You are on page 1of 45

หลวงปูดูลย ตอบปญหาจิตภาวนา

From: Larndharma.org

----------------------------------------------------------------------

Audio
download: http://www.dhammatarn.com/fungdham/sound/dul/06.mp3
ศิษย : ปญญานะครับ ทําใหเกิดยังไง

หลวงปู : ปญญาเหรอ

ศิษย : ครับผม

หลวงปู : เมื่อจิตเปนสมาธิ แลวก็ทําใหเกิดปญญา

ศิษย : ครับผม

หลวงปู : เกิดปญญา ก็ตอง

ถาหากวาจิตเปนสมาธิอยูแลวละก็

ตองใหจิตมันเดินตามอาการสามสิบสอง

ตั้งแต ผม ขนเล็บ ฟนหนัง เนือ้ เอ็น กระดูก

เยื่อในกระดูก มาม หัวใจ ตับ พังผืด

ไสใหญ ไสนอย อาหารใหม อาหารเกา

ใหมันเดินอยางนี้ เรือ่ ยไป


ศิษย : วิธีเดิน เดินยังไงครับ

หลวงปู : คือดู

ศิษย : เอาจิตไปดูหรือครับ

หลวงปู : คือ ผมอยูบ นเจาของ

ศิษย : ครับผม

หลวงปู : นึกดูผม ผมมันเปนยังไง ลักษณะมันเปนยังไง

มันเขาไปในหนัง ลึกไปเทาไหร แลวก็

ออกมามันยาว มันเริม่ เทาไหร ทําไมมันจึงยาวไมมที ี่สิ้นสุด

แลวก็ใหเขาใจใหซึมซาบถึงจิตถึงใจ วา ออมันเปนอยางนัน้

แลวก็ขนก็เหมือนกัน เล็บก็เหมือนกัน ดู ดูอันนี้ ดูผม

เสร็จแลว [เสียงไมชดั ~1:08]

ดูเล็บ ทุกเล็บ เนีย่ แหละ เล็บมือเล็บตีนอะไรก็ดู ทุกเล็บ ดู

คือ ดูใหมนั เห็นชัดเจน ในจิตใจของเรา

ใหมันซึมซาบถึงจิตถึงใจ ดูอาการลักษณะของมัน

มันเปนอยางไง
ศิษย : ตอนดู ดูตอนนี้ มันจะเกิดภาพประกอบดวยหรือเปลา

หลวงปู : ไมมี

ศิษย : ไมมีภาพหรือครับ

หลวงปู : ภาพไมมีภาพ ภาพไมมี ไมเกี่ยวกับภาพ

ใหรูดวยปญญา วาเปน ลักษณะมันเปน ดูดวยปญญา

รูดวยจิตอันลึกซึ้ง ดูดวยปญญา

แลวก็ดูอาการสาบสิบ ดูจนทัง้ หมด

ศิษย : แลวก็พิจารณา ทีละอยางละอยางครับ

หลวงปู : ดูทีละอยางละอยาง ดูทีละอยางละอยางไป

เพื่อจะทําสมาธิของเราใหมีกําลัง และสติ ก็มีกําลังไปดวย

ดูเสร็จแลว หมดอาการสามสิบสองแลว แยกอีก

ศิษย : แยก

หลวงปู : แยก ถอนผมไปกองหนึ่งกองหนึ่ง

ถอนเล็บไปกองหนึง่ ฟนไปกองหนึง่ กองหนึ่ง


ศิษย : ทํา

หลวงปู : ทําได คือทําไดดวยจิต คือจิตมันทําได

กองหมดทุกกอง แลวก็ ให นึกถึง ดูหมดทุกกอง แลวก็ใหดู

ใหบริกรรมถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ใหจิต ใหมันรูสึกวา ทุกขังนี่ทกุ ขัง อนิจจัง อนัตตา

