You are on page 1of 60

บทที่ 5

การทดสอบโดยวิ
โ ธีอนุภาคแม่เหล็ก็
(Magnetic Particle Testing : MT)

1
บทนํา
บทนา
วัสดุจําพวกเหล็ก นิเกิล และโคบอล สามารถดูดติดกันได้อย่าง
รุนแรง ถ้้าถูกเหนี่ียวนํําให้
ใ ้เป็นแม่่เหล็็ก วััสดุเหล่่านี้ีเรีียกว่่าเป็ป็นเฟอโรแมก
ฟ โ
เนติก (Ferromagnetic) แตกต่างจากวัสดุจําพวกพาราแมกเนติก
(Paramagnetic) เช่น ออกซิเจนซึ่งจะถูกดูดอย่างอ่อนด้วยสนามแม่เหล็ก
หรือ แม้กระทั่งถููกผลักในสนามแม่เหล็กถ้าเป็นวัสดุุประเภทไดอะแมกเนติก
(Diamagnetic) การทดสอบโดยไม่ทําลายด้วยอนุภาคแม่เหล็กนี้ จะ
ทดสอบได้ในวัสดทีท่เปนเฟอโรแมกเนตกเทานน
ทดสอบไดในวสดุ เป็นเฟอโรแมกเนติกเท่านั้น ไม่ ไมสามารถทดสอบวสดุ
สามารถทดสอบวัสดทีท่ไม ไม่
สามารถเหนี่ยวนําเป็นแม่เหล็กได้ เช่น แก้ว เซรามิค พลาสติก หรือโลหะ
ทวๆไป
ั่ ไป เชน่ อลูมิเนยมี แมกนเซยม ี ี ทองแดง และเหลกกลาสแตนเลสชนด็ ้ ิ
ออสเตไนติก เป็นต้น
2
การทดสอบโดยวธอนุ
การทดสอบโดยวิ ธีอนภาคแม่
ภาคแมเหลกสามารถใชทดสอบรอยความไม
เหล็กสามารถใช้ทดสอบรอยความไม่
ต่อเนื่องที่อยู่บนผิวหน้าที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ อนุภาคของเหล็ก
จะรวมตวกนเหนอรอยความไมตอเนอง
ั ั ื ไ ่ ่ ื่ และแสดงใหเหนตาแหนงและขนาด
ใ ้ ็ ํ ่
โดยประมาณของรอยความไม่ต่อเนื่อง การทดสอบด้วยวิธีนี้สามารถทดสอบ
รอยความไม่ต่อเนื่องที่อยู่ใต้ผิวเล็กน้อยได้ การทดสอบรอยความไม่ต่อเนื่อง
ใต้ ผิ ว ได้ ลึ ก เพี ย งใด ขึ้ น อยูู่ กั บ ขนาดของรอยความไม่ ต่ อ เนื่ อ งเป็ น สํ า คั ญ
รวมทั้งชนิดของกระแสไฟฟ้าและอนุภาคแม่เหล็กด้วย การทดสอบอาจได้ลึก
เพียง 2 -33 มลลเมตร
เพยง มิลลิเมตร หรออาจไดลกจนถง
หรืออาจได้ลึกจนถึง 20 20-30
30 มลลเมตร
มิลลิเมตร ในกรณทพนผว
ในกรณีที่พื้นผิว
ที่จะวางอุปกรณ์มีความเรียบ และ ขนาดของรอยความไม่ต่อเนื่องมีขนาด
ใหญ่ รวมถึ
ใหญ รวมถงการใชไฟฟากระแสตรง
งการใช้ไฟฟ้ากร สตรง (DC) และอนุ ล อนภาค
ภาคแบบแหง
บบ ห้ง

3
ข้อได้เปรียบของการทดสอบ
1. ความไวในการทดสอบสูง
2. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดสอบน้อย ไม่ต้องรอเวลาแทรกซึมเหมือนการทดสอบด้วย
สารแทรกซึม
3. วิธีการทดสอบไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการทดสอบ
4. ต้นทุนของเครื่องมือมีราคาต่่ํา

