Professional Documents
Culture Documents
From: Larndharma.org
----------------------------------------------------------------------
Audio
download: http://www.dhammatarn.com/fungdham/sound/dul/06.mp3
ศิษย : ปญญานะครับ ทําใหเกิดยังไง
หลวงปู : ปญญาเหรอ
ศิษย : ครับผม
ศิษย : ครับผม
ถาหากวาจิตเปนสมาธิอยูแลวละก็
ตองใหจิตมันเดินตามอาการสามสิบสอง
หลวงปู : คือดู
ศิษย : เอาจิตไปดูหรือครับ
ศิษย : ครับผม
ใหมันซึมซาบถึงจิตถึงใจ ดูอาการลักษณะของมัน
มันเปนอยางไง
ศิษย : ตอนดู ดูตอนนี้ มันจะเกิดภาพประกอบดวยหรือเปลา
หลวงปู : ไมมี
ศิษย : ไมมีภาพหรือครับ
รูดวยจิตอันลึกซึ้ง ดูดวยปญญา
ศิษย : แยก
เหมือนเหมือนกันละ
แลวก็ เปนอนิจจังมันเปนยังไง
มันเปนอนัตตามันเปนยังไง
ใหดูใหเขาใจชัดเจน ดวยปญญา
ศิษย : อยางเชนจะพิจารณา ปฏิจสมุปบาท
นี่จะเปนขัน้ ปญญาดวยรึเปลา
ศิษย : ครับ
ใหพิจารณาสังขาร
ศิษย : ใหพิจารณาสังขาร
หนึ่งเปนตัวไมรูถึงความเปนจริงของสิ่งทั้งปวง
แลวก็ใหรู ตัวอวิชชานี่ซะกอน
อวิชชาในจิตของเรามันเปนยังไง
ดูไป ตามลําดับไป
เปนสวนสวนไป มันยาวไป
ดูรูปดูยังไงครับผม
สังขารมันเปนยังไง วิญญาณมันเปนยังไง
มันเปนทัง้ ขันธหา
ลูกศิษย : มันจะเกิดคําถามคําตอบขึ้นในจิตมั้ยครับ
มันรูถงึ ความเปนจริง
มันรูถงึ ความเปนจริง
หลวงปู : พิจารณาอยางนี้แหละ
สมมุติวาสมาธิมันเขาลึกเขาไป แลวถอยมารึเปลาครับ
พิจารณาอยูในสมาธิ
ใหสมาธิเปนกําลังใหพิจารณาได
แลวก็ ปญญาก็เกิดจากสมาธิ
ลูกศิษย : ตอนพิจารณานี่ เราไมตองยึดพุทโธ
ไมตองอะไรครับ
ใหลึกซึมซาบถึงจิตถึงใจเลย
ใหสมาธิมันเปนกําลังใหพิจารณาได ถึงความเปนจริง
สงสัยเราเขาถึงแลวไดก็ไมไดความ
ในจิตของเราอันลึกซึ้งแลว
ก็ ใหรวม วามูลธาตุทั้งหา
เปนความวางเปลา ใหวางใหหมด
แยกออก แยกออกจากกัน
เวลามันยึดมันเปนรูปนะ
เวลาแยกออกจากกัน
เวลาแยกจนหมดรูป แยกจนหมดรูป
จิตของเราก็ ถึงที่วา ง
ลูกศิษย : ที่วางนี่หมายความวา
แมเทาเสนขนที่เล็กทีส่ ุดอยูในความวาง
เหมือนกับกลางอากาศ…
อะไรบรรจุอยูไมได
มันเหมือนกับกลางอากาศ
ถาวาง เหมือนกับกลางอากาศ
ไมมีอะไรบรรจุไดในอากาศ
แมเสนผมที่เล็กที่สุดอยูในอากาศก็บรรจุไมได
มันเปลา วางเปลา
แลวจิตก็เปนอยางนัน้
ลูกศิษย : แลว อีก คําที่วา รูปดับนามก็ดบั นี่ ไอนามดับ
หลวงปู : ไปพรอมกัน
รูปก็คือรูปนี่แหละ
พอมันดับแลวมันดับพรอมกัน
ลูกศิษย : ไอนามดับตัวนี้
เหมือนกันมั้ยครับ
หลวงปู : หมดสังขาร
ลูกศิษย : หมดสังขาร
มันก็หมด หมดความคิด