แลวก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เห็นซึมซาบในจิต

เหมือนเหมือนกันละ

ดูจิต ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เออ ดูอาการของจิตละ

ทั้งสามหลักเรียกวา ไตรลักษณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

จิตมันเปนทุกขังมันเปนยังไง ดูมัน ใหดอู าการ ของจิต

แลวก็ เปนอนิจจังมันเปนยังไง

มันเปนอนัตตามันเปนยังไง

ใหดูใหเขาใจชัดเจน ดวยปญญา
ศิษย : อยางเชนจะพิจารณา ปฏิจสมุปบาท

นี่จะเปนขัน้ ปญญาดวยรึเปลา

หลวงปู : นี่ตัวขั้นปญญา ทําปญญาใหเกิด

ศิษย : ครับ

หลวงปู : ปฏิจสมุทปบาท ก็ ไมตองพิจารณาอะไรมากมาย

ใหพิจารณาสังขาร

ศิษย : ใหพิจารณาสังขาร

หลวงปู : อวิชชา อวิชชา

หนึ่งเปนตัวไมรูถึงความเปนจริงของสิ่งทั้งปวง

แลวก็ใหรู ตัวอวิชชานี่ซะกอน

อวิชชาในจิตของเรามันเปนยังไง

เวลามันเกิดอวิชชา มันเกิดนัน้ มันเปนอยางไร

ดูอาการของมัน ไมพิจารณาทีอ่ ื่น ดูตัวนี้


พิจารณาในรางกายของเรานี่แหละ

ตั้งแต อวิชชา ปจจยา สังขารา สังขารา ปจจยา

ดูไป ตามลําดับไป

แทที่จริง ถาหากวา เราพิจารณาตามแบบ

เปนสวนสวนไป มันยาวไป

ที่จริง ใหเห็นอวิชชาใหชัดเจน ดวยปญญา

มันดับไป ตามลําดับไป มันดับเอง

มันเปน แวบ ไป แวบ เดียวไป มันหมดแลวกัน

อวิชชาทัง้ หมดนะ สามสิบสอง มันดับๆไป มันดับไปเอง


ลูกศิษย : เออ ตอนนี้ วิธี ที่จะพิจารณาขันธหา

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่พิจารณายังไงครับผม

หลวงปู : ก็เหมือนกัน เหมือนกัน ก็ เวทนา สัญญา รูป

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ใหดูรูปซะกอน ดูรูปซะกอน แลวก็

ไอ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็

ลูกศิษย : กระผมอยากไดรายละเอียด ตรงวา

ดูรูปดูยังไงครับผม

หลวงปู : ดูรูปก็ดู ทีว่ างซิ ใหรจู ักรูปซะกอน แลวก็

ดู รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูไปตามลําดับซะกอน

รูปมันเปนยังไง เวทนามันเปนยังไง สัญญามันเปนยังไง

สังขารมันเปนยังไง วิญญาณมันเปนยังไง

ดูลักษณะกอน อยูในจิตทั้งหมด จิตอันเดียวนัน่ แหละ

มันเปนทัง้ ขันธหา
ลูกศิษย : มันจะเกิดคําถามคําตอบขึ้นในจิตมั้ยครับ

หลวงปู : มันรูเอง มันรูเอง

มันรูถงึ ความเปนจริง

มันรูถงึ ความเปนจริง

ลูกศิษย : เออ ตอนทีพ่ ิจารณานีน่ ะครับผม

หลวงปู : พิจารณาอยางนี้แหละ

ลูกศิษย : สมมุติวา พิจารณา ตอนที่วา

สมมุติวาสมาธิมันเขาลึกเขาไป แลวถอยมารึเปลาครับ

หลวงปู :ไมถอย อยูในสมาธิ

พิจารณาอยูในสมาธิ

ใหสมาธิเปนกําลังใหพิจารณาได

แลวก็ ปญญาก็เกิดจากสมาธิ
ลูกศิษย : ตอนพิจารณานี่ เราไมตองยึดพุทโธ

ไมตองอะไรครับ

หลวงปู : ไมตองหรอก พิจารณาไมตองยึด ไมตอ งยึด

ปริกรรมไมตองยึด วางหมด ดูใหรู

ใหลึกซึมซาบถึงจิตถึงใจเลย

ลูกศิษย : อันนี้ ถาสมาธิลึกไปนี่ ก็ตองถอนออกมา

หลวงปู : ไม ไมถอน

ลูกศิษย : ไมตองถอน หรือครับผม ประคองจิตใหอยู

หลวงปู : อือ ประคองจิต จิตกับสมาธิ ใหอยูไปดวยกัน

ใหสมาธิมันเปนกําลังใหพิจารณาได ถึงความเปนจริง

ถานอกจากสมาธิแลว ปฏิบัติเอาขางนอก มันไมถกู

มันไมเห็นถึงความเปนจริง [เสียงไมชดั ~ 6:35]

สงสัยเราเขาถึงแลวไดก็ไมไดความ

หมายความวา ใหรถู งึ จิตถึงใจ ดูอาการถึงจิตถึงใจ

ถาดูอันหนึ่งแลว มันก็ เหมือนกัน กับ ดูทั้งหมด


เมื่อเราดู รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาใจ

ในจิตของเราอันลึกซึ้งแลว

ก็ ใหรวม วามูลธาตุทั้งหา

มูลธาตุทั้งหาคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เปนความวางเปลา ใหวางใหหมด