ข้อเสียเปรียบของการทดสอบ
1. การทดสอบจะได้ผลดี สนามแม่เหล็กที่ป้อนให้กับวัตถุต้องอยู่ในทิศทางที่ตั้งฉากกับ
รอยความไม่
ไ ต่อเนื่อง ดังนั้นการทดสอบด้้วยวิธีน้ีจะต้้องทดสอบในหลายทิ
ใ ศทางหรือ
อย่างน้อยที่สุดคือ 2 ทิศทาง
2. ในชิ
ใ ้นงานทีี่ใหญ่ ปริมาณของกระแสไฟฟ้ไ ้าที่ีจะต้้องป้้อนให้
ใ ้กับชิ้นงานเพืื่อทําให้
ใ ้เกิด
สนามแม่เหล็กจะมีขนาดสูง อาจทําให้เกิดความเสียหายแก่ชิ้นงานได้
3. ชิน้ งานบางชิน้ ต้อ้ งการคลายอํานาจแม่เหล็็กหลัักการทดสอบ
4
ทฤษฎี
ฤ ฎการทดสอบโดยวิธีอนุภุ าคแม่เหล็ก
ทฤษฎีของสนามแม่เหล็ก
วัสดุที่สามารถเหนี่ยวนําทําให้เกิดสนามแม่เหล็กได้ ประกอบด้วย
อะตอมทีี่อยู่รวมกัันเป็็นกลุ่มซึ่ึงเรีียกว่่า โดเมนของแม่
โ ่เหล็็ก (Magnetic
domain) โดเมนเหล่านี้จะมีขั้วบวกและลบอยู่ในทิศตรงกันข้าม วัสดุก่อน
ถูกเหนี่ยวนําให้เป็นแม่เหล็กจะมีการเรียงตัวของโดเมนอย่างไม่เป็นระเบียบ
ทําให้เกิดการหักล้างกันและไม่ส่งผลการเป็นอํานาจแม่เหล็ก ดังแสดงในรููป
ที่ 5.1 a เมื่อวัสดุนั้นถูกเหนี่ยวนําโดยสนามแม่เหล็กภายนอก ขั้วของ
โดเมนจะมีการวางตัวขนานกับสนามแม่เหล็กที่กระทําจากภายนอก ดง
โดเมนจะมการวางตวขนานกบสนามแมเหลกทกระทาจากภายนอก ดัง
แสดงในรูปที่ 5.1 b

5
6
ขั้วของแม่เหล็ก (Magnetic poles) และคุณสมบัติของเส้นแรงแม่เหล็ก
1) ขั้วของแม่เหล็ก แม่เหล็กสามารถดูดวัสดุที่เป็นเฟอโรแมกเนติกได้
ความสามารถในการดดหรื
ความสามารถในการดู ดหรอผลกนน
อผลักนั้น จะมความรุ
จะมีความรนแรงไม่
นแรงไมเทากน
เท่ากัน จะมากตรงบริ
จะมากตรงบรเวณขวทง
เวณขั้วทั้ง
สองคือ ขั้วเหนือและขั้วใต้ ถ้านําแผ่นกระดาษวางไว้บนแท่งแม่เหล็กและโรยผงแม่เหล็ก
ลงบนกระดาษ จะปรากฏเปนเสนแรงแมเหลกดงแสดงในรู
จะปรากฏเป็นเส้นแรงแม่เหล็กดังแสดงในรปที ปท่ 5.2
52

