่างสูงทั้งในวงการธ่รกิจเอกชน การศึกษา
การเมือง การตลาด การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์
เนื่ องจากราคาไม่แพงมากนั ก มีขนาดเล็กนำ้าหนั กเบามาก
สามารถติดตั้งง่ายเหมือนป้ ายผ้าโฆษณาธรรมดาแต่มีรูปแบบ
สวยกว่าสามารถสร้างสรรค์และออกแบบตกแต่งภาพด้วย
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ได้ภาพตามต้องการได้โดยเฉพาะการ
สร้างภาพเหมือนจริงซึ่งเป็ นภาพที่ไม่สามารถเขียนได้ด้วยมือ

การจัดป้ ายนิ เทศ


ป้ ายนิ เทศ (bulletin board) เป็ นสื่ออย่างหนึ่ งที่มีการกล่าว
ถึงกันมากทั้งในวงการศึกษา วงการธ่รกิจ วงการเมือง แต่อาจ
เรียกชื่อแตกต่างกันบ้าง
ซินแคลร์ (Sinclair, 1994, p.182) กล่าวว่า ป้ ายนิ เทศหรือ
Bulletin Board เป็ นคำาศัพท์ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันมี
19

ความหมายเดียวกับคำาว่า Notice board ซึ่งมีความหมายว่าแผ่น


กระดาน ปกติตด
ิ ตั้งไว้กับฝาผนั ง หรือสถานที่จัดแสดงด้วยป้ าย
กล่าวโดยสร่ปว่าป้ ายนิ เทศเป็ นสื่อทัศนวัสด่ประเภทหนึ่ งที่มี
ลักษณะเฉพาะ คือเป็ นแผ่นป้ ายที่ทำาหน้าที่เสนอเนื้ อหาเพื่อ
ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้ผู้ชมได้เรียนรู้ตามความ
เหมาะสม รูปแบบของป้ ายนิ เทศอาจเป็ นป้ ายสำาเร็จรูปที่มี
เนื้ อหาเขียนหรือพิมพ์ติดอยู่กับแผ่นป้ ายโดยตรงสามารถนำาไป
จัดแสดงได้ทันที

1. คุณคุาของป้ ายนิ เทศ


ป้ ายนิ เทศเป็ นสื่อที่มีค่ณค่าหลายประการ เช่น เป็ นสื่อเร้า
ความสนใจผู้ชมโดยใช้รูปภาพ ข้อความ และสัญลักษณ์ท่ี
สวยงามและมีความหมายต่อผู้ชม ใช้ในการจัดแสดงแจ้งข่าวสาร
ผู้ชมสามารถศึกษาเนื้ อหาได้ซ้ ำาแล้วซำ้าอีกตามความพอใจ ช่วย
ประหยัดเวลาในการสอนและการสื่อ ความหมายเพื่อถ่ายทอด
ความรู้ นิ ยมใช้เป็ นสื่อหลักที่สำาคัญในการจัดแสดงหรือ
นิ ทรรศการท่กประเภท ป้ ายนิ เทศที่จด
ั อย่างสวยงามสามารถใช้
เป็ นสิ่งประดับตกแต่งห้องหรือบริเวณได้

2. หลักการและเทคนิ คการจัดป้ ายนิ เทศ


20

1.1 หลักการจัดป้ ายนิ เทศ การจัดป้ ายนิ เทศให้มี


ประสิทธิภาพในการกระต้่นความสนใจและการสื่อความหมาย
ควรคำานึ งถึงหลักการต่อไปนี้
...........การกระต้่นความสนใจ
..........การมีส่วนร่วม
..........การตรึงความสนใจ
..........ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ
..........การเน้น
..........การใช้สี
1.2 เทคนิ คการจัดป้ ายนิ เทศ การจัดป้ ายนิ เทศที่ดีมีค่ณค่า
ในการสื่อความหมายควรมีองค์ประกอบต่าง ๆ และเทคนิ คดัง
ต่อไปนี้
ชื่อเรื่อง จะต้องสั้น อ่านง่าย เด่นชัด สามารถมองเห็น
ได้ในระยะไกลดึงดูดความสนใจได้ทันที
ข้อความเชิญชวนหรือคำาอธิบาย ควรมีลักษณะกระทัด
รัด สั้นอ่านง่ายได้ใจความชัดเจน จัดช่องไฟได้เหมาะสม ควร
เขียนข้อความให้ผู้ชมมีความรู้สึกว่าเขามีส่วนร่วมด้วย
การสร้างมิติเพื่อการรับรู้ การสร้างภาพลวงตาให้ดูว่า
ป้ ายนิ เทศมีลักษณะตื้ นลึกด้วยเส้นหรือแถบสี
...........การใช้สี แสง เงา และบริเวณว่าง
...........การเคลื่อนไหว
21

...........การใช้รูปภาพ
...........การจัดองค์ประกอบ
...........การตกแต่งพื้ นป้ ายนิ เทศ
...........การจัดป้ ายนิ เทศร่วมกับสื่ออื่นจะช่วย
ให้การถ่ายทอดเนื้ อหาสมบูรณ์และน่าสนใจยิ่งขึ้น
...........การใช้เนื้ อหาหรือกิจกรรมเป็ นตัวกำาหนด

3. การจัดป้ ายนิ เทศให้สอดคล้องกับเนื้ อหาและวัตถุประสงค์


3.1 การจัดภาพบนหน้าต่างหรือแบบวินโดว์ ภาพแบบ
หน้าต่างหรือแบบวินโดว์ (window) เป็ นการจัดเพื่อเน้นราย
ละเอียดด้วยรูปภาพขนาดใหญ่เพียงภาพเดียว ทำาให้ภาพมีความ
โดดเด่น สะด่ดตาสามารถดึงดูดความสนใจผู้ชมได้
3.2 การจัดภาพแบบละครสัตว์ การจัดภาพแบบละครสัตว์
(circus) เป็ นการจัดภาพที่มีลักษณะเป็ นกล่่มๆ กระจายอยู่ทัว่
พื้ นที่ ผู้ชมจะมีอิสระในการเลือกชมรูปภาพหรือเลือกอ่านเนื้ อหา
ตามใจชอบ ดังนั้ นการจัดภาพแบละครสัตว์จึงเหมาะกับเนื้ อหาที่
มีหลายหัวข้อย่อยแต่ไม่จำาเป็ นต้องเรียงตามลำาดับ
3.3 การจัดภาพแบบแกน การจัดภาพแบบแกน (axial)
เป็ นการจัดภาพที่มีรูปภาพอยู่ตรงกลางและมีคำาอธิบายกำากับทั้ง
22