เปนความวางเปลาใหหมด ไมมีอะไร จนไมมีอะไร

แยกออก แยกออกจากกัน

เวลามันยึดมันเปนรูปนะ

เวลาแยกออกจากกัน

เวลาแยกจนหมดรูป แยกจนหมดรูป

จิตของเราก็ ถึงที่วา ง
ลูกศิษย : ที่วางนี่หมายความวา

หลวงปู : หมายความ ไมมีอะไรบรรจุอยู

แมเทาเสนขนที่เล็กทีส่ ุดอยูในความวาง

เหมือนกับกลางอากาศ…

อะไรบรรจุอยูไมได

มันเหมือนกับกลางอากาศ

ถาวาง เหมือนกับกลางอากาศ

ไมมีอะไรบรรจุไดในอากาศ

แมเสนผมที่เล็กที่สุดอยูในอากาศก็บรรจุไมได

มันเปลา วางเปลา

แลวจิตก็เปนอยางนัน้
ลูกศิษย : แลว อีก คําที่วา รูปดับนามก็ดบั นี่ ไอนามดับ

หลวงปู : ไปพรอมกัน

นามก็คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

รูปก็คือรูปนี่แหละ

พอมันดับแลวมันดับพรอมกัน

ไอเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันดับพรอมกัน

ลูกศิษย : ไอนามดับตัวนี้

มันมีความหมายคลายๆกับ ไอสังขาร มั้ยครับ

คือหมายความวา สังขารดับ คือไมปรุงแตง

เหมือนกันมั้ยครับ

หลวงปู : หมดสังขาร

ลูกศิษย : หมดสังขาร

หลวงปู : เวทนาสัญญาสังขาร หมดสังขาร

มันก็หมด หมดความคิด
ลูกศิษย : หมดความคิดนึก การปรุงแตงไมมี

หลวงปู : หมดความปรุงแตงไมมี

หมดสังขารหมดสัญญาอันเดียว

มันหมด หมดไปแลวทั้งอาการ

มันหมดไปแลว

ลูกศิษย : อันนีเ้ รียกวาอะไร นามดับ

หลวงปู : นามดับ

ลูกศิษย : คือนามดับนี่หมายความวา

หลวงปู : คือไมคิด หยุดคิด

นามดับ หยุดคิดแลวหมดทั้งรูปทั้งนาม

หยุดแลวก็หมดทั้งรูปทั้งนาม เหลือแตวาง
ลูกศิษย : ทีนี้คําวาหยุดคิดนะครับผม มันจะไปคลายๆ

มันจะเปนวาจิตมันจะไมไดทํางานหรือเปลา

หลวงปู : ไมทํางานอะไร เลิกทํางานแลว

ไมมีอะไรงาน ไมมีงานจะทําแลว ที่วา ง

หมดงาน หมดงานทํา จิตมันหมดงานทํา

ลูกศิษย : ครับ สมมุติวา ขณะนี้ที่เรานัง่ อยูคุยอยูนี่ ครับ

จิตมันก็คุยไปตามปกติ แตวา

ไอความวางมันมียังอยูหรือครับ

หลวงปู : วางมันก็อยูในนั้นละ วางก็อยูในนั้น

หยุดมันก็หยุด หยุดแลวก็ มันไมมีตัวมีตนอะไร

ลูกศิษย : ไมมีการปรุงแตง

หลวงปู : ไมมีการปรุงแตง เราจะไปเห็นตัวเห็นตน ไมมี

ลูกศิษย : ไมยึดถือตัวตน ไมยดึ ถือรูปถือนาม ไมยดึ ทั้งหมด

หลวงปู : ไมยึดทั้งหมดเลย
ลูกศิษย : แตวาไอการทําการพูดการจานี่

ยังเปนไปตามธรรมชาติ

หลวงปู : ใหเปน ใหรูไปตามธรรมชาติ

ลูกศิษย : ครับผม ถารูวา ทุกสิ่งทุกอยางเปนธรรมชาติ

หลวงปู : เปนธรรมชาติ

ลูกศิษย : จิตไมเกาะ

หลวงปู : จิตไมเกาะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงแลวไมเกาะเลย

ลูกศิษย : ครับผม

หลวงปู : นั่นแหละ จิตวางเปลา

ลูกศิษย : ครับ

หลวงปู : ที่วาง
ลูกศิษย : ไอตัววางเปลานี่ รูปดับ นามก็ดับ

ที่นี้มันก็เหลืออยูตัววางฮะ

หลวงปู : เหลือตัววาง

ลูกศิษย : ตัววางนี้เขาเรียกวาอะไรครับ

เขาเรียกวาเปนอะไร ครับผม เปนธรรมะหรือเปลา

หรือเปนเรียกวา ตัวเปน

หลวงปู : นั้นละ ธรรมะที่สูงทีส่ ุดอยูตรงนั้น

ลูกศิษย : ตัวธรรมะที่สูงที่สุดอยูตรงนัน้

ตัวธรรมะที่แทจริงอยูตรงนั้นใชมั้ย

หลวงปู : ตัวนั้น ธรรมะที่แทจริง อยูตรงนั้น

คือเรียกวา จะใหชื่อก็ได ไมมีชื่อหรอก

แตวาจะใหชื่อสมมุติขึ้นมาชื่อหนึ่ง

สมมุติชื่อวา นามกาย

ลูกศิษย : นามกาย
หลวงปู : ชื่อวา นามกาย นามกายคือทีว่ างนั่นเอง

วาง วาง คือ มันวางเปลา

ไมมีอะไรบรรจุอยูในความวาง แมแตนดิ เดียว

ลูก ศิษย : ถึงแมวาเราจะคุย เราจะคิด เราจะ เออ

เราคิดจะสรางโบสถสรางศาลา สรางวิหาร

เราก็ทําไปตามธรรมชาติของมัน ตามหนาที่

หลวงปู : ทําตามหนาที่

ลูกศิษย : แตจิต ไมมีความเรารอน ไมมยี ึดถือ อะไร

หลวงปู : ไมยึดถือ ทําแลวก็แลวไป

อยูในนัน้ ตัวสังขาร ตัวปรุงตัวแตง

หากปญญา ปญญาของเรามันถึงแลว ทําสักแตทํา


ลูกศิษย : ครับผม ไอตรงนี้

จะเกิดความคลองตัว ใชมั้ยครับผม

หลวงปู : คลอง

ลูกศิษย : ไมมีการอึดอัด ไมมอี ะไรแลว

หลวงปู : ไมมีแลว

ลูกศิษย : แตวา บางทีนี่

คนปฏิบัตกิ ็มักจะปลอยนิง่ กันเฉยๆ แลวก็คลายๆวา

หลวงปู : ออ อันนั้น ไมเอา

ลูกศิษย : เปนขั้นอะไร

หลวงปู : ไมเอา นิง่ เฉยๆ

ลูกศิษย : ไมเปนธรรมชาติ เพราะกดเอาไว

หลวงปู : ไมเปน มันไมรูถงึ อันนี้ ไมใชเฉย เฉยก็ไมได

ไมเฉยก็ไมได (หลวงปูหัวเราะ) มัน ไมรนู ะ

หมายความวา มันเทาไปหมดแลว
ลูกศิษย : รูสักแตวารู

หลวงปู : รูสักแตวารู ไมยดึ อะไรซักอยาง

ลูกศิษย : ไอคนที่ยงั ปฏิบัติไมถึง ไมเขา ไมรูสภาวะตรงนี้

หลวงปู : ไมรูสภาวะไ ปเดาเอา ไปคิดเอา ไปใหชอื่ เอาเอง

มันไมไดหรอก นอกจากสมาธิ นอกจากปญญา

ลูกศิษย : ครับผม

หลวงปู : ปญญา ปญญา ใหมนั เปน สมาธิ

มันรูถงึ ความเปนจริง

ถารูแลว มันหมดความสงสัย ไมตองไปถามใครก็ได

มันรูเอาเอง

เหมือนกับวา อวิชชายังไมรู พูดใหรูก็รูไมไดหรอก

เพราะวาจิตมันไมถึง

ลูกศิษย : ครับผม
ลูกศิษย : ที่นี้ คนมาติดตรงนี้ครับผม

พอปฏิบัตไิ ปแลว มันเกิดความสวางขึ้นเฉยๆ

ติดอยูตรงนี้ไมรูจะไปตรงไหน ทํายังไง

หลวงปู : ออ ไอสวางตัวนี้

ลูกศิษย : ดับยังไง

หลวงปู : ออ สวางตัวนี้ คือ มันเรียก โอภาส

โอภาส แสงสวางภายนอก ใชไมไดเลย

ลูกศิษย : ครับ

หลวงปู : ใชไมได

ลูกศิษย : แลวจะแกยังไงครับผม

หลวงปู : ดูจิต ดูจิตใหมันดับไปเอง จิตมันไปแสวง

ลูกศิษย : ออ
หลวงปู : มันออกไปแสวง ทุกสิ่งทุกอยาง

จิตออกไปแสวงทั้งนัน้

เพราะวาไมรูถึงจิตแท ถารูไมถึง ไปหลงกับไอสิ่งเหลานัน้

ไปหลงกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฐถัพพะ ไปหลง

จิตมันออกไปแสวง เห็นเปนรูปเทวบุตร เทวดา นรก เปรต

[เสียงไมชดั ~12:50] มันเห็น ไอตัวโอภาสตัวนี้ มันเห็น

แมแต เราไมเคยรู มันรู เราไมเคยเห็น มันเห็น แหม

ไปหลงอะไร หลงกับรูปตัวนัน้ นะ ผิดทางแลว

ลูกศิษย : ทีนี้ที่เห็นแสง เห็นอะไรตางๆ

เราจะไมเห็นแลวกลับมาดูจิต ดูยงั ไงครับ

หลวงปู : มาดูจิต ดูจติ ไอสิ่งเหลานั้นมันขาดไปเอง

ลูกศิษย : ออ

หลวงปู : ไมตองลําบากไปตัด
ลูกศิษย : มาเพงดูจติ หรือครับ

หลวงปู : ตนตอมันอยูทีนี้ ตนตอมันอยูท ี่จิตทั้งหมด

จิตมันออกไปปรุงแตง มันเปนนิมิต มันออกไป

ไปปรุงไปแตง

ลูกศิษย : หลบเขามา เอา เขาเรียกวา อะไร

เอาจิตมากําหนดดูจิตหรือครับผม

หลวงปู : จิตดูจิตแหละ เอาจิตดูจิต

ไมตองไปลําบากไปตัดอะไร

รูถึงความเปนจริงแลว อะไรมันขาดไปเอง

อะไรทุกสิ่งทุกอยางมันขาดไปเอง [เสียงไมชัด~13:38]

