Professional Documents
Culture Documents
การจัดทำแผนธุรกิจส่งออก
การจัดทำแผนธุรกิจส่งออก
บทที่ 1 ภาพรวมของการวางแผน
บทนี้จะศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมประกอบธุรกิจเพื่อการส่งออก และประโยชน์ของการวางแผน
ธุรกิจเพื่อการส่งออก ในการประกอบธุรกิจเพื่อการส่งออกนั้น ผู้ประกอบการจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้
ความสามารถ และประสบการณ์ในการวางแผนธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจ ประสบ
ความสาเร็จ มีความเจริญเติบโต มั่นคง ดังนั้นหลักสูตรฝึกอบรมการวางแผนธุรกิจเพื่อการส่งออก จึงมีเป้าหมาย
สาคัญให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการวางแผนธุรกิจ ตลอดจนมีทักษะที่จาเป็นสาหรับ
การวางแผนที่เหมาะสมต่อไป
วัตถุประสงค์ของการศึกษาการวางแผนธุรกิจ
1. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจในการวางแผน และดาเนินการวางแผนธุรกิจเพื่อ
การส่งออก
2. ช่วยให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสาคัญของการวางแผน และสามารถวางแผนธุรกิจเพื่อ
การส่งออกได้
การวางแผนธุรกิจนั้นหมายถึง การวางแผนที่ต้องครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร เช่น จะ
ผลิ ต สิ น ค้ า อะไรหรื อ บริ ก ารอะไร ต้ อ งใช้ ง บประมาณและพนั ก งานเท่ า ไหร่ เป็ น ต้ น ซึ่ ง ผู้ บ ริ ห ารต้ อ งให้
ความสาคัญในเบื้องต้น จึงจะสามารถดาเนินการให้ลุล่วงได้และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ถ้ากล่าวถึงการวางแผน
ธุรกิจ ส่วนประกอบที่สาคัญคือ แผนธุรกิจ และการวางแผนนั้นเอง
การเตรียมประกอบธุรกิจเพื่อการส่งออก สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะคือ
1. ระยะเตรียมการลงทุน
2. ระยะการลงทุน และ
3. ระยะดาเนินการส่งออก
1. ระยะเตรียมการลงทุน สาหรับระยะเตรียมการลงทุนนั้น ผู้ประกอบการจาเป็นต้องศึกษา
ความต้องการของตลาดว่าเป็นอย่างไร และศึกษาความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ที่มี หรือที่กาลังพัฒนาว่ามีความ
เหมาะสมต่อการลงทุนเพื่อการส่งออกหรือไม่
ในด้านความต้องการของตลาดนั้น ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคเป็นสาคัญ ดังคากล่าวที่ว่า “ลูกค้าคือ
พระเจ้า” เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภคมีอิทธิพลต่อการกาหนดสิ่งที่ตัวเองจะเลือกบริโภค การตลาดสมัยใหม่ จึงต้อง
เน้นความต้องการของผู้บริโภค หรือ Demand Chain ซึ่งเป็นการมองจากภายนอกสู่ภายในองค์กร หรือ
Outside in โดยใช้หลัก 4Cs ได้แก่ Customer Value, Cost to Customer, Convenience และ
Communication เราไปดูกันว่า เจ้า 4Cs ที่ว่านี้ คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร
เรามาเริ่มจาก C ตัวแรก คือ Customer Value กันก่อน Customer Value นั้นหมายถึง คุณ
ค่าที่จะมอบให้กับลูกค้าหรือผู้บริโภค ซึ่งการที่จะตอบ Customer Value ได้นั้น เราต้องทราบว่า ผู้บริโภคคือ
ใคร ต้องการอะไร และคุณค่าใดที่ผลิตภัณฑ์จะสามารถมอบให้กับผู้บริโภค
C ตัวที่สอง คือ Cost to Customer หมายถึง ราคาที่ผู้บริโภคยินดีจ่าย ซึ่งการที่จะตอบ Cost
to Customer ได้นั้น เราต้องทราบก่อนว่า ผู้บริโภคยินดีจ่ายในราคาเท่าใด แล้วจึงผลิตให้ได้ต้นทุนต่ากว่าที่
ผู้บริโภคยินดีจ่าย ซึ่งกล่าวได้ว่า ราคาที่ผู้บริโภคยินดีจ่ายจะเป็นตัวกาหนดต้นทุนการผลิต
C ตัวที่สาม คือ Convenience หรือ ความสะดวกซื้อต่อผู้บริโภคการที่จะตอบ Convenience
ได้นั้น เราต้องทราบว่า ทาอย่างไรจึงจะสามารถอานวยความสะดวก ให้ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ ได้ทุกเวลา
ที่ต้องการ
และ C ตัวสุดท้าย คือ Communication หรือ การสื่อสารกับผู้บริโภค โดยการที่จะตอบ
2/3
บทที่ 2 การวางแผนธุรกิจเพื่อการส่งออก
ในบทนี้ท่านจะได้ศึกษาเกี่ยวกับ การวางแผนธุรกิจด้านต่างๆ เช่น
- ด้านการตลาด
- ด้านการผลิต
- ด้านการบริหาร
- ด้านการเงิน และ
- ด้านแผนสารองฉุกเฉิน
ในการประกอบธุรกิจ สิ่งสาคัญคือต้องมีการลงทุน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงมีความจาเป็นที่จะต้อง
ศึกษาข้อมูลให้ ละเอียดก่อนจะดาเนิ นการ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับ
ผลตอบแทนคุ้มค่า ทราบแนวทางแก้ไขหากเกิดปัญหา และหลีกเลี่ยงการขาดทุน
วัตถุประสงค์ของการศึกษาความเป็นไปได้
- เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเริ่มต้นดาเนินธุรกิจอย่างมีแบบแผน
- เพื่อจัดเตรียมทรัพยากรในการดาเนินธุรกิจ
ขอบเขตของการศึกษาความเป็นไปได้ การศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจนั้น ครอบคลุมถึงการ
วิเคราะห์ในด้านต่างๆ เช่น ด้านการตลาด ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้านการผลิต ด้านการ
บริหาร และด้านการเงิน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น ปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน
2.1 การศึกษาปัจจัยภายนอก ได้แก่ ด้านการตลาด ด้านเศรษฐกิจ และด้านสิ่งแวดล้อมและ
สังคม
2.1.1 การศึกษาความเป็นไปได้ด้านการตลาด เช่น ศึกษากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และคู่แข่ง
การเติบโต ขนาด และแนวโน้มของตลาด ส่วนแบ่งทางการตลาด ช่องทางการจาหน่าย เป็นเครื่องมือที่จะช่วยลด
ความเสี่ยงในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางในการเตรียมแผนการตลาดและกลยุทธ์
ทางการตลาดที่เหมาะสมต่อไป
แผนการตลาดเกี่ยวกับตลาดเป้าหมาย ควรทราบว่า ใครเป็นผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ หรือ
บริการ ขนาดของตลาดเป้าหมายเป็นจานวนเงินเท่าใด ส่วนแบ่งตลาดเป็นเท่าใดของตลาดเป้าหมาย ตลาด
เป้าหมายครอบคลุมพื้นที่เท่าใด ส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่งเป็นเท่าใด มีการแบ่งส่วนตลาดอย่างไร แนวโน้มของ
ตลาดเป้าหมายในระยะสั้น และระยะยาวเป็นอย่างไร
แผนการตลาดเกี่ยวกับคู่แข่ง ควรทราบว่า คู่แข่งรายสาคัญเป็นใคร จุดแข็ง และจุดอ่อน
ของคู่แข่ง คู่แข่งได้สร้างอุปสรรคใดที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจ
แผนการตลาดเกี่ยวกับความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ควรทราบว่า ทาไมผู้บริโภคจึง
สนใจในผลิตภัณฑ์ หรือบริการของเรามากกว่าของคู่แข่ง อะไรคือประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรื อบริการ ผลิตภัณฑ์
