Professional Documents
Culture Documents
บ้านจำรุง3
บ้านจำรุง3
พัฒนาการและความเป็นมาของชุมชน
1
ชอง เป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก สามารถพบเห็นได้ในหลายจังหวัด อาทิ ระยอง ปราจีนบุรี และสระแก้ว เป็น
ชนเผ่าที่มีภาษาพูด และวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง (รายงานการฝึกภาคปฏิบัติของนักศึกษาปริญญาโท ภาคการพัฒนาชุมชน ปี
2550)
ทุ่งเป็นหลัก ต่อมาเมื่อการหักร้างถางป่าบนเนิน เพื่อทำาสวนผลไม้และสวนยางพารา จึง
ได้ขยายแยกครอบครัว มาปลูกบ้านในสวนผลไม้บนเนินมากขึ้น
ความเป็นเครือญาติของคนในหมู่บ้านจำารุง ทำาให้หมู่บ้านจำารุงมีแรงยึดเหนี่ยว
ทางสังคมในระดับสูง ชาวบ้านจะมีความรู้สึกผูกพันต่อกันและกัน มีความเกรงใจกัน มี
ค่านิยมทีผ่ กู พันกับหมูบ่ า้ น และต้องการเสียสละเพือ่ หมูบ่ า้ นของตนเอง สังเกตได้จากการ
ร่วมมือกันพัฒนาหมูบ่ า้ น พัฒนาถนนหนทาง แหล่งนำ้าสาธารณะ วัด ทีส่ าธารณประโยชน์
ในวันสำาคัญ จะพบได้ว่า ชาวบ้านจะมาช่วยกันอย่างพร้อมเพรียง
ประมาณปี 2510 เริม่ มีการเปลี่ยนแปลงในทุ่งนาบ้านจำารุง นายหนุ่ม ดีนาน ซึ่ง
เป็นทั้งหมอแผนโบราณ และผู้นำาทางความคิด ได้ซื้อรถไถนาควายเหล็ก คันแรกเข้ามา
ในทุ่งนาบ้านจำารุง โดยให้เหตุผลว่ารถไถดูแลง่าย ไม่จุกจิก แค่เติมนำ้ามัน ก็สามารถ
ทำางานได้ทั้งวัน ไม่เหน็ดเหนื่อย ต่างจากวัว ควายที่ต้องหาหญ้า หานำ้าให้กิน ทำางานก็
ทำาได้เพียงครึ่งวันเช้า รถไถทำางานได้มากกว่า
เมื่อมีรถไถคันแรก คันที่สองก็ตามมา การนำา วัว ควาย ไปช่วยกันลงแขกไถนา
เริ่มหายไป ชาวบ้านเริ่มหันไปใช้บริการรถไถนาที่เข้ามารับจ้างมากขึ้น ควายตัวสุดท้าย
ได้ถูกขายในปี 2529 ในทุง่ นามีการเปลี่ยนแปลง บนเนินที่มีการทำาสวนผลไม้และสวน
ยางพารา ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ป่ายางที่ชุ่มชื้นมีพืชผัก สมุนไพร กลับกลายเป็น
สวนยางที่ปลูกยางเพียงอย่างเดียว ห้ามปลูกอย่างอื่นปน โดยได้รับการสนับสนุนจาก
กองทุนสงเคราะห์การทำาสวนยาง
สวนผลไม้ดั้งเดิมที่มีลักษณะเป็นสวนผสม ปลูกหลายอย่าง ถูกมองว่าไม่ถูกต้อง
ตามหลักวิชาการ โบราณครำ่าครึ ต้องเป็นการปลูกแบบสมัยใหม่ คือปลูกแบบพืช
เชิงเดี่ยวถึงจะถูกต้อง สารเคมีเข้ามามีบทบาทในการประกอบอาชีพในชีวิตมากขึ้น
การศึกษาในอดีต ต้องเดินทางข้ามทุ่งนา เพื่อไปเรียนหนังสือที่วัดเนินฆ้อ ซึ่งอยู่
ห่างจากบ้านจำารุงไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 4 กิโลเมตร
ต่อมาประมาณปี 2475 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนวัดจำารุง ขึ้นจากการอนุเคราะห์
ของพระครูเล็ก อินทโชโต เจ้าอาวาสวัดจำารุง ชาวบ้านจึงมีโอกาสในการการศึกษามาก
ขึ้น จนจบการศึกษาภาคบังคับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นต้น
มา
ปี 2517 ไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน ทุกคนดีใจเห็นความเจริญของหมู่บ้าน ไฟฟ้าสว่างไสว
เครื่องใช้ไฟฟ้าตามเข้ามา โทรทัศน์ ตู้เย็น หม้อหุงข้าว ฯลฯ ทั้งเงินสด และผ่อน ขณะ
เดียวกัน ด้านการศึกษา ลูกหลานได้รับการส่งเสริมให้เรียนต่อมากขึ้น ด้วยความหวังว่า