มันรูถงึ ความเปนจริง แลวก็ มันหมดความสงสัย

แตวา ตองรูถึงความเปนจริง รูโ ดยปญญา อริยมรรค


หลวงปู : ก็ไมมีอะไรมากมาย

ลูกศิษย : พูดถึงตอนปฏิบัตินะครับผม

เราตองปลอยจิตสบายๆ ใชไหมครับ

ไมไปบัง คับ ไมไปอะไรมัน

หลวงปู : ไมบังคับหรอก แตวาเบือ้ งตน

ก็ตองบริกรรม จิตของเราใหเปนสมาธิ

แลวบริกรรม บริกรรมไมเอาอะไรมากมาย

พุทโธเทานั้นเอง ใหพุทโธนะฝงอยูในจิตในหัวใจ

เราไปเขียนเลนในนัน้ ก็ได วา พุทโธ พุทโธ พุทโธ

เพื่อใหจิตเปนผูบริกรรม ใหจิตเปนผูว า ไมตองวาปากเปลา

สติของเราเปนผูว า ผูว าพุทโธอยูตรงไหน ตั้งสติอยูต รงนัน้

แลวก็ผูบริกรรม บริกรรมเรือ่ ยไป


ลูกศิษย : ครับ ตอนนี้ ไปเขากับเรือ่ งที่หลวงปู

อธิบายไวรึเปลา การที่เห็นแสง เห็นโอภาสเนี่ยก็

(หลวงปู : อันนี้มนั เปน [เสียงไมชัด~14:50]

อยูในหลักสมาธิเนี่ยละ)

ลูกศิษย : อยูในหลักที่วาจิตสงออกนอกเปนสมุทัยใชมั้ยครับ

หลวงปู : มันจะเปน จิตไปยึด ไปเที่ยว อยูนั่นแหละ

แลวพาไปเห็น ไมวา อะไรไมมที ี่สิ้นสุด

ลูกศิษย : ครับ

หลวงปู : โอภาส อยากเห็นอะไรมันเห็น อยากรูอ ะไรมันรู

มันรูเอง ไอสิ่งที่แปลกๆเหมือนกัน ที่เราไมเคยรู

อยากเห็นอะไร มันเห็น อันนัน้

อยากรูอะไร มันรูอนั นั้น มันผุดขึ้นมาใหรู นะ

แตไอสิ่งผุดขึ้นนัน้ ตัวกิเลสทั้งหมดเลย ไมใชตัวจริง

แลวเราจะไปเห็นเปนเงา
แลวจิตของเราเขาไปยึดเอาสิ่งภายนอก

ที่ไปเห็น เขาใจวาเปนตัวจริง

เขาใจวาอยางนั้นเอง เขาใจวาเปนตัวจริง

แทที่จริงไมใชตัวจริง คือตัวกิเลส

ถาไปหลงอะไรนั่น เปนวิปสนู วิปสสนูปกิเลส

วิปสนูคือไมใชวิปสสนา คือ วิปสนู

อุปกิเลส คือตัวกิเลสตั้งหาก

ไมใชของจริงทัง้ หมดเลย ของภายนอก

แลวถาเราจะตัดมัน ตัดมันไมยาก ก็ตนตอ มันอยูในนี้

มาดูจิต ตัง้ จิตใหเห็นจิต แลวอะไรๆมันขาดไปเอง

ไมตองไปตัดที่อื่น ตัดที่จิต ใหตั้งจิตอยูในจิต

เพงจิตเห็นจิต แลวก็ตั้งสติใหมันเห็นจิต

อะไรๆมันก็ขาดไปเอง
ก็หมดเรือ่ งกันไป โอภาสนัน้ ก็หมด

หมายความวา ทีเ่ ราดู ไปเห็นตามมันนะ

หมายความวา เราไมรูเทามัน

หมายความวา เราหลงไป เราหลงไป

เราไมเขาใจความเปนจริง หลงไปตามมัน

แลวแตมันจะสอน แลวก็ ไปถือตามมันทั้งหมด

สุดทายมันจะเปนบา

ลูกศิษย : ครับ ถาวางไมไดเปนบา

หลวงปู : จะเปนบา (หลวงปูหวั เราะ)

ลูกศิษย : ครับผม
ลูกศิษย : เออตอนนี้ มีปญหา บางคนที่นั่ง

แลวมีตัวหมุนบาง มีตัวโคลงบาง มีตัวลอยบาง

อันนี้จะแกยังไงครับ

หลวงปู :อยูในปติทั้งหมดเลย อยูในปติทั้งหมด

ลูกศิษย :ปติทั้งหมด

หลวงปู :อืม [เสียงไมชัด ~ ขุททกาปติ

,ขณิกาปต,ิ โอกกันติกาปต,อุพเพงคาปต,ิ ผรณาปติ]

