Professional Documents
Culture Documents
4.3 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
ก่อนที่ผู้ศึกษาจะอธิบายถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเลือกทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี
ผู้ศึกษาขอแนะนำาบุคคลผู้ให้ข้อมูลสำาคัญในการศึกษาครั้งนี้เกี่ยวกับรู ปแบบในการทำาเกษตรกรรม
ของแต่ละคนในปีปัจจุบัน (พ.ศ. 2548) ซึ่งมีทั้งหมด 21 คน ดังนี้
การที่เกษตรกรผู้ใดตัดสินใจเลือกว่าจะปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตไปสู่การทำาเกษตรกรรม
ไร้สารเคมี หรือยังคงยึดมั่นกับการทำาเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีอยู่ดังเดิมนั้น ผู้ศึกษาพบว่าถือเป็น
เรื่องที่เกี่ยวโยงกับปัจจัยอันแตกต่างหลากหลายที่เกษตรกรแต่ละคนมี หรือประสบพบเจออยู่ ณ
ช่วงเวลานั้น ๆ ทั้งในเรื่องของลักษณะนิสัยหรือทัศนคติส่วนบุคคล องค์ประกอบของความเป็น
ชุมชนที่แวดล้อมวิถีชีวิต ความกล้าตัดสินใจของเกษตรกร ประสิทธิภาพของนวัตกรรม(เกษตร
กรรมไร้สารเคมี) ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกิดจากการรวมกลุ่มกัน จนกระทั่ง
ระดับความพร้อมทางด้านแรงงาน และลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ทำากิน รวมทั้งปัจจัยอื่นซึ่ง
ผู้ศึกษาจะได้กล่าวต่อไป
อย่างไรก็ดี จากที่ได้ผ่านช่วงเวลาในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่การศึกษา
ผู้ศึกษาได้เกิดการค้นพบว่าปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ได้สรุปจากความพยายามในการวิเคราะห์ และ
ตีความ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับลักษณะของการตัดสินใจของเกษตรกรในพื้นที่การ
ศึ ก ษา อาจเป็ น เพี ย งเศษเสี้ ย วส่ ว นหนึ่ ง ของปั จ จั ย ที่ แ ท้ จ ริ ง ทั้ ง หมดอั น มี ผ ลต่ อ การตั ด สิ น ใจ
เลื อ ก(ทำา หรื อไม่ทำา ) เกษตรกรรมไร้ สารเคมี ทั้ง นี้ ผู้ ศึ ก ษาได้ เ น้น วิ ธีก ารศึ ก ษาในลั ก ษณะที่
พยายามตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลที่เกี่ยวกับแนวความคิด และวิธีการวิเคราะห์ในการ
ตัดสินใจของทั้งเกษตรกรแต่ละคนที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี และเกษตรกรซึ่งทำาเกษตรกรรมทีใ่ ช้
สารเคมี รวมทั้งการวิจารณ์ระหว่างกันของเกษตรกรทั้งสองกลุ่มดังกล่าว นอกจากนั้น ระหว่าง
ทำาการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการกับชาวบ้านนั้น ทำาให้ผู้ศึกษาได้เล็งเห็นถึงความสำาคัญที่จะ
ต้องสืบหาความรู้จากเกษตรกรที่ตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลงวิถีการทำาเกษตรกรรมไปสู่การเลิกใช้สาร
เคมีให้มากยิ่งขึ้น เพราะแนวทางการศึกษาที่เน้นถึงการค้นหาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของ
เกษตรกรที่ไม่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี และแนวความคิดที่เกษตรกรกลุ่มนี้มีต่อผู้ที่ทำาเกษตรกรรม
ไร้สารเคมี ได้สะท้อนให้เห็นถึงทั้งปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยที่แวดล้อมวิถีชีวิตของเกษตรกร ตลอด
จนปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวนวัตกรรม ซึ่งมีไม่น้อยไปกว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่ผู้ศึกษาสามารถสรุปได้จาก
เกษตรกรที่ตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีเลย
จากข้อค้นพบที่เกี่ยวกับแนวทางในการศึกษาซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ศึกษาเก็บข้อมูลอยู่
ในชุมชน จึงเป็นเหตุให้การศึกษาครั้งนี้มิได้มุ่งเน้นศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นเกษตรกรซึ่งตัดสินใจ
ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีเพียงกลุ่มเดียว หากแต่ให้ความสำาคัญกับการตรวจทานข้อมูลที่ได้จาก
เกษตรกรทั้งสองกลุ่มในลักษณะที่เรียกว่า “ฟังความทั้งสองฝ่าย” ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ผู้ศึกษาเองเกิด
ความเข้าใจผิด หรือเกิดอคติกับข้อมูลที่ได้รับรู้มา กล่าวคือ เมื่อทำา การสัมภาษณ์เกษตรกรที่
ตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีนั้น ผู้ศึกษาจะตั้งคำาถามถึงวิธีการคิด/ตัดสินใจของเกษตรกรผู้
นั้นเอง และความคิดเห็นที่มีต่อผู้ที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีคนอื่น ๆ ด้วย รวมทั้งความคิดเห็นที่
มีต่อผู้ที่ยังใช้สารเคมีในการทำาเกษตรกรรมอยู่ ขณะที่ในการสัมภาษณ์เกษตรกรที่ตัดสินใจไม่ทำา
127
1. ความขยันหมั่นเพียร
แม้เกษตรกรของชุ มชนแห่งนี้หลายคนจะสนใจ และยอมรับข้อดีของการทำา เกษตร
กรรมไร้สารเคมี แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าตัดสินใจลงมือทำาการเกษตรตามแนวทางนี้
จริง กล่าวคือ เกษตรกรที่ยอมรับ หรือคิดว่าการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีเป็นสิ่งดี อาจจะยัง
ทำาการเกษตรที่พึ่งพาสารเคมีอยู่เช่นเดิมก็เป็นได้ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถสู้งานหนัก เหนื่อย และ
เสียเวลามากขึ้นในการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี ซึ่งจะต้องผสมปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ EM เอง หว่าน
ปุ๋ยฯ และกำาจัดวัชพืชที่ยากขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ ผู้ศึกษาพบว่าปัจจัยสำาคัญประการหนึ่งที่เกี่ยวกับการ
ตัดสินใจฯ ซึ่งทั้งผู้ที่ทำาและผู้ที่ไม่ได้ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีกล่าวถึงเหมือนกันก็คือ ความขยัน
หมั่นเพียรในการทำาเกษตรกรรม ซึ่งก็หมายถึงความพากเพียรพยายาม และความมานะมุ่งมั่นที่จะ
อดทนต่ออุปสรรคความยากลำาบากในการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี โดยความขยันหมั่นเพียรถือ
เป็นคุณสมบัติประจำาตัวของเกษตรกรอันสำาคัญยิ่งยวด ที่จะนำาไปสู่การทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
ในทางตรงกันข้าม หากเกษตรกรผู้ใดขาดความขยันหมั่นเพียรในการงาน ถึงแม้ว่ามีความคิดที่
ยอมรับในคุณประโยชน์ของการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี แต่จะเกิดอุปสรรคอันใหญ่หลวงอัน
ทำาให้ไม่สามารถนำาเอารูปแบบการเกษตรดังกล่าวไปปฏิบัติในชีวิตประจำาวันได้ และส่งผลให้ผู้นั้น
เลือกทำาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมีตามเดิม
กรณีศึกษาของผู้ทำาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมี
128
ดูเหมือนจะไม่เพิ่มขึ้นนี้เองอาจเป็นปัจจัยเสริมที่ทำาให้เขาปฏิเสธการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีในปี
ต่อมา
“... แต่ยังไงซะถ้าเป็นดินดอนจะใส่ปุ๋ยอะไรมันก็อย่างนั้นแหละ ไม่ค่อย
ต่างกัน” (ประสาน แสงแย้ม, สัมภาษณ์)
กรณีศึกษาของผู้ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
การที่เกษตรกรหันมาทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีแทนการใช้สารเคมี จะทำาให้ภาระงาน
เพิ่มมากขึ้นในหลายด้าน เพราะการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีโดยการพึ่งพาตนเองนั้น เกษตรกร
ต้องนำา วัตถุดิบต่าง ๆ มาผสมกันเพื่อทำา ปุ๋ยฯ EM ด้วยตัวเอง ต้องปลูกถั่วเขียวก่อนการหว่าน
เมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดเพิ่มธาตุอาหารในดิน ต้องหว่านปุ๋ยฯ EM ลงในแปลงนาซึ่งทำาได้
ยากกว่าการใช้ ปุ๋ย เคมี อี กทั้ง ยัง ต้อ งถอนวั ชพื ช (หญ้า) ที่ขึ้นในแปลงนาด้ว ยมือซึ่ ง จะมีจำา นวน
มากกว่าในแปลงนาที่ใช้ปุ๋ยเคมี(ที่มีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่า) นอกจากนั้น ในระยะแรก ๆ
สำา หรั บผู้ที่ เริ่ มทำา เกษตรกรรมไร้ สารเคมีนั้น มั ก ใส่ปุ๋ ย ฯ EM ในปริ มาณมากเพื่อปรับ ปรุ งดิ น
เกษตรกรจึงต้องทุ่มเทกำาลังกาย และกำาลังใจมากกว่าเดิมที่เคยทำามาในช่วงเริ่มต้นที่เปลี่ยนแปลงวิถี
การผลิต
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผู้ที่ทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีจะไม่หวั่นเกรงต่อความยาก
ลำา บาก หรือความยุ่งยากเสียเวลากับกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้ โดยสำา หรับภาระที่เพิ่มขึ้นในการ
ถอนหญ้าซึ่งมีมากขึ้นกว่าตอนที่ใช้ปุ๋ยเคมีทำานานั้น นายบุญเรือน ศรีวิลัย สมาชิกกลุ่มกองทุนปุ๋ย
131
หมักจุลินทรีย์บ้านสมพรรัตน์ ได้อธิบายลักษณะของปัญหาดังกล่าวซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขยัน
หมั่นเพียร หรือความมานะพยายามของเขาผ่านคำาพูด ดังนี้
“ที่บอกว่าทำานา EM หญ้าขึ้นเยอะ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร เหนื่อยอยู่ก็จริง แต่
พี่ก็ค่อย ๆ ถอนไปเรื่อย ๆ สักสัปดาห์ละ 3 วันก็หมด (บุญเรือน ศรีวิลัย,
สัมภาษณ์)
นอกจากในเรื่องของการหว่านปุ๋ย ฯ EM ที่มีความยากลำาบากกว่าการหว่านปุ๋ยเคมีแล้ว
การเริ่มทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีในช่วงแรก ๆ อาจจะต้องใส่ปุ๋ย ฯ EM ในปริมาณที่มากกว่าปุ๋ย
เคมีที่เคยใส่ในอดีต เพื่อปรับสภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น และให้ดินมีสภาพที่นุ่มขึ้น
อันทำาให้จะต้องลำาบาก เหน็ดเหนื่อย และเสียเวลาเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่ใช้ปุ๋ยเคมีในการทำา นา นาย
ประดิษฐ์ จันทำา ประธานกลุ่มกองทุนปุ๋ยหมักจุลินทรีย์บ้านสมพรรัตน์ พูดกับผู้ศึกษาอยู่เสมอใน
แนวที่ว่าเกษตรกรรมไร้สารเคมีนั้นไม่เกินความสามารถของแต่ละคน เป็นเรื่องปกติที่เกษตรกร
สามารถทำาได้เหมือนกันทุกคน ถ้าหากมีความมุ่งมั่นตั้งใจโดยไม่เกียจคร้าน ซึ่งเขาได้เคยกล่าวว่า
“ใส่ปุ๋ย ฯ EM จะไปยากอะไร เห็นไหมหล่ะที่พี่เอาปุ๋ยใส่รถอีต๊อกไป แล้ว
ใช้พลัว่ ตัก โปรยไป เดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว มันจะไปยากตรงไหน”
(ประดิษฐ์ จันทำา, สัมภาษณ์)
ดังที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นแล้วว่า เมื่อผู้ศึกษาสัมภาษณ์เกษตรกรที่ทำาเกษตรกรรมไร้สาร
