You are on page 1of 10

ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช

ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

ยกเวนให เวลาทํางาน เวลาทํางานที่ตองใชความคิดนี่ มันรูไมได แตเวลาที่เหลือนี่


ใหรูกาย ใหรูใจไป รางกายยืน เดิน นั่ง นอน รูสึกไป จิตใจมันเปนยังไงคอยรูสึกไป

หัดสังเกตอยูที่กายที่ใจของเรานี่ คนควาอยูในกาย อยูในใจนี้ ไมทิ้งกายไมทิ้งใจนะ


กายกับใจเราคือธรรมะตัวจริง กายเปนธรรมะเรียกวารูปธรรม ใจเปนธรรมะ
เจริญพรนะ โยม ไดซีดีกันหรือยัง ไดแลวก็ไปฟงเอานะ หลวงพอก็เทศนเหมือนกัน เรียกวานามธรรมนะ ถารูรูปธรรม รูนามธรรมแจมแจง เขาใจความเปนไตรลักษณ
ทุกทีแหละ ฟงบอยๆ ก็แลวกัน ถาฟงไปถึงจุดหนึ่งนะ สติจะเกิด ของเคา วางความยึดถือกาย ยึดถือใจแลว เราจะไปพบธรรมอีกชนิดหนึ่ง คือ
นิพพาน นิพพานไมใชเรื่องหลอกเด็กนะ นิพพานไมไดอยูไกลๆ นิพพานไมใชอยูใน
ซีดีหลวงพอไมใชสํานวนแบบเทศนาโวหาร แบบอบรมสั่งสอนใหทําทาน ถือศีล วัดนะ นิพพานอยูตอหนาตอตาเรานี่เอง เมื่อไรใจของเราเขาถึงสันติสุข หมด
อะไรอยางนั้นนะ ซีดีหลวงพอเปนเรื่องของการปฏิบัติลวนๆ เปนเรื่องของ ความอยาก หมดความดิ้นรน หมดการทํางาน เราจะเห็นนิพพานอยูต อ หนา
การหัดดูสภาวธรรมลวนๆเลย นี่เอง แลวเราจะมีความสุขอยูทั้งวันทั้งคืน มีแตความสุขลวนๆ เลย ไมใชของหมด
สมัยแลวนะ ใครทําใครไดนะ เอา วันนี้พอ
การหัดดูสภาวธรรมนี่ เปนจุดตั้งตนที่จะทําใหเราไปเจริญวิปสสนาได เพราะการ
เจริญวิปสสนาจริงๆนี่ คือการที่เรามีสติขึ้นมา รูกายตามความเปนจริง รูใจ
ตามความเปนจริงได ถาเราสามารถรูกายตามความเปนจริง รูใจตามความเปน
จริง รูซ้ําแลวซ้ําอีก ถึงจุดหนึ่งมันจะเกิดปญญา มันจะเห็นความจริง ปญญาเปน
ความเขาใจ จิตใจมันจะเขาใจสภาวธรรมทั้งหลายนะ ทั้งกายทั้งใจ ทั้งรูปทั้งนาม
วาเปนของไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ถาเขาใจอยางนี้ได ก็ปลอยวางได ปลอย
วางไดก็พนทุกขได จิตใจจะมีแตความสุขถาวรแลวคราวนี้ การปฏิบัติจริงๆ
กรอบของมันมีเทานี้เอง

พูดใหยอกวานี้ก็ไดนะ หลวงพอเคยศึกษากับพระอาจารยมหาบัวทานเคยสอน
หลวงพอ การปฏิบัติ มีนิดเดียว “มีสติรูกายรูใจลงเปนปจจุบัน” ประโยคสั้นนิด
เดียวนะ บางองคสั้นกวานี้อีกนะ หลวงปูทา ตอนนี้ยังอยู อยูถ้ําซับมืดนะ “มีสติ
รักษาจิต” สั้นนิดเดียว หลวงปูดูลยก็สั้น บอก “ดูจิต” สั้นนิดเดียว
1 18
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