จะได้เป็นเจ้าคนนายคน แรงงานในชุมชนเริ่มขาดแคลน เพราะลูกหลานที่ส่งไปเรียนไม่
สามารถที่จะทำางานในทุ่งนา ในสวนยาง และสวนผลไม้ได้
วัฒนธรรม ประเพณี ขาดการสืบทอด เริ่มหายไปทีละอย่างสองอย่าง ผู้คนใน
ชุมชนเริ่มต่างคน ต่างอยู่ การทำามาหากินเน้นเรื่องเงินเป็นหลัก การพึ่งพาช่วยเหลือกัน
แบบสมัยก่อน เหลือน้อยมาก
ปี 2529 ผู้ใหญ่เยือน ผลงาม ถูกขอร้องจากแกนนำาหมู่บ้าน นำาโดยครูแฉ่ง
ไกรทอง ครูใหญ่โรงเรียนวัดจำารุง ให้มารับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน เพื่อที่จะร่วมกันแก้
ปัญหา ผู้ใหญ่เยือน ผลงาม ตอบตกลง จึงเริ่มมีการพูดคุยถึงปัญหาต่าง ๆ เช่น การขาดงบ
ประมาณในการพัฒนาต่าง ๆ ประชาชนขาดการรวมตัวกัน ผู้คนต่างคนต่างอยู่ เห็น
ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม
ในช่วงนี้ทางราชการได้กำาหนดนโยบาย สุขภาพดีถ้วนหน้า กำาหนดให้ 4
กระทรวงหลัก ลงมาช่วยทำางานในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านต้องผ่านเกณฑ์ที่
กำาหนด เช่น มีส้วมทุกหลังคาเรือน มีหอกระจายข่าว หรือเสียงตามสาย มีที่อ่าน
หนังสือพิมพ์ มีศูนย์สาธิตการตลาด ฯลฯ
มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสถานีอนามัยบ้านจำารุง ชื่อ หมอบานเย็น ดีนาน ได้
ประสานงานและนำานโยบายดังกล่าวมาปฏิบตั ิ มีการเรียกประชุมชาวบ้าน ปรึกษาหารือกัน
จัดตั้งคณะทำางานและช่วยประสานงาน วางแผนว่าจะต้องจัดตั้งศูนย์สาธิตการตลาด (
ร้านค้าชุมชน) ขึน้ มาก่อน และผลักดันนโยบายอื่นตามไป โดยมีความต้องการที่จะนำาผล
กำาไรจากการขายสินค้า มาจัดตั้งเป็นกองทุนพัฒนาหมู่บ้าน เพราะมีฐานคน คือ อสม.
และกองทุนยาอยู่แล้ว
หมอบานเย็น ดีนาน ได้ประสานงานและพาคณะทำางานไปดูงานในหลายพื้นที่ที่
ประสบความสำาเร็จ และมีชื่อเสียง ในปี 2530 การระดมทุนจึงเริ่มขึ้น แกนนำาหมู่บ้าน
อสม.ได้ช่วยกันทำางาน โดยขอร้องให้ทุกครอบครัวซื้อหุ้นร้านค้าชุมชนครอบครัวละ 1
หุ้น เป็นอย่างน้อยและไม่เกิน 20 หุ้น (หุ้นละ 50 บาท) การระดมทุนครั้งแรกขายหุ้นได้
665 หุ้น เป็นเงิน 33,250 บาท ศูนย์สาธิตการตลาด (กิจกรรมร้านค้าชุมชน) จึงเริ่มขึ้นและ
เป็นกิจกรรมแรกของชุมชนที่ ทุกคนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
การดำาเนินกิจกรรมร้านค้าชุมชน ได้เติบโตขึ้นทุกคนในชุมชนให้ความสนใจ
กิจกรรมร้านค้าชุมชน ผู้คนในชุมชนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร้านค้า มีงบพัฒนาชุมชน
ของตัวเองที่เรียกว่างบ “กองทุนพัฒนาบ้านจำารุง” ในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ชุมชนได้ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้มาพอสมควร มีความเข้มแข็ง รู้ว่าจะอะไรเหมาะ
กับชุมชน อะไรไม่เหมาะกับชุมชน มีการปรับการทำางานเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต
ความเป็นอยู่มาโดยตลอด จากศูนย์สาธิตการตลาดในช่วงเริ่มต้น เป็นกองทุนพัฒนา
หมู่บ้านในช่วงต่อมา
ต่อมาปี 2542 นายอุดม และนางกาญจนา คล่องใจ ได้บริจาคที่ดินจำานวน 1 ไร่
และบ้านสองชั้นอีก 1 หลัง ให้เป็นสมบัติสาธารณะของชุมชน จึงได้ดำาเนินการก่อสร้าง
อาคารหลังใหม่ โดยได้รับงบประมาณเบื้องต้นจากโครงการมิยาซาว่า และต่อมาได้รับ