เคมี ผู้ศึกษาจะมีข้อคำาถามที่ให้คนกลุ่มนี้กล่าวถึงความคิด หรือความรู้สึกของเกษตรกรที่ยังพึ่งพา
สารเคมีอยู่ด้วย เพื่อที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ได้สัมภาษณ์ผู้ที่ใช้สารเคมีในการทำา
เกษตรโดยตรงแล้ว ซึ่งผู้ที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีส่วนใหญ่สะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่
หลายคนยังพึ่งพาสารเคมีอยู่ว่าเป็นเพราะคนเหล่านี้ยังขาดปัจจัยที่สำา คัญที่สุด นั่นก็คือ ความ
ขยันหมั่นเพียร หรือความอดทนต่อความยากลำาบาก
“ส่วนใหญ่จะขี้คร้านหว่านปุ๋ย เฮ็ดโน่นเฮ็ดนี่ ยาก เห็นว่าไม่ทันใจ
เคมี มันง่ายกว่า (สุรพล หินพราย, สัมภาษณ์)
“พวกนั้นเขากลัวว่าผลผลิตจะออกมาไม่ดี แล้ว EM มันก็ใช้ยาก ยุ่ง
ยาก (บุญไฮ เพ็งพันธ์, สัมภาษณ์)
“เพราะเขาว่ า มั น เสี ย เวลา มั น ต้ อ งอดทน” (สมยงค์ จั น ทำา ,
สัมภาษณ์)
“เขาขี้เกียจไปถอนหญ้า” “ใช้ EM จะได้ผลช้า คนใจร้อนทำา ไม่ได้หรอก
(บุญเรือน ศรีวิลัย, สัมภาษณ์)
132
จากการที่ผู้ศึกษาผ่านการสัมภาษณ์พูดคุยกับทั้งเกษตรกรที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
และเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมี เกษตรกรซึ่งมีพื้นที่ทำากินมาก และเกษตรกรซึ่งมีพื้นที่ทำากินน้อย
รวมทั้งผู้ที่ทำา นาโดยใช้เฉพาะแรงงานในครอบครัวของตนเอง และผู้ที่อาศัยการจ้างแรงงาน ผู้
ศึกษาได้พบว่า ตัวชี้วัดหนึ่งซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงความขยันหมั่นเพียรของเกษตรกร ก็คือ รูปแบบ
การทำานา กล่าวคือ เกษตรกรที่มีความขยันหมั่นเพียรมากหน่อยมักจะเลือกการทำานาแบบนาดำา
ซึ่งเป็นวิธีที่ทำาให้ได้ผลผลิตมากกว่าการปลูกข้าวแบบนาหว่าน แต่การทำานาดำาก็มีหลายขั้นตอน
เนื่องจากต้องเริ่มจากการหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในแปลงหว่าน ถอนกล้าจากแปลงหว่าน และปักดำา
ต้นกล้าที่ถอนจากแปลงหว่านมาลงในแปลงดำาที่เตรียมไว้ ทำาให้ต้องใช้ความมานะพยายามในการ
ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลามากกว่าการทำานาแบบนาหว่านที่ทำาได้ง่ายกว่า ซึ่งเป็นวิธีที่มีขั้น
ตอนน้อย เพียงแค่หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวลงในแปลงนาที่เกษตรกรมีทั้งหมด แล้วรอต้นข้าวเจริญ
เติบโตจนกว่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยวเท่านั้น ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าในจำา นวนผู้ที่เป็นสมาชิกของ
กลุ่มกองทุนปุ๋ยหมักจุลินทรีย์บ้านสมพรรัตน์ (ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่ทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี) ส่วน
ใหญ่จะเป็นผู้ที่ทำานาแบบนาดำา ซึ่งเป็นรูปแบบของการทำานาที่จะต้องอาศัยความขยัน หมั่น
เพียร หรือความมานะพยายาม อย่างไรก็ดี เกษตรกรที่เ ป็นสมาชิกของกลุ่ม กองทุนปุ๋ ยหมัก
จุลินทรีย์บ้านสมพรรัตน์บางคนตัดสินใจทำานาแบบนาหว่านเพราะเห็นว่าจะทำาให้มีเวลาเหลือมาก
ขึ้น สามารถใช้เวลาที่มีเพิ่มขึ้นนั้นไปทำางานรับจ้างหารายได้มากขึ้น ขณะที่เกษตรกรที่ทำาเกษตร
เคมีนั้น ตัดสินใจทำานาหว่านเพราะเห็นว่าเป็นรูปแบบการทำานาที่ง่าย และไม่เหนื่อยแรง
นอกจากระดับของความขยันหมั่น เพี ย รที่ ประเมิน ค่ า จากรู ป แบบการทำา นาแล้ว ผู้
ศึกษายังได้ให้คะแนนเพื่อใช้ในการวัดระดับความขยันหมั่นเพียรของเกษตรกร จากการทำา งาน
นอกฤดูกาลทำานา และการหมั่นดูแลแปลงนา เช่น ความเพียรพยายามในการกำาจัดวัชพืช ฯลฯ
ซึ่งจากตารางที่ 4 จะเห็นได้ว่า สำาหรับเกษตรกรทั้ง 6 คน ที่ทำาเกษตรเคมีนั้น ล้วนมีระดับความ
ขยันหมั่นเพียรตำ่า กว่าค่าเฉลี่ย(2.4) ของเกษตรกรทั้งหมด ขณะที่เกษตรกรถึง 6 ใน 9 คน
ของกลุ่มที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีทั้งหมดของพื้นที่ทำากิน มีระดับความขยันหมั่นเพียรสูงกว่าค่า
เฉลี่ย ฉะนั้น จากข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้ให้ข้อมูลสำาคัญ ประกอบ
กับการวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงปริมาณซึ่งค่อนข้างสนับสนุนผลการศึกษาในเชิงคุณภาพนั้น เป็น
สิ่ งที่ค่ อนข้ า งชั ด เจนว่า ความขยั น หมั่น เพี ย รเป็น ปัจ จั ย ที่ มีผ ลต่ อ การตัด สิ นใจในการเลื อ กทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมี โดยที่ไม่ว่าเกษตรกรผู้ใดจะเห็นประโยชน์ หรือยอมรับเกษตรกรรมไร้สาร
เคมีหรือไม่ อย่างไร แต่ในท้ายที่สุดนั้น ความขยันหมั่นเพียรจะเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินชี้ขาด
ว่าเกษตรกรผู้นั้นจะทำาเกษตรเคมีเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนไปสู่การทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
หลังจากที่เกษตรกรได้รับความรู้มาแล้ว ความขยันหมั่นเพียรจะเป็นปัจจัยเริ่มแรกที่จะ
ทำา ให้เกษตรกรกล้าลงมือทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี ทั้งนี้ เกษตรกรจะต้องแลกได้แลกเสียกัน
133
ระหว่ า งประโยชน์ ที่ คาดหวั ง จากเกษตรกรรมไร้ ส ารเคมี กั บการที่ จ ะต้ อ งขยั นหมั่น เพี ย ร หรื อ
เหน็ดเหนื่อยมากขึ้นเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคซึ่งมีมากกว่าขณะที่ทำาเกษตรเคมี กล่าวคือ หากต้องการ
ให้สภาพดินดีขึ้น ได้ผลผลิตมากขึ้น ค่าใช้จ่ายทางการเกษตรลดลง และมีสุขภาพที่ดีขึ้นโดยไม่
ต้องทนทุกข์กับผลกระทบจากการใช้สารเคมี ตลอดจนสามารถขายข้าวได้ราคาที่สูงขึ้น จะต้อง
มานะอดทนกับภาระที่หนักเหนื่อยยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่จะต้องผสม ปุ๋ย ฯ EM เอง(ซึ่งไม่ง่าย
เหมือน กับการซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้เหมือนแต่ก่อน) การเด็ดวัชพืชที่ขึ้นในแปลงนาเป็นจำา นวนมาก
การถอนกล้าข้าวที่ยากลำาบากกว่าเดิม ตลอดจนการผสมสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อกำาจัดแมลง
ศัตรูพืช อีกทั้งสำาหรับเกษตรกรบางคนยังต้องปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสมในการทำาเกษตรกรรมไร้
สารเคมีอีกด้วย ดังนั้น อุปสรรคต่าง ๆ จากการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีดังที่กล่าวมานี้เอง จึง
ทำาให้ความขยันหมั่นเพียร กลายเป็นปัจจัยสำา คัญอย่างยิ่งต่อการกลับตัวกลับใจหันหลังให้สาร
เคมี กล่าวคือ เกษตรกรที่กำาลังจะตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี จะขาดความขยันหมั่นเพียร
อันถือเป็นคุณสมบัติประจำาตัวไปไม่ได้เลย
2. ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับนวัตกรรม (เกษตรกรรมไร้สารเคมี)
ระดับของความขยันหมั่นเพียรมิใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อการตัดสินใจฯ เพราะในความ
เป็นจริงแล้วนั้น เกษตรกรแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยฯ EM และการทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีที่หลากหลาย และลุ่มลึกไม่เท่ากัน นอกจากนั้น ก่อนที่เกษตรกรจะใช้ความ
ขยันหมั่นเพียรทุ่มเทลงไปในแปลงนาของตนได้นั้น เขาจะต้องมีความรู้ในการทำา เกษตรกรรมไร้
สารเคมีเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีนั้น ไม่ง่ายเหมือนการทำา เกษตร
เคมี ที่เมื่อซื้อปุ๋ยเคมีมาก็สามารถโปรยใส่ในแปลงนาได้เลยทันที แต่ตรงกันข้าม การที่จะต้องทำา
ปุ๋ย ฯ EM และสารธรรมชาติที่ใช้กำาจัดแมลงศัตรูพืช เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ เพราะต้องรู้
สูตรเกี่ยวกับส่วนผสม และมีกรรมวิธีผสมที่ถูกต้อง ดังนั้น ผูท้ ี่คิดจะทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีจะ
ต้องมีความรู้เป็นปัจจัยเริ่มแรกเสียก่อน อย่างไรก็ดี คำาว่า “ความรู้” ที่ใช้ในผลการศึกษาครั้งนี้
ไม่ได้หมายรวมถึงระดับการศึกษา หรือคุณวุฒิที่ได้ผ่านการรับรองจากสถาบันการศึกษา แต่
หมายถึงความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรม(เกษตรกรรมไร้สารเคมี) โดยตรง ที่เกษตรกรได้เรียนรู้ผ่าน
บุคคล พื้นที่รูปธรรม วิธีการ และสื่อต่าง ๆ
หลังจากการพูดคุยกับเกษตรกรแล้ว ผู้ศึกษากลับพบว่าความรู้สามารถที่จะนำาพาไปสู่
ทั้งการยอมรับ และการปฏิเสธในการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี แม้อันที่จริงแล้วเกษตรกรส่วน
ใหญ่ที่ตัดสินใจพึ่งพาสารเคมีในการทำา นาอยู่จะขาดความรู้เกี่ยวกับเกษตรกรรมไร้สารเคมี แต่
ไม่ใช่ว่าเกษตรกรทุกคนที่ทำาเกษตรเคมี จำาใจ(จำาเป็น)ทีจ่ ะต้องใช้สารเคมีเพราะเหตุผลของการไม่มี
134
จากคำา กล่ า วข้ า งต้ น ของนายอุ ด ม กระสั ง ข์ ผู้ ซึ่ ง ไม่ เ คยเข้ า รั บ การอบรมเกี่ ย วกั บ
เกษตรกรรมไร้สารเคมีเลย อีกทั้งยังไม่ค่อยให้ความสนใจเข้าร่วมการอบรมความรู้ในเรื่องอื่น ๆ
หรือการประชุมหมู่บ้านเลย จะเห็นได้ว่าเกษตรกรรมไร้สารเคมีอาจไม่ใช่นวัตกรรมที่จำา เป็นเร่ง
ด่วนสำาหรับเขาในตอนนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วอาจเป็นเพราะว่าแม้เขาเป็นผู้ที่ทำานาโดยพึ่งพาสารเคมี
ก็ตาม แต่เขาก็เป็นตัวอย่างของคนกลุ่มที่ทำา เกษตรเคมีที่มีการนำา มูลวัวไปใช้บำา รุงดินทุก ๆ ปี
ทำา ให้ดินในแปลงของเขานุ่ม และประสบปัญหาดินแข็งน้อยกว่าเกษตรกรผู้อื่น อย่างไรก็ดี ผู้
ศึ กษาเชื่ อว่าหากนายอุด มได้ เ ข้ า รั บการอบรม หรื อ ดู งานจนเห็น ประโยชน์ ข องปุ๋ย ฯ EM และ
เกษตรกรรมไร้สารเคมีแล้ว อาจเป็นจุดที่เปลี่ยนความคิดของเขาก็เป็นได้ เพราะปัจจุ บันเขา
135
อย่ า งไรก็ ดี ภายหลั ง จากที่ เ ขาทดลองใช้ ปุ๋ ย ฯ EM ในปี ดั ง กล่ า ว เขาก็ ไ ม่ ย อมทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีในปีต่อมา โดยให้เหตุผลกับผู้ศึกษาว่าเป็นเพราะในปี พ.ศ. 2548 ทางกลุ่ม
กองทุนปุ๋ยฯ ไม่ได้ผลิตปุ๋ยฯ EM มาขายให้กับคนในหมู่บ้าน ทำาให้เขาขาดแคลนปุ๋ยฯ EM มาใช้
บำา รุงดินในแปลงนา เนื่องจากเขาไม่ส ามารถพึ่ง ตนเองในการผสมปุ๋ย ฯ EM ได้เองเหมือนดั่ง
เกษตรกรคนอื่น ๆ ที่เข้าอบรมการทำาปุ๋ยฯ EM