หรือบริการจะเป็นไปตามความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไร มีตราสินค้า สิทธิบัตร หรือการประกันใดบ้างใน
ตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการ เป็นต้น
แผนการตลาด เกี่ยวกับการวางแผนการตลาดและการขาย ควรทราบว่า มีการวิจัยทาง
ตลาดอะไรบ้าง มีวิธีดึงดูดลูกค้าอย่างไรบ้าง ทาการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ หรือบริการอย่างไร มี
วิธีการกระจายสินค้าหรือบริการอย่างไร
เป้าหมายทางการตลาด ที่ธุรกิจดาเนินการอยู่และตั้งเป้าหมายไว้ อาจระบุเป็นส่วนแบ่ง
ตลาด หรือ Market Share ตลาดเป้าหมาย หรือ Target Market และเป้าหมายการดาเนินการ เพื่อเข้าถึงส่วน
แบ่งตลาดที่กาหนด โดยการระบุควรเป็นตัวเลขหรือหน่วยที่สามารถวัดได้ เช่น ระบุเป็นมูลค่ายอดขาย หรือ
2/14
แผนการผลิต สาหรับการศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการลงทุนเพื่อการ
ส่งออกอย่างเป็นระบบ จาเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางด้านการผลิต ซึ่งจะช่วยในการวิเคราะห์ความคุ้มค่า
ของการลงทุนหรือจุดคุ้มทุนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พิจารณาจากวิธีการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนอย่างง่ายดังนี้
เครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยผู้บริหารได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของราคาขาย ปริมาณการ
ขาย ต้นทุน และกาไร คือ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break Even Analysis) คาจากัดความของคาว่าจุดคุ้มทุน
อธิบายง่ายๆ ว่าจุดคุ้มทุนเป็นจุดที่รายได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายสินค้าเท่ากับค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากการขาย
สินค้า ธุรกิจจะไม่มีกาไรหรือขาดทุนจากการดาเนินงาน ณ จุดนั้น และกราฟต่อไปนี้แสดงถึงจุดคุ้มทุนของเงิน
ลงทุนที่ลงไปทั้งหมด และผลที่ออกมาไม่มีกาไรจากการดาเนินงาน หรือไม่ขาดทุนจากการดาเนินงานเรียกว่า
จุดคุ้มทุน
รายได้ทั้งหมด = รายจ่ายทั้งหมด
ผู้ประกอบการควรทาความเข้าใจเรื่องต้นทุนก่อนที่จะศึกษาจุดคุ้มทุน เพราะต้นทุน
เกี่ยวข้องกับการคานวณหาจุดคุ้มทุน โดยทั่วไปต้นทุนจาแนกออกเป็นหลายประเภทตามแต่การนาไปใช้ แต่
ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนควบคุมและตัดสินใจ ได้แก่
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost : FC) เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแน่นอนในช่วงระยะเวลา
หนึ่ง ต้นทุนประเภทนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการขาย ไม่ว่าจะขายได้มากหรือน้อย เช่น ค่าเช่า
เครื่องจักร ค่าเช่าโรงงาน ค่าประกันภัย เป็นต้น
ต้นทุนผันแปร (Variable Cost : VC) เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปตาม
สัดส่วนโดยตรงกับกิจกรรมทางธุรกิจ ต้นทุนประเภทนี้ถ้าไม่ดาเนินการ ต้นทุนนี้ก็ไม่เกิด ทาน้อยเกิดน้อย ทามาก
เกิดมาก
ต้นทุนผสม (Mixed Cost : MC) เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่เป็นสัดส่วน
โดยตรงกับกิจกรรมทางธุรกิจ บางส่วนเป็นต้นทุนคงที่ บางส่วนเป็นต้นทุนผันแปร เช่น การจ่ายผลตอบแทน
ให้กับพนักงาน ซึ่งมีทั้งค่านายหน้าและเงินเดือน เป็นต้น
เมื่อผู้ประกอบการเข้าใจการจาแนกประเภทของต้นทุนแล้ว จากนั้นจึงทาความเข้าใจ
เรื่องการหาจุดคุ้มทุน การหาจุดคุ้มทุนสามารถทาได้อย่างน้อย 2 วิธี คือ วิธีพืชคณิต และ วิธีการโดยใช้
เส้นกราฟ ดังนี้
4/14
1. การหาจุดคุ้มทุนด้วยวิธีพืชคณิต
อักษรย่อ ความหมาย
P (Price) ราคาขายต่อหน่วย
Q (Quantity) ปริมาณที่ผลิตและจาหน่าย
TR (Total Revenue) รายได้รวม
TC (Total Cost) ต้นทุนรวม
F (Fixed Cost) ต้นทุนคงที่
V (Variable Cost) ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย
π กาไรทั้งหมดจากการดาเนินงาน
ตารางการหาจานวนหน่วยขายที่จุดคุ้มทุน
การหาจานวนหน่วยขายที่จุดคุ้มทุน สามารถคานวณได้ดังนี้
กาไร (π) = รายได้ (TR) – ต้นทุนทั้งหมด (TC)
ณ จุดคุ้มทุน = 0, = รายได้ (TR) = ต้นทุนทั้งหมด (TC)
รายได้ = ต้นทุนคงที่ + ต้นทุนแปรผันทั้งหมด
PxQ = F + (V x Q)
(P x Q) - (V x Q) = F
(P - V) Q = F
Q = F/(P-V)
จานวนการขายที่จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่ (หน่วย)/ กาไรส่วนเกินต่อหน่วย
จากตาราง ผู้ ป ระกอบการสามารถน ามาค านวณหาจ านวนสิ น ค้ า ที่ ผ ลิ ต และขายที่
จุดคุ้มทุน ยอดขายหรือรายได้ที่จุดคุ้มทุน
ตัวอย่างที่ 1 ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวรายหนึ่งต้องการหาปริมาณสินค้าขั้นต่าที่เขาต้องขาย
ก่อนที่จะได้กาไร เขาสามารถคานวณหาจุดคุ้มทุนของเขาได้โดยอาศัยข้อมูล ดังนี้
ราคาขายต่อหน่วย = 3 บาท
ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย = 2 บาท
ต้นทุนคงที่ = 5,000 บาท
จุดคุ้มทุน Q = F/(P-V)
Q = 5,000/(3-2) = 5,000 หน่วย
เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ธุรกิจของเขามีรายได้คุ้มค่าใช้จ่ายพอดี เขาจะต้องผลิตและขาย
ขนมขบเคี้ยวจานวน 5,000 ชิ้น
วิธีการหายอดขายหรือรายได้ที่จุดคุ้มทุน สามารถคานวณได้ดังนี้
รายได้ที่จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่ (บาท) / อัตราส่วนกาไรส่วนเกินต่อหน่วย
อัตราส่วนกาไรส่วนเกินต่อหน่วย คานวณได้ดังต่อไปนี้
ราคาขาย P บาท มีกาไรส่วนเกิน P-V
ราคาขาย 1 บาท มีกาไรส่วนเกิน (P-V)/P
ยอดขายหรือรายได้ ณ. จุดคุ้มทุน (TR) = F/(P-V)/P บาท
จากตัวอย่างที่ 1 เมื่อผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวเจ้าดังกล่าว ต้องการหายอดขายหรือรายได้ที่
จุดคุ้มทุนว่าจะต้องเป็นเท่าไร เขาสามารถหาได้ ดังนี้
5/14
TR = F/(P-V)/P บาท
= 5,000/(3-2)/3 บาท = 15,000 บาท
เราสามารถตรวจสอบว่ายอดขายดังกล่าวถูกต้องหรือไม่จากงบกาไรขาดทุนดังนี้
ยอดขาย (Sale) 5,000 x 3 = 15,000 บาท
ต้นทุนแปรผัน 5,000x2 = 10,000 บาท
กาไรส่วนเกิน = 5,000 บาท
ต้นทุนคงที่ = 5,000 บาท
เพราะฉะนั้นจะมีกาไรจากการดาเนินงาน = 0 บาท
ซึ่งนั้นก็คือ ไม่เกิดผลกาไรและไม่มีการขาดทุนจากการดาเนินงานดังกล่าว
2. การหาจุดคุ้มทุนโดยใช้วิธีกราฟ
การหาจุดคุ้มทุนโดยวิธีกราฟ
หน่วยที่ผลิต ต้นทุนคงที่ ต้นทุนแปรผัน ต้นทุนรวม รายได้รวม กาไรหรือขาดทุน
หน่วยละ 2 หน่วยละ 3 จากการ
ดาเนินงาน
3,000 5,000 6,000 11,000 9,000 (2,000)
