Professional Documents
Culture Documents
Chapter 1
Chapter 1
ภาณุวัฒน จอยกลัด
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ศ.ดร.อมร พิมานมาศ
กรรมการและรองเลขาธิการสภาวิศวกร
ประธานคณะอนุกรรมการทดสอบความรูความชํานาญระดับสามัญวิศวกรโยธา
-1-
• แมวาทุกวัสดุที่ประกอบขึ้นเปนคอนกรีต ไมวาจะเปน ซีเมนต
มวลรวม น้ําและสารผสมเพิ่ม จะมีความสําคัญ อยางไรก็ดี
นับวาซีเมนตเปนองคประกอบที่สําคัญที่สุด
-2-
• จากบั น ทึ ก พบว า ซี เ มนต ถู ก ใช ใ นงาน
โครงสรางตั้งแตสมัยอียิปต (3,000 ป)
ซึ่ ง ครั้ ง นั้ น ชาวอี ยิ ป ต ใ ช ซี เ มนต ที่ ไ ด จ าก
การเผา “ยิปซัม (gypsum)” ที่อุณหภูมิ
ประมาณ 130 Co มาใช เ ป น ตั ว เชื่ อ ม
ประสานหิ น สํ า หรั บ การสร า งพิ ร ามิ ด ชี
ออปส (Cheops pyramid)
• เนื่องจากยิปซัมเปนสารที่ละลายน้ํา ซีเมนตในยุคแรกจึงยังไมแข็งตัว
ในน้ํา (Nonhydraulic cement)
• ต อ มาชาวโรมั น สามารถสร า ง
ซีเมนตไดดีขึ้นจากการเผา “ปูนขาว
(lime)” ด ว ยความร อ นที่ สู ง ขึ้ น
(ประมาณ 1000 องศา)
• แต ก ารไม แ ข็ ง ตั ว ในน้ํ า ก็ ยั ง เป น
ป ญ ห า ข อ ง ซี เ ม น ต ใ น ข ณ ะ นั้ น
เนื่ อ งจากปู น ขาวเองก็ ไ ม ส ามารถ
อย างไรก็ดีชาวโรมันใชการบดอัดซีเมนต ให
แข็งตัวในน้ําได แนน และใชสรางโคลีเซียม (Coliseum) ได
-3-
• เพื่อใหซีเมนตที่เกิดจากปูนขาวมีคุณภาพดี
ขึ้น ชาวกรีกและโรมันไดทําการผสมเถา
ภูเขาไฟ โดยมีบันทึกไววาเถาที่ดีตองมา
จ า ก ภู เ ข า ไ ฟ จ า ก ห มู บ า น ป อ ซุ โ อ ลิ
(Pozzuoli)
• ทําใหเรียกวัสดุที่ผสมกับซีเมนตวา “วัสดุ
ปอซโซลาน (pozzolanic material)”
• เหตุ ที่ เ ถ า ภู เ ขาไฟนี้ ใ ช ไ ด ดี กั บ ปู น ขาว
เนื่องจากมีสวนผสมของซิลิกาและอลูมินา
-4-
• ในป ค.ศ.1813 นายโจเซฟ แอสพดิน ได
จดลิ ข สิ ท ธิ์ ก ระบวนการผลิ ต ซี เ มนต ซึ่ ง ได
จากการเผาสวนผสมระหวาง (1) หินปูน
(limestone) (2) ปูนขาว (lime) และ (3)
ดินเหนียว (clay)
• ซึ่ ง ส ว นผสมนี้ เ มื่ อ รวมตั ว กั บ น้ํ า จะแข็ ง ตั ว และมี สี เ หลื อ ง-เทา
เหมือนหินที่ เกาะปอรตแลนด (Portland) ประเทศอังกฤษ
• แอสพดิน เรียกซีเมนตนี้วา ปอรตแลนด (Portland cement) และ
ยังคงใชชื่อนี้จนกระทั่งถึงปจจุบัน
• อยางไรก็ดีในครั้งซีเมนตยังมีคุณภาพไมดีเนื่องจากใชความรอน
ในการเผาที่ต่ํา (หินปูนและดินเหนียวรวมตัวไมดี)
clinker
-7-
วัสดุจําพวกคัลเซียม
วัตถุดิบรอง
เชน หินปูน
เชน ยิปซั่ม
วัสดุจําพวก
อาจิลลาเชียส เชน
ดินเหนียว
-8-
• หากวัตถุดิบมีความชื้นนอย (เชน หินปูน)
ในกรณีดังกลาวควรเลือกผลิตดวยวิธี dry
process
• ในระบบ wet เมื่อผสมองคประกอบจนได
เปนของเหลวที่เรียกวา slurry แลว
• เหลวดังกลาวจะถูกนําเขาเตาเผาซึ่งตองใช
