Professional Documents
Culture Documents
Love of Buddha
Love of Buddha
ความรักสรรพสัตว์ท้ ัง
์ ัน
โลก หรือคือความเมตตาอันบริสุทธิน ่ เอง
มิใช่เป็ นความรักที่เจือด้วยตัณหาแบบความ
ความรักที่เจือด้วย
สติปัญญายิง่ ใหญ่และเมตตากรุณาบริสุทธิ์
มหากรุณาธิคุณ"
พูดให้ชัดก็คือ "พระพุทธเจ้ามีความรู้สึกเสมอกันในเทวทัตและราหุล" โดยที่เทวทัต
เป็ นผู้จองล้างจองผลาญ
มาบวชเป็ นสามเณร
รูปแรกในพระพุทธศาสนา ความรู้สึกที่มีต่อทั้งสองชีวิตนั้นไม่ต่างกันเลยในพระทัย
ของผู้เป็ นเจ้าแห่งธรรม
ใจดีเหมือนมีแก้ว
ยามใดทำาใจให้ผ่องแผ้ว
เหมือนได้แก้วมีค่าเป็ นราศี
ยามใดทำาใจให้ราคี
เหมือนมณีแตกหมดลดราคา
(http://guru.google.co.th/guru/thread?
tid=508f16ec3d24083b&pli=1Feb.06022011)
คนเราเกิดมาในโลกนี้
ถือว่าเป็ นผู้ที่มีบุญแล้ว
แต่จะเป็ นที่มีคุณค่า
ก็อยู่ที่การสร้างค่าให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง
ค่าของคน... อยู่ที่ผลของใจ...
ค่าของใคร... อยู่ที่ใจของเขา...
โดย พระอาจารย์เผด็จ
http://www.dhammadelivery.com/webboard.php?action=show&id=12962
พุทธวิธีในการสอน
• ข้อสรุปพระคุณสมบัตของพระพุทธเจ้าที่ควรสังเกต
• หลักทั่วไปในการสอน
• ลีลาการสอน
• วิธีการสอบแบบต่างๆ
• กลวิธี และอุบายประกอบการสอน
• นิ เทศอาทิตตปริยายสูตร
• ข้อควรสังเกตุในแง่การสอน
ข้อสรุปพระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าทีค
่ วรสังเกต
1. ทรงสอนสิ่งที่เป็ นจริง และเป็ นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
2. ทรงรู้เข้าใจสิ่งที่สอนอย่างถ่องแท้สมบูรณ์
3. ทรงสอนด้วยเมตตา มุ่งประโยชน์แก่ผู้รับคำาสอนเป็ นที่ต้ง
ั ไม่หวังผล
ตอบแทน
4. ทรงทำาได้จริงอย่างที่สอน เป็ นตัวอย่างที่ดี
5. ทรงมีบุคลิกภาพโน้มน้าวจิตใจให้เข้าใกล้ชิดสนิ ทสนม และพึงพอใจได้
ความสุข
6. ทรงมีหลักการสอน และวิธีสอนยอดเยี่ยม
หลักทั่วไปในการสอน
• เกี่ยวกับเนื้ อหา หรือเรื่องที่สอน
• เกี่ยวกับตัวผู้เรียน
1. รู้ คำานึ งถึง และสอนให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่าง
บุคคล...
2. ปรับวิธีสอนผ่อนให้เหมาะกับบุคคล แม้สอนเรื่องเดียวกันแต่ต่าง
บุคคล อาจใช้ต่างวิธี
3. นอกจากคำานึ งถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแล้ว ผู้สอนยังจะ
ต้องคำานึงถึงความพร้อม ความสุกงอม ความแก่รอบแห่งอินทรีย์
หรือญาณ ที่บาลี เรียกว่า ปริปากะ ของผู้เรียนแต่ละบุคคลเป็ น
รายๆ ไปด้วย
4. สอนโดยให้ผู้เรียนลงมือทำาด้วยตนเอง ซึง ่ จะช่วยให้เกิดความรู้
ความเข้าใจชัดเจน แม่นยำาและได้ผลจริง เช่น ทรงสอนพระจูฬ
ปั นถกผู้โง่เขลาด้วยการให้นำาผ้าขาวไปลูบคลำา...