ความอะไรก็ได คลายๆ วิชานินจานะ คือใชอะไรเปนอาวุธไดทุกสิ่ง ทุกอยาง เรา จริงๆ ธรรมะไมไดมีอะไรมากมาย แตวาหลักของการปฏิบัตินี่ สั้นนิดเดียว ถายังดู
จับกรรมฐานอะไรไดหมดเลย จิตไมไดก็ดูกาย อยาใหเกินกายออกไป เพราะฉะนั้น อยางอาจารยมหาบัว ทาน
สอนนะ ทานตีกรอบเลย อยาใหเกินกายออกไป รูกาย รูใจลงเปนปจจุบัน ลงเปน
ถาเรารูจักสติ รูจักมีสติ รูจักจิตใจที่มีสัมมาสมาธิตั้งมั่นขึ้นมา รูจักที่จะรูกายตาม ปจจุบันดวยนะ ไมใชกายกับใจเมื่ออดีต เมื่ออนาคต รูลงปจจุบัน เพราะปจจุบัน
ความเปนจริง ไมเผลอไป ไมไปเพงเอาไว ทํากรรมฐานอะไรก็ไดทั้งหมดเลย แตถา เปนของจริง อดีต อนาคต มันไมใชของจริงแลว ถารูลงกาย รูใจลงเปนปจจุบัน
ขาดสติอันเดียวนี่ ทํากรรมฐานอะไรก็ไมไดเลย เหมือนกันหมดแหละ พุทโธ อยาใหเกินนี้ออกไป ถาเกินนี้ออกไปก็ไมใชวิปสสนาแลว อยางจะไปรูความวาง
แลวขาดสติก็ใชไมได หายใจแลวขาดสติก็ใชไมได ดูทองพองยุบแลวขาดสติก็ใช ไปรูสุญญตา รูอะไรอยางนี้นะ พระพุทธเจาไมไดสอนไว ทานสอนใหรูกาย รูเวทนา
ไมได หรือหายใจแลวก็เพง ดูทองพองยุบแลวก็เพง จิตใจแข็งๆทื่อๆแนนๆ ก็ใชไมได รูจิต รูธรรม ก็คือเรื่องของกายกับใจลวนๆ นั่นเอง
เหมือนกัน
ทีนี้สวนมากเราไมสามารถรูกายรูใจได เปนเรื่องประหลาดนะ เราอยูกับกายกับใจ
เพราะฉะนั้นฟงหลวงพออดทนนิดหนึ่งนะ หลวงพอไมเคยเก็บคาเลาเรียนนะ ฟงฟรี ตัวเองมาตั้งแตเกิดเลย แตเรารูกายรูใจตัวเองไมไดนะ ตั้งแตลืมตาตื่นขึ้นมานะ รอง
หนังสือก็แจกให ซีดีก็แจกให เอาไปฟงนะ หลายคนเลยที่ฟงๆนะ ไมเคยเจอหลวง อุแว ๆ มา จะลืมตารึปาว หลวงพอไมทราบนะ อยางลูกหมาลูกแมวมันยังไมลืมตา
พอเลย เวลามาสงการบานนะ โอโห นาฟง จํานวนมากเลยที่มารายงานการปฏิบัติ แตอยางคนเราพอลืมตาขึ้นมามันก็ดูคนอื่นแลว ฟงก็ฟงสิ่งอื่น ไมสนใจที่จะเรียนรู
บอกวา ดิฉันไมไดปฏิบัติแตสติเกิดทั้งวันเลย จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนนะ ตัวเอง การศึกษาธรรมะนี่คือ การเรียนรูตัวเอง จนเขาใจถึงสิ่งที่เรียกวาตัวเรา
รูสึกตัว จิตเปนสุข เปนทุกข เปนกุศล อกุศลรูทันนะ กระทั่งนอนหลับนะ พลิกซาย ความทุกขมันอยูที่ตัวเราเองนี่เอง
พลิกขวายังรูสึกเลยนะ พลิกซายพลิกขวายังรูสึก จิตไหลไปคิดปบ รูสึกเลย รูเลยวา
ความฝนจริงๆ คือความคิด เห็นมั้ย หัดเจริญสติใหชํานิชํานาญนะ ทําไดทั้งวันทั้ง
คืนเลย รางกายก็นอนกรน ครอกๆ ไปอยางนั้นแหละ แตจิตใจของเราภาวนาของ
เราไปเรื่อย ทั้งวันทั้งคืน แลวทําไมมันจะไมไดผลเร็วหละ เห็นมั้ย มันไมยอหยอนนะ
ไมใชวา ตอนนี้ ชั่วโมงนี้เปนเวลาปฏิบัติ อีกสิบชั่วโมงไมตองปฏิบัติ ไมมีคํานี้นะ
ความทุกขอยูที่กาย ความทุกขอยูที่ใจ
ลูกศิษยหลวงพอปราโมทย นี่ เจริญสติ หลายคนบอกวาของหลวงพองายๆ ไมมี
รูปแบบ ความจริงโหดที่สุดเลย โหดยิ่งกวามีรูปแบบอีกนะ ใหไปเดินชั่วโมงหนึ่ง นั่ง ถาเราเรียนรูลงมาอยางถองแทนี่นะ เราจะรูเลย ความทุกขทางกายหามไมได
ชั่วโมงหนึ่งเลย ยังไมโหดนะ ของหลวงพอตองรูสึกตัวตั้งแตตื่นจนหลับ มีเวลา เปนผลพลอยไดจากการมีรางกาย แตความทุกขทางจิตใจนี่เปนเรื่องทีห่ า
มาเอง หาเอาใหมในปจจุบันนี้เอง เพราะฉะนั้น ความทุกขทางกายเปนผลของ
17 2
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

กรรมเกานะ ผลของกรรมเกา ไดรางกายมาแลว แข็งแรงบาง ไมแข็งแรงบาง วิปสสนาอยูในโลก วิปสสนานี่ ฟงชื่อแลวนากลัว พูดงายๆ ก็คือ การรูการ
แลวแตกรรม หลอเลี้ยงไว ความทุกขทางจิตใจในปจจุบันเปนสิ่งที่สรางขึ้นมาสดๆ เห็นกายเห็นใจไดตรงตามความเปนจริงนั่นเอง วามันเปนไตรลักษณ เปนของ
รอนๆ ถาหากเราภาวนาเปนนี่ เราจะขจัดตนเหตุของความทุกขทางใจออกไปได ให ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวเรา พอเห็นแลววาง วางแลวพนทุกข
เราคอยสังเกตลงที่จิตที่ใจ
เอา วันนี้พูดดวยครึ่งชั่วโมง มาพูดที่ศาลาลุงชินนี้มันยากที่สุดเลยนะ เพราะโยมมี
การปฏิบัติ ถาอยากเอาสั้นๆ แบบโตแลวเรียนลัดนะ เอาแบบสั้นๆเลย ใหคอย มากมาย จํานวนก็เยอะนะ ภาวนามาก็แปลกๆ กันนะ ทีนี้หลวงพอตองพูดแบบ
สังเกตที่ใจของเราไว ดูซิ ความทุกขมันมาไดยังไง สังเกตเขาไปความทุกขมัน กลางๆ เปนกลางๆ แบบมาจากสํานักไหน ฟงแลวไดหลักไปนะ เอาไปทําอยางเดิม
มาไดยังไง เราจะเห็นเลยวา บางทีเรานั่งอยูเฉยๆ นะ ใจเราก็คิดถึงคนๆหนึ่งขึ้นมา นะ ทําได ใครเคยพุทโธก็พุทโธไปนะ พุทโธๆไปแลวก็หัดสังเกตใจ พุทโธแลวใจหนี
ไมไดเจตนาจะคิดนะ อยูๆหนาคนๆนี้ก็โผลขึ้นมา พอโผลขึ้นมา ปุบ นึกได ‘นังคนนี้ ไปก็รู ใจสงบก็รู ใจฟุงซานก็รู ใครเคยฝกหายใจ ก็หายใจไป หายใจแลวจิตหนีไป
โกงแชรเราเมื่อสิบปกอน’ พอนึกได เห็นมั้ย ไมไดจะเจตนาจะนึกนะ มันนึกขึ้นได คิดก็รู จิตไปเพงลมหายใจก็รู จิตสงบ จิตฟุงซานก็รู ใครเคยดูทองพองยุบ ก็ดูไป ดู
เอง ไปแลวจิตแอบไปคิด ก็รู จิตไปเพงใสทอง ก็รู จิตเปนสุขเปนทุกขเ ปนกุศล อกุศล ก็
รูนะ ใครเคยขยับมืออยางสายหลวงพอเทียน ก็ขยับไป ขยับไปแลวใจลอยหนีไปคิด
ทีแรก หนายายคนนี้ โผลขึ้นมา ไมไดเจตนาที่จะนึกถึง อยูๆก็โผล แลวก็จําเรื่องราว ก็รูทัน ขยับแลวใจไปเพงใสมือ ก็รูทัน ใชหลักเดียวกันนี่ เสร็จแลวเราจะสามารถ
ขึ้นมาได ไมไดเจตนาจะจํา มันจําไดขึ้นมา พอจําไดปบ มันโมโหขึ้นมาอีกแลว รูทันจิตใจของเราได พอเรารูทันจิตใจของเราได เราจะสามารถเจริญสติใน
ความโกรธเกิดขึ้น มันก็โกรธของมันเองนะ จิตมันโกรธของมันเอง ตรงนี้ไมเปนไรนะ ชีวิตประจําวันได
ตั้งแตจุดเริ่มตน ตั้งแตใจมันนึกขึ้นมา ใจมันคิดขึ้นมานะ จนกระทั่งกิเลสเกิดขึ้นมา
ก็ยังไมมีปญหาอะไร ตรงนี้เปนเรื่องกระบวนการทํางานปกติของจิตใจนั่นเอง จิตใจ กรรมฐานอื่นๆ เอาไปทําในชีวิตประจําวันลําบากนะ อยางเราจะเดินขามถนน เรา
มันคุนเคยที่จะปรุงกิเลส มันก็ปรุงกิเลส มันคุนเคยจะปรุงกุศลมันก็ปรุงกุศล มัน ก็ขยับมือไปดวยนะ คนอื่นหลีกหมดเลยนะ กลัว หรือเราจะเดินขามถนนนะ เราไป
ปรุงของมันเอง ตรงนี้ยังไมใชปญหาของนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้นใหคอยดูตอไป พอ ยกหนอ ยางหนอ รถมันจะเหยียบกอนที่เราจะเหยียบพื้นนะ ถาดูจิตดูใจนี่มันงาย
จิตใจมีความโกรธเกิดขึ้น ตรงนี้แหละที่เริ่มเปนปญหา คือเราจะเริ่มเกิดความยินดี มันอยูในชีวิตประจําวันไดจริงๆ หรืออานาปานสตินะ ขับรถแลวก็รูหายใจเขา
ยินรายนะ เกิดความยินดียินรายขึ้นมา เชน รูสึกเกลียดนังคนนี้มากเลย เกลียด หายใจออกนี่ เดี๋ยวก็ชนกับเคา แตถาขับรถ ตื่นตัว รูสึกตัว ถูกเคาปาดหนา โมโห
มากกวาเกาอีก ยิ่งคิดยิ่งแคน แลวก็ปรุงแตงตอไปวาทํายังไงจะไปแกแคนมันได นี่ รูวาโมโห ติดไฟแดงแลวหงุดหงิด รูวาหงุดหงิด นี่ กรรมฐานที่อยูในชีวิตประจําวัน
ตัวนี้ตัวเริ่มปญหาแลว จิตใจจะเริ่มมีความทุกขขึ้นมา เพราะฉะนั้น ในขณะที่ นะ ที่มันเหมาะกับฆราวาสนะ คือหัดดูจิตดูใจตัวเองไป มันไมมีรูปแบบ ไมมี
วิธีการ คนอื่นไมรูวาเราปฏิบัติ คนอื่นไมรูเลย ไมมีฟอรมใหดูเลย อยูใน