ด้านซ้ายและด้านขวาหรือโดยรอบ การจัดแบบนี้ จึงมีลักษณะ


คล้ายแผนภูมิหรือแผนภาพเหมาะกับเนื้ อหาที่ต้องการถ่ายทอด
ความรู้เป็ นเฉพาะจ่ดหรือตำาแหน่งใดตำาแหน่งหนึ่ งที่ต้องการ
3.4 การจัดภาพแบบกรอบภาพ การจัดภาพแบบกรอบภาพ
(frame) เป็ นการจัดโดยนำาภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้ อหาวางเรียงต่อ
เนื่ องกันล้อมรอบเนื้ อหาข้อความ จนดูเหมือนกรอบภาพ ทำาให้
ป้ ายนิ เทศดูเด่นสะด่ดตา การจัดลักษณะนี้ ช่วยให้ผู้ชมได้ ข้อคิด
ความรู้จากเนื้ อหาที่อยู่ตรงกลางประกอบกับรูปภาพที่เรียงราย
กันเป็ นกรอบอยู่รอบ ๆ
3.5 การจัดภาพแบบตาราง การจัดภาพแบบตาราง (grid)
เป็ นการจัดภาพไว้ในตารางซึ่งอาจเว้นช่องใดช่องหนึ่ งหรืออาจ
ขยายภาพใดภาพหนึ่ งเพื่อให้เกิดจังหวะระหว่างรูปภาพทำาให้ดู
แปลกตาและในส่วนที่ช่องว่างยังทำาหน้าที่เป็ นที่พักสายตาผู้ชม
ไปด้วย การจัดภาพแบบนี้ เหมาะกับเนื้ อหาที่มีองค์ประกอบ
หลายแง่ม่มแต่ไม่จำาเป็ นต้องเรียงลำาดับก่อนหลัง
3.6 การจัดภาพแบบแถบ การจัดภาพแบบแถบ (band)
เป็ นการจัดรูปภาพและเนื้ อหาที่เรียงตามลำาดับขั้นตอนตั้งแต่ข้ ัน
ต้นถึงขั้นส่ดท้าย แสดงให้เป็ นลำาดับขั้นเช่น การขับรถยนต์ การ
ทำานา การผ่าตัดอวัยวะภายใน การทำานำ้าตาลทราย การใช้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ กระบวนการทำาหนั งสือพิมพ์เป็ นต้น การ
23

จัดป้ ายนิ เทศแบบนี้ จะช่วยให้ผู้ชมเข้าใจเนื้ อหาอย่างเป็ นขั้นตอน


ได้ดี
3.7 การจัดภาพแบบแกน การจัดภาพแบบแกน (path)
เป็ นการจัดให้รูปภาพหรือเหต่การณ์เรียงกันอย่างต่อเนื่ องไปใน
ทิศทางใดทิศทางหนึ่ งซึ่งอาจคดเคี้ยวโค้งงอไปตามจังหวะที่
สวยงาม ขณะเดียวกันก็จะ
แทรกเนื้ อหาซึ่งเป็ นข้อความไปตามช่องว่างที่มีพื้นที่เหมาะสม
การจัดป้ ายนิ เทศแบบนี้ เหมาะกับ การนำาเสนอเนื้ อหาหรือ
เหต่การณ์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปตามลำาดับ

การกำาหนดบริเวณวุางในนิ ทรรศการ
บริเวณว่างเป็ นองค์ประกอบสำาคัญในการจัดนิ ทรรศการ
สามารถทำาให้นิทรรศการมีค่ณค่าและประสบผลสำาเร็จตาม
วัตถ่ประสงค์ได้เป็ นอย่างดี บริเวณว่างจะเข้าไปเกี่ยวข้องและมี
อิทธิพลต่อองค์ประกอบอื่น ทำาให้ผู้ชมเกิดความพึงพอใจใน
ประโยชน์ใช้สอยและความงามจากการออกแบบและการกำาหนด
บริเวณว่างที่เหมาะสม แต่ถ้าบริเวณว่างมีมากหรือน้อยเกินไปจะ
ส่งผลเสียทำาให้ผู้ชมรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว หรืออึดอัดคับข้องใจ
ดังนั้ นจึงควรคำานึ งถึงลักษณะและการออกแบบบริเวณว่างดังนี้
1. ลักษณะของบริเวณว่าง
24

บริเวณว่างมี 2 ลักษณะได้แก่ บริเวณว่างที่


ใช้สอยให้เกิดประโยชน์ (positive space) และบริเวณว่างที่นอก
เหนื อจากการใช้สอย (negative space) อย่างไรก็ตามบริเวณว่าง
ทั้งสองลักษณะมีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน
เสมอ
2. การออกแบบบริเวณว่าง
2.1 การจัดองค์ประกอบแนวตั้ง องค์ประกอบ
แนวตั้ง โดยปกติจะกินพื้ นที่อากาศในแนวดิ่ง มองโดยรวมจะ
เป็ นเส้นตั้ง (linear vertical element) จะช่วยกำาหนดขอบม่ม
ของปริมาตรของที่ว่าง (บัณฑิต จ่ลาสัย, 2533, หน้า 59) แต่ถ้า
กำาหนดให้มีองค์ประกอบลักษณะเดียวกันมากกว่า 2 องค์
ประกอบขึ้นไป และวางในตำาแหน่งม่มต่างกันที่ไม่ใช่แถว
เดียวกัน
2.2 การจัดองค์ประกอบระนาบแนวตั้ง องค์
ประกอบระนาบแนวตั้ง มีลักษณะแผนกั้นเป็ นฉากหลังของพื้ นที่
ระนาบแนวตั้ง (linear vertical plane) จะสร้างที่ว่างหน้าระนาบ
(บัณฑิต จ่ลาสัย, 2533, หน้า 59) ก่อให้เกิดบริเวณว่างขึ้นด้าน
หน้าของระนาบแนวตั้ง 90 องศา บริเวณว่างที่เกิดขึ้นใหม่
สามารถเชื่อมโยงสัมพันธ์กับบริเวณด้านหน้าได้อย่างกลมกลืน
ส่วนบริเวณว่างด้านข้างทั้งสองข้างมีความสัมพันธ์กับพื้ นที่ว่าง
ด้านหน้าของระนาบน้อยมาก
25

2.3 การจัดองค์ประกอบระนาบแนวตั้งรูปตัวแอล
(L) องค์ประกอบระนาบแนวตั้งรูปตัวแอล หรือระนาบม่มฉาก
(L-shaped planes) ช่วยสร้างปริมาตรของที่ว่างภายในม่มฉาก
(บัณฑิต จ่ลาสัย, 2541, หน้า 73) เป็ นระนาบแนวตั้ง 2 ด้าน
บรรจบกันที่ม่มใดม่มหนึ่ ง ก่อให้เกิดสนามบริเวณว่างจากม่ม
ตามแนวทแยงม่มทั้งนี้ เนื่ องมาจากการรวมตัวกันของบริเวณว่าง
ที่เกิดจากระนาบแนวตั้งทั้ง 2 ด้าน ทำาให้สามารถดึงดูดความ
สนใจผู้ชมได้จากม่มกว้างให้ม่งตรงไปยังจ่ดสนใจเพียงจ่ดเดียว
ได้ง่ายขึ้น
2.4 การจัดองค์ประกอบระนาบแนวตั้งขนานกัน
องค์ประกอบระนาบแนวตั้งขนานกัน หรือระนาบคู่ขนาน
(parallel planes) จะช่วยสร้างปริมาตรของที่ว่างระหว่างระนาบ
ทั้งสองและแสดงทิศทางตามระนาบคู่ขนาน (บัณฑิต จ่ลาสัย,
2541, หน้า 79) ระนาบแบบนี้ จะกำาหนดบริเวณว่างระหว่างคู่
ขนานนำาไปสู่ด้านที่เปิ ดออก (ทิพย์ส่ดา ปท่มานนท์, 2535, หน้า
55) เป็ นระนาบที่ก่อให้เกิดบริเวณว่างจากระนาบแนวตั้งทั้ง 2
ด้านเข้ามารวมตัวกันตรงกลาง ทำาให้ปริมาตรบริเวณว่างที่เกิด
ขึ้นใหม่เชื่อมโยงกับบริเวณว่างภายนอกตามแนวขนานได้ 2 ทาง
2.5 การจัดองค์ประกอบระนาบรูปตัวยู องค์
ประกอบระนาบรูปตัวยู (U) เป็ นระนาบปิ ดล้อมสามด้าน (U-
shaped planes) สร้างปริมาตรของที่ว่างระหว่างระนาบทั้งสาม
26