งบสนับสนุน ต่อยอดจากโครงการจากกองทุนเพื่อสังคม (SIF) จากกองทุนพัฒนา
หมู่บ้าน จึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนและผู้สูงอายุ
เมื่อความเจริญเข้ามาในหมู่บ้าน ทำาให้ชาวบ้านในชุมชนมีวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลง
ไป
บ้านจำารุงกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
บทวิเคราะห์ประสบการณ์บ้านจำารุงกับผลกระทบอันเนื่องมาจากแนวพระราชดำาริ
ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง
ความมีเหตุผล
หมู่บ้านจำารุง เน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โดยจัดให้มีเวทีสภาหมู่บ้าน
และจะมีการจัดการประชุมสรุปงานทุกเดือน เพื่อวางแผนและทิศทางการทำางานใน
แต่ละเดือน โดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเสนอประเด็นปัญหาและร่วมแสดงความคิดเห็น
แลกเปลี่ยนความรู้ การแลกเปลี่ยนทัศนคติ ลักษณะเช่นนี้ ส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหา
และการหาแนวทางป้องกันปัญหาของชุมชน ที่ผ่านมาจะพบว่า กระบวนการตัดสินใจ
ของสภาหมู่บ้านจะใช้แนวทางการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมมากที่สุด และในกรณีที่มี
ประเด็นความขัดแย้งในเวทีสภาหมู่บ้าน ก็จะใช้หลักประชาธิปไตยหรือเสียงส่วนมากมา
ตัดสินปัญหา ยกเว้นในกรณีที่มีความขัดแย้งมากๆ ก็จะมีการเลื่อนวาระนั้นออกไป เพื่อ
จะรอไปคุยในเดือนถัดไป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ชาวบ้านจำารุงได้สร้างกลไกเพื่อแก้ไขปัญหา
ความขัดแย้ง โดยให้เวลาแก่สมาชิกทุกคนได้มีโอกาสทบทวนไตร่ครองกับปัญหาที่เกิด
ขึ้นอย่างรอบครอบ ลักษณะเช่นนี้ทำาให้การทำางานต่างๆและกิจกรรมของชุมชนสามารถ
ดำาเนินการลุล่วงไปได้ด้วยดี
ความพอประมาณ
บ้านจำารุง มีสภาพความเป็นอยู่ที่เน้นการพึ่งพาตนเอง จนเป็นที่ยอมรับและเป็น
ตัวอย่างที่ดี มีผู้มาศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนความรู้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้หมู่บ้านจำารุงได้มีการส่ง
เสริมให้คนในชุมชนนำาผักพื้นบ้านมารับประทาน รวมถึงชวนเชิญนักท่องเที่ยวที่เข้ามา
ในชุมชนได้บริโภคผักพื้นบ้านเหล่านี้ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนที่ได้ชื่อว่า “เป็น
แหล่งอาหารที่ปลอดภัย” ที่มีนักท่องเที่ยวรู้จักและคุ้นเคยอย่างกว้างขวาง ในการศึกษาได้
พบว่า การดำาเนินงานของกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ในบ้านจำารุง มีความหลากหลาย
ครอบคลุมในเกือบทุกมิติของวิถีชีวิตของคนในชุมชน อาทิ
กลุ่มผู้สูงอายุ ได้มีการรวมตัวกันเพื่อร่วมกันผลิตข้าวซ้อมมือ บรรจุในร้านค้าของ
ชุมชน เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีสุขภาพที่ดี โดยมีโรงสีข้าวของชุมชนเอง และมีการ
ผลิตข้าวซ้อมมืออย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ชุมชนยังได้มีการนำาเศษแกลบรำาส่งให้กับ
กลุ่มเกษตรพื้นบ้านในหมู่บ้านเพื่อใช้ในการทำาปุ๋ยชีวภาพ และนำาปลายข้าวขายให้กับ
กลุ่มผู้เลี้ยงตะพาบนำ้า
กลุ่มธนาคารขยะได้มีการดำาเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