“ผมบ่ทันรู้สูตรเนอะ ยังบ่ได้อบรม ปีนี้สมาชิก EM เขาไม่ทำา ขายเหมือน
เก่าแล้ว... แต่น้องเขยผมเขาอบรมมาแล้วนะ เขามีความรู้ ก็สามารถทำา
ได้” (โกวิทย์ ชนะพันธ์, สัมภาษณ์)
กรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระดับของความรู้เกี่ยวกับเกษตรกรรมไร้สาร
เคมีมีสัมพันธ์กับการยอมรับในการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีในทิศทางเดียวกัน ก็คือ กรณีของ
นายอุดม กระสังข์ เกษตรกรที่ถือครองที่นา 51 ไร่ และมีจำา นวนแรงงานที่ช่วยกันทำา นา 3 คน
โดยที่ยังไม่เคยทดลองเกษตรกรรมไร้สารเคมีและปุ๋ยฯ EM ผู้ศึกษาพบว่า เกษตรกรที่มีความรู้ที่
ไม่ลึกซึ้ง หรือแม้กระทั่งรู้ไม่จริงเกี่ยวกับผลดีของการใช้ปุ๋ยฯ EM จะให้คุณค่าของเกษตรกรรมไร้
สารเคมีตำ่ากว่าความเป็นจริง และจะส่งผลให้มีทัศนคติในเชิงลบต่อนวัตกรรมที่ตนไม่ค่อยจะมี
ความรู้เท่าใดนัก ทั้งนี้ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมีสาเหตุมาจากความไม่สนใจที่จะแสวงหาความรู้ โดย
เฉพาะอย่างยิ่งการเข้ารับฟังการอบรมอันเป็นวิธีการเข้าถึงความรู้ที่เกษตรกรคนอื่น ๆ ทำากัน
“พวกที่ใช้ปุ๋ย EM ใส่ปุ๋ยกระสอบละ 50 กก. ก็ใส่ได้แค่ไร่เดียว แถมปุ๋ย EM
มันเป็นผงใช้ 2 มือจับขว้างก็ไปได้ไม่ไกล แต่ลุงใช้ปุ๋ยเคมีกระสอบละ 50
กก. เหมือนกัน แต่ใส่ได้ 2 ไร่ (อุดม กระสังข์, สัมภาษณ์)
ลงมือทดลองปฏิบัติจริงเสียก่อน และคงต้องทดลองทำาอยู่หลายปีด้วยจึงจะมีประสบการณ์มาก
พอในการเข้าใจนวัตกรรมดังกล่าวอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งก็จะเป็นผลดีให้เกษตรกรเกิดการทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีอย่างเต็มตัว และต่อเนื่องด้วยความเชื่อมั่นต่อนวัตกรรมอย่างแท้จริง
3. การมีที่ดินทำากินที่เหมาะสมต่อการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
ในช่วงของการนำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีมาทดลองใช้นั้น ถือเป็นขั้นตอนสำา คัญที่จะ
สร้างความศรัทธาเชื่อมั่น หรือลดทอนความน่าเชื่อถือของนวัตกรรมให้แก่เกษตรกร อย่างไรก็ดี
แม้ว่าส่วนผสม และวิธีการทำาปุ๋ยฯ EM จะเหมือนกัน แต่เกษตรกรแต่ละคนประสบกับผลการ
ทดลองที่แตกต่างกัน กล่าวคือ บางคนได้ผลผลิตลดลงเมื่อเทียบกับตอนที่ใช้ปุ๋ยเคมี บางคนไม่
ได้บันทึก หรือจดจำาถึงผลการทดลอง แต่ประมาณจากสายตาคะเนได้ว่าการใช้ปุ๋ยเคมี กับการใช้
ปุ๋ยฯ EM ให้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน ขณะที่บางคนได้ผลผลิตมากขึ้นทันทีตั้งแต่ในปีที่เริ่มทดลอง
ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพพื้นที่ และคุณภาพดินในแปลงนาของเกษตรกรแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดย
เฉพาะสำาหรับเกษตรกรซึ่งมีพื้นที่นาเป็นที่ราบ หรือลักษณะดินเป็นดินร่วน จะได้ปริมาณผลผลิตดี
กว่าเกษตรกรที่มีนาเป็นที่ดอน หรือลักษณะดินเป็นดินทราย
ดังที่ได้กล่าวถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นของนำ้าที่เจือปนสารเคมีซึ่งไหลเข้ามาท่วมแปลงนา
ของผู้ที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีตามที่นายประสานได้อ้างไว้ข้างต้นนั้น คงไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น
อุปสรรคประการหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้สำาหรับผู้ที่ต้องการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีซึ่งมีแปลงนา
อยู่ในบริเวณที่ลุ่ม (เพราะนำ้าจากที่ที่สูงกว่าจะไหลลงมาท่วม) ปัจจัยทางด้านลักษณะของแปลงนา
นี้เองถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี เพราะแม้แต่สมาชิกของ
กลุ่มกองทุนปุ๋ยหมักจุลินทรีย์บ้านสมพรรัตน์เองบางคน ก็ยังนำาแปลงนาบางส่วนมาทำานาข้าวที่ใช้
ปุ๋ยเคมีเช่นกัน เนื่องจากต้องประสบกับปัญหาดังกล่าวเช่นกัน โดยนายสุรพล หินพราย สมาชิก
กลุ่มกองทุนปุ๋ยฯ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความจำาเป็นที่ต้องปลูกข้าวหอมมะลิด้วยการใช้ปุ๋ยเคมีในที่ดิน
บริเวณซึ่งเป็นที่ลุ่มก้นกระทะพื้นที่ 8 ไร่ของเขา ดังนี้
“ถึ งจะทำา นา EM ก็ต้ องมีนำ้า จากแปลงของคนอื่น ที่ ทำา เคมีท่ ว มเข้ า มาอยู่ ดี นั่น
แหละ สูท้ ำาเคมีไปเลยจะดีกว่า” (สุรพล หินพราย, สัมภาษณ์)
อันที่จริงแล้วนายสุรพลผู้ซึ่งทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ก็ทราบดีว่า
สามารถทำาคันนา และร่องระบายนำ้าเพื่อแก้ไขปัญหานำ้าจากแปลงอื่นไหลเข้ามาท่วมแปลงนาของ
ตนได้ แต่เนื่องจากปัจจุบันเขามีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิไว้ขายอยู่แล้วถึง 25 ไร่ ฉะนั้น การปลูก
ข้าวเคมีเพียง 8 ไร่ ซึ่งขายได้ราคาน้อยกว่าจึงไม่ส่งผลต่อฐานะทางเศรษฐกิจของเขาเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาเชื่อว่าหากที่นา 8 ไร่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไม่ประสบปัญหานำ้า จากแปลงอื่น
ไหลเข้ามาท่วมนั้น นายสุรพลคงจะนำาพื้นที่จำานวนนี้ไปทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีซึ่งใช้ปุ๋ยฯ EM ดัง
เช่นที่ทำาอยู่ในแปลงนาส่วนใหญ่ของเขา(25 ไร่)
141
4. คุณลักษณะของนวัตกรรม (เกษตรกรรมไร้สารเคมี)
จากการที่ผู้ศึกษาพยายามประมวลข้อมูลต่าง ๆ เพื่อทำาความเข้าใจถึงภาพรวมของวิธี
การตัดสินใจเกี่ยวกับเกษตรกรรมไร้สารเคมี ผูศ้ ึกษาพบว่าในการที่เกษตรกรตัดสินใจว่าจะเลือกทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีหรือไม่นั้น เป็นไปตามหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งสนับสนุนวิธีคิดอันมีเหตุ
มีผล ไม่ทำาอะไรเสี่ยง หรือเกินกำาลังของตนเอง เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่มีหลักคิดสำาคัญอยู่
ประการหนึ่งในการยอมรับ และเลือกใช้นวัตกรรมต่าง ๆ ก็คือ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
จากการนำา นวั ตกรรมมาใช้ กล่าวคื อ เกษตรกรพยายามที่จ ะสร้า งความมั่นคงให้ กับตนเอง
มากกว่าจะเปลี่ยนแปลงไปทำาอะไรใหม่ ๆ ทีต่ นเองยังไม่ทราบถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
กรณีศึกษาของผู้ทำาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมี
ขณะที่หลายคนได้หันมาทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี เนื่องจากเห็นประโยชน์ของการใช้
ปุ๋ยฯ EM ที่สามารถลดต้นได้ แต่เกษตรกรบางคนมิได้ให้นำ้าหนักถึงความสำาคัญเกี่ยวกับต้นทุนใน
การทำานาเท่าใดนัก เนื่องจากการทำาเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีแบบเดิมที่ทำาอยู่นั้นไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมี
ต่อไร่ในปริมาณมากแต่อย่างใด อย่างเช่น นายประสานที่ไม่เคยพูดถึงผลดีของการใช้ปุ๋ยฯ EM
เกี่ยวกับการลดต้นทุนในการทำา นาเลย โดยที่เขาใส่ปุ๋ยเคมีในนาข้าวเพียง 6 ไร่ต่อ 1 กระสอบ
เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเกษตรกรคนอื่นที่ใช้ 2 ไร่ต่อ 1 กระสอบ ทั้งนี้ เนื่องจากผืน
นาของเขามีสภาพดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสามารถกักเก็บนำ้าได้
ประเด็นนี้เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้ผลดีของการใช้ปุ๋ยฯ EM ในด้านการลดต้นทุนของการทำานาไม่ได้
จูงใจนายประสานหันมาทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี เพราะเดิมนั้นมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมี
น้ อ ยอยู่ แ ล้ ว ลั ก ษณะเช่ น นี้ ส อดคล้ อ งกั บ ทฤษฎี ข องโรเจอร์ ที่ ส รุ ป ว่ า ประโยชน์ เ ชิ ง เปรี ย บ
143
ทั้ ง นี้ กรณี ข องนายเขี ย ม และเกษตรกรอี ก หลายคนที่ ไ ด้ ตั ด สิ น ใจเลิ ก หรื อ ไม่ ทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมี หากมองอย่างเป็นกลางโดยไม่มีอคติที่เข้าข้างเกษตรกรที่ทำาเกษตรกรรมไร้
สารเคมี ผู้ศึกษาเห็นว่าเหตุผลสำาคัญมาจากปัจจัยที่เกี่ยวกับความขยันหมั่นเพียร แต่ในอีกด้าน
หนึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความยุ่งยากซับซ้อนของการทำา และการใช้ปุ๋ย ฯ
EM ตลอดจนผลที่ตามมาจากการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีอย่างเช่น การเกิดวัชพืชเพิ่มขึ้น จึง
เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านสมพร
รัตน์ดังกล่าวตรงกับทฤษฎีของโรเจอร์ที่ว่า ความยุ่งยากหรือความสลับซับซ้อน (Complexity) เป็น
อุปสรรคสำาคัญในการยอมรับนวัตกรรม
กรณีศึกษาของผู้ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
ในปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่การศึกษามีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปลูกข้าวสูงมาก เพราะ
สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำาให้ครัวเรือนต่าง ๆ หันมา
ใช้รถไถนาแทนควายเพื่อความสะดวกสบาย และรวดเร็วในการไถนา เกษตรกรทุกหลังคาเรือน
ของหมู่บ้านสมพรรัตน์จึงต้องเสียเงิน หรือกู้ยืมเงินเป็นหลักหมื่นมาซื้อรถไถนา รวมทั้งยังมีต้นทุน
ค่านำ้า มันซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการใช้รถไถนา นอกจากนั้น การที่ผู้คนวัยหนุ่มสาวนิยมเข้าสู่เขต
เมืองเพื่อทำา งานในภาคอุตสาหกรรม และการสูญหายไปของประเพณีการลงแขก ส่งผลให้ครัว
เรือนส่วนใหญ่ขาดแคลนแรงงานในการทำาเกษตรกรรม ดังนั้น จึงเกิดการจ้างแรงงานจากทั้งใน
หมู่บ้าน และนอกหมู่บ้านเพื่อใช้ในขั้นตอนต่าง ๆ ของการทำา นา ไม่ว่าจะเป็น การไถนา การ
ดำานา ตลอดจนการเกี่ยวข้าว ซึ่งแรงงานที่ต้องจ้างมากขึ้นกว่าในอดีตที่แต่ละครอบครัวต่างทำา
เกษตรกรรมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน หรือยังสามารถใช้ประเพณีการลงแขกทดแทนการมี
ไม่เพียงพอของแรงงานในครัวเรือน ก็หมายถึงต้นทุนของการทำาเกษตรกรรมที่เกษตรกรจะต้องเสีย
เพิ่ มขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ดี ต้นทุนที่สำา คัญอีกประการหนึ่งก็คือ สารเคมีต่า ง ๆ ที่ใช้ เพื่ อ เพิ่ ม