3 16
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

มีคนไปสงการบานที่วัดหลวงพอเยอะนะ วันๆ หนึ่งหลายสิบ บางวันก็เปนรอย สอง สภาวธรรมใดๆ เกิดขึ้น จะเปนความสุข ความทุกข กุศล อกุศล สภาวธรรมเกิดขึน้ นี่
รอยอะไรอยางนี้ คนไปสงการบานรุนหลังๆนี่ เริ่มมีแบบนี้แลว ฟงซีดีไมเคยเจอ ยังไมใชปญหา
หลวงพอ ฟงแตซีดีแลวไปรายงานการปฏิบัติ นาฟง บอก เห็นแตสภาวะเกิดดับนะ
เห็นจิตใจมันทํางานทั้งวันทั้งคืน ไมเคยหยุดเลย บางทีบางคนรายงานสภาวะนี่
พระที่มานั่งฟงนะ สั่นเลยนะ พระยังกลัวเลย โยมภาวนาไดอยางนี้ อยางเชนเราเดินชอปปงไป ไปเห็นของสวยๆ อยากไดขึ้นมา ใจมันมีโลภะขึ้นมา ตัว
นี้ยังไมใชปญหา แตพอเกิดโลภะขึ้นมา ใจมันจะดิ้น ตรงที่ใจมันเริ่มดิ้นนี่แหละ
ธรรมะไมมีพระไมมีโยมนะ ธรรมะเปนของกลาง ใครทําใครได เพราะฉะนั้นเราคอย
เกิดปญหา มีกิเลสขึ้นมาแลวเกิดการกระทํากรรม เกิดการกระทํากรรม คือเกิดการ
เรียนรู คอยรูสึกเขาไป รูกาย รูใจ อยานอมเขาหาความนิ่ง ความวางอยางเดียว
ดิ้นรนทางใจ ใจมันจะดิ้นๆๆ ตรงที่ใจมันดิ้นรนนี่แหละ เปนตัวปญหาในปจจุบันห
การนอมใจเขาหาความนิ่งความวางนั้นเปนเรื่องสมถะกรรมฐาน สมถะมีประโยชน
ละ
นะ มีประโยชน ไมใชหลวงพอหามทําสมถะ อยาเขาใจผิด หลวงพอเองก็ทําสมถะ
สมถะเปนที่พักผอน วิปสสนาเหมือนการทํางาน สมถะเหมือนการพักผอน พัก ทันทีที่จิตใจมันเริ่มดิ้นนะจิตใจมันจะมีความทุกข จิตใจที่ดิ้น นี่เรียกวา ภพ
ลูกเดียวไมยอมทํางานนะ ชาตินี้ก็ไมรวยหรอก หรือทํางานอยางเดียวไม นะ ภาษาบาลีเรียกวา ภพ ภพ ภ.สําเภา พ.พาน ชื่อเต็มๆวา กามภพ คือการ
ยอมพักนะ ก็เหนื่อยเกินไป ทําไดไมนานเทาไหร
ทํางานของจิต เมื่อไรที่จิตทํางานนี่ จิตจะเกิดความทุกขขึ้นโดยอัตโนมัติ นัก
เพราะฉะนั้นเวลาไหนจิตใจเราวาวุน สับสน ดูอะไรไมออกนะ เราก็ไหวพระ สวด ปฏิบัตินี่มีหนาที่คอยมีสติไว พอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณนะ
มนต นี่ก็ไดสมถะแลวนะ ทําอะไรไมเปนนะ พุทโธ ไปก็ได พุทโธๆๆ ไป พุทโธใหใจ กระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ พอกระทบปบ มันจะเกิด
ความยินดียินรายขึ้นมา พอมีความยินดี มีความยินรายขึ้นมาแลว จิตจะ
สบาย แตอยาพุทโธแลวไปเคนใจนะ วา พุทโธแลวตองสงบ พุทโธๆๆ พุทโธ เดี๋ยวก็
เกิดการทํางาน ตอนนี้ทํางานในปจจุบัน หรือสรางภพในปจจุบัน การที่รปู เสียง
มาพุทโธๆจนได เพราะมันไมสงบสักที มันโมโหนะ แตถาพุทโธๆๆ นะ สบายใจ
กลิ่นรส อะไรพวกนี้มากระทบ โผฏฐัพพะมากระทบดีบาง ไมดีบาง เปนผลของกรรม
พอใจสบายรูวาสบาย เห็นมั้ย กลับมาดูจิตดูใจไดแลว เพราะฉะนั้น สมถะ ก็ทํา ทํา
เกา เปนผลของกรรมเกา กรรมเกาไมดี สิ่งที่มากระทบไมดี กรรมเกาดีสิ่งที่มา
ตามความจําเปน ทํามากแลวก็ติดในความสงบ เฉยๆ ไมยอมเดินปญญา นี่ใชไมได
กระทบก็ดี แตพอกระทบแลวจิตเกิดความยินดียินรายขึ้นมา พอจิตเกิดความยินดี
เลย เสียโอกาส เกิดมาเปนมนุษยที่สมบูรณอยางนี้ทั้งทีนะ ตองเจริญปญญา
ยินรายจิตจะทํากรรมใหม
ตองเจริญวิปสสนา
ตัวนี้ตัวสําคัญนะ ตองคอยรูทัน อยางพอมันนึกถึงคนนี้ มันเกลียด อยากฆาเคา
สมถะเปนเรื่องงาย ศาสนาอื่นเคาก็มี ไมใชของลึกลับอะไร ใครๆก็ทํากันเยอะแยะ
วางแผนฆาเคา นี่ ใจปรุงแตงแลว ใจปรุงแตง หรือวาโทสะเกิดขึ้นมา พอสติไปเห็น
แตวิปสสนานี่ นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ถาไมมีพระพุทธเจามาสอนจะไมมี
15 4
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

