Professional Documents
Culture Documents
ชื่อการค้ า1
Puroxan®
ผู้ผลิต 1 M & H Manufacturing Co., Ltd.
รูปแบบยา 1 Syrup 100 mg/5mg
Tablet 400 mg/tablet
ชื่อเคมี
1
7-(1,3-dioxzlan-2-ylmethyl) theophyline
สูตรโมเลกุล 2 C11H14N4O4
สูตรโครงสร้ าง 2
สมบัติทางเคมี-ฟิ สิกส์2
CAS: 69975-86-6
Molecular weight: 266.26
Melting point: 142.5-144.5
White crystalline powder
การเก็บรักษา 1 เก็บในที่แห้ งและเย็น(25˚C)
เภสัชวิทยา 1 Doxofylline เป็ นยาในกลุม ่ xanthine ซึง่ แตกต่างจาก theophyline ที่ตำแหน่ง 7 ของ
Doxofylline มีหมู่ dioxalane ด้ านกลไกการออกฤทธิ์เหมือน theophyline โดยยับยังเอนไซม์้
phosphodiesterase แต่จะมีผลกับ adenosine A1 และ A2 น้ อยกว่า theophyline ทำให้ ยามี
ความปลอดภัยมากกว่า
กลไกการออกฤทธิ์3คาดว่า Theophylline สามารถขยายหลอดลมและลดการอักเสบได้ จากหลายกลไกแต่ยงั ไม่มีการ
พิสจู น์จนเป็ นที่แน่ชดั โดย Theophylline สามารถยับยัง้ phosphodiesterase (PDE) enzyme
โดยเมื่อยับยัง้ PDE แล้ วจะมีผลเพิม่ cAMP และ cGMP ในบางเนื ้อเยื่อ ซึง่ ผลที่ตามมาคือ การกระตุ้
นการทำงานของหัวใจ กล้ ามเนื ้อ
เรี ยบคลายตัว และลดการหลัง่ สาร
สื่ออักเสบ โดยคาดว่า PDE4 จะมี
ผลต่อทางเดินหายใจมากที่สดุ ซึง่
พบว่ายาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจง
กับ PDE4 จะมีประสิทธิภาพ
มากกว่าในผู้ป่วยที่เป็ น COPD
เภสัชจลนศาสตร์ 4
Absorption ค่า bioavailability เมื่อให้
โดยการรับประทานประมาณ 62.6% ที่ pH 7.4
Distribution มีปริ มาตรการกระจายประมาณ 1 L/kg, ค่าโปรตีน binding 48%
Metabolism 90% ถูกเปลี่ยนแปลงที่ตบ
ั ได้ metabolite เป็ น Hydroxyethyltheophylline มีคา่ ครึ่ง
ชีวิตประมาณ 6-8 ชัว่ โมงจึงควรจะให้ วนั ละ 3 ครัง้
Excretion ถูกกำจัดผ่านไตในรูปที่ไม่เปลี่ยนแปลงน้ อยกว่า 4% ของขนาดยาที่รับประทาน
** จากการทดลองพบว่ายาจะถึง steady state ภายใน 4 วันหลังให้ ยาทุก 8- 10 ชัว่ โมง
ข้ อบ่งใช้ 4 สำหรับรักษาโรคระบบทางเดินหายใจเรื อ้ รัง bronchial asthma และ chronic obstructive
pulmonary disease (COPD) ในผู้ใหญ่
ขนาดและการบริ หารยา 3, 4
Syrup ปริ มาณยา 1 ml ประกอบด้ วย doxyfylline 20 mg
ขนาดยาในเด็ก: 12 mg/kg/day แบ่งให้ วนั ละ 2 ครัง้ อาจเพิ่มขนาดได้ ถึง 18 mg/kg/day
ขนาดยาในผู้ใหญ่: รับประทานครัง้ ละ 20 ml (400mg) วันละ 2 ครัง้
ขนาดยาในผู้สงู อายุ: รับประทานครัง้ ละ 10 ml (200mg) วันละ 2 ครัง้