ผลผลิตทางการเกษตร ทั้งปุ๋ยเคมี ยากำาจัดวัชพืช รวมทั้งยากำาจัดแมลง โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่นับ
วันจะต้องเพิ่มปริมาณการใช้มากขึ้นตามสภาพดินที่เสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ ต้นทุนที่เกษตรกร
หมดไปกับการใช้ปุ๋ยเคมีในแต่ละฤดูกาลผลิตนั้น ถือเป็นจำา นวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น
เกษตรกรจึงประสบกับปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สามารถหารายได้ให้เพียงพอต่อต้นทุนที่ต้องสูญเสีย
ไปมากมายในแต่ละปีได้
ด้วยเหตุนี้เอง การเข้ามาของเกษตรกรรมไร้สารเคมีที่ช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องเสียค่า
ใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมี และยากำาจัดศัตรูพืช จึงเป็นนวัตกรรมที่ตรงกับสภาพปัญหา และความ
ต้องการของเกษตรกรในพื้นที่การศึกษา ซึ่งหลายคนตระหนักดีถึงค่าใช้จ่ายทางการเกษตรของ
ตนอยู่แล้ว
145
“ถึงตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะขายข้าวได้ราคาดีเหมือนตอนนี้ แต่ที่ลองทำา
ดู เพราะเห็นว่าต้นทุนจะลดลง” (สุรพล หินพราย, สัมภาษณ์)
ไร้สารเคมีที่ส่งผลให้เกษตรกรกล้าตัดสินใจเริ่มปฏิบัติในแนวทางที่สร้างโอกาสให้ไม่ต้องพึ่งพาสาร
เคมีอีกต่อไปในอนาคต
“ก็ลองแค่ 2 งาน ถ้าไม่ดีก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ถ้าไม่ดีก็ไม่ต้องทำาต่อ ปี
หน้าก็ใช้ปุ๋ยเคมีเหมือนเดิมก็ได้ (ประดิษฐ์ จันทำา, สัมภาษณ์)
เกษตรกรจึงไม่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมเพื่อหาวัตถุดิบอะไรเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ เพราะพวกเขา
สามารถนำามูลวัวที่ได้มาทำาเป็นปุ๋ยฯ EM ได้ทนั ที ในปัจจุบันมูลว ูัวจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมาก
ในชุมชนและเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้สำาหรับเกษตรกรที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี เพราะถ้าหาก
ไม่มีมูลวัวแล้ว เกษตรกรจะต้องซื้อมูลสัตว์จากภายนอกชุมชน เช่น มูลไก่ หรือมูลวัว ซึ่งนั่นหมาย
ถึงการทำาเกษตรกรรมทีไ่ ม่อยู่ในแนวทางของการพึ่งตนเอง
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านสมพรรัตน์มีการสืบทอดปฏิบัติตามคำาสอนของบรรพบุรุษด้วย
ที่ให้นำามูลสัตว์มาใส่ในแปลงนา โดยทุก ๆ ปี ในวันขึ้น 3 คำ่า เดือน 6 จะมีพิธีไหว้เจ้าปู่เพื่อเป็นสิริ
มงคลในการทำา เกษตรกรรม และจะมีการเสี่ยงทายบางอย่างเพื่อให้ทราบว่าปีนั้น ๆ จะประสบ
ความสำาเร็จในด้านผลผลิตหรือไม่ โดยหลังจากทำาพิธีดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านก็จะนำาปุ๋ยซึ่งทำาจาก
มูลสัตว์ที่เตรียมไว้ไปใส่ลงในแปลงนาของตน ทั้งนี้ นอกจากคนสมัยก่อนนั้นจะเชื่อว่าการนำามูล
สัตว์ไปใส่ในดินจะทำา ให้ดินอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังทราบดีถึงพิษภัยจากการใช้สารเคมีในการทำา
เกษตรกรรม ซึ่งก็พยายามสั่งสอนลูกหลานของตนไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับสารเคมี
“คนโบราณเขาบอกว่าเมื่อก่อนพ่อไม่ใส่ปุ๋ยอะไรก็ยังมีข้าวให้ลูก ๆ กินเลย
แต่ก่อนคนอายุสามสิบสี่สิบก็ยังอยู่เฉย ๆ ไม่เป็นอะไรเลย เดี๋ยวนี้สามสิบสี่สิบ ยังไม่ทัน
ซิ่งมอเตอร์ไซด์ตาย ก็เป็นนั่นเป็นนี่ตายก่อนแล้ว (สำาราญ สาลีธรรม, สัมภาษณ์)
จะเห็นได้ว่ารากฐานความคิด และวัฒนธรรมของหมู่บ้านสมพรรัตน์ที่สั่งสอนจากรุ่นสู่รุ่น
ให้นำามูลสัตว์ไปใช้เป็นปุ๋ยบำารุงดินนั้น เป็นวิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกับการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
ซึ่งอาศัยมูลสัตว์เป็นวัตถุดิบสำาคัญในการเพิ่มคุณภาพดินเช่นกัน อีกทั้งมูลสัตว์ก็เป็นทรัพยากรที่มี
อยู่แล้วในชุมชน ด้วยเหตุนี้ คุณลักษณะของนวัตกรรมดังกล่าวจึงเข้ากันได้กับวัฒนธรรมเดิมที่
หมู่บ้า นสมพรรั ต น์ มีอ ยู่ จึ ง อาจกล่ า วได้ ว่ า สิ่ ง นี้ เ องที่ ทำา ให้ ก ารยอมรั บ และการตั ด สิ น ใจทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีเป็นไปได้งา่ ย
สำาหรับปัจจัยที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของนวัตกรรมสรุปได้ว่า คุณลักษณะที่เป็นข้อดี
หรือเป็นปัจจัยจูงใจให้เกษตรกรตัดสินใจทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ หนึ่ง
ประโยชน์เชิงเปรียบเทียบ (Relative Advantage) เช่น ต้นทุนลดลง สภาพดินดีขึ้น ราคาข้าวสูง
ขึ้น สอง ความสามารถนำา ไปทดลองใช้ได้ (Trialability) สาม ความสามารถสังเกตเห็นผลได้
(Observability) และ สี่ ความเข้ากันได้หรือไปด้วยกันได้(Compatibility) ขณะที่ความยุ่งยากหรือ
ความสลับซับซ้อน (Complexity) เป็นคุณลักษณะของเกษตรกรรมไร้สารเคมีที่เป็นอุปสรรค หรือ
ฉุดรั้งไม่ให้เกษตรกรเลิกใช้สารเคมีในการทำาเกษตรกรรม
เนื่องจากเกษตรกรรมไร้สารเคมีเป็นนวัตกรรมที่มีจุดเด่นในเรื่องของการที่สามารถ
ทดลองใช้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจทำาจริง ๆ หรือทำากับพื้นที่นาทั้งหมด นอกจากเกษตรกรจะทดลอง
150
5. สัดส่วนระหว่างขนาดที่ดิน กับปัจจัยการผลิตอื่น ๆ
ขนาดพื้นที่ และจำานวนแรงงานในครอบครัวเป็นปัจจัยที่สำาคัญอีกประการหนึ่งในการ
ตัดสินใจว่าจะเลือกทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีหรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เกี่ยวกับ
แรงงานนั้น นับว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำาคัญมากขึ้นกว่าการทำาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมีเสียอีก
แต่ ห มู่ บ้ า นสมพรรั ต น์ กำา ลั ง ประสบกั บ ปั ญ หาในการทำา นาเป็ น อย่ า งยิ่ ง อั น เนื่ อ งมาจากการ
151
ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม ซึ่งแม้ปัจจุบันชุมชนซึ่งปราศจากประเพณีการลงแขกเพื่อ
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะมีการหาทางออกโดยการจ้างแรงงานในการไถนา ดำานา และเกี่ยวข้าว
ก็ตาม แต่เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ที่มีอาชีพเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอที่จะใช้เงิน
ทุนจ้างแรงงานโดยไม่จำากัด
การที่เกษตรกรหันหลังให้กับสารเคมีเพื่อนำา พื้นที่ทั้งหมดเปลี่ยนมาทำาเกษตรกรรมไร้
สารเคมีอาจไม่ใช่การตัดสินใจครั้งสุดท้าย และคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เนื่องจากมีปัจจัย
อันหลากหลายที่ส่งผลให้คนที่ยึดมั่นศรัทธา หรือเคยทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีจำาเป็นต้องเปลี่ยน
แปลงชีวิตของตนเองอีกครั้งหนึ่งไม่ว่าจะเต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็ตาม ดังเช่นกรณีของนายประเสริฐ
ซึ่งนำาที่นาทั้งหมด 39 ไร่ มาทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีปีใน พ.ศ. 2542 ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่
กับนวัตกรรมที่ตนเลือก แต่ในปี พ.ศ. 2543 เขาก็ไม่สามารถปฏิบัติตามในสิ่งที่เขาตั้งใจได้โดย
อิสระ เพราะพ่อตาของเขา(นายปัญ เพ็งแจ่ม) ซึ่งเคยช่วยลูกสาว และลูกเขยทำานามาโดยตลอด
อยู่ในวัยที่ชรามาก จนทำาให้สภาพร่างกายที่แย่ลงในปีนั้นไม่สามารถทำา นาได้ดังเดิม จึงได้สั่งให้
นายประเสริฐแบ่งที่นาแปลงหนึ่ง(พื้นที่ 12 ไร่) มาทำา เกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีตามเดิม ซึ่งด้วย
ความเกรงใจ และเห็นว่าเหลือคนทำา นาเพียง 2 คน คือตัวเขา และภรรยา จึงตัดสินใจทำา ตาม
ปรารถนาของพ่อตาของเขา ทำาให้ในปี พ.ศ. 2543 จนถึงปัจจุบันนายประเสริฐทำาเกษตรกรรมไร้
สารเคมีแค่แปลงเดียว(พื้นที่ 27 ไร่) เท่านั้น
ขนาดพื้นที่ และจำานวนแรงงานเป็นปัจจัยที่จะต้องสัมพันธ์กัน กล่าวคือ หากเกษตรกร
มีพื้นที่มาก ก็ควรมีสมาชิกในครอบครัวที่ทำาเกษตรกรรมมากตามไปด้วยเพื่อให้มีจำานวนแรงงาน
เพียงพอที่สามารถจะทำาเกษตรกรรมได้อย่างเหมาะสมกับขนาดของพื้นที่ ทันต่อเวลาในการเก็บ
เกี่ยว และไม่เสียต้นทุนในการจ้างแรงงาน ในทางตรงกันข้าม หากมีที่นามาก แต่มีจำานวนแรงงาน
น้อยก็จะเกิดข้อจำากัดในการทำานา และการตัดสินใจไปสู่การทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีได้ ดังเช่น
กรณีครอบครัวของนางถาวร สมนึก ที่มีพื้นที่นาถึง 80 ไร่ และมีจำานวนแรงงานในครอบครัวที่ทำา
เกษตรกรรมเพียงแค่ 3 คน คือ นางถาวร สามี และลูกชาย โดยที่ผ่านมาลูกชายมีหน้าที่ในการ
ไถนา ดำานา และเก็บเกี่ยว ส่วนนางถาวร และสามีมีหน้าที่หลักในการหว่านปุ๋ยเคมี อย่างไรก็ตาม
การดำา นา และเก็ บเกี่ย วต้ อ งอาศั ย การจ้ า งแรงงานมาช่ ว ยเหลื อทุ ก ปี เพราะลำา พั ง แรงงานใน
ครอบครัวไม่เพียงพอที่จะดำานาและเก็บเกี่ยวผลผลิตในพื้นที่ 80 ไร่ได้ทันเวลา ซึ่งผลจากแรงงาน
ในครอบครัวที่ทำาอาชีพเกษตรกรรมมีจำานวนน้อย รวมทั้งการที่นางถาวร และสามีเริ่มแก่ชราลงไป
ทุกที จึงทำาให้ในปีปัจจุบัน(พ.ศ. 2548) ครอบครัวของนางถาวรจำาเป็นต้องนำาพื้นที่ทั้งหมดมาทำา
นาหว่าน เนื่องจากทำาได้ง่ายไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย และใช้เวลามาก (จากที่ในปีที่แล้วทำานาหว่าน
ครึ่ ง หนึ่ ง และทำา นาดำา ครึ่ ง หนึ่ ง ) นอกจากนั้ น การที่ ข าดแคลนแรงงานยั ง ทำา ให้ น างถาวรไม่
สามารถเลี้ยงวัวได้ ด้วยเหตุนี้ หากจะตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี ก็จะขาดวัตถุดิบสำา คัญ
152
กับขนาดของพื้นที่ของตนเอง หากเกษตรกรมีสัดส่วนของขนาดที่นากับปริมาณมูลวัวที่ไม่สมดุลกัน
จะทำา ให้เกิดปัญหาในการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีได้ ดังเช่น กรณีของนายบุญเรือน ศรีวิลัย
เกษตรกรที่ทำา นาด้วยแรงงานในครอบครัว 2 คน มีพื้นที่ทั้งหมด 33 ไร่ โดยมีกรรมสิทธิ์ในที่นา
เพียง 3 ไร่ และเช่าที่ดินของผู้อื่นอีก 30 ไร่ เขาได้ประสบปัญหาภายหลังเปลี่ยนมาทำาเกษตรกรรม
ไร้สารเคมี เนื่องจากการที่เขาเลี้ยงวัวแค่ 3 ตัวในช่วงเริ่มเปลี่ยนวิถีการผลิต(ปัจจุบันในปี พ.ศ.