ปติมีหลายอยาง

ลูกศิษย : ครับ

หลวงปู :[เสียงไมชัด ~ ขุททกาปติ

,ขณิกาปต,ิ โอกกันติกาปต,อุพเพงคาปต,ิ ผรณาปต]ิ

อะไรนะ จิตมันลอยไป อันนั้น อันนี้ก็ยงั เอาไมได


ลูกศิษย : ทีนี้จะแก ครับผม ไมใหเกิดปติ

หลวงปู : ก็ดูในจิต

ลูกศิษย : ก็กลับมาดูจิต

หลวงปู : ดูในจิต เห็นจิต อะไรมันก็ดับไป

หมายความวา จิตของเราอยูเหนือปติเหลานั้นอีก

ใหมันอยูเหนือปติเหลานั้นอีก

สิ่งเหลานี้ ใหมันอยูเหนือทั้งหมดเลย

แลวมันขาดไปเอง ไมมีอะไร

แตก็ไอสิ่งเหลานี้ มัน มันยากมาก เพราะวา

ไอ[เสียงไมชัด~17:38]จิตมันไมมีตัวมีตนอะไร

แลวก็ จะใหรูจิตจริงๆ มันก็ตอง นั่นแหละ


ลูกศิษย : เมื่อวานซืน ครับผม

เรียนถามทานอาจารยเทสก อาจารยเทสกบอกวา

ใหนั่งใหจิตเปนสมาธิ แลวปญญามันจะเกิดขึ้นมาเอง

หลวงปู : ปญญามันก็เกิดจากสมาธินั่นแหละ

ลูกศิษย :ครับผม ไมตองเอาอะไรมาพิจารณา วางั้น

ถาพิจารณามันยังเปนการเอาสัญญามาใชอยู

หลวงปู : ก็พิจาณาจิตนั่นแหละ พิจารณาจิตอยูในจิต

ใหรูถึงจิต ปญญาสูงสุดคือจิตดูจิต

ถาหากเรารูจิตชัดเจนแลว

หมดปญญา ไมตองดูอะไรอีก

อะไรอยูในจิต. มันก็หมด

ใหรูจิตเห็นจิต มันไมใชของต่าํ ๆ นะ

มันเปนอริยมรรค

ลูกศิษย :ครับผม
หลวงปู :สําหรับตัด ตัดสมุทัยไดทั้งหมด

อริยสัจ[เสียงไมชดั ~18:40] พูดไปแลวอยูใ นหนังสือเลมนี้

วาจิตสงออกนอกเปนตัวสมุทัย

ลูกศิษย :ครับผม

หลวงปู :เปนตัวสมุทัย แลวผลของสมุทัยเปนตัวทุกข

ลูกศิษย :ผลของจิตสงออกนอกเปนทุกข

ผลเห็นจิตอยางแจมแจงเปนนิโรธ

หลวงปู :จิตเห็นจิตเปนตัวมรรค

ลูกศิษย :จิตเห็นจิตเปนตัวมรรค

หลวงปู :ผลของมรรคเปนตัวนิโรธ

ลูกศิษย :ผลของมรรคเปนตัวนิโรธ

ผลเห็นจิตเห็นจิตอยางแจมแจง

ตัวนั้นเปนตัวนิโรธ ผลของจิตที่เห็นจิต

หลวงปู :เห็นอยางนัน้ เปนตัวมรรค


ลูกศิษย :การเห็นเปนตัวมรรค

หลวงปู :อือเปนตัวมรรค แลวก็ดับ

มรรคอันนี้ แหละเปนผลนะ

ลูกศิษย :ครับ เปนนิโรธ

หลวงปู :เปนตัวนิโรธ คือ ดับทุกข ไมมีทุกข

…มันมีเหตุผลนี่แหละ

เหตุของนิโรธก็คือ เหตุของนิโรธก็คือตัวอริยมรรค

เหตุของทุกข ก็คือสมุทัย นิโรธเปนผล

ผลของสมุทัยเปน ตัวทุกข

และผลของมรรคคือตัวนิโรธ

ลูกศิษย :ครับ
ลูกศิษย : ไอคําวาจิตดูจิต หมายความวา

เอาสติดูจิต หรือเปลา

หลวงปู : จิตก็คือผูรู แลวก็ตั้งสติใหอยูในนั้น

ใหอยูกับผูร ู สติระลึกอยูในนัน้

คือจิตกับสตินั่นเอง ตั้งจิตในจิต

คือใหเปนอันเดียว ตัง้ จิตอยูในจิต

จิตกับผูรูเปนของสิ่งเดียวกัน ไมไดแตกตางกันเลย

การแตกตางทัง้ หลาย เกิดขึน้ จากเราคิดผิดทั้งนัน้

และนําเราไปสูการกอสรางกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิด

ไมมีหยุด เนื่องจากเราเขาใจผิด

แลวก็ไปสรางกรรมไมมีที่สิ้นสุด

ถาจิตเห็นจิต แลว อะไรอะไร มันขาดหมด

มันตัดขาดไปหมดแลว

กิเลสตัณหาอะไรมันหมดแลว เวลานัน้ มันหมด


ลูกศิษย : ผูที่จะตัดกิเลสตัณหาอุปทานหมด