4,000 5,000 8,000 13,000 12,000 (1,000)
5,000 5,000 10,000 15,000 15,000 0
6,000 5,000 12,000 17,000 18,000 1,000
7,000 5,000 14,000 19,000 21,000 2,000
● เห็นว่าจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 5,000 หน่วย เท่ากับ ธุรกิจจะไม่มีกาไรและขาดทุน
● ถ้าผลิตน้อยกว่านี้ ธุรกิจก็จะขาดทุน
เช่น
ปัจจัยที่ใช้ในการคัดเลือกผู้ที่จะไปเป็นผู้บริหารในต่างประเทศ ประกอบด้วย
1. ปัจจัยด้านความสามารถ (Competence Factors) เช่น มีความสามารถเหนือคน
ท้องถิ่น การใช้ภาษาสากลได้
2. ปัจจัยด้านความสามารถในการปรับตัว (Adaptability Factors) เช่น
- อารมณ์และจิตใจ ทัศนคติเชิงบวก
- ปรับตัวให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบริษัทแม่และบริษัทสาขาท้องถิ่น รู้จักอ่อน
ตาม ประนีประนอม
- ปรับตัวให้มีความเอาใจใส่ช่วยให้บุคลากรท้องถิ่นได้เข้าใจบริษัทแม่อย่างถ่องแท้
3. ลักษณะส่วนบุคคล (Personal Characteristics) มีอายุงานที่เหมาะสม เช่น มีอายุ
มากกว่า 30 ปี สุขภาพแข็งแรง การยอมรับของบุคลากรท้องถิ่น
การให้ผลตอบแทนผู้บริหารงานในต่างประเทศ ควรพิจารณาปัจจัยที่ทาให้ค่าตอบแทน
สูงกว่าการทางานในประเทศ ดังนี้ ค่าครองชีพ ค่าตาแหน่งในการทางานที่ต่างประเทศ เงินเพิ่มพิเศษชดเชย
กับสภาวะความลาบากในต่างประเทศ เช่น สภาพอากาศที่ร้อน หรือการขาดผู้ดูแลบ้าน เป็นต้น
2.2.3 การศึกษาความเป็นไปได้ด้านการเงิน เน้นศึกษาวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทน
ธุรกิจว่าคุ้มทุนมากน้อยแค่ไหน รวมถึงการวางแผนด้านการเงิน ทั้งในระยะการลงทุน และระยะดาเนินธุรกิจ
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ถ้าดาเนินโครงการแล้ว จะไม่มีปัญหาทางการเงินใดๆ ในทุกขั้นตอนของธุรกิจ
นอกจากนี้ พิจารณาความสามารถในการชาระหนี้ที่กู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจลงทุน
ของผู้ประกอบการ
ประมาณการในการลงทุน เป็นการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับรายการการลงทุนใน
โครงการหรือธุรกิจ ซึ่งอาจแสดงรายการการลงทุนที่มีมาก่อนหน้าและการลงทุนใหม่ โดยแสดงเป็นลาดับ
รายการ ส่วนใหญ่จะแยกมูลค่าการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนเงินลงทุนจากเจ้าของ (ในกรณีเป็นการร่วม
ลงทุนเงินลงทุนอาจแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนของผู้ประกอบการและส่วนของกองทุนร่วมลงทุน ) และส่วนที่เป็น
เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือในกรณีที่มีการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นๆ เช่น เป็นเงินให้เปล่า เงินกู้ไม่มี
ดอกเบี้ย ก็ให้แสดงรายการแยกไว้ให้ชัดเจน แล้วหาผลรวมเพื่อทราบมูลค่าการลงทุนทั้งหมด นอกจากนี้ยังอาจ
จัดแสดงโครงสร้างทางการเงินของธุรกิจประกอบให้เห็นด้วยในส่วนของจานวนเงิน และสัดส่วน เปอร์เซ็นต์ของ
แหล่งที่มา อันได้แก่ ส่วนของเจ้าของ ส่วนของเงินกู้ยืม และจากแหล่งเงินทุนอื่นๆ (ถ้ามี) และการแสดงมูลค่า
การลงทุนทั้งหมดในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องมือ อุปกรณ์ ทั้งส่วน
การผลิต การบริหารและการขาย รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นในส่วนการผลิต ส่วนการบริหารและการขาย
รวมถึงประมาณการเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ยังควรแสดงถึงแหล่งที่มาและใช้ไปของการลงทุนว่ามาจากส่วน
ทุนของเจ้าของ ส่วนเงินกู้ จากสถาบันการเงิน หรือแหล่งทุนอื่นๆ ในจานวนเท่าใด
ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน ในกรณีที่กิจการที่ได้ดาเนินการมาแล้ว
ให้ระบุถึงทรัพย์สินที่มีอยู่เดิมในกิจการ ซึ่งประกอบด้วย ที่ดิน, อาคาร, โรงงาน, อุปกรณ์หรือเครื่องมือ
ยานพาหนะ หรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ สินค้าสาเร็จรูปคงเหลือ เป็นต้น อาจจะเป็นทรัพย์สินซึ่งเป็น
กรรมสิทธิ์ของผู้ประกอบการเองหรือจากการเช่าก็ตาม โดยควรลงรายละเอียดเกี่ยวกับ ทรัพย์สิน มูลค่า
โดยประมาณของทรัพย์สิ น (ยกเว้นการเช่าให้ ลงในส่ว นค่าใช้จ่ายจากค่าเช่าทรัพย์สินประกอบไว้ด้ว ยใน
รายละเอียด) และภาระผูกพันในกรณีที่ติดภาระจานองกับสถาบันการเงินว่ามีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินใด
และมียอดคงค้างเหลืออยู่เป็นจานวนเท่าใด
นอกจากนี้ ในกรณีที่มีการคิดมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property)
เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร หรือ Goodwill ให้แสดงรายละเอียดวิธีการคิดมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา
9/14
เพิ่มเติมไว้ด้วยให้ชัดเจน (โดยมาตรฐานการประเมินราคาทรัพย์สินทางปัญญาจะมีการประเมินโดยวิธีการ 3
ประเภท คือ 1. วิธีราคาต้นทุน (Cost Approach) 2. วิธีรายได้ (Income Approach) และ 3. วิธีราคาตลาด
(Market Approach) แต่ทั้งนี้เนื่องจากในประเทศไทยราคาตลาดเปรียบเทียบเกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา
ยังไม่สามารถหาเปรียบเทียบได้โดยตรง ทาให้วิธีดังกล่าวจึงยังไม่เป็นที่ยอมรับนักเมื่อเปรียบเทียบกับการ
ประเมินราคาทรัพย์สินแบบอื่นๆ โดยในส่วนวิธีที่ 2 คือการคานวณจากกระแสรายได้ที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินทาง
ปัญญาดังกล่าวตลอดช่วงเวลา ยังมีความคลุมเครือในเรื่องของความชัดเจนของตลาด หรือความสม่าเสมอของ
กระแสรายได้และช่วงเวลาที่ใช้ในการคานวณ รวมถึงการกาหนดอัตรากระแสเงินสด (Discount Rate) ในการ
คานวณหาผลรวมมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่เป็นตัวกาหนดมูลค่า ส่วนวิธีที่ 1 อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่ชัดเจน
หรือมีมูลค่าต่ากว่าที่ควรจะเป็น แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีใดควรแสดงรายละเอียดประกอบให้ชัดเจน
สมมติฐานทางการเงิน เป็นการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสมมติฐานต่างๆ ที่กาหนด
ขึ้น เช่น การเพิ่มขึ้นของลูกค้า การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการ การเพิ่มขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงของต้นทุน
การบริการ เป็นต้น โดยควรจะมีความเป็นไปได้จริง ซึ่งอาจกาหนดขึ้นเองหรืออ้างอิงจากข้อมูลในอุตสาหกรรม
เดียวกันก็ได้ การแสดงสมมติฐานทางการเงินอาจแสดงรายละเอียดการเปลี่ ยนแปลง ตามรายละเอียดในแผนแต่