ความรอนสูงกวาแบบ dry เพราะตองไล
ความชื้ น ซึ่ ง สิ้ น เปลื อ งพลั ง งานมากกว า
ทําให dry process เปนที่นิยมมากกวา
-10-
• ในขณะที่บดปูนเม็ด ยิปซั่ม (gypsum, CaSO4)
ประมาณ 3%-5% โดยน้ําหนักของปูนเม็ด จะ
ถูกเติมเขาไป เพื่อชวยในการกอตัวของซีเมนต
เมื่อทําปฏิกิริยาไฮเดรชั่นกับน้ํา
• ทั้งนี้เม็ดปูนเม็ดที่ไดจะประกอบดวย ออกไซด
(Oxides) ถึง 90%
• ออกไซค ที่ ไ ด มี ค วามสํ า คั ญ ต อ คุ ณ สมบั ติ ข อง
ซีเมนตอยางมาก
-14-
• เมื่ อ ซีเ มนต ผ สมกั บ น้ํ า จะเกิด ปฏิ กิ ริ ย าเรี ย กว า “ไฮ-
เดรชั่น” ปฏิกิริยาดังกลาวกอใหเกิด (1) ความรอน
(2) สรางการกอตัวและ (3) กําลังของคอนกรีต ฯ
• ปฏิ กิ ริ ย าไฮเดรชั่ น หรื อ “ปฏิ กิ ริ ย าระหว า งน้ํ า กั บ
ซีเมนต” กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของซีเมนตไปสู
Le Chatelier
สภาพของวัสดุเชื่อมประสานซึ่งแข็ง แนนและมีมวล
มาก
• ซึ่ง Le Chatelier เปนคนแรกที่อธิบายถึง
กระบวนการเกิดปฏิกิริยาไฮเดรชั่น โดยพิจารณาจาก
สารประกอบตั้งตนแตละตัวแยกกัน
-15-
• เนื่ อ งจากมี ก ารเติ ม ยิ ป ซั่ ม
ในขั้นตอนการสรางเม็ดปูน
เพื่อหนวงการเกิดปฏิกิริยา
ของ C3A ettringite
-16-
• C3A จะเขาทําปฏิกิริยากับ sulfate ions
ที่เหลืออยู และสราง ettringite อีกครั้ง
โดยปฏิกิริยานี้จะเกิดไปเรื่อยๆจน sulfate
ions (จากยิปซั่ม) เริ่มหมดไป
• หลั ง จากนั้ น อี ก หลายวั น เมื่ อ sulfate
ions หมดไป C3A จะเขาทําปฏิกิริยากับ
ettringite ที่เหลืออยูเกิดเปน “คัลเซี่ยม-
โ ม โ น ซั ล โ ฟ อ ลู มิ เ น ต ( Calcium-
Monosulfo aluminiate)”Î 3C4ASH12
-17-
• สรุปปฏิกิริยาเนื่องจาก C3A
C3A + Gypsum/sulfate ions + Water Ettringite
Ettringite
Gypsum + Water + Monosulfo-aluminate
(ขยายเกือบ 2 เทา = cracks)
-18-
• พบวาปริมาตรของผลผลิตที่เกิดจาก C3A และ
C4AF มีปริมาตรเพียงรอยละ 15-20 ของเพลสต
• ทั้งนี้ผลผลิตดังกลาวจะมีผลนอยตอคุณสมบัติของ
โครงสรางเพลสต
-19-
• เมื่อเปรียบเทียบแลว C3S จะสราง CSH ไดนอยกวาที่
C2S ทําได (นอยกวาประมาณ 3 เทา)
• CSH ที่ไดจะทําหนาที่คลาย “วุน (gel)” ชวยยึดเกาะ
กับวัสดุผสมอื่นๆ (เชน ทรายและหิน) ทั้งนี้ CSH มี
คุณสมบัติเปลี่ยนตามสวนผสมและอายุของเพลสต
• รูปรางของ CSH ไมสามารถสรุปไดแนนอน มีหลาย
รูปแบบเชน เสนใย (fibrous) แบบ (Flattened)
โครงข า ย (Network) และรู ป ร า งผิ ด ปรกติ แต ที่ พ บ
มากสุดคือ เสนใยกลวงตัน
• ในขณะที่นักวิจัยบางคนเสนอวาโครงสรางของ CSH
มีลักษณะเปนแผนชั้นๆ (layer structure)
• ในขณะที่คัลเซี่ยมไฮดรอกไซด (CH) จะทําใหเพลสตมี
คุณสมบัติที่เปนดาง (คือมีคา PH มากกวา 12)
ชวยปองกันการเกิดสนิมในเหล็กเสริม สําหรับกรณี