โทสะ เสร็จแลวไมชอบโทสะ อยากใหโทสะหาย รีบพิจารณาอะไรตออะไรใหญเลย คิดๆๆ ไปก็กลุมใจ คิดไปก็ดีใจ พอดีใจแลวก็ชอบ ชอบแลวก็อยากได อยากไดแลว
นะ รีบเจริญเมตตาอะไร นี่คือการปรุงแตงใหม คือกรรมใหม หรือวาราคะ ก็ทุกขอีกแลว เวียนไปเวียนมากลับมาหาความทุกขจนได ความทุกขทางใจมันเกิด
เกิด จิตใจก็ทํางานปรุงแตง อะไรๆ เกิดขึ้นในใจมันจะคอยปรุงแตงตอ ทีเผลอ ถาเรามีสติ เรารูทัน วาใจไหลไปคิด แปบ รูสึกขึ้นมานะ ใจตื่นขึ้นมา ใจไม
เพราะฉะนั้นถาตัวสภาวธรรมเกิดขึ้นแลว นี่ยังไมใชตัวปญหา หามมันไมได ทุกขแลว
สภาวธรรมจะเกิดนี่ หามมันไมได แตถาสภาวธรรมเกิด พอจิตไปรูเขาแลวนะ
เพราะฉะนั้นใหหัดสังเกตนะ นั่งฟงหลวงพอพูด ไมไดนั่งอยางเดียว ไมไดฟงอยาง
ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ พอจิตไปรูเขาแลว จิตจะเกิดความ
เดียว แตฟงแลวก็คิด ฟงแลวก็คิด ถาใครเห็นตรงนี้แลวการปฏิบัติจะงาย ไมมีอะไร
ยินดียินราย แลวจิตทํางาน ทันทีที่จิตทํางาน จิตจะมีความทุกข ใหเรามีสติ
เลย วันๆ หนึ่ง แครูทันใจของเรา ใจเราไปฟง แลวก็รู ใจเราไปดูก็รู ใจเราไปคิดก็รู
รูทันความยินดียินราย พอตามองเห็นเกิดความยินดียินรายมีสติ รูทัน หูไดยิน
คนสวนใหญมันก็ดู มันก็ฟง ก็คิดทั้งวันแหละ แตมันไมรู ความตางระหวางผูปฏิบัติ
เสียงนะ เชน เคาชมเรานี่ เรายินดี ใหรูทันนะ ถารูไมทัน เราจะปรุงแตงทางใจของ
และผูไมไดปฏิบัตินะ ก็มีนิดเดียว ผูปฏิบัติ รูทัน ผูไ มปฏิบัติก็ไมรูเลย
เราเอง ปรุงใหม ถาไดยินคําดา เราก็เกิดโมโหขึ้นมา มันก็ปรุงแตงอีก ใหรูทันที่
ยกตัวอยาง เราเห็นใครเคาเดินมานะ เคาคุยกันซุบซิบๆ นะ อยากรู อยากฟง อยาก
ความปรุงแตงอันใหม ความยินดียินรายแลวก็เกิดความปรุงแตง ใหคอยรูไปอยางนี้
ไดยิน วาเคาพูดอะไร ตั้งอกตั้งใจฟงเคา หรือแอบดูแฟนเคาจูจี๋กันนะ แอบดู ขณะที่
เรื่อย มีสติรูไปเรื่อย จิตใจมันจะไมดิ้นรน จิตใจมันจะไมทํางาน จิตใจมันจะมีความ
ไปแอบดูเคา ไปแอบฟงเคา หรือตั้งอกตั้งใจฟงเคา เราลืมตัวเราเอง เราจะลืมกาย
สงบสุขอยูในปจจุบนั อันนี้เราสงบสุขดวยการมีสตินะ นี่เปนการแกปญหาเฉพาะ
ลืมใจตัวเอง มันเห็นแตคนอื่น มันลืมตัวเอง นี่ เพราะมันหลงไปทางตา มันหลงไป
หนาเทานั้น
ทางหู หรือเรานั่งอยูคนเดียว ก็คิดไปเรื่องๆ คิดโนน คิดนี่
ทีนี้พอสภาวธรรมเกิดแลวจิตยินดียินรายเรารูทัน จิตมันจะเปนกลาง พอจิตมันเปน
สังเกตใหดี ขณะที่เราคิดนี่ บางครั้งรูเรื่องที่คิด บางครั้งไมรูเรื่องที่คิด คิดอะไรก็ไมรู
กลางมันจะสามารถรูสภาวธรรม ทั้งสุข ทั้งทุกข ทั้งดี ทั้งชั่ว มันจะรูไดอยางเปน
นะ แตขณะที่คิดนั่นแหละ เราจะลืมกายลืมใจตัวเอง เมื่อไรลืมกาย เมื่อไรลืมใจ
กลางจริงๆ มันจะเห็นความจริงของสภาวธรรมเลย สุขก็เกิดชั่วคราว แลวก็
เมื่อนั้นไมไดทาํ วิปสสนานะ วิปสสนาคือรูกาย รูใจตามความเปนจริง รูตาม
หายไป ความทุกขเกิดชั่วคราวแลวก็หายไป แตเดิมความสุขเกิดขึ้นมาก็หลง
ความเปนจริง คําวาเปนจริงคือเปนไตรลักษณนั่นแหละ ไมเที่ยง เปนทุกข เปน
ยินดี เกิดการทํางาน อยากรักษาเอาไว หรือดิ้นรนคนควาอยากใหไดความสุขมาอีก
อนัตตา ใหคอยรูเอานะ คอยรูไปเรื่อยๆ
แตเดิมความทุกขเกิดขึ้นก็ยินราย หาทางขจัด หาทางทําลายมัน หรือหาทาง
ปองกันไมใหมันเกิดอีก มันจะเกิดการทํางานอยางนี้ เพราะวายินดียินราย แตถา
เรามีสติรูทันนะ จิตกระทบ ไปรูวาความสุขเกิดขึ้น ความยินดีเกิดขึ้น รูทันมัน ความ
ยินดีจะดับไป จิตจะเปนกลางตอความสุข มีปญญาเห็นวาความสุขก็เปนของ
5 14
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