7
2) คุณสมบัติของเส้นแรงแม่เหล็ก มีดังต่อไปนี้
• เส้นแรงแม่เหล็กจะเป็นเส้นต่อเนื่องไม่ขาดช่วง
• แนวของเส้นแรงแม่เหล็กในแต่ละแนวจะไม่ตัดกัน
• เส้นแรงภายนอกแท่งแม่เหล็็กจะมีทิศทางจากขั้วเหนือไปยังขั้วใต้และภายใน
แม่เหล็กจะมีทิศทางจากขั้วใต้ไปยังขั้วเหนือ
• ความเข้มของเส้นแรงแม่เหล็็กจะเข้มข้นที่สุดบริเวณขั้วแม่เหล็็กและจะลดลงที่
ระยะห่างจากขั้ว
• เส้นแรงแม่เหล็ก็ จะเลือกแนวที่มีความต้านทานทางแม่เหล็ก็ ตํ่าที่สุดเพื่อทําให้เส้น
แรงแม่เหล็กครบวงจร (Loop)

8
แล ใน รณที่แมเ
และในกรณี แม่เหล็ลกถูถกแบ่
แบงออออกเป็
เปนน 2 ส่วน หรืรอม
สวน อมากกว่วา
แม่เหล็กก็จะเกิดการสร้างขั้วขึ้นใหม่ ดังแสดงในรูปที่ 5.3

9
ชนิดของวัสดแม่
ชนดของวสดุ แมเหลก
เหล็ก (Magnetic material)
สสารประกอบด้วยอะตอม ในนิวเคลียสของอะตอมประกอบด้วย
นิวตรอนและโปรตอนที่เป็นประจุบวก และมีอิเล็กตรอนที่เป็นประจุลบวิ่ง
อย่รอบๆ ดงนนวสดุ
อยู ดังนั้นวัสดทกชนิ
ทุกชนดจะถู
ดจะถกผลกระทบจากสนามแม่
กผลกระทบจากสนามแมเหลก เหล็ก แตใน
แต่ใน
ระดับความรุนแรงที่ต่างกัน เมื่อวางวัสดุไว้ในสนามแม่เหล็กก็จะทําให้เกิด
วงโคจรของอิ
โ ิเลกตรอนเปลี
็ ป ่ียนรูป สามารถแบงวสดุ
่ ั แมเหลกออกเปน
่ ็ ป็ 3
กลุ่ม คือ ไดอะแมกเนติก พาราแมกเนติก และ เฟอโรแมกเนติก

10
11. ไดอะแมกเนติก คอ
ไดอะแมกเนตก คือ วัวสดุ
สดทีท่มความซมซาบของ
มีความซึมซาบของ
สนามแม่เหล็ก (Permeability) น้อยกว่าอากาศเล็กน้อย เมื่อวางวัสดุ
ที่เป็็นไดอะแมกเนติ
ไ กไว้
ไ ้ใกล้้สนามแม่เหล็็กที่มีความเข้้มข้้นสูง ทิศทาง
ของสนามแม่เหล็กที่เหนี่ยวนําจะมีทิศทางตรงกันข้ามกับวัสดุที่ทําจาก
เหล็ก (Iron) ตัวอย่างวัสดุที่เป็นไดอะแมกเนติก ได้แก่ ปรอท ทอง
บิสมัท และสั
บสมท และสงกะส
งกะสี

11
22. พาราแมกเนตก
พาราแมกเนติก คอ คือ วัวสดุ
สดทีท่มมความซมซาบทางแมเหลกสู
ีความซึมซาบทางแม่เหล็กสงง
กว่าอากาศ (อากาศมีความซึมซาบทางแม่เหล็กเท่ากับ 1) เมื่อวางวัสดุ
ชนิิดนีี้ ในสนามแม่
ใ ่เหล็็กที่ีมีความเข้้มข้้นสูง จะทํําให้
ใ ้มีการเปลี
ป ่ียนทิิศทาง
ของแนว (Alignment) การหมุนของอิเล็กตรอน (Electron spin) ใน
ทิ ศ ทางการไหลของสนามแม่ เ หล็ ก วั ส ดุ ช นิ ด นี้ ได้ แ ก่ อลู มิ เ นี ย ม
แพลทินัม ทองแดง และไม้ เป็นต้น