และแสดงทิศทางทางด้านเปิ ด (บัณฑิต จ่ลาสัย, 2535, หน้า


73) เป็ นบริเวณว่างที่เกิดจากระนาบแนวตั้ง 3 ด้านบรรจบกัน
เข้าเป็ นรูปตัวยูทำาให้ด้านหนึ่ งที่เหลือเปิ ดออกสู่บริเวณว่างด้าน
นอก การกำาหนดบริเวณว่างแบบนี้ มีจ่ดเด่นคือความเป็ นเอกเทศ
ที่สามารถออกแบบและสร้างสรรค์องค์ประกอบให้เป็ นไปตาม
จินตนาการได้ง่าย
3. การกำาหนดบริเวณว่างในเชิงจิตวิทยา
การใช้บริเวณว่างในเชิงจิตวิทยาเพื่อการเชิญชวนลูกค้าหรือ
ผู้ชมเข้าชมและร่วมกิจกรรมควรคำานึ งถึงธรรมชาติของการ
ปฏิสัมพันธ์และการแสดงออกของผู้ชม โดยเฉพาะลูกค้าใหม่
หรือผู้ชมที่ยังไม่ค้่นเคยกับสินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรยึดหลัก
สำาคัญคือการหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางใด ๆ ท่กชนิ ดระหว่างทาง
สัญจรภายนอกกับบริเวณภายในนิ ทรรศการ เช่น พื้ นที่ต่างระดับ
กัน การใช้เส้นขวางหรือสีกำาหนดขอบเขต โต๊ะ แผงกั้นราว ตู้
ชั้นวางสิ่งของ แต่หากเป็ นผู้ชมที่ต้องการปรึกษาในรายละเอียด
จำาเป็ นต้องจัดบริเวณพิเศษแยกจากส่วนผู้ชมทัว่ ไป
การกำาหนดทางเดินชมนิ ทรรศการ
1. การสัญจรทิศทางเดียวชมได้ด้านเดียว
2. การสัญจรทิศทางเดียวชมได้ 2 ด้าน
3. การสัญจรอย่างอิสระตามความต้องการ
27

ภาพตัวอยุาง

ภาพแสดงแผ่นป้ ายมีกากบาทหรือแผ่นโลหะด้านล่างสามารถตั้งวางได้อย่างอิสระ
ที่มา (วิวรรธน์ จันทร์เทพย์, 2548)

ภาพแสดงแผ่นป้ ายขนาดใหญ่ ปลายขาด้านล่างไม่มีกากบาทต้องติดตั้งด้วยการ


เกาะเกี่ยวซึ่งกันและกัน ที่มา (วิวรรธน์ จันทร์เทพย์, 2548)

ภาพแสดงแผ่นป้ ายแบบอิสระสามารถถอดประกอบได้ ที่มา (วิวรรธน์ จันทร์เทพย์,


2548)

ภาพแสดงแผ่นป้ ายอิสระสามารถถอดประกอบได้ ที่มา (วิวรรธน์ จันทร์เทพย์,


2548)
28

ภาพแสดงแผ่นป้ ายสามเหลี่ยมรูปตัวเอแนวตั้ง ที่มา (วิวรรธน์ จันทร์เทพย์, 2548)

ภาพแสดงแผ่นป้ ายแบบแขวนมีกรอบและโครงหลังคา ที่มา (วิวรรธน์ จันทร์


เทพย์, 2548)

ภาพแสดงแผ่นป้ ายพลาสติกแบบโค้งงอรูปเป็ นรูปทรงต่าง ๆ ที่มา (วิวรรธน์ จัน


ทร์เทพย์, 2548)

ภาพแสดงแผ่นป้ ายแบบกำาแพงที่มา (วิวรรธน์ จันทร์เทพย์, 2548)


29

ภาพแสดงแผ่นป้ ายที่ประกอบกันเป็ นร้านขายสินค้ารูปสี่เหลี่ยม 2 รูปเชื่อมต่อกัน


ที่มา (ภาพโดย วิวรรธน์ จันทร์เทพย์, 2548)

2. นาฏการ (Dramatization)
นาฏการ หมายถึง การแสดงต่าง ๆ ที่จัดขึ้นสำาหรับ
ถ่ายทอดความเข้าใจระหว่างผู้แสดงกับผู้ดูการแสดงนาฏการ
เป็ นการเสนอสิ่งเร้า
ที่เป็ นของจริง หรือเสมือนของจริง ซึ่งเป็ นเหต่สำาคัญที่ทำาให้ผู้
เรียนสนใจ และเอื้ อประโยชน์ให้เกิดการเรียนรู้ได้สะดวก นาฏ
การสามารถจัด
ลำาดับการเสนอเป็ นเรื่องราวให้ผู้เรียนเกิดความร้สึกเสมือนว่าตัว
เองเข้าไปอยู่ในเหต่การณ์น้ ั น ๆ ด้วย

คุณคุาของนาฏการ
1. ทำาให้บทเรียนเป็ นจริงเป็ นจัง น่าสนใจ เกิด
ความประทับใจและจดจำาได้นาน
2. นั กเรียนได้ฝึกทักษะทางภาษา
3. ส่งเสริมการทำางานร่วมกัน และเปิ ดโอกาสให้
30

นั กเรียนได้แสดงออกได้เข้าใจ
4. ฝึ กความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาร่วม
กัน
5. สร้างและเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้เรียนไป
ในทางที่ดี
6. ช่วยระบายความเครียดและสนองความ
ต้องการตามธรรมชาติของเด็ก

ประเภทของนาฏการ
นาฏการแบ่งได้เป็ น 2 ประเภท คือ
1. นาฏการที่แสดงด้วยคน ได้แก่ การ
แสดงละคร ละครใบ้ ห่น
่ ชีวิต การแสดงกลางแปลง และการ
แสดงบทบาทสมม่ติ
2. นาฏการที่แสดงด้วยห่่น ได้แก่ หนั ง
ตะล่ง ห่่นเสียบไม้ ห่่นสวมมือ และห่่นชักใย

นาฏการที่แสดงด้วยคน
1. การแสดงละคร (Play) เป็ นการแสดง
ที่เห็นถึงความเป็ นอยู่ อ่ปนิ สัย หรือวัฒนธรรม หรือทั้งสามรวม
กัน ในการแสดงละครจะต้องจัดให้ใกล้เคียง กับสถานการณ์จริง
ๆ มากที่ส่ดโดยอาจต้องจัดสภาพแวดล้อม จัดฉากการแต่งกาย
และส่วนประกอบต่าง ๆ รวมถึงการเตรียมบทการฝึ กซ้อม
31

