You are on page 1of 39

87

บ่ า ง ชะนี เสื อ ช้ า ง อี เ ห็ น ไก่ ป่ า ไก่ ฟ้ า หมี เม่ น กระจ้ อ น


กระแต เว้นสัตว์เล็ก ๆ ที่เที่ยวหากินเป็ นประจำาเสีย สัตว์นอก
นั้นยังพากันมาเที่ยวหากินในเวลากลางวัน ท่านเคยเจอเขา
บ่อย ซึ่งเขาก็ไม่แสดงอาการกลัวท่านนัก
ป่ าแถบนี้ แต่ก่อนไม่มีบ้านผ้้บ้านคน ถึงมีก็อย่้ห่าง ๆ กัน
และมีเพียง ๓-๔ หลังคาเรือน ตั้งอย่้เป็ นหย่อม ๆ ซึ่งอาศัยทำา
ไร่ ข้ า วและปล้ ก สิ่ ง ต่ า ง ๆ เป็ นอาชี พ ตั้ งอย่้ ต ามชายเขา
ระหว่ า งที่ ผ่ า นไป ท่ า นอาศั ย ชาวบ้ า นเหล่ า นั้ นเป็ นโคจร
บิณฑบาตไปเป็ นระยะ ๆ หม่้บ้านที่อย่้แถบนั้นเขามีศรัทธาใน
พระธุดงค์ดีมาก พวกนี้ อาศัยสัตว์ป่าเป็ นอาหาร เพราะสัตว์ป่า
ชนิ ด ต่ า ง ๆ มี ม าก เวลาพั ก อย่้ กั บ เขาได้ รั บ ความสะดวกแก่
การบำาเพ็ญมาก เขาไม่มารบกวนให้เสียเวลาเลย ต่างคนต่าง
อย่้ แ ละต่ า งทำา หน้ า ที่ ข องตน ปรากฏว่ า การเดิ น ทางเป็ นไป
ด้ ว ยความสะดวกราบรื่ น ทั้ งทางกายและทางใจ จนถึ ง
กรุงเทพฯ ด้วยความสวัสดี
ท่ า นเข้ า พั ก วั ด ปทุ ม วั น ท่ า นว่ า การขึ้ น ล่ อ งระหว่ า ง
กรุงเทพฯ กับภาคอีสาน ท่านขึ้นล่องเสมอ บางเที่ยวขึ้นรถไฟ
ไปลงเอาที่สุดรถไฟไปถึง เพราะแต่ก่อนรถไฟยังไม่ทันถึงที่สุด
ทาง บางเที่ยวก็เดินธุดงค์ไปมาเรื่อย ๆ ก็มี เวลาท่านพักและ
จำาพรรษาที่วัดปทุมวัน ได้ไปศึกษาอรรถธรรมกับท่านเจ้าคุณ
พระอุ บ าลี ฯ วั ด บรมนิ ว าสเสมอ ออกพรรษาแล้ ว หน้ า แล้ ง
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ จะไปเชียงใหม่ ท่านนิ มนต์ท่านอาจารย์ไป
เชียงใหม่ด้วย ท่านเลยไปเที่ยวทางเชียงใหม่กับท่านเจ้าคุณ
อุบ าลี ฯ ขณะนั่ งรถไฟไปเชี ยงใหม่ ท่ านเล่า ว่า ท่า นเข้ า สมาธิ
ภาวนาไปเรื่อย ๆ เกือบตลอดทาง มีพักนอนบ้าง ก็เวลารถไฟ
ออกจากกรุงเทพฯ ไปถึงลพบุรี พอถึงอุตรดิตถ์ รถจะเริ่มเข้า
เขา ท่านก็เริ่มเข้าสมาธิภาวนาแต่บัดนั้ นเป็ นต้นไป จนจะถึง
สถานี เชียงใหม่ถึงได้ถอนจิตออกจากสมาธิ เพราะขณะจะเริ่ม
ทำา สมาธิ ภ าวนา ท่ านตั้ ง จิ ต ไว้ ว่ า จะให้ จิ ต ถอนจากสมาธิ ต่ อ
เมื่อรถไฟจวนเข้าถึงตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่
ภาวนาต่อไป โดยมิได้สนใจกับอะไรอีก
ขณะนั่งทำาสมาธิไม่นาน ประมาณ ๒๐ นาที จิตก็รวมลง
ส่้ความสงบถึงฐานของสมาธิอย่างเต็มที่ จากขณะนั้นแล้วก็ไม่
ทราบว่ารถไฟวิ่งหรือไม่ มีแต่จิตที่แน่ วลงส่้ความสงบระงับตัว
จากสิ่ ง ภายนอกทั้ ง มวล ไม่ มี อ ะไรปรากฏ แม้ ท่ี สุ ด กายก็ ไ ด้
หายไปในความร้้สก ึ เป็ นจิตที่ดับสนิ ทจากการรับร้้และรบกวน

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 87
88

จากสิ่ ง ต่ า ง ๆ เป็ นเหมื อ นโลกธาตุ ไ ม่ มี อ ะไรเหลื อ อย่้ เ ลย


ประหนึ่ งได้ดับไปพร้อมกับความคิดปรุงและความสำา คัญรับร้้
ต่าง ๆ ของขันธ์โดยสิ้นเชิง ขณะนั้นเป็ นความร้้สึกว่ากายหาย
ไป รถไฟและเสี ย งรถหายไป ผ้้ ค นโดยสารในรถไฟหายไป
ตลอดสิ่งต่าง ๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกันกับจิตได้หายไปจากความ
ร้้ สึ ก โดยสิ้ น เชิ ง สิ่ ง ที่ เ หลื อ อย่้ ใ นเวลานั้ น ก็ น่ า จะเป็ นสมาธิ
สมาบัติอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในขณะนั้ นมิได้สำา คัญตนว่า
อย่้ในที่เช่นไร
จิตทรงตัวอย่้ในลักษณะนี้ ตลอดมาแต่ ๒๐ นาทีแรกเริ่ม
สมาธิ จนถึงชานเมืองเชียงใหม่จึงได้ถอนตัวออกมาเป็ นปกติ
จิต ลืมตาขึ้นมองด้สภาพทั่วไป ก็พอดีเห็นตึกรามบ้านช่องขาว
ดาดาษไปทุกทิศทุกทาง จากนั้นก็เริ่มออกจากที่และเตรียมจะ
เก็บสิ่งของบริขาร มองด้ผ้คนในรถรอบ ๆ ข้าง ต่างพากันมอง
มา นั ย น์ตาจับจ้องมองด้ท่ านอย่ า งพิ ศวงสงสั ย ไปตาม ๆ กัน
ร้้สึกจะเป็ นที่ประหลาดใจของคนในรถไฟทั้งขบวน นั บตั้งแต่
เจ้าหน้าที่รถไฟลงมาไม่น้อยเลย มาทราบได้ชัดเจนเอาตอน
ท่านจะขนสิ่งของบริขารลงจากรถ ขณะที่รถจะถึงที่เจ้าหน้าที่
รถไฟต่างมาช่วยขนสิ่งของลงรถช่วยท่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แจ่มใส ทั้งที่ไม่เคยร้้จักกันมาก่อนเลย ทั้งคนโดยสารและเจ้า
หน้าที่รถไฟต่างยืนมองท่า นจนวาระสุ ดท้ ายอย่ างไม่ กะพริ บ
ตาไปตาม ๆ กัน
แม้ก่อนจะลงจากรถก็มีเจ้าหน้าที่รถไฟและคนโดยสาร
มาถามท่านว่า ท่านอย่้วัดไหน และท่านจะเดินทางไปไหนต่อ
ไป ท่านก็ได้ตอบว่าท่านเป็ นพระอย่้ตามป่ า ไม่ค่อยมีหลักฐาน
วัดวาแน่ นอนนัก และตั้งใจจะมาเที่ยววิเวกตามเขาแถบนี้ เจ้า
หน้าที่รถไฟและผ้้โดยสารบางคนก็ถามท่านด้วยความเอื้อเฟื้ อ
เลื่อมใสว่า ขณะนี้ ท่านจะไปพักวัดไหนและมีผ้มารับหรือตาม
ส่งหรือยัง ท่านแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่รถไฟ และเรียน
ว่ามีผ้มารับเรียบร้อยแล้ว เพราะท่านไปกับท่านเจ้าคุณอุบา
ลีฯ ซึ่งเป็ นพระผ้้ ใหญ่แ ละเป็ นที่ เคารพเลื่ อมใสของชาวเมื อ ง
เป็ นอย่างยิ่ง นับแต่เจ้าผ้้ครองนครลงมาถึงพ่อค้าประชาชน
ขณะนั้นปรากฏว่ามีผ้คนพระเณรไปรอรับท่านเจ้าคุณอุ
บาลีฯ อย่้คับคั่ง แม้รถยนต์ซึ่งเป็ นของหายากในสมัยนั้น แต่ก็
ปรากฏว่ า มี ร ถไปรอรั บ อย่้ ห ลายคั น ทั้ ง รถข้ า ราชการและ
พ่อค้าประชาชน รับท่านเจ้าคุณฯ จากสถานี มาวัดเจดีย์หลวง
เมื่ อประชาชนทราบว่ า ท่ า นเจ้ า คุณ อุ บ าลี ฯ มาพั ก ที่ วั ด
เจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ต่างก็มากราบนมัสการเยี่ยมและ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 88
89

ฟั งโอวาทท่าน ในโอกาสที่ประชาชนมามากนั้น ท่านเจ้าคุณอุ


บาลีฯ ได้อาราธนาท่านพระอาจารย์ม่ันเป็ นองค์แสดงธรรมให้
ประชาชนฟั ง ปรากฏว่ า ท่ า นแสดงธรรมไพเราะเพราะพริ้ ง
จับ ใจท่านผ้้ ฟังมากมาย ไม่ อ ยากให้ จ บลงง่ า ย ๆ เทศน์กัณ ฑ์
นั้ น ทราบว่ า ท่ านเริ่ ม แสดงมาแต่ ต้ น อนุ ปุ พ พิ ก ถาขึ้ น ไปเป็ น
ลำา ดั บ จ น จ บ ล ง ใ น ท่ า ม ก ล า ง แ ห่ ง ค ว า ม เ สี ย ด า ย ข อ ง
พุทธศาสนิ กชนที่ กำา ลัง ฟั งเพลิ น พอเทศน์จบลง ท่านลงมาก
ราบพระเถระ แล้วหลีกออกไปหาที่พักผ่อนตามอัธยาศัย
ขณะนั้ น ท่ า นเจ้ า คุ ณ อุ บ าลี ฯ กล่ า วชมเชยธรรมเทศนา
ของท่ า นในท่ า มกลางบริ ษัท ว่ า ท่ า นมั่ น แสดงธรรมไพเราะ
มาก หาผ้้ เ สมอเหมื อนได้ ย าก และแสดงธรรมเป็ นมุ ต โตทั ย
คือแดนแห่งความหลุดพ้น ที่ผ้ฟังไม่มีท่ีน่าเคลือบแคลงสงสัย
นับว่าท่านแสดงได้อย่างละเอียดลออดีมาก แม้แต่เราเองก็ไม่
อาจแสดงได้ในลักษณะแปลก ๆ และชวนให้ฟังเพลินไปอย่าง
ท่านเลย สำา นวนโวหารของพระธุดงคกรรมฐานนี้ แปลกมาก
ฟั งแล้ ว ทำา ให้ ไ ด้ ข้ อคิ ด และเพลิ น ไปตาม ไม่ มี เ วลาอิ่ ม พอและ
เบื่อง่ายเลย
ท่านเทศน์ในสิ่งที่เราเหยียบยำ่าไปมาอย่้น่ี แล คือสิ่งที่เรา
เคยเห็นเคยได้ยินอย่้เป็ นประจำา แต่มิได้สนใจคิดและนำามาทำา
ประโยชน์ เวลาท่านเทศน์ผ่านไปแล้วถึงระลึกได้ ท่านมั่นท่าน
เป็ นพระกรรมฐานองค์สำา คัญที่ใช้สติปัญญาตามทางมรรคที่
พระพุ ทธเจ้ าทรงสอนไว้ จ ริ ง ๆ ไม่ นำา มาเหยี ย บยำ่ าทำา ลายให้
กลายเป็ นโลก ๆ เลว ๆ ไปเสียดังที่เห็น ๆ กัน ท่านเทศน์มีบท
หนักบทเบาและเน้นหนักลงเป็ นตอน ๆ พร้อมทั้งการคลี่คลาย
ความสลั บ ซั บ ซ้ อ นแห่ ง เนื้ อธรรมที่ ลึ ก ลั บ ซึ่ ง พวกเราไม่ อ าจ
แสดงออกมาได้อย่างเปิ ดเผย และสามารถแยกแยะธรรมนั้น
ๆ ออกมาชี้แจงให้เราฟั งได้อย่างถึงใจโดยไม่มีปัญหาอะไรเลย
นับว่าท่านฉลาดแหลมคมมากในเชิงเทศนา วิธีซึ่งหาตัวจับได้
ยาก อาตมาแม้เป็ นอาจารย์ท่าน แต่ก็ยกให้ท่านสำาหรับอุบาย
ต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถซึ่งมีอย่้เยอะแยะ
เฉพาะท่านมั่นท่านสามารถจริง อาตมาเองยั งเคยถาม
ปั ญหาขัดข้องใจที่ตนไม่ สามารถแก้ ได้โ ดยลำา พังกั บท่ าน แต่
ท่านยังสามารถแก้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวด้วยปั ญญา เรา
พลอยได้คติจากท่านไม่มีประมาณ อาตมาจะมาเชีย งใหม่ จึง
ได้นิมนต์ท่านมาด้วย ซึ่งท่านก็เต็มใจมาไม่ขัดข้อง ส่วนใหญ่
ท่านอาจเห็นว่าที่เชียงใหม่เรามีป่า มีภ้เขามาก สะดวกแก่การ
แสวงหาที่วิ เวก ถึงได้ตกลงใจมากั บอาตมาก็เ ป็ นได้ เป็ นแต่

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 89
90

ท่านมิได้แสดงออกเท่านั้นเอง พระอย่างท่านมั่นเป็ นพระที่หา


ได้ ย ากมาก อาตมาแม้ จ ะเป็ นผ้้ ใ หญ่ ก ว่ า ท่ า น แต่ ก็ เ คารพ
เ ลื่ อ ม ใ ส ธ ร ร ม ขอ ง ท่ าน อย่้ ภ า ย ใ น ท่ าน เ อ ง ก็ ยิ่ ง มี ค ว า ม
อ่ อ นน้ อมถ่ อ มตนต่ อ อาตมามากจนละอายท่ า นในบางคราว
ท่านพักอย่้ท่ีน่ี พอสมควรก็ออกแสวงหาที่วิเวกต่อไป อาตมาก็
จำาต้องปล่อยตามอัธยาศัยท่าน ไม่กล้าขัดใจ เพราะพระจะหา
แบบท่านมั่นนี้ ร้สึกจะหาได้ยากอย่างยิ่ง เมื่อท่านมีเจตนามุ่ง
ต่อธรรมอย่างยิ่ง เราก็ควรอนุโมทนา เพื่อท่านจะได้บำา เพ็ญ
ประโยชน์แก่ตนและประชาชน พระเณรในอนาคตอันใกล้น้ี
ท่านผ้้ใดมีข้ อข้ องใจเกี่ ยวกับ การอบรมภาวนาก็เ ชิญ ไป
ศึ ก ษาไต่ ถ ามท่ าน จะไม่ ผิด หวั ง แน่ น อน แต่ ก รุณ าอย่ า ไปขอ
ต ะ ก รุ ด วิ ช า ค า ถ า อ า ค ม อ ย่้ ย ง ค ง ก ร ะ พั น ช า ต รี ค ว า ม
แคล้ว คลาดปลอดภั ย ต่ า ง ๆ ที่ ผิด ทาง จะเป็ นการไปรบกวน
ท่านให้ลำา บากโดยมิใช่ทาง บางทีท่านอาจใส่ปัญหาเจ็บแสบ
เอาบ้างจะว่ าอาตมาไม่ บอก เพราะท่ านมั่น มิใ ช่พ ระประเภท
นั้น ท่านเป็ นพระจริง ๆ และสั่งสอนคนให้เห็นผิดเห็นถ้ก เห็น
ชั่ ว เห็ น ดี แ ละเห็ น บาปเห็ น บุ ญ จริ ง ๆ มิ ไ ด้ ส่ั ง สอนออกนอกล่้
นอกทางไปจากคลองธรรม ท่ า นเป็ นพระปฏิ บั ติ จ ริ ง และร้้
ธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้จริง ๆ
เท่าที่ได้สนทนาธรรมกับท่านแล้วร้้สึกได้ข้อคิดอย่างน่ า
อัศจรรย์ ซึ่งใคร ๆ ไม่อาจพ้ดได้อย่างท่านเลยเท่าที่ผ่านมาใน
สมัยปั จจุบัน อาตมาเคารพเลื่อมใสท่านมากภายในใจ โดยที่
ท่านไม่ทราบว่าอาตมาเคารพท่าน ถ้าท่านไม่ทราบด้วยญาณ
เอง เพราะมิได้พ้ดให้ท่านฟั ง ท่านเป็ นพระที่น่าเคารพบ้ชาจริง
ๆ และอย่้ ใ นข่ า ยแห่ ง ปุ ญฺ ญ กฺ เ ขตฺ ตํ โลกสฺ ส ขั้นใดขั้นหนึ่ ง
แน่ นอนไม่สงสัย แต่ท่านเองมิได้แสดงตัวว่าเป็ นพระที่ต้ังอย่้
ในธรรมขั้ น นั้ น ๆ หากพอร้้ ไ ด้ ใ นเวลาสนทนากั น โดยเฉพาะ
ไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
อาตมาเองเชื่อว่าเป็ นผ้้ต้ั งอย่้ใ นอริย ธรรมขั้น สามอย่า ง
เต็ ม ภ้ มิ ทั้ งนี้ ท ราบจากการแสดงออกแห่ ง ธรรมที่ ท่ า นร้้ เ ห็ น
แม้ท่ านจะไม่ บอกภ้ มิท่ี บ รรลุ ว่ า ภ้ มิ น้ั น ๆ แต่ก็ ท ราบได้ อ ย่ า ง
ไม่ มีข้ อสงสั ย เพราะธรรมที่ ท่ า นแสดงให้ ฟั งเป็ นธรรมในภ้ มิ
นั้ น ๆ แน่ น อน ไม่ ผิ ด กั บ ปริ ยั ติ ท่ี แ สดงไว้ ท่ า นเป็ นพระที่ มี
ความเคารพและจงรั ก ภั ก ดี ต่ อ อาตมามากตลอดมา ไม่ เ คย
แสดงอากั ปกิ ริ ย ากระด้ า งวางตั ว เย่ อ หยิ่ ง แต่ อ ย่ า งใดให้ เ ห็ น
เลย นอกจากวางตัวแบบผ้าขี้ริ้ว ซึ่งเห็นแล้วอดเลื่อมใสอย่าง
จั บ ใจไม่ ไ ด้ ทุ ก ๆ ครั้ ง ไปเท่ า นั้ น นี่ เ ป็ นคำา ของเจ้ า คุ ณ อุ บ าลี ฯ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 90
91

กล่าวชมเชยท่านพระอาจารย์ม่ันในที่ลับหลังให้ญาติโยมและ
พระเณรฟั ง หลังจากท่านแสดงธรรมจบลงแล้วหลีกไป
พระที่ได้ยินคำา ชมเชยนี้ แล้วนำา ไปเล่าให้ท่านฟั ง ท่านจึง
นำา เรื่ องนี้ ม าเล่ า ให้ ค ณะล้ ก ศิ ษ ย์ ฟั งเวลามี โ อกาสดี ๆ คำา ว่ า
“มุตโตทัย ” ที่มีในชีวประวัติย่อของท่าน ซึ่งพิมพ์แจกในงาน
ฌาปนกิจศพท่าน ก็เป็ นนิ มิตตกนามไปจากคำาชมเชยของท่าน
เจ้ าคุณ อุบาลี ฯ ครั้ง นั้ นสื บต่ อมา ทราบว่า ท่า นไปพั ก บำา เพ็ ญ
เพี ย รอย่้ ท่ี จั ง หวั ด เชี ย งใหม่ เมื่ อ พ.ศ. ๒๔๗๒ จนถึ ง พ.ศ.
๒๔๘๓ จึ ง ได้ ไ ปจั ง หวั ด อุ ด รตามคำา อาราธนาของท่ า นเจ้ า
คุณธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ตอนเกี่ยวกับ
อุดรจะรอเขียนลงข้างหน้า เมื่อเรื่องท่านดำาเนิ นไปถึง
ท่ า นพั ก อย่้ วั ด เจดี ย์ ห ลวง จั ง หวั ด เชี ย งใหม่ พอสมควร
แล้ ว ก็ ก ราบลาท่ า นเจ้ า คุ ณ อุ บ าลี ฯ เพื่ อไปเที่ ย วแสวงหาที่
วิเวกตามอำาเภอต่าง ๆ ที่มีป่ามีเขามาก ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็
อนุ ญ าตตามอั ธ ยาศั ย ท่ า นเริ่ ม ออกเที่ ย วครั้ ง แรกที่ จั ง หวั ด
เชี ย งใหม่ ทราบว่ า ท่ า นไปเที่ ย วองค์ เ ดี ย ว จึ ง เป็ นโอกาสอั น
เหมาะอย่างยิ่ ง ที่ ช่ว ยให้ ท่ า นมี ต นเป็ นผ้้ เ ดี ย วในการบำา เพ็ ญ
เพียรอย่างสมใจที่หิวกระหายมานาน นับแต่สมัยที่อย่้เกลื่อน
กล่นกับหม่้คณะมาหลายปี เพิ่งได้มีเวลาเป็ นของตนในคราว
นั้ น ทราบว่ า ท่ า นเที่ ย ววิ เ วกไปทางอำา เภอแม่ ริ ม เชี ย งดาว
เป็ นต้น เข้าไปพักในป่ าในเขาตามนิ สัย ทั้งหน้าแล้งหน้าฝน
การบำา เพ็ ญ เพี ย รคราวนี้ ท่ า นเล่ า ว่ า เป็ นความเพี ย รขั้ น
แตกหัก ท่านพรำ่าสอนตนว่าคราวนี้ จะดีหรือไม่ดี จะเป็ นหรือ
จะตายต้องเห็นกันแน่ นอน เรื่องอื่น ๆ ไม่มย ี ุ่งเกี่ยวแล้ว เพราะ
ความสงสารหม่้คณะและการอบรมสั่งสอนก็ได้ทำา เต็ มความ
สามารถแล้วไม่มีทางสงสัย ผลเป็ นประการใดก็เห็นประจักษ์
มาบ้างแล้ว บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะสงสารตัวเอง อบรมสั่งสอน
ตัวเอง ยกตัวเองให้พ้นจากสิ่งมืดมิดปิ ดบังที่มีอย่้ภายในให้พ้น
ไป ชี วิ ต ความเป็ นอย่้ ข องคนที่ มี ภ าวะเกี่ ย วข้ อ งด้ ว ยหม่้ ค ณะ
เป็ นชีวิตที่เกลื่อนกล่นทนทุกข์จนเหลือทน แทบไม่มีเวลาปลีก
ตัว ออกได้ แม้ จ ะมี ส ติ ปัญญาพอเป็ นเครื่ องพาหลบซ่ อ นผ่ อ น
คลายความทุกข์ได้บ้างไม่เผาลนจนเกินไปก็ตาม แต่ก็จำาต้อง
ยอมรับว่าเป็ นชีวิตที่กระเสือกกระสนอดทนต่อความทุกข์ร้อน
อย่้น่ันเอง การบำาเพ็ญก็น้อย ผลที่จะพึงได้รับก็นิดเดียว ไม่สม
กับความเหนื่ อยยากลำาบากมานาน