ของโครงสราง RC
• CH เปนอนุภาคที่มีรูปทรงหกเปลี่ยม (Hexagonal)
และมีขนาดใหญหลาบสิบไมโครเมตร แตมีโครงสราง
ที่ออนแอกวา CSH
-20-
ภาพขยายของ
(Ca(OH)2)
CSH
Ca(H2O)
Ettringite
CSH gel
-22-
• พิ จ ารณาจากกราฟการเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าไฮเดรชั่ น หรื อ การ
พัฒนากําลังของซีเมนต พบวา
• C3S ทําปฏิกิริยากับน้ําไดดีในระดับปานกลางหรือใชเวลา
2-3 ชั่ ว โมง ในการก อ ตั ว และแข็ ง ตั ว เกิ ด ความร อ น
ประมาณ 500 จูลตอกรัม ความรอนนี้เรียกวา “ความ
รอนจากปฏิกิริยาไฮเดรชั่น (Heat of hydration)”
• พัฒนากําลังอัดในชวงแรกไดดีแตชวงหลังคอนขางคงที่
-23-
เกิดจาก C2S
10 hrs 20 hrs
และ C3S
15 mins
-24-
• C3A จะทําปฏิกิริยากับน้ําทันที กอตัวเร็ว เกิด heat of
hydration ที่สูง (ประมาณ 850 จูล/กรัม)
• “การกอตัวที่เร็ว (flash set)” ตองปองกันโดยการ
เติมยิปซั่ม (เพลสตจะกอตัวโดยที่ไมมีกําลัง)
• มีการพัฒนากําลังอัดในชวงแรก (ภายในวันเดียว) สูง
อยางไรก็ดีพบวามีกําลังในชวงหลังที่ต่ํา
• มีผลตอสีของซีเมนต ทําใหซีเมนตมีสีเทา
-25-
คุณสมบัติ ปฏิกิริยา
C3 S C2 S C3 A C4AF
อัตราการเกิดปฏิกิริยา ปานกลาง ชา ทันที เร็วมาก
(ชั่วโมง) (วัน) (นาที)
ความรอนจากปฏิกิริยา ปานกลาง นอย สูงมาก ปานกลาง
(500 J/g) (250 J/g) (850 J/g) (420 J/g)
พัฒนากําลังชวงแรก ดี ต่าํ ดี ดี
-26-
• (2) การเพิ่ม ซิลีกา (SiO2) มากเกินไป (มากกวา อะลู
มิ น า (Al2O3) และ ออกไซด ข องเหล็ ก (Fe2O3)) จะ
สงผลใหการกอตัวเปนเม็ดปูนทําไดยากขึ้น
• (3) ซีเมนตที่มีปริมาณของอะลูมินาและออกไซดของ
เหล็กคอนขางสูง จะสามารถชวยในการพัฒนากําลัง
ของซีเมนตในชวงแรกไดดี (early strength)
• (4) อาจจะมีการขยายตัวของมอรตาและคอนกรีตมาก
เกิ น ไป จนทํ า ให เ กิ ด ความเสี ย หาย หาก มั ก นี เ ซี ย ม
ออกไซด (MgO) มีมากเกินไป (มากกวา 5%)
-27-
• (6) คุณสมบัติที่เปน ดาง ของ K2O และ Na2O จะเพิ่ม
กําลังรับแรงอัดในชวงแรก แตกําลังรับแรงอัดในชวงหลัง
จะลดลง ถ า ทํ า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ วั ส ดุ ผ สม จะเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า
Alkali-Aggregate เปนผลใหคอนกรีตสูญเสียกําลัง
• ขึ้นอยูกับหลายปจจัย เชน
1. อายุของซีเมนตเพลสต : ซึ่งปฏิกิริยาจะมีมากในชวงแรก
และลดลงเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง (เกิดสมบูรณ)
2. องคประกอบของซีเมนต : โดยเฉพาะสารประกอบ C3S
และ C3A
3. ความละเอียดของซีเมนต : หากซีเมนตมีความละเอียด
มาก ปฏิกิริยาจะเกิดไดสมบูรณมาก
-28-
4. อัตราสวนน้ําตอซีเมนต : ในชวงตน w/c ratio จะไม
มีผลตอฏิกริยา แตในชวงหลังหาก w/c ratio ลดลง
จะเกิดปฏิกิริยาลดลงดวย