คือพระอรหันตนี่นะครับผม

ดวงจิตดวงนั้นยังอยูใ ชมั้ยครับผม

หลวงปู : ก็อยูสิ

ลูกศิษย : แตไมมีปรุงแตงอะไรทั้งนัน้

หลวงปู : ไมมีปรุงแตง

ลูกศิษย : แมแตละสังขารไปแลวจิตของเรา

หลวงปู : นั่นเลย นัน่ เลย สัจธรรม

สัจธรรม ก็คือจิตของเรา สัจธรรม

สัจธรรมของเรานั้นไมไดหายไปจากเรา

แมในขณะที่เรากําลังหลงผิดอยูในอวิชชา

และไมไดรับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู

อันเดียวนีแ่ หละ อวิชชาคือตัวนี้ รูข ึ้นในตัวนี้ รู อันเดียว


หลวงปู : จิตมันเปนธรรมธาตุ ภูตตถตา

ลูกศิษย : จิตเปนธรรมธาตุอยางหนึง่ หรือครับ

หลวงปู : เปนธรรมธาตุ ภูตตถตา คือมันมีอยูอยางนั้น

เปนอยูอยางนัน้ ไอสัจจะของเรา

ไมมีการเปลี่ยนแปลง ไมมีการเปลี่ยนแปลง ภูตตถตา

ลูกศิษย : ขออภัยครับ ไมมีทั้งจิต ไมมีทั้งอวิชชา

หลวงปู : มีจิต ไมไดคิด…หยุดตัวคิดเทานั้นเอง

หมดก็หมดคิดใชไหม แตจิตมันยังอยู

มันไมเปลีย่ นแปลงไปไหน

ลูกศิษย : ครับผม

หลวงปู : อวิชชามันก็อยูในนัน้

แตจิตมันหลงผิดไปตามอวิชชา มันก็อยูในนั้น อยูในตัวนั้น

ลูกศิษย : ครับผม มันยังอยูอยางนัน้ เอง

หลวงปู : มันอยูอ ยางนั้นเอง มันไมเปลี่ยนแปลง


ลูกศิษย : ถูกอวิชชาครอบงํา

หลวงปู : [เสียงไมชดั ~22:45] ไปยึดเงา

ไอสัจจะ ก็อยูในนัน้ แตวามีปญญาเกิดขึ้น

ปญญาเกิดขึ้น จึงไดมีความตรัสรู ตัวนี้ ตัวรู ตรัสรู

ตัวนี้เปนผูต รัสรู อวิชชามันก็หมดไป

ลูกศิษย : กระผมเคยเขียนเรือ่ งหนึ่ง เรียกวาจิตครับผม

เรียกวาจิตแท และก็จิตรับคือรับอารมณตางๆเขามา

ทีนี้คือจิตรู จิตรูพอรูม ากๆ

ก็กลายเปนจิตละ ครับผม เริ่มละไอกิเลสตัณหาออก

ตอนนี้ก็เปนจิตหลุดครับ

หลวงปู :คือละ เราละยังไง

อันนี้ตัวเปรียบสําคัญที่สุดเลย

ละไมตนทาง มันก็ไมดับ

ลูกศิษย : ตองละจนกวาจะดับ
หลวงปู : ตองละตนทางมันถึงจะดับ ตองละตนทางถึงจะดับ

ตามสติปญญาให ไดรูไดเห็น

เอานั้นมาแก เอานั้นมาแก ไมไดความ

ลูกศิษย : ครับผม

หลวงปู : ไมดับ

ลูกศิษย : ครับผม จิตยังสงออกนอกอยู

หลวงปู : จิตยังสงออกนอก

ลูกศิษย : ที่เรียกวา ตองดูจิตขางในเทานัน้ เอง

หลวงปู : นั่นละ เห็นจิต ดับหมดแลว

ใหตั้งจิตอยูในจิต อะไรๆมันขาดหมดแลว

ไปดับดวยปญญาขางนอก มันดับไมสนิท
หลวงปู : ภาวะที่แทของจิต

เปนสิ่งกอกําเนิดกรรมทั้งหลายเรียกวาวิญญาณ

เมื่อมีวญ
ิ ญาณแลว ก็เริ่มมีที่แหงความคิดนึก

มีที่แหงตัณหาเหตุผล

ภาวะที่แทของจิต ก็คือ อรูปเปนวิญญาณประเภทตางๆ

เมื่อวิญญาณรับรู อารมณทั้งหกเกิดขึ้น

ก็จะสําเหนียกรูในวัตถุทางอารมณทั้งหกนั้นจากทวารทัง้ หก

ดังนัน้ จิตของธาตุสบิ แปดจึงเนื่องมาจาก

แรงกระตุน ของภาวะที่แทของจิต

ไมวาบุคคลนั้นจะปฏิบัติผิดในทางชั่ว

หรือปฏิบตั ิผิดในทางดี

แลวแตวา ภาวะที่แทของจิตจะอยูในอารมณเชนใด

อยูในอารมณดี หรืออยูในอารมณชั่ว

อารมณชวั่ ก็เปนลักษณะของสามัญชน

อารมณดีกเ็ ปนลักษณะของพุทธะ