ละส่วนโดยแสดงแยกเป็นทีละรายการหรือคิดเป็นรายการรวมก็ได้ โดยการลงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงอาจ
แสดงเป็นประมาณการตัวเลขโดยตรง หรือแสดงเป็นการเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นเปอร์เซ็นต์เปลี่ยนแปลงก็ได้
ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของจานวนลูกค้า การเพิ่มขึ้นของรายได้ หรือการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการบริการ เป็นต้น
นโยบายทางการเงิน เป็นนโยบายการดาเนินการทางด้านการเงินของธุรกิจ ในการ
กาหนดถึงที่มาของรายได้ และรายจ่าย การตลาด และการบริหารจัดการของธุรกิจ ซึ่งทีมบริหารเป็นผู้กาหนด
ขึ้น การแสดงนโยบายทางการเงินจะพิจารณาจากข้อกาหนดต่างๆ ตามรายละเอียดในแผนแต่ละส่วน โดย
อาจจะแสดงแยกเป็นทีละรายการหรือคิดเป็นรายการรวมดังตัวอย่างข้างต้นก็ได้ โดยการลงรายละเอียดการ
แสดงควรจะเป็นประมาณการตัวเลขโดยตรง เช่น หน่วย, บาท, วัน, เดือน หรือ เปอร์เซ็นต์ ให้ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น การขายหรือจัดจาหน่ายด้วย เงินสด / มัดจา / เครดิตการค้าการซื้อ-การขาย การกาหนดรอบเวลา
เครดิตการขาย (ลูกหนี้การค้า) การกาหนดรอบเวลาเครดิตการซื้อ (เจ้าหนี้การค้า) การตั้งสารองเงินสดในมือ
หรือเงินสดในธนาคาร เป็นต้น
ประมาณการในการจาหน่ายสินค้ารายเดือน เป็นการแสดงถึงประมาณการเกี่ยวกับ
รายได้จากการจาหน่ายสินค้า โดยจัดทาเป็นรายเดือน เพื่อพิจารณาว่าในรอบ 1 ปี หรือ 12 เดือน มีระดับ
รายได้ในแต่ละเดือนเป็นมูลค่าเท่าใด เพื่อรวมกันเป็นประมาณการรายได้ต่อปี การจัดทาประมาณการ ในการ
ขายสินค้ารายเดือนจะเหมาะสาหรับในกรณีที่รายได้ของกิจการในรอบปีไม่สม่าเสมอ หรือมียอดขายสินค้าในแต่
ละเดือนไม่เท่ากัน หรือเป็นกิจการตั้งใหม่ที่ในช่วงแรกของกิจการยังไม่มีรายได้เข้ามาในธุรกิจ โดยในกรณีที่
รายได้จากการจาหน่ายสินค้ามีระดับสม่าเสมอตลอดทั้งปี อาจจัดทาเฉพาะประมาณการรายปีก็ได้ โดย
รายละเอียดในส่วนนี้ โดยทั่วไปจะประกอบด้วย จานวนลูกค้า ราคาค่าสินค้า และรายได้ในแต่ละเดือน และกรณี
ที่เป็นการจาหน่ายสินค้าโดยให้เครดิต การค้าก็ให้แสดงประมาณการลูกหนี้การค้าประกอบไว้ด้วย รวมถึงเงินสด
รับจริงจากการจาหน่ายสินค้า
ประมาณการรายได้จากการจาหน่ายสินค้า เป็นการแสดงถึงการกาหนดโครงสร้างของ
รายได้จากการจาหน่ายสินค้า โดยที่มาจะมีการกาหนดจากแผนการตลาด แผนการขาย ว่าจะสามารถให้บริการ
และมีจานวนลูกค้าที่จะใช้บริการในปริมาณเท่าใด และการใช้ข้อมูลจากการประมาณการในการบริการรายเดือน
การแสดงรายได้จากการขายสินค้าโดยตรงจะมาจาก
รายได้ (I) = จานวนหน่วยของการให้บริการ (Q) x ราคาขายต่อหน่วย (P)
10/14
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขาย เป็นการแสดงรายการค่าใช้จ่ายที่
เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการและการขายสินค้าเท่านั้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับต้นทุนสินค้า ที่ซื้อมา
โดยพิจารณาว่าไม่ว่าจะมีการขายสินค้าหรือไม่ ก็ต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เช่น เงินเดือนกรรมการ ผู้จัดการ
ค่าใช้จ่ายสานักงาน เป็นต้น โดยอาจมีการแสดงรายการเป็นรายเดือน แล้วนามารวมเป็นค่าใช้จ่ายรวมต่อปีในปี
ที่ 1 แล้วปรับเพิ่มเป็นสัดส่วน หรือเป็นเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นในแต่ละรายการหรือทุกๆ รายการของต้นทุนค่าใช้จ่าย
ส่วนการบริหาร และการขายในปีถัดไปก็ได้ โดยส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะสามารถแบ่ง
รายละเอียดออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามรายได้
จากการบริการ เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าสานักงาน เป็นต้น และส่วนที่เป็นต้นทุนแปรผัน (Variable Cost)
ซึ่งจะแปรผันตามรายได้จากการขายสินค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากการกาหนดของฝ่ายบริหาร เช่น ค่า
นายหน้าจากการขาย หรือประมาณค่าประชาสัมพันธ์ซึ่งฝ่ายบริหารกาหนดตั้งงบประมาณไว้ที่ 3% ของยอด
รายได้จากค่าบริการ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังต้องรวมค่าดอกเบี้ยจ่าย (ในกรณีมีการกู้เงินให้คิดเฉพาะค่าดอกเบี้ยจ่ายที่
เกิดขึ้นเท่านั้นมิใช่เงิน ชาระค่างวดซึ่งจะรวมการชาระคืนในส่วนดอกเบี้ยและเงินต้น) และค่าภาษีเงินได้นิติบุคคล
ค่าเสื่อมราคาของส่วนอาคาร สานักงาน อุปกรณ์สานักงาน เครื่องมือเครื่องใช้ ของตกแต่ง ยานพาหนะ
ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (Amortization) ในส่วนของสินทรัพย์จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) เช่น ค่านิยม
เครื่องหมายการค้า เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขาย และบริหารเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและ
บริหารด้วย
ประมาณการงบกาไรขาดทุน เป็นงบการเงินแสดงผลการดาเนินการของกิจการในรอบ
ระยะเวลาหนึ่งซึ่งมักกาหนดเป็นรายปีหรืออาจจัดทาเป็นรายเดือนก็ได้ โดยจะมีองค์ประกอบหลักในรายการซึ่ง
ประกอบด้วยงบการเงินที่แสดงผลการดาเนินงานของธุรกิจ ตลอดงวดระยะเวลาบัญชีแต่โดยทั่วไปจะกาหนด
รอบระยะเวลา 1 ปี โดยจะประกอบด้วย 3 รายการหลัก คือ ตัวเลขแสดงยอดขายหรือรายได้ ตัวเลขแสดง
ค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือต้นทุน ผลต่างของตัวเลข จะเป็นผลกาไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
การแสดงงบกาไรขาดทุนแบ่งการแสดงออกเป็น 2 ลักษณะคือ งบกาไรขาดทุนแบบชั้น
เดียวหรือแบบหลายชั้น ซึ่งสามารถเลือกวิธีการแสดงแบบใดก็ได้ แต่การแสดงแบบหลายชั้ นจะแสดงรายการให้
เห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของผลกาไรขาดทุนได้ชัดเจนกว่า และอาจเพิ่มเติมในส่วนของกาไรต่อหุ้น
และมูลค่าทางบัญชี (Book Value) ประกอบด้วยก็ได้
ประมาณการงบกระแสเงินสด เป็นการแสดงงบกระแสเงินสดตามมาตรฐานทางการ
บัญชี ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 วิธี คือวิธีทางตรงและวิธีทางอ้อม (วิธีทางอ้อมเป็นวิธีที่มีผู้นิยมใช้มากกว่าโดยเฉพาะ
ผู้จัดทาบัญชี โดยเริ่มจากนาผลกาไรสุทธิจากงบกาไรขาดทุนมาปรับกระทบค่าเพื่อหารายการเทียบเท่าเงินสด
ของกระแสเงินสดจากกิจกรรมดาเนินงาน ส่วนวิธีทางตรงจะเริ่มจากเงินสดรับ จ่ายในแต่ละกิจกรรมเพื่อหา
กระแสเงินสดจากกิจกรรมดาเนินงาน ซึ่งจะเหมาะสมกับการวางแผนทางการเงิน ) แต่อย่างไรก็ตามทั้ง 2 วิธี