2. ละครใบ้และหุุนชีวิต (Pantomime
and Tableau) ละครใบ้เป็ นการแสดงลักษณะท่าทางการ
เคลื่อนไหว และสีหน้าให้ผด
ู้ ูเข้าใจ โดยผ้แ
ู สดงไม่ต้องใช้คำาพูด
เลย การแสดงเช่นนี้ ช่วยฝึ กพัฒนาการในด้านการเคลื่อนไหว
อวัยวะต่าง ๆ ให้ผด
ู้ ูเข้าใจ
3. การแสดงกลางแปลง (Pageant)
เป็ นการแสดงกลางแจ้ง เพื่อการถ่ายทอดศิลปะและวัฒนธรรม
พื้ นบ้าน ตลอดถึงประเพณี หรือพิธีการต่าง ๆ ในท้องถิ่น โดยใช้
ผู้แสดงหลายคน
4. การแสดงบทบาท (Role Playing)
เป็ นการแสดงโดยใช้สถานการณ์จริง หรือเลียนแบบสถานการณ์
จริงในสภาพที่เป็ นปั ญหา มาให้ผู้เรียนหาวิธีแก้หรือใช้ความ
สามารถความคิดในการวินิจฉัย ตัดสินปั ญหาในช่วงเวลา 10-15
นาที การแสดงแบบนี้ ส่วนมาก ไม่มีการซ้อมหรือเตรียมการล่วง
หน้า ผู้แสดงจะใช้ความสามารถและแสดงบทบาทไปอย่าง
อิสระ

นาฏการที่แสดงด้วยหุุน
หุุน (Puppets) เป็ นตัวละครที่ไม่มีชีวิต
เคลื่อนไหวด้วยการกระทำาของมน่ ษย์เรา สร้างห่่นด้วยวัสด่ง่าย
ๆ เพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวและแนวคิดต่าง ๆ ให้กับผ้เู รียนโดย
เฉพาะกับเด็กในวัย 2-6 ปี เด็กในวัยนี้ ชอบการเล่น สมม่ติ และ
32

เรื่องราวที่เป็ นจินตนาการ การเคลื่อนไหวของห่่นจึงสามารถเร้า


ความสนใจของเด็กได้เป็ นอย่างดี

คุณคุาของหุุน
1. ห่่นใช้แสดงเรื่องราวต่าง ๆ ได้
สะดวกและง่ายกว่าการแสดงโดยใช้คนจริง ทำาให้ประหยัดทั้ง
เวลาและค่าใช้จ่าย
2. ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม
อย่างทัว่ ถึง
3. พัฒนาทักษะในการเขียน การคิด
การแสดงออก การทำางานกล่่ม และช่วยเหลือเด็กขี้อายให้มี
ความกล้ามากขึ้น
4. ผู้เรียนท่กคนพอใจและสนใจใน
การเรียน

ประเภทของหุุน
ห่่นมีหลายประเภทแตกต่างกันดังนี้
1. ห่่นเงา (Shadow Puppet) เป็ นห่่น
ที่ฉล่จากหนั งสัตว์ หรือกระดาษแข็งแล้วใช้ไม้ไผ่ยึดเป็ นโครง
สำาหรับเชิดและบังคับให้ห่นเคลื่อนไหว เวลาแสดงจะต้องใช้ตัว
ห่่นอยู่หลังจอ แล้วใช้แสงส่องให้เกิดเงาบนจอ เช่น หนั งตะล่ง
2. ห่่นเสียบไม้ หรือห่่นกระบอก
33

(Rod Puppet) เป็ นห่่น 3 มิติท่ีใช้แท่งไม้เสียบกับคอห่่นเพื่อให้ผู้


เชิดถือขณะเชิดห่่น การทำาห่่นชนิ ดนี้ มีต้ ังแต่แบบยาก ๆ เช่น
กระพริบตา ขยับปากได้จนถึงแบบง่าย ๆ ที่ไม่มีส่วนเคลื่อนไหว
ซึ่งสามารถนำามาใช้ในการเรียน
การสอนได้ เวลาแสดงห่่นแบบนี้ ผู้เชิดห่่นจะอยู่ตอนล่างด้าน
หลังของเวที
3. ห่่นสวมมือ (Hand Puppet) เป็ น
ห่่นขนาดเล็กครึง่ ตัวมีขนาดพอเหมาะกับขนาดของมือที่เชิดห่่น
หัวห่่นทำาด้วยกระดาษหรือผ้าเป็ นหัวคน หรือสัตว์ มีเสื้ อต่อที่คอ
ห่่นใต้ลำาตัวและแขนกลวง เพื่อสอดมือเข้าไปเชิดให้เกิดการ
เคลื่อนไหว
เนื่ องจากห่่นมือเป็ นห่่นที่ทำาได้ง่าย เชิดง่าย จึงนิ ยมนำามาใช้ใน
การเรียนการสอนมากกว่าห่่นชนิ ดอื่น
4. ห่่นชัก (Marionette) เป็ นห่่นเต็ม
ตัว ที่ใช้เชือก ด้าย หรือไนล่อนผูกติดกับอวัยวะต่าง ๆ ของห่่น
แล้วแขวนมาจากส่วนบนของเวที ผู้ชักห่่นจะบังคับเชือก
ควบค่มการเคลื่อนไหวของห่่นให้ทำากิรย
ิ าท่าทางต่าง ๆ ได้คล้าย
คนจริง ๆ แต่การบังคับห่่นทำาได้ยาก
และต้องใช้เวลาฝึ กฝนนานจึงไม่ค่อยได้นำามาใช้ในวงการศึกษา
มากนั ก
34

หลักการใช้หุนกับการสอน
1. เวลาที่ใช้แสดงควรเป็ นช่วงสั้น ๆ
2. พิจารณาว่าได้ประโยชน์ค้่มค่ากับ
การลงท่นลงแรงเพียงไร เพราะการใช้นาฏการอาจต้องเสียค่าใช้
จ่าย เช่น ค่าเครื่องแต่งกาย และวัสด่ต่าง ๆ
3. พยายามให้เด็กท่กคนมีส่วนร่วม
ในการแสดงให้มากที่ส่ด แม้จะไม่ได้เป็ นตัวละครก็ควรให้มีส่วน
ในการวางแผน ช่วยเหลือการแสดงและประเมินผล
4. จัดนาฏการให้เหมาะสมกับพื้ น
ฐานความรู้ ความสนใจ และว่ฒิภาวะของเด็ก
5. ควรใช้ส่ ือการสอนอื่นมาประกอบ
ด้วย
6. ควรเลือกแสดงในเรื่องที่สามารถ
ทำาเรื่องยากให้ง่ายต่อการเข้าใจ เรื่องนามธรรมให้เป็ นรูปธรรม
หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่ณธรรมจริยธรรมต่าง ๆ
7. จัดนาฏการให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของผู้เรียน

3. การสาธิต (Demonstration
35

หมายถึง การสอนโดยวิธีอธิบายข้อเท็จจริง ความคิด และ


ขบวนการต่าง ๆ พร้อมกับการใช้วัสด่หรือเครื่องมือแสดงให้ผู้
เรียนได้สังเกตไปด้วย การสาธิตใช้ได้ดีกับเนื้ อหาวิชาที่มีลักษณะ
เป็ นลำาดับขั้นตอนและกระบวนการ

ลักษณะสำาคัญ
วิธีสอนแบบสาธิตเป็ นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนรู้ ประสบการณ์
แนวทาง เช่น การฟั ง การดู การสัมผัสแตะต้อง ซึ่งเป็ น
ประสบการณ์ท่ีให้การเรียนรู้ค่อนข้างสมบูรณ์