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 91
92

บั ด นี้ เป็ นโอกาสที่ เ หมาะสมอย่ า งยิ่ ง ที่ ไ ด้ ห ลี ก ออกมา


บำา เพ็ญอย่้คนเดียว ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวไม่เกี่ยวข้องกับสิ่ง
ใด นี่ คือชีวิตของบุคคลผ้้เดียวไม่เกี่ยวเกาะ นี่ คือสถานที่อย่้ท่ี
บำา เพ็ ญ ที่ เ ป็ นและที่ ต ายของบุ ค คลผ้้ มุ่ ง ตั ด ความเยื่ อใยทั้ ง
ภายในภายนอกออกจากใจ มิให้มีส่ิงกังวลเศษเหลืออย่้พอเป็ น
เชื้อแห่งภพชาติ อันเป็ นที่ไ หลมาแห่ งกองทุก ข์ท้ั งมวล ซึ่ งจะ
ตามมาบีบบังคับให้จำา ต้องทรมานต่อไปไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้
นี่ คือสถานที่ของผ้้มีความเพียรตามติดเพื่อประชิดต่อสิ่งที่เคย
ก่อภพก่อชาติ อันเป็ นจอมฉลาดทางปลิ้นปล้อนหลอกลวงให้
พลอยหลงตามอย่้ภายใน ให้ขาดกระเด็นไปจากใจในไม่ช้า
อย่ามัวพะว้าพะวังกับ สิ่ง โน้นสิ่ งนี้ คนโน้นคนนี้ อั นเป็ น
เรื่อ งของเรื อพ่ วงที่เ พี ย บด้ ว ยภาระหนั ก จะไปไม่ ถึ ง ไหนและ
ใกล้ต่ อความอั บปาง ทั้ง ห่า งเหิน ต่อ ฝั่ งแห่ ง พระนิ พ พาน เมื่ อ
ถึงที่ หมายตามใจหวัง แล้ ว ความเมตตาสงสารจะดั บ ไปตาม
กิเลสความเห็นแก่ตัว ไม่เหลียวแลผ้้ใดที่กำาลังตกทุกข์ ก็ขอให้
ร้้กันในวงแห่งความบริสุทธิท ์ ่ีกำา ลังมุ่งมั่นหวั่นเกรงกลัวจะไม่
ถึงอย่้เ วลานี้ ขณะนี้ จงห่ว งใยตัว เอง เมตตาตั ว เอง ให้ พ อกั บ
ความหวังด้วยความเพียรของผ้้เป็ นศิษย์พระตถาคตผ้้ปรากฏ
เด่นทางความเพียรไม่ลดละและถอยกำาลัง
เราทราบหรือยังว่าเวลานี้ เรามาทำาความเพียรพยายาม
เพื่อข้ามโลกข้ามสงสาร มีพระนิ พพานเป็ นหลักชัย ไกลกังวล
และพ้ น ทุ ก ข์ โ ดยประการทั้ งปวง ถ้ า ทราบแล้ ว ประโยค
พยายามของผ้้ จ ะข้ ามโลกสมมุ ติ ท่ า นดำา เนิ น กั น อย่ า งไรบ้ า ง
พระศาสดาผ้้ทรงพาดำาเนิ นและประกาศสอนธรรมไว้ ท่านพา
ดำาเนิ นและสอนไว้อย่างไร ท่านสอนไว้ว่าพอร้้เห็นอรรถธรรม
บ้างแล้วให้เริ่มห่วงนั้นห่วงนี้ จนลืมตัวหรืออย่างไร? แรกเริ่มที่
พระองค์ทรงประกาศพระศาสนาแก่หม่้ชน โดยมีพระองค์และ
พระสาวกไม่ก่ีองค์ท่ีควรช่วยพุทธภาระให้เบาลง และเพื่อพระ
ศาสนาได้แพร่ไปในหม่้ชนกว้างขวางโดยรวดเร็ว ข้อนั้ นควร
อย่างยิ่ง สำา หรับเราไม่เข้าในลักษณะนั้ น จึงควรเห็น ตนเป็ น
สำาคัญในขณะนี้ เมื่อตนชอบยิ่งแล้ว ประโยชน์เพื่อผ้้อ่ ืนจะค่อย
ตามมาอย่างแยกไม่ออก นี่ จัดว่าเป็ นผ้้รอบคอบและไม่เนิ่ นช้า
ควรนำามาขบคิดเพื่อเป็ นคติแก่ตัวเรา
เวลานี้ เ รากำา ลั ง เข้ า อย่้ ใ นสนามรบ เพื่ อชิ ง ชั ย ระหว่ า ง
กิ เ ลสกั บ มรรค คื อ ข้ อ ปฏิ บั ติ เพื่ อช่ ว งชิ ง จิ ต ให้ พ้ น จากความ
เป็ นสมบั ติ ส องเจ้ า ของ มาครองเป็ นเอกสิ ท ธิ แ ์ ต่ ผ้ เ ดี ย ว ถ้ า

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 92
93

ความเพียรย่อหย่อน ความฉลาดไม่พอ จิตจำา ต้องหลุดมือตก


ไปอย่้ ใ นอำา นาจของฝ่ ายตำ่ า คื อ กิ เ ลส และพาให้ เ ป็ นวั ฏ จั ก ร
หมุ น เพื่ อความทุ ก ข์ ร้ อนไปตลอดอนั นตกาล ถ้ า เราสามารถ
ด้วยความเพียรและความฉลาดแหลมคม จิตจำา ต้องตกมาอย่้
ในเงื้อมมือและเป็ นสมบัติอันล้นค่าของเราแต่ผ้เดียว คราวนี้
เป็ นเวลาที่เรารบรันฟั นแทงกับกิเลสอย่างสะบั้นหั่นแหลก ไม่
รีรอย่อหย่อนอ่อนกำา ลัง โดยเอาชีวิตเข้าประกัน ถ้าไม่ ชนะก็
ยอมตายกั บ ความเพี ย รโดยถ่ า ยเดี ย ว ไม่ ย อมถอยหลั ง พั ง
ทลายให้กิเลสหัวเราะเยาะเย้ยซึ่งเป็ นสิ่งที่น่าอับอายไปนาน
ถ้าชนะเราก็ ครองอิส ระอย่ างสมบ้ร ณ์ไ ปตลอดกาล ทางเดิน
ของเรามี ท างเดี ย วเท่ า นี้ คื อ ต้ อ งส้้ จ นถึ ง ตายกั บ ความเพี ย ร
เพื่อชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเป็ นทางออกตัว
เหล่านี้ เป็ นโอวาทที่ท่านพรำ่าสอนตัวเองให้เกิดความกล้า
หาญ เพื่อชัยชนะอันเป็ นความสมหวังดังใจหมายต่อไป ก็เป็ น
ประโยคแห่งความเพียรที่ดำาเนิ นตามกฎข้อบังคับแบบตายตัว
ทั้ ง กลางวั น กลางคื น ยื น เดิ น นั่ ง นอน เว้ น แต่ ข ณะหลั บ
เท่ านั้ น นอกนั้ น เป็ นความเพียรไปตลอดสาย สติ กั บ ปั ญญา
หมุ นรอบความสัม ผัส ภายนอกและความคิ ดภายใน มี สติ กั บ
ปั ญญาเป็ นผ้้วินิจฉัยไต่สวนเรื่องที่เกิดกับใจไม่ยอมให้ผ่านไป
ได้ เพราะสติปัญญาขั้นนี้ เป็ นธรรมจักรหมุนรอบตัวอย่้ตลอด
เวลา ไม่นิยมอิริยาบถ
ท่านเล่ าความเพีย รตอนนี้ ผ้้ ฟั งทั้ ง หลายต่ า งนั่ ง ตั ว แข็ ง
เหมือนไม่มีลมหายใจไปตาม ๆ กัน เพราะเกิดความอัศจรรย์
ในธรรมท่านอย่างสุ ดขี ด เหมื อ นท่ า นเปิ ดประต้ พ ระนิ พ พาน
ออกให้ด้ ทั้งที่ ไม่ เคยร้้ ว่า พระนิ พพานเป็ นเช่น ไรเลย แม้อ งค์
ท่ า นเองก็ ป รากฏว่ า กำา ลั ง เร่ ง ฝี เท้ า คื อ ความเพี ย รเพื่ อบรรลุ
พระนิ พพานอย่างรีบด่วนอย่้เช่นกันในขณะนั้น หากแต่ธรรมที่
ท่านเล่าเพียงขั้นกำาลังดำาเนิ นนั้น เป็ นธรรมที่ผ้ไม่เคยได้ยน ิ มา
ก่อนจะทรงตัวอย่้ไม่ได้ จำาต้องไหวตามด้วยความอัศจรรย์อย่้ดี
ท่านเล่าว่า จิตท่านทรงอริยธรรมขั้น ๓ อย่างเต็มภ้มิมา
นานแล้ ว แต่ ไ ม่ มี เ วลาเร่ ง ความเพี ย รตามใจชอบ เพราะ
ภารกิจเกี่ยวกับหม่้คณะมีมากตลอดมา พอได้โอกาสคราวไป
พั ก ที่ เ ชี ย งใหม่ จึ ง ได้ เ ร่ ง ความเพี ย รเต็ ม เม็ ด เต็ ม หน่ ว ย และ
ก็ ไ ด้ อ ย่ า งใจหมายไปทุ ก ระยะ สถานที่ บ รรยากาศก็ อำา นวย
พื้นเพของจิตที่เป็ นมาดั้งเดิมก็อย่้ในขั้นเตรียมพร้อม สุขภาพ
ทางร่ า งกายก็ ส มบ้ ร ณ์ค วรแก่ ค วามเพี ย รทุ ก ๆ อิ ริ ย าบถ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 93
94

ความหวังในธรรมขั้นสุดยอด ถ้าเป็ นตะวันก็กำา ลังทอแสงอย่้


แล้วทุกขณะจิต ว่าแดนพ้นทุกข์กับเราคงเจอกันในไม่ช้านี้
ท่านเทียบจิตกับธรรมและกิเลสขั้นนี้ เหมือนสุนัขไล่เนื้ อ
ตัวอ่อนกำา ลังเต็มที่แล้วเข้าส่้ท่ีจนมุม รอคอยแต่วาระสุดท้าย
ของเนื้ อจะตกเข้ า ส่้ ป ากและบดเคี้ ย วให้ แ หลกละเอี ย ดอย่้
เท่านั้น ไม่มีทางเป็ นอย่างอื่น เพราะเป็ นจิตที่สัมปยุตด้วยมหา
สติมหาปั ญญา ไม่มีเวลาพลั้งเผลอตัว แม้ไม่ต้ังใจระวังรักษา
เนื่ องจากเป็ นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่
เกี่ยวข้องไปโดยลำาพังตนเอง เมื่อทราบเหตุผลแล้วปล่อยวาง
ไว้ตามเป็ นจริง ไม่ต้องมีการบัง คับ บัญ ชาเหมื อนขั้น เริ่ มแรก
ปฏิบัติ ว่าต้องพิจารณาสิ่งนั้น ต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้ อย่าเผลอตัว
ดั งนี้ แต่เ ป็ นสติ ปัญญาที่ มี เ หตุ มี ผลอย่้ กั บ ตั ว อย่ า งพร้ อ มม้ ล
แล้ว ไม่จำา ต้องหาเหตุหาผลหรืออุบายต่าง ๆ มาพรำ่าสอนสติ
ปั ญญาขั้นนี้ ให้ออกทำางาน
เพราะในอิ ริ ย าบถทั้ ง สี่ เ ว้ น แต่ ห ลั บ เท่ า นั้ น เป็ นเวลา
ทำา งานของสติ ปั ญญาขั้ น นี้ ตลอดไป ไม่ ข าดวรรคขาดตอน
เหมื อนนำ้ าซั บนำ้ าซึ ม ที่ ไ หลริ น อย่้ ตลอดหน้า แล้ ง หน้ า ฝน โดย
ถื อ เ อา อา ร ม ณ์ ท่ี คิ ด ปรุ ง จ าก จิ ต เ ป็ น เ ป้ า ห ม าย แ ห่ ง ก า ร
พิจ ารณา เพื่อหาม้ล ความจริ งจากความคิด ปรุ งนั้ น ๆ ขั น ธ์ส่ี
คือ นามขั น ธ์ ไ ด้ แ ก่ เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ นี่ แ ลคื อ
สนามรบของสติ ปัญญาขั้ น นี้ ส่ ว นร้ ป ขั น ธ์ เ ริ่ ม หมดปั ญหามา
แ ต่ ปั ญ ญ า ขั้ น ก ล า ง ที่ ทำา ห น้ า ที่ เ พื่ อ อ ริ ย ธ ร ร ม ขั้ น ๓ คื อ
อนาคามีธรรมนั้นแล้ว
อริยธรรมขั้น ๓ นี้ ต้องถือร้ปขันธ์เป็ นเป้ าหมายแห่งการ
พิจารณาอย่างเต็มที่ และละเอียดถี่ถ้วนจนหมดทางสงสัยแล้ว
ผ่า นไปอย่างหายห่ วง เมื่อถึ ง ขั้ น สุด ท้ า ย นามขั น ธ์ เ ป็ นธรรม
จำา เป็ นที่ต้องพิจารณาให้ร้แจ้งเห็นจริง ทั้งที่ปรากฏขึ้น ตั้งอย่้
และดับไป โดยมีอนัตตาธรรมเป็ นที่รวมลง คือ พิจารณาลงใน
ความว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล หญิง ชาย เรา เขา ไม่มีคำา ว่า
สัตว์ บุคคล เป็ นต้น เข้าไปแทรกสิงอย่้ในนามธรรมเหล่านั้น
เลย การเห็นนามธรรมเหล่านี้ ต้องเห็นด้วยปั ญญาหยั่งทราบ
ตามหลั ก ความจริ ง จริ ง ๆ ไม่ เ พี ย งเห็ น ด้ ว ยความคาดหมาย
หรื อ คาดคะเนเดาเอาตามนิ สั ย ของมนุ ษ ย์ ท่ี ช อบด้ น เดามา
ประจำาสันดาน ความเห็นตามสัญญากับความเห็นด้วยปั ญญา
ต่างกันอย่้มากราวฟ้ ากับดิน ความเห็นด้วยสัญญาพาให้ผ้เห็น
มีอ ารมณ์มาก มั กเสกสรรตั วว่ ามี ความร้้ ม ากทั้ ง ที่ กำา ลั ง หลง
มาก จึงมีทิฐิมานะมากไม่ยอมลงใครง่าย ๆ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 94
95

เราพอทราบได้ เ วลาสนทนาธรรมกั น ในวงนั ก ศึ ก ษาที่


ต่างร้้ด้วยความจดจำา ด้วยกัน สภาธรรมมักจะกลายเป็ นสภา
มวยฝี ปากกันอย่้เสมอ โดยไม่จำากัดชาติช้ันวรรณะและเพศวัย
เลย เพราะความสำาคัญตนพาให้เป็ นไป จนลืมมรรยาทความ
เคารพอันดีงามต่อกันตามประเพณี ของมนุษย์ผ้มีธรรม ส่วน
ความเห็ น ด้ ว ยปั ญญาเป็ นความเห็ น ซึ่ ง พร้ อ มที่ จ ะถอดถอน
ความสำา คั ญ มั่ น หมายต่ า ง ๆ อั น เป็ นตั ว กิ เ ลสทิ ฐิ ม านะน้ อ ย
ใหญ่ออกไปโดยลำา ดับที่ปัญญาหยั่งถึง ถ้าปั ญญาหยั่งลงโดย
ทั่วถึงจริง ๆ กิเลสทั้งมวลก็พังทลายไปหมด ไม่มีกิเลสชนิ ดใด
จะทนต่อสติปัญญาขั้นยอดเยี่ยมไปได้ ฉะนั้น สติปัญญาจึงเป็ น
อาวุธชั้นนำาของธรรมที่กิเลสทั้งมวลไม่หาญส้้ได้แต่ไหนแต่ไร
มา
พระศาสดาได้ เป็ นพระพุท ธเจ้า ก็ เ พราะสติ ปัญญา พระ
สาวกได้บรรลุถึงพระอรหัตก็เพราะสติปัญญาความร้้จริงเห็น
จริ ง มิไ ด้ถอดถอนกิ เลสด้วยสัญญาความคาดหมายหรือ เดา
เอาเฉย ๆ เลย นอกจากนำา มาใช้ พ อเป็ นแนวทางในขั้ น เริ่ ม
แรกเท่านั้น แม้เช่นนั้นก็จำาต้องระวังสัญญาจะแอบแฝงตัวขึ้น
มาเป็ นความจริ ง ให้ ห ลงตามอย่้ ทุ ก ระยะมิ ไ ด้ น่ิ ง นอนใจ การ
ประกาศพระศาสนาเพื่อความจริงแก่โลก ทั้งพระพุทธเจ้าและ
พระสาวกทรงประกาศด้วยปั ญญาความร้้จริงเห็นจริงทั้งนั้ น
ดังนั้ นผ้้ปฏิบัติทางจิตตภาวนาจึงควรระวังเจ้าสัญญาจะแอบ
เข้าทำา หน้าที่แทนปั ญญา โดยร้้เอาหมายเองเฉย ๆ แต่กิเลส
แม้ ตั ว เดี ย วก็ ไ ม่ ถ อดออกจากใจบ้ า งเลย และอาจกลายเป็ น
ทำานองว่า “ความร้้ท่วมหัว แต่เอาตัวไปไม่รอด” ก็ได้
ธรรมขั้นร้้เห็นด้วยปั ญญานี่ แลที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่กา
ลามชนว่า ไม่ให้เชื่อแบบสุ่มเดา แบบคาดคะเน ไม่ให้เชื่อตาม
ๆ กันมา ไม่ให้เชื่อตามคร้อาจารย์ท่ีควรเชื่อได้ เป็ นต้น แต่ให้
เชื่ อด้ ว ยปั ญญาที่ ห ยั่ ง ลงส่้ ห ลั ก ความจริ ง ด้ ว ยตั ว เอง ซึ่ ง เป็ น
ความร้้ ท่ี แ น่ ใ จอย่ า งยิ่ ง พระพุ ท ธเจ้ า และสาวกอรหั น ต์ ท่ า น
มิไ ด้มีค นประกั น รั บรองว่ า ท่า นได้ บ รรลุ ธ รรมจริ ง อย่ า งนั้ น
ไม่ จ ริ ง อย่ า งนี้ แต่ สนฺทิฏฺฐิโก มี อ ย่้ กั บ ทุ ก คน ถ้ า ปฏิ บัติ ต าม
ธรรมที่แสดงไว้โดยสมควรแก่ธรรม
ท่ า นพระอาจารย์ ม่ั น เล่ า ว่ า ปฏิ บั ติ ม าถึ ง ขั้ น นี้ มี ค วาม
เพลิดเพลินจนลืมเวลำ่าเวลา ลืมวันลืมคืน ลืมพักผ่อนหลับนอน
ลื ม ความเหน็ ด เหนื่ อยเมื่ อยล้ า จิ ต ตั้ งท่ า แต่ จ ะส้้ กิ เ ลสทุ ก
ประเภทด้ วยความเพีย ร เพื่ อถอดถอนมัน พร้ อมทั้ง ราก โดย
ไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นเกรงอะไรเลย นับแต่ออกจากวัด

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 95
96

เจดีย์หลวงไปบำาเพ็ญโดยลำาพังองค์เดียวด้วยเวลาเป็ นของตน
ทุก ๆ ระยะ ไม่ปล่อยให้วันคืนผ่านไปเปล่า ไม่นานนักเลยก็ไป
ถึงบึงใหญ่ช่ ือ “หนองอ้อ” และ “อ้อนี่ เอง” คือนับแต่ขณะปลีก
ออกไป จิตท่านเริ่มแสดงตัวอย่างผาดโผนเหมือนม้าอาชาไนย
ตัวองอาจ
ทั้งจะเหาะเหินเดินฟ้ า ทั้งจะดำา ดินและบินขึ้นบนอากาศ
ทั้งจะออกร้้ส่ิงต่าง ๆ ไม่มีประมาณบรรดามีอย่้ในโลกธาตุ ทั้ง
จะขุดค้นรื้อถอนกิเลสภายในใจให้หมดสิ้นไป ประหนึ่ งในอึดใจ
เดียว เพราะความสามารถอาจหาญของสติปัญญาที่ถ้กกักขัง
บั ง คั บ ไว้ ด้ ว ยภาระเกี่ ย วกั บ หม่้ ค ณะเป็ นเวลานาน มิ ไ ด้ อ อก
แล่ น ในห้ ว งมหาสมมุ ติ ม หานิ ย ม เพื่ อชมและเลื อ กเฟ้ นกลั่ น
กรองให้ สุ ด สติ ปั ญญาที่ แ สนอยากร้้ ม านาน คราวนั้ น จึ ง สบ
โอกาสวาสนาอำา นวย สติ ปั ญญาจึ ง แผลงฤทธิ ท ์ ะยานออก
ล่ อ งหนค้ น ด้ ไ ตรโลกธาตุ ทั้ ง ภายในภายนอก วิ่ ง ออกวิ่ ง เข้ า
แหวกว่ายผุดขึ้นดำาลง ทั้งปลดทั้งปลง ทั้งปล่อยทั้งวาง ทั้งตัด
ทั้ ง ฟั น ทั้ ง ขยี้ ทำา ลายสิ่ ง จอมปลอมทั้ ง หลายอย่ า งสุ ด กำา ลั ง
เหมือนปลาใหญ่สนุกแหวกว่ายหัวหางกลางตัวในทะเลหลวง
ฉะนั้น
จิตมองคืนไปข้างหลังที่ผ่านมาแล้ว เห็นแต่ความตีบตัน
มืดมิดและเต็มไปด้วยภัยนานาชนิ ดสุดที่จะรั้งรออย่้ได้ ใจสั่น
ริก ๆ เพื่อหาทางรอดพ้น มองไปข้างหน้าเห็นมีแต่ความสง่า
ผ่าเผยเวิ้งว้างสว่างไสว สุดความร้้ความเห็นที่จะพรรณนาให้
จบสิ้นลงได้ และยากที่จะนำา มาเขียนลงเพื่อท่านได้อ่านอย่าง
สมใจ จึงขออภัยไว้ด้วยในตอนที่ไม่สามารถจะนำามาลงซึ่งมีอย่้
มากมายตามที่ท่านเล่าให้ฟัง
ในเวลาไม่ น านนั ก นั บ แต่ ท่ า นออกรี บ เร่ ง ตั ก ตวงความ
เพียรด้วยมหาสติมหาปั ญญา ซึ่งเป็ นสติปัญญาธรรมจักรหมุน
รอบตัวและรอบสิ่งเกี่ยวข้องไม่มีประมาณตลอดเวลา ในคืน
วันหนึ่ งเวลาดึกสงัด ท่านนั่งสมาธิภาวนาอย่้ชายภ้เขาที่มีหิน
พลาญกว้างขวางและเตียนโล่ง อากาศก็ปลอดโปร่งดี ท่านว่า
ท่ า นนั่ ง อย่้ ใ ต้ ร่ ม ไม้ ซึ่ ง ตั้ ง อย่้ โ ดดเดี่ ย วเพี ย งต้ น เดี ย ว มี ใ บดก
หนาร่มเย็นดี ซึ่งในตอนกลางวันท่านก็เคยอาศัยนั่งภาวนาที่
นั้นบ้างในบางวัน แต่ผ้เขียนจำาชื่อต้นไม้และที่อย่้ไม่ได้ว่า เป็ น
ตำา บล อำา เภอและชายเขาอะไร เพราะขณะฟั งท่านเล่าก็มีแต่
ความเพลิดเพลินในธรรมท่านจนลืมคิดเรื่องอื่น ๆ ไปเสียหมด
หลั ง จากฟั งท่ า นผ่ า นไปแล้ ว ก็ นำา ธรรมที่ ท่ า นเล่ า ให้ ฟั งไป
บริกรรมครุ่นคิดแต่ความอัศจรรย์แห่งธรรมนั้ นถ่ ายเดีย วว่ า