แตถาคนดูจิตใจนี่ ใหรูความรูสึกปจจุบันนี่เขาไปเลย เราจะดูจิตใจนี่ เราดูสอง ชั่วคราว ความทุกขเกิดขึ้นมา จิตยินราย ไมชอบมัน มีสติรูทัน จิตใจที่ไมชอบความ
อยาง อันแรกเราดูความรูสึก อันที่สองเราดูกิริยาอาการของจิตใจ ความรูสึก เชน ทุกข ปฏิเสธความทุกขนี่ ความไมชอบนี่ มันจะดับไป เราก็จะรูความทุกขตามที่มัน
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหดหู ความฟุงซาน ความลังเล สงสัย ความ เปน สักพักหนึ่งก็จะเห็นเลย ความทุกขเกิดขึ้นไดก็ดับได กุศล อกุศลทั้งหลายก็
กลัว ความกังวล ความอิจฉานี่ สิ่งเหลานี้เปนอารมณตางๆ ที่ไหลเวียนเขามา ผาน เหมือนกันนะ เกิดขึ้นมาได ก็ดับได
มาแลวก็ผานไป ผานมาแลวก็ผานไปนะ เราเฝารูเฝาดูอยางที่เคาเปน ไมเขาไปแตะ
ตอง ดัดแปลง แกไขนะ รูลูกเดียวเลย รูตามธรรมดา เพื่อใหเห็นความจริงวาทุก นักปฏิบัตินี่ รักกุศล พอสติระลึกไดวากุศลเกิดขึ้นมาก็ยินดี อยากใหเกิดบอยๆ
อยางผานมาแลวผานไป อยากใหเกิดนานๆ หาทางรักษาเอาไว เกิดการทํางานทางใจ จะรักษาความดีก็
ทุกขนะ ทุกขแบบคนดี หรืออกุศลเกิดขึ้นมานี่ ใจไมชอบนี่ นักปฏิบัติไมชอบ ก็
อีกอยางหนึ่งในการดูจิต นี่ ดูอาการของจิต เราจะเห็นวา เดี๋ยวจิตก็วิ่งไปทางตา หาทางขจัดมัน จิตใจเราก็ตองทํางานมากขึ้นกวาเกาอีก แทนที่เราจะรูตามความ
เดี๋ยวจิตก็วิ่งไปทางหู เดี๋ยวจิตก็วิ่งไปคิด เดี๋ยวจิตก็วิ่งไปเกาะอารมณหรือกอนอะไร เปนจริง แลวไมปรุงแตงไมทํางานนะ กลายเปนวาเราทํางานมากกวาเกา ความ
กลมๆ ที่อยูกลางอกนะ ไอกอนนี้ หนักบาง เบาบาง เล็กบาง ใหญบางนะ ใครเคย ทุกขก็มากกวาเกา
เห็นบางมั้ย เห็นมั้ย มีคนในหองนี้เห็นอยูหลายสิบคนแลวนะ กอนนี่ ใหดูอาการ
ของจิตใจนะ จิตใจวิ่งไปทางตาก็รู วิ่งไปทางหูก็รู วิ่งไปทางใจก็รู นี่ ดูจติ ดูจติ คนชั่วก็ทุกขอยางคนชั่ว คนดีก็ทุกขอยางคนดี เพราะวาเรายึดถือในสภาวธรรม
แลวดูความรูสึกอันหนึ่ง ดูกิริยาอาการของจิตใจอีกอยางหนึ่ง ถาดูความรูสึกก็จะ ทั้งหลายนั้น แตถาเรามีสตินะ ความเปนกลางเกิดขึ้นกับใจเรา จิตใจเปนกลาง เห็น
เห็นเลย ความรูสึกทั้งหลาย ไหลมาก็ไหลไป ผานมาแลวผานไป สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้น ความสุขก็เปนกลาง ความทุกขก็เปนกลาง กุศล อกุศลก็เปนกลาง ในที่สุดมันจะมี
ก็ดับไป ถาดูจิตดูใจเราจะเห็นเลย จิตนี้เกิดดับ เกิดที่ตาดับที่ตา เกิดที่หูก็ดับที่หู ปญญาขึ้นมา เห็นวาความสุขก็ของชั่วคราว ความทุกขก็ชั่วคราว กุศล อกุศล ก็
เกิดทางใจนะ จิตหนีไปคิดนี่ คิดๆ แลวเดี๋ยวก็ดับอีก ชั่วคราว คือพอมีปญญาเห็นเลย ทุกสิ่งทุกอยางที่ผานมาในชีวิตของเราลวน
แตของชั่วคราวทั้งหมดเลย ตอไปจิตมันจะไมมีความยินดียินราย พอสภาวธรรม
อยางนั่งฟงหลวงพอพูดสังเกตมั้ย ฟงไปคิดไป สังเกตจากของจริงๆนะ ฟงไปคิดไป อันนั้นเกิดขึ้นมา จิตจะเปนกลาง จิตไมยินดียินรายแลว
ฟงไปคิดไป คนทั่วๆไป ก็ฟงไปคิดไป แตไมเคยเห็น ทีนี้พวกเรามาหัดภาวนา
เราหัดสังเกต นั่งฟงหลวงพอพูดนี่ สังเกตมั้ย ฟงหนอยๆ แลวก็ไปคิด ฟงหนอยๆ แตเดิมนี่จิตไมมีปญญา พอเห็นสภาวธรรมแลวจิตจะเกิดความยินดียินราย เราตอง
แลวก็ไปคิด สลับไปเรื่อยๆ นี่ใหหัดรูของเราไป ไมใชเรื่องยากเย็นอะไรนะ คนในโลก มีสติไวสู มีสติไวรูทัน จิตจะเปนกลาง พอจิตเปนกลาง เราก็รูสภาวธรรมตอไป จน
นี้ มันมีความทุกขขึ้นมาทางใจเพราะอะไร เพราะวามันแอบไปคิดแลวไมเคยรูวา เกิดปญญา เห็นวาสภาวธรรมทั้งหลายเปนของชั่วคราว ตอไปพอสภาวธรรมเกิดขึน้
แอบไปคิด ความทุกขนะ เกิดตอนหลงไปคิดเทานั้นแหละ ความทุกขทางใจนะ มานะ จิตเปนกลางเองเลย ไมมีความยินดียินรายเกิดขึ้น ยิ่งถาเราเขาใจ