5. อุณหภูมิ : เมื่อใหความรอนที่เหมาะสม (ตองไมมาก
เกินไปจนเพลสแตกราว) ปฏิกิริยาจะเกิดไดดีขึ้น
6. สารผสมเพิ่ม : ซึ่งมีอยู 2 ประเภทคือ (1) สารหนวง
และ (2) การเรงปฏิกิริยา
-29-
• จุดทั้ง 3 สรางชวงของปฏิกิริยาเปน 3 ชวง ดังนี้
• (1) ตั้งแตปูนผสมน้ําจนถึงจุดแข็งตัวเริ่มตน (initial set)
เราเรียกวา “ชวงที่ยังไมมีการเปลี่ยนแปลง (induction
หรือ dormant time)”
• ในชวงนี้เพลสตยังมีความขนเหลว (plastic) และไหลลื่น
(workable paste)
• ระยะเวลาตั้งแตตนจนจบของชวงนี้เรียกวา “เวลากอตัว
เริ่มตน (initial setting time)”
-30-
• (3) หลังจากจุดแข็งตัวสุดทาย คอนกรีตจะเปลี่ยนเปน
ของแข็ง (solid) และสามารถรับแรงไดตามระยะเวลา
• ชวงนี้เปนตนไปเราเรียกวา “การแข็งตัว (hardening)”
• โดยกระบวนการทั้ ง หมดตั้ ง แต ปู น ซี เ มนต ผ สมน้ํ า
จนกระทั่งเพลสตสามารถรับน้ําหนักไดนี้ เรียกวา “การ
กอตัวและแข็งตัว (setting and hardening)”
ปูนซีเมนตผสมน้ํา
มีความขนเหลวทํางานได เวลาการกอตัวเริ่มตน
จุดแข็งตัวเริ่มตน
เริ่มอยูตัวทํางานไมได
เวลาการกอตัวสุดทาย
การแข็งตัว
เปนของแข็ง
-31-
• ในเพลสตจะมีโครงสรางหลัก 3 สวนคือ
• (1) สวนที่เปนของแข็ง (Solid)
• (2) สวนที่เปนชองวาง (Void)
• (3) สวนที่เปนน้ํา (Water)
• โดยแตละสวนมีรายละเอียดดังนี้
-32-
• ขึ้ น อยู กั บ การกระจายตั ว ของซี เ มนต (particle
size distribution) ในสวนผสมและระดับขั้นใน
การทําปฏิกิริยาไฮเดรชั่น
• unhydrated clinker grains อาจพบไดใน
microstructure ของเพลส แมวาเกิดปฏิกิริยาไฮ
เดรชั่นไปเปนเวลานาน
• เนื่ อ งจากในป จ จุ บั น เม็ ด ซี เ มนต เ หล า นี้ มี ข นาด
ตั้งแต 1 – 50 Pm
• อนุภาคซีเมนตขนาดเล็กจะทํ า ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นกอน
จากนั้นจะหายไปจากโครงสรางเพลส
-34-
เปรียบเทียบใหเห็นความแตกตางในเชิงขนาดระหวางองคประกอบตางๆ
ในโครงสรางซีเมนตเพลสต
-35-
• โดยทั่วไป Gel pore มีอยูประมาณ 28% หรือ
ประมาณ 1 ใน 3 โดยปริมาตรของสวนที่เปนเนื้อแข็ง
ของ CSH
• เนื่องจาก Gel pore มีขนาดเล็กมาก ดังนั้นโดยมากจะ
คิดพื้นที่ Gel pore เปนสวนหนึ่งของซีเมนตเจล
• เนื่ อ งจากขนาดที่ เ ล็ ก มากชอ งว า งเหลา นี้ จึ ง ไม มี ผ ลต อ
กําลัง (strength) และความซึมได (permeability) ของ
เพลสต
-36-
ขนาดของ
capillary pores
การพัฒนาขนาดของ
capillary pores
• โดยทั่วไปฟองอากาศจะติดอยูในเพลสตในขณะที่ทําการ
ผสม (mixing) ซึ่งในบทขางหนาจะแสดงใหเห็นถึงความ
จํ า เป น ที่ ต อ งเติ ม สารผสมเพิ่ ม (admixtures) เพื่ อ ที่ จ ะ
บังคับใหฟองอากาศเหลานี้มีขนาดเล็กที่สุด
-39-
• ฟองอากาศที่ติดอยูในเพลสต (entrapped air void)
อาจมีขนาดใหญถึง 3 mm.