12
33. เฟอโรแมกเนตก
เฟอโรแมกเนติก คอคือ วัวสดุ
สดทีท่มคาความซมซาบทางแมเหลก
มีค่าความซึมซาบทางแม่เหล็ก
มากกว่าอากาศอย่างมาก เมื่อวางไว้ใกล้กับสนามแม่เหล็ก โดเมนของ
แม่่เหล็็กก็็จะวางตััวขนานกัับทิิศทางของสนามแม่่เหล็็กและยัังคงแนว
ทิ ศ ทางนั้ น ไว้ เป็ น ระยะเวลาหนึ่ ง หลั ง จากนํ า เอาสนามแม่ เ หล็ ก ความ
เข้มข้นสูงออกแล้ว สนามแม่เหล็กที่ยังคงอยู่ในวัสดุเรียกว่าสนามแม่เหล็ก
คงค้าง (Retentivity) y ตัวอย่างของวัสดุุประเภทเฟอโรแมกเนติก ได้แก่
เหล็ก คาร์บอน นิเกิล และกาโดลิเนียม เป็นต้น

13
ขนาดและทิศทางของสนามแม่เหล็กของวัสดุชนิดต่างๆ เมื่อถูกเหนี่ยวนําทํา
ให้เกิดสนามแม่เหล็ก ดัดงแสดงเปนกราฟในรู
ใหเกดสนามแมเหลก งแสดงเป็นกราฟในรปที
ปท่ 5.4 เมอ
เมื่อ B คอความหนาแนนของ
คือความหนาแน่นของ
ฟลักซ์(Flux density) และ H คือ ระดับความเข้มของสนามแม่เหล็ก

14
แหล่งกําเนิดของแม่เหล็ก (Source
แหลงกาเนดของแมเหลก (S off magnetic)
ti )
11. แมเหลกถาวร
แม่เหล็กถาวร
สามารถผลิตได้โดยการใช้อัลลอยด์ชนิดพิเศษผ่านกระบวนการ
ทางความรอน ้ ภายใตสนามแมเหลกทมความเขมขนสู
ใ ้ส ่ ็ ี่ ี ้ ้ สง
2. สนามแม่เหล็กโลก
โลกเป็ น แม่ เ หล็ ก ขนาดใหญ่ โดยที่ มี ขั้ ว เหนื อ และขั้ ว ใต้ ข อง
สนามแม่เหล็กเบี่ยงเบนไปจากขั้วของโลกเล็กน้อย ดังนั้นโลกจึงเต็มไป
ด้วยเส้นแรงแม่เหล็ก ซึ่งบางครั้งก็ก่อให้เกิดปัญหาต่อการเหนี่ยวนําและ
การคลายสนามแม่เหล็กของวัสดเฟอโรแมกเนติ
การคลายสนามแมเหลกของวสดุ เฟอโรแมกเนตกก อยางไรกตามโลกม
อย่างไรก็ตามโลกมี
สนามแม่เหล็กขนาดที่อ่อนในระดับ 0.03 mT (0.3 G) เท่านั้น

15
3. การเหนี่ยวนําทางกล
ปรากฏการณ์
ฏ การขึ้นรููปเย็น (Cold working) g ที่เกิดขึ้นในวัสดุุ
เฟอโรแมกเนติกบางชนิดระหว่างการขึ้นรูปหรือการใช้งานอาจทําให้
วัสดถกเหนี
วสดุ ถูกเหนยวนาเปนแมเหลก
่ยวนําเป็นแม่เหล็ก การกาจดอานาจแมเหลกกระทาไดโดย
การกําจัดอํานาจแม่เหล็กกระทําได้โดย
การคลายอํานาจแม่เหล็ก ซึ่งการคลายอํานาจจะทําได้ยาก โดยทั่วไป
จะใช้
ใ ้โยคและวิิธีพันด้้วยสารเคเบิิล การคลายอํํานาจแม่่เหล็็กจะยาก
ยิ่งขึ้นถ้าเป็นชิ้นส่วนที่อยู่ติดกับชิ้นส่วนที่เป็นเฟอโรแมกเนติกเนื่องจาก
จะทําให้ช้นิ ส่วนที่อยู่ข้างๆ เกิดการเหนี่ยวนําเป็นแม่เหล็กได้