13 6
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

สภาวธรรมแจมแจงนะ จิตจะเปนกลางมากขึ้นๆ นะ จนกระทั่งหมดความปรุงแตง ไมมีนะ พูดเอาเอง คนไหนถนัดดูกายก็ดูกายงาย ดูจิตยากตางหาก คนไหนถนัดดู


อยางแทจริง จิตก็ดูจิตงาย ดูกายลําบาก มันอยูที่ความถนัดของแตละคน

เพราะฉะนั้นการที่เรามีปญญานะ ปญญานี่เปนตัวที่จะแกปญหาถาวร ปญญา ทานไมไดเทียบกายกับจิต ทานเทียบกายกับเวทนา แลวก็จิตเทียบกับธรรม ทาน


สูงสุดเลยคือการเกิดอริยมรรค จะไมมีกิเลสขึ้นมาอีก ไมมีความปรุงแตง บอกวา กายและเวทนานี่ เหมาะกับพวกตัณหาจริต พวกรักสุข รักสบาย รักสวย รัก
ขึ้นมาอีก อันนี้หมายถึงถาปฏิบัติสุดขีดแลวนะ เดินถึงอรหันตมรรค ผานไปแลวนี่ งาม กายและเวทนานะ เหมาะกับพวกเดียวกันกลุมเดียวกัน แตกายนี่ เหมาะกับ
จิตจะไมปรุงแตงอะไรขึ้นมาอีกแลว จิตเคาปรุงของเคาได แตเราจะไมปรุงอีกแลว พวกอินทรียออนดูงาย พวกเวทนานี่ เหมาะกับพวกอินทรียกลา ดูยาก เพราะฉะนั้น
จะไมมีการปรุงแตงตามหลังการรูอารมณ คือจะรูอยางสักวารู แลวรูแลวจบลงแครู กายนี่ งายกวาเวทนา ไมใชกายงายกวาจิตนะ สวนจิตนี่ จิตและธรรมนี่ เหมาะกับ
เลย พวกคิดมาก พวกทิฏฐิจริต พวกคิดมาก คิดดูงาย ธัมมานุปสสนา เหมาะกับพวกมี
อินทรียแกกลา โดยเฉพาะมีปญญาแกกลา ถาปญญายังไมกลานะก็ดูจิตไป ทาน
ไมไดเทียบกายกับจิต

เพราะฉะนั้นใครถนัดรูกายก็รูกายนะ แตอยากรูกาย อยาลืมทําสมาธิบาง ใหใจ


ตั้งมั่นเปนผูรผู ดู ู อยางครูบาอาจารยวัดปานี่ ทานจะทําสมาธิกอนที่จะมาดูกาย
เพราะฉะนั้นถาเราภาวนามานะ เบื้องตนก็คอยดูไปตามลําดับ หัดรูกอนวามี
การทําพุทโธ หรือลมหายใจนะ ทําไปเรื่อยๆ จนใจตั้งมั่นเปนหนึ่งขึ้นมา พอใจตั้งมั่น
สภาวะอะไรกําลังปรากฏในใจเรา เชน ใจเรากําลังโลภ ก็รูทันวาโลภ ใจเราโกรธ
แลวนี่ มาดูกาย จะเห็นเลย รางกายไมใชตัวเราเลย รางกายที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอน
ก็รูวาโกรธนะ พอมันโลภแลว ใจเราอยากได ดิ้นรนคนควาอยากได อันโนน อันนี้
นะ เปนของที่จิตไปรูเขา ไมใชตัวเรา เห็นทันทีนะ แลวก็เห็นดวยเวทนาเปนสิ่งที่
ใหรูทันเขาไป หรือมันโกรธแลวอยากหายโกรธ ใหรูทันความอยากหายโกรธ ถารูไม
แปลกปลอมเขามาในกาย เวทนาไมใชกาย เวทนาไมใชจิต มันจะกระจายขันธ
ทันใจจะดิ้น ใจจะดิ้นแลวใจจะทุกข เบื้องตนนี้ ถาทําไดขนาดนี้ก็ดีแลว มีสติ มีสติ
ออกไป จิตอยูตางหากจิตตั้งมั่นอยูตางหาก นี่ถาเดินแนวกาย หรือแนวเวทนาตอง
รักษาใจ ไวเปนขณะๆ ๆไป จนใจเปนกลาง พอใจเปนกลางแลวเฝารูสภาวะ
เดินอยางนี้ ไมใชไปเพงกายนะ ดูลมหายใจ แลวใจไหลไปอยูกับลม นิ่งๆ ซึมๆ ทื่อๆ
ทั้งหลายอยางเปนกลาง ในที่สุดจะเกิดปญญา เห็นความจริงวาสภาวะทั้งหลาย
ดูทองพองยุบ ก็ไปเพงอยูที่ทองลูกเดียว เดินจงกรมก็ไปเพงอยูที่เทาลูกเดียว คน
เปนของชั่วคราว ตอไปพอสภาวะปรากฏขึ้นมา สติระลึกรู จิตจะเปนกลางอัตโนมัติ
ไหนทําอิริยาบถสี่ เพงตัวทั้งตัวเลยนะ นั่งอยูๆ ก็เพงมันทั้งตัวเลย ยืนก็เพงมันทั้งตัว
เลย ไมมีความยินดียินรายเกิดขึ้น ใจไมทํางานนะ ไมทํางาน การรูสภาวะ ถารูแจม
อยางนั้นใชไมได มันตองมีใจทีเ่ ปนผูรูผูดู แยกออกมาอยูตางหาก แยกรูปแยก
แจงถึงที่สุดเรียกวารูทุกข เรียกวารูทุกข เพราะวาสภาวะก็คือรูป กับนาม กายกับใจ
นามใหได แยกกายแยกใจออกจากกันใหไดกอน นี่ ถาดูกายนะ
นี่เอง
7 12
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