• ในขณะที่ ฟ องกาศที่ เ กิ ด จากใช ส ารกั ก กระจาย
ฟองอากาศ (entrained agent) ที่เรียกวา entrained
air void จะมีขนาดประมาณ 50 – 200 Pm.
• เนื่องจากเปนชองวางขนาดใหญ ทั้ง entrapped และ
entrain air void จะมีผลตอกําลังของเพลส (ขนาด
ใหญจะทําใหกําลังของเพลสตต่ํา)
-40-
น้ําในโพรงแคพิลลาลี • คื อ น้ํ า ที่ อ ยู ใ นช อ งว า งซึ่ ง มี ข นาดมากกว า
(capillary water) 0.5 nm
• น้ํ า ในส ว นนี้ กั ก เก็ บ อยู ใ นช อ งว า งโดยไม ไ ด
อาศัยแรงดูดระหวางพื้นผิวของสวนแข็ง
• แบงออกเปน 2 แบบ คือ (1) น้ําชองวาง
ขนาดใหญซึ่งมีขนาดมากกวา 50 nm หรือ
เรียกวา “น้ําอิสระ (free water)” เพราะ
เมื่อสูญหายออกไปจากชองวางแลวไมไดทํา
ใหเกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาตรของเพลสต
-41-
น้ําที่ถูกซับ • คื อ น้ํ า ที่ อ ยู ติ ด หรื อ ถูก ดู ด ซึ ม (absord) ไว
(absorbed water) กับพื้นผิวสวนแข็ง
• จากการวิจัยพบวาน้ําที่มีขนาดถึง 1.5 nm
จะถู ก ดู ด ซึ ม ไว ด ว ยแรงยึ ด เหนี่ ย วของน้ํ า
(hydrogen bonding)
• แรงดึงดูดดังกลาวจะนอยลงเมื่อโมเลกุลของ
น้ํ า ห า งออกไปจากพื้ น ผิ ว ของส ว นแข็ ง ของ
เพลสต
-42-
น้ําใน gel pore • น้ําในสวนนี้จะอยูระหวางชั้นของโครงสราง
CSH โดยน้ําในสวนนี้จะถูกเหนี่ยวรั้งไวอยาง
เหนี ย วแน น โดย แรงยึ ด เหนี่ ย วของน้ํ า
(hydrogen bonding)
• การสู ญ เสี ย น้ํ า ในส ว นนี้ เ กิ ด ขึ้ น ได เ ฉพาะใน
กรณีที่เกิดการแหงตัวอยางรุนแรง (ต่ํากวา
11% ของความชื้นสัมพัทธ)
• การสูญเสียดังกลา วทําใหโครงสราง CSH
หดตัว (shrink)
• คือ น้ําที่รวมเปนสวนหนึ่งของผลผลิตจากปฏิกิริยาไฮเดรชั่นใน
microstructure
• น้ําในสวนนี้ไมสูญเสียเนื่องจากการแหงตัว แตจะแหงไปเนื่องจาก
ความรอนของปฏิกิริยาไฮเดรชั่น
-43-
ชั้นของโครงสราง CSH
Short fibers
Long fibers
-44-
ซี เ มนต (สี ดํ า ) และ
ettringite (เสนเล็กๆ เกิด CSH
บางๆ) ซึ่งเขาปกคลุม
ซีเมนตในชวงแรกๆ
Ca(OH)2
CSH เปลี่ยนเปนเสนใยชนิด
เกิด CSH ชนิดยาวเขาปกคลุม
สั้นและเขาปกคลุมชองวาง
ชองวาง + C3A&C4AF ถูกใชหมด
-45-
ที่ 7 วัน พบวาโครงสราง ที่ 15 วั น โครงสร า ง ที่ 64 วั น โครงสร า ง
ของซี เ มนต มี ช อ งว า งมาก ตางๆ ไมวาจะเปน CHS, หนาแนนขึ้น เห็นชองวาง
และพบว า เกิ ด เส น ในของ CH และ Monosulfate และโพรงอากาศในเนื้ อ