2548 เหลือวัวเพียง 1 ตัว) ทำาให้ขาดแคลนมูลวัวที่จะนำาไปใช้ทำาปุ๋ยฯ EM
“ถ้าทำานาเยอะ ใช้ปุ๋ย EM จะได้ข้าวน้อย เพราะขี้วัวไม่พอ” (บุญเรือน ศรี
วิลัย, สัมภาษณ์)
6. กระบวนทัศน์แบบองค์รวม และการเน้นระหว่างคุณค่ากับมูลค่า
155
เนื่องจากเกษตรกรรมไร้สารเคมีเป็นนวัตกรรมที่มีประโยชน์ต่อเกษตรกรในหลายมิติ
ไม่ว่าจะเป็นมิติด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ หรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งคุณค่าในด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจาก
การทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี ประกอบไปด้วย การลดต้นทุน การเพิ่มรายได้จากการขายข้าว
ตลอดจนการเพิ่มปริมาณผลผลิต ทั้งนี้ สำาหรับการเพิ่มผลผลิตนั้นเกษตรกรจำาเป็นต้องเล็งเห็นถึง
ผลในระยะยาวจากการที่สภาพดินร่วนซุยมีธาตุอาหารในดินมากขึ้น จึงจะทำา ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากเกษตรกรหวังผลในเชิงเศรษฐกิจเพียงแค่ในระยะสั้นก็จะส่งผลให้เกิด
ความผิดหวังที่มีต่อนวัตกรรม เพราะปุ๋ยฯ EM อาจไม่ใช่นวัตกรรมที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
เหมือนปุ๋ยเคมี ดังนั้น ผู้ที่จะตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี อาจจะต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์
ซึ่ ง มองเห็ น ผลประโยชน์ ใ นระยะยาวจากการเลิ ก ใช้ ส ารเคมี มิ ใ ช่ ตั ด สิ น คุ ณ ค่ า ของการทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีจากปีทที่ ดลองทำา หรือปีแรกที่เริ่มทำาจริง
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรคนใดซึ่งมีทัศนคติเกี่ยวกับการทำา เกษตรกรรมที่เน้นในเชิง
เศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว หรือให้คุณค่าต่อนวัตกรรมเฉพาะในรูปตัวเงินที่จะได้รับเท่านั้น อาจ
ส่งผลถึงความต่อเนื่องของการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีได้เช่นกัน แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้า
หากเกษตรกรคนใดให้คุณค่าต่อมิติทางสุขภาพ หรือมิติทางสิ่งแวดล้อมประกอบกันไปด้วย ก็จะ
ก่อให้เกิดความศรัทธาที่ยืนยาวต่อวิถีการผลิตที่ไม่พึ่งพาสารเคมี เนื่องจากการทำาเกษตรกรรมไร้
สารเคมีไม่ว่าช่วงเวลาใดก็ตาม ย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมของเกษตรกรและชุมชน
การที่เกษตรกรมีทัศนคติต่อการทำาเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์ หรือให้คุณค่าเฉพาะมิติ
เศรษฐกิ จ เป็ น การมองโลกในทั ศ นะที่ ไ ม่ใ ช่ อ งค์ ร วม และดู เ หมือ นจะเป็น แนวทางที่ ไ ม่ สู้ จ ะ
สอดคล้องกับปรัชญาของการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีเท่าใดนัก เพราะเกษตรกรรมไร้สารเคมี
เป็นวิถีการผลิตที่มีหลักคิดแบบองค์รวม คือมุ่งแก้ไขปัญหาทางการเกษตรหลาย ๆ ด้านพร้อมกัน
มิใช่มิติด้านมิติหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจจากการทำาเกษตรกรรม
ไร้สารเคมี หรือเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมีอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งจากการขึ้นลงของราคา
ข้าวอินทรีย์ นโยบายการประกันราคาข้าวของรัฐบาล ปริมาณผลผลิตที่ไม่แน่นอน(ซึ่งแปรผันตาม
สภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละปี) หรือแม้กระทั่งราคาของปุ๋ยเคมีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่ง
ปัจจัยที่ไม่แน่นอนเหล่านี้สามารถหันเหความสนใจของเกษตรกรซึ่งทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีที่มุ่ง
เน้นการทำาเกษตรกรรมเพื่อขาย หรือเน้นที่จะปลูกให้ได้เงิน ให้กลับไปทำาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสาร
เคมีได้ทุกขณะ ดังกรณีของนายหลุด ศรียงยศ เกษตรกรวัย 55 ปี ซึ่งในปี พ.ศ. 2546 เขาตัดสิน
ใจนำา ที่นาทั้งหมด(2 แปลง) มาทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี หลังจากที่ได้ทดลองทำา ตั้งแต่ปี พ.ศ.
2544 แต่เนื่องจากในปีที่แล้วคือ พ.ศ. 2547 นายหลุดได้ปริมาณข้าวเปลือกที่น้อยลงจากปีก่อน
หน้านั้นมาก ทำาให้ความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพของปุ๋ยฯ EM ที่เคยมีอยู่เดิมได้ลดลงไป ดังนั้น
156
ด้วยปริมาณผลผลิตที่ลดลงจึ งทำา ให้เ ขาตั ดสินใจแบ่ง ที่นาแปลงหนึ่ง เปลี่ ยนกลับมาใช้ ปุ๋ย เคมี
เหมือนเดิม ขณะที่อีกแปลงหนึ่งยังคงทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีต่อไป
จากการประมวลข้อมูลที่ผู้ศึกษาได้พูดคุยกับนายหลุดในโอกาสต่าง ๆ แล้ว ปัจจัย
หลักที่ทำาให้นายหลุดทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี เกิดจากผลดีทางด้านเศรษฐกิจจากการปลูกข้าว
อินทรีย์ที่ส่งผลให้ต้นทุนในการปลูกข้าวลดลง และราคาขายข้าวยังสูงขึ้นกว่าตอนที่ขายข้าวซึ่ง
ปลูกโดยการใช้สารเคมี อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาพบว่าการที่เกษตรกรจะสรุปว่าการใช้ปุ๋ยฯ EM หรือ
ปุ๋ยเคมีจะดีกว่า หรือคุ้มค่ากว่ากันนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำา บากทีเดียว เนื่องจากจะต้อง
คำานวณถึงต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไป และผลผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเปลี่ยนปุ๋ยที่ใช้ รวมทั้ง
ราคาข้ าวที่ ข ายได้ ยั ง ไม่เ ท่ า กัน อี ก ด้ ว ย ด้ว ยเหตุ นี้ คำา ให้ สั มภาษณ์ ข องเกษตรกรแต่ ล ะคนจึ ง
ปราศจากตัวเลขที่จะชี้วัดได้ว่า การทำาเกษตรกรรมรูปแบบใดประสบความสำาเร็จมากกว่ากันในเชิง
เศรษฐกิจ หรือตัวเงิน นอกจากนั้น เกษตรกรหลายคนยังขาดความสนใจ หรือความเชี่ยวชาญใน
การคำานวณต้นทุนกำาไรซึ่งเป็นตัวเลข แต่สิ่งหนึ่งที่จะเห็นผลได้ชัดเจนก็คือ ปริมาณผลผลิตที่เขา
ทำาได้ในช่วงของการเก็บเกี่ยว เพราะเกษตรกรอยู่กับแปลงนาของตนเองแทบทุกวัน การที่ต้นข้าว
เติบโตช้า-เร็ว และมีรวงข้าวที่เล็ก-ใหญ่อย่างไร จึงเป็นภาพที่ติดตา หรืออยู่ในใจของเกษตรกร
แต่ละคนตลอด
ทั้งนี้ ในการทดลองปีแรก(พ.ศ. 2544) ของนายหลุดนั้น ปริมาณผลผลิตที่เขาได้ไม่
แตกต่างจากช่วงที่ใช้ปุ๋ยเคมีแต่อย่างใด ซึ่งทำาให้เขาตัดสินใจทดลองอีกครั้งหนึ่งในปีต่อมาโดยใช้
พื้นที่นาเท่าเดิม(ขณะที่นาอีกแปลงหนึ่งยังใช้สารเคมีเหมือนเดิม) ในปี พ.ศ. 2545 นี้เอง กลุ่ม
กองทุนปุ๋ยหมักจุลินทรีย์บ้านสมพรรัตน์สามารถขายข้าวอินทรีย์ได้มากขึ้น เพราะนอกจากจะขาย
ให้กับโรงสีข้าวธัญญเทพเช่นเดียวกับปีก่อนแล้ว ยังมีราชธานีอโศกอีกแห่งหนึ่งที่มาขอซื้อข้าวในปี
นี้ ซึ่งทำาให้ปี พ.ศ. 2545 นายหลุดสามารถขายข้าวอินทรีย์ให้กับทางกลุ่มฯ และชมรมฯ ได้เพิ่มขึ้น
ประเด็นนี้เองเป็นแรงกระตุ้นให้เขาทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีด้วยที่นาทั้งหมดในปี พ.ศ. 2546
อย่างไรก็ดี การตัดสินใจเปลี่ยนกลับมาใช้สารเคมีในการทำานาอีกครั้งของนายหลุด มี
ปัจจัยเดียวเท่านั้น คือ ผลผลิตที่ลดลง ทัง้ นี้ ผู้ศึกษาไม่ทราบว่าแท้จริงในช่วงที่เขากำาลังตัดสินใจ
จะนำา พื้นที่ แปลงหนึ่ งกลับมาทำา เกษตรกรรมที่ พึ่ ง พาสารเคมีนั้ น เขามี แ นวความคิ ด หรื อ รู้ สึ ก
อย่างไรต่อเกษตรกรรมไร้สารเคมี แต่ล่าสุดหลังจากที่เขาเปลี่ยนมาทำา เกษตรกรรมที่พึ่งพาสาร
เคมีอีกครั้งในปี พ.ศ. 2548 เขาได้ให้สัมภาษณ์โดยอ้างถึงเหตุผลมากมายเกี่ยวกับข้อเสียของการ
ใช้ปุ๋ยฯ EM
“คนเขามาแนะนำาบอกว่ามันประหยัดต้นทุน ความจริงแล้วมันประหยัด
ตรงไหน ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ถ้าใส่น้อยมันก็ไม่งาม”
157
เพื่อให้เกิดความมั่นใจถึงแนวคิดของนายหลุดที่ให้คุณค่าของการทำาเกษตรกรรมไร้สาร
เคมีเพียงแค่มิติทางเศรษฐกิจ ผู้ศึกษาได้สอบถามถึงการให้คุณค่ากับมิติอื่นของเขาว่ามีอยู่บ้างหรือ
ไม่ โดยผู้ศึกษาตั้งคำาถามว่า “หากทำานาโดยใช้สารเคมี คิดว่าสารเคมีที่อาจปนเปื้อนอยู่ในเม็ดข้าวที่
เรากินจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของตนเองหรือไม่ ” ซึ่งผู้ศึกษาได้รับคำาตอบที่น่าสนใจดังนี้
“ถ้าข้าวเคมีไม่ดีต่อสุขภาพ คนทั่วประเทศก็กินเคมีเหมือนกันทั้งนั้น
แหละ… ถ้ากินปุ๊บแล้วเป็นอะไรเลยซิ เราก็กลัว ไอ้นี่มันไม่ชัดเจน ใคร ๆ
ก็กินกัน” (หลุด ศรียงยศ, สัมภาษณ์)
ในปีที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายประกันราคาข้าวให้แก่เกษตรกร ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าว
ทั่ว ๆ ไปที่ปลูกด้วยสารเคมี มีราคาไล่เลี่ยกับราคาข้าวอินทรีย์(ประมาณ 10 บาท/กก.) ที่เกษตรกร
บ้านสมพรรัตน์หลายคนปลูกอยู่ ทำาให้เกษตรกรที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีมิได้รับผลประโยชน์ใน
เชิงราคาผลผลิตเมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรกรคนอื่น ๆ เลยในปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ ผู้ศึกษาจึง
ถามนายหลุดต่อไปว่า “สมมติถ้าปีนี้รัฐบาลประกันราคาข้าวอีก ปีต่อไปลุงจะทำาอย่างไร” ซึ่งคำา
ตอบที่ผู้ศึกษาได้รับก็คือ “ก็ทำาเคมีหมดเลยซิ” ดังนั้น จากการให้สัมภาษณ์ของนายหลุด ผู้ศึกษา
สามารถสรุปได้ว่าเขาเป็นเกษตรกรประเภทที่ให้คุณค่ากับมิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น การตัดสินใจ
เลือกวิถีการผลิตจึงพิจารณาจากผลได้ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าวิธีคิดดังกล่าวทำาให้
นายหลุดไม่สามารถทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีได้อย่างต่อเนื่องยาวนานเหมือนดังเช่นเกษตรกรบาง
รายที่คำานึงถึงมิติอื่น ๆ ควบคู่กันไปกับมิติทางเศรษฐกิจ
ตรงกันข้ามกับนายหลุด ศรียงยศที่ไม่ค่อยได้ให้คุณค่าในมิติทางสุขภาพ นายปรีชา
คิดดีจริง เกษตรกรหนึ่งในสามคนผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มกองทุนปุ๋ยฯ มีประสบการณ์ที่เห็นเพื่อนบ้าน
ของตนเองเจ็บป่วยจากการใช้ปุ๋ยเคมี ไม่วา่ จะเป็นโรคตับ ไปจนถึงการเป็นอัมพาต จึงมีเหตุผลใน
การตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีโดยมีปัจจัยทางด้านสุขภาพเป็นปัจจัยหลักควบคู่ไปกับผลดี
จากการใช้ปุ๋ย ฯ EM ในเชิงเศรษฐกิจ โดยนายปรีชาทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีด้วยพื้นที่ทำา กิน
ทั้งหมด ทั้งแปลงข้าวเจ้า และแปลงข้าวเหนียว ซึ่งถือเป็นสมาชิกของกลุ่มกองทุนปุ๋ยฯ ส่วนน้อยห
รือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่มิได้แบ่งแปลงไว้ทำาเกษตรเคมีเลย อันแตกต่างจากสมาชิกของกลุ่มคน
อื่น ๆ ทีส่ ่วนใหญ่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีด้วยพื้นที่นาเพียงบางส่วนเท่านั้น
158
จากการที่มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยกับนายปรีชาหลายต่อหลายครั้ง ผู้ศึกษาได้เรียนรู้
แนวคิด และข้อคิดอันมีคุณค่ามากมายทั้งในประเด็นที่เกี่ยวกับสาเหตุที่เกษตรกรส่วนใหญ่ตัดสิน
ใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี วิธีคิดในการทำาเกษตรของชาวบ้านในหมู่บ้าน รวมทั้งแนวทางในการ
ส่งเสริมการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี แต่สำาหรับประเด็นของการให้นำ้าหนักต่อมิติต่าง ๆ นั้น นาย
ปรีชาได้สะท้อนความคิดที่มีต่อสมาชิกกลุ่มกองทุนปุ๋ยฯ ว่า แท้จริงแล้วสามารถจำาแนกออกได้เป็น
หลายประเภท ไม่ใช่ว่าสมาชิกแต่ละคนจะต้องการเลิกใช้ปุ๋ยเคมีเพราะเห็นประโยชน์จากการลด
ต้นทุนเสมอไป แต่บางคนเข้ามาเป็นสมาชิกของกลุ่มเพื่อหวังจะขายข้าวได้ราคาดีเท่านั้น โดย
เฉพาะพวกที่เข้ามาเป็นสมาชิกในช่วงหลัง ๆ ซึ่งชมรมฯ และสหกรณ์ฯ มีความมั่นคงทางการตลาด