5. การสอนดำาเนิ นไปในรูปที่ให้รู้สก ึ ว่าผู้เรียน กับผู้สอนมีบทบาท
ร่วมกัน ในการแสวงความจริง ให้มีการแสดงความคิดเห็น
โต้ตอบเสรี หลักนี้เป็ นข้อสำาคัญในวิธีการแห่งปั ญญา ซึง ่
ต้องการอิสรภาพในทางความคิด และโดยวิธีน้ี เมื่อเข้าถึงความ
จริง ผู้เรียนก็จะรู้สกึ ว่าตนได้มองเห็นความจริงด้วยตนเอง และมี
ความชัดเจนมั่นใจ หลักนี้ เป็ นหลักที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็ น
ประจำา และมักมาในรูปการถามตอบ
6. เอาใจใส่บค ุ คลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็ นรายๆ ไปตาม
ควรแก่กาละเทศะ และเหตุการณ์...
7. ช่วยเหลือเอาใจใส่คนที่ด้อย ที่มีปัญหา...
• เกี่ยวกับตัวการสอน
1. ในการสอนนั้น การเริ่มต้นเป็ นจุดสำาคัญมากอย่างหนึ่ การเริ่ม
ต้นที่ดมี ีส่วนช่วยให้การสอนสำาเร็จผลดีเป็ นอย่างมาก อย่างน้อย
ก็เป็ นเครื่องดึงความสนใจ และนำาเข้าสู่เนื้ อหาได้ พระพุทธเจ้า
ทรงมีวิธีเริ่มต้นที่น่าสนใจมาก โดยปกติพระองค์จะไม่ทรงเริ่ม
สอนด้วยการเข้าสู่เนื้ อหาธรรมที่เดียว แต่จะทรงเริ่มสนทนากับ
ผู้ทรงพบ หรือผู้มาเฝ้ าด้วยเรื่อที่เขารู้เข้าใจดี หรือสนใจอยู่...
2. สร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลินไม่ให้
ตึงเครียด ไม่ให้เกิดความอึดอัดใจ และให้เกียรติแก่ผู้เรียน ให้
เขามีความภูมใิ จในตัว
3. สอนมุ่งเนื้ อหา ม่ง
ุ ให้เกิดความร้ค
ู วามเข้าใจในสิ่งที่สอนเป็ น
สำาคัญ ไม่กระทบตนและผู้อ่ ืน ไม่มุ่งยกต ไม่มุ่งเสียดสีใครๆ...
4. สอนโดยเคารพ คือ ตั้งใจสอน ทำาจริง ด้วยความรู้สึกว่าเป็ นสิ่มี
ค่า มองเห็นความสำาคัญของผู้เรียน และงาสั่งสอนนั้น ไม่ใช้
สักว่าทำา หรือเห็นผู้เรียนโง่เขลา หรือเห็นเป็ นชั้นตำ่าๆ
5. ใช้ภาษาสุภาพ น่ ุมนวล ไม่หยาบคาย ชวนให้สบายใจ สละสลวย
เข้าใจง่าย
1. เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำาดับ
2. เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ
3. เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา
4. เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส
ลีลาการสอน
คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็ นลีลาในการสอน 4 อย่าดังนี้
อาจผูกเป็ นคำาสั้นๆ ได้ว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก
เบิกบาน
วิธีสอนแบบต่างๆ
วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายแบบหลายอย่าง ที่น่าสังเกต หรือพบบ่อย คงจะ
ได้แก่วิธีต่อไปนี้
1. สนทนา (แบบสากัจฉา)
2. แบบบรรยาย
3. แบบตอบปั ญหา ท่านแยกประเภทปั ญหาไว้ตามลักษณะวิธีตอบเป็ น 4
อย่างคือ
1. ปั ญหาที่พึงตอบตรงไปตรงมาตายตัว ... (เอกังสพยากรณีย
ปั ญหา)
2. ปั ญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้ ... (ปฎิปุจฉาพยากรณียปั ญหา)
3. ปั ญหาที่จะต้องแยกความตอบ ... (วิภัชชพยากรณียปั ญหา)
4. ปั ญหาที่พึงยับยั้งเสีย (ฐปนี ยปั ญหา) ได้แก่ ปั ญหาที่ถามนอก
เรื่อง ไร้ประโยชน์ อันจักเป็ นเหตุให้เขว ยืดเยื้อ สิ้นเปลืองเวลา
เปล่า พึงยับยั้งเสีย แล้วชักนำาผู้ถามกลับเข้าสู่แนวเรื่องที่
ประสงค์ต่อไป
4. แบบวางกฎข้อบังคับ เมื่อเกิดเรื่องมีภิกษุกระทำาความผิดอย่างใดอย่าง
หนึ่ งขึ้นเป็ นครั้งแรก
กลวิธี และอุบายประกอบการสอน
1. การยกอุทาหรณ์ และการเล่านิ ทานประกอบ การยกตัวอย่างประกอบ
คำาอธิบาย และการเล่านิ ทานประกอบการสอนช่วยให้เข้าใจความได้
ง่าย และชัดเจน ช่วยให้จำาแม่นยำา เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน
ทำาให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งขึ้น...
2. การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำาอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก
ปรากฏความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะมักใช้
ในการอธิบายสิ่งที่เป็ นนามธรรม หรือแม้เปรียบเรื่องที่เป็ นรูปธรรม
ด้วยข้ออุปมาแบบรูปธรรม ก็ช่วยให้ความหนักแน่ นเข้า... การใช้อุปมา
นี้ น่าจะเป็ นกลวิธีประกอบการสอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้มากที่สุด
มากกว่ากลวิธีอ่ ืนใด
3. การใช้อุปกรณ์การสอน ในสมัยพุทธกาล ย่อมไม่มีอุปกรณ์การสอน
ชนิ ดต่างๆ ที่จัดทำาขึ้นไว้เพื่อการสอนโดยเฉพาะ เหมือนสมัยปั จจุบัน
เพราะยังไม่มีการจัดการศึกษาเป็ นระบบขึ้นมากอย่างกว้างขวาง หาก
จะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็คงต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ หรือ
เครื่องใช้ต่างๆ ที่ผู้คนใช้กันอยู่
4. การทำาเป็ นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีท่ีสุดอย่างหนึ่ ง โดยเฉพาะในทาง
จริยธรรม คือการทำาเป็ นตัวอย่าง ซึง ่ เป็ นการสอนแบบไม่ต้องกล่าว
สอน เป็ นทำานองการสาธิตให้ดู แต่ท่ีพระพุทธเจ้าทรงกระทำานั้นเป็ นไป
ในรูปทรงเป็ นผู้นำาที่ดี การสอนโดยทำาเป็ นตัวอย่าง ก็คือ พระจริยวัตร
อันดีงามที่เป็ นอยู่โดยปกติน้ันเอง แต่ท่ีทรงปฏิบัตเิ ป็ นเรื่องราวเฉพาะก็
มี...
5. การเล่นภาษา เล่นคำา และใช้คำาในความหมายใหม่ การเล่นภาษาและ
การเล่นคำา เป็ นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับ
ปฏิภาณ ข้อนี้ ก็เป็ นการแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของ
พระพุทธเจ้าที่มีรอบไปทุกด้าน...แม้ในการสอนหลักธรรมทั่วไป
พระองค์ก็ทรงรับเอาคำาศัพท์ท่ีมีอยู่แต่เดิมในลัทธิศาสนาเก่ามาใช้ แต่
ทรงกำาหนดความหมายใหม่ ซึงเป็ นวิธีการช่วยให้ผู้ฟังผู้เรียนหันมา
สนใจ และกำาหนดคำาสอนได้ง่าย เพียงแต่มาทำาความเข้าใจเสียใหม่
เท่านั้น และเป็ นการช่วยให้มีการพิจารณาเปรียบเทียบไปในตัวด้วยว่า
อย่างไหนถูก อย่างไหนผิดอย่างไร จึงเห็นได้ว่า คำาว่า พรหม
พราหมณ์ อริยะ ยัญ ตบะ ไฟบูชายัญ ฯลฯ ซึง ่ คำาในลัทธิศาสนาเดิม ก็
มีใช้ในพระพุทธศาสนาด้วยทั้งสิ้น แต่มีความหมายต่างออกไปเป็ น
อย่างใหม่
6. อุบายเลือกคน และการปฏิบัตร ิ ายบุคคล การเลือกคนเป็ นอุบายสำาคัญ
ในการเผยแพร่ศาสนา ในการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า เริม ่ แต่
ระยะแรกประดิษฐานพระพุทธศาสนาจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรง
ดำาเนิ นพุทธกิจด้วยพระพุทโธบายอย่างทีเรียกว่า การวางแผนที่ได้ผล
ยิ่ง ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นใดถิ่นหนึ่ ง
ควรไปโปรดใครก่อน
7. การรู้จักจังหวะ และโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะ และโอกาสให้เป็ น
ประโยชน์
8. ความยืดหยุ่นในการใช้วิธก ี าร ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา
มานะ ทิฏฐิเสียให้นอ ้ ยที่สุด ก็จะมุ่งไปยังผลสำาเร็จในการเรียนรู้เป็ น
สำาคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การสอนได้ผลดีท่ีสุด ก็จะทำาในทางนั้น
ไม่กลัวว่าจะเสียเกียรติ ไม่กลัวจะถูกรู้สึกว่าแพ้
9. การลงโทษ และให้รางวัล การใช้อำานาจลงโทษ ไม่ใช้การฝึ กคนของ
พระพุทธเจ้า แม้ในการแสดงธรรมตามปกติพระองค์ ก็แสดงไปตาม
เนื้ อหาธรรมไม่กระทบกระทั้งใคร... การสอนไม่ต้องลงโทษ เป็ นการ
แสดงความสามารถของผู้สอนด้วย ในระดับสามัญ สำาหรับผู้สอนทั่วไป
อาจต้องคิดคำานึงว่าการลงโทษ ควรมีหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร แต่
ผู้ท่ีสอนคนได้สำาเร็จผลโดยไม่ต้องใช้อาญาโทษเลย ย่อมชื่อว่าเป็ นผู้มี
ความสามารถในการสอนมากที่สุด
นิ เทศอาทิตตปริยายสูตร
ในการพิจารณาพระสูตรนี้ เพื่อทำาความเข้าใจให้เป็ นประโยชน์ในการสอน ความในพระ
สูตรนี้ อาจสรุปได้เป็ น 4 ตอนดังนี้
ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รก
ั
ภัยย่อมเกิดแต่ของที่รก
ั
ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พูนวิเศษแลูว
จากของที่รก
ั ภัยจักมีแต่ที่ไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก
ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก
ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พูนวิเศษแลูว
จากความรัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี
ภัยย่อมเกิดแต่ความยินดี
ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พูนวิเศษแลูว
จากความยินดี ภัยจักมีแต่ท่ีไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่กาม
ภัยย่อมเกิดแต่กาม
ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พูนวิเศษแลูว
จากกาม ภัยจักมีแต่ท่ีไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่ตัณหา
ภัยย่อมเกิดแต่ตัณหา
ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พูนวิเศษแลูว
จากตัณหา ภัยจักมีแต่ท่ีไหน
สมหวังในชีวิตรักแต่ความรักไม่เคยใหูความสมหวังแก่ใครถึงครึง่ หนึ่ ง
สบายของคนป่ วยที่ไดูกินของแสลง
เธอทั้งหลายอย่าไดูพอใจในความรักเลยเมื่อหัวใจยึดถือไวูดูวยความรัก หัวใจนั้ นจะ
สรูางความหวังขึ้นอย่างเจิดจูาแต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอย่้
http://www.pranippan.com/new/board/index.php?showtopic=326
ครอบงำา
การแผ่เมตตานัน ้ ยัง มีจด
ุ ประสงค์เพื่อละพยาบาท
เช่นที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระราหุลในราหุโลวาทสูตรมี
ความว่า…
เมื่อเข้าใจตรงนี้ ก็จะเห็นว่าตัวความโกรธอาจพัฒนาเป็ น
ความพยาบาท หรืออาจจะหายไปเสียเฉยๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับ
เหตุปัจจัยหลายต่อหลาย ประการ ดังนั้นเราเอาจแผ่เมตตา
เพื่อระงับ ความโกรธ ตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อมิให้ลุกลาม เป็ น