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 96
97

ตั ว เรานี้ จะเกิ ด มาเสี ย ชาติ แ ละจะนำา วาสนาแห่ ง ความเป็ น


มนุษ ย์น้ี ไ ปทิ้ งลงในตมในโคลนที่ ไหนหนอ จะมี วาสนาบารมี
พอมีวันโผล่หน้าขึ้นมาเห็นธรรมดวงเลิศดังท่านบ้างหรือเปล่า
ก็ ท ราบไม่ ไ ด้ ดั ง นี้ จึ ง ลื ม ไปเสี ย สิ้ น มิ ไ ด้ ส นใจว่ า จะมี ส่ ว น
เกี่ยวข้องเรื่องราวกับท่านในวาระต่อไป ดังได้นำา ประวัติท่าน
มาลงอย่้ขณะนี้
นับแต่ตอนเย็นไปตลอดจนถึงยามดึกสงัดของคืนวันนั้น
ท่ า นว่ า ใจมี ค วามสั ม ผั ส รั บ ร้้ อ ย่้ กั บ ปั จจยาการ คื อ อวิ ชฺ
ชาปจฺ จ ยา สงฺ ข ารา เป็ นต้น เพียงอย่างเดียว ทั้งเวลาเดิน
จงกรมตอนหัวคำ่า ทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนา จึงทำาให้ท่านสนใจ
พิจารณาในจุดนั้นโดยมิได้สนใจกับหมวดธรรมอื่นใด ตั้งหน้า
พิจ ารณาอวิ ชชาอย่ างเดี ย วแต่ แ รกเริ่ มนั่ ง สมาธิ ภ าวนา โดย
อนุโลมปฏิโลมกลับไปกลับมาอย่้ภายในอันเป็ นที่รวมแห่งภพ
ชาติ กิ เ ลสตั ณ หามี อ วิ ช ชาเป็ นตั ว การ เริ่ ม แต่ ๒๐ น. คื อ ๒
ทุ่ ม ที่ อ อกจากทางจงกรมแล้ ว เป็ นต้ น ไป ตอนนี้ เป็ นตอน
สำาคัญมาก ในการรบของท่านระหว่างมหาสติมหาปั ญญาอัน
เป็ นอาวุ ธ คมกล้ าทั น สมั ย กั บ อวิ ช ชาซึ่ ง เป็ นข้ า ศึ ก ที่ เ คยทรง
ความฉลาดในเชิ ง หลบหลี ก อาวุ ธ อย่ า งว่ อ งไว แล้ ว กลั บ ยิ ง
โต้ตอบให้อีกฝ่ ายหนึ่ งกลับพ่ายแพ้ยับเยินไม่เป็ นท่า และครอง
ตำา แหน่ ง กษัตริ ย์ วั ฏ จั กรบนหั ว ใจสั ต ว์ โ ลกต่ อ ไปตลอดอนั น ต
กาล ไม่มีใครกล้าต่อส้้กับฝี มือได้
แต่ขณะที่ต่อยุทธสงครามกันกับท่านพระอาจารย์ม่ันใน
คืนวันนั้ น ประมาณเวลาราวตี ๓ ผลปรากฏว่า ฝ่ ายกษัตริย์
วั ฏ จั ก รถ้ ก สั ง หารทำา ลายบั ล ลั ง ก์ ล งอย่ า งพิ น าศขาดส้ ญ
ปราศจากการต่อส้้และหลบหลีกใด ๆ ทั้งสิ้น กลายเป็ นผ้้ สิ้น
ฤทธิ ์ สิ้นอำานาจ สิ้นความฉลาดทั้งมวลที่จะครองอำานาจอย่้ต่อ
ไป ขณะกษัตริย์อวิชชาดับชาติขาดภพลงไปแล้ว เพราะอาวุธ
สายฟ้ าอั น สง่ า แหลมคมของท่ า นสั ง หาร ท่ า นว่ า ขณะนั้ น
เหมื อ นโลกธาตุ ห วั่ น ไหว เสี ย งเทวบุ ต รเทวธิ ด าทั่ ว โลกธาตุ
ประกาศก้องสาธุการเสียงสะเทือนสะท้านไปทั่วพิภพ ว่าศิษย์
พระตถาคตปรากฏขึ้ น ในโลกอี ก หนึ่ ง องค์ แ ล้ ว พวกเราทั้ ง
หลายมีความยินดีและเป็ นสุขใจกับท่านมาก แต่ชาวมนุษย์คง
ไม่มีโอกาสทราบ อาจมัว แต่ เพลิดเพลิน หาความสุข ทางโลก
เกินขอบเขต ไม่มีใครสนใจทราบว่าธรรมประเสริฐในดวงใจ
เกิดขึ้นในแดนมนุษย์เมื่อสักคร่้น้ี

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 97
98

พอขณะอั ศ จรรย์ ก ระเทื อ นโลกธาตุ ผ่ า นไป เหลื อ แต่ วิ


สุ ท ธิ ธ รรมภายในใจอั น เป็ นธรรมชาติ แ ท้ ซึ่ ง แผ่ ซ่ า นไปทั่ ว
สรรพางค์ร่างกายและจิตใจ แผ่กระจายไปทั่วโลกธาตุในเวลา
นั้น ทำา ให้ท่านเกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ตัวเอง
มากมาย จนไม่ ส ามารถจะบอกกั บ ใครได้ ที่ เ คยมี เ มตตาต่ อ
โลกและสนใจจะอบรมสั่งสอนหม่้คณะและประชาชนมาดั้งเดิม
เลยกลับกลายหายส้ญไปหมด เพราะความเห็นธรรมภายใน
ใจว่าเป็ นธรรมละเอียดและอัศจรรย์ จนสุดวิสัยของมนุษย์จะร้้
เห็ น ตามได้ และเกิ ด คว าม ท้ อ ใจ จน กลายเ ป็ น ผ้้ มี ค ว าม
ขวนขวายน้ อ ย ไม่ คิ ด จะสั่ ง สอนใครต่ อ ไปในขณะนั้ น คิ ด จะ
เสวยธรรมอัศจรรย์ในท่ามกลางโลกสมมุติแต่ผ้เดียว
ใจหนักไปทางรำา พึงรำา พันถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าผ้้
เป็ นบรมคร้ ทรงร้้ จ ริ ง เห็ น จริ ง และสั่ ง สอนเวไนยเพื่ อวิ มุ ต ติ
หลุ ดพ้น จริ ง ๆ ไม่ มี คำา โกหกหลอกลวงแฝงอย่้ ใ นพระโอวาท
แม้บทเดียวบาทเดียวเลย แล้วกราบไหว้บ้ชาพระคุณท่านไม่มี
เวลาอิ่ ม พอตลอดคื น จากนั้ น ก็ คิ ด เมตตาสงสารหม่้ ช นเป็ น
กำา ลั ง ที่ เ ห็ น ว่ าสุ ด วิสั ย จะสั่ ง สอนได้ โดยถื อ เอาความบริ สุ ท ธิ ์
และอั ศ จรรย์ ภ ายในใจมาเป็ นอุ ป สรรค ว่ า ธรรมนี้ มิ ใ ช่ ธ รรม
ของคนมี กิ เ ลสจะครองได้ ถ้ า สั่ ง สอนใครก็ เ กรงจะถ้ ก หาว่ า
เป็ นบ้า ว่าไปหาเรื่องอะไรมาสั่งสอนกัน คนดี ๆ มีสติสตังอย่้
บ้ า งเขาจะไม่ นำา เรื่ องทำา นองนี้ ม าสอนกั น ดั ง นี้ กั น ทั่ ว โลก จะ
ไม่มีใครอาจร้้เห็นตามได้พอเป็ นพยานให้เกิดกำา ลังใจในการ
สั่งสอน นอกจากอย่้ไปคนเดียวอย่างนี้ พอถึงวันตายเท่านั้น ก็
พอแล้วกับความหวังที่อุตส่าห์เสาะแสวงมาเป็ นเวลานาน อย่า
หาเรื่ องร้ายใส่ตัว เองเลย จะกลายเป็ นว่า ทำา คุ ณ กลั บ ได้ โ ทษ
โปรดสัตว์กลับได้บาปไปเปล่า ๆ
นี้ เป็ นความคิ ด ที่ เกิ ด ขึ้ น กั บ ท่ า นขณะที่ ค้ น พบธรรม
อัศจรรย์ใหม่ ๆ ยังมิได้คิดอะไรให้กว้างขวางออกไป พอมีทาง
เชื่ อมโยงถึ ง การอบรมสั่ ง สอนตามแนวศาสนธรรมที่ พ ระ
ศาสดาพาดำาเนิ นมา ในวาระต่อมาค่อยมีโอกาสทบทวนธรรม
ที่รเ้ ห็นและปฏิปทาเครื่องดำาเนิ น ตลอดตัวเองที่ร้เห็นธรรมอย่้
ขณะนั้นว่า ก็เป็ นมนุษย์เดินดินกินผักกินหญ้าเหมือนโลกทั่ว
ๆ ไป ไม่ มี อ ะไรพิ เ ศษแตกต่ า งกั น พอจะเป็ นบุ ค คลพิ เ ศษ
สามารถอาจร้้ เ ฉพาะผ้้ เ ดี ย ว ส่ ว นผ้้ อ่ ื นไม่ ส ามารถ ทั้ ง ที่ มี
อำา นาจวาสนาสามารถร้้ได้อาจมีอย่้จำา นวนมาก จึงเป็ นความ
คิดเห็นที่เหยียบยำ่าทำาลายอำานาจวาสนาของเพื่อนมนุษย์ด้วย
กัน เพราะความไม่รอบคอบกว้างขวางซึ่งไม่เป็ นธรรมเลย

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 98
99

เพราะปฏิ ปทาเครื่ องดำา เนิ น เพื่ อมรรคผลนิ พ พาน พระ


ศาสดามิได้ประทานไว้เฉพาะบุคคลเดียว แต่ประทานไว้เพื่อ
โลกทั้ ง มวล ทั้ ง ก่ อ นและหลั ง การเสด็ จ ปริ นิ พพาน ผ้้ ต รั ส ร้้
มรรคผลนิ พพานตามพระองค์ ด้ ว ยปฏิ ป ทาที่ ป ระทานไว้ มี
จำานวนมหาศาลเหลือที่จะนับจะประมาณ มิได้มีเฉพาะเราคน
เดียวที่กำาลังมองข้ามโลกว่าไร้สมรรถภาพอย่้เวลานี้
พอพิจารณาทบทวนทั้งเหตุและผลทั้งต้นและปลายแห่ง
พระโอวาท ที่ประกาศปฏิปทาทางดำาเนิ นเพื่อมรรคเพื่อผล ว่า
เป็ นธรรมสมบ้รณ์สุดส่วนควรแก่สัตว์โลกทั่วไป ไม่ลำาเอียงต่อ
ผ้้ ห นึ่ ง ผ้้ ใ ด ที่ ป ฏิ บั ติ ช อ บ อ ย่้ จึ ง ทำา ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม ห วั ง ที่ จ ะ
สงเคราะห์ผ้อ่ ืนขึ้นมา มีความพอใจที่จะอบรมสั่งสอนแก่ผ้มา
เกี่ ย วข้ อ งอาศั ย เท่ า ที่ จ ะสามารถทั้ ง สองฝ่ าย แต่ ก ารแสดง
ธรรมผ้้ แ สดงต้ องมี ค วามเคารพต่ อ ธรรม ไม่ แ สดงแก่ บุ ค คล
ไม่มีความเคารพและไม่สนใจที่จะฟั ง ขณะฟั งมีผ้ส่งเสียงอื้ออึง
ไม่สนใจว่าธรรมมีคุณค่าเพียงไร ขณะนี้ เป็ นเวลาเช่น ไรและ
กำาลังอย่้ในสถานที่เช่นไร ควรจะใช้กิริยามรรยาทอย่างใดถึง
จะเหมาะสมกับกรณี เห็นเป็ นธรรมดา ๆ แบบโลกที่ชินชาต่อ
ธรรมมาจนจำา เจ ชิ น ชาต่ อ วั ด ชิ น ชาต่ อ พระ ชิ น ชาต่ อ ธรรม
เหมือนสิ่งธรรมดาทั่วไป อย่างนี้ ก็แสดงไม่ลง เราก็เป็ นโทษ ผ้้
ฟั งก็ไม่ได้รับประโยชน์ท่ีควรจะได้
กว่าจะได้ธรรมมาแสดงก็แทบกระอักเลือดตายอย่้กลาง
ป่ ากลางเขาอย่้แล้ว เพราะความพยายามตะเกียกตะกายสุด
กำา ลั ง แถมยั ง นำา ธรรมมาละลายกั บ นำ้ าในทะเลเสี ย อี ก ซึ่ ง มี
ที่ไหนท่านพากันทำาสืบมาพอจะไม่คิดคำานึ งบ้าง สำาหรับสมณะ
ซึ่งเป็ นเพศที่ใคร่ครวญ แม้แต่กะปิ เขายัง ร้้จั กที่ ท่ีค วรละลาย
ธรร มมิ ใ ช่ ก ะปิ จึ ง ค วร พิ จ าร ณ าด้ ว ย ดี ก่ อน จ ะนำา ออก ทำา
ประโยชน์ มิฉะนั้นจะกลายเป็ นโทษโดยไม่ร้สึกและไม่มีอะไร
สำา คั ญ ในโลกเลย การแสดงธรรมก็ เ พื่ ออนุ เ คราะห์ โ ลก
เหมือนหมอวางยาแก่คนไข้เพื่อหายโรคและทุกขเวทนา หวัง
ค ว าม อย่้ ส บ าย เ ป็ น ผ ล ถ้ า เ ข าไ ม่ ส น ใ จ อ ย า ก ฟั ง ก็ จ ะ ไ ป
กระวนกระวายแสดงธรรมหาประโยชน์อะไร
ถ้าเรามีธรรมในใจจริง อย่้คนเดียวก็สบายพอแล้ว ไม่จำา
ต้องไปแสวงหาเพื่อนหรือใคร ๆ มาคุยด้วยเพื่อแก้รำาคาญหรือ
บรรเทาทุ ก ข์ เพราะความอยากเทศน์อ ยากคุ ย ซึ่ ง เป็ นการ
เสริมทุกข์แก่ตัวเปล่า ๆ ผ้้ ทรงธรรมในลั กษณะเช่น นั้ นก็เ ป็ น
เพียงชื่อเท่านั้น ไม่เป็ นความจริงใจในธรรมอย่างแท้จริง ที่ว่า
ร้้ ธ รรมเห็ น ธรรมดั ง พระพุ ท ธเจ้ า และพระสาวกทรงร้้ เ ห็ น

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 99
100

สำา หรั บ ผมเองอย่้ ค นเดี ย วเป็ นความสนิ ท ใจว่ า ได้ ป รั บ ตั ว ทั้ ง


ทางกายและทางใจได้ดีพอ เพราะผ้้มีธรรมก็คือผ้้ไม่กระเพื่อม
คะนองทางใจนั่นเอง ธรรมคือความสงบ ใจที่มีธรรมบรรจุอย่้
ก็คือใจดวงสงบระงับจากเรื่องทั้งปวงนั่นแล
ด้ ว ยความร้้ สึ ก ประจำา ใจอย่ า งนี้ แ ล จึ ง ชอบอย่้ แ ต่ ป่ าแต่
เขาประจำา นิ สั ย เพราะเป็ นที่ใ ห้ค วามสุ ขทางวิห ารธรรมได้ ดี
กว่าที่ท้ังหลาย การสงเคราะห์โลกเป็ นกรณี พิเศษที่มีเป็ นบาง
กาล ไม่ถือเป็ นความจำาเป็ นเสมอไป ดังสุขวิหารธรรมที่จะควร
ทำา ให้มีอย่้เสมอในเวลาขันธ์ยังครองตัวอย่้ ไม่เช่นนั้ นย่อมไม่
สะดวกในการครองตัว ธรรมเมื่อมีอย่้กับเรา เราร้้อย่้ เห็นอย่้
ทรงอย่้ จะกระวนกระวายไปไหน ซึ่งล้วนเป็ นการแส่หาทุกข์
ทั้ งนั้ น ธรรมอย่้ ท่ี ไหนความสงบสุ ข ก็ อ ย่้ ท่ี นั่ น ตามหลั ก
ธรรมชาติแล้วธรรมอย่้ท่ีใจของผ้้ปฏิบัติธรรม ความสงบสุขจึง
มักเกิดขึ้นที่น้ัน ที่อ่ ืนไม่มีทางเกิดความสงบสุขได้
การแสดงธรรมผมระวังเอานักเอาหนา ไม่แสดงแบบสุ่ม
สี่สุ่มห้า เพราะธรรมมิใช่ธรรมสุ่มสี่สุ่มห้า การปฏิบัติธรรมก็
มิ ไ ด้ ป ฏิ บั ติ แ บบสุ่ ม สี่ สุ่ ม ห้ า แต่ ป ฏิ บั ติ อ ย่ า งมี ก ฎเกณฑ์ มี ข้ อ
บังคับ มีระเบียบแบบแผนตำารับตำาราพาดำาเนิ น เวลาร้ก ้ ็มิได้ร้
สุ่ มสี่ สุ่ ม ห้ า แต่ ร้ต ามหลั ก ความจริ ง ตามความสามารถมาก
น้อยเพียงไร พระนักปฏิบัติจึงควรระวังและสำา นึ กตัวเสมอว่า
เรามิใช่พระสุ่ม สี่สุ่ มห้ า แต่เ ป็ นพระที่ มีร ะเบีย บธรรมวิ นัยคื อ
อ ง ค์ แ ท น ข อ ง ศ า ส ด า เ ป็ น เ ค รื่ อ ง ป ฏิ บั ติ ดำา เ นิ น ค ว า ม
สงบเสงี่ยมเจียมตัวระวังกายวาจาใจไม่ให้เคลื่อนไปในทางผิด
นั่ น แลคื อ พระที่ ท รงมรรค ทรงผล ทรงธรรม ทรงวิ นั ย จะ
สามารถทรงตนได้ดีท้ังปั จจุบันและอนาคตไม่เสื่อมเสีย
ท่านว่าท่านพ้ดถึงการแสดงธรรม แล้วก็ย้อนมาหาธรรม
ภายในอีกว่า ขณะที่ธรรมแสดงขึ้นกับใจอย่างเต็มที่ โดยมิได้
คิดอ่านไตร่ตรองไว้ ก่อนเลยนั้ น เป็ นขณะที่ ผิด คาดผิ ดหมาย
และสุดวิสัยที่จะคาดคะเนหรือด้นเดาให้ถ้กกับความจริงของ
ธรรมจริง ๆ ได้ ร้้สึกเหมือนเราตายแล้วเกิดชาติใหม่ขึ้นมาใน
ขณะนั้ น ซึ่ ง เป็ นการตายและการเกิ ดที่ อัศจรรย์ ไ ม่ มี อ ะไรจะ
เทียบได้ ความร้้ซึ่งเปลี่ยนตัวขึ้นมาที่ว่าเกิดใหม่น้ี เป็ นความร้้
ที่ ไ ม่ เ คยพบเคยเห็ น ทั้ ง ๆ ที่ มี อ ย่้ กั บ ตั ว มาดั้ ง เดิ ม แต่ เ พิ่ ง มา
ปรากฏอย่างตื่นเต้นและอัศจรรย์เ หลื อประมาณเอาขณะนั้ น
นั่ น เอง จึ ง ทำา ให้ เ กิ ด ความคิ ด เห็ น ไปต่ า ง ๆ ซึ่ ง ออกจะนอกล่้
นอกทางไปบ้าง ตอนคิดว่าไม่มีทางจะสั่งสอนคนอื่นให้ร้ตาม
ได้ เพราะธรรมนี้ สุดวิสย ั ที่ใคร ๆ จะร้้ได้ ดังนี้