กลัวเปนยังไง รูวากังวลเปนยังไง เด็กมันก็รูจักนะ พวกเราก็รูจักทุกคนแหละ ถาเรารูแจมแจง รูเลย ทั้งรูปทั้งนามนี่เปนตัวทุกขลวนๆนะ มันจะปลอยวางความ


สภาวธรรมในจิตในใจนี่ดูงาย หลายคนบอกวาดูจิตยากนะ ลองถามดูสิ วารูจัก ยึดถือกายยึดถือใจได เริ่มจะไมดิ้นอีกตอไปแลว เพราะฉะนั้นที่เรารูกายรูใจ สําคัญ
สภาวะทางจิตใจแตละอยางมั้ย ก็รูทั้งนั้นนะ อิจฉาก็เปนนะ ไหนใครไมเคยอิจฉา มากนะ ตั้งแตเบื้องตนเลย จากปุถุชน จะขึ้นโสดาบันนี่ ก็ตองรูกายรูใจ ไมใชรูอยาง
มั้ย มีมั้ย ในหองนี้ ถามีก็ประหลาดหละนะ ใครไมเคยกลัวมีมั้ย ไมมีก็ประหลาด อื่น รูกายรูใจจนเห็นความจริงวากายกับใจไมใชตัวเราหรอก ตัวเราไมมี ใน
อีก ทุกคนรูจักวาสภาวธรรมจริงๆ ทางจิตทางใจเรานี่ แตละอยางๆ เปน กายในใจนี้ ตัวเราไมมีนอกเหนือจากกายและใจนี้ดวย ตัวเราไมมีในที่ใดๆ มี
ยังไง แตกายกับใจทํางานของเคาอยางอิสระ แตละตัวๆ เคาทํางานของเคาไป นี่ พระ
โสดาบันก็เห็นเรื่องกายเรื่องใจ พระสกิทาคาฯก็เห็นอยางเดียวกันนี้แหละ แตสติมัน
วิธีปฏิบัติไมไดยากอะไรเลย คอยรูสึกไป ในขณะปจจุบันนี่ จิตใจของเรารูสึก ไว สติมันไว อกุศลหยาบๆ เกิดไมไดแลว พอกิเลสไหวตัวแว็บ สติเห็นเลย ขาด
ยังไง มีสภาวธรรมอะไรเกิดขึ้นในใจของเรา เชน ฟงหลวงพอพูด ฟงแลว สะบั้นตรงนั้นเลยนะ พระสกิทาคาฯเลยกิเลสเบาบาง เสร็จแลวเราก็รูกายรูใจของ
งง ความงงก็คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั่นเอง ใหเรามีสติ รูวากําลังงง อยู ดูลงไปซิ เราตอไปนะ จนกระทั่งวันหนึ่ง เอา เดี๋ยว ใหเรือบินมันไปกอน (เสียงเครื่องบิน)
พอมีความงง มันจะเกิดความยินดียินราย ใชมั้ย มันจะอยาก อยากรูเรื่อง นี่ ใหรูทัน
ความอยากนี้ลงไปนะ พอความอยากดับจิตเปนกลาง รูความงงดวยความเปน พอถึงวันหนึ่งนี่ มันจะเห็นความจริงของกายแจมแจง จะเห็นเลย รางกายนี่
กลาง ความงงก็จะแสดงไตรลักษณ เกิดขึ้น ตั้งอยูแลวก็ดับไปใหดู นี่นะ หรือฟง ไมเที่ยง รางกายนี้เปนทุกขลวนๆ ไมใชทุกขบางสุขบางนะ รางกายนี้ไมใชตัว
หลวงพอพูดแลว แหม มันมีความสุข จิตใจมันสงบ รูลงไปจิตใจมันสงบ พอจิตใจ เรา เปนวัตถุเปนกอนธาตุ นี่ พอเห็นอยางนี้ หมดความยึดถือในกาย ทันทีที่หมด
สงบแลวมันยินดี มันชอบใจในความสงบ ใหรูทันความชอบใจความยินดีน้ี ถารูไม ความยึดถือในกาย ก็คือการหมดความยึดถือใน ตา หู จมูก ลิ้น กายนั่นเอง เพราะ
ทันจิตใจเราจะเพลิดเพลินหลงใหลอยูในความสุขความสงบอีก นี่งายๆ อยางนี้เอง ตาก็คือกาย หูก็คือ จมูกลิ้นก็คือกายนะ กายก็คือกาย เมื่อเราไมยึดถือใน ตา หู
นะ สภาวะทางจิตใจไมใชเรื่องยากอะไรเลย เปนเรื่องที่ดูไดงายๆ ลูกเล็กเด็กแดง จมูก ลิ้น กายแลว มันจะไมยึดถือ ในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ โผฏฐัพพะ
มันก็ดูเปนนะ คือสิ่งที่มากระทบทางกาย เชนความเย็น ความรอน ความออน ความแข็ง อะไร
พวกนี้ ทีนี้สิ่งเหลานี้มากระทบ มันจะไมยึดไปดวย
สวนสภาวะทางรูปนี่ ดูยากนิดนึง คนจะดูกายไดดีตองทําสมาธิ กายานุปสสนา
หรือรูเวทนานี่ เวทนุปสสนา เหมาะกับคนเลนฌาณ สวนจิตตานุปสสนา ธรรมา พอสภาวะเหลานี้เกิดขึ้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆเกิดขึ้น ใจมันจะเปน
นุปสสนาเหมาะกับคนทั่วๆไป ที่ไมไดทําฌาณ หลายคนเขาใจวาดูกายงายกวาดูจิต กลางอัตโนมัตินะ ไมมีความยินดียินรายในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอีกตอไป
เมื่อสักเดือนกอนนะ มีอาจารยอภิธรรมทานหนึ่งเขาไปที่วัดไปหาหลวงพอ ทานบอก เพราะไมยึดกาย ผูที่หมดความยินดียินราย นะ ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใน รูป เสียง
วา “ดูกายงายกวาดูจิตนะครับ” บอก “ใครสอนนะ พระพุทธเจาสอนไวตรงไหน” กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี่ คือพระอนาคามี จะละกามและปฏิฆะ ไดโดยอัตโนมัตินะ