ลูกศิษย : หมดความคิดนึก การปรุงแตงไมมี
หลวงปู : หมดความปรุงแตงไมมี
หมดสังขารหมดสัญญาอันเดียว
มันหมด หมดไปแลวทั้งอาการ
มันหมดไปแลว
หลวงปู : นามดับ
ลูกศิษย : คือนามดับนี่หมายความวา
นามดับ หยุดคิดแลวหมดทั้งรูปทั้งนาม
หยุดแลวก็หมดทั้งรูปทั้งนาม เหลือแตวาง
ลูกศิษย : ทีนี้คําวาหยุดคิดนะครับผม มันจะไปคลายๆ
มันจะเปนวาจิตมันจะไมไดทํางานหรือเปลา
จิตมันก็คุยไปตามปกติ แตวา
ไอความวางมันมียังอยูหรือครับ
ลูกศิษย : ไมมีการปรุงแตง
หลวงปู : ไมยึดทั้งหมดเลย
ลูกศิษย : แตวาไอการทําการพูดการจานี่
ยังเปนไปตามธรรมชาติ
หลวงปู : เปนธรรมชาติ
ลูกศิษย : จิตไมเกาะ
ลูกศิษย : ครับผม
ลูกศิษย : ครับ
หลวงปู : ที่วาง
ลูกศิษย : ไอตัววางเปลานี่ รูปดับ นามก็ดับ
ที่นี้มันก็เหลืออยูตัววางฮะ
หลวงปู : เหลือตัววาง
ลูกศิษย : ตัววางนี้เขาเรียกวาอะไรครับ
หรือเปนเรียกวา ตัวเปน
ลูกศิษย : ตัวธรรมะที่สูงที่สุดอยูตรงนัน้
ตัวธรรมะที่แทจริงอยูตรงนั้นใชมั้ย
แตวาจะใหชื่อสมมุติขึ้นมาชื่อหนึ่ง
สมมุติชื่อวา นามกาย
ลูกศิษย : นามกาย
หลวงปู : ชื่อวา นามกาย นามกายคือทีว่ างนั่นเอง
เราคิดจะสรางโบสถสรางศาลา สรางวิหาร
เราก็ทําไปตามธรรมชาติของมัน ตามหนาที่
หลวงปู : ทําตามหนาที่
จะเกิดความคลองตัว ใชมั้ยครับผม
หลวงปู : คลอง
หลวงปู : ไมมีแลว
ลูกศิษย : เปนขั้นอะไร
หมายความวา มันเทาไปหมดแลว
ลูกศิษย : รูสักแตวารู
ลูกศิษย : ครับผม
มันรูถงึ ความเปนจริง
มันรูเอาเอง
เพราะวาจิตมันไมถึง
ลูกศิษย : ครับผม
ลูกศิษย : ที่นี้ คนมาติดตรงนี้ครับผม
ติดอยูตรงนี้ไมรูจะไปตรงไหน ทํายังไง
ลูกศิษย : ดับยังไง
ลูกศิษย : ครับ
หลวงปู : ใชไมได
ลูกศิษย : แลวจะแกยังไงครับผม
ลูกศิษย : ออ
หลวงปู : มันออกไปแสวง ทุกสิ่งทุกอยาง
จิตออกไปแสวงทั้งนัน้
ลูกศิษย : ออ
หลวงปู : ไมตองลําบากไปตัด
ลูกศิษย : มาเพงดูจติ หรือครับ
ไปปรุงไปแตง
เอาจิตมากําหนดดูจิตหรือครับผม
ไมตองไปลําบากไปตัดอะไร
รูถึงความเปนจริงแลว อะไรมันขาดไปเอง
อะไรทุกสิ่งทุกอยางมันขาดไปเอง [เสียงไมชัด~13:38]
ลูกศิษย : พูดถึงตอนปฏิบัตินะครับผม
เราตองปลอยจิตสบายๆ ใชไหมครับ
ก็ตองบริกรรม จิตของเราใหเปนสมาธิ
แลวบริกรรม บริกรรมไมเอาอะไรมากมาย
พุทโธเทานั้นเอง ใหพุทโธนะฝงอยูในจิตในหัวใจ
อยูในหลักสมาธิเนี่ยละ)
ลูกศิษย : อยูในหลักที่วาจิตสงออกนอกเปนสมุทัยใชมั้ยครับ
ลูกศิษย : ครับ
แลวเราจะไปเห็นเปนเงา
แลวจิตของเราเขาไปยึดเอาสิ่งภายนอก
ที่ไปเห็น เขาใจวาเปนตัวจริง