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 100
101

ท่ า นพ ร ะ อ า จ า ร ย์ มั ่ น ท่ า น มี นิ สั ย ผ า ด โ ผ น ม า
ดัง้ เดิมนับแต่เริ่มออกปฏิบัติใหม่ ๆ ดังที่เรียนแล้ว แม้
ขณะจิ ต จะเข้ า ถึ ง จุ ด อั น เป็ นวาระสุ ด ท้ า ยก็ ยั ง แสดง
ลวดลายให้องค์ท่านเองระลึกอย่่ไม่ลืม ถึงกับได้นํา มา
เล่าให้บรรดาล่กศิษย์ฟังพอเป็ นขวัญใจ คือ พอจิตพลิก
ควํ่ า วั ฏ จั ก รออกจากใจโดยสิ้ น เชิ ง แล้ ว ยั ง แสดงขณะ
เป็นลักษณะฉวัดเฉวียนเวียนรอบตัววิวัฏจิตถึงสามรอบ
รอบที่ ห นึ่ ง สิ้ น สุ ด ลงแสดงบทบาลี ข้ึ น มาว่ า “โลโป”
บอกความหมายขึ้นมาพร้อมว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทํา
หน้าที่ส้ินสุดลงนัน ้ คือการลบสมมุติทัง ้ สิ้นออกจากใจ
รอบที่ ส องสิ้ น สุ ด ลงแสดงคํา บาลี ข้ึ น มาว่ า “วิ มุ ต ติ ”
บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทํา หน้าที่ส้ินสุด
ลงนัน ้ คือความหลุดพ้นอย่างตายตัว รอบที่สามสิ้นสุด
ลงแสดงคําบาลีข้ึนมาว่า “อนาลโย” บอกความหมาย
ขึ้นมาว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทํา หน้าที่ส้ินสุดลงนั น ้ คือ
การตัดอาลัยอาวรณ์โดยสิ้นเชิง เป็ นเอกจิต เอกธรรม
จิ ต แท้ ธรรมแท้ มี อั น เดี ย ว ไม่ มี ส องเหมื อ นสมมุ ติ ทั ้ง
หลาย นี่ คือวิมุตติธรรมล้วน ๆ ไม่มีสมมุติเข้าแอบแฝง
จึ ง มี ไ ด้ เ พี ย งอั น เดี ย ว ร้่ ไ ด้ เ พี ย งครั ้ง เดี ย ว ไม่ มี ส องมี
สามมาสืบต่อสนับสนุนกัน
พระพุทธเจ้าและพระสาวกล้วนแต่ร้เพียงครั้งเดียวก็เป็ น
เอกจิ ต เอกธรรมอั น สมบ้ ร ณ์ ไม่ แ สวงเพื่ ออะไรอี ก สมมุ ติ
ภายในคือขันธ์ก็เป็ นขันธ์ล้วน ๆ ไม่เป็ นพิษเป็ นภัยและทรงตัว
อย่้ ต ามปกติ เ ดิ ม ไม่ มี ก ารเพิ่ ม ขึ้ น และลดลงตามความตรั ส ร้้
คือขั นธ์ ท่ีเ คยนึ กคิ ด เป็ นต้น ก็ทำา หน้า ที่ ข องตนไปตามคำา สั่ ง
ของจิตผ้้บงการ จิตที่เป็ นวิมุตติก็หลุดพ้นจากความคละเคล้า
พัวพันในขันธ์ ต่างอันต่างอย่้ ต่างอันต่างจริง ต่างไม่หาเรื่อง
หลอกลวงต้มตุุนกันดังที่เคยเป็ นมา ต่างฝ่ ายต่างสงบอย่้ตาม
ธรรมชาติของตน ต่างฝ่ ายต่างทำาธุระหน้าที่ประจำาตนจนกว่า
จะถึ ง กาลแยกย้ า ยจากส่ ว นผสม เมื่ อกาลนั้ นมาถึ ง จิ ต ที่
บริสุทธิก ์ ็แสดง ยถาทีโป จ นิ พฺพุโต เหมือนประทีปดวงไฟที่
หมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ไปตามความจริง เรื่องของสมมุติท่ี
เกี่ยวข้องกันก็มีเพียงเท่านี้ นอกนั้นไม่มีสมมุติจะติดต่อกันให้
เกิ ด เรื่ องราวต่ อ ไป นี่ คื อ ธรรมแสดงในจิ ต ท่ า นขณะแสดง
ลวดลายเป็ นขณะสามรอบจบลง อั น เป็ นวาระสุ ด ท้ า ยแห่ ง
สมมุ ติ กั บ วิ มุ ต ติ ทำา หน้ า ที่ ต่ อ กั น และแยกทางกั น เดิ น ตั้ ง แต่
บัดนั้นเป็ นต้นมา

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 101
102

ตลอดคื น วั น นั้ น ท่ า นว่ า ท่ า นปลงความสลดสั ง เวชใน


ความโง่เขลาเต่าตุ่น ซึ่งเปรียบเหมือนหุ่นตัวท่องเที่ยวในภพ
น้อ ยภพใหญ่ ไ ม่ มี ประมาณ จนนำ้ าตาไหลตลอดคื น ในขณะที่
เดิน ทางมาพบบึ ง ใหญ่ มี น้ ำ าใสสะอาดรสชาติ ม หั ศจรรย์ ท่ี ไ ม่
เคยพบมาก่ อ น ชื่ อว่ า “หนองอ้ อ ” และ “อ้ อ นี้ เองหรื อ ” ที่
พระพุ ท ธเจ้ าและสาวกท่ า นค้ น พบว่ า หนองอ้ อ และประกาศ
ธรรมสอนโลกมาได้ต้ัง ๒,๐๐๐ กว่าปี แล้ว เพิ่งมาพบวันนี้ และ
กราบพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์อย่าง
ถึงใจ โดยกราบแล้วกราบเล่าอย่้ทำานองนั้นไม่อ่ิมพอ
ถ้ามีคนไปพบเห็นเข้า ซึ่งกำา ลังนั่ งปลงธรรมสังเวชด้วย
ทั้งนำ้ าตาและก้มกราบแล้วกราบเล่าอย่้เช่นนั้ น คงจะมีความ
ร้้สึกผิดปกติขึ้นมาทันทีว่า สมณะร้ปนี้ เห็นท่าจะมีทุกข์มากถึง
กั บ นำ้ าตาร่ ว งไหลออกมา และคงกราบกรานสารกล่ า วเพื่ อ
วิงวอนเทวดาอารักษ์ท่ีสิงสถิตอย่้ในทิศทั้งหลายให้ช่วยระบาย
คลายทุ ก ข์ ใ ห้ อ ย่ า งแน่ น อน หรื อ มิ ฉ ะนั้ น คงจวนเข้ า ขั้ น ……
แล้วเป็ นแน่ ดังนี้ แน่ นอน เพราะเป็ นกิริยาที่ผิด ปกติเ อามาก
ในเวลานั้ น ความ จริ ง ก็ คื อท่ าน ถึ ง พุ ท ธะ ธร รม ะ สั ง ฆะ
ประจักษ์ใจในคำา ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้น้ันเห็นเราตถาคต และ
เขู า เฝู าพระพุ ท ธเจู า พระธรรม พระสงฆ์ ทางมรรยาทของ
บุคคลผ้้มีกตัญญ้กตเวทิตาธรรมในใจจะพึงทำา ฝื นทนอย่้มิได้
ในคื น วั นนั้ น ชาวเทพทั้ ง หลายทั้ ง เบื้ องบนชั้ น ต่ า ง ๆ ทั้ ง
เบื้องล่างทุกทิศทุกทาง หลังจากพร้อมกันให้สาธุการประสาน
เสี ย งสำา เนี ย งไพเราะเสนาะโสตจนสะเทื อ นโลกธาตุ เพื่ อ
ประกาศอนุโมทนากับท่านแล้ว ยังพร้อมกันมาเยี่ยมฟั งธรรม
ท่ า นอี ก วาระหนึ่ ง แต่ ท่ า นไม่ มี เ วลารั บ แขก เพราะภารกิ จ
เกี่ยวกับธรรมขั้นส้งสุดยังไม่ยุติลงเป็ นปกติ ท่านเป็ นเพียงให้
อาณัติสัญญาณบอกชาวเทพทั้งหลายให้ทราบว่าท่ านไม่ว่าง
โอกาสหน้ า ค่ อ ยมาใหม่ ชาวเทพทุ ก ภ้ มิ พ ากั น กลั บ ไปด้ ว ย
ความโสมนั สยินดีโดยทั่วกัน ที่ได้มาพบเห็นวิสุทธิเทพในคืน
แรกที่ท่านเห็นธรรม
พอสว่ า งออกจากที่ ภ าวนาแล้ ว ท่ า นยั ง หวนระลึ ก ถึ ง
ธรรมที่ แ สดงความอั ศ จรรย์ ใ นตอนกลางคื น อย่้ มิ ไ ด้ ลื ม ทั้ ง
ขณะที่ แ สดงความหลุ ด พ้ น ทั้ งขณะที่ แสดงสามรอบตอน
สุด ท้ ายที่ แ สดงความหมายต่ า ง ๆ ให้ ท่ า นเห็ น อย่ า งละเอี ย ด
ลออ ทั้ ง หวนระลึ ก คุ ณ ของต้ น ไม้ ท่ี ท่ า นอาศั ย นั่ ง ภาวนาและ
สถานที่อย่้อาศัย ตลอดชาวบ้านที่ให้ทานอาหารปั จจัย ความ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 102
103

เป็ นอย่้ทุกอย่างตลอดมา จนถึงเวลาบิณฑบาตซึ่งทีแรกท่าน


นึ ก จะไม่ ไ ปบิ ณ ฑบาตมาฉั น โดยคิ ด ว่ า เท่ า ที่ เ สวยวิ มุ ต ติ สุ ข
ตอนกลางคืนมาถึงบัดนี้ ก็พอกับความต้องการอย่้แล้ว แต่อด
คิด เมตตาสงสารชาวบ้ า นป่ าบ้ า นเขาที่ เ คยมี บุญ คุ ณ ต่ อ ท่ า น
มิได้ เลยจำาต้องไปทั้งที่ไม่ประสงค์จะไป
ขณะออกไปบิณฑบาตในหม่้บ้านชาวเขา สายตาปรากฏ
ว่า ตั้งหน้าตั้งตาจับจ้องมองด้ชาวบ้านทั้งที่มาใส่บาตร ทั้งที่
อย่้ตามบ้านตามเรือน ตลอดเด็กเล็ก ๆ ที่เล่นคลุกฝ่ ุนอย่้ตาม
หน้ า บ้ า นหลั ง เรื อ นด้ ว ยความสนใจและเมตตาสงสารเป็ น
พิเศษ ทั้งที่แต่ก่อนไม่ค่อยมองด้ใ คร แม้ ประชาชนทั้ งบ้ า นก็
ร้ส
้ ึกหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็ นพิเศษ มองเห็นท่านแล้วต่างยิ้ม
ย่ อ งผ่ อ งใสไปตาม ๆ กั น กลั บ มาถึ ง ที่ พั ก แล้ ว ใจก็ อ่ิ ม ธรรม
ธาตุขันธ์ก็อ่ิมพอในอาหารทั้งที่ยังมิได้ลงมือฉัน จิตใจและธาตุ
ขันธ์ไม่ร้สึกหิวโหยอะไรเลย แต่ก็ฝืนฉันไปตามจารีตของขันธ์
ที่มีความสืบต่อกันด้วยอาหารปั จจัยเป็ นเครื่องประสาน ขณะ
ฉันอาหารก็ไม่มีรสชาติ มีแต่รสแห่งธรรมท่วมท้นไปหมดทั่ว
ร่างกายจิตใจ เข้าในบทธรรมว่า รสแห่งธรรมชำา นะซึ่งรสทั้ง
ปวง
ในคื น ต่ อ มาชาวเทพทั้ ง หลายที่ มี ค วามหิ ว กระหายใน
ธรรม ได้ พ ากั น มาเยี่ ย มท่ า นเป็ น พวก ๆ ทั้ ง เบื้ องบนเบื้ อง
ล่ า งแทบทุ ก ทิ ศทุ ก ทาง ต่ า งพวกก็ ม าเล่ า ความอั ศจรรย์ แ ห่ ง
รั ศ มี แ ละอานุ ภ าพแห่ ง ธรรมของคื น วั น นั้ นให้ ท่ า นฟั งว่ า
เหมือนสวรรค์วิมานพิภพ ครุฑ นาค เทวดา อินทร์ พรหม ยม
ยักษ์ ทุกชั้นทุกภ้มิในแดนโลกธาตุ สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไป
ตาม ๆ กัน พร้อมกับความอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ส่งแสง
สว่างไปทั่วพิภพเบื้องบนเบื้องล่างไม่มีประมาณ ผ้้มีญาณหยั่ง
ทราบต้องสามารถมองเห็ นกัน ได้ ท่ัว แดนโลกธาตุ ไม่ มีอ ะไร
ปิ ดบัง เพราะความสว่างไสวแห่งธรรมที่พุ่งออกจากกายจาก
ใจของพระคุณเจ้า ยิ่งกว่าความสว่างของดวงอาทิตย์ร้อยดวง
พันดวงเป็ นไหน ๆ
ใครไม่เห็นและเกิดความอัศจรรย์ก็นับว่าเหลือทน ที่เกิด
เป็ นคนเป็ นสัตว์นอนค้างโลกอย่้เปล่า ๆ นอกจากสัตว์ ตัว มืด
มิดปิ ดทวารเอาเสียจริง ๆ จนไม่มีช่องว่างเอาเลย ถึงจะไม่ร้ไม่
เห็นความอัศจรรย์ของคืนวันนั้น ใครอย่้ท่ีไหนต่างก็ตะลึงพรึง
เพริดเกิดพิศวงงงงันและอัศจรรย์ไปตาม ๆ กัน พวกเทวดาใน
ภพภ้มิ ต่าง ๆ จึ งได้พ ากั นเปล่ ง เสี ย งสาธุก าร เพื่ ออนุ โ มทนา
โพธิสมภารที่เกิดจากบุญบันดาล เพราะบารมีของพระคุณเจ้า

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 103
104

เป็ นเสี ย งเดี ย วกั น ถ้ าไม่ อัศจรรย์ ถึ ง ขนาดนั้ น ใครจะได้ ร้ ท่ั ว


ถึ ง กั น เลย นั บ ว่ า พระคุ ณ เจ้ า มี บุ ญ หนั ก ศั ก ดิ ใ์ หญ่ มี ว าสนา
บารมีแก่กล้า สามารถทำาให้มวลสัตว์มากมายหลายภพหลาย
ภ้ มิ ได้ อ าศั ย พึ่ ง ร่ ม เงาแห่ ง ความร่ ม เย็ น จากบารมี ท่ า นได้
เป็ นสุขทั่วหน้ากัน นาน ๆ ทีถึงจะมีสักครั้ง
ผ้้ไม่มีบุญวาสนาไม่ว่ามนุษย์มนา เทวดา อิน ทร์ พรหม
ใต้น้ ำ าบนบกในเวหาอากาศทั่วไตรโลกธาตุ เกิดมาตายเปล่า
ไม่ได้พบได้เห็นอย่างง่ายดาย ทั้งนี้ นับว่าพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย
มี บุ ญ ชั ก นำา มา วาสนาตามส่ ง ถึ ง ได้ พ บได้ เ ห็ น ได้ ก ราบไหว้
บ้ชาท่านอย่างสมใจ และได้ฟังโอวาทคำา สั่งสอนที่ท่านเมตตา
ชี้แจงพอเป็ นแสงสว่างแก่จิตใจ และทางดำาเนิ นเพื่อภพเพื่อภ้มิ
อันส้งส่งขึ้นไปด้วยความสดชื่นตื่นตัว
พอพวกเทวดาที่มาจากชั้นและที่ต่าง ๆ กลับไปตามวาระ
ของตน ซึ่งมาในเวลาต่าง ๆ กันแล้ว ท่านก็เริ่มรำา พึงธรรมที่
ได้ ร้ เ ห็ น มาด้ ว ยความทุ ก ข์ ย ากลำา บาก ปรากฏได้ ค วาม
สำา หรับท่านผ้้ค่อนข้างปฏิ บัติ ยากผิ ดธรรมดาว่ า “ธรรมรอด
ตาย” ถ้าไม่รอดตายก็คงไม่ได้พบเห็นแน่ นอน เมื่อพยายาม
แหวกว่ายจนถึงฝั่ งแห่งความปลอดภัยไร้ทุกข์แล้ว จากนั้นพอ
เริ่ม ทำา ภาวนาที ไร ทำา ให้ ท่ า นหวนระลึ กถึ ง สิ่ ง ที่ ไ ม่ ค วรระลึก
แทบทุกครั้งไป ทั้งที่แต่ก่อนท่านไม่เคยสนใจเลย
ตอนนี้ ต้องขออภัยจากท่านผ้้อ่านมาก ๆ ด้วยที่จำาต้องนำา
เรื่องนี้ มาลง โดยเห็นว่าเป็ นเรื่องเกี่ยวเนื่ องกัน ถ้าไม่นำามาลง
ก็ร้สึกจะขาดเรื่องน่ าคิดไป ซึ่งเรื่องทำานองนี้ อาจเป็ นเงาเทียม
ตัว อย่้ กั บทุ ก ท่ านก็ ไ ด้ นอกจากไม่ ร้ เ รื่ องของตั ว เท่ า นั้ น หาก
เป็ นการไม่งามก็กรุณาตำาหนิ ผ้นำามาลงซึ่งไม่มีความรอบคอบ
พอ เพราะเรื่ องนี้ ท่ า นผ้้ อ่ า นก็ ค งทราบดี ว่ า ต้ อ งเป็ นเรื่ อง
ภายในที่ ร ะหว่ า งอาจารย์ กั บ ล้ ก ศิ ษ ย์ พ้ ด ต่ อ กั น โดยเฉพาะ
เท่านั้น แต่ผ้นำามาลงก็พยายามปราบความอยากเขียนอยาก
นำา ลงตัวนี้ อย่างเต็มกำาลังเหมือนกัน จึงขอความเห็นใจว่าเรา
พยายามปราบเท่าไร ความอยากตัวนี้ ก็ร้สึกยิ่งอยากมากขึ้น
เลยจำา ต้องปล่อยให้ลองด้ พอได้เขียนเรื่องนี้ แล้วความอยาก
ค่อยหายไป ดังนี้ จึงสารภาพตัวว่าเหลวจริง ๆ และหวังว่าคง
ได้รับอภัยจากท่านโดยทั่วกัน และอาจเป็ นข้อคิดสำา หรับชาว
เราที่อย่้ในกฎแห่งความหมุนเวียนด้วยกัน
สิ่งนั้นเกี่ยวกับค่้บารมีท่านมาดั้งเดิม ท่านเล่าว่าแต่ก่อน
ที่ยังไม่ถึงธรรมขั้นนี้ ค่้บารมีท่ีเคยปรารถนาพุท ธภ้มิ มาด้ว ย
กันแต่สมัยก่อนโน้น ก็เคยมาเยี่ยมท่านทางสมาธิภาวนาเสมอ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 104
105

ท่ า นแสดงธรรมใ ห้ ฟั งเล็ ก น้ อ ยแล้ ว สั่ ง ให้ ก ลั บ ไป นาน ๆ มา


ครั้งหนึ่ ง แต่มาในร้ปแห่งวิญญาณ มองร่างไม่ปรากฏเหมือน
ภพอื่ น ๆ เวลาท่ า นถามก็ ต อบว่ า เป็ นห่ ว งท่ า นมาก ยั ง มิ ไ ด้
ตั้งใจไปเกิดในภพภ้มิท่ีเป็ นหลักเป็ นฐานใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งกลัว
ท่ า นจะหลงลื ม ความสั ม พั น ธ์ และความปรารถนาที่ เ คยพา
ปรารถนาเป็ นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ งในอนาคต จึงต้องมาคอย
ฟั งเรื่องราวอย่้เสมอด้วยความเป็ นห่วงและเสียดาย ท่านก็ได้
บอกว่าได้ของดความปรารถนานั้นไปแล้ว และได้ต้ังใจปฏิบัติ
ตนให้พ้นจากทุกข์ในชาติน้ี ไม่ขอเกิดอีก ซึ่งเท่ากับขอเอาทุกข์
ภัยที่เคยพบเคยเห็นมากับชาติน้ัน ๆ มาแบกหามต่อไปอีก แม้
มิ ไ ด้ ต อบให้ ท่ า นทราบว่ า หายห่ ว งหรื อ ยั ง ห่ ว งอย่้ ใ นเรื่ องนั้ น
แต่ ก็ ยั ง เป็ นห่ ว งคิ ด ถึ ง ท่ า นตลอดมามิ ไ ด้ ห ลงลื ม จื ด จาง แต่
นาน ๆ มาเยี่ยมท่านหนหนึ่ งดังนี้
พอมาถึ ง ระยะนี้ อ งค์ ท่ า นเองนึ ก เป็ นห่ ว งและสงสาร ที่
เคยรับความทุกข์ยากลำาบากในภพชาติน้ัน ๆ มาด้วยกันตาม
ที่ท่ า นพิ จ ารณาร้้ เ ห็ น จึ ง นึ ก วิต กอยากพบเพื่ อจะได้ ป รั บ ปรุ ง
ความเข้าใจและเล่าอะไรที่จำา เป็ นให้ฟัง จะได้หายสงสัยหมด
กั ง วลความผ้ ก พั น ในความหลั ง เพี ย งนึ ก วิ ต กเท่ า นั้ น พอตก
กลางคืนยามดึกสงัด ค่้บารมีท่านก็มาจริง ๆ และมาในร้ปแห่ง
วิ ญ ญาณตามเดิ ม ท่ านเริ่ ม ถามถึ ง ภพชาติ ท่ี กำา ลั ง เป็ นอย่้ ว่ า
ทำา ไมมีแต่ ดวงวิ ญญาณไม่มี ร่า งเหมื อ นภ้ มิ อัน เป็ นทิ พ ย์ ท่ั ว ๆ
ไป เวลานี้ เกิดเป็ นอะไรจึงได้มาในลักษณะวิญญาณเช่นนี้
ดวงวิ ญ ญาณตอบท่ า นว่ า นี่ เป็ นภพย่ อ ยอั น ละเอี ย ดอี ก
ภพหนึ่ ง ในบรรดาภพทั้ ง หลาย ที่ ม ารออย่้ ใ นภพนี้ ก็ เ พราะ
ความเป็ นห่วงดังที่เคยเรียนแล้วนั่นเอง ที่มานี้ ก็ทราบว่าท่าน
อยากให้ ม าถึ ง ได้ ม า ไม่ ก ล้ า มาบ่ อ ยนั ก เพราะเป็ นความ
กระดากอายอย่้ภายใน ทั้ง ๆ ที่อยากมาบ่อยที่สุด แม้มาแล้ว
จะไม่มีความเสียหายอะไรทั้งสองฝ่ าย เพราะมิใช่วิสัยจะทำาให้
เกิดความเสียหายได้ก็ตาม แต่ความร้้สึกอันดั้งเดิมที่เคยมีต่อ
กั น หากทำา ให้ เ กิ ด ความตะขิ ด ตะขวงใจไม่ ก ล้ า มาไปเอง ทั้ ง
ท่ า นก็ เ คยบอกว่ า ไม่ ใ ห้ ม าบ่ อ ยนั ก แม้ ไ ม่ เ สี ย หายก็ อ าจเป็ น
อารมณ์เครื่องทำา ให้เนิ่ นช้าแก่การปฏิบัติได้ เพราะใจเป็ นสิ่ง
ละเอียดอาจรับเอาอารมณ์อันละเอียดมาเป็ นอุปสรรคแก่การ
ดำาเนิ นของตนได้ ก็เชื่อว่าอาจเป็ นได้ดังที่บอก จึงมิได้มาบ่อย
นัก
คืนวั นท่านตั ด ขาดจากภพจากชาติ จ ากญาติ มิ ต รสหาย
จากสายบารมีผ้หวังพึ่งเป็ นพึ่งตายอย่างไม่อาลัยเสียดายเลย

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 105
106

นั้นก็ทราบ เพราะเรื่องกระเทือนไปทั่วโลกธาตุต้องทราบกัน
ทุกแห่งหน แต่แทนที่จะเกิดความชื่นบานหรรษาอนุโมทนา
ด้วยดังที่เคยมีเคยเป็ นมาแต่ก่อนนั้น เลยกลับเกิดความน้อย
เนื้ อตำ่ าใจด้ ว ยความวิ ป ริ ต คิ ด ไปต่ า ง ๆ ว่ า ท่ า นไปแบบไม่
เหลี ย วแล แม้ ค่้ บ ารมี ท่ี เ คยทุ ก ข์ เ คยตะเกี ย กตะกายถวาย
ความจงรักภักดีในภพน้อยภพใหญ่มาด้วยกันก็ไม่เหลือบมอง
ชาติวาสนาของตัวนี้ แสนอาภัพก็อย่้ไปตามกรรม มีแต่ล้บคลำา
ทุ ก ข์ ไ ม่ มี วั น ปล่ อ ยวางอย่ า งนี้ แล ผ้้ พ้ น ไปก็ ไ กลทุ ก ข์ แต่ ผ้ ท่ี
กำาลังตกอย่้ในกองทุกข์ก็อดทนไป
คิดไปมากเท่าไรก็เหมือนคนไม่มีปัญญาแต่อยากขึ้นไป
ชมเดื อนดาวบนฟ้ า สุดท้ ายก็ กลั บ มานั่ ง นอนกอดกั บ ทุ ก ข์ ไ ป
ตามแบบของคนมี ก รรมหนาหาทางออกไม่ ไ ด้ ผ้้ อ าภั พ ชาติ
วาสนาที่กำาลังดิ้นรนทนทุกข์บ่นหาความสุขอย่้เวลานี้ ก็คือผ้้
กำาลังเสียใจ ร้องไห้อยากขึ้นไปชมเดือนชมดาวบนฟ้ า ซึ่งแสน
น่ าทุเรศเอาหนักหนา น่ าเวทนาเหลือประมาณ ผ้้น้ี เองจะเป็ น
ผ้้อ่ ืนใดที่ไหนกัน ท่านผ้้เป็ นเสมือนเดือนดาวบนฟ้ าส่งสว่างจ้า
ทั่วสารทิศ จะสถิตอย่้ท่ีใดก็ไม่อับเฉาเขลาในธรรม มีแต่ความ
สว่างไสวไปทุกทิศทุกทางโดยรอบขอบเขตจัก รวาล สนุก อย่้
ด้วยความสำาราญบานใจ
หากบุญวาสนาของดวงวิญญาณข้าบาทบริจาริกายังพอ
มี อ ย่้ บ้ า งไม่ ข าดส้ ญ พ้ น ทุ ก ข์ ก็ ข อท่ า นได้ โ ปรดเมตตาแผ่
กระแสธรรมไปบันดาล พร้อมทั้งดวงปั ญญาญาณอันบริสุทธิ ์
ผ่องใสไปโปรดประทานพอได้พ้นจากโทษในสงสาร บรรลุพระ
นิ พพานตามไปในไม่ช้านี้ เถิด จะไม่อดรนทนทุกข์ทรมานจิตใจ
ไปช้านาน ขอคำา วิ งวอนสัต ยาธิษฐานนี้ จงมีกำา ลั งบั นดาลให้
เป็ นไปดั ง ใจหมายของข้ า อย่ า เนิ่ น นาน ได้ โ พธิ ส มภารอย่ า ง
ใกล้ชิดเร็วพลันเถิด นี่ เป็ นคำาของดวงวิญญาณวิงวอนอธิษฐาน
หวังโพธิสมภาร หมายปองด้วยความละลำ่าละลัก ซึ่งเป็ นคำา ที่
น่ าสมเพชเวทนาเอานักหนา
ท่านตอบว่าเท่าที่นึกวิตกอยากให้มา ก็มิได้มุ่งเจตนาให้
เกิดความเสียใจดังที่เป็ นอย่้เวลานี้ ซึ่งเป็ นทางที่ผิด สัตว์โลกที่
มีอย่้ท่ัวโลกธาตุซึ่งมีความหวังดีต่อกัน เขามิได้นำาเรื่องทำานอง
นี้ ม าคิ ด กั น คำา ว่ า เมตตา กรุ ณ า มุ ทิ ต า อุ เ บกขา ในพรหม
วิ ห ารก็ เ คยบำา เพ็ ญ มามิ ใ ช่ ห รื อ ดวงวิ ญ ญาณตอบว่ า เคย
บำาเพ็ญมาช้านาน จึงอดคิดถึงความผ้กพันที่เคยบำาเพ็ญธรรม
ทั้ ง สี่ น้ี ม าด้ ว ยกั น ไม่ ไ ด้ เมื่ อผ้้ ห นึ่ ง เอาตั ว รอดไปเสี ย เพี ย งคน
เดี ย วเช่ น นี้ ธรรมดาสั ต ว์ ท่ี มี กิ เ ลสเช่ น วิ ญ ญาณนี้ จึ ง อดกลั้ น

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 106
107

ความเสียใจไม่ได้ แล้วก็ได้รับความทุกข์ เพราะความสลัดปั ด


ทิ้งไม่เหลียวแลนั้น จนเวลานี้ ก็ยังมองไม่เห็นความสว่างสร่าง
ซาแห่งความทุกข์น้ันลงบ้างเลย
ท่ านพ้ ดตอบว่ า การสร้ า งความดี ม าทั้ ง มวล ทั้ ง ที่ ส ร้ า ง
โดยลำา พั ง ตนเอง ทั้ ง ที่ ผ้ อ่ ื นพาสร้ า งก็ เ พื่ อแก้ ค วามกั ง วลขน
ทุกข์ออกจากตัว มิได้สร้างเพื่อความร้อนรนขนทุกข์เข้าใส่ตัว
จนถึงต้องได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายมิใช่หรือ ดวงวิญญาณ
ตอบว่าใช่ แต่วิสัยของผ้้มีกิเลสเมื่ อไม่ส ามารถเลื อกทางเดิน
ที่ราบรื่ นปลอดภัย ได้ ก็จำา ต้ องล้บ คลำา ไปตามประสา โดยไม่
ทราบว่าที่ทำาไปนั้นถ้กหรือผิดจะพาให้ตนเป็ นสุขหรือเป็ นทุกข์
ส่วนที่เป็ นทุกข์ก็ร้อย่้แก่ใจ แต่ไม่ทราบจะหาทางออกด้วยวิธี
ใด ก็จำา ต้องดิ้นรนบ่นทุกข์ไปทำา นองดัง ที่เ ห็น อย่้ เวลานี้ ท่ าน
เล่ า ว่ า วิ ญ ญาณทำา ความเหนี ย วแน่ น แม่ น มั่ น ปรั บ ทุ ก ข์ ป รั บ
ร้อนกับท่านอย่างเอาจริงเอาจัง หาว่าท่า นหลบหลี กปลีก ตัว
ไปเสี ย คนเดี ย ว ปราศจากความเมตตาสงสารกั บ ผ้้ ท่ี เ คย
ตะเกียกตะกายเสือกคลานผ่านทุกข์มาด้วยกัน ไม่เหลือบมอง
เพื่ออนุเคราะห์ส่งเสริมพอให้มีทางผ่านพ้นไปด้วยได้
ตอนนี้ ท่ า นพ้ ด เป็ นประโยคแทรกในระหว่ า ง จากนั้ น ก็
อนุ ส นธิ สื บ ต่ อ กั บ ดวงวิ ญ ญาณต่ อ ไป ท่ า นพ้ ด ปลอบโยนกั บ
ดวงวิญญาณว่า การรับประทานแม้จะรับอย่้ร่วมวงในภาชนะ
หรื อ ในโต๊ ะ เดี ย วกั น ก็ ยั ง มี ผ้ อ่ิ ม ก่ อ นผ้้ อ่ิ ม ที ห ลั ง จะให้ อ่ิ ม ใน
ขณะเดี ย วกั น ย่ อ มไม่ ไ ด้ การบำา เพ็ ญ ความดี ท้ั ง หลายแม้ จ ะ
บำาเพ็ญมาด้วยกัน ดังพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพายโสธราค่้
พระบารมีก็ยัง ปรากฏว่ า พระองค์ ทรงบรรลุ ถึงแดนพ้นทุก ข์
ก่อน แล้ วเสด็จ กลับมาประทานพระโอวาทแก่ พ ระนาง แล้ ว
ค่อยสำาเร็จในวาระต่อไป
เรื่องเช่นนี้ ก็ควรนำา ไปคิดอ่านไตร่ตรองยึดเป็ นคติ ย่อม
จะเกิดประโยชน์มหาศาลแก่เราเอง ดีกว่าจะมาปรับทุกข์ปรับ
ร้ อ นแก่ ฝ่ ายหนึ่ ง ซึ่ ง กำา ลั ง พยายามคิ ด หาทางช่ ว ยเหลื อ อย่้
อย่ า งเต็ มใจ และเสาะแสวงหาทางเพื่ อช่ ว ยให้ ห ลุ ด พ้ น อย่ า ง
เต็มกำาลัง มิหนำายังถ้กหาว่ามีใจจืดจางวางปล่อยไม่เหลียวแล
ก็ย่ิงเพิ่มความทุกข์ท้ังสองฝ่ ายเข้าไปอีก ซึ่งเป็ นความคิดที่ไม่
เหมาะสมเลย ควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ตามแบบพระชายา
ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็ นทางให้เกิดความสุขและเป็ นแบบฉบับ
ที่ถ้กต้องดีงามแก่ผ้อ่ ืนด้วย
การวิตกอยากให้มาก็เพื่อจะอนุเคราะห์ มิได้เพื่อจะขับไล่
ไสส่ง การสั่งสอนตลอดมาก็เพื่ออนุเคราะห์ส่งเสริมตามแบบ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 107
108

ฉบับแห่งธรรมแก่ผ้ควรอนุเคราะห์ คำาว่าปล่อยปละละเลยไม่
เหลี ย วแลนี้ ยั ง มองไม่ เ ห็ น ว่ า ได้ ท อดธุ ร ะปล่ อ ยวางห่ า งเหิ น
อย่ างไร ความคิด และอุ บ ายที่ แ สดงออกทุ ก ขณะจิ ต ที่ คิ ดเพื่ อ
อนุเคราะห์ เป็ นจิตที่บริสุทธิด ์ ้วยเมตตากรุณาจริง ๆ เพื่อผลที่
ผ้้รับไปปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด ก็รอคอยจะแสดงมุทิตาจิต
ไปด้ ว ยอย่้ เ สมอ หากได้ ผลเป็ นที่ พึ ง พอใจไม่ มี ข้อ งแวะที่ ไ หน
แล้ ว ผ้้ ใ ห้ ค วามอนุ เ คราะห์ ก็ เ บาใจหายห่ ว ง จิ ต กั บ อุ เ บกขา
ธรรมก็เข้ากันได้สนิ ท
การที่ พ าปรารถนาพุ ท ธภ้ มิ ก็ มุ่ ง จะพาข้ า มโลกสงสาร
การของดจากพุทธภ้มิมาตั้งความปรารถนาเป็ นสาวกภ้มิ อัน
เป็ นภ้มิ ของผ้้ สิ้น กิเ ลสอาสวะ ก็เป็ นความมุ่ งหมายเพื่ อจะพา
สิน
้ กิเลสและกองทุกข์ท้ังมวล ก้าวเข้าส่้บรมสุขคือพระนิ พพาน
อันเป็ นจุดอันเดียวกัน การพาบำาเพ็ญกุศลในชาติต่าง ๆ ตลอด
มาจนชาติ ปั จจุ บั น ได้ ม าบวชบำา เพ็ ญ ในศาสนา มี ส ติ ปั ญญา
เพียงใด พอติดต่อข่าวสารถึงได้ก็พยายามเสมอมา จนได้มา
พบเห็ น กั น ในภพนี้ และได้ ใ ห้ โ อวาทสั่ ง สอนเต็ ม สติ ปั ญญา
ตลอดมาถึ ง ปั จจุ บั น บั ด นี้ ล้ ว นเป็ นอุ บ ายวิ ธี อ นุ เ คราะห์ ด้ ว ย
ความเมตตาสงสารสุดที่จะประมาณอย่้แล้ว ไม่มีขณะจิตใดที่
จะทอดอาลั ย หมายหลี ก ปลี ก ตั ว ให้ พ้ น ไปแต่ ผ้ เ ดี ย ว แต่ เ ป็ น
ขณะจิตที่เต็มไปด้วยความเป็ นห่วงสงสาร หวังจะฉุดจะลากจะ
พรากออกจากกองทุ ก ข์ภ พชาติ ใ นสงสาร ให้ถึ ง พระนิ พ พาน
เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ความคิดวิ ปริ ตไปในทางน้อ ยเนื้ อตำ่าใจ ที่สำา คัญ ว่า ทอด
ทิ้ง ปล่ อยวางไม่เ หลี ยวแลนี้ เป็ นความคิ ด ที่ ไ ม่เ กิ ด ประโยชน์
อะไรทั้ง สองฝ่ าย จึ งควรระงั บ ดั บ มั น เสี ย อย่ า ให้ เ กิ ด มี ขึ้น มา
เหยียบยำ่าทำาลายจิตใจอีกต่อไป ผลคือความทุกข์จะตามมาอีก
ไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้ตลอดกาล และผิดกับความมุ่งหมายของ
ผ้้หวังอนุเคราะห์ด้วยใจเมตตาสงสารตลอดมา คำาว่าหลุดพ้น
ไปไม่ อ าลั ย อาวรณ์น้ั น หลุ ด พ้ น ไปไหน? และไม่ อ าลั ย ผ้้ ใ ด?
เ พ ร า ะ ข ณ ะ นี้ กำา ลั ง ช่ ว ย ฉุ ด ล า ก ช่ ว ย ถ า ก ช่ ว ย ถ า ง ช่ ว ย
อนุเคราะห์กันอย่้อย่างเต็มกำาลัง แม้การอบรมสั่งสอนทั้งมวล
ก็ล้วนออกจากความอาลัยสงสารโดยถ่ายเดียวมิใช่หรือ? จะ
หาความอาลัยสงสารจากที่ไหนให้ย่ิงกว่าที่กำาลังให้และกำาลัง
ได้รับอย่้เวลานี้
การอบรมบ่ ม นิ สั ย เพื่ อการเชิ ด ช้ ส่ ง เสริ ม ตลอดมา ก็ ไ ด้
ถอดออกมาจากดวงใจที่เ ปี่ ยมด้ วยความสงสารยิ่งกว่า นำ้ าใน

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 108
109

ทะเลมหาสมุทร และได้ทุ่มเทลงอย่างไม่อัดไม่อ้ันไม่คิดเป็ นคิด


ตาย และคิ ด จะหมดหรื อ ยั ง เหลื อ อย่้ ใ นบรรดาธรรมที่ มี อ ย่้
ภายในใจ ขอได้เข้าใจตามเจตนาที่หวังอนุเคราะห์อย่้เสมอมา
และรั บ ไปเป็ นสิ ริ ม งคลแก่ ต นตามธรรมที่ อ บรมสั่ ง สอนมานี้
ผลคือความสุขใจจะเป็ นที่ยอมรับอย่้กับตัวผ้้เชื่อถือและปฏิบัติ
ตาม นับแต่ออกบวชและปฏิบัติธรรมแทบเป็ นแทบตาย แม้แต่
ขณะจิตหนึ่ งที่คิดขึ้นเพื่อเป็ นคนใจดำา นำ้ าขุ่นยั งไม่เคยปรากฏ
ว่ามีเลย การวิตกคิดถึงอยากให้มาหาก็มิได้หวังเพื่อจะต้มตุุน
หลอกลวงให้ล่มจมเสียหาย แต่หวังจะอนุเคราะห์อย่างสมใจที่
เมตตาสงสารอย่ างเดี ย วเท่ า นั้ น ถ้ า ยั ง เป็ นที่ เ ชื่ อถื อ ไม่ ไ ด้ อ ย่้
แล้ว ก็ยากที่จะไปแสวงหาความเชื่อถือที่ไว้วางใจได้จากผ้้ใด
ที่เห็นว่าดีเยี่ยมและซื่อสัตย์สุจริตยิ่งกว่านี้
ที่ว่าทราบเรื่องสะเทือนโลกธาตุในคืนวันนั้น นั้นเป็ นการ
ทราบความสะเทือนแห่งธรรมประเภทหลอกลวงต้มตุุนให้โลก
ล่มจมปรากฏขึ้นหรืออย่างไร? จึงไม่แน่ ใจและปลงใจที่จะยอม
เชื่ อถื อ ตามคำา อบรมสั่ ง สอนที่ ตั้ ง ใจอนุ เ คราะห์ ด้ ว ยความ
เมตตา ถ้ า เข้ า ใจว่ า ธรรมเป็ นธรรมแล้ ว ความสะเทื อ นโลก
ธาตุน้ันก็ควรนำามาคิดเพื่อปลงจิตปลงใจเชื่อถือ และเย็นใจว่า
เรายั ง มี ว าสนาบารมี อ ย่้ ม าก แม้ ม าอุ บั ติ ใ นภพชาติ ท่ี ลึ ก ลั บ
ควรจะสุดวิสัยแล้ว แต่ยังได้รับฟั งสิ่งดีช่ัวของตัวจากธรรมที่มี
ผ้้ เ มตตาแสดงให้ ฟั งได้ ไ ม่ เ สี ย กาลไปเปล่ า นั บ ว่ า เป็ นโชค
วาสนาของเราที่เคยสั่งสมอบรมมา
และควรจะภาคภ้มิใจในวาสนาของตัวที่มีผ้มาฉุดมาลาก
มาช่วยพรากจากความมืดมนอนธการ พอได้ร้ความผิดพลาด
ของตัวบ้าง ไม่มืดบอดจอดจมไปถ่ายเดียว หากคิดอย่างนี้ ก็น่า
อนุ โ มทนาสาธุ ก ารและพลอยเบาใจหายห่ ว งไปด้ ว ย ไม่ เ ป็ น
ความคิ ด ที่ ให้ ทุ ก ข์ ผ้ ก มั ด รั ด ตั ว จนพากั น หาทางออกมิ ไ ด้
เพราะธรรมกลายเป็ นโลก ความห่วงใยสงสารกลายเป็ นศัตร้
ค่ก้ ่อเวร
ขณะที่ ฟั งท่ า นสั่ ง สอนด้ ว ยความเมตตาสงสาร เหมื อ น
สายนำ้ าทิ พ ย์ ใ นลำา ธารประพรมโสรจสรงด้ ว ยทั้ ง เหตุ แ ละผล
ระคนคละเคล้ า กั น ไปไม่ ห ยุ ด หย่ อ น บาทบริ จ าริ ก าค่้ บ ารมี
กลับ ได้ สติ กลายเป็ นผ้้มี ใจอ่อ นน้อมยอมรั บ ธรรมด้ ว ยความ
ซาบซึ้ ง เพลิ ด เพลิ น จนลื ม เวลำ่ าเวลา พอจบเทศนาวิ นิ จฉั ย
ปั ญหาก็ยอมตนเป็ นผ้้ผิด ว่ามาทำา ให้ท่านได้รับความลำา บาก
ลำาบน เพราะความมืดมนด้วยความรักความอาลัย โดยเข้าใจ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 109
110

ว่ า ท่ า นปล่ อ ยท่ า นวางไปกั บ ดิ น กั บ หญ้ า ไม่ เ มตตาเอื้ อเฟื้ อ


อาลัย จึงเกิดความเสียอกเสียใจจนไม่มีท่ีปลงที่วาง นึ กว่าตน
ไร้ญาติขาดมิตรปลิดชีวิตชีวา ไม่มีท่ีพึ่งพาอาศัย มาบัดนี้ ได้รับ
ความสว่ างจากดวงธรรม ใจเกิด ความเย็ นฉำ่ าเป็ นสุ ข ทุก ข์ ท่ี
เคยแบกหามมาก็ปลงวางลงได้ เพราะธรรมเหมือนนำ้ าอมฤต
รดโสรจสรงชะล้ า งให้ เ กิ ด ความสว่ า งไสวขึ้ น มา โทษใดที่ ไ ด้
ล่วงเกินพระคุณท่านด้วยความร้้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอได้โปรด
ประทานโทษนั้นให้แก่ข้าบาทดวงวิญญาณ เพื่อจะได้ต้ังหน้า
สำา รวมระวั ง ต่ อ ไปตลอดอวสาน ไม่ ห ลงลื ม ผิ ด พลาดขลาด
เขลาอีกต่อไป
จากนั้น ท่านก็อธิบ ายแนะนำา เกี่ ยวกั บภพกำา เนิ ดว่ า ขอ
ให้ไปเกิดในภพที่เป็ นหลักฐานอันสมควรแก่ภาวะของตน ไม่
ควรมากั ง วลวกเวี ย นเกี่ ย วข้ อ งกั บ ความเป็ นห่ ว งใยดั ง ที่ เ คย
เป็ นมาอีกต่อไป ดวงวิญญาณยินดีรับคำาท่านด้วยความเคารพ
นบน้อม ก่อนจะจากไปได้กราบขอพรว่า เมื่อได้ไปเกิดในภพที่
เหมาะสมแล้ว ขอให้ได้มารับฟั งโอวาทตามความปรารถนาดัง
ที่เคยทำามา ขอได้โปรดประทานพรตามใจหวังเถิด เมื่อท่าน
อนุญาตแล้วก็หายไปในขณะนั้น พอดวงวิญญาณจากไปแล้ว
จิ ต ถอนขึ้ น มาราวตี ๕ จวนสว่ า ง คื น นั้ นท่ า นมิ ไ ด้ พั ก ผ่ อ น
ร่างกายเลย เพราะเริ่มนั่ งสมาธิภาวนาแต่ขณะออกจากทาง
จงกรมราว ๒๐ น. ตอนดึกก็รับแขกวิญญาณเสียหลายชั่วโมง
ท่านเล่าว่า ต่อมาไม่นานนัก ดวงวิญญาณก็มาเยี่ยมฟั ง
เทศน์ท่านอีก คราวนี้ มาในร่างแห่งเทวดาผ้้มีร้ปสวยงามมาก
แต่ มิ ไ ด้ ต กแต่ ง ด้ ว ยเครื่ องประดั บ ต่ า ง ๆ ตามปกติ ข องพวก
เทวดาที่ ทำา กัน เพราะมาหาพระองค์สำา คั ญซึ่ งเทวดาถือ เป็ น
ความเคารพมากโดยทั่วไป พอเทวดามาถึงก็เล่าถวายท่านว่า
พอได้ รั บคำา ชี้ แ จงจากท่ า นให้ ห ายสงสั ย ไร้ ทุก ข์ ท่ี เ คยทรมาน
ใจมาแล้ว ก็ไปอุบัติเป็ นเทวดาในสวรรค์ช้ันดาวดึงส์พิภพ ซึ่งมี
ความสุ ขสนุ ก สนานด้ ว ยเครื่ องบำา รุ ง บำา เรอต่ า ง ๆ ที่ ล้ ว นแต่
สำา เร็จไปจากการบำา เพ็ญเมื่ออย่้กับท่านในเมืองมนุษย์ท้ังนั้น
แม้จะมีความสุขสบายตามวิบากกรรมอำา นวยก็ตาม แต่ก็อด
ระลึกมิได้ว่า วิบากสมบัติท่ีปรากฏให้ได้รับเสวยเหล่านั้น ล้วน
เป็ นสาเหตุไปจากพระคุณท่านเป็ นผ้้พาริเริ่มบำาเพ็ญแต่ต้นมา
เพี ย งลำา พั ง ตั ว ผ้้ เ ดี ย วไม่ มี ปั ญญาสามารถคิ ด อ่ า นบำา เพ็ ญ ให้
สำา เร็ จ เป็ นสมบั ติ ท่ี พึ ง พอใจอย่ า งมหาศาลเช่ น นั้ น ได้ เวลามี
วาสนาได้ไปเกิดในกองมหาสมบัติอันเป็ นทิพย์และมีความสุข

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 110
111

สบายหายโกรธแค้ น น้ อ ยใจแล้ ว จึ ง ได้ ร ะลึ ก ถึ ง พระคุ ณ ของ


ท่านที่มแ ี ก่ตนอย่างมากมายเหลือที่จะประมาณได้
ฉะนั้นการเลือกเฟ้ นในทุกสิ่ง ไม่ว่าการงาน อาหารและ
สิ่งของนานาชนิ ด ตลอดมิตรสหายเพื่อนหญิงเพื่อนชายที่ควร
ก่อน เป็ นสิ่งจำาเป็ นอย่างยิ่งที่ผ้ต้องการครองตัวด้วยความราบ
รื่นจะพึงถือเป็ นกิจจำาเป็ น เฉพาะอย่างยิ่งการเลือกค่้ครองเพื่อ
หวังพึ่งเป็ นพึ่งตายจริง ๆ ควรถือเป็ นกรณี พิเศษกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะค่้ครองนั้นเป็ นเหมือนกับใช้ลมหายใจและความเป็ นอย่้
ทุกด้านร่วมอันเดียวกัน ความสุข ทุกข์ น้อยมากย่อมเป็ นสิ่ง
กระเทือนถึงกันทุกระยะ ผ้้ได้ค่้ครองที่ดี แม้ตัวจะตำ่าบ้างทาง
ฐานะความร้้ความฉลาด การประพฤติ จริตนิ สัย แต่ก็ยังดีท่ีมี
ผ้้ ค อยฉุ ด คอยลากคอยให้ ค ติ เ ตื อ นใจเสมอ และพาประพฤติ
ดำา เนิ น ในกิ จ การต่ า ง ๆ ทั้ ง ทางโลกอั น เป็ นเครื่ องส่ ง เสริ ม
ครอบครัวให้ม่ันคงและสงบสุข และทางธรรมซึ่งเป็ นความดี
งามแก่ จิ ต ใจ ตลอดการงานอย่ า งอื่ นที่ พ ลอยมี ส่ ว นดี ง ามไป
ด้ ว ย ไม่ มื ด มิ ด ปิ ดตากำา ดำา กำา ขาวไปถ่ า ยเดี ย ว โดยหาความ
แน่ นอนและรับรองผลไม่ได้
ถ้าต่างฝ่ ายต่างดีด้วยกันก็เท่ากับต่างช่วยกันสร้างวิมาน
หลั ง ใหญ่ ใ นครอบครั ว ให้ อ ย่้ เ ย็ น เป็ นสุ ข ร่ ว มกั น ไปตลอด
อวสาน ไม่ มี ก ารทะเลาะวิ ว าทถกเถี ย งกั น ครั ว เรื อ นย่ อ ม
เป็ นสุ ข ไม่ มี เ รื่ องขุ่ น ข้ อ งหมองใจมารบกวน เพราะต่ า งฝ่ าย
ต่างสร้างสรรค์ ต่างฝ่ ายต่างสำา รวมระวัง ต่างฝ่ ายต่างตั้งอย่้
ในเหตุผลหลักธรรม ไม่ทำา ตามใจชอบที่ผิดจากหลักศีลธรรม
อันเป็ นหลักรับรองความร่มเย็นผาสุกต่อกัน ค่้ครองแต่ละฝ่ าย
จึ ง เป็ นผ้้ ช่ ว ยกั น สร้ า งกรรมดี ชั่ ว สุ ข ทุ ก ข์ บุ ญ บาป นรก
สวรรค์เกี่ยวเนื่ องกันแต่เริ่มต้นชีวิตร่วมกันเป็ นต้นไปเหมือน
ล้กโซ่ ทั้งปั จจุบันชาติน้ี ตลอดอนาคตของภพชาติต่ อไปดั งข้ า
บาทได้เห็นประจักษ์กับตัวเอง (คำาว่า ข้าบาทเป็ นคำาแทนชื่อที่
ถนัดใจของเทวดา เรียกตัวเองกับท่านพระอาจารย์ม่ัน ) ที่ได้มี
บุญติดสอยห้อยตามบาทไปในภพชาติต่าง ๆ ด้วยการนำา ของ
พระคุ ณ ท่ า นพาสร้ า งแต่ ค วามดี ม าประจำา นิ สั ย ไม่ พ าสร้ า ง
บาปกรรมทำา ชั่ ว มั ว หมองเลย จึ ง พลอยได้ เ ป็ นคนดี ติ ด ตาม
บาทมาแทบทุกชาติทุกภพ และพาให้แคล้วคลาดจากภัยเวร
ทั้งหลายตลอดมา
นึ ก ถึ ง พระคุ ณ แล้ ว ทำา ให้ ซึ้ ง ในจิ ต ใจสุ ด ที่ จ ะเรี ย นได้ ถ้ ก
คราวนี้ ข้ า บาทได้ เ ห็ น โทษของตั ว ที่ เคยผิ ด พลาดล่ ว งเกิ น

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 111
112

พระคุ ณ ท่ า นมาในอดี ต ทั้ ง ชาติ แ ห่ ง วิ ญ ญาณและอดี ต กาลที่


ผ่านมานาน ขอท่านได้โปรดเมตตาอโหสิกรรมนำาเสียซึ่งโทษ
อ ย่ า ไ ด้ มี ก ร ร ม มี เ ว ร สื บ ต่ อ เ กี่ ย ว ข้ อ ง อี ก ต่ อ ไ ป ท่ า น ไ ด้
อโหสิกรรมแก่เทวดาตามความปรารถนา และได้แสดงธรรม
อบรมส่งเสริมบารมีให้เป็ นที่ร่ ืนเริงจนควรแก่กาลแล้ว เทวดา
นมัสการลากระทำาประทักษิณสามรอบ หลีกออกห่างจากท่าน
พอประมาณ แล้ ว เหาะลอยขึ้ น ส่้ อ ากาศด้ ว ยความโสมนั ส
ศรัทธาเป็ นล้นพ้น
ระหว่ างวิ ญ ญาณมาปรั บ ทุ ก ข์ ด้ ว ยความน้อ ยอกน้ อ ยใจ
กับท่าน ร้้สึกว่าพิสดารเหลือจะพรรณนา ผ้้เขียนไม่สามารถ
นำา มาลงได้ ทุกประโยคไป จึง ขออภั ยท่ านไว้ ด้ว ย เท่ าที่ จำา ได้
และนำา มาลงนี้ ก็ไม่ค่อยสนิ ทใจนั ก ถ้าจะผ่านไปก็ร้สึกจะขาด
เนื้ อเรื่องที่น่าคิดไป ดังที่เรียนไว้แล้วตอนก่อนที่จะเขียนเรื่อง
นี้

พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์
หลังจากท่านเดินทางถึงแดนแห่งวิมุตติแล้ว คืนต่อ ๆ มา
มีพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจำา นวนมากเสด็จมาอนุโมทนา
วิมุตติธรรมกับท่านเสมอมิได้ขาด คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์
นั้นกับพระสาวกบริวารเป็ นจำานวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม คืนนั้น
พระพุทธเจ้าพระองค์น้ันกับสาวกบริวารจำา นวนแสนเสด็จมา
เยี่ยม คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์น้ันมีสาวกเท่านั้นเสด็จมา
เยี่ยมอนุโมทนา จำานวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามา
แต่ ล ะพระองค์ น้ั น มี จำา นวนไม่ เ ท่ า กั น ทั้ ง นี้ ท่ า นว่ า ขึ้ น อย่้ กั บ
วาสนาของพระพุ ท ธเจ้ า แต่ ล ะพระองค์ ไ ม่ เ หมื อ นกั น ที่ พ ระ
สาวกตามเสด็ จ มาด้ ว ยแต่ ล ะพระองค์ น้ั น มิ ไ ด้ ต ามเสด็ จ มา
ทั้งหมดในบรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์ท่ีมีอย่้ แต่ท่ีตาม
เสด็ จ มามากน้อยต่ างกั นนั้ น พอแสดงให้ เ ห็ นภ้ มิ พ ระวาสนา
บารมีของแต่ละพระองค์น้ันต่างกันเท่านั้น
บรรดาพระสาวกจำา นวนมากของแต่ ล ะพระองค์ ท่ี ต าม
เสด็จมานั้น มีสามเณรติดตามมาด้วยครั้งละไม่น้อยเลย ท่าน
สงสัยจึงพิจารณาก็ทราบว่า คำาว่าพระอรหันต์ในนามธรรมนั้น
มิได้หมายเฉพาะพระ แต่สามเณรที่มีจิตบริสุทธิห ์ มดจดก็นับ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 112
113

เข้ า ในจำา นวนสาวกอรหั น ต์ ด้ ว ย ฉะนั้ น ที่ ส ามเณรติ ดตามมา


ด้วยจึงไม่ขัดกัน
ในพระโอวาทของพระพุ ท ธเจ้ า ทั้ งหลายที่ ประทาน
อนุ โ มทนาแก่ พ ระอาจารย์ ม่ั น นั้ น ส่ ว นใหญ่ มี ว่ า เราตถาคต
ทราบว่ าเธอพ้ น โทษจากอนั นตรทุ ก ข์ ใ นที่คุ ม ขั ง แห่ ง เรื อ นจำา
ของวัฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา ที่คุมขังแหล่งนี้ ใหญ่โต
มโหฬารและแน่ นหนามั่นคงมาก และมีเครื่องยั่วยวนชวนให้
เผลอตัว และติด อย่้ รอบตั วไม่มี ช่อ งว่ า ง จึ ง ยากที่ จ ะมี ผ้แ หวก
ว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์โลกจำา นวนมากไม่ค่อยมีผ้สนใจกับ
ทุกข์ท่ีเป็ นอย่้กับตัวตลอดมา ว่าเป็ นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทง
ร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธี
ต่าง ๆ เหมือนคนเป็ นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึง
ไม่มีประโยชน์สำา หรับคนประเภทนั้ น ธรรมของเราตถาคตก็
เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหาภายใน
ใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำาให้เป็ นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะ
หายได้เมื่อไร
สิ่ งตายตั ว ก็คื อโรคพรรค์ น้ี ถ้ า ไม่ รั บ ยาคื อ ธรรมจะไม่ มี
วั น หายได้ ต้ อ งฉุ ด ลากสั ต ว์ โ ลกให้ ต ายเกิ ด คละเคล้ า ไปกั บ
ความทุ ก ข์ ก ายทุ ก ข์ ใ จ และเกี่ ย วโยงกั น เหมื อ นล้ ก โซ่ ต ลอด
อนั น ตกาล ธรรมแม้ จ ะมี เ ต็ ม ไปทั้ ง โลกธาตุ ก็ ไ ม่ ส ามารถ
อำา นวยประโยชน์ใ ห้ แก่ ผ้ไ ม่ ส นใจนำา ไปปฏิ บัติ รั ก ษาตั ว เท่ า ที่
ควรจะได้รับจากธรรม ธรรมก็ อย่้ แบบธรรม สัตว์โ ลกก็ห มุน
ตัวเป็ นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดย
ไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้ นสุ ดทุ กข์ กันลงได้เ มื่อใด ไม่มี
ทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเองโดยยึดธรรมมาเป็ นหลักใจ
และพยายามปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าจะมาตรัสร้้เพิ่มจำา นวน
องค์ แ ละสั่ งสอนมากมายเพี ย งไร ผลที่ ได้ รั บ ก็ เ ท่ า ที่ โรค
ประเภทคอยรั บ ยามี อ ย่้ เ ท่ า นั้ น ธรรมของพระพุ ท ธเจ้ า ไม่ ว่ า
พระองค์ใด มีแบบตายตัวอย่้อย่างเดียวกัน คือสอนให้ละชั่วทำา
ดีท้ังนั้ น ไม่มีธรรมพิเศษและแบบสอนพิ เศษไปกว่า นี้ เพราะ
ไม่ มี กิ เ ลสตั ณ หาพิ เ ศษในใจสั ต ว์ โ ลกที่ พิ เ ศษเหนื อ ธรรมซึ่ ง
ประกาศสอนไว้ เท่ าที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ทั้ ง หลายประทานไว้ แ ล้ ว
เป็ นธรรมที่ควรแก่การรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์
อย่้ แ ล้ ว นอกจากผ้้ รั บ ฟั งและปฏิ บั ติ ต ามจะยอมแพ้ ต่ อ เรื่ อง
กิเลสตัณหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็ นของไร้สาระไป
เสียเท่านั้น

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 113
114

ตามธรรมดาแล้ ว กิ เ ลสทุ ก ประเภทต้ อ งฝื นธรรมดา


ดั้ ง เดิ ม คนที่ ค ล้ อ ยตามมั น จึ ง เป็ นผ้้ ลื ม ธรรมไม่ อ ยากเชื่ อฟั ง
และทำาตาม โดยเห็นว่าลำาบากและเสียเวลาทำาในสิ่งที่ตนชอบ
ทั้ ง ที่ ส่ิ ง นั้ น ให้ โ ทษ ประเพณี ข องนั ก ปราชญ์ ผ้ ฉ ลาดมองเห็ น
การณ์ไ กล ย่ อมไม่ ห ดตั ว มั่ ว สุ ม อย่้ เ ปล่ า ๆ เหมื อ นเต่ า ถ้ ก นำ้ า
ร้ อ นไม่ มี ท างออก ต้ อ งยอมตายในหม้ อ ที่ กำา ลั ง เดื อ ดพล่ า น
โลกเดื อ ดพล่ า นอย่้ ด้ ว ยกิ เ ลสตั ณ หาความแผดเผา ไม่ มี ก าล
สถานที่ ท่ี พ อจะปลงวางลงได้ จำา ต้ อ งยอมทนทุ ก ข์ ท รมานไป
ตาม ๆ กัน โดยไม่นิยมสัตว์น้ ำา สัตว์บก สัตว์อย่้บนอากาศและ
ใต้ ดิ น เพราะสิ่ ง แผดเผาเร่ า ร้ อ นอย่้ กั บ ใจ ความทุ ก ข์ จึ ง อย่้ ท่ี
นั่ น ที่น่ี เธอเห็น พระตถาคตอย่ า งแท้ จ ริ ง แล้ ว มิ ใ ช่ ห รื อ? พระ
ตถาคตแท้ คื อ อะไร คื อ ความบริ สุ ท ธิ แ ์ ห่ ง ใจที่ เ ธอเห็ น แล้ ว
นั้นแล ที่พระตถาคตมาในร่างนี้ มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก
เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มา
กันนี้ นี่ เป็ นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมุตต ิ ่างหาก
ท่ า นพระอาจารย์ ก ราบท้ ล ว่ า ข้ า พระองค์ ท ราบพระ
ตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยก็คือ
พระองค์ ท้ัง หลายกั บพระสาวกท่ า นที่ เ สด็ จ ไปด้ ว ยอนุ ป าทิ เ ส
สนิ พพานไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออย่้เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้
ได้ อ ย่ างไร? พระพุ ท ธเจ้ า ตรั ส ว่ า ถ้ า อี ก ฝ่ ายหนึ่ ง แม้ มี ค วาม
บริสุทธิท ์ างใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็ นส่วนสมมุติอย่้
ฝ่ ายอนุปาทิเสสนิ พพานก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน คือต้อง
มาในร่ างสมมุ ติ ซึ่ ง เป็ นเครื่ องใช้ ช่ั ว คราวได้ ถ้ า ต่ า งฝ่ ายต่ า ง
เป็ นอนุปาทิเสสนิ พพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมุตย ิ ังเหลืออย่้
ตถาคตก็ไม่มีสมมุติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก ฉะนั้นการมา
ในร่ า งสมมุ ติ น้ี จึ ง เพื่ อสมมุ ติ เ ท่ า นั้ น ถ้ า ไม่ มี ส มมุ ติ เ สี ย อย่ า ง
เดียวก็หมดปั ญหา
พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีต อนาคตก็ ทรง
ถื อ เ อ า นิ มิ ต คื อ ส ม มุ ติ อั น ดั้ ง เ ดิ ม ข อ ง เ รื่ อ ง นั้ น ๆ เ ป็ น
เครื่องหมายให้ทราบ เช่น ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้ง
หลายว่ า ทรงเป็ นมาอย่ า งไรเป็ นต้ น ก็ ต้ อ งถื อ เอานิ มิ ต ของ
พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า พ ร ะ อ ง ค์ นั้ น แ ล ะ พ ร ะ อ า ก า ร นั้ น ๆ เ ป็ น
เครื่ องหมายพิ จ ารณาให้ ร้ ถ้ า ไม่ มี ส มมุ ติ ข องสิ่ ง นั้ น ๆ เป็ น
เครื่ องหมาย ก็ ไ ม่ มี ท างทราบได้ ใ นทางสมมุ ติ เพราะวิ มุ ต ติ
ล้ ว น ๆ ไม่ มี ท างแสดงได้ ฉะนั้ น การพิ จ ารณาและทราบได้
ต้องอาศัยสมมุติเป็ นหลักพิจารณา

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 114
115

ดัง ที่เราตถาคตนำา สาวกมาเยี่ย มเวลานี้ ก็ จำา ต้ อ งมาใน


ร้ปลักษณะอันเป็ นสมมุติด้ังเดิม เพื่อผ้้อ่ ืนจะพอมีทางทราบได้
ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์น้ัน ๆ และพระอรหันต์องค์น้ัน ๆ มีร้ป
ลักษณะอย่างนั้ น ๆ ถ้าไม่ มาในร้ ป ลั ก ษณะนี้ แ ล้ ว ผ้้ อ่ ื นก็ ไ ม่ มี
ทางทราบได้ เมื่ อยั ง ต้ อ งเกี่ ย วกั บ สมมุ ติ ใ นเวลาต้ อ งการอย่้
วิมุตติก็จำาต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมุติเพื่อความเหมาะ
สมกัน ถ้าเป็ นวิมุตติล้วน ๆ เช่นจิตที่บริสุทธิร์ ้เห็นจิตที่บริสุทธิ ์
ด้วยกันก็เพียงแต่ร้อย่เ้ ห็นอย่้เท่านั้น ไม่มีทางแสดงให้ร้ย่ิงกว่า
นั้นไปได้ เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ ์
ว่ า เป็ นอย่ า งไรบ้ า ง ก็ จำา ต้ อ งนำา สมมุ ติ เ ข้ า มาช่ ว ยเสริ ม ให้
วิ มุ ต ติ เ ด่ น ขึ้ น พอมี ท างทราบกั น ได้ ว่ า วิ มุ ต ติ มี ลั ก ษณะว่ า ง
เปล่าจากนิ มิตทั้งปวง มีความสว่างไสวประจำาตัว มีความสงบ
สุขเหนื อสิ่งใด ๆ เป็ นต้น พอเป็ นเครื่องหมายให้ทราบได้โดย
ทางสมมุติท่ัว ๆ ไป ผ้้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว จึงไม่มี
ทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมุติในบางคราวที่
ควรแก่กรณี และทรงตัวอย่้ตามสภาพเดิมของวิมุตติ ไม่แสดง
อาการ
ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัย หรือถาม
พอเป็ นกิริยาแห่งการสนทนากัน ท่านกราบท้ลว่า ข้าพระองค์
มิได้มค ี วามสงสัยทั้งสมมุติและวิมุตติของพระองค์ท้ังหลาย แต่
ที่กราบท้ลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมุติ
เท่านั้น แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ก็มิได้สงสัย
ว่ า พระพุ ท ธเจ้ า พระธรรมและพระสงฆ์ อั น แท้ จ ริ ง มี อ ย่้ ณ ที่
แห่งใด แต่เป็ นความเชื่อประจักษ์ใจอย่้เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้น้ันเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และ
พระสงฆ์ มีใช่ธรรมชาติอ่ ืนใดจากที่บริสุทธิห ์ มดจดจากสมมุติ
ในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า การ
ที่เราตถาคตถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความ
สงสัย แต่ถามเพื่อเป็ นสัมโมทนี ยธรรมต่อกันเท่านั้น
บรรดาพระสาวกที่ ตามเสด็ จ พระพุ ท ธเจ้ า มาแต่ ล ะ
พระองค์ แ ละแต่ ล ะครั้ ง นั้ น มิ ไ ด้ ก ล่ า วปราศรั ย อะไรกั บ ท่ า น
พระอาจารย์ ม่ั นเลย มี พ ระพุ ท ธเจ้ า ประทานพระโอวาท
พระองค์เดียว ส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็ นเพียงนั่งฟั งอย่้อย่าง
สงบเสงี่ยม น่ าเคารพเลื่อมใสมากเท่านั้น แม้สามเณรองค์เล็ก
ๆ ที่ น่ ารั ก มากกว่ า จะน่ าเคารพเลื่ อมใส ก็ น่ั งฟั งอย่้ อ ย่ า ง
สงบเสงี่ ย ม เช่ น เดี ย วกั บ พระสาวกทั้ ง หลาย อั น เป็ นที่ น่ า
เคารพเลื่อมใสมากและน่ ารักมากด้วย ซึ่งยังอย่้ในวัยเล็กมาก

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 115
116

ก็มี อายุราว ๙ ขวบ ๑๐ ขวบ ๑๑–๑๒ ขวบ ซึ่งน่ ารักมาก ท่าน


เล่าว่าพอเห็นสามเณรอรหันต์แล้ว ท่านเกิดความร้้สึกรักมาก
และสงสารมาก ถ้ าตามภาษาของผ้้ ใ หญ่ พ้ ด กั บ เด็ ก ธรรมดา
ทั่วไปก็ว่า เณรตัวเล็ก ๆ ตาใสแจุว ใครเห็นแล้วก็อดที่จะรักไม่
ได้ ดีไม่ดีถ้าไม่ทราบไว้ก่อนว่าท่านเป็ นสามเณรอรหันต์แล้ว
น่ า กลั ว จะดื้ อ มื อ ไปคว้ า เอาศี ร ษะท่ า นขยี้ เ ขย่ า เล่ น โดยมิ ไ ด้
สำานึ กในบาปแน่
ท่านพ้ดมาตอนนี้ เลยนึ กคันมือขึ้นมาว่า ถึงผ้้เขียนก็เถอะ
อาจเป็ นผ้้หนึ่ งก่อนใครที่จะอดคว้าไม่ได้ เป็ นอะไรเป็ นกัน แล้ว
ค่อยขอขมาโทษท่านทีหลัง เพราะอดรักอดเล่นไม่ได้ ท่านว่า
แม้ท่านจะเป็ นสามเณรองค์เล็ก ๆ ก็ตาม แต่มรรยาทท่านเป็ น
ผ้้ใหญ่สงบเสงี่ยมสวยงามมากเหมือนพระสาวกทั้งหลาย สรุป
แล้วบรรดาพระสาวกอรหันต์และสามเณรที่ตามเสด็จมากั บ
พระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง ล้วนมีม รรยาทอัน สวยงามน่ าเคารพ
เลื่อมใสมาก เหมือนผ้าที่ถ้กพับและเก็บไว้เป็ นระเบียบงามตา
ฉ ะ นั้ น เ ว ล า ท่ า น เ กิ ด ค ว า ม ส ง สั ย เ กี่ ย ว กั บ ร ะ เ บี ย บ
ขนบประเพณี ด้ั ง เดิ ม เช่ น การเดิ น จงกรม นั่ ง สมาธิ ความ
เคารพต่อกันระหว่างผ้้อาวุโสกับภันเต และการครองผ้าเวลา
นั่ ง สมาธิ หรื อ เดิ น จงกรมจำา เป็ นทุ ก ครั้ ง ไปหรื อ ไม่ อ ย่ า งไร
ข ณ ะ นั่ ง ภ า ว น า ท่ า น นึ ก วิ ต ก อ ย า ก ท ร า บ ค ว า ม จ ริ ง ที่
พระพุ ท ธเจ้ า และพระสาวกพาดำา เนิ นมาก่ อ นท่ า นทำา กั น
อย่างไรดังนี้ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงวิธีให้ด้เอง ก็
เป็ นพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่ งมาแสดงให้ด้ตัวอย่างจนได้ เช่น
การเดินจงกรมจะควรปฏิ บัติ ตัว อย่ างไรในขณะเดิ นถึง จะถ้ก
ต้อง และเป็ นความเคารพธรรมตามหน้าที่ของผ้้สนใจเคารพ
ธรรมในเวลาเช่ น นั้ น ท่ า นก็เ สด็ จ มาแสดงวิ ธี ว างมื อ วิ ธี ก้ า ว
เดิ น วิ ธี สำา รวมตนในเวลาเดิ น ให้ ด้ อ ย่ า งละเอี ย ด บางครั้ ง ก็
ประทานพระโอวาทประกอบกับวิธีแสดงด้วย บางครั้งก็แสดง
เพียงวิธีต่าง ๆ ให้ด้ แม้พระสาวกอรหันต์มาแสดงให้ด้ก็ทำา ใน
ลักษณะเดียวกัน การนั่งทำา สมาธิทำา อย่างไร ควรหันหน้าไป
ทางทิศใดเป็ นการเหมาะกว่าทิศอื่น ๆ ท่านั่งจะตั้งตัวอย่างไร
เป็ นการเหมาะสมในขณะนั้น ท่านแสดงให้ด้ทุกวิธี
ความเคารพต่อกันระหว่า งอาวุ โสกับ ภัน เต ตอนนี้ ท่ าน
เล่ า แปลกอย่้ บ้า ง คื อ ขณะที่ ท่ า นนึ ก วิ ต กอยากทราบว่ า ครั้ ง
พุ ท ธกาลท่ า นปฏิ บั ติ ต่ อ กั น อย่ า งไรที่ เ ป็ นสามี จิ ก รรมต่ อ กั น
โดยชอบธรรม พอวิ ต กไม่ น าน ก็ ป รากฏมี พ ระพุ ท ธเจ้ า และ
พระสาวกทั้ ง หน่ ุ ม ทั้ ง แก่ แ ละแก่ จ นหง่ อ มศี ร ษะหงอกขาวไป

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 116
117

หมด ตลอดสามเณรเล็ก ๆ และโตพอประมาณ ซึ่งล้วนอย่้ใน


วั ย ที่ น่ า รั ก ต า ม เ ส ด็ จ ม า ม า ก ม า ย แ ต่ ก า ร เ ส ด็ จ ม า ข อ ง
พระพุ ท ธเจ้ ากั บการมาของพระสาวกทั้ ง หลายมิ ไ ด้ ม าพร้ อ ม
กัน ต่างองค์ต่างมา องค์ใดมาถึงก่อนองค์น้ันก็น่ังอาสนะข้าง
หน้า องค์มาที่สองที่สามก็น่ั งรองกันลงมาตามลำา ดับ ที่ม าถึ ง
ไม่ นิ ย มวั ย และอาวุ โ สภั น เต แม้ ส ามเณรมาถึ ง ก่ อ นก็ น่ั ง ข้ า ง
หน้าพระ จนถึง องค์สุ ดท้ า ย องค์ แก่ ๆ รุ่น ป่ ้ รุ่ น ทวดสามเณร
มาถึ ง ที ห ลั ง ก็ ต้ อ งนั่ ง อาสนะสุ ด ท้ า ย โดยมิ ไ ด้ มี อ งค์ ใ ดแสดง
กิริยาขวยเขินกระดากอายต่อกันเลย แม้องค์พระพุทธเจ้าเอง
เสด็จมาถึงลำาดับใดก็ประทับอาสนะนั้นที่ควรแก่ผ้มาถึงทีหลัง
ท่านเห็นอาการอย่างนั้ นจึงเกิดความสงสัยว่า พระครั้ง
พุทธกาลไม่มีการเคารพกันบ้างหรืออย่างไรถึงได้ทำาอย่างนี้ ด้
ไม่มีระเบียบงามตาบ้างเลย แล้ วพระพุท ธเจ้า และพระสาวก
ทรงประกาศพระศาสนาให้ประชาชนเคารพนับถือได้อย่างไร
เมื่อพระศาสนาและผ้้นำาของพระศาสนาตลอดผ้้ปฏิบัติศาสนา
อย่ า งใกล้ ชิ ด ประพฤติ ต่ อ กั น อย่ า งไม่ มี ร ะเบี ย บเช่ น นั้ น สั ก
ประเดีย ๋ วธรรมก็ผุดขึ้นมาในใจท่านเอง โดยพระพุทธเจ้าและ
สาวกยั ง มิ ไ ด้ ประทานโอวาทแต่ อ ย่ า งใด ว่ า นี่ คื อ วิ สุ ท ธิ ธรรม
ล้ ว น ๆ ไม่ มี ส มมุ ติ เ ข้ า เจื อ ปนเลย จึ ง ไม่ มี ก ฎข้ อ บั ง คั บ หรื อ
ระเบียบใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่แสดงอย่างนี้ แสดงเรื่องวิสุทธิ
ธรรมที่เป็ นความเสมอภาคทั่วกัน ไม่นิยมว่าอ่อน ว่าแก่ ว่าส้ง
ว่ า ตำ่ า อั น เป็ นเรื่ องของสมมุ ติ นั บ แต่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ลงมาถึ ง
สาวกอรหันต์องค์สุดท้าย จะเป็ นพระหรื อเณรไม่ จำา กัด แต่มี
ความเสมอภาคกั นด้ว ยความบริ สุท ธิ ์ ท่ านแสดงบุ ค คลาธิ ษ
ฐานในลักษณะนี้ เป็ นเครื่องบอกถึงความบริสุทธิข ์ องกันและ
กั น ว่ า ไม่ มี ใ ครยิ่ ง หย่ อ นกว่ า กั น บรรดาพระและเณรที่ เ ป็ น
อรหันต์ด้วยกัน
พอธรรมที่ แ สดงขึ้ น สงบลง ท่ า นนึ กวิ ต กอี ก ว่ า ท่ า น
เคารพกันตามสมมุติน้ันเคารพกันอย่างไรบ้างหนอ พอความ
คิดวิตกระงับลง ภาพของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย
ที่ ป ระทั บ นั่ ง และนั่ ง กั น อย่ า งไม่ มี ร ะเบี ย บอย่้ ข ณะนั้ น ก็ ไ ด้
เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนท่าประทับและท่านั่ง
ใหม่ ทั น ที คราวนี้ ปรากฏว่ า พระพุ ท ธเจ้ า ประทั บ นั่ งเป็ น
ประมุขอย่้ข้างหน้าสงฆ์ สามเณรองค์เล็ก ๆ ที่มาถึงก่อนและ
เคยนั่ งอย่้ ข้ า งหน้ า ก็ ไ ด้ เ ปลี่ ยนเป็ นนั่ งอย่้ สุ ด ท้ า ยอย่ า งมี
ระเบียบงามตาน่ าเคารพเลื่อมใสมาก ขณะนั้นธรรมผุดขึ้นใน
ใจท่ า นว่ า นี่ คื อ ระเบี ย บแล ะขนบปร ะเ พณี ของพ ร ะค รั้ ง

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 117
118

พุทธกาลเคารพกัน ท่านเคารพกันอย่างนี้ แม้เป็ นพระอรหันต์


แล้วแต่ยังอ่อนพรรษาอย่้ ก็จำาต้องเคารพพระอาวุโสที่ปฏิบัติดี
ทั้งที่ยังมีกิเลสภายในใจอย่้
ต่อลำาดับนั้นพระองค์ประทานพระโอวาทว่า พระของเรา
ตถาคตต้องมีความเคารพและสนิ ทสนมกันประหนึ่ งอวัยวะอัน
เดีย วกั น แต่ มิ ไ ด้ ส นิ ท กั น แบบโลก หากแต่ สนิ ท กั นตามแบบ
ของธรรมซึ่ ง เป็ นความเสมอภาคไม่ ลำา เอี ย ง พระของเรา
ตถาคตอย่้ ด้ ว ยกั น แม้ จำา นวนมากก็ ไ ม่ ท ะเลาะกั น ไม่ มี ก าร
เผยอเย่อหยิ่งต่อกัน พระที่ไม่เคารพกันตามหลักธรรมวินัยที่
เป็ นองค์ ศาสดาแทนเราตถาคต มิ ใ ช่ พ ระของตถาคต แม้ จ ะ
เลี ย นแบบของล้ ก ศิ ษ ย์ ต ถาคตก็ คื อ พระที่ เ ลี ย น ๆ อย่้ น่ั น แล
ไม่จริงดังคำาประกาศอวดอ้าง ถ้าพระยังมีความเคารพกันตาม
หลั ก ธรรมวิ นั ย คื อ ตถาคต และเป็ นผ้้ มี ค วามจงรั ก ภั ก ดี ต่ อ
ธรรมวินัยไม่ฝ่าฝื น พระนั้นจะอย่้ท่ีใด บวชเมื่อไร เป็ นชาติช้ัน
วรรณะและออกมาจากสกุลใด ก็คือพระล้กศิษย์เราตถาคตอย่้
นั่ น แล ชื่ อว่ า ผ้้ เ ดิ น ตามเราตถาคต ต้ อ งปรากฏความสิ้ น สุ ด
ทุกข์ ในวัน หนึ่ งแน่ น อน พอประทานพระโอวาทย่ อ จบลง นั บ
แต่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ลงมาต่ า งองค์ ต่ า งหายไปในขณะนั้ น ท่ า น
อาจารย์ เ องก็ สิ้ น สงสั ย ลงในขณะที่ นิ มิ ต มาแสดงบอกอย่ า ง
ชัดเจนนั้นเช่นกัน
แม้ ก ารครองผ้ า ในเวลานั่ ง สมาธิ ห รื อ เดิ น จงกรม พระ
สาวกก็ได้มาแสดงให้ดต ้ ามลำาดับที่เกิดความสงสัยไม่แน่ ใจ ว่า
ไม่ จำา เป็ นต้ อ งครองผ้ า ทุ ก ครั้ ง ไป โดยท่ า นมาแสดงการนั่ ง
สมาธิและเดินจงกรมในท่าครองผ้าและไม่ครองผ้าให้ด้จนสิ้น
ความสงสั ย ทุ ก กรณี ไ ป ตลอดสี ผ้ า สบง จี ว ร สั ง ฆาฏิ อั น เป็ น
เครื่องน่ ุงห่มของพระ ท่านก็แสดงให้ด้ โดยแสดงผ้าสีกรัก คือ
สีแ ก่ น ขนุ น ออกเป็ นสามสี คื อ สี ก รั ก อ่ อ น สี ก รั ก ขนาดกลาง
และสีกรักแก่ให้โดยละเอียด เท่าที่พิจารณาตามท่านเล่าให้ฟัง
แล้วก็พอทราบได้ว่า ท่านทำา อะไรลงไปมักมีแบบฉบับมาเป็ น
เครื่องยืนยันรับรองความแน่ ใจในการทำาเสมอ มิได้ทำาแบบสุ่ม
เดาที่ เ รี ย กว่ า เอาตนเข้ า ไปเสี่ ย งต่ อ กิ จ การที่ ไ ม่ แ น่ ใ จ ฉะนั้ น
ปฏิปทาท่านจึงราบรื่นสมำ่าเสมอตลอดมา ไม่มีข้อที่น่าตำา หนิ
และกระทบกระเทื อ นใด ๆ มาแต่ ต้ น จนอวสาน ซึ่ ง จะหาผ้้
เสมอได้ยากในสมัยปั จจุบัน
บรรดาสานุศิษย์ท่ียึดเอาปฏิปทาท่านไปปฏิบัติ ย่อมเป็ น
ความงามเสมอต้ น เสมอปลายแบบล้ ก ศิ ษ ย์ มี ค ร้ นอกจากที่
ชอบแหวกแนวแบบผี ไ ม่ มี ป่ าช้ า ล้ ก ไม่ มี พ่ อ แม่ ศิ ษ ย์ ไ ม่ มี

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 118
119

อาจารย์ซึ่งอาจมีได้เท่านั้น ปฏิปทาที่ท่านพาดำาเนิ นมาจึงอาจ


ถ้กดัดแปลงไปตามความคิดเห็น นอกนั้ นปฏิ ปทาท่ านนั บ ว่า
ราบเรียบมาก ทั้งนี้ ท่านร้้สึกมีอะไร ๆ ที่พ้ดไม่ออกบอกไม่ถ้ก
อย่้ ภ ายในอย่ า งลึ ก ลั บ เป็ นเข็ ม ทิ ศ พาดำา เนิ น ซึ่ ง ผ้้ ป ฏิ บั ติ ท้ั ง
หลายไม่อาจมีได้อย่างท่าน
การจำาพรรษาของท่านในจังหวัดเชียงใหม่ทราบว่าท่าน
จำา ที่ ห ม่้ บ้ า นจอมแตง อำา เภอแม่ ริ ม ๑ พรรษา ที่ บ้ า นโป่ ง
อำาเภอแม่แตง ๑ พรรษา ที่บ้านกลอย อำาเภอพร้าว ๑ พรรษา
ในเขาอำาเภอแม่สวย ๑ พรรษา ที่บ้านป่ ้พระยาอำา เภอแม่สวย
๑ พรรษา ที่ วั ด เจดี ย์ ห ลวง ๑ พรรษา ที่ บ้ า นแม่ ท องทิ พ ย์
อำา เภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑ พรรษา ที่จังหวัดอุตรดิตถ์
๑ พรรษา ส่วนที่ท่านเที่ยวบำาเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตาม
บ้านป่ าบ้านเขานั้ นจำา ไม่ได้ทุกสถานที่ไป และไม่สามารถนำา
มาเรียงลำาดับพรรษาก่อนและหลังกันได้ เพราะท่านเที่ยวอย่้
แถบจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายนานถึง ๑๑ ปี
ต่ อ ไปจะขอระบุ เ ฉพาะหม่้ บ้ า นที่ ท่ า นพั ก ซึ่ ง เกี่ ยวกั บ
เหตุการณ์เป็ นแห่ง ๆ ไป ที่ไม่จำาเป็ นจะไม่ขอกล่าวถึง ท่านพัก
อย่้ในที่น้ัน ๆ ไม่ว่าจำา พรรษาหรือเที่ยววิเวกธรรมดา เว้นวัด
เจดีย์หลวง นอกนั้นทราบว่าเป็ นป่ าเป็ นเขาซึ่งเป็ นที่เปลี่ยว ๆ
แทบทั้ ง นั้ น และเป็ นการเสี่ ย งต่ อ ภยั น ตรายหลายอย่ า งมา
ตลอดระยะที่ ท่ า นเที่ ย วบำา เพ็ ญ ฉะนั้ นประวั ติ ท่ า นจึ ง เป็ น
ประวัติท่ีสำาคัญมาก ทั้งการเที่ยวธุดงคกรรมฐาน และการร้้
เห็ น ธรรมประเภทต่ า ง ๆ เป็ นเรื่ องแปลกและพิ ส ดารผิ ด กั บ
ประวัติของอาจารย์ท้ังหลายที่เป็ นนักท่องเที่ยวบำาเพ็ญเหมือน
กันอย่้มาก
เริ่มแรกที่ท่านออกปฏิบัติในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ท่านไป
เที่ยวและพักอย่้เพียงองค์เดียว ถ้าเป็ นแบบโลกก็นับว่าเปล่า
เปลี่ยวที่สุด ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงคงแทบไม่หายใจ เพราะ
ความกลัวบังคับอย่้ท้ังวันทั้งคืน ไม่เป็ นอันกินอย่้หลับนอนได้
แต่ สำา หรั บท่ านแล้ ว ในอิ ริ ย าบถทั้ ง สี่ ซึ่ งเป็ นเรื่ องของบุ ค คลผ้้
เดี ย ว ท่ า นถื อ ว่ า มี ค วามสุ ข ทางจิ ต ใจและสะดวกทางความ
เพีย รมาก เพราะการถอดถอนกิ เลส ท่ า นก็ถ อดถอนได้ ด้ ว ย
อำานาจความเพียรของบุคคลผ้้เดียวดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ต่อ
มาค่ อ ยมี พ ระทยอยไปหาท่ า น มี ท่ า นเจ้ า คุ ณ เทสก์ อำา เภอ
ท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ท่านอาจารย์สาร ท่านอาจารย์ขาว
วั ด ถำ้ ากลองเพล เป็ นต้ น แต่ อ ย่้ กั บ ท่ า นชั่ ว ระยะกาลเท่ า นั้ น
ท่านก็ส่ังให้ออกหาที่วิเวกตามที่ต่าง ๆ แถบหม่้บ้านชาวเขาที่

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 119
120

ตั้ ง อย่้ ห่ า ง ๆ กั น ที่ ช ายเขาบ้ า ง บนหลั ง เขาบ้ า ง หม่้ บ้ า นละ


๔-๕ หลังคาเรือนบ้าง ๙–๑๐ หลังคาเรือนบ้าง พอได้อาศัยเขา
ไปเป็ นวัน ๆ ท่านเองก็ชอบอย่้ลำาพังองค์เดียวตามนิ สัย
พระกรรมฐานสมั ย ท่ า นเป็ นผ้้ นำา พาดำา เนิ นครั้ งนั้ น
ปรากฏว่าเด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก เที่ยวแสวงหาธรรมกันแบบ
เอาชี วิ ต เข้ า ประกั น จริ ง ๆ ไม่ อ าลั ย ชี วิ ต ยิ่ ง กว่ า ธรรม ที่ ใ ดมี
สัต ว์ เ สื อชุ ม ท่ า นชอบสั่ ง ให้ พ ระไปอย่้ ท่ี น้ั น เพราะเป็ นที่ ช่ว ย
กระตุ้ น เตื อ นสติ ปั ญญามิ ใ ห้ น่ิ ง นอนใจ ความเพี ย รก็ จำา ต้ อ ง
ติดต่อกันไปเอง และเป็ นเครื่องหนุนจิตใจให้มีกำา ลังขึ้นอย่าง
รวดเร็ ว กว่ า ปกติ ท่ี ค วรจะเป็ น ท่ า นเองก็ พั ก บำา เพ็ ญ เป็ นสุ ข
วิ ห ารธรรมอย่้ ส บาย ในป่ าในเขาที่ ส งั ด ปราศจากผ้้ ค นทั้ ง
กลางวันกลางคืน การติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น เทวบุ ตร
เทวดา อินทร์ พรหม พญานาค ภ้ตผีท่ีมาจากที่ต่าง ๆ ท่านถือ
เป็ นธรรมดา เช่นเดียวกับมนุษย์ติดต่อกับพวกมนุษย์ชาติต่าง
ๆ ที่ร้ภาษากัน เพราะท่านชำานิ ชำานาญในทางนี้ มาช้านานแล้ว
ท่านพักอย่้ท่ีป่าที่เขา โดยมากก็ทำาประโยชน์แก่พวกกาย
ทิ พ ย์ น้ี และพวกชาวเขาซึ่ ง เป็ นคนซื่ อสั ต ย์ สุ จ ริ ต ไม่ ค่ อ ยมี
แง่งอนต่าง ๆ เวลาเขาร้้นิสย ั และซาบซึ้งในธรรมท่านแล้ว เขา
เคารพเลื่อมใสท่านมากแบบเอาชีวิตเข้าประกันได้เลย คำา ว่า
ชาวป่ าชาวเขา เช่น พวกอีก้อ ขมุ ม้เซอ แม้ว ยางเหล่านี้ ตาม
ความคาดหมายของคนทั่วไป เข้า ใจว่า เขาเป็ นคนป่ าคนเขา
ร้ปร่างทั้งหญิงทั้งชายต้องขี้ริ้วขี้เลอะตัวดำากำาโคลนราวกับตอ
ตะโกแน่ ๆ แต่ ท่านว่ าคนพวกนี้ ร้ ปร่ างหน้า ตาสวยงาม และ
ขาวสะอาดสะอ้าน กิริยาเรียบร้อย มีระเบียบขนบธรรมเนี ยม
ดี เคารพนั บ ถื อ ผ้้ ใ หญ่ แ ละผ้้ เ ป็ นหั ว หน้ า ในหม่้ บ้ า นดี ม าก
สามั ค คี กั น ดี ไม่ ค่ อ ยมี ป ระเภทแหวกแนวแฝงอย่้ ใ นหม่้ บ้ า น
เหล่านั้นในสมัยนั้น มีความเชื่อถือผ้้ใหญ่และหัวหน้าบ้านมาก
หั ว หน้ า พ้ ด อะไรชอบเชื่ อฟั งและทำา ตาม ไม่ ด้ ื อดึ ง ฝ่ าฝื น สั่ ง
สอนก็ ง่ ายไม่ ค่ อ ยมี ทิ ฐิ ม านะ คำา ว่ า ป่ าแทนที่ จ ะเป็ นป่ าเถื่ อน
แบบสัตว์ แต่กลับเป็ นป่ าแห่งคนดีมีสัตย์มีศีล ไม่มีการฉกลัก
ขโมยปล้นจี้กันเหมือนป่ ามนุษย์ล้วน ๆ
ป่ าไม้ป่าสัตว์เป็ นป่ าที่ไม่ค่อยได้ระเวียงระวังมากเหมือน
ป่ ามนุษย์ล้วน ๆ ที่เต็มไปด้วยภัยนานาชนิ ด กิเลส ความโลโภ
โทโส โมโห เป็ นป่ าลึกลับชนิ ดที่โดนเอา ๆ ไม่เว้นแต่ละเวลา
เมื่ อโดนเข้ าแล้ ว ต้ องเป็ นแผลลึ ก อย่้ภ ายใน และคอยทำา ลาย
สุ ข ภาพทางร่ างกายและจิ ต ใจให้ เ กิ ด ทุ ก ข์ เ สี ย หายไปนาน ๆ

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 120
121

ไม่ค่อยมีวันหายได้เหมือนแผลชนิ ดอื่น ๆ และไม่ค่อยสนใจหา


ยามาระงับหรือกำา จัดกันด้วยแผลลึกที่กิเลสเหล่านี้ ตำา จึงมัก
จะเป็ นแผลเรื้ อรั ง ผ้้ ถ้ ก ตำา ก็ มั ก ปล่ อ ยทิ้ ง ไว้ ใ ห้ ห ายไปเอง ป่ า
ประเภทนี้ มี อ ย่้ ใ นใจของมนุ ษ ย์ ห ญิ ง ชายพระเณรทุ ก คนไม่
เลื อ กหน้ า ถ้ า เผลอก็ เ สี ย ท่ า ให้ มั น จนได้ ท่ า นว่ า เท่ า ที่ ท่ า น
พยายามอย่้ ในป่ าก็เ พื่อ จะกำา จั ดตั ดป่ าเสือ ร้า ยภายในตั ว คึก
คะนองและโหดร้ายทารุณไม่มีวันสงบซบเซาลงบ้างเลยนี้ ให้
สงบหรื อ ตายไปจากใจ พอได้ อ ย่้ ส บายหายวุ่ น บ้ า ง สมกั บ
มนุษย์เป็ นสัตว์ฉลาดแสวงหาความสุขใส่ตนในเวลาที่ได้เกิด
มาเป็ นคนทั้งชาติ ไม่ขาดทุนส้ญอำานาจวาสนาแห่งความเป็ น
มนุษย์ไปเปล่า ๆ
ท่ า นอย่้ ป่ าอย่้ เ ขาเช่ น นั้ น เวลามี ห ม่้ ค ณะไปอาศั ย ท่ า น
การอบรมสั่งสอนก็เด็ดเดี่ยวไปตามสถานที่และผ้้ไปเกี่ยวข้อง
เพราะผ้้ท่ีไปหาท่านโดยมากมักมีแต่ผ้กล้าตายแบบเสี ยสละ
ทุกอย่างแล้วทั้งนั้น การสั่งสอนจึงทำาให้สมภ้มิท้ังสองฝ่ าย จะ
ตายก็ยอมให้ตายไปด้วยความเพียร เมื่อชีวิตยังเป็ นไปอย่้ก็ขอ
ให้ร้ให้เห็ นธรรมและหลุ ดพ้ นจากทุกข์ ภายในใจ ไม่ ต้อ งกลั บ
มาเกิ ด ตายและทนทุ ก ข์ ซ้ ำ าซากอย่้ ใ นโลกไม่ มี ข อบเขตแห่ ง
ความสิน ้ สุดนี้
การอบรมสั่งสอนพระในคราวอย่้เชียงใหม่ผิดกับแต่ก่อน
อย่้ ไม่ มี ก ารอนุ โ ลมผ่ อ นผั น ใด ๆ เลย แม้ พ ระที่ ไ ปอบรมกั บ
ท่ า นโดยมากก็ เ ป็ นพระประเภทปฏิ โ ลม ฟั งกั น แบบปฏิ โ ลม
คือคอยจ้องมองด้กิเลสของตัวจะแสดงขึ้นมาอย่างไรบ้าง เพื่อ
ปราบปรามให้ ห ายพยศลดกำา ลั งโดยถ่า ยเดี ยว มิไ ด้ไ ปสนใจ
คิ ด ว่ า ท่ า นเทศน์ห นั ก ไป เผ็ ด ร้ อ นไป ยิ่ ง ท่ า นเทศน์เ ผ็ ด ร้ อ น
เท่ า ไร ธรรมก็ ย่ิ ง ส้ ง ขึ้ น เป็ นลำา ดั บ ใจก็ ย่ิ ง สงบแนบแน่ นดี
สำาหรับผ้้ท่ีอย่้ในขั้นสงบ ผ้้อย่้ในขั้นปั ญญาจิตก็พยายามคิดค้น
ตามคำา เทศน์ท่ า นไปเรื่ อยไม่ ล ดละ ท่ า นอย่้ เ ชี ย งใหม่ เ ทศน์
ธรรมส้งมาก เพราะความร้้ท่านก็เต็มภ้มิ ผ้้ไปศึกษาอบรมก็มี
ภ้มิจิตส้ง และเป็ นไปด้วยความหมายมั่นปั้ นมือที่จะให้ร้ให้เห็น
ขั้นส้งขึ้นไปเป็ น ลำา ดับจนสุดภ้มิ นอกจากเทศน์ธรรมดาแล้ว
ยิ่งมีธรรมแปลก ๆ คอยดักใจผ้้คิดออกนอกล่้นอกทางอีกด้วย
ประเภทหลังนี้ มีอำานาจมากในการดักจับและปราบโจรภายใน
ของพระที่ชอบขโมยสิ่ง ของเก่ง แบบไม่เ ลื อ กกาลสถานที่ คื อ
ขโมยคิ ดเรื่ องร้อยแปดตามนิ สัยของคนมีกิ เ ลส มิ ใ ช่ แ บบเขา
ขโมยกันทั่ว ๆ ไป

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 121
122

มาถึ ง ตอนนี้ มี เ รื่ องแปลก ๆ ที่ ไ ม่ น่ าจะมี ไ ด้ แต่ ก็ ไ ด้ มี


แทรกขึ้ น ในวงกรรมฐานมาแล้ ว สมั ย ท่ า นพั ก อย่้ ใ นเขาที่
เชียงใหม่ จึงขออภัยเขียนไว้บ้างตามที่ได้ยินมา เพื่อเป็ นข้อคิด
และเป็ นคติ เ ตื อ นใจแก่ ช าวเราต่ า งก็ กำา ลั ง ตกอย่้ ใ นภาวะ
ทำา นองเดี ย วกั น เรื่ องนี้ คิ ด ว่ า เป็ นเรื่ องกรรมกั น โดยมาก
บรรดาที่ ได้ ท ราบกั น ในวงใกล้ ชิ ด มี ท่ า นพระอาจารย์ ม่ั น
เป็ นต้น ผ้้ให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ พอได้เป็ นข้อคิดตลอดมา
พระอาจารย์ร้ปหนึ่ งซึ่งเคยอย่้กับท่านอาจารย์ม่ันเล่าให้ฟังว่า
บ่าย ๆ วันหนึ่ งท่านกับพระอีกร้ปหนึ่ งไปอาบนำ้าที่แอ่งหิน ใกล้
กับ หนทางไปไร่ ไ ปสวนของชาวบ้ า นแถบนั้ น แต่ อ ย่้ ห่ า งไกล
จากหม่้ บ้ า นมาก ขณะลงอาบนำ้ าเผอิ ญ มี พ วกสี ก ามาจากไร่
เดิ น ผ่ า นมาที่ ต รงนั้ น ซึ่ ง แต่ ก่ อ นไม่ เ คยมี เ ลย พอพระร้ ป นั้ น
เจอเข้าจิตก็เกิดแปรปรวนขึ้นมาทันทีทันใด โดยไม่ทันได้มีสติ
ยั บ ยั้ ง เอาเลย จึ ง เกิ ด เป็ นไฟราคะตั ณ หาเผาลนตั ว เองขึ้ น ใน
ขณะนั้นและร้อนสุมอย่้ตลอดไป พยายามแก้ไขเท่าไรก็ไม่ตก
ทั้ ง กลั ว ท่ า นอาจารย์ จ ะทราบก็ ก ลั ว ทั้ ง กลั ว เจ้ า ตั ว จะเสี ย ไป
เพราะเรื่องนี้ ก็กลัว เลยทำาให้พระร้ปนั้นตั้งตัวไม่ติด
นับแต่ขณะนั้นไปถึงกลางคืน จนตลอดคืนที่พิจารณากัน
อย่้อย่างไม่หยุดยั้งลดละ เพราะความไม่เคยเป็ นมาก่ อนเลย
เพิ่ ง มาเจอเอาขณะนั้ น ท่ า นจึ ง ร้้ สึ ก เป็ นทุ ก ข์ ม าก ในคื น นั้ น
ท่า นอาจารย์ ก็ พิ จ ารณาทราบเช่ น กั น ว่ า พระร้ ป นี้ ไ ปเจอเอา
ของดี เ ข้ า แล้ ว กำา ลั ง เกิ ด ความกระวนกระวายด้ ว ยความรั ก
และความกลั ว ตลอดคื น มิ ไ ด้ ห ลั บ นอนด้ ว ยความพยายาม
แก้ ไ ขอย่ างสุ ด กำา ลั ง ตื่ นเช้ า ขึ้ น มาท่ า นก็ มิ ไ ด้ ว่ า อะไร เพราะ
ทราบว่าเจ้าตัวกำาลังกลัวท่านมากแล้ว ถ้าไปว่าเข้าเดีย ๋ วเกิด
เป็ นอะไรไปก็ ย่ิ ง จะแย่ เ ข้ า ไปอี ก ท่ า นแสดงอาการยิ้ ม ต่ อ
พระองค์น้ันขณะที่มาพบกันตอนเช้า ด้อาการของเธอทั้งอาย
ทั้งกลัวท่านมากแทบตัวสั่น ท่านก็ทำา อาการเป็ นไม่ร้ไม่ช้ีเฉย
ๆ ไปเสีย
พอถึ ง เวลาบิ ณ ฑบาต ท่ า นเลยหาอุ บ ายพ้ ด เพื่ ออะไรก็
ยากจะเดาได้ ถ้ ก ว่ าท่ าน … .. กำา ลั ง เร่ ง ภาวนาอย่ า งเอาจริ ง
เอาจัง จะเร่งต่อไปไม่ต้องไปบิณฑบาตก็ได้ ไปแต่พวกเราก็ยัง
ได้ พระเพียงองค์เดียวจะเลี้ยงไม่ได้อย่างไร ท่านอยากภาวนา
ต่ อ ก็ ไ ปภาวนาเสี ย ภาวนาเผื่ อหม่้ ค ณะด้ ว ยนะ แต่ ท่ า นมิ ไ ด้
มองด้พระร้ปนั้ นเลย เพราะท่านทราบดีย่ิงกว่าพระร้ปนั้ นจะ
ทราบเรื่ องของตั ว อย่้ แ ล้ ว ว่ า แล้ ว ท่ า นก็ นำา หม่้ ค ณะออก

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 122
123

บิณฑบาต ส่วนพระร้ปนั้นก็จำาใจเข้าทางจงกรมทำาความเพียร
ทั้ ง นี้ ท่ า นทำา เพื่ ออนุ เ คราะห์ พ ระที่ เ ป็ นขึ้ น ด้ ว ยความบั ง เอิ ญ
ไม่ มี เ จตนา แต่ สุ ด วิ สั ย จะห้ า มได้ ท่ า นก็ ท ราบว่ า พระร้ ป นั้ น
พยายามอย่้ อย่ างเต็ มใจที่ จะแก้เ รื่องของตั ว จึ ง ต้ อ งหาอุ บ าย
ช่วยด้วยวิธีต่าง ๆ โดยมิให้กระทบกระเทือนจิตใจเธอแต่อย่าง
ใด
เวลากลั บ จากบิ ณ ฑบาตมาถึ ง ที่ พั ก แล้ ว ก็ พ ร้ อ มกั น จั ด
อาหารใส่บาตรเธอ และสั่งให้พระไปนิ มนต์เธอมาฉัน หรือจะ
ฉัน ณ ที่อย่้ของตนก็ได้ตามแต่สะดวก พอทราบเธอก็รีบมาฉัน
ร่วมหม่้คณะ ขณะเธอเดินมาท่านก็ทำา เป็ นไม่ร้ไม่เห็นไม่มอง
แต่พ้ดอย่างนิ่ มนวลอ่อนหวาน เพื่อประสานใจที่เป็ นรอยร้าว
ตลอดมานั้น ไม่ปรารภเรื่องที่จะทำาให้เสียใจใด ๆ เลย แม้เธอ
จะมาฉันร่วมหม่้คณะ แต่ก็ฉน ั ได้นิดเดียว พอเป็ นพิธีไม่ให้เสีย
มรรยาทเท่านั้ น วันนั้ นพระที่อย่้ด้วยกันสองร้ ปคื อร้ ปที่ เล่ านี้
ด้ ว ย เพราะแต่ ก่ อ นท่ า นยั ง ไม่ ท ราบเรื่ อง พากั น เกิ ด ความ
สงสัยโดยคิดว่า แต่ก่อนท่านอาจารย์ไม่เคยทำาอย่างนี้ กับใคร
เลย แต่ ม าคราวนี้ ท่ า นทำา ไมถึ ง ทำา อย่ า งนี้ กั บ ท่ า น …… นี้
ชะรอยท่านคงภาวนาดีแน่ ๆ ท่านถึงได้ช่วยสนั บสนุน พอได้
โอกาสก็ แ อบไปหาท่ า น … ..นั้ น ถามถึ ง การภาวนาว่ า ท่ า น
อาจารย์ว่าท่านกำา ลังเร่งความเพียรจึงไม่ให้ไปบิณฑบาต แต่
ท่านมิได้บอกว่าท่านภาวนาดี ที่น่ี การภาวนาท่านเป็ นอย่างไร
บ้าง นิ มนต์เล่าให้ผมฟั งบ้าง
พระร้ ปนั้ นก็ ยิ้ ม แห้ ง ๆ แล้ ว ตอบว่ า ผมจะภาวนาดี ยั ง ไง
ท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็ทำาท่าช่วยเสริมไปตามอุบาย
แห่งความฉลาดของท่านอย่างนั้นเอง ผ้้ถามเซ้าซี้ให้เล่าให้ฟัง
ตามความจริง ต่างก็ไล่กันไปเลี่ยงกันมาอย่้พักหนึ่ ง และถาม
ว่ า ที่ ว่ า ท่ า นอาจารย์ เ ห็ น คนจะตายท่ า นก็ ช่ ว ยเสริ ม ไว้ น้ั น จะ
ตายอย่ า งไร และช่ ว ยเสริ ม อย่ า งไร? เมื่ อทนไม่ ไ หวเธอก็
กำาชับว่า ไม่ให้เล่าถวายท่านอาจารย์ทราบ เพราะท่านทราบ
เรื่องของผมละเอียดแล้ว ยิ่งกว่าผมทราบเรื่องของตัวเป็ นไหน
ๆ ฉะนั้ นผมจึงกลั วและอายท่า นมาก แล้ว พ้ดต่ อไปว่ า วานนี้
เราไปอาบนำ้ าด้ ว ยกั น ที่ แ อ่ ง หิ น ท่ า นได้ เ ห็ น อะไรบ้ า งขณะ
กำาลังจะอาบนำ้า ร้ปที่ถามตอบว่าก็ไม่เห็นเห็นอะไร นอกจากผ้้
หญิงที่พากันมาจากไร่ผ่านไปบ้ านตอนพวกเรากำา ลัง จะอาบ
นำ้านั้นเท่านั้น

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 123
124

พระที่ ถ้ ก ถามตอบว่ า นั่ น แลท่ า นที่ ผ มจะตายอย่้ ข ณะนี้


จนถึงกับท่านอาจารย์ไม่ยอมให้ผมไปบิณฑบาต ท่านกลัวจะ
ไปสลบหรือตายอย่้ในบ้านขณะที่จะไปเจอเข้าอีกอย่างไรเล่า
ผมจะภาวนาดีอย่างไร ท่านทราบหรือยังว่าคนจะตายนั้นหรือ
คือคนภาวนาดี องค์ท่ีถามตกตะลึง โอ้โฮตายจริง ท่านไปเป็ น
อะไรกับเขาพวกนั้นเข้าล่ะ ร้ปนั้นตอบว่า ผมจะไปเป็ นอะไรกับ
เขา นอกจากไปขโมยรักเขาเข้าโดยไม่ร้สึกตัว จนกรรมฐาน
แตกกระเจิงไปหมด ปรากฏแต่ความสวยงามกับความบ้ารัก
ของผมเท่านั้น เหยียบยำ่าทำา ลายหัวใจผมแทบตายทั้งคืนเมื่อ
คืนนี้ แม้เดีย
๋ วนี้ ก็ยังไม่ลดละเรื่องบ้านั่นเลย ไม่ทราบว่าจะทำา
อย่างไรกับมัน ท่านช่วยผมหน่ อยได้ไหม นับว่าเมตตาเอาบุญ
องค์ถาม เวลานี้ ก็ยังไม่ลดลงบ้างหรื อ? เปล่า เธอตอบ
ซึ่งเป็ นคำาที่น่าสงสารเอามากมาย องค์ถาม ถ้าอย่างนั้นผมจะ
ช่วยให้อุบายท่าน คือถ้าท่านไม่สามารรถระงับมันได้ ท่านฝื น
อย่้ท่ีน่ี ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากมันจะกำา เริ บขึ้ น
เท่านั้น ผมว่าท่านควรหลีกจากที่น่ี ไปหาภาวนาเสียที่อ่ ืนจะดี
กว่า ถ้าท่านไม่สามารถกราบเรียนท่านอาจารย์ได้ ผมจะช่วย
กราบเรียนท่านให้ ว่าท่านประสงค์จะไปแสวงหาที่วิเวกใหม่
เพราะอย่้ท่ีน่ี ไม่สบาย เข้าใจว่าท่านคงจะอนุญาตทันที เพราะ
ท่านก็ทราบเรื่องท่านดีอย่้แล้วโดยปริยาย เป็ นแต่ท่านยังไม่
พ้ดเท่านั้น เกรงท่านจะอายท่าน เธอก็เห็นดีด้วยและตกลงกัน
ในขณะนั้น
พอตกเย็ น ท่ านที่ จ ะช่ ว ยอนุ เ คราะห์ ก็ เ ข้ า ไปกราบเรี ย น
ท่ า นอาจารย์ ท่ า นก็ อ นุ ญ าตทั น ที แต่ มี ปั ญหาเหน็ บ แนมมา
ด้วยอย่างลึกลับว่า โรคกรรมนี้ มันหายยาก โรคที่มีเชื้อเดิมอย่้
แล้วติดต่อลุกลามได้เร็ว เท่านี้ ท่านก็หยุดไม่พ้ดอะไรต่อไปอีก
แม้ผ้ไปกราบเรียนก็ไม่เข้าใจปั ญหาท่าน เรื่องนี้ ต่างคนต่างปิ ด
กั น คื อ ผ้้ เ ป็ นก็ ปิ ดท่ า นอาจารย์ ผ้้ อ นุ เ คราะห์ ช่ ว ยเหลื อ ก็ ปิ ด
ท่านอีก แม้ท่านอาจารย์เองก็ปิด ทั้งที่ทราบอย่างเต็มใจแล้วก็
ทำา เป็ นเหมือนไม่ทราบ ต่างคนต่างไม่ยอมบอกความจริงต่อ
กัน แต่ต่ างฝ่ ายต่ างก็ ร้ เ รื่ องได้ ดี ด้ ว ยกัน วั น หลั ง เธอก็เ ข้ า ไป
กราบนมัสการลาท่าน ท่านก็อนุญาตให้ไปด้วยดี โดยมิได้พ้ด
เรื่องเธอแต่อย่างใด
เธอไปพักอย่้ในหม่้บ้านแห่ งหนึ่ ง ซึ่ง ไกลจากหม่้ บ้า นนั้ น
มาก ถ้ามิใช่กรรมดังท่านอาจารย์ว่าจริง ๆ ก็คงหวังพ้นภัยได้
แน่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีก แต่ก็เจ้ากรรม อนิ จจาเป็ นดังท่าน

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 124
125

ว่าไม่ผิดแม้กระเบียดเดียว พอเธอหายหน้าไปจากบ้านนั้นไม่
นานนั ก ล้ ก ศรที่ อ ย่้ ท างนี้ ก็ ค งเจ้ า กรรมอย่ า งเดี ย วกั น อี ก
อุตส่าห์ด้นดั้นเปะปะไปหาจนเจอเข้าจนได้ ซึ่งธรรมดาผ้้หญิง
ป่ าไม่เคยเป็ นไปอย่างนั้น แต่ก็ได้เป็ นไปแล้ว จึงเป็ นเรื่องน่ า
คิดอย่างยิ่ง หลังจากท่านอาจารย์และหม่้คณะจากหม่้บ้านนั้น
ไปไม่นานนัก ก็ทราบว่าพระองค์น้ันสึกเพราะดมยาสลบซำ้า ๆ
ซาก ๆ จนทนไม่ ไ หว สุ ด ท้ า ยกรรมก็ พ าหมุ น กลั บ มาได้ เ สี ย
เป็ นค่้ผัวตัวเมียกัน กับสาวงามชาวเขาเผ่าม้เซอคนนั้นที่บ้าน
นั่นเอง นับว่ากรรมเอาเสียจริง ๆ ถ้าไม่กรรมแล้วจะเป็ นไปได้
อย่างไร
เพราะเท่าที่ พ ระองค์ น้ั นเล่ า ให้ ฟั งขณะที่ ใ จเริ่ ม กำา เริ บ ที
แรก ก็เ พิ่ ง เริ่ ม พบกั น ขณะเดี ย วเท่ า นั้ น มิ ไ ด้ เ คยพบเห็ น และ
พ้ดจาพาทีกันที่ไหนมาก่อนเลย ข้อนี้ บรรดาพระที่อย่้ร่วมกัน
มา ก็ยอม

ประวัติท่านพระอาจารย์มัน
่ ภูริทัตตเถระ 125

You might also like