16
ฟลกซแมเหลกและการรวของฟลกซ
ฟลั กซ์แม่เหล็กและการรั่วของฟลักซ์
(Magnetic flux and flux leakage)

1. สนามแม่เหล็กวงกลม (Circular magnetic field)

17
2. สนามแม่เหล็กตามยาว (Longitudinal magnetization)

18
ความเข้มของสนามแม่เหล็ก (Magnetic field strength)
ความเข้มการรั่วของสนามแม่เหล็กจากรอยความไม่ต่อเนื่องขึ้นอยู่
กับปัจจัยต่อไปนี้
กบปจจยตอไปน
1) จํานวนเส้นของฟลักซ์แม่เหล็ก
2) ความลึกของรอยความไม่ต่อเนือ่ ง
3) ความกว้างของรอยความไม่ต่อเนื่อง (ระยะห่างระหว่าง
ขั้วแม่เหล็ก)
ความเข้มและการโค้ง (Curvature) ของการรวของสนามแมเหลก
ความเขมและการโคง ของการรั่วของสนามแม่เหล็ก
เป็นตัวกําหนดจํานวนอนุภาคแม่เหล็กที่จะมาเกาะรวมตัวกันเป็นรอยบ่งชี้
ถ้ามีการรั่วของสนามแม่เหล็กมากเพียงใดความหนาแน่นของรอยบ่งชี้ กจะ
ถามการรวของสนามแมเหลกมากเพยงใดความหนาแนนของรอยบงช ก็จะ
มากขึ้ น อั น เนื่ อ งมาจากฟลั ก ซ์ ข องสนามแม่ เ หล็ ก ที่ รั่ ว ไหลมี ก ารโค้ ง มาก
นันั่ เอง
19
รอยความไม่ต่อเนือ่ งใต้ผิว (Subsurface discontinuities)
รอยความไมตอเนองใตผว
รอยความไม่ ต่อเนื่องใต้ผิว จะสรางขวแมเหลกขนใหม
จะสร้างขั้วแม่เหล็กขึ้นใหม่ และทาให และทําให้
เกิดการเบี่ยงเบนของเส้นแรงภายใน ถ้ารอยความไม่ต่อเนื่องนั้นอยู่ใกล้ผิว
เพีียงพอ ก็็จะทํําให้
ใ ้เส้้นของฟลั
ฟ ักซ์์แม่่เหล็็กเกิิดขึ้ึนทีี่บริิเวณผิิวหน้้า ผลของ
การเกิดการรั่วของสนามแม่เหล็กนั้นสามารถทําให้อนุภาคแม่เหล็กเกาะติด
กันแสงเป็นรอยบ่งชี้

20
ขนาดและความชดเจนของรอยบงช
ขนาดและความชั ดเจนของรอยบ่งชี้ ขนอยู
ขึ้นอย่กับ
1. ความลึกของรอยความไม่ต่อเนื่อง
2. ขนาดและทิศิ ทางการวางตัวั ของรอยความไม่
ไ ่ต่อเนืื่อง
3. ความเข้มและการกระจายตัวของฟลักซ์แม่เหล็ก

21
ผลกระทบเนื่องจากทิศทางการวางตัวของรอยความไม่ต่อเนื่อง
(Effect of discontinuity orientation)

22
การใช้กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนําทําให้เกิดสนามแม่เหล็ก
(Electrically induce magnetism)
1. การสร้างสนามแม่เหล็กแบบวงกลม(Circular magnetization)