ettringite รอบๆเม็ดซีเมนต ฯ ขยายเขาสูชองวาง ซีเมนต
-46-
• พบวาซีเมนตที่มีความละเอียดจะทํา ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นได
ดีกวาซีเมนตเม็ดหยาบ โดยเฉพาะอยางยิ่งในชวงที่แรก
ของการพัฒนากําลัง เนื่องจากมีพื้นที่ผิวที่มากกวา (ใน
ปริมาตรที่เทากัน)
พื้นผิวมากกวา
ซีเมนตที่มีปริมาตรที่เทากันแตพื้นที่ผิวที่ตางกัน
• ผลเนื่ อ งจากความละเอี ย ด
ของซีเมนตตอกําลังอัดแสดง
ในรูป
• อยางไรหากซีเมนตมีขนาดที่
เ ล็ ก เ กิ น ไ ป อ า จ ทํ า ใ ห
เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย ากั บ ความชื้ น ใน
อากาศได
-47-
• เวลาในการกอตัว (Setting time) : เวลาที่เริ่มตน
จากซี เ มนต ผ สมกั บ น้ํ า จนกลายเป น ของแข็ ง เรา
เรียกวา “setting time”
-49-
• ตัวอยางเชน free lime จะทําปฏิกิริยาไดชามาก เนื่องจาก
มันจะถูกหุม ดว ยชั้นฟ ลมบางๆของซีเ มนตซึ่ง ปอ งกัน การ
สัมผัสกันโดยตรงระหวางน้ําและ free lime
• ภายหลังการกอตัวแลวความชื้อในอากาศจะแทรกซึมเขาไป
ในคอนกรีตและทําปฏิกิริยาไฮเดรชั่นกับ free lime สวนที่
เหลือ (ตกคาง)
• ซึ่งตอมาจะทําใหเกิดการขยายตัวซึ่งกอใหเกิดการแตกราว
-51-
• ความรอนของสารประกอบแตละตัวเทียบกับเวลา
-52-
• ปู น ซี เ มนต ป ร ต แลนด มี ห ลายประเภท ขึ้ น อยู กั บ
ความตองการของผูใชงาน
• โดยทุกประเภทมีสารประกอบหลัก (C3S, C2S,
C3A, C4AF, CaSO4, CaO และ MgO) ที่
เหมือนกัน
• แตอาจมีปริมาณ (ซึ่งหมายถึงปฏิกริยาไฮเดรชั่น
และกํ า ลั ง และความทนทานตอ ก ารกั ด กร อ น) ที่
แตกตางกัน
ประเภท ชื่อเรียก
ปูนซีเมนตปอรตแลนดธรรมดา (Ordinary portland cement) TYPE 1
ปูนซีเมนตปอรตแลนดดัดแปลง (Modified portland cement) TYPE 2
ปูนซีเมนตปอรตแลนดแข็งตัวเร็ว TYPE 3
(High-early strength portland cement)
ปูนซีเมนตปอรตแลนดความรอนต่ํา TYPE 4
(Low-heat portland cement)
ปูนซีเมนตปอรตแลนดทนซัลเฟตไดสูง TYPE 5
(Sulfate-resistant portland cement)
-53-
• ประเภทที่ 1 (Type I) : ปูนซีเมนตปอรตแลนด
พื้น ฐานสํ า หรั บ งานโครงสร า งทั่ ว ไปที่ ไ ม อ ยู ใ นสภาพ
อากาศที่รุนแรงและไมไดตองการๆควบคุมคุณภาพเปน
พิ เ ศษ โดยความร อ นที่ เ กิ ด ขึ้ น จะไม ม ากจนเกิ น ไป
(กําลังไมสูงมาก) จนทําใหคอนกรีตเสียหาย
-55-
• ประเภทที่ 5 (type V) : ปูนซีเมนตตัวนี้ใส C3A ใน