กระตุ้นให้คนในชุมชนได้เห็นคุณค่าของ เศษของที่เหลือใช้ แม้แต่ขยะก็มีการรวมกลุ่ม
กันจัดตั้งธนาคารขยะเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม มีการรับซื้อ และคัดแยกขยะที่สามารถนำาไป
ใช้ประโยชน์ได้ จากการศึกษาได้พบว่า กิจกรรมดังกล่าวทำาให้เยาวชนและคนในชุมชน
ได้มีค่านิยมที่ถูกต้องเกี่ยวกับขยะ และสิ่งของเหลือใช้ในชุมชน
กลุ่มสตรีอาสา เป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำาการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น
ทุเรียนทอด ขนุนทอด นอกจากนี้ยังมีการผลิต กะปิ นำ้าปลา เพื่อใช้ในครัวเรือน และผลิต
ที่เหลือจากการบริโภคก็มาจำาหน่ายให้กับผู้มาดูงาน
การมีภูมิคุ้มกันที่ดี
การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวต่อการมีผลกระทบใดๆอันเกิดจาการเปลี่ยนแปลง
ภายนอกและภายใน คือ การเตรียมตัวพร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง
ที่จะเกิดขึ้น โดยคำานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งใน
อนาคตอันใกล้และไกล บ้านจำารุงมีประสบการณ์ในการเรียนรู้การทำางานที่มุ่งเน้นการ
พึง่ พาตนเองมาตั้งแต่ปี 2529 ด้วยกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปไม่ข้ามขั้นตอน รวม
ทั้งมีการถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำางานจากรุนสู่ร่น ณ วันนี้ได้ผู้นำารุ่นที่ 4 มาเป็น
แกนหลัก มีเครือข่ายชุมชนบ้านจำารุงเป็นหลักในการประสานกับภาคีภายนอก มีการ
ปรับตัวมาโดยตลอดโดยเน้นกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนเป็นหลัก เมื่อมีมีแนวทางการ
ทำางานจากภายนอกเข้ามาไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีความร่วมมือต่างๆ ทุก
เรื่องจะมีการไตร่ตรอง ด้วยการนำาเรื่องราวเข้ามาหารือในเวทีสภาหมู่บ้านเพื่อช่วยกัน
กำาหนดให้สอดคล้องกับชุมชน
การตัดสินใจและการดำาเนินกิจกรรมต่างๆจำาเป็นต้องอาศัยเงื่อนไข 2 ประการ
ได้แก่
1.เงื่อนไขความรู้ บ้านจำารุง ได้นำาภูมิปัญญาท้องถิ่น มาปรับใช้โดยมีความเชื่อ
มั่นในวิถีชุมชน ชุมชนบ้านจำารุงมีการปรับตัวมาโดยตลอด มีการจัดการความรู้ที่ใช้ใน
การดำาเนินชีวิต เชื่อมโยง วางแผนและการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล มาโดยตลอดตั้งแต่ปี
2543 มีการเก็บข้อมูลครัวเรือนและนำามาสังเคราะห์จนตกผลึก เกิดเป็นกิจกรรมต่างๆ
บ้านจำารุงมีการรองรับความรู้ ประสบการณ์ วิชาการจากหน่วยงานต่างๆ รวมไปถึง
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาตั้งแต่ปี 2529 จน
เกิดเป็นทักษะในชุมชน ความมีจิตอาสาของคนจำารุง ทำาให้องค์ความรู้เหล่านั้น ซึมซับ
อยู่กับคนจำารุง เป็นองค์ความรู้ที่ทรงคุณค่าสั่งสมอยู่ในชุมชน
2. เงื่อนไขคุณธรรม ผู้คนในบ้านจำารุงมีคุณธรรมเรื่องหนึ่ง คือ การเสียสละ
ซื่อสัตย์ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เห็นได้จากร้ายค้าชุมชนมีผลประกอบการที่มีกำาไร
ทุกปี มีการบริหารจัดการโดยทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ถ้าทุกคนไม่มีคุณธรรมเรื่อง
ความซื่อสัตย์สุจริต กิจกการการค้าก็ไม่ประสบความสำาเร็จ