วัตถุประสงค์
1. ให้ผู้เรียนได้รบ
ั รู้หลาย ๆ ด้าน เช่น ทางตา หู จมูก ลิ้น
และการสัมผัส
2. ม่่งให้ผู้เรียนได้รบ
ั ประสบการณ์กว้างขึ้น
3. ให้ผู้เรียนได้เข้าใจลำาดับขั้นต่าง ๆ และสามารถสร่ปผล
ได้
4. เป็ นกิจกรรมที่สามารถปฏิบัติไปพร้อมกับวิธีการสอนวิธี
อื่น ๆ ด้วยได้

จำานวนผู้เรียน

การสาธิ ต เป็ นการแสดงให้ ดู การลองทำา หรือ ผู้ เ รีย นได้ มี


โอกาสปฏิบัติ ดังนั้ นการจัดกล่่มผู้เรียนต้องไม่มากเกินไป เช่น
36

5-7 คน หรือน้อยกว่า อย่างไรก็ตามการจัดกล่่มผู้เรียนจำา นวน


เท่าใดขึ้นอยู่กับจ่ดม่่งหมาย วิธีการสาธิต สถานที่ หรืออ่ปกรณ์ท่ี
ใ ช้ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส า ธิ ต

ร ะ ย ะ เ ว ล า
ระยะเวลาของการสาธิ ต ขึ้ นอยู่ กั บ จ่ ด ม่่ ง หมายของการจั ด
เนื้ อหา เรื่องราวที่จะสาธิต เป็ นสำา คัญหากมีข้ ันตอนและเนื้ อหา
มาก การสาธิตก็ต้องใช้เวลานาน หรืออยู่ท่ีวิธีการสาธิต บางอย่าง
ผลของการสาธิตต้องอาศัยเวลานานจึงจะเห็นผลที่เ กิด ขึ้น แต่
กิจกรรมสาธิตบางเรื่องสามารถเน้นผลได้ในทันที

ลักษณะห้องเรียน
การสอนแบบสาธิต อาจจะแบ่งลักษณะของห้องเรียนหรือ
สถานที่ได้ 3 รูปแบบ คือ
1. การสาธิตในห้องทดลอง กระบวนการสาธิตใน
ลักษณะนี้ จะต้องอาศัยอ่ปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องทดลอง เช่น การ
สาธิตเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ การผสมสารเคมี ซึ่งต้องใช้ความ
ละเอียดอ่อนและขั้นตอน ผู้สาธิตต้องรู้และเข้าใจกระบวนการ
สาธิตเป็ นอย่างดี เพราะรูปแบบการสาธิตวิธีน้ ี บางครั้งหากทำาผิด
พลาดอาจจะเกิดเรื่องเสียหายได้
37

2. การสาธิตในห้องเรียน รูปแบบการสาธิตวิธีน้ ี อาจจะ


เป็ นการสาธิตเรื่องราวต่าง ๆ ของบทเรียนที่มี ไม่จำาเป็ นต้องทำา
ในห้องทดลอง และบางครั้งก็ไม่ต้องใช้อ่ปกรณ์มากมาย เช่น
การสาธิต วิธีการ การสาธิตท่ายืน เดิน นั ่ง การสาธิตท่ากราบ
ไหว้ท่ีถูกต้อง เป็ นต้น
3. การสาธิตนอกห้องเรียน การสาธิตรูปแบบนี้ อาจจะ
ต้องใช้สถานที่นอกห้องเรียน เช่น สนามกีฬา หรือในแปลง
สาธิตทางการเกษตร เป็ นกิจกรรมที่ต้องอาศัยสถานที่ หรือ
บริเวณกว้างขวางกว่าห้องเรียน

ลั ก ษ ณ ะ เ นื้ อ ห า
รู ป แบบการสอนแบบสาธิ ต สามารถใช้ ไ ด้ กั บ เนื้ อหาในท่ ก
วิ ช า ทั้ งนี้ ขึ้ นอยู่ กั บ วั ต ถ่ ป ระสงค์ ข องการสอน และผู้ ส อน
วิเคราะห์แล้ว การใช้กิจกรรมการสาธิตจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้
ดีท่ีส่ด เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์ การสาธิตวิธีการประกอบ
อาหาร หรือการสาธิตการเล่นกีฬา หรือการออกกำาลังกายในท่าที่
ถูกต้อง ฯลฯ จะสังเกตได้ว่าเป้ าหมายของการสอนแบบสาธิตคือ
ต้องการให้ผู้เรียนได้เน้นกระบวนการของเรื่องหนึ่ งเรื่องใด เพื่อ
ที่ ผู้ เ รี ย น จ ะ ไ ด้ นำา ไ ป ป ฏิ บั ติ ไ ด้

บทบาทผู้สอน
38

วิ ธี ส อนแบบสาธิ ต ส่ ว นใหญ่ จ ะเป็ นบทบาทของผู้ ส อน


มากกว่าผู้เรียน ทั้งนี้ การสอนแบบสาธิตจะมีลักษณะใกล้เคียงกับ
การแสดงโดยต้ อ งการทำา ให้ ดู และการบอกให้ เ ข้ า ใจ บางครั้ง
เรื่องที่สาธิตนั้ นอาจจะมีข้ ันตอนหรือต้องอาศัยความชำา นาญการ
ในการทำา หรือบางครั้งเครื่องมือหรืออ่ปกรณ์ท่ีใช้ในการสาธิตนั้ น
มีราคาแพง หรือแตกหักชำาร่ดง่าย ผู้สอนจึงต้องเป็ นผู้ทำาเสียเอง
อย่ า งไรก็ ต ามการสาธิ ต ที่ ดี น้ ั นผู้ เ รีย นต้ อ งมี ส่ ว นร่ ว มด้ ว ย โดย
เฉพาะหากการเรียนการสอนเน้นอยู่ท่ีตัวผู้เ รียน ผู้เ รียนต้องมี
โอกาสได้สาธิตด้วยตนเองให้มากที่ส่ดเพื่อให้ได้ประสบการณ์ตรง
บ ท บ า ท ผู้ เ รี ย น
วิธีสอนแบบสาธิตโดยทัว่ ๆ ไป ผู้เรียนจะมีบทบาทน้อยเป็ น
เพียงผู้ดูและผู้ฟัง อาจจะมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย
เท่ า นั้ น แต่ ก ารสาธิ ต ที่ ดี ต้ อ งเปิ ดโอกาสให้ ผู้ เ รีย นเข้ า มามี ส่ ว น
ร่ ว มมากที่ ส่ ด ยิ่ ง ถ้ า มี โ อกาสได้ ร บ
ั ประสบการณ์ ต รงด้ ว ยคื อ มี
โอกาสได้ ป ฏิ บั ติ ภ ายหลั ง การสาธิ ต ด้ ว ยแล้ ว ก็ ย่ิ ง ทำา ให้ เ กิ ด การ
เรียนรู้มากขึ้น

คุณคุาของการสาธิต
1.เป็ นจ่ดรวมความสนใจของนั กเรียน
2. แสดงขั้นตอนหรือเรื่องราวที่เป็ นขบวนการ
ได้ดี โดยเฉพาะในการสอนวิชาทักษะ เช่น ดนตรี การใช้เครื่อง
มือวิทยาศาสตร์ ฯลฯ
39