23
24
ทิ ศ ทางของสนามแม่ เ หล็ ก แบบวงกลม สามารถอธิ บ ายได้ ด้ ว ยกฎมื อ ขวา
( h hhandd rule)
(Right l ) คืือถ้้าใใช้้นิ้วหััวแม่่มือชีี้ไปในทิ
ปใ ิศทางของกระแสไฟฟ้
ไฟฟ้า ทิิศทางของ
สนามแม่เหล็กคือทิศทางของนิ้วทั้งสี่ ในขณะที่กํามือ ดังแสดงในรูปที่ 5.12

25
2. สนามแม่เหล็กตามยาว (Longitudinal magnetization)
เมอปลอยกระแสไฟฟาลงสู
ื่ ป ่ สไฟฟ้ ส่ ข ดลวดกจะทาใหเกดการเหนยวนาทาใหเกด
็ ํ ใ ้ ิ ี่ ํ ํ ใ ้ ิ
สนามแม่เหล็กตามยาว ตามกฎมือขวาดังรูป โดยหัวแม่มือชี้ไปในทิศทางของขดลวด
ตัวนํา
ตวนา

26
ทิศทางของรอยความไม่ต่อเนื่องกับการมองเห็น
เมื่อวัตถุที่เป็นเฟอโรแมกเนติกถูกใส่ลงไปในขดลวด ดังแสดงในรูปที่ 5.14 ก็จะเกิด
สนามแม่ เ หล็ ก ตามยาววิ่ ง ในวั ต ถุ และถ้ า วั ต ถุ มี ร อยความไม่ ต่ อ เนื่ อ งตั้ ง ฉากกั บ ทิ ศ ทางของ
สนามแม่่เหล็็กก็็จะทํําใให้้เห็็นอนุภาคแม่่เหล็็กใในไปเกาะอยู
ไ ่เป็็นกระจุกอย่่างชััดเจน และเห็็นได้ ไ ้ ชั ด
กว่ารอยความไม่ต่อเนื่องที่อยู่ในแนว 45 องศา ส่วนในแนวที่ขนานกับสนามแม่เหล็กจะไม่สามารถ
มองเห็นได้เลย
มองเหนไดเลย

27
28
เครื่องมือและระบบทดสอบด้วยอนุภาคแม่เหล็ก
1) ระบบทดสอบอนุภาคแม่เหล็กแบบอยู่กับที่
(Stationary magnetic particle test systems)

29
2) ระบบทดสอบที่เคลื่อนย้ายและพกพาได้
( b l andd portable
(Mobile bl testing units))

30
3) พร็อด (Prods)

31
4) โยค (Yoke)