ตามมาตรฐานการแสดงงบกระแสเงินสดจะแบ่งเป็น 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมดาเนินงาน, กิจกรรมลงทุน และ
กิจกรรมจัดหาเงิน ซึ่งทั้ง 2 วิธี หากมีการคานวณที่ถูกต้องจะได้ผ ลลัพธ์ในการคานวณที่เท่ากัน ในการแสดงงบ
กระแสเงินสดอาจมีการจัดทาเป็นงบกระแสเงินสดรายเดือนประกอบด้วยก็ได้ เพื่อพิจารณาว่าในช่วงเดือนใดที่
กระแสเงินสดติดลบจะต้องมีการกู้ยืมเงินระยะสั้น (O/D) จากสถาบันการเงิน โดยอาจประมาณการไว้ในปีแรก
ของการดาเนินการก็ได้ แล้วปรับเพิ่มลดหรือเปลี่ยนแปลงมูลค่าในปีถัดไป
ประมาณการงบดุล เป็นงบการเงินที่แสดงฐานะทางการเงินของธุรกิจ ภาระผูกพันใน
การชาระหนี้ และส่วนทุนของบริษัท ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ณ วันสิ้นงวดของรอบระยะเวลา
บัญชี โดยประกอบด้วย 3 รายการ คือ
12/14
บทที่ 3 องค์ประกอบและกระบวนการของการวางแผนธุรกิจ
ในบทนี้ จะได้ศึกษาเกี่ยวกับขั้นตอนการวางแผนกลยุทธ์ ได้แก่ การกาหนดวัตถุประสงค์ด้ว ย
วิสัยทัศน์ และพันธกิจ การกาหนดเป้าหมาย การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ด้วย SWOT Analysis, TOWS
Matrix และ Five Forces Model การกาหนดกลยุทธ์ และการนากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
กลยุทธ์เป็นแนวทางหรือวิธีการที่จะนาคุณค่าของสินค้าและบริการไปยังลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้
องค์กรบรรลุผลสาเร็จตามที่ต้องการ ซึ่งอาจเป็นกาไรที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งการตลาดที่มากขึ้น ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น
หรือวิสัยทัศน์ที่องค์กรตั้งไว้
การวางแผนกลยุทธ์นั้นมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความสาคัญและประโยชน์ของการ
วางแผนกลยุทธ์ และเพื่อให้ผู้ประกอบการมีความรู้และสามารถวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนได้
การวางแผนกลยุทธ์ สามารถแบ่งขั้นตอนได้ดังนี้
1. การกาหนดวัตถุประสงค์
2. การกาหนดเป้าหมาย
3. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
4. การกาหนดกลยุทธ์
5. การนากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
3.1 กาหนดวัตถุประสงค์ โดยวัตถุประสงค์ที่กาหนดขึ้นนั้น ควรมีความชัดเจนในธุรกิจที่ดาเนิ นอยู่
และต้องคานึงถึงผู้บริโภคเป็นสาคัญ สิ่งนี้เรียกว่า พันธกิจ ซึ่งจะเป็นตัวกาหนดทิศทาง สิ่งที่องค์กรต้องการ
อยากจะบรรลุผลสาเร็จ หรือที่เรียกว่า วิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์ หรือ Vision หมายถึง การอธิบายถึงภาพอนาคตขององค์กร ซึ่งผู้ประกอบการ
ต้องการไปให้ถึง ออกมาเป็นข้อความที่ชัดเจน เพื่อกาหนดทิศทางที่องค์กรต้องการจะมุ่งไป
สาหรับแนวทางในการกาหนดวิสัยทัศน์ที่ดีนั้น คือ
- สามารถสร้างให้เป็นรูปธรรม
- เป็นที่ต้องการของทุกคนที่เกี่ยวข้อง
- บรรลุเป้าหมายด้วยทรัพยากรที่มีอยู่
- มีจุดมุ่งเน้นที่ชัดเจน
- มีความยืดหยุ่น
- สามารถใช้สื่อสารกับทุกคนในองค์กรได้
พันธกิจ หรือ Mission หมายถึง วิธีการไปสู่วิสัยทัศน์ที่องค์กรได้กาหนดไว้ สามารถแสดงถึง
สินค้าหรือบริการ ลูกค้า และตลาดขององค์กร นอกจากนี้หากธุรกิจมีขนาดใหญ่หรือซับซ้อนขึ้น อาจจะมีการ
เพิ่มแนวทางการปฏิบัติอันเป็นเลิศ หรือความคานึงถึงพนักงานและผู้เกี่ยวข้องกับพันธกิจ พันธกิจของแต่ละ
องค์กรจึงมีความแตกต่างกันไป เปรียบเสมือนเอกลักษณ์ที่ทาให้แตกต่างไปจากองค์กรอื่นๆ
พันธกิจที่ดีควรแสดงถึง
- คุณค่าซึ่งลูกค้าพอใจ
- เอกลักษณ์ที่แตกต่าง
- กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ
- ผลิตภัณฑ์ซึ่งผู้บริโภคต้องการ
- ปัจจัยซึ่งธุรกิจให้ความสาคัญ
- ค่านิยม ความเชื่อ และปรัชญา
2/8
ตัวอย่างคาถามที่ใช้วิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค ได้แก่
- ภาวะเศรษฐกิจของประเทศและคู่ค้าต่างๆ อยู่ในระยะใด
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านภาษีของภาครัฐ มีผลกระทบต่อองค์กรอย่างไร
- นโยบายด้ านการเงิน อั ตราดอกเบี้ ย และอั ตราแลกเปลี่ ย นเงิน มี ผ ลต่อ องค์ก ร
อย่างไร
- ความเปลี่ยนแปลงด้านค่านิยมและทัศนคติของผู้บริโภค มีผลต่อองค์กรอย่างไร
- การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่างๆ มีผลกระทบต่อองค์กรอย่างไร
- การประเมินปัจจัยแห่งการแข่งขัน ได้แก่ การประเมินคู่แข่งรายใหม่ คู่แข่งใน
ปัจจุบัน ลูกค้า ผู้ขายปัจจัยการผลิต และสินค้าทดแทน
ตัวอย่างการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้วย SWOT Analysis
จุดแข็งและจุดอ่อน เป็นปัจจัยภายในที่ผู้ประกอบการควบคุมได้ ซึ่งแบ่ง เป็นด้านต่างๆ
ดังนี้
ด้านการตลาด เช่น การให้ความสาคัญกับลูกค้า ความต้องการของลูกค้า การวิจัยและ
พัฒนาคุณลักษณะและคุณภาพของสินค้า การตั้งราคา การจัดจาหน่าย การสื่อสารข้อมูลและการประชาสัมพันธ์
สถานที่ตั้ง การรับรองระบบคุณภาพ
ด้ า นบุค ลากร เช่ น ทักษะของผู้ บ ริห าร ทักษะของพนักงาน ผลิ ต ภาพของพนักงาน
จานวนพนักงาน
ด้ า นการเงิ น เช่ น การจั ด หาเงิ น ทุ น กระแสเงิ น สด การบริ ห ารเงิ น ทุ น สิ น ทรั พ ย์
ความสามารถในการทากาไร
ด้านการผลิต เช่น เครื่องจักร โรงงาน อุปกรณ์ กระบวนการผลิต กาลังการผลิต การ
ควบคุมการผลิต การวิจัยและพัฒนา การจัดซื้อ การจัดหาวัตถุดิบ
โอกาสและอุปสรรค เป็นปัจจัยและผลกระทบภายนอกที่ผู้ ส่ งออกควบคุมไม่ได้ ซึ่ง
แบ่งเป็นด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านเศรษฐกิจ เช่น อุปสงค์รวม อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน ระดับ
ความเชื่อมั่น ระดับค่าครองชีพ
ด้านลักษณะของลูกค้า เช่น การเปลี่ยนตลาดเป้าหมาย ตลาดเป้าหมาย วงจรชีวิตของ
การเปลี่ยนแปลง
ด้านการแข่งขัน เช่น กลยุทธ์ของคู่แข่งขัน สินค้า ราคา ที่ตั้ง และการส่งเสริมการขาย
คู่แข่งที่สาคัญทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ด้านผู้ขาย เช่น การรวมตัว การผูกขาด ระดับราคา สถานที่ตั้ง แหล่งการจัดจาหน่าย
ด้านเทคโนโลยี เช่น สินค้าบริการใหม่ กระบวนการใหม่ ความล้าสมัย เทคโนโลยีใหม่
ด้านการเมือง เช่น สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต นโยบายของรัฐในเรื่องของภาษี
การส่งออก การกีดกันทางการค้า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา สหภาพแรงงาน
3.3.2 TOWS Matrix เป็นวิธีที่ใช้การจับคู่ระหว่างจุดแข็งกับโอกาสหรืออุปสรรค และ