3. เป็ นกิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วน


ร่วมอย่างจริงจัง เช่น การสังเกต วิจารณ์ และปฏิบัตด
ิ ้วยตนเอง
4. ช่วยให้ผู้เรียน เรียนด้วยความสน่ กสนาน
และเข้าใจเนื้ อหาที่เรียนดีข้ ึน
5. ฝึ กให้ผู้เรียนมีวิจารณญาณ และเสริมสร้าง
ทัศนคติท่ีถูกต้องให้กับผู้เรียน
6. ลดเวลาในการลองผิดลองถูกของผู้เรียน
ให้น้อยลง
7. สามารถใช้สอนได้ท้ ังวิชาที่ต้องใช้วัสด่
อ่ปกรณ์ประกอบ และวิชาที่มีลักษณะเป็ นนามธรรม
8. ประหยัดค่าใช้จ่าย ท่่นเวลา และป้ องกัน
อันตราที่เกิดขึ้นกับนั กเรียนได้ดี

โอกาสในการสาธิต
การใช้วิธีการสาธิต เพื่อการเรียนการสอนอาจทำาได้หลาย
โอกาส คือ
1. ใช้วิธีสาธิตเพื่อนำาเข้าสู่บทเรียนเรื่องใหม่
เพื่อเป็ นการเร้าความสนใจให้กับผู้เรียน
2. ใช้เพื่อสร้างปั ญหาให้ผู้เรียนคิดและหา
ทางแก้ไขปั ญหา
3. เพื่อการสร้างความเข้าใจในเนื้ อหา หลัก
การ และความคิดรวบยอดของบทเรียน
40

4. ช่วยแก้ปัญหาการสอนในกรณี ท่ีมีเครื่อง
มือจำากัด ราคาแพง และอาจเป็ นอันตรายต่อผู้เรียน

ขั้นตอนการสอน
กุอนการสาธิต มีข้ ันตอนปฏิบัติดังนี้
1. การกำาหนดวัตถ่ประสงค์ ของการสาธิตให้ชัดเจน
ว่าการสาธิตนั้ นมีวัตถ่ประสงค์อย่างไรการสาธิตบางอย่างเป็ นการ
สาธิตกระบวนการเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการ ขั้นตอน เช่น
การสาธิต ขั้นตอนการยิงลูกโทษ การสาธิตการเตะตะกร้อ และ
การสาธิตบางเรื่องต้องการสาธิตให้เกิดผลตามที่ต้องการ เช่น
การสาธิตในห้องทดลอง
2. การเตรียมการ ผู้สอนต้องเตรียมวัสด่ อ่ปกรณ์ใน
การสาธิต เตรียมขั้นตอนการสาธิตซึ่งวิธีการเตรียมที่ถูกต้องคือ
ต้องลองสาธิตดูก่อน เป็ นการตรวจสอบว่าขั้นตอนเหล่านั้ นถูก
ต้องหรือไม่ หากเกิดปั ญหาใด ๆ ขึ้นก็มีโอกาสแก้ไขได้ก่อน
ขณะทำาการสาธิตผู้สอนควรอธิบายหรือบรรยายให้ผู้เรียนเข้าใจ
เสียก่อน โดยเฉพาะควรจะบอกวัตถ่ประสงค์ของการสาธิตให้ผู้
เรียนได้ทราบ หลังจากนั้ นจึงนำาเข้าสู่การสาธิต โดยการอธิบาย
ให้ฟังหรือใช้ส่ ือต่าง ๆ อาจจะเป็ นสไลด์ประกอบคำาบรรยายหรือ
วีดิทัศน์ หรือวิธีการที่ผู้สอนทัว่ ไปใช้คือ การให้ผู้เรียนได้ศึกษามา
ก่อน โดยให้ไปอ่านเอกสาร หนั งสือ หรือค้นคว้าเรื่องราวที่สาธิต
41

นั้ นก่อน ก็จะทำาให้การสาธิตดำาเนิ นไปได้อย่างรวดเร็วและผู้เรียน


เข้าใจได้ชัดเจนในขณะสาธิตผู้เรียนสาธิตต้องดำาเนิ นการสาธิตไป
ตามขั้นตอนที่กำาหนดไว้ อาจจะสลับด้วยการบรรยายแล้วสาธิต
วิธีท่ีจะทำาให้บรรยากาศการสาธิตเป็ นไปด้วยความตื่นเต้น ควร
เปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสาธิตตลอดเวลา อาจจะ
เป็ นการถามนำา กระต้่น หรือให้ผู้เรียนช่วยสาธิตเรื่องราวบาง
เรื่องที่มีความสลับซับซ้อนหรือมีข้ ันตอนย่่งยาก ผู้สาธิตก็ต้อง
สาธิตหลาย ๆ ครั้ง หรือให้ผู้เรียนทำาตามไปด้วยเป็ นขั้น ๆ ผู้
สอนจะต้องชี้แนะหรือเน้นยำ้าในส่วนที่สำาคัญตลอดเวลา ดังนั้ น
การวางแผนสาธิตจำาเป็ นต้องเตรียมตัวมาเป็ นอย่างดี

ภายหลังการสาธิต
เมื่อการสาธิตจบลงแล้ว การยำ้าเน้นเรื่องราวที่สาธิตไม่ว่าจะ
เป็ นการสาธิตกระบวนการหรือสาธิตผู้สอนก็ต้องให้มีการสร่ป
ทั้งนี้ ผู้ดูหรือผู้เรียนเป็ นผู้สร่ปเอง โดยมีการอภิปรายแลกเปลี่ยน
กัน หรือบางครั้งการจัดอาจจะจบลงด้วยการสร่ปโดยวีดิทัศน์
หรือสไลด์ประกอบเสียง โดยการสอบถาม แจกแบบสอบถาม
แบบทดสอบ ทั้งนี้ อยู่ท่ีระยะเวลาที่เหลือ

สื่อการสอนแบบสาธิต
การสอนแบบสาธิตก็เช่นเดียวกับวิธีการสอนแบบอื่น ๆ ที่
42

สามารถนำาสื่อในรูปแบบต่าง ๆ มาใช้ได้ แต่ส่วนใหญ่การสาธิต


นั้ นหากเป็ นการสาธิตที่ไม่ใช้วัสด่ อ่ปกรณ์ใด ๆ ตัวผู้สอนจะเป็ น
สื่อที่สำาคัญ ดังนั้ นผลของการสาธิตจะบรรล่ตามวัตถ่ประสงค์หรือ
ไม่จึงขึ้นอยู่กับผู้สอน แต่แนวทางที่จะให้การสอนแบบสาธิตเน้น
ผู้เรียนเป็ นสำาคัญ การออกแบบการสอนแบบสาธิตซึ่งต้องให้ผู้
เรียนมีบทบาทมากขึ้น จึงต้องให้ผู้เรียนมีบทบาทตั้งแต่ก่อนการ
สาธิตจนกระทัง่ หลังการสาธิต

การวัดและประเมินผล
การสอนแบบสาธิตส่วนใหญ่ผู้สอนหรือผู้สาธิตจะมีบทบาท
ในการประเมิน อาจจะโดยการสังเกต วิเคราะห์คำาตอบว่าผู้เรียน
เข้าใจหรือไม่เพียงใด แต่การประเมินที่ดีคือการให้ผู้เรียนได้ทำา
แบบทดสอบหรือแบบสอบถาม