32
33
คุณสมบัติของวัสดุเฟอโรแมกเนติก
(Ferromagnetic material characteristic)
ฟลกซแมเหลกและหนวยของการวด
ฟลั กซ์แม่เหล็กและหน่วยของการวัด (Magnetic
(M ti flux
fl andd units it off measure))
สนามแม่ เ หล็ ก ประกอบขึ้ น จากเส้ น แรงของฟลั ก ซ์ คํ า จํ า กั ด ความของฟลั ก ซ์
แม่่เหล็็ก หมายถึึง จํํานวนเส้้นแรงของฟลั ฟ ักซ์์ในพืื้นทีี่ที่กําหนด อาจมีีการสัับสนในการเรี
ใ ียก
หน่วยของการวัดความเข้มของฟลักซ์แม่เหล็ก หน่วยดั้งเดิมของการวัดฟลักซ์แม่เหล็กคือ
แมกซ์์เวล ซึึ่ง หนึึ่งแมกซ์์เวล หมายถึึง หนึ่ึงเส้้นของฟลั ฟ ักซ์์ หน่่วยวััดความหนาแน่่นของ
ฟลักซ์คือ เกาส์ หนึ่งเกาส์ หมายถึง หนึ่งแมกซ์เวลต่อตารางเซนติเมตร ในปี คศ. 1930
องค์ก์ รเทคนิิคทางไฟฟ้
ไฟฟ้านานาชาติิ ได้ไ เ้ ปลี
ป ย่ี นหน่ว่ ยจากเกาส์ม์ าเป็ป็นเออสเตท
ในปี 1960 องค์กรมาตรฐานนานาชาติ ได้กําหนดให้หน่วยวัดความเข้มของฟลักซ์
เป็ป็น เวเบอร์์ (Weber:
( b Wb) b) ซึึ่งหน่่วยเวเบอร์์เท่่ากัับเส้้นแรงของฟลั ฟ ักซ์์จํานวน 108 เส้้น
ความหนาแน่นของฟลักซ์คือ เทสลา (Tesla : T) โดย หนึ่งเวเบอร์ต่อตารางเมตร (Wb/m2)
1 Wb/m b/ 2 = 1 T = 10,000 เกาส์์ (Gauss) ( )
34
ฮีสเทอรีซีสแม่เหล็ก (Magnetic hysteresis)
ฮสเทอรซสแมเหลก
วั ส ดุุ เ ฟอโรแมกเนติ ก ทุุ ก ชนิ ด มี คุ ณ สมบั ติ เ ฉพาะตั ว ทางแม่ เ หล็ ก
คุณสมบัติทางแม่เหล็กส่วนใหญ่สามารถอธิบายได้โดยเส้นโค้งฮีสเทอรีซีส
แม่เหล็ก ซงสามารถหาไดโดยการวางแทงเฟอโรแมกเนตกไวในขดลวด
แมเหลก ซึ่งสามารถหาได้โดยการวางแท่งเฟอโรแมกเนติกไว้ในขดลวด และ
ปล่ อ ยกระแสไฟฟ้ า สลั บ ลงในขดลวด เพิ่ ม ความเข้ ม สนามแม่ เ หล็ ก
(M
(Magnetic
ti fifield ld strength
t th : H) ขนทละนอยและทาการวดความหนาแนน
ขึ้นทีละน้อยและทําการวัดความหนาแน่น
ของฟลักซ์ (Flux density : B) ก็จะสามารถสร้างกราฟความสัมพันธ์
ระหว่างขนาดความเข้้มของสนามแม่เหล็็กกับความหนาแน่นของฟลักซ์์ได้้
จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นแบบเชิงเส้นดังแสดงในรูปที่ 5.21

35
36
ค่าซึมซาบทางแม่เหล็ก (Magnetic permeability)
คุณสมบติั ิที่สําคญมากที
ั ี่สุดอนหนึ
ั ึ่งของวสดุ
ั แม่่เหล็็ก คืือ ค่่าซึึมซาบทางแม่่เหล็็ก หรืือ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความยากง่ายต่อการเหนี่ยวนําให้เป็นแม่เหล็ก ซึ่งสามารถหาได้จากสัดส่วนของ
ความหนาแน่นฟลักซ์กับระดับความเข้มของสนามแม่เหล็ก (B/H) ดงแสดงในรู
ความหนาแนนฟลกซกบระดบความเขมของสนามแมเหลก ดังแสดงในรปที ปท่ 5.22
5 22 a เรยกวา
เรียกว่า
เป็นวัสดุที่มีค่าซึมซาบทางแม่เหล็กสูง และ 5.22 b เป็นวัสดุมีค่าซึมซาบต่ํา

คุณสมบตตรงกนขามกบคา
ส ั ิ ั ้ ั ่
ซึมซาบทางแม่เหล็ก คือ ค่าต่อต้าน
สั เมอไดรบสนามแมเหลก
ของวสดุ ื่ ไ ร้ ั ส ่ ็
(Reluctance)