จุดอ่อนกับโอกาสหรืออุปสรรค หรือ Internal Factors Environment Matrix และ External Factors
Environment Matrix ซึ่งมีความซับซ้อนกว่า SWOT Analysis เพื่อประเมินความน่าสนใจ หรือความดึงดูดของ
อุตสาหกรรมกับสภาพความแข็งแรงขององค์กร
ตัวอย่างการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้วย TOWS Matrix ของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง
4/8
2) ความรุนแรงของการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม การแข่งขันที่รุนแรงไม่เป็นผลดีต่อ
ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรม เพราะนั่นหมายถึงส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง นอกจากนี้การแข่งกันลดราคา ก็จะ
นาไปสู่การลดลงของ Margin และผลกาไรที่จะต้องหดหายไปในที่สุด ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกาหนดความรุนแรงของ
การแข่งขันนั้น มีดังต่อไปนี้
- ความแตกต่างทางพื้นฐานของการแข่งขัน
- มูลค่าของต้นทุนคงที่
- จานวนคูแ่ ข่งขันในอุตสาหกรรม
- อัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม
- ความเหมือนหรือความต่างของสินค้าและบริการ
- ข้อจากัดในการออกจากอุตสาหกรรม
ความแตกต่างทางพื้นฐานของการแข่งขัน อุตสาหกรรมบางประเภท อาจต้องใช้
กลยุทธ์ในการแข่งขันที่หลากหลาย เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ นอกจากจะต้องแข่งขันด้านราคากับจีนแล้ว ยังต้อง
แข่งด้านคุณภาพกับยุโรป และยังต้องแข่งกันเองภายในประเทศในด้านการออกแบบ ถือเป็นปัจจัยลบของธุรกิจ
เพราะทาให้ผู้ประกอบการต้องระวังรอบด้าน และวางกลยุทธ์ยากขึ้น
มูลค่าของต้นทุนคงที่ ในอุตสาหกรรมซึ่งมีต้นทุนคงที่สูง จาเป็นต้องคงอัตรากาลัง
การผลิตไว้สูงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยคุ้มค่าที่จะเดินสายพานการผลิต แต่จะมีความเสี่ยงในการ
แข่งขันมาก เพราะหาก Demand ในตลาดลดลง แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถลด Supply ลงมาให้เท่ากับ
Demand ได้ ก็จะเกิดภาวะ Oversupply ได้ง่าย
จานวนคู่แข่งขันในอุตสาหกรรม หากมีผู้ประกอบการจานวนมาก ย่อมส่งผลให้การ
แข่งขันมีความรุนแรง แต่ในบางกรณี แม้จะมีคู่แข่งน้อย แต่ผู้ประกอบการแต่ละรายมีส่วนแบ่งการตลาด
ใกล้เคียงกัน ก็อาจส่งผลให้การแข่งขันมีความรุนแรงได้เช่นกัน
อัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมใด ยิ่งมีอัตราการเติบโตสูง ก็
ยิ่งดูดซับความรุนแรงในการแข่งขันไว้เท่านั้น
ความเหมือนหรือความต่างของสินค้าและบริการ หากผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกัน
มาก ความรุนแรงของการแข่งขันจะน้อยลง เพราะจะเกิด Brand Loyalty ขึ้น
ข้อจากัดในการออกจากอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยซึ่งครอบคลุมทั้งด้านกลยุทธ์
เศรษฐศาสตร์ และจิตวิทยา หากการออกจากธุรกิจของอุตสาหกรรมใดทาได้ยาก ก็จะทาให้มีการแข่งขันสูงขึ้น
3) ความเสี่ยงจากสินค้าทดแทน ปัจจัยที่ทาให้ผู้ประกอบการคิดค้นผลิตภัณฑ์อื่นขึ้นมา
ทดแทน ได้แก่ ต้นทุนที่ต่ากว่า คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สูงกว่า ผลกาไรที่มากกว่า สามารถตอบสนองความ
ต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่า ซึ่งหากผู้บริโภคตอบรับ ก็จะทาให้ผู้ผลิตอยู่ในฐานะที่สามารถกาหนดราคา
ก่อให้เกิดการแข่งขันในด้านราคา หรือการแข่งขันในด้านการปรับปรุงคุณภาพ
4) อานาจต่อรองของผู้ซื้อ ผู้บริโภคสามารถสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตต้องลดราคาให้ถูก
ลง หรือปรับคุณภาพให้ดีขึ้น ด้วยปัจจัยดังนี้
- เมื่อผู้บริโภคเริ่มให้ความสาคัญกับการจัดการต้นทุนของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
- เมื่อผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่มีความแตกต่าง สามารถซื้อจากผู้ผลิตรายใดก็ได้
- เมือ่ ต้นทุนในการปรับเปลี่ยนไปใช้สินค้าอื่นต่า
- เมื่อผู้บริโภคมีความอ่อนไหวด้านราคา
- เมื่อผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนไปเป็นผู้ผลิตเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้ประกอบการควรพัฒนาผลิตภัณฑ์และข้อเสนอที่เหนือชั้น เพื่อให้ผู้บริโภคปฏิเสธได้ยาก
7/8
1. Structure
2. Strategy
3. Systems
4. Staff
5. Skills
6. Style
7. Shared Values
Structure โครงสร้างขององค์กร ตั้งขึ้นตามหน้าที่ของงาน โดยรับบุคลากรเข้ามาทางาน
ในฝ่ายต่างๆ การจัดโครงสร้างองค์กรที่ดี จะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ทาให้บุคลากรทราบถึง
ขอบเขตความรั บ ผิ ดชอบ และที่ส าคัญคือ ช่ว ยให้ ส ามารถบริห ารจัดการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด
Strategy กลยุทธ์ขององค์กร เป็นกิจกรรมหรือการดาเนินงานต่างๆ ที่ได้วางแผนไว้เพื่อให้
บรรลุ เป้ าหมายที่กาหนด และเหมาะสมกับการเปลี่ ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การบริหารเชิงกลยุทธ์ มี
ความสาคัญเป็ นอย่างยิ่ ง เนื่ องจากช่วยให้ สามารถกาหนดและพัฒ นาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และเป็น
แนวทางให้บุคลากรทราบว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใด จึงจะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสาเร็จ
Systems การจัดระบบการทางาน จะช่วยส่งเสริมให้การทางานของบุคลากรเป็นไปตาม
กลยุทธ์ที่ได้วางไว้ เช่น ระบบบัญชีและการเงิน ระบบการติดตามและประเมินผล ระบบพัสดุ ระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศ เป็นต้น
Staff การวางแผนทรัพยากรบุคคล เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากร
มนุษย์ โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากร ควรมีการวิเคราะห์บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์กร เป็นสิ่งกาหนด
ทิศทางที่องค์กรจะดาเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกาหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวาง
บุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
Skills ทักษะในการปฏิบัติงาน สามารถแยกออกเป็น 2 ด้านคือ ทักษะด้านอาชีพ เป็น
ทักษะที่มีพื้นฐานจากการศึกษาหรืออบรม ทาให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่
รับผิดชอบ เช่น ด้านการเงิน ส่วน ทักษะความถนัด เป็นความสามารถที่ทาให้บุคคลนั้นโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผล
ให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว โดยองค์กรต้องมุ่งเน้นทั้ง 2 ด้านควบคู่กันไป
Style ผู้บริหารมีบทบาทที่สาคัญต่อความสาเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร แบบแผนในการ
ปฏิบัติงานของผู้บริหาร เป็นองค์ประกอบที่สาคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร ผู้บริหารจะประสบ
ความสาเร็จ ต้องสามารถวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศ และพฤติกรรม
ทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้นในองค์กร
Shared Values ความเชื่อและค่านิยมร่วมในองค์กรเป็นรากฐาน ในการกาหนดทิศทาง
หรือวัฒนธรรมขององค์กร โดยทั่วไปแล้วจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้บริหาร ซึ่งต่อมา
ความเชื่อเหล่านั้นจะถูกถ่ายทอดต่อไปภายในองค์กร และเมื่อถูกยอมรับโดยทั่วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
1/12
บทที่ 4 กลยุทธ์และการวางแผนการตลาดเพื่อการส่งออก
ในบทนี้จะได้ศึกษาเกี่ยวกับ กลยุทธ์และการวางแผนทางการตลาดด้านต่างๆ เช่น กลยุทธ์เกี่ยวกับ
ผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การกาหนดราคา กลยุทธ์เกี่ยวกับช่องทางจาหน่าย และกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด
หลังจากสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายและกาหนดกลยุทธ์แล้ว ขั้นตอนถัดมาคือ ใช้เครื่องมือทาง
การตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค กลยุทธ์นั้นก็คือ 4Ps ซึ่งได้เคยกล่าวมาแล้วในบทที่ 1
ความเข้าใจเกี่ยวกับ 4Ps และความสามารถในการผสมส่วนประกอบเหล่านี้เข้าด้ว ยกัน เป็นหัวใจสาคัญในการ
วางแผนการตลาด ซึ่งผู้ประกอบการควรมีมุมมองที่กว้างขวางและสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
ส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่
- กลยุทธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
- กลยุทธ์การกาหนดราคา
- กลยุทธ์เกี่ยวกับช่องทางจาหน่าย
- กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด
4.1 กลยุทธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แบ่งได้เป็น
- ประเภทของผลิตภัณฑ์
- องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์
- กลยุทธ์การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
- การเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
4.1.1 ประเภทของผลิตภัณฑ์ Philip Kotler ให้นิยามว่าผลิตภัณฑ์ คือสิ่งใดๆ ที่สามารถ
เสนอสู่ตลาด รวมถึงบรรจุภัณฑ์ สีสัน ราคา คุณภาพ ตราสินค้า บริการ และชื่อเสียงของผู้ขาย เพื่อดึงดูดความ
สนใจของผู้บริโภคให้เกิดความต้องการ ครอบครอง ใช้ หรือบริโภค ผลิตภัณฑ์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท
ใหญ่ๆ ดังนี้
- แบ่งตามลักษณะทางกายภาพ
- แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
- แบ่งตามพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
แบ่งตามลักษณะทางกายภาพ
1. สินค้าทนทาน อายุใช้งานยาว ราคาสูง ประกันคุณภาพ และมีบริการหลังการขาย
เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
2. สินค้าไม่ทนทาน ใช้งานชั่วคราว เช่น แบตเตอรี่
3. บริการต่างๆ
แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
1. สินค้าอุปโภค บริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนต่างๆ
2. สินค้าอุตสาหกรรม เช่น วัตถุดิบ เครื่องจักร
แบ่งตามพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
1. สิ น ค้ า สะดวกซื้ อ คื อ สิ น ค้ า ซึ่ ง ผู้ บ ริ โ ภคหาซื้ อ บ่ อ ยครั้ ง และทั น ที ทั น ใด ใช้ เ วลา
ตัดสินใจน้อย เช่น ขนม เครื่องดื่ม หนังสือพิมพ์
2. สิน ค้าเลื อกซื้อ คือสิ นค้าที่ผู้บริโ ภคต้องใช้เวลาเปรียบเทียบก่อนซื้อ เช่น เสื้ อผ้ า
กระเป๋า เฟอร์นิเจอร์
2/12
4.2 กลยุทธ์การกาหนดราคา
ราคาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของส่ว นผสมทางการตลาด ซึ่งผู้ผลิตมีความจาเป็นที่จะต้องทา
ความเข้าใจ ราคาหมายถึงจานวนเงินที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ การตั้งราคาจะต้องคานึงถึง
คุณค่าของผลิตภัณฑ์ในมุมมองที่ลูกค้ารับทราบได้ ราคาเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะส่งเสริมผลิตภัณฑ์ ราคา
เป็นตัวแทนของภาพลักษณ์ซึ่งส่งผลต่อความต้องการในตัวผลิตภัณฑ์ ช่วยให้สามารถระบุกลุ่มตลาดเป้าหมาย
ดังนั้น กลยุทธ์ด้านราคาจึงควรที่จะสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของธุรกิจ
วัตถุประสงค์ของการวางกลยุทธ์ด้านราคามีดังนี้
- เพื่อให้ได้รับส่วนแบ่งการตลาดที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าจาเพาะ ที่ผู้จัดจาหน่ายยินดีที่จะลงทุน
ด้านทรัพยากรในการเข้าสู่ตลาด
- เพื่อให้ได้รั บความไว้ว างใจจากผู้บริโภค เมื่อมีการลดราคาของผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องทาให้
ผู้บริโภครับทราบได้อย่างชัดเจน
- เพื่อดึงดูดผู้บริโภคจากคู่แข่งด้วยข้อเสนอด้านราคา
อย่างไรก็ตาม การวางกลยุทธ์ควรคานึงถึงปัจจัยอื่นด้วย เช่น ปัจจัยด้านการเงิน ปัจจัยด้านการ
บริหาร เป็นต้น
กลยุทธ์ด้านราคา ประกอบด้วย
- กลยุทธ์การจับคู่กับคู่แข่ง
- กลยุทธ์การตั้งราคาสูงสาหรับผลิตภัณฑ์ใหม่
- กลยุทธ์การตั้งราคาแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย
- กลยุทธ์การตั้งราคาตามสายของผลิตภัณฑ์
4.2.1 กลยุทธ์การจับคู่กับคู่แข่ง เป็นวิธีที่ใช้ราคาของคู่แข่งเป็นตัวเปรียบเทียบ เพื่อการตั้ง
ราคาขายของสินค้าในตลาดที่มีความอิ่มตัว โดยต้องมั่นใจว่าสามารถตั้งราคาเท่ากับ หรือถูกกว่าคู่แข่ง และต้อง
ครอบคลุมต้นทุนผันแปร ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดีพอ และสามารถขายในราคาเดียวกันกับคู่แข่งได้
4.2.1 กลยุทธ์การตั้งราคาสูงสาหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ กลยุทธ์นี้จะถูกใช้เมื่อไม่มีคู่แข่ง หรือมี
คู่แข่งน้อยราย เนื่องจากผู้บริโภคไม่มีทางเลือก เมื่อคู่แข่งขันเริ่มเข้าสู่ตลาด อาจจะต้องปรับลดราคาเพื่อ
ความสามารถในการแข่งขันต่อไป การเลือกใช้กลยุทธ์นี้ต้องไม่นานจนเกินไป คุณภาพของผลิตภัณฑ์ต้องดีจริง
และมอบคุณค่าที่เหมาะสมกับราคาให้ผู้บริโภค
4.2.3 กลยุทธ์การตั้งราคาแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย เป็นการตั้งราคาที่เหมาะสม เพียงพอที่จะ