ข้อดีและข้อจำากัด
ข้อดี
1) ทำาให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง
2) ทำาให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายและจดจำาเรื่องที่สาธิตได้
นาน
3) ทำาให้ผู้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาได้ดว้ ยตนเอง
43

4) ทำาให้ประหยัดเงินและประหยัดเวลา
5) ทำาให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์

ข้อจำากัด
1) หากผู้เรียนมีจำานวนมากเกินไปก็อาจทำาให้การ
สังเกตไม่ทัว่ ถึง
2) ถ้าผ้เู รียนเตรียมการมาไม่ดีเมื่อเวลาสาธิตวนไปวน
มาหรือสาธิตไม่ชัดเจนก็ทำาให้ได้ผลไม่ดี
3) ถ้าการสาธิตนั้ นเน้นที่ผู้สอนโดยผู้เรียนไม่มีโอกาส
ได้ปฏิบัตเิ ลย ผู้เรียนก็อาจจะได้ประสบการณ์น้อย
4) บางครั้งการสาธิตที่เยิ่นเย้อก็ทำาให้เสียเวลา

การปรับใช้การสอนสาธิตโดยเน้นผู้เรียนเป็ นสำาคัญ
ขั้นเตรียมการสาธิต
ผู้สอนต้องเตรียมการให้ดี ไม่ว่าการเตรียมเนื้ อหา
บทบาทการสาธิตส่วนใหญ่จะเป็ นของผู้สอนแต่เนื้ อหาหรือจ่ดม่่ง
หมายในส่วนใดที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ทัศนคติ บทบาท
ในส่วนนั้ นจะเน้นที่ผู้เรียนมากกว่าผู้สอน การเตรียมกระบวน
การ เตรียมสื่อที่จะสาธิต และเตรียมกิจกรรมที่จะสาธิตต้อง
สอดคล้องกับวัตถ่ประสงค์ท่ีกำาหนดไว้ เมื่อสาธิตจบแล้วควรมี
การวางแผนว่าจะทำากิจกรรมอะไรต่อไปโดยให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วม
44

มากที่ส่ด

ขั้นการสาธิต
ผู้สอนควรใช้วิธีการสื่อสารสองทาง คือ มีท้ ังผู้สาธิต
เป็ นคนทำา แต่ในบางครั้งก็ให้ผู้เรียนมีส่วนช่วยสาธิต อธิบายหรือ
ตอบคำาถาม ผู้สาธิตควรใช้ส่ ืออื่น ๆ ที่เร้าความสนใจได้มากกว่า
คำาพูดประกอบ เช่น ของจริง ของตัวอย่าง แผ่นโปร่งใส สไลด์
หรือภาพฉาย ภาพนิ่ ง หรือภาพเคลื่อนไหวบนจอ ในขณะสาธิต
จะต้องเน้น ต้องยำ้า การที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสตอบสนอง
(Feedback) ตลอดเวลา เช่น การซักถาม การอธิบายเสริม การ
ได้มีกิจกรรมเสริมอื่น ๆ เช่น การแสดงบทบาทสมม่ติ
สถานการณ์จำาลอง การเล่นเกม ผู้สาธิตพยายามให้ผู้ดูมีส่วนร่วม
มากที่ส่ด ที่สำาคัญผู้สาธิตต้องมีความสามารถที่จะต้องจูงใจให้ผู้
เรียนติดตามตลอดเวลา การจูงใจทำาได้หลายวิธี เช่น การถาม
ตอบ การให้เพื่อนช่วยเพื่อน ช่วยเสริมซึ่งกันและกัน เป็ นต้น

ภายหลังการสาธิต
ผู้เรียนควรมีโอกาสทำากิจกรรมเสริมอื่น ๆ ที่จะช่วย
เน้นยำ้า เรื่องราวที่ได้เห็นการสาธิตมาเพื่อทำาให้ผู้เรียนเกิดความ
เชื่อมัน
่ ในเรื่องที่เรียนและจำาได้นาน ส่วนการประเมินการสาธิต
ถ้ามีโอกาสก็ควรให้ผู้เรียนได้รู้ว่ามีความเข้าใจหรือรู้เรื่องที่ได้เห็น
การสาธิตมาเพียงใด ซึ่งการวัดและประเมินในส่วนนี้ ถ้าทำาได้ท่ก
45

ครั้งก็จะเป็ นการดี แต่ถ้าไม่มีเวลาอาจจะไม่จำาเป็ นต้องทำาท่กครั้ง


แต่ในส่วนของผู้สอนนั้ นอาจจะประเมินโดยการสังเกตพฤติกรรม
ของผู้เรียนว่าสนใจ หรือเอาใจใส่เพียงใด การประเมินจะเป็ นวิธี
การพัฒนาการสาธิตของผู้สอนได้เป็ นอย่างดี

4. การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา (Community Study)

การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา หมายถึง การใช้แหล่งวิชาการ


และสภาพแวดล้อมของช่มชนให้เป็ นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
เพื่อขยายประสบการณ์ของผู้เรียนให้กว้างขวาง มีโอกาสสัมผัส
ใกล้ชิดกับสภาพความเป็ นจริงมากขึ้น และช่วยให้ผู้เรียน
สามารถนำาความรู้ ประสบการณ์ไปใช้แก้ปัญหาในการดำารงชีวิต
ในโอกาสต่อไปได้อย่างดี

ประโยชน์ของการใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา
1. ทำาให้ผเู้ รียนค้่นเคยกับสิ่งแวดล้อมและรู้จัก
ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
2. เปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำาความรู้จาก
ห้องเรียนไปใช้จริง ๆ กับการเชื่อมโยงสภาพการณ์ในห้องเรียน
กับสภาพความเป็ นจริง
46

3. แหล่งวิชาการในช่มชน ขยายความรู้เพิ่มเติม
จากที่ครูสอนในหลักสูตรให้สมบูรณ์ข้ ึนช่วยให้นักเรียนพบเห็น
สิ่งที่เป็ นจริง
4. แหล่งวิชาการในช่มชนมีมากมายอยู่แล้ว ทั้ง
สถานที่และบ่คคล ถ้าครูเลือก และนำามาใช้ให้เหมาะสมก็จะได้
ผลค้่มค่า เพราะเสียค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่เสียเลย
5. เปลี่ยนบรรยากาศในการเรียน ให้ผู้เรียนได้
พบสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ เร้าความสนใจและเพิ่มพูนความเข้าใจ
6. ฝึ กนิ สัยช่างซักถาม และสังเกตพิจารณา
7. ฝึ กการทำางานร่วมกัน ฝึ กความรับผิดชอบ
มน่ ษยสัมพันธ์ ระเบียบวินัย และการตรงต่อเวลา
8. เปิ ดโอกาสให้นักเรียนใช้ทักษะด้านการพูด
ภาษา การเขียน การคิดคำานวณ ศิลปะ
9. แก้ปัญหาครูไม่มีความรู้ ความค้่นเคยกับ
ช่มชน
10. มีผลต่อการปรับปร่งเปลี่ยนแปลงทัศนคติ
ผู้เรียน
11. สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานศึกษา
และช่มชน นั บเป็ นการประชาสัมพันธ์สถานศึกษาอย่างหนึ่ ง