แล้ว สามารถรับซื้อข้าวอินทรีย์จากสมาชิกได้ในราคาสูงกว่าราคาข้าวทั่วไป
“ส่วนใหญ่เข้ามาเพราะผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละเกรียง ถ้าไปถามดูดี ๆ จะ
รูว้ ่ามีคนที่ทำาจริง ๆ อยูไ่ ม่กี่คนหรอก” (ปรีชา คิดดีจริง, สัมภาษณ์)
นอกจากนั้น นายปรีชายังให้ทรรศนะถึงการที่เกษตรกรส่วนใหญ่ของหมู่บ้านยังยึดอยู่
กับแนวคิดในการทำาเกษตรเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งการให้คุณค่ากับเงินตราเป็นสำาคัญทำาให้ชาวบ้าน
ยังไม่สามารถรอดพ้นจากภาวะของการติดหนี้สินได้
“เดี๋ยวนี้จะไปเรียกชาวนาว่าเป็นเกษตรกรก็ไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าเป็น
ผู้ประกอบการมากกว่า เพราะผลิตได้เท่าไหร่แล้วก็เอาไปขาย” (ปรีชา
คิดดีจริง, สัมภาษณ์)
ไม่เพียงแต่กรณีของนายปรีชา ที่แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของเกษตรกรซึ่งเล็งเห็นคุณค่า
ของมิติทางสุขภาพเป็นหลักเท่านั้น ยังมีเกษตรกรคนอื่นที่ไม่ได้หวังผลเพียงในเชิงเศรษฐกิจแต่
อย่างเดียวนั้น หากให้ความสำาคัญเกี่ยวกับการปรับปรุงฟื้นฟูคุณภาพของดินซึ่งถือเป็นทรัพยากร
สำา คั ญ ของการทำา เกษตรกรรม ดั ง เช่ น กรณี ข องนายทองสุ น แสงทอง เกษตรกรซึ่ ง ร ูี้จั ก กั บ
เกษตรกรรมไร้สารเคมีขณะที่ตนรับราชการทหารอยู่ที่กรมทหารราบที่ 6 ทีม่ ีความมุ่งหวังต่อการใช้
ปุ๋ยฯ EM ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพดินในแปลงนา โดยแต่เดิมมานั้นเขาปลูกแตงโมตาม
บริเวณรอบ ๆ แปลงนา และนำาแตงโมที่ปลูกได้ไปขายให้กับชาวบู้านคนอื่นในหมู่บ้านเดียวกันอยู่
แล้ว เขาจึงนำา ปุ๋ยฯ EM มาทดลองใส่บริเวณที่ปลูกต้นแตงโม อย่างไรก็ตาม นายทองสุนก็ไม่ได้
กลัวว่าผลผลิตแตงโมของตนจะลดลงเลย เนื่องจากเห็นว่าการใส่ปุ๋ยฯ EM จะทำาให้สภาพดินใน
แปลงนาดีขึ้น
เนื่องจากการที่เกษตรกรบางคนเห็นประโยชน์ของการใช้ปุ๋ยฯ EM ในเชิงเศรษฐกิจด้าน
เดียว จึงยังดึงจิตใจของตนออกห่างจากการใช้สารเคมีไม่ได้ เพราะการใช้ปุ๋ยเคมีทำาให้ต้นข้าวงอก
159
แม้ว่าปริมาณผลผลิตที่เกษตรกรได้รับจากการทดลองทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี จะมี
ส่วนอย่างมากต่อการตัดสินใจที่จะทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีหรือไม่ต่อไป แต่ปริมาณผลผลิต
สำา หรับบางคนอาจเป็นเพียงปัจจัยเสริมในการเพิ่มความเชื่อมั่นที่มีต่อนวัตกรรมเท่านั้น ดังเช่น
กรณีของนายประเสริฐ ประคำา ทีท่ ดลองทำาฯ ในปี พ .ศ. 2542 โดยปริมาณผลผลิตที่เขาได้รับใน
ปีนั้นเท่ากับ 192 กก./ไร่ ซึ่งกลับแย่ลงกว่าตอนที่ใช้ปุ๋ยเคมีที่ได้ข้าวเปลือก 230 กก./ไร่ แต่เขายัง
คงมั่นใจแน่วแน่กับการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี ไม่คิดจะเปลี่ยนกลับไปพึ่งพาสารเคมีอีกต่อไป
เนื่องจากเห็นว่าการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีนั้น นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนได้แล้วยังเป็นผลดี
ต่ อ ดิ น สิ่ ง แวดล้ อ มรอบตั ว ตลอดจนสุ ข ภาพของเขาเองด้ ว ย ซึ่ ง หลั ง จากที่ เ ขาตั ด สิ น ใจทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีแล้ว ยังได้แนะนำา ชักชวนให้คนอื่นในหมู่บ้าน(โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่มี
สภาพดินที่แข็ง) ปฏิบัติตามบ้าง โดยให้เหตุผลว่าการใช้ปุ๋ยฯ EM จะทำา ให้ดิน สิ่งแวดล้อม และ
สุขภาพดีขึ้น
160
7. รูปแบบของวิธีคิด หรือการดำารงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ไม่ว่าสิ่งใดจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี ถ้า
เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ในแบบพอมีพอกิน พึ่งตนเองด้วยการไม่เน้นการได้มาซึ่งเงินตราผ่าน
ระบบการค้าขาย กล่าวคือทำาเกษตรกรรมโดยไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำาผลผลิตออกขาย หากแต่
ปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์โดยมุ่งหวังที่จะนำามาบริโภคเป็นอาหารแล้ว จะเป็นเงื่อนไขที่ทำาให้เกษตรกร
ปรับตัวไปสู่การทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีได้โดยง่าย เนื่องจากนวัตกรรมที่เข้ามาจะสอดคล้องกับ
วิถีชีวิตเดิมของตนเอง โดยเฉพาะวิถีชีวิตที่ทำาเกษตรเพื่อการบริโภคล้วน ๆ และพึ่งพาทรัพยากรที่
ตนเองมีอยู่นั้น เป็นรูปแบบที่ไม่ต้องคำา นึงถึงความผันผวนเกี่ยวกับราคาของผลผลิต และปัจจัย
การผลิต(อย่างเช่น ปุ๋ยเคมี) เลย
161
กรณีศึกษาของผู้ทำาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมี
เกษตรกรจำานวนมากของหมู่บ้านสมพรรัตน์ โดยเฉพาะผู้ที่ทำาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสาร
เคมี มักซื้อปุ๋ยเคมีจากสหกรณ์การเกษตรบุณฑริก จำากัด ซึ่งตนเป็นสมาชิกอยู่ โดยการใช้เงินเชื่อ
กล่าวคือ นำา ปุ๋ยเคมีมาใช้ก่อนในช่วงฤดูการทำา นา แล้วค่อยนำา เงินไปคืนภายหลังที่ตนมีรายได้
จากการนำา ข้าวที่เก็บเกี่ยวไปขายแล้ว ซึ่งวิธีการหมุนเวียนเงินทุนของเกษตรกรในลักษณะดัง
กล่าว ทำาให้เกิดความเคยชินในการกู้หนี้ยืมสินจนไม่สามารถหนีพ้นจากสภาพความยากจนที่ตน
ประสบอยู่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากเกษตรกรได้อาศัยระบบของ “การใช้ก่อนจ่ายทีหลัง” จนกระทั่ง
ตนเอง(ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่) ติดนิสัยในการก่อหนี้โดยไม่จำาเป็น ปรากฏการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบมา
ถึงการตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเกษตรกรจะเริ่มต้นทำานาในแต่ละ
ปี ก็ยึดอยู่กับกรอบความคิดเดิมที่จะต้องนำาปุ๋ยที่ได้มาฟรี ๆ โดยไม่เสียเงินก่อนมาใช้ ประกอบกับ
ในปัจจุบันปุ๋ยที่สหกรณ์การเกษตรบุณฑริก จำา กัด จำา หน่ายให้แก่เกษตรกรซึ่งเป็นสมาชิกนั้นมี
เฉพาะที่เป็นปุ๋ยเคมีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ภายใต้แนวคิด และนิสัยรักการก่อหนี้แบบเดิม ทำาให้
เกษตรกรส่วนใหญ่หมดโอกาสที่จะเปลี่ยนวิถีการทำาเกษตรกรรมไปสู่รูปแบบที่สามารถพึ่งตนเองได้
ผู้ที่ขาดแนวคิดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง มักจะเน้นการปลูกข้าวเพื่อขายให้ได้เงิน
มามาก ๆ และรวดเร็ว โดยไม่ค่อยตระหนักถึงต้นทุนที่จะต้องเสียไปเท่าใดนัก ดังนั้น วิธีการใด
ก็ตามที่ทำา ให้ได้ผลผลิตจำา นวนมากล้วนเป็นวิธีที่คนกลุ่มนี้ต้องการ ในทางตรงกันข้าม หาก
เปลี่ยน แปลงไปใช้วิธีการใดแล้วทำา ให้ผลผลิตลดน้อยลง ก็จะล้มเลิกการทำา ตามวิธีการนั้นทันที
โดยไม่คำา นึงถึงผลในระยะยาว จากการสัมภาษณ์นายนพดล จำาปาพันธ์ เกษตรกรสมาชิกกลุ่ม
กองทุนปุ๋ยหมักจุลินทรีย์บ้านสมพรรัตน์ อายุ 36 ปี ผู้ถือครองทีด่ ินทำากิน 49 ไร่ ซึ่งทำาเกษตรกรรม
ไร้สารเคมีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เขาได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับความคิดของเกษตรกรที่พึ่งพาสารเคมีใน
การปลูกข้าว ซึ่งเคยทดลองทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี ทำาให้ทราบว่าเกษตรกรผู้ที่มีความคิดยึด
ติดอยู่กับการปลูกเพื่อขาย หรือการทำาเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์นั้น ให้ความสำาคัญกับผลได้ทาง
เศรษฐกิจแค่เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยนายนพดลที่รู้จักกับเพื่อนที่เคยทดลองทำา เกษตรกรรมไร้
สารเคมี เล่าถึงวิธีคิดของเพื่อนคนนั้นของเขาว่า
“เขาก็รู้ว่าใช้ปุ๋ยฯ EM แล้วจะทำา ให้ได้ข้าวในปีแรก ๆ น้อยลง แต่เขาก็ยัง
ไม่ พอใจในการลดลง ก็เลยกลับไปทำาเคมีเหมือนเดิม” (นพดล จำาปาพันธ์ ,
สัมภาษณ์)
กรณีของผู้ซึ่งทำาเกษตรกรรมโดยใช้สารเคมีที่สะท้อนให้เห็นแนวคิดในแบบพึ่งพาการ
ปลูกเพื่อค้าขายเป็นหลัก และสนใจเพียงแต่เฉพาะปริมาณผลผลิตเท่านั้น ก็คือ กรณีของนาย
อุดม จันทำา เกษตรกรซึ่งทำา อาชีพพ่อค้าคนกลางรับซื้อข้าว(จากคนในหมู่บ้าน) ควบคู่ไปกับการ
162
จะเห็นได้ว่าวิธีการทำาเกษตรกรรมของนายอุดม เป็นวิธีที่ตั้งความหวังไว้กับปุ๋ยเคมีใน
ฐานะที่เป็นเครื่องมือสำาคัญอันนำาไปสู่การได้ข้าวเปลือกในปริมาณมาก ทัง้ นี้ ในความจริงแล้วนั้น
เขาเองก็ไม่ทราบว่าปุ๋ยเคมีทใี่ ส่ (สูตร 16-16-8) เหมาะสมต่อการใช้กับข้าวหอมมะลิที่เขาปลูกหรือ
ไม่ อย่างไร อีกทั้งไม่ทราบว่าปุ๋ยสูตร 16-16-8 นั้นหมายความว่าอะไร คิดเพียงว่าถ้าลงทุนใส่ปีุ๋ย
มากก็จะได้ผลผลิตมาก(กำาไรมาก) นอกจากนั้น นายอุดม จันทำายังเป็นเกษตรกรเพียงไม่กี่คนใน
หมู่บ้านที่ปลูกแต่ข้าวหอมมะลิ โดยไม่ปลูกข้าวเหนียวเพื่อไว้บริโภคเองเลย โดยให้เหตุผลว่าข้าว
เหนียวนั้นสามารถซื้อจากใครที่ไหนก็ได้ และยังมีราคาถูกกว่าข้าวหอมมะลิมาก จึงเลือกที่จะนำา
พื้นที่ทั้งหมดมาปลูกข้าวหอมมะลิ อันเป็นวิธีการที่ทำาให้มีรายได้จากการปลูกข้าวอย่างเต็มเม็ด
เต็มหน่วยนั่นเอง ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่ากรณีของนายอุดม เป็นตัวอย่างของเกษตรกรที่มีวิธีคิด
แบบทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ หรือไม่ได้มีฐานคิดในแนวทางแห่งการพึ่งตนเองตามหลักเศรษฐกิจ
พอเพียงเลย ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยทีท่ ำาให้เขาตัดสินใจใช้สารเคมีในการทำาเกษตรกรรมมาโดยตลอด
กรณีศึกษาของผู้ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
จากที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นถึงคำาให้สัมภาษณ์ของนายนพดล จำาปาพันธ์ เกี่ยวกับวิธี
คิดของผู้ที่ยึดติดอยู่กับการปลูกเพื่อขาย หรือการทำาเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์ว่าแม้ทราบดีถึงการ
ใช้ปุ๋ยฯ EM ที่อาจจะทำาให้ผลผลิตในปีแรกที่ทดลองทำาลดลงได้ แต่คนที่มีวิธีคิดแบบนี้ก็ใจร้อนเกิน
กว่าจะทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีต่อไปได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวคิดของนายนพดลเอง ที่ทดลอง
ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีในปีแรก(พ.ศ. 2541) และได้ผลผลิตที่ลดลงเช่นกันจากที่เคยใช้ปุ๋ยเคมี
ในการปลูกข้าว โดยในปีแรกที่เขาหันมาใช้ปุ๋ยฯ EM นั้น เขาเก็บเกี่ยวข้าวเหนียวได้เพียง 420
163
กรณีที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตแบบพอมีพอกิน ไม่มุ่ง
หวังที่จะทำา เกษตรกรรมเพื่อการค้าขาย กับการตัดสินใจทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี คือ กรณีของ
นางราตรี ไขโพธิ์ ซึ่งมีที่ดินเพียง 3 ไร่ โดยปลูกข้าวเพื่อให้พอกินสำาหรับตนเอง และลูกอีก 2 คน
ขณะที่สามีได้ย้ายไปทำางานหารายได้ที่อำาเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เธอมีวิธีการใน
การพึ่งตนเอง และลดความเสี่ยงที่เด่นชัด คือการเลี้ยงวัวเพื่อให้ได้มูลวัวมาใช้ทำา ปุ๋ยฯ EM และ
การกระจายความเสี่ยงทางอาชีพโดยทำาการปลูกข้าวเพื่อบริโภค ยึดรายได้หลักจากสามีที่ทำางาน
ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเธอที่เคยย้ายไปทำา งานอยู่พระประแดงถึง 14 ปี พาตัวเอง และลูก
กลับมาอยู่ที่บ้านเกิด อันเป็นการลดค่าครองชีพที่สูงในเขตเมือง และกลับมาหารายได้จากการทอ
ผ้า โดยไม่คิดจะไปทำางานในต่างประเทศเหมือนชาวบ้านบางคนที่มีโอกาสได้ไปทำางานที่ประเทศ
ไต้หวัน ซาอุดิอาระเบีย เยอรมัน ฯลฯ ซึ่งเมื่อถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวแต่ละปี เธอยังมีข้าวเปลือกเพียง
พอสำาหรับส่งไปให้สามีบริโภคที่กรุงเทพฯ วิธีการตัดสินใจดังกล่าวจึงเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการ
ครองชีพ และพึ่งตนเองในการบริโภค
“อยู่แบบนี้แหละ หนี้ก็ไม่มี หากินในประเทศเรานี่แหละ...”