ปริมาณที่ต่ํา ซึ่งชวยปองกันการกัดกรอนของซัลเฟตได
ดี เหมาะสําหรับโครงสรางที่อยูในภาวะแหงสลับเปยก
เชน โครงสรางชายฝงทะเล หรือดินที่ มีดางสูง โดย
ซีเมนตชนิดนี้ใชเวลาในการแข็งตัวชากวาประเภทที่ 1
-56-
-57-
• นอกเหนือจากปูนซีเมนตทั้ง 5 ประเภทแลว ยังมี
ปูนซีเมนตชนิดพิเศษที่ทําขึ้นมากับงานเฉพาะดาน
อีกหลายตัว เชน
• (1) ปูนซีเมนตปอรตแลนดปอซโซลาน (Portland
pozzolana cement)
• (2) ปูนซีเมนตขยายตัว (expansive cement)
• เนื่องจากซีเมนตมีราคาและสรางปฏิกิริยา
ที่ใหความรอนสูง ทําใหมีความตองการที่
จะลดปริมาณซีเมนตลงโดยการเติม วัสดุ
เฉื่อย/ปอซโซลาน ลงไปในซีเมนต
• ปอซโซลานอาจสรางขึ้นมา เชน ดินเหนียว
หรือดินดานเผา (burnt clay หรือ shale)
หรือหาไดจากธรรมชาติ เชน เถาภูเขาไฟ
(Volcanic ash) หรือเถาลอย (fly ash)
-58-
• โดยทั่ ว ไปปอซโซลานจะประกอบด ว ยออกไซด ข อง
ซิลิกอนและอลูมิเนียมเปนสวนใหญ
• ทั้งนี้อัตราสวนของปอซโซลานอยูระหวา 15-50%
โดยน้ําหนักของปูนซีเมนตทั้งหมด
• โดยข อ ได เ ปรี ย บของซี เ มนต ป ระเภทนี้ คื อ (1) ให
ความร อ นที่ ต่ํ า เนื่ อ งจากปฏิ ก ริ ย าไฮเดรชั่ น ลดลง
(ปริมาณซีเมนตนอย)
-59-
-60-
• โดยทั่ ว ไปซี เ มนต อ าจจะมี ก ารหดตั ว (shrink)
เนื่ อ งจากการสู ญ เสี ย น้ํ า ในระหว า งปฏิ ก ริ ย าไฮ
เดรชั่น ซึ่งอาจจะมาจากการบมที่ไมเพียงพอ
• สํ า หรั บคอนกรี ตที่ ไม มี ก ารยึ ด รั้ ง (restraint)
โดยทั่วไปจะไมประสบปญหาใดๆ แตหากมีการยึด
รั้ ง เช น ในงานเสริ ม กํ า ลั ง โครงสร า ง หรื อ
โครงสรางที่มีปริมาณเหล็กเสริมมากๆ ซึ่งคอนกรีต
คอนกรีตหดตัวไมอิสระ ก็จะเกิดแรงดึงและทําให
คอนกรีตแตกราวได
ซีเมนตอาจมีการขยายตัว
เล็กนอยกอน
หลังจากนั้น
จะหดตัว
จําลองสาเหตุการแตกราวเนื่องจากการยึดรั้ง
-61- ในคอนกรีตที่กําลังหดตัว
สรางการขยายตัวใหมากขึ้น
เมื่อหดตัวภายหลังจะ
มีผลกระทบนอย
จําลองสาเหตุการแตกราวเนื่องจากการ
ยึดรั้งในคอนกรีตที่กําลังหดตัว
• นอกจากนี้ยังมีปูนซีเมนตประเภทอื่นๆอีก เชน
(1) ปูนซีเมนตกากเตาถลุง (portland blast-furnace-
slag cement)
(2) ปูนซีเมนตอลูมินาสูง (High alumina cement)
(3) ปูนซีเมนตซัลเฟตสูง (super-sulphated cement)
(4) ปูนซีเมนตงานกอ (Masonry cement)
(5) ปูนซีเมนตผสมซิลิกา (Silica cement) และ
(6) ปูนซีเมนตขาว (white cement)
-62-
-63-