ดึงดูด และรักษาฐานลูกค้าหลักที่มีขนาดใหญ่ผู้ประกอบการไม่จาเป็นต้องตั้งราคาต่าเสมอไป แต่ควรเป็นราคาที่
เหมาะสม โดยเปรียบเทียบค่านิยมของผลิตภัณฑ์ ดังนั้น การทาความเข้าใจผู้บริโภคจึงเป็นสิ่งที่สาคัญที่สุด
4.2.4 กลยุทธ์การตั้งราคาตามสายของผลิตภัณฑ์ เหมาะสมกับธุรกิจที่มีฐานะทางการเงินดี
สามารถนาเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับทุกส่วนของตลาดในแต่ละระดับราคาได้ ซึ่งต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ได้แก่
ความแตกต่างของต้นทุน, คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันในมุมมองของผู้บริโภค และราคาผลิตภัณฑ์
ของคู่แข่งขัน เป็นต้น
ส่วนลด นอกเหนือจากราคาแล้ ว เครื่องมือในการส่งเสริมการขายที่มีผลต่อความถี่ และ
ช่วงเวลาในการซื้อของผู้บริโภค เพราะสามารถส่งผลต่อความรู้สึกที่ผู้บริโภคมีต่อราคาขายของผลิตภัณฑ์ ได้แก่
ส่วนลด กลยุทธ์ด้านราคา อาจรวมถึงส่วนลดแบบมีเงื่อนไข เช่น หากซื้อสินค้ามากกว่า 1 ชิ้น รับส่วนลด 15%
ทาให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อมากขึ้น
เงื่อนไขการขาย คือการใช้ช่วงระยะเครดิต เพื่อมอบส่วนลดให้กับลูกค้า เช่น หากลูกค้าชาระ
เงินตามใบเรียกเก็บในเวลาที่กาหนด จะได้รับส่วนลด มิเช่นนั้นแล้ว จะต้องชาระเต็มจานวน
6/12
- ผลิตและจาหน่ายเอง โดยจาหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรง
- ผลิตและผ่านตัวแทนจาหน่าย มีทั้งตัวแทนที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ
- ผลิตและผ่านตัวแทนจาหน่าย-ร้านค้าปลีก-ผู้บริโภค
4.4 กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด การส่งเสริมการตลาดใช้เพื่อจู งใจและแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับ
ผลิตภัณฑ์ หรือการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ เพื่อสร้างทัศนคติและพฤติกรรมการซื้อ ซึ่งมีความหมาย
เกี่ยวเนื่องกับการขาย ส่วนใหญ่จึงมักเข้าใจผิดว่า การขายเป็นการเปลี่ยนมือโดยพนักงานขายเท่านั้น ความจริง
คือ การใช้พนักงานขายเป็ นเพีย งเครื่องมือหนึ่งของการส่งเสริมการตลาด ซึ่งอาจเลื อกใช้ผ สมกันได้จาก 4
เครื่องมือนี้
- การโฆษณา
- การส่งเสริมการขาย
- การประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่
- การใช้พนักงานขาย
4.4.1 การโฆษณา เป็นการนาเสนอซึ่งความคิด สินค้าหรือบริการ ที่เข้าถึงผู้บริโภคจานวน
มาก โดยไม่อาจเจาะจงตัวผู้บริโภค ส่วนใหญ่ใช้เพื่อจูงใจด้วยข้อมูลและเหตุผล โดยโฆษณาผลิตภัณฑ์ มุ่งที่ตัว
ผลิตภัณฑ์หรือตราสินค้า โฆษณาองค์กรหรือสถาบันมุ่งที่มุมมองเกี่ยวกับองค์กร โฆษณาสาหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็น
ความต้องการพื้นฐาน มักกระตุ้นให้เกิดการซื้อ โฆษณาสาหรับสินค้าเลือกซื้อ มักเน้นย้าที่ตราสินค้า
4.4.2 การส่งเสริมการขาย เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อการจูงใจผู้บริโภคในระยะสั้น เพื่อกระตุ้น
ให้เกิดการทดลอง หรือซื้อสินค้า ได้แก่ การลด แลก แจก แถม
4.4.3 การประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ เป็นกิจกรรมต่างๆ ที่บริษัทจัดทาขึ้น เพื่อการ
ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้สินค้าหรือบริการ
4.4.4 การใช้พนักงานขาย เป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้าระหว่างพนักงานขายกับผู้บริโภค
เพื่อการนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ การตอบคาถาม และการรับคาสั่งซื้อจากลูกค้า
การตลาดทางตรง เป็นการสื่อสารกับผู้บริโภค ผ่านทางสื่อไปรษณีย์หรือสื่ออิเล็กทรอนิก ส์
เช่น โทรศัพท์ โทรสาร อี-เมล์ อินเตอร์เน็ต โดยเจาะจงถึงตัวผู้บริโภค หรือมุ่งหวังการรับทราบ การตอบสนอง
โดยตรงจากผู้บริโภค
เราจะส่งเสริมการขายด้วยวิธีใด ขึ้นอยู่กับ
- ตลาดเป้าหมาย
- วงจรผลิตภัณฑ์
- ทรัพยากรด้านการเงินสาหรับการส่งเสริมการตลาด
- การจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้นั้น นักการตลาดควรรู้ว่า ใครมีอิทธิพลในกระบวนการ
ตัดสินใจซื้อบ้าง
- ความพร้อมของลูกค้าในการใช้จ่าย โดยเริ่มจากการทาให้ผู้บริโภครู้จัก เข้าใจ ชื่นชอบ มีใจ
เอนเอียง และเริ่มผูกพันกับผลิตภัณฑ์ ตราสินค้า หรือบริษัท
- ธรรมชาติของตัวผลิตภัณฑ์เอง เช่น มูลค่าต่อหน่วย ปริมาณที่ทาเพื่อตอบสนองลูกค้าแต่
ละราย
- ความต้องการบริการก่อนและหลังการขาย
กลยุทธ์การดัน ทาได้โดย ให้สมาชิกในช่องทางส่งต่อการส่งเสริมการตลาดไปยังสมาชิกลาดับ
ถัดไป ในที่นี้คือผู้ผลิต ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก และลูกค้า ซึ่งความต้องการจะถูกผลักดันลงไปยังช่องทางการจัด
จาหน่ายตามลาดับ
12/12
กลยุทธ์การดึง ทาได้โดย
1. ผู้ผลิตสร้างความต้องการ ตั้งวัตถุประสงค์สาหรับกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อสมาชิกใน
ช่องทางการจัดจาหน่าย ด้วยกลยุทธ์การดึง
2. สาหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตั้งวัตถุประสงค์กิจกรรมส่งเสริมการขาย ไปยังผู้บริโภค
โดยตรง ทาให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อจากผู้ค้าปลีก
3. ความต้องการที่จะซื้อจากปลายทาง จะดึงให้สมาชิกในช่องทางการจัดจาหน่ายก่อนหน้า
นั้นต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการ
วิธีพิจารณาการตั้งงบประมาณในการส่งเสริมการตลาดมีดังนี้
1. การตั้งเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย โดยพิจารณาจากยอดขายเดิม และประมาณการ
ยอดขายที่จะทาได้ในปีถัดไป
2. พิจารณาจากเงินที่มี ว่าเพียงพอหรือไม่ สาหรับการบรรลุแผนที่วางไว้
3. พิจารณาว่าคู่แข่งใช้งบประมาณเท่าไร โดยดูจากส่วนแบ่งการตลาด
4. พิจารณาจากภารกิจ หรือวัตถุประสงค์การส่งเสริมการตลาด กลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่าง
ผลิตภัณฑ์ ต้นทุน ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า เป็นหนึ่งในวิธีการส่งเสริมการตลาด แบ่งได้เป็น 2 ระดับคือ งาน
แสดงสินค้าระดับชาติ และงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ
การเข้ า ร่ ว มงานแสดงสิ น ค้ า ระดั บ ชาติ ผู้ ป ระกอบการรายใหม่ ค วรเลื อ กงานที่ ดึ ง ดู ด
กลุ่มผู้แทนการค้าระดับนายหน้า ผู้กระจายสินค้า พ่อค้าคนกลาง
การเข้ า ร่ ว มงานแสดงสิ น ค้ า ระดั บ นานาชาติ เป็ น การแนะน าสิ น ค้ า ใหม่ และสามารถ
ประเมินผลตอบรับในตัวสินค้าได้รวดเร็ว ทาให้รู้แนวทางในการปรับเปลี่ยนสินค้าให้เข้ากับแนวโน้มของตลาด