“บ้านนอกของเราก็ดีไปอย่างนะ ขอกันกินได้ อยู่กรุงเทพฯ ต้องซื้อหมด”
(ราตรี ไขโพธิ์, สัมภาษณ์)
ด้วยการมีต้นทุนในการประกอบอาชีพที่ตำ่า ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าซึ่งนางราตรีเลี้ยงต้น
หม่อนเอง การเข้าไปทำางานในเขตเมืองของสามีที่แม้มีค่าครองชีพที่สูงแต่ก็ไม่ต้องลงทุนมากเท่า
เกษตรกรหลาย ๆ คนในหมู่บ้าน รวมทั้งการปลูกข้าวไว้บริโภคในพื้นที่ไม่มากก็เป็นกิจกรรมที่ไม่
ต้องเสียค่าปุ๋ย และค่าจ้างแรงงาน ดังนั้น แม้นางราตรีจะมีที่ดินทำา กินเพียงแค่ 3 ไร่ก็ตาม แต่
164
ผู้ศึกษาพบว่านายรอดเป็นเกษตรกรเพียงผู้เดียวในหมู่บ้านที่ทำาไร่นาสวนผสม และไม่
ได้ปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์เพื่อวัตถุประสงค์ในการขายเป็นหลัก อย่างไรก็ดี เขาจะมีสินค้าเกษตร
อย่างเช่นพืชผักสวนครัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถั่วฝักยาว) ออกขายชาวบ้านในหมู่บ้านอยู่เป็น
ประจำา แต่ก็มีผักผลไม้บางอย่างที่เขาซื้อมาบริโภคเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแตงโม ส้ม เงาะ แตงกวา
ฯลฯ เนื่องจากพื้นที่อันจำากัดที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะปลูกได้ทุกอย่างเพื่อบริโภค ขณะที่ข้าวซึ่งเป็น
อาหารหลักนั้น เขาได้จากนายมานิตย์และลูกสาวของเขาที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีเป็นประจำา
อยู่แล้ว จะเห็นได้ว่าแนวทางของนายรอดเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงเช่น
กัน ซึ่งเมื่อผู้ศึกษาสอบถามถึงทรรศนะที่นายรอดมีต่อเศรษฐกิจพอเพียง ก็ได้รับคำา ตอบที่แสดง
ให้เห็นถึงการทำาเกษตรเพื่อการบริโภค
เป็นหลัก ดังนี้
“การพอเพียงมันก็ต้องทำาหลายอย่าง มีปลา มีไก่ มีพืชสวน มีผลไม้
ทีว่ ่าพอเพียงมันก็คือพอเพียงในครอบครัว หลังจากนั้นเหลือกินก็เอา
สตางค์ไว้ใช้” (รอด ศรียงยศ, สัมภาษณ์)
8. ความต่อเนื่องในการใช้ที่ดินทำากิน หรือการมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำากิน
เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว การทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีเป็นรูปแบบการเกษตรซึ่ง
อาจจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรที่จะทำาให้ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นเพราะคุณสมบัติ
ของวัตถุดิบจากธรรมชาติที่เป็นส่วนผสมของปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ EM จะไม่ทำาปฎิกิริยากับดินที่เห็น
ผลอย่างรวดเร็วเหมือนกับการใช้ปุ๋ยเคมี เกษตรกรบางคนได้ให้ข้อมูลกับผู้ศึกษาว่าต้องใช้เวลา
หลายปีกว่าสภาพดินจะฟื้นฟูดีขึ้น มีธาตุอาหารและจุลินทรีย์ในดินมากขึ้น รวมทั้งมีไส้เดือนซึ่ง
เป็นสัตว์ที่ทำาหน้าที่ในการพรวนดินตามธรรมชาติมากขึ้น เนื่องจากการใช้ปุ๋ยเคมีได้ส่งผลให้ดิน
แข็ ง และสู ญ เสี ย ความอุ ด มสมบูร ณ์ ต ลอดช่ ว งระยะเวลาหลายสิ บ ปีที่ ผ่ า นมา ดั ง นั้ น หาก
เกษตรกรผู้ใดมีที่ดินเป็นของตนเอง หรือสามารถทำา เกษตรกรรมในพื้นที่ของตนได้เป็นเวลานาน
จึงไม่ต้องกังวลถึงการที่จะได้รับผลดีจากการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี ในทางตรงกันข้าม หาก
เกษตรกรไม่มีความแน่นอนในเรื่องระยะเวลาของการครอบครองที่ดินทำา กินแล้ว สิ่งนี้ก็จะกลาย
เป็นอุปสรรคอันสำาคัญอยู่ไม่น้อยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตของเกษตรกร
167
9. กระบวนการเรียนรู้อันเนื่องมาจากการเกิดเครือข่ายทางความคิด/ปัญญา
จากการพูดคุยกับเกษตรกรทั้งที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี และทำาเกษตรเคมี ผู้ศึกษา
วิเคราะห์ได้ว่าสามารถแยกชาวบ้านในหมู่บ้านออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ ชาวบ้านที่มักเข้า
ร่วมทำา งานเพื่อพัฒนาชุมชน กับ ชาวบ้านที่ชอบแยกตัวอยู่อย่างโดด ๆ โดยไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับ
กิจกรรมในชุมชน กล่าวคือ หากชาวบ้านผู้ใดสนใจร่วมกิจกรรมของชุมชน ก็จะพบว่าคนผู้นั้นจะ
เข้าร่วมกลุ่มต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหมู่บ้าน แต่หากชาวบ้านคนใดไม่ชอบเกี่ยวข้องกับใครก็จะไม่เข้าร่วม
ทำางานเพื่อชุมชน ซึ่งจะส่งผลให้ขาดความสนิทสนม และขาดการติดต่อกับชาวบ้านที่มักเข้าร่วม
ทำางานเพื่อชุมชนโดยปริยาย
สมาชิกของกลุ่มกองทุนปุ๋ยฯ ส่วนใหญ่มักเป็นชาวบ้านที่ทำากิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
เสมอ ไม่วา่ จะเป็นการทำางานเป็นคณะกรรมการธนาคารหมู่บ้าน คณะกรรมการบริหารเงินทุน
เพื่อการศึกษาโรงเรียนบ้านสมพรรัตน์ คณะกรรมการบริหารวัด การเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข
ประจำา หมู่บ้าน(อสม.) ตลอดจนการร่วมกันทำา กิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ดังนั้น
เวลามีกิจกรรมอะไรในหมู่บ้านสมพรรัตน์ ก็สามารถที่จะคาดเดาได้เลยว่าต้องเป็นชาวบ้านหน้า
เดิม ๆ ที่เข้าร่วมประชุม หรือร่วมกันทำางาน โดยสำาหรับเรื่องเกษตรกรรมไร้สารเคมีก็เช่นเดียวกัน
ซึ่งจะเห็นได้จากการอบรมเกี่ยวกับเกษตรกรรมไร้สารเคมีครั้งแรกในหมู่บ้านสมพรรัตน์ (สถานที่
อบรม คือ วัดสมพรรัตนาราม) ที่มีอาจารย์โกวิทย์ ดอกไม้ มาเป็นวิทยาการ ในครั้งนั้นแม้มี
เกษตรกรที่ประสงค์จะเข้าร่วมอบรมถึง 60 กว่าคน แต่มาอบรมจริงเพียงแค่ 20 กว่าคนเท่านั้น ซึ่ง
ก็เป็นเกษตรกรที่มักทำา กิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน และผู้ที่เข้ารับการอบรมดังกล่าวส่วนใหญ่ก็
กลายเป็นสมาชิกกลุ่มกองทุนปุ๋ยฯ ในเวลาต่อมา
แม้ว่าการตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีจะมีปัจจัยแวดล้อมที่จูงใจ หรือหนุนเสริม
อยู่หลายประการดังที่ได้กล่าวมาแล้วหลายปัจจัยข้างต้น แต่หากปราศจากเกษตรกรผู้ที่เป็นคน
169
10. บทบาทของหน่วยงานภายนอกชุมชน
170
แสดงให้เห็นตัวอย่างของเกษตรกรในพื้นที่อื่นซึ่งประสบความสำาเร็จ ตลอดจนมีการใช้สื่อความรู้
ที่หลากหลาย ทั้งสื่อบุคคล วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์
ทั้งนี้ หากวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริงซึ่งเกษตรกรรมไร้สารเคมี สามารถเข้าไปแพร่
หลายในหมู่บ้านสมพรรัตน์แล้ว คงต้องถือเป็นความโชคดีด้วยเช่นกันที่ในวันซึ่งอบรมเกษตรกรรม
ไร้สารเคมีให้แก่พระสงฆ์ ณ วัดมหาวนาราม(วัดป่าใหญ่) เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2541 นั้น
บังเอิญว่ามีนายประดิษฐ์ จันทำา ที่เป็นผู้นำา ตามธรรมชาติของหมู่บ้านเข้าไปรับการอบรมด้วย
เพราะถ้าหากเป็นชาวบ้านคนอื่นที่ไม่ใช่นายประดิษฐ์ ติดตามหลวงพ่อไปในวันนั้นแล้ว อาจยัง
ไม่มีชาวบ้านคนใดในหมู่บ้านสมพรรัตน์ตัดสินใจเริ่มทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีเลยก็ได้
อย่างไรก็ดี ผู้ศึกษาก็พบเห็นข้อด้อยเกี่ยวกับแนวทางการสร้างกระบวนการเรียนรู้ ใน
การนำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีให้แก่ชาวบ้านของกรมทหารราบที่ 6 เช่นกัน เพราะจะเห็นได้ว่า
หน่วยงานภายนอกชุมชนดังกล่าวนี้ พยายามแนะนำา และทำาให้ชาวบ้านแน่ใจว่าเกษตรกรรมไร้
สารเคมีโดยการใช้นำ้าหมัก EM เป็นส่วนผสมสำาคัญนั้นได้ผลดีจริง (ต้นทุนในการทำาเกษตรกรรม
ลดลง และได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น) แต่มิได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ชาวบ้านตระหนักถึงปัญหา
ต้ น ทุ น ทางการเกษตรว่ า เป็ น สิ่ ง สำา คั ญ ที่ ส่ ง ผลให้ ช าวนายั ง ต้ อ งประสบกั บ ความยากจนอยู่
นอกจากเพียงเน้นยำ้าว่าปุ๋ย ฯ EM ช่วยลดต้นทุน กล่าวคือ ชาวบ้านยังไม่เกิดความรู้สึก “สะดุ้ง”
หรือรู้ตัวว่าปัญหาจากค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ของภาวะเศรษฐกิจในครัว
เรือนที่นำาไปสู่สภาพความเป็นหนี้อย่างเรื้อรัง เพราะในความเป็นจริงแล้ว ชาวบ้านเสียเงินซื้อปุ๋ย
เคมีมาหลายสิบปี ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของตนแล้ว อีกทั้งหลายต่อหลายปีที่ราคาปุ๋ยเคมีค่อย ๆ ขยับ
ตัวสูงขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ดำารงอยู่อย่างนี้มานานแล้วเช่นกัน ดังนั้น จึงกลายเป็นความชินชาว่าสภาพ
การณ์ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านปุ๋ยเคมีนั้น คือความจำาเป็น หรือเรื่องธรรมดาของการทำาเกษตรกรรมที่
ไม่ต่างอะไรกับค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานดำานา/ เกี่ยวข้าว หรือค่านำ้ามันสำาหรับใช้ในการไถนาที่
แต่ละครัวเรือนต้องเสียแล้วอยู่ทุก ๆ ปี และในแต่ละปีก็ต้องเสียเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวบ้านจึงไม่รู้สึกว่าค่าปุ๋ยเคมีเป็นเรื่องร้ายแรง หรือเป็นต้นเหตุส่วน
หนึ่งของความยากจน และความไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ฉะนั้น แนวทางในการอบรมของกรม
ทหารราบที่ 6 ที่พูดถึงข้อดีของการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีซึ่งช่วยลดต้นทุนในการทำา นา จึง
กลายเป็นเพียงข้อมูลที่มิอาจแทรกซึมเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของชาวบ้านหลาย ๆ คนได้ ซึ่งนั่น
หมายความว่า จุดแข็งในด้านการลดต้นทุนทางการเกษตรจากการใช้ปุ๋ยฯ EM ตามแนวคิดของ
กรมทหารราบที่ 6 ไม่สามารถสื่อไปถึงชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ดังจะเห็นได้จาก