พยาบาทก็ได้ หรืออาจแผ่เมตตาเพื่อทำาความพยาบาทที่
ครอบงำาจิตอยู่แล้วให้สูญไปก็ดี ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่าการแผ่
เมตตามิใช่การทำาเชื้อแห่งความโกรธให้ดับลงสนิ ท เพราะ
นั่นเป็ นงานวิปัสสนา เราแผ่เมตตาเป็ นงานสมถะ เพื่อทำาจิต
ให้มีคุณภาพพอจะต่อยอด เป็ นวิปัสสนาในภายหลัง
สำาหรับงานภาวนาในสติปัฏฐาน 4 คงหวังผลเด่นประการ
หนึ่ งจากบรรดาอานิ สงส์ท้ัง 11 ข้อข้างต้นนี้ นั่นคือ "จิต
ย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว" ซึ่งสำาหรับอานิ สงส์ดังกล่าวย่อม รู้
ได้โดยไม่จำาเป็ นต้องพิสูจน์ เสียก่อน ใช้เหตุผลตามจริงที่ว่า
เมื่อจิต สงบ อ่อนโยน มีความสุข ปราศจากการคุมแค้น
อาฆาตใคร ไม่คิดจองเวรใคร ก็ย่อมปราศจากคลื่นความฟ้ ุง
ใน หัว และพร้อมพอใจะเข้าสู่ความตั้งมั่น ในอารมณ์ใด
อารมณ์หนึ่ งที่ต้อง การได้ง่ายๆแน่ นอน
การฝึ กเจริญเมตตาโดยอาศัยจิตสามัญ
ก่อนอื่นต้องสำารวจด้วยความตระ หนักแบบไม่เข้าข้าง
ตนเอง ว่าเป็ นคนมักโกรธ เป็ นฟื นเป็ นไฟง่าย กับผูกโกรธ
ไว้เผาเราเผาเขาได้น านหรือเปล่า หากร้ต ู ามจริงว่าเป็ น
บุคคลเคราะห์ร้าย คือจัดอยู่ในพวกโกรธง่ายหายช้า ก็ให้
ทราบว่าอย่างนั้นเป็ นคนเมตตาอ่อน มีทน ุ น้อย จะเอามาใช้
เจริญเมตตาเป็ นภาวนา ทันทีทันใดคงยาก
ในมหาสีหนาทสูตรท่านตรัสกะชีเปลือ ยชื่อกัสสปะว่า
เมตตาจิตนั้น คือจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ซึ่ง
หมายถึงการคิด การพูด และการทำาอันไม่มีเวรกับใคร ไม่
ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ดังนั้นการ "สร้างทุน" คือ
เมตตาจิตนั้น ก็ต้องอาศัยการหมั่นสำารวจอย่างเข้มงวด ว่า
ชีวิตเราล่วงไปวันต่อวัน ขณะต่อขณะอยู่อย่างนี้ ด้วยอาการ
ผูกเวร ด้วยอาการเบียดเบียนใครหรือไม่
หากสำารวจตามจริง พบในขณะแห่งการคิด การพูด หรือ
การทำา ว่าเราเอาแล้ว ก่อเวรแล้ว เบียดเบียนใครเข้าแล้ว ก็
ต้องรีบเปลี่ยนท่าทีให้เป็ นตรงข้าม คือไม่แม้คิดก่อเวร ไม่
แม้คิดเบียดเบียนใครๆด้วยประการ ใดๆเลย พูดง่ายๆคือถ้า
ถามตัวเองว่าตอน นี้ คิดไม่ดีกับใครหรือเปล่า รู้ตัวแล้วก็
เปลี่ยนให้เป็ นตรง ข้ามเสีย ด้วยความระลึกว่าการคิดไม่ดีย่
อมเป็ นปฏิปักษ์ต่อเมตตาจิต ระลึกไว้เพียงเท่านี้ ก็จะเป็ น
บาท ฐานอันมั่นคงไว้รองรับเมตตา จิตอันจะมาถึงเองข้าง
หน้าแล้ว
สรุปคือใช้ชีวิตประจำาวันนั่นแหละ ในการเจริญเมตตา
ภาวนาเบื้องต้น ตราบใดเรายังต้องคิด ต้องเจรจา ต้องมี
กิจกรรมตอบโต้กับชาวโลก ตราบนั้นคือโอกาสในการเจริญ
เมตตาภาวนาของเราทั้งหมด ลองระลึกในทุกขณะว่า
เมตตาเป็ นด้าน หัวของเหรียญ พยาบาทเป็ นด้านก้อยของ
เหรียญ เราพลิกด้านหนึ่ งขึ้นมา อีกด้านหนึ่ งก็หายไปทันที
ตัวที่พลิกจากคิดไม่ดีเป็ นคิดดีกับผู้อ่ ืนนั่นแหละตัวเมตตาอัน
เป็ นที่รู้สึก ได้ชัด ระลึกไว้ง่ายๆอย่างนี้ จะสำารวจความคิด
คำาพูด และการกระทำาของตนเองถนัดขึ้น
http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=1350.0