เพราะวา ความรูสึกที่เปนของคู ประเภทตรงกันขาม ฝงจิต

อยู ในนิสัย แหงภาวะที่แทของจิต นั่นเอง

ของคูคอื อะไร ดีชั่วสูงต่ํา อะไรบาป ดําขาวอะไร

มีเปนคูๆเทานั้น เปนคูๆกัน เ ปนเนือ้ เดียวกันทั้งหมด

ถาแยกคูนไี้ ดแลวเทานั้น ตัวนั้นเปนตัววาง

ลูกศิษย : ครับ ไมซา ยไมขวา

หลวงปู :ไมซายไมขวา

ลูกศิษย : อยูตรงกลาง ไมมีทั้งบุญทั้งบาป

หลวงปู : อยูเหนือบุญเหนือบาป

ลูกศิษย : เหนือบุญเหนือบาป

หลวงปู : เหนือสมมุติเหนือบัญญัติ

เหนือ อนิจจัง ทุกขังอนัตตาอีก เหนือเหตุเหนือผล

สมมุติบัญญัติ ทุกขังอนิจจังอนัตตา เหตุผล

อะไรไมมี.อยูในนี้หรอก
ไอสิ่งเหลานี้ มันอยูเหนือเหตุเหนือผล ทัง้ หมด

เรียกวาโลกุตระ อยูเ หนือโลก อยูเหนือโลกทั้งสาม

กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันอยูเ หนือหมด

ไอที่วางนะ

ลูกศิษย : เหนือเหตุเหนือผลทัง้ หมด

หลวงปู : เหนือเหตุเหนือผลทัง้ หมด

ถามันมีเหตุผล มันยังเปนโลก ทั้งหมด

ลูกศิษย : ครับ ธรรมะแคนี้

ก็จะปฏิบัติกันเปนสิบๆปก็ยังไมคอยจะไดผล

หลวงปู : แลวแตวิสัย

ลูกศิษย : ครับผม

หลวงปู : บางทีก็ชา บางทีก็เร็ว

ลูกศิษย : ครับ
หลวงปู : ถาผูทอี่ บรมมาแลว ก็ พูดอยางนี้ก็ไดความ

ถาผูที่ไมเคยอบรม พูดอยางนี้ เหมือนกันกับเปาหูซายหูขวา

ลูกศิษย : ครับผม

หลวงปู : อะไรไมซึมซาบไป ถึงจิตถึงใจ

ลูกศิษย : ตอนที่หลวงปูเลิกเดินธุดงคนนั่

หลวงปูคงพบทางแลวครับ ถึงกลับเขามาในเมือง

หลวงปู : ก็พบแลวก็ไมใช ไมพบแลวก็ไมใช

(หลวงปูหวั เราะ) แตวา ถามาพูดตรงนี้ก็เนื่องจาก

มาปฏิบัติ จากเรามา ปฏิบัติใหถึง

เอาอะไรมาพูดอยางนี้

ลูกศิษย :ก็คือ ทีเ่ ขาวา ถาผูปฏิบัตินี่

ยังไมเห็นทางอะไรนี่ครับ พอเขาเมืองมักจะหลุดเกง
หลวงปู : มีอยูสองอยาง

ใหแยกรูปถอดดวยวิชชามรรคจิต

เหตุก็ตองละ ผลตองละใช

หนี้ก็หมด พนเหตุเกิด

ลูกศิษย :ครับ

หลวงปู : เหตุตองละ ผลตองละใช

หมายความวาอยูเหนือเหตุเหนือผลแลว

อยูเหนือเหตุเหนือผล

ผูที่ไปเกิดไมมี มันหมดเกิด

หมดแก หมดเจ็บหมดตาย
แทจริงสิ่งมีชีวิตและไมมีชีวิตในจักรวาลมีนับไมถวน

รวมแลว มีรูปกับนาม สองอยางเทานัน้

นามเดิมคือความวางของจักรวาล เขาคูก ัน

เปนเหตุเกิดตัวอวิชชา เกิดตัวกอ

ที่ใดมีรุปที่นั่นตองมีนาม

ที่ใดมีนามที่นั่นตองมีรูป

รูปนามรวมกัน เปนเหตุเกิดตัวอวิชชา

ตัวเหตุเกิดใหกอ ตัวอวิชชาเปนผูกอ

ถามีรูปกับนามรวมกัน มันแยกออกจากกันไมได
ลูกศิษย :คือ วันนั้น นั่งอยูจิตก็บอกขึ้นมาเองวา

มีรูปรูปก็ดับ นามนามก็ดับ ดับทั้งรูปทัง้ นาม

หลวงปู : ดับทั้งรูปทั้งนาม แตสัจจะมันยังมีอยู

ลูกศิษย :ครับ

หลวงปู : คือไมมีอะไร

ลูกศิษย :ครับ แลว จึงบอกวา เมื่อรูปดับนามก็ดับ

แตตัวเหลืออยูน ั่นเปนอะไรละ

หลวงปู : นั่นแหละสัจจะ สัจจะตัวจริงมันอยูลึกกวานั้น

----------------------------------------------------

You might also like