11 8
ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช ธรรมเทศนา พระปราโมทย ปาโมชโช
ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ครั้งที่ ๗ ณ ศาลาลุงชิน วันอาทิตยที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

เพราะวากามมันก็คือความเพลิดเพลินพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ปฏิฆะ เพราะฉะนั้นการรูทุกขแจมแจงรูกาย รูใจ แจมแจงนี่แหละ เปนอันละสมุทัย


ก็คือความไมชอบใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั่นเอง ฉะนั้น ภาวนาไปนี่ มัน ละตัณหาไดเด็ดขาด ทีนี้ พวกเรายังทําไมได พวกเราแคมีสติแลวก็สูกับตัณหาได
จะละความยึดถือกายไดกอน ตอไปมันจะรวมเขามาที่จิตอันเดียวเลย มันจะยึดถือ เปนคราวๆ ความอยาก ความยินดียินราย เกิดขึ้นมา มีสติรูทัน ก็พนเอาตัวรอดได
ที่จิตอันเดียวนะ ก็ตองดูตอไปอีกจนกระทั่งหมดความยึดถือจิต เพราะวาเห็นวาจิต เปนคราวๆ จนกระทั่งใจเปนกลาง แลวก็มารูกายรูใจ จนเขาใจความเปนจริงของ
ไมเที่ยง บางทานเห็นวาจิตไมเที่ยงนะ บางทานเห็นจิตเปนทุกข บางทานเห็นวาจิต กายของใจวาเคาเปนไตรลักษณ แลวก็จะวาง คราวนี้ถึงขั้นปลอยวาง วางแลวก็จะ
เปนอนัตตาแลวก็วางลงไป พอวางความยึดถือกายยึดถือใจไดสําเร็จเด็ดขาด พนทุกขนะ อยางทุกวันนี้จิตใจของเราตองดิ้นรนมากมายนี่ เพราะเรายึดถือวากาย
นี่ก็คือพนจากทุกขนั่นเอง นี้ใจนี้คือตัวเรา ถาเมื่อไรเราไมยึดถือวากายกับใจเปนเรา มันจะไมมีความดิน้
รนทางใจอีกแลว ความดิ้นรนทางใจคือตัณหานั่นเอง ตัวสมุทัย ที่จะทําใหเกิด
เพราะกายกับใจนี้คือตัวทุกขนะ กายกับใจคือตัวทุกข พวกเรายังไมเห็นตัวนี้ ถาเรา
ทุกขขึ้นในปจจุบัน เพราะฉะนั้นมันจะไมมีทุกขเพราะตัณหา มันจะมีแตทุกขของ
เห็นวากายกับใจเปนทุกขเมื่อไหร เราก็จะตองเปนพระอริยะ อยางนอยก็พระ
กายของใจ แตจิตใจเราก็ไมไดยึดถือกายถือใจ และก็ไมไดยึดถือตัวทุกขไวดวย
อนาคาฯขึ้นไปแลว เราจะเห็นไดแควา รางกายนี้เปนทุกขบางเปนสุขบาง รูสึกมั้ย
นั่นเอง เพราะฉะนั้นเราก็จะพนทุกข
กายเปนทุกขบางเปนสุขบาง จิตนี้เปนทุกขบางเปนสุขบาง เราเห็นไดแคนี้ แตถา
เมื่อไร เรามีปญญาแทงทะลุลงไปในกายนะ กายนี้ทุกขลวนๆ แลวมันจะ เพราะฉะนั้น เวลาเราภาวนานี่ เราจะใชคําวาพนทุกขนะ ไมใชใชคําวาดับทุกขนะ
สลัดความยึดถือกายออกไป แทงทะลุลงถึงจิตถึงใจจริงๆ เห็นวาจิตเปน ดับทุกขมันจะไปดับตอนดับขันธนูน แตตอนนี้มันแคพนทุกข พนทุกขคือไม
ทุกขลวนๆ มันจะสลัดคืนจิตใหธรรมชาติไป ไมยึดกายไมยึดจิต ก็คือ คืนตัว ยึดถือกาย ไมยึดถือใจ นี่อันหนึ่ง แลวก็ไมตกอยูใตตัณหา ปรุงแตงทํางาน
ทุกขใหกับโลกเคาไปนั่นเอง ทางใจ แลวเกิดทุกขซ้ําซอนขึ้นมาอีกอันหนึ่ง

เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนาไปมากเขาๆนะ ถึงจุดหนึ่งเราสลัดคืน สลัดคืนกาย


สลัดคืนใจ ใหโลกเคาไป จิตใจเราก็จะถึงกับสันติสุขที่แทจริง มันจะหมดความดิ้น
รน หมดความทะยานอยากใดๆ ทั้งสิ้น การรูทุกขแจมแจง รูวากายกับใจเปนทุกข
แจมแจงนี่ ทําใหหมดรัก หมดยึด พอหมดยึดนี่มันก็หมดอยาก หมดความอยากที่
จะใหกายใหใจเปนสุข หมดความอยากที่จะใหกายใหใจพนทุกข ไมสนใจมันแลว ทีนี้ การปฏิบัติทั้งหมดนะ ในกรอบกวางๆ จะมีอยูแคนี้ ตอไปก็เปนวิธีการ วิธีการที่
เพราะวาคืนมันไปแลว มันหมดความอยาก ทํายังไงเราจะรูกายรูใจตัวเองได คนทั่วๆไปนี่ไมคอยยอมรูตัวเอง ถารูก็รูไดนะ
ไมใชเรื่องยาก อยางหลวงพอเคยถามเด็กเล็กๆ โกรธเปนมั้ย เด็กก็โกรธเปน เด็ก
รูจักวาความโกรธเปนยังไง เด็กรูจักวาความโลภเปนยังไง รูวาอิจฉาเปนยังไง รูวา
9 10

You might also like