เขาใจวาอยางนั้นเอง เขาใจวาเปนตัวจริง
แทที่จริงไมใชตัวจริง คือตัวกิเลส
อุปกิเลส คือตัวกิเลสตั้งหาก
เพงจิตเห็นจิต แลวก็ตั้งสติใหมันเห็นจิต
อะไรๆมันก็ขาดไปเอง
ก็หมดเรือ่ งกันไป โอภาสนัน้ ก็หมด
หมายความวา เราไมรูเทามัน
เราไมเขาใจความเปนจริง หลงไปตามมัน
สุดทายมันจะเปนบา
ลูกศิษย : ครับผม
ลูกศิษย : เออตอนนี้ มีปญหา บางคนที่นั่ง
อันนี้จะแกยังไงครับ
ลูกศิษย :ปติทั้งหมด
ปติมีหลายอยาง
ลูกศิษย : ครับ
หลวงปู : ก็ดูในจิต
ลูกศิษย : ก็กลับมาดูจิต
หมายความวา จิตของเราอยูเหนือปติเหลานั้นอีก
ใหมันอยูเหนือปติเหลานั้นอีก
สิ่งเหลานี้ ใหมันอยูเหนือทั้งหมดเลย
แลวมันขาดไปเอง ไมมีอะไร
ไอ[เสียงไมชัด~17:38]จิตมันไมมีตัวมีตนอะไร
เรียนถามทานอาจารยเทสก อาจารยเทสกบอกวา
ใหนั่งใหจิตเปนสมาธิ แลวปญญามันจะเกิดขึ้นมาเอง
หลวงปู : ปญญามันก็เกิดจากสมาธินั่นแหละ
ถาพิจารณามันยังเปนการเอาสัญญามาใชอยู
ใหรูถึงจิต ปญญาสูงสุดคือจิตดูจิต
ถาหากเรารูจิตชัดเจนแลว
หมดปญญา ไมตองดูอะไรอีก
อะไรอยูในจิต. มันก็หมด
มันเปนอริยมรรค
ลูกศิษย :ครับผม
หลวงปู :สําหรับตัด ตัดสมุทัยไดทั้งหมด
วาจิตสงออกนอกเปนตัวสมุทัย
ลูกศิษย :ครับผม
ลูกศิษย :ผลของจิตสงออกนอกเปนทุกข
ผลเห็นจิตอยางแจมแจงเปนนิโรธ
หลวงปู :จิตเห็นจิตเปนตัวมรรค
ลูกศิษย :จิตเห็นจิตเปนตัวมรรค
หลวงปู :ผลของมรรคเปนตัวนิโรธ
ลูกศิษย :ผลของมรรคเปนตัวนิโรธ
ผลเห็นจิตเห็นจิตอยางแจมแจง
ตัวนั้นเปนตัวนิโรธ ผลของจิตที่เห็นจิต
มรรคอันนี้ แหละเปนผลนะ
…มันมีเหตุผลนี่แหละ
เหตุของนิโรธก็คือ เหตุของนิโรธก็คือตัวอริยมรรค
ผลของสมุทัยเปน ตัวทุกข
และผลของมรรคคือตัวนิโรธ
ลูกศิษย :ครับ
ลูกศิษย : ไอคําวาจิตดูจิต หมายความวา
เอาสติดูจิต หรือเปลา
ใหอยูกับผูร ู สติระลึกอยูในนัน้
คือจิตกับสตินั่นเอง ตั้งจิตในจิต
จิตกับผูรูเปนของสิ่งเดียวกัน ไมไดแตกตางกันเลย
และนําเราไปสูการกอสรางกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิด
ไมมีหยุด เนื่องจากเราเขาใจผิด
แลวก็ไปสรางกรรมไมมีที่สิ้นสุด
มันตัดขาดไปหมดแลว
คือพระอรหันตนี่นะครับผม
ดวงจิตดวงนั้นยังอยูใ ชมั้ยครับผม
หลวงปู : ก็อยูสิ
ลูกศิษย : แตไมมีปรุงแตงอะไรทั้งนัน้
หลวงปู : ไมมีปรุงแตง
ลูกศิษย : แมแตละสังขารไปแลวจิตของเรา
สัจธรรมของเรานั้นไมไดหายไปจากเรา
แมในขณะที่เรากําลังหลงผิดอยูในอวิชชา
และไมไดรับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู
เปนอยูอยางนัน้ ไอสัจจะของเรา
หมดก็หมดคิดใชไหม แตจิตมันยังอยู
มันไมเปลีย่ นแปลงไปไหน
ลูกศิษย : ครับผม
หลวงปู : อวิชชามันก็อยูในนัน้
เรียกวาจิตแท และก็จิตรับคือรับอารมณตางๆเขามา
ตอนนี้ก็เปนจิตหลุดครับ
อันนี้ตัวเปรียบสําคัญที่สุดเลย
ละไมตนทาง มันก็ไมดับ
ลูกศิษย : ตองละจนกวาจะดับ
หลวงปู : ตองละตนทางมันถึงจะดับ ตองละตนทางถึงจะดับ
ตามสติปญญาให ไดรูไดเห็น
ลูกศิษย : ครับผม
หลวงปู : ไมดับ
หลวงปู : จิตยังสงออกนอก
ใหตั้งจิตอยูในจิต อะไรๆมันขาดหมดแลว
ไปดับดวยปญญาขางนอก มันดับไมสนิท
หลวงปู : ภาวะที่แทของจิต
เปนสิ่งกอกําเนิดกรรมทั้งหลายเรียกวาวิญญาณ
เมื่อมีวญ
ิ ญาณแลว ก็เริ่มมีที่แหงความคิดนึก
มีที่แหงตัณหาเหตุผล
เมื่อวิญญาณรับรู อารมณทั้งหกเกิดขึ้น
ก็จะสําเหนียกรูในวัตถุทางอารมณทั้งหกนั้นจากทวารทัง้ หก
แรงกระตุน ของภาวะที่แทของจิต
ไมวาบุคคลนั้นจะปฏิบัติผิดในทางชั่ว
หรือปฏิบตั ิผิดในทางดี
แลวแตวา ภาวะที่แทของจิตจะอยูในอารมณเชนใด
อยูในอารมณดี หรืออยูในอารมณชั่ว
อารมณชวั่ ก็เปนลักษณะของสามัญชน
อารมณดีกเ็ ปนลักษณะของพุทธะ
เพราะวา ความรูสึกที่เปนของคู ประเภทตรงกันขาม ฝงจิต
หลวงปู :ไมซายไมขวา
หลวงปู : อยูเหนือบุญเหนือบาป
ลูกศิษย : เหนือบุญเหนือบาป
หลวงปู : เหนือสมมุติเหนือบัญญัติ
อะไรไมมี.อยูในนี้หรอก
ไอสิ่งเหลานี้ มันอยูเหนือเหตุเหนือผล ทัง้ หมด
ไอที่วางนะ
ก็จะปฏิบัติกันเปนสิบๆปก็ยังไมคอยจะไดผล
หลวงปู : แลวแตวิสัย
ลูกศิษย : ครับผม
ลูกศิษย : ครับ
หลวงปู : ถาผูทอี่ บรมมาแลว ก็ พูดอยางนี้ก็ไดความ
ลูกศิษย : ครับผม
ลูกศิษย : ตอนที่หลวงปูเลิกเดินธุดงคนนั่
หลวงปูคงพบทางแลวครับ ถึงกลับเขามาในเมือง
เอาอะไรมาพูดอยางนี้
ยังไมเห็นทางอะไรนี่ครับ พอเขาเมืองมักจะหลุดเกง
หลวงปู : มีอยูสองอยาง
ใหแยกรูปถอดดวยวิชชามรรคจิต
เหตุก็ตองละ ผลตองละใช
หนี้ก็หมด พนเหตุเกิด
ลูกศิษย :ครับ
หมายความวาอยูเหนือเหตุเหนือผลแลว
อยูเหนือเหตุเหนือผล
ผูที่ไปเกิดไมมี มันหมดเกิด
หมดแก หมดเจ็บหมดตาย
แทจริงสิ่งมีชีวิตและไมมีชีวิตในจักรวาลมีนับไมถวน
นามเดิมคือความวางของจักรวาล เขาคูก ัน
เปนเหตุเกิดตัวอวิชชา เกิดตัวกอ
ที่ใดมีรุปที่นั่นตองมีนาม
ที่ใดมีนามที่นั่นตองมีรูป
รูปนามรวมกัน เปนเหตุเกิดตัวอวิชชา
ตัวเหตุเกิดใหกอ ตัวอวิชชาเปนผูกอ
ถามีรูปกับนามรวมกัน มันแยกออกจากกันไมได
ลูกศิษย :คือ วันนั้น นั่งอยูจิตก็บอกขึ้นมาเองวา
ลูกศิษย :ครับ
หลวงปู : คือไมมีอะไร
แตตัวเหลืออยูน ั่นเปนอะไรละ
----------------------------------------------------