แหลุงทรัพยากรการเรียนรู้ในชุมชน
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในช่มชนมีหลายประเภท กล่าว
47

โดยสร่ปคือ
1. บ่คคล ได้แก่ ผ้ม
ู ีประสบการณ์โดยตรง
อยู่ในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่น ตำารวจ พ่อค้า นั กธ่รกิจ เกษตรกร
2. สถานที่ ได้แก่ ท่่งนา แม่น้ ำา ภูเขา ป่ า
ไม้ โรงงาน สถานที่ราชการ สโมสร และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
3. วัสด่อ่ปกรณ์ในช่มชนที่สามารถนำามา
เป็ นสื่อการสอน เช่น เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ผลผลิตทางการ
เกษตรและงานศิลปหัตถกรรมในช่มชน
4. กิจกรรมของช่มชน ได้แก่ การละเล่น
พื้ นบ้าน งานประเพณี และพิธีต่าง ๆ เช่น การบวช แต่งงาน
ทอดกฐิน

วิธีการใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา
1. การศึกษาภายในบริเวณโรงเรียน
เป็ นการใช้แหล่งทรัพยากรนอกห้องเรียนที่ทำาได้สะดวกที่ส่ด
แหล่งวิชาการอาจเป็ นได้ท้ ังสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในบริเวณ
โรงเรียน เช่น สนามหญ้าต้นไม้ สระนำ้า
2. การศึกษาในช่มชนที่โรงเรียนตั้งอยู่
หมายถึง สถานที่ในช่มชนที่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนั ก การ
ศึกษาแบบนี้ ทำาได้ง่ายไม่ส้ ินเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ไม่ต้อง
ขออน่ ญาตเจ้าสังกัดให้ย่งยากว่่นวาย
3. การเชิญวิทยากรมาบรรยาย หมายถึง
48

การเชิญบ่คลากรจากสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่มีประสบการณ์โดยตรง

4. การทัศนาจรการศึกษาหรือทัศนศึกษา
เพื่อการพานั กศึกษาออกไปศึกษาหาความรู้จากแหล่งช่มชนอื่นที่
ไกลจากที่โรงเรียนตั้งอยู่ ซึ่งจะต้องปฏิบัตต
ิ ามระเบียบของสถาน
ศึกษาและต้องได้รบ
ั อน่ ญาตจากผู้ปกครองของผู้เรียนก่อนด้วย

5. สถานการณ์จำาลอง (Stimulation)

สถานการณ์จำาลอง เป็ นการจัดสภาพแวดล้อมเลียนแบบ


ของจริงให้ใกล้เคียงสภาพความเป็ นจริงให้มากที่ส่ด เพื่อให้ผู้
เรียนได้ฝึกหัดแก้ปัญหาและตัดสินใจจากสภาพการณ์ท่ีเขากำาลัง
เผชิญอยู่น้ ั น การจัดสถานการณ์จำาลอง เป็ นการเตรียมความ
พร้อมให้กับคนที่ออกไปเผชิญกับปั ญหาจริง ๆ เช่น นั กเรียน
ฝึ กหัดครู ก่อนที่จะสอนต้องได้รบ
ั การฝึ กฝนด้านวิชาการ
สอน วิธีฝึกอย่างหนึ่ งที่ได้ผลดีคือ การฝึ กจากสถานการณ์จำาลอง
นั ่นเอง ขบวนการแก้ปัญหาในสถานการณ์จำาลอง เมื่อเสนอ
สถานการณ์จำาลองให้กับผู้เรียนแล้ว ครูควรสร่ปแนวทางในการ
แก้ปัญหา
ให้กับผู้เรียนแล้วให้นักเรียนเข้าร่วมมีบทบาทในการแก้ปัญหา
ด้วยตนเอง แนวทางในการแก้ปัญหาโดยทัว่ ไปจะประกอบด้วย
1. ปั ญหาคืออะไร
49

2. สาเหต่ของปั ญหา
3. รวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ
4. หาทางเลือกสำาหรับการตัดสินใจ (อาจมีหลาย
ทาง)
5. ตัดสินใจเลือกวิธีแก้ปัญหาที่มีเหต่ผลดีท่ีส่ด
6. ลงมือแก้ปัญหาตามวิธีท่ีเลือก
7. ประเมินผลการแก้ปัญหา
8. พิจารณาปรับปร่งผลของการแก้ปัญหาเพื่อนำา
ไปใช้ต่อไป

การใช้สถานการณ์จำาลองในการสอน
ลำาดับขั้นในการใช้สถานการณ์จำาลองในการสอน
ครูอาจทำาได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้ คือ
1. ผู้สอนเสนอสถานการณ์ท่ีทำาให้เกิด
ปั ญหา
2. ผู้เรียนศึกษาปั ญหารวบรวมข้อมูลเอเป็ น
แนวทางตัดสินใจ และแก้ปัญหาตามขั้นตอน จนกระทัง่ ได้ข้อ
สร่ป
การทำางานในขั้นนี้ นิ ยมแบ่งผู้เรียนเป็ นกล่่มย่อย เพื่อหา
แนวทางของแต่ละกล่่ม
3. แต่ละกล่่มเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตน
50

ต่อชั้นเรียน
4. ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันประเมินค่าโดย
พิจารณาเหต่ผลว่าวิธีการใดที่ดี และมีเหต่ผลดีท่ีส่ด สำาหรับการ
แก้ปัญหานั้ น ๆ

6. การศึกษานอกสถานที่ (Field Trip)


การศึกษานอกสถานที่หรือทัศนศึกษา หมายถึง
กิจกรรมที่พาผู้เรียนออกไปหาประสบการณ์นอกห้องเรียน เพื่อ
ให้เกิดการเรียนที่สอดคล้องกับเนื้ อหาและวัตถ่ประสงค์ท่ีกำาหนด
ไว้ การไปทัศนศึกษาต่างจากการทัศนาจรโดยทัว่ ๆ ตรงที่ การ
ทัศนาจรม่่งความสน่ กสนานเพลิดเพลินเป็ นสำาคัญ ส่วนการ
ศึกษานอกสถานที่เน้นการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่
ผู้เรียน ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนและการดำาเนิ นการอย่างมีข้ ัน
ตอนเป็ นสำาคัญ

คุณคุาของการศึกษานอกสถานที่
1. ช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรง
2. ช่วยให้บทเรียนมีความหมายยิ่งขึ้น
3. ช่วยให้ฝึกฝนระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา
และมน่ ษยสัมพันธ์
4. ช่วยส่งเสริมการทำางานร่วมกันทั้งก่อนและ
51

หลังการทำากิจกรรมทัศนศึกษา
5. ช่วยให้ผู้เรียนได้ร่วมกิจกรรมการเรียนอย่าง
เพลิดเพลิน
6. ช่วยให้การเรียนรู้เป็ นไปในลักษณะ
บูรณาการ

บรรณานุกรม
52

http://reg.ksu.ac.th/teacher/sudatip/Elearning_files/DATA10.

HTML

http://portal.in.th/inno-cholticha/pages/1934/

http://www.northeducation.ac.th/elearning/ed_child/chap07/7

_31_11.html

http://jerasuk.multiply

วิวรรธน์ จันทร์เทพย์.(2548). การจัดแสดงและนิ ทรรศการ.

คณะคร่ศาสตร์.

มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง

http://hnung6.blogspot.com/

You might also like