กรณีของนายประสานที่กล่าวกับผู้ศึกษาว่า เขาใช้ปุ๋ยเคมีเพียง 1 กระสอบต่อพื้นที่ 6 ไร่ ซึ่งไม่
มากเท่าเกษตรกรคนอื่นในหมู่บ้าน ซึ่งแท้จริงแล้วหากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เขาต้องเสียให้กับ
สารเคมีแล้ว ก็มากเป็นหลักหมื่นต่อปีทีเดียว
172
นอกจากกรมทหารราบที่ 6 ขาดแนวทางที่เป็นระบบในการสร้างความตระหนักให้ชาว
บ้านเห็นปัญหาของค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีแล้ว จะเห็นได้ว่ากรมทหารราบที่ 6 ขาดการมอง
ปัญหาของการใช้สารเคมีในการทำาเกษตรกรรมอย่างเป็นองค์รวมอีกด้วย เพราะมองเห็นและเน้น
ยำ้าถึงข้อดีของเกษตรกรรมไร้สารเคมีในด้านเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว ทำาให้ชาวบ้านขาดการ
มองปัญหาอย่างรอบด้าน และไม่สามารถรู้เท่าทันปัญหาจากการใช้สารเคมีในมิติอื่นทั้งทางด้าน
สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และจิตสำานึกรักธรรมชาติ ดังนั้น ชาวบ้านที่มาอบรม ดูการสาธิตการทำา
ปุ๋ยฯ EM จึงได้เพียงความรู้ทางเทคนิคเท่านั้น แต่ขาดสำานึกและวิสัยทัศน์ในการมองเกษตรกรรม
ไร้สารเคมีอย่างเป็นองค์รวมในแบบทีค่ วรจะเป็น
สรุปได้ว่าบทบาทของหน่วยงานภายนอกชุมชนก็คือ ปัจจัยเริ่มต้นที่สำา คัญอันไปนำา สู่
กระบวนการต่อไปในการตัดสินใจของเกษตรกรที่จะหันหลังให้กับสารเคมี และมุ่งสู่การทำาเกษตร
กรรมไร้สารเคมีที่เป็นแนวทางหนึ่งของการพึ่งตนเอง และลดความเสี่ยงในการทำาเกษตรกรรม ถึง
แม้ว่าวิธีการส่งเสริมของหน่วยงานภายนอกชุมชนเพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนทำา เกษตรกรรมไร้สาร
เคมีจะมีข้อจำา กัดอยู่บ้านในเชิงกำา ลังคน งบประมาณ และเทคนิควิธีการบางประการ แต่ด้วย
ความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้นำาจากหน่วยงานดังกล่าว ส่งผลให้หน่วยงานภายนอกเป็นปัจจัยที่สำาคัญ
ประการหนึ่งที่ทำา ให้เกษตรกรในพื้นที่ การศึก ษา(แม้จะมีจำา นวนไม่มากนั ก) สามารถหันมาทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีได้ อีกทั้งยังมีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อช่วย เหลือกันเองระหว่างชาวบ้าน และมี
แนวโน้มที่เกษตรกรรมไร้สารเคมีจะขยายผลแพร่หลายไปสู่ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ยังใช้สารเคมีในการ
ทำาเกษตรกรรมในอนาคตอันใกล้อีกด้วย
ด้วยการลงแรงปรับระดับความลาดชันของพื้นดินให้เหมาะสมก่อนลงมือทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี
ตลอดจนการพยายามใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะนำามาปรับปรุงวิธีการทำานาให้ได้ประสิทธิภาพ
ยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรทั้งสิ้นสำาหรับฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ
จนสามารถทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีได้ ฉะนั้น ไม่ว่าเกษตรกรจะขาดความพร้อมในด้านใดก็ตาม
แต่ความขยันหมั่นเพียรถือเป็นปัจจัยหลักที่ขาดไม่ได้เลย
สำาหรับเกษตรกรที่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับเกษตรกรรมไร้สารเคมีนั้น ความรู้จะกลาย
เป็นปัจจัยสำาคัญที่จำาเป็น และมีผลต่อการพิจารณาในขั้นต่อไปว่าจะทำา หรือไม่ทำาเกษตรกรรมไร้
สารเคมี ซึ่งนัน่ หมายความว่า หากเกษตรกรได้รับความรู้ หรือผ่านการอบรมสาธิตจนสามารถทำา
ปุ๋ยฯ EM และสารจากธรรมชาติกำา จัดศัตรูพืชได้แล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะยังไม่ได้ตัดสินใจทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีโดยทันที เพราะจากที่ผู้ศึกษาได้อธิบายถึงกระบวนการตัดสินใจไว้ข้างต้น
แล้วว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จะยังไม่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีอย่างเต็มตัวด้วยพื้นที่ทำากินทั้งหมด
ที่มีอยู่ภายหลังจากผ่านการถ่ายทอดความรู้ แต่จะนำา พื้นที่เพียงบางส่วนเท่านั้นมาพิสูจน์ถึง
ประสิทธิภาพของปุ๋ยฯ EM ด้วยการทดลองทำาดูก่อนในปีแรก และเมื่อเกษตรกรแต่ละคนเข้าใจถึง
กระบวนการ ผลลัพธ์ ตลอดจนอุปสรรคของการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีที่เกิดขึ้นในแปลงนา
ของตนแล้ว จึงจะเกิดการสรุปข้อดี-ข้อเสีย จนสามารถทำา การตัดสินใจว่าจะทำา เกษตรกรรมไร้
สารเคมีอย่างเต็มตัวหรือไม่ หรือจะทำาเกษตรเคมีตามเดิมในปีต่อไป จะเห็นได้ว่า แม้เกษตรกร
คนใดจะมีความรู้เพียงพอที่จะสามารถเริ่มทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีได้แล้ว รวมทั้งมีความสนใจ
จริงที่จะเลือกรูปแบบในการทำาเกษตรกรรมแนวใหม่ แต่เขาผู้นั้นอาจกลายเป็นเกษตรกรที่ยังคงทำา
เกษตรเคมีต่อไปเช่นเดิมก็เป็นได้ ดั่งในกรณีของนายประสาน แสงแย้ม ที่ประเมินและค้นพบ
ตนเองว่าไม่อาจข้ามพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ในการทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมีได้ ดังนั้น หากลอง
วิเคราะห์ถึงกรณีของนายโกวิทย์ ชนะพันธ์ ซึ่งให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่าที่ยังไม่ได้ทำา
เกษตรกรรมไร้สารเคมีเพราะไม่มีความรู้เพียงพอที่จะทำา ได้ ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่า แม้นายโก
วิทย์ ผ่านการอบรมจนมีความรู้เพียงพอที่จะทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีได้ ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่ชี้ชัดได้ว่า
เขาพร้อมที่จะเลิกทำาเกษตรเคมี
อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์กรณีของเกษตรกรที่ตัดสินใจทำาเกษตรกรรมให้ลึกซึ้งแล้วนั้น
จะพบว่า พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่เกษตรกรที่มีความรู้ลึกซึ้งจนถึงขั้นที่จะอธิบายได้ว่า เพราะเหตุ
ใดปุ๋ยฯ EM จึงสามารถช่วยให้คุณภาพดินดีขึ้นได้ หรือทำา ไมต้นข้าวที่ปลูกโดยใช้สารเคมีจึงมี
ขนาดรวงข้าวที่เล็กกว่า เนื่องจากการที่จะเข้าใจประเด็นดังกล่าวอย่างแจ่มชัดได้ จะต้องอาศัย
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อนอยู่พอสมควร กล่าวคือ ต้องทราบถึงปฏิกิริยาระหว่าง
จุลินทรีย์ที่อยู่ในปุ๋ยฯ EM กับอินทรียวัตถุในดินว่าเกิดขึ้นอย่างไร จนทำาให้แร่ธาตุในดินเพิ่มขึ้นอัน
ส่งผลให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้น อันที่จริงแล้วก็ไม่มีเกษตรกรคนใดทราบถึงที่มา
176
ส่วนปัจจัยอีกหลายอย่างก็ถือเป็นส่วนประกอบที่สำาคัญเช่นเดียวกัน อันสามารถนำาไป
สู่การตัดสินใจทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของหน่วยงานภายนอกที่ทำาให้ชาว
บ้านมีความรู้ และตระหนักถึงปัญหาที่ตนเองกำาลังเผชิญอยู่ ปัจจัยเกี่ยวกับการก่อตั้งสหกรณ์ฯ
และกลุ่มกองทุนปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ฯ ก็มีอิทธิพลที่ส่งผลให้เกษตรกรที่ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีมี
ความมั่นคงมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นเครือข่ายของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ใกล้ตัวชาวบ้าน ขณะที่
ปัจจั ย เกี่ ยวกับการมีลัก ษณะพื้น ที่ทำา กิน ที่ เ หมาะสมนั้ น เป็นความพร้ อ มที่ จ ะทำา ให้ เ กษตรกร
สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะหากเกษตรกรผู้ใดมีพื้นที่ซึ่งเอื้ออำานวยต่อการทำาเกษตรกรรมไร้
สารเคมี ก็ไม่มีความจำาเป็นที่จะต้องเหนื่อยแรงเพื่อปรับเปลี่ยนความลาดชัดของพื้นที่ทำา กิน ดัง
นั้น โอกาส หรือความเป็นไปได้ของการลงมือทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีจะมีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีซึ่งผู้
ศึกษาแยกอธิบายทีละปัจจัยนั้น แท้จริงแล้วเกษตรกรแต่ละรายทั้งที่ตัดสินใจทำา เกษตรกรรมไร้
สารเคมี และที่ยังคงทำาเกษตรเคมีต่อไป ล้วนต้องพิจารณาอย่างรอบด้านถึงปัจจัยแต่ละอย่าง ไม่
ว่าจะเป็นความพร้อ มในด้านต่า ง ๆ ทั้งลั กษณะของพื้ นที่ทำา กิน แรงงาน กรรมสิท ธิ์ในที่ดิน
วัตถุดิบในการทำา ปุ๋ย ฯ EM ฯลฯ รวมทั้งวัตถุประสงค์ของการทำา เกษตรกรรม และความขยัน
หมั่นเพียรซึ่งมีมากน้อยแตกต่างกันไป โดยเกษตรกรหลายรายที่ตัดสินใจไม่ทำาเกษตรกรรมไร้สาร
เคมีได้เล็งเห็นถึงปัญหาหลายประการพร้อม ๆ กันของการทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี เมื่อพิจารณา
แล้วว่าเกษตรกรรมไร้สารเคมีไม่เหมาะสมกับตน หรือไม่ดีพอที่จะทำา ก็ตัดสินใจเลือกเกษตรเคมี
ตามเดิม ทั้งนี้ ปัจจัยที่เกี่ยวกับความขยันหมั่นเพียรนั้นสามารถแก้ไขปัญหา/ ข้อจำากัดได้หลาย
ประการทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการที่วัชพืชเพิ่มมากขึ้นในแปลงที่ทำา เกษตรกรรมไร้สารเคมี ปัญหา
ด้านลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ทำา กิน การขาดแคลนแรงงานในครอบครัว ฯลฯ แต่ความ
ขยันหมั่นเพียรนั้นจะต้องควบคีไูี่ ปกับความรู้ความเข้าใจที่ถ่องแท้ และทัศนคติที่สอดคล้องกับการ
ทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมี มิเช่นนัน้ การทำาเกษตรกรรมไร้สารเคมีจะไม่เกิดความต่อเนื่อง อันเป็น
สิ่งที่ก่อให้เกิดการเสียโอกาส หรือเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ที่จะได้ผันเปลี่ยนชีวิตของตนเองให้
อยู่ ใ นแนวทางที่ ส ามารถพึ่ ง ตนเองได้ ทั้ ง ทางด้ า นความคิ ด การทำา เกษตรกรรม การบริ โ ภค
สุขภาพ ตลอดจนการสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว