Professional Documents
Culture Documents
จตุ
จตุ
เพราะมีศรัทธาและการตลาดเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่
มิตรร่วมโลกคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตกับผู้เขียนว่า การที่สังคมไทยคลั่งไคล้จตุคามรามเทพนั้น น่าจะเป็นเพราะสังคมไทย
อยู่ในภาวะขาดที่พึ่ง คนจึงวิ่งหาที่พึ่งกันเป็นแถว แต่ผู้เขียนแย้งว่า คนไทยไม่ได้ขาดที่พึ่งแม้สักนิด เพราะอะไรก็ตามที่ถือกันว่า
เป็นที่พึ่งของคนไทยนั้น ทุกอย่างยังคงอยู่ครบเหมือนเดิม ดังนั้น สิ่งที่คนไทยขาด กล่าวอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ก็คือ คนไทย
กำาลังขาด "สภาพคล่องทางการเงิน " มากกว่า การที่คนวิ่งหาจตุคามรามเทพนั้น ลองมองให้ลึกๆ ถึงคติในการนับถือก็จะพบว่า
แท้ที่จริงคนไทยต้องการที่พึ่งหรือเงินกันแน่
ปรัชญาของจตุคามรามเทพที่สมมติกันขึ้นมาก็คือ "เธอมีฉันไว้ไม่จน" และชื่อรุ่นแต่ละรุ่นส่วนใหญ่จะสะท้อนปรัชญานี้
ทั้งหมด เช่น รวยไม่รู้จบ รวยไม่มีเหตุผล รวยมหาศาล รวยเงินล้าน รวยทรัพย์นับหมื่นล้าน รวยล้นฟ้า คำาว่า "รวย" ซึ่งถูกนำามา
ใช้เป็นชื่อรุ่นจตุคามรามเทพ สะท้อนสิ่งที่คนไทยขาดอย่างไม่ปิดบัง ดังนั้น ยำ้ากันชัดๆ คนไทยไม่ได้ขาดที่พึ่งในความหมายที่ว่า
ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้เกิดความอบอุ่นและปลอดภัย แต่คนไทยขาดที่ พึ่งทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ขาดเงินเท่านั้น
นอกจากเงินแล้ว หากวิเคราะห์ต่ อไป ก็จะพบว่า คนไทยยังขาดความรู้ ความรู้สึก จิต สำา นึกสาธารณะ และขาด
ปัญญาที่เป็นกลางด้วย
ขาดความรู้ คือ คนไทยพุทธกว่าร้อยละ ๘๐ (รวมทั้งผู้เขียนด้วย) ปากบอกว่า เป็นชาวพุทธ แต่กลับไม่รู้จักหลักธรรม
คำาสอนของพระพุทธเจ้าเอาเสียเลย ลองคิดดูง่ายๆ คำาว่า "จตุคามรามเทพ" นั้น ก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า ไม่ใช่คำาที่แสดงหลักคิดทาง
พุทธศาสนา คำาว่า "จตุคาม" นั้น เป็นคำาเพี้ยนเสียงมาจาก "ขัตตุคาม" ซึ่งแต่เดิมคำานี้ (น่าจะ) มาจากคำาว่า "ขันธกุมาร" อีกที
หนึ่ง พระขันธกุมารเป็นเทพองค์หนึ่งในระบบความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ส่วนรามเทพนั้น ไม่ต้องการคำาอธิบายมาก "ราม"
ก็คือ พระรามนั่นเอง
ศัพท์ที่แปลว่า "กษัตริย์" ตามพระคัมภีร์ อภิธานปฺปทีปิกา ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ มี ๕
ศัพท์ เป็นรูปศัพท์บาลีว่า ราชญฺโญ, ขตฺติโย, ขตฺตำ, มุทฺธาภิสิตฺต และ พาหุชา ถอดจากรูปนามนาม (Nominative) เป็นราก
ศัพท์ (Root) ได้ว่า ราชญฺญ, ขตฺติย, ขตฺต, มุทฺธาภิสิตฺต และ พาหุชา
"ขตฺตุ" มีปัญหาที่ สระ "อุ" ถ้ารู้ที่มาของสระ "อุ" ปัญหาก็คลี่คลาย -- สระ "อุ" เป็นสระปัจจัย (Termination Vowel)
สำาหรับลงประกอบท้ายคำานามให้มีความหมายพิเศษมากขึ้น ขตฺต + ณุ (ณุ เป็นปัจจัย) -- ลบ ณ ออก จึงเป็น ขตฺตุ
เป็นอันว่า "ขตฺตุ" มีแน่ แต่ความหมายที่แท้จริงตาม "พระบาฬีลิปิกรม" ของท่านพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละ
ลักษณ์) ท่านพูดถึงเพียง และความหมายยังคลุมเครือ ว่า ขตฺติ ว่าขุด คือตระกูลกษัตริย์ผู้ชายฯ ขตฺติ ขตฺตุ สืบสายว่าคำาตอบ
ถ้อยคำา
จากหนังสือ "บาลี-สยาม อภิธาน" ของพระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) ที่ไหว้วานให้เขาไปลอกมาจากหอสมุด
ของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ท่านให้ความหมายสั้นๆ แต่ชัดแจ้งดี ว่า ขตฺตุ คือ สารถี นายประตู และจากหนังสือ
"อภิธานปฺปทีปิกา สูจิ" ท่านเรียบเรียงไว้เป็นภาษาบาลีว่า ขตฺตุ = สูเต สารถมฺหิ, ปฏิหาเร วจนาหาเร, ทวารปาลเก ติ ความ
หมายก็คือ สูเต (สูต) คือ สารถี; ปาฏิหาเร (ปาฏิหาร) คือ ปาฏิหารย์; ทวารปาลิเก (ทวาร+ปาล+ก) คือ คนเฝ้าประตู หรือ นาย
ประตู
ที่มีข้อมูลว่า ใต้ฐานเทวรูปหน้าประตูทางขึ้นลานประทักษิณของพระบรมธาตุ องค์ทางซ้ายมือใต้ฐานมีจารึกว่า "ท้าว
ขัตตุคาม" องค์ทางขวามือใต้ฐานมีจารึกว่า "ท้าวรามเทพ" ก็เลยอยากรู้ว่า ท้าวขัตตุคาม หมายถึงเทวรูปองค์ใด มีนามว่า
อย่างไร มีที่มาอย่างไร
จากการค้นคว้าจากหนังสือมากมายและปรึกษาผู้รู้หลายท่าน "ขตฺตคุ าม รามเทพ" ที่จริงแล้วเป็นเพียงเทพที่มีอิทธิพล
ของพราหมณ์ จากรามายณะ ที่เป็นรากฐานการปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ หลักฐานสำาคัญซึ่งเราสามารถ
เห็นได้ชัดเจนก็คือพระปรมาภิไทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ลงไว้ในหนังสือสำาคัญว่า "ราม" ขตฺตุ ตีความ
หมายได้ว่า กษัตริย์ ; คาม ตีความ หมายได้ว่า ที่อยู่ บ้าน หมู่บ้าน เมือง; ราม ตีความหมายได้ว่า องค์อวตารของพระนารายณ์ ;
เทพ ตีความหมายได้ว่า เทวดา; ตีความหมายรวมได้ว่า "เทวดาอันเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ได้มาเป็นกษัตริย์ ณ บ้าน
เมืองแห่งนี้" ซึ่งจริงๆ แล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงประโยคสามัญๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และรามายณะแต่เพียง
เท่านั้น
เรื่ อ งของ "จตุ ค าม-รามเทพ" ทราบประวั ติ เ พี ย งว่ า พล.ต.ต. ขุ น พั น ธรั ก ษ์ ร าชเดช เป็ น ผู้ ส ร้ า งศาลหลั ก เมื อ ง
นครศรีธรรมราช ตอนสร้างศาลหลักเมือง ท่านได้เปลี่ยนจาก "ขัตตุคาม รามเทพ" เป็น "จตุคาม รามเทพ" เนื่องด้วยต้องการนำา
เทวดาทั้งสี่ที่คุ้มครองโลกมนุษย์มาปกปักรักษาเมืองนครศรีธรรมราช ตามความเชื่อทางไสยเวท คำาว่า "จตุคาม-รามเทพ" จึงมี
ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๒๘ ขุนพันธ์เป็นผู้ออกชื่อนี้ และไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มารองรับเรื่อง"จตุคามรามเทพ" แต่อย่างใด มี
แต่เพียงรามเทพ ซึ่งคู่กับ "ขัตตุคาม" ซึ่งเป็นเทพารักษ์เกาะลังกา สองในสี่องค์ คือ ขัตตุคามเทพ รามเทพ สุมนเทพ และลักขณ
เทพ -- ลักขณเทพคือตำานานไทย แต่ตำานานลังกา คือนาถเทพ หรือพระอวโลกิเตศวร -- ซึ่งที่ทางขึ้นปรากฎรูปเทพสี่องค์ ที่บาน
ประตูสององค์ รูปปั้นสององค์ สันนิษฐานว่าเป็นเทพสี่องค์ที่รักษาเกาะลังกา แล้วไทยรับมาเป็นเฝ้าพระธาตุ แบบลังกาที่
นครศรีธรรมราช ถ้าสืบประวัติจริงๆ ก็เจอเรื่องคติพระวิษณุอวตาร คติเทพเฝ้าพระธาตุของวัชรยาน คติมหายานของไศเลนทร์
ในเอกสาร "โองการลุยเพลิง" ในกฎหมายตราสามดวง บัญญัติเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๘๙ (ซึ่งอาจมีการแก้ไขภายหลัง) ตอน
อัญเชิญเทพมาเป็นพยานในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย เป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ ความว่า
อีกทังพระกาลพระกุลี ขัตุคามี
พระรามเทพชาญไชย
อนึ่ง การเปลี่ยน "ขัตตุ" เป็น จตุ" จึงทำาให้คนที่ไม่รู้ สับสนเป็นอย่างมากว่า "จตุ" ซึ่งควรจะแปลว่า "สี่" แต่เทวรูปกลับมี
เพียงหนึ่งซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง ความจริงจึงเป็น "ขัตตุ" ซึ่งแปลว่า คนเฝ้าประตู หรือนายประตู (ทวารปาลก) ตามความ
เข้าใจของผู้เขียน รวมแล้วหมายถึง "มหาราชทั้งสี่ที่ครองสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา" ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นตำ่าที่สุด มีบทบาลีปรากฏใน
อาฏานาติยสูตร และอธิบายขยายความตามหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์ ของพระราชวรมุนี ที่กล่าวเรื่อง
ท้าวมหาราช เทวดาสี่องค์ผู้รักษาโลกในสี่ทิศ ท้าวโลกบาลทั้งสี่ มีดังนี้
ปุริมหิสํ ธตรฏฺโฐ (ท้าวธตรฏ อยู่ประจําทิศบูรพา) จอมคนธรรพ์ ครองทิศตะวันออก
ทกฺขิเณน วิรุฬหโก (ท้าววิรุฬหก อยู่ประจําทิศทักษิณ) จอมกุภัณฑ์ ครองทิศใต้
ปจฺฉิเมน วิรูปกฺโข (ท้าววิรูปักข์ อยู่ประจําทิศประจิม) จอมนาค ครองทิศตะวันตก
กุเวโร อุตตฺ รํ ทิสํ (ท้าวกุเวร อยู่ประจําทิศอุดร) จอมยักษ์ ครองทิศเหนือ
จตฺตาโร เต มหาราชา (มหาราชทั้งสี่นั้นเป็นผู้มียศ รักษาโลกอยู่)
ทุกวันนี้สังคมไทยกลายเป็นสังคมหลักลอยทางความเชื่อและไม่มีจริยธรรมทางปัญญาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เห็น
สภาพแล้ว อยากนำาบทกลอนของกวีหญิงนิรนามท่านหนึ่งที่พรรณนาสภาพกรุงเทพฯ เมืองไทยในตอนนี้ว่า
กําแพงแก้วแววไวไสวสว่าง ยังมาสร้างจตุคามงามหน้าเหลือ
มาทิ้งธรรมสยบเทพเสพเป็นเบือ โอ้ว่าเรือประเทศไทยบรรลัยแล้ว
ปกป้อง วงศ์แก้ว
เตรสมดิถี อาษาฒมาส พุทธศักราช ๒๕๕๐