Tablet ในหนึง่ เม็ดประกอบด้ วย doxyfylline 400 mg
ผู้ใหญ่รับประทานครัง้ ละ 1 เม็ด วันละ 2 ครัง้ เพิ่มขนาดยาสูงสุดได้ เป็ น 1 เม็ดวันละ 3 ครัง้
ควรปรับลดขนาดยาเป็ น ½ เม็ดวันละ 2 ครัง้ ในผู้ป่วยสูงอายุ, ผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอด
เลือด, โรคตับ, โรคไต, และโรคระบบทางเดินอาหาร
สรุป
ยา doxofylline เป็ นยาในกลุม่ methylxanthine ซึง่ เป็ นอนุพนั ธ์ของ theophylline ลดการออกฤทธิ์ที่
adenosine A1 และ A2 receptor, เน้ นการออกฤทธิ์ที่ PDE ยา doxofylline ใช้ ในการรักษา asthma และ COPD ซึง่
มีประสิทธิภาพในการขยายหลอดลมไม่แตกต่างจากยา theophylline, และ aminophylline แต่พบอาการข้ างเคียง
น้ อยกว่า ยาถูกกำจัดผ่านตับเป็ นส่วนใหญ่จงึ ควรปรับขนาดยาลงครึ่งหนึง่ ในผู้ป่วยโรคตับ ยามีคา่ ครึ่งชีวิตประมาณ 8
ชัว่ โมง สามารถให้ วนั ละ 2 ครัง้ ได้ โดยปกติใช้ ในขนาด 800 mg ต่อวัน ในเด็กให้ ในขนาด 12 mg/kg/day เพิ่มขนาดยา
สูงสุดได้ เป็ น 18 mg/kg/day ห้ ามใช้ ยานี ้หญิงให้ นมบุตร myocardial infarction, hypotension และผู้ที่แพ้ ยาโดย
เด็ดขาด ควรใช้ ด้วยความระมัดระวังหรื อหลีกเลี่ยงการให้ หรื อควรปรับขนาดการใช้ ยานี ้ใน หญิงตังครรภ์้ ผู้ป่วยโรคหัวใจ
ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยสูงอายุ อาการไม่พงึ่ ประสงค์ที่ สำคัญและพบมาก ได้ แก่ คลื่นไส้ , อาเจียน, ปวดท้ อง,
ปวดหัว, กระสับกระสาย, นอนไม่หลับ(พบได้ น้อยกว่า theophylline), ใจสัน่ (หัวใจเต้ นเร็ว), รบกวนจังหวะการเต้ นของ
หัวใจ, หายใจเร็ว การติดตามระดับยาในเลือดนันไม่ ้ จำเป็ นเนื่องจากยามี therapeutic range ที่กว้ าง
เอกสารอ้ างอิง
1. Puroxan® bronchodilator [pamphlet]. Samutprakarn, LE GRAND PHARMA
2. Hubei YuanCheng Pharmaceutical Co., Ltd [Internet] unknown [Updated: 2011 Mar 23; cited
2011 Jul 20]. Available from: http://yuanchengfu.en.ec21.com/print_offer_detail.jsp?
offer_id=OF0010093510
3. Katzung, BG. Basic and Clinical Pharmacology, 10th ed. The McGraw-Hill Companies Inc. Toronto,
Canada. 2006. Chaptor 20, Drug used in ashma; p.464-88
4. Doxofylline ZORDOX®[Internet] unkown [Updated: May 2009; cited 2011 Jul 20] . Available
from: http://www.cipladoc.com/therapeutic/pdf_cipla/zordox.pdf
5. Page CP. Doxofylline:A “Novofylline”. Pulmonary Pharmacology & Therapeutics 2010:(23);231-
234