37
38
ชนิดของกระแสไฟฟ้าที่เหนี่ยวนําให้เกิดสนามแม่เหล็ก
1. กระแสสลับ (Alternating current)
ข้อได้เปรียบ
ขอไดเปรยบ
1) เกิดการสลับขั้วของไฟฟ้าทําให้มีความไวต่อรอยความไม่ต่อเนื่องที่
ผิว ทีทเรยกปรากฏการณนวา
ผว ่เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ผลกระทบทผว
ผลกระทบที่ผิว (Skin effect)
2) การคลายอํานาจแม่เหล็กทําได้ง่าย
3) การกลบไปมาของขวทาใหอนุ
การกลับไปมาของขั้วทําให้อนภาคแม่
ภาคแมเหลกเคลอนตวไดงาย
เหล็กเคลื่อนตัวได้ง่าย เปน
เป็น
เหตุให้เกิดการเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงตําแหน่งของการรั่วของเส้นแรงแม่เหล็ก
เพิ่มขนาดและความสามารถในการมองเห็นของรอยบ่งชี้ ทกอตวเปนรอย
เพมขนาดและความสามารถในการมองเหนของรอยบงช ที่ก่อตัวเป็นรอย
ความไม่ต่อเนื่อง
ข้อเสียเปรียบ
ขอเสยเปรยบ
1) รอยความไม่ต่อเนื่องที่อยู่ใต้ผิวไม่สามารถทดสอบได้
2) ถามสเคลอบหนาเกน
ถ้ามีสีเคลือบหนาเกิน 0.08
0 08 มลลเมตร
มิลลิเมตร (0.003
(0 003 นว)
นิ้ว) ขอกาหนดของ
ข้อกําหนดของ
การทดสอบบางอย่างไม่อนุญาตให้ใช้ 39
2. กระแสตรงแบบฮาล์ฟเวฟ (Half wave direct current)
คื อ การนํ า กระแสไฟฟ้ า สลั บ แบบเฟสเดี ย วผ่ า นเข้ า ไปในเครื่ อ งกลั บ กระแสไฟฟ้ า
(Rectifier) เป็นผลทําให้กระแสไฟฟ้าเกิดการไหลเพียงทิศทางเดียว คือ ทางด้านบวก
ข้ขอไดเปรยบ
อได้เปรียบ
1) ความสามารถในการทดสอบใต้ผิวเทียบเท่ากับ
กระแสตรงแบบ 1 เฟส
2) อนุภาคแม่เหล็กเคลื่อนตัวได้ดีมาก โดยเฉพาะกับ
อนุุภาคแม่เหล็กแบบแห้ง
3) อุปกรณ์ไม่ซับซ้อน สามารถต่อเข้ากับแหล่งจ่าย
กําลังแบบพกพาและแบบเคลื่อนที่
ข้อเสียเปรียบ
เนื่องจากกระแสไฟไม่กลับขั้ว จึงไม่สามารถ
ใช้ ทํ า ลายอํ า นาจแม่ เ หล็็ ก ได้ อาจจะสามารถใช้
กระแสสลั บ คลายอํ า นาจแม่ เ หล็ ก แทนได้ แต่ ก็ จ ะได้
เฉพาะบริิเวณผิิว ทีี่บริิเวณลึึกลงไปการคลายอํ
ไป ํานาจ
แม่เหล็กก็คงยังไม่สมบูรณ์ 40
3. กระแสตรงแบบฟูลเวฟ 1 เฟส (Single-phase full wave directcurrent)
ภาพสัญญ
ญญาณกระแสตรงแบบฟููลเวฟ 1 เฟส ซึ่งเกิดจากการกลับในส่วนของกระแสที่
เป็นลบกลับมาทางด้านบวก

ข้ขอไดเปรยบ
อได้เปรียบ
1) ความสามารถในการทดสอบที่บริเวณใต้ผิวเทียบเท่ากับกระแสตรงฟูลเวฟ 3 เฟส
2) ในกรณีที่ติดตั้งอุุปกรณ์ปรับทิศทางการไหลเข้ากับเครื่องมือจะสามารถใช้เป็นอุุปกรณ์คลาย
อํานาจแม่เหล็กได้
3) เป็นอุปกรณ์ที่ไม่ซับซ้อน ราคาจึงถูกกว่าแบบกระแสตรงฟูลเวฟ 3 เฟสมาก
ข้อเสียเปรียบ
ข้อเสียเปรียบประการหนึ่งคือ ความต้องการกําลังทางไฟฟ้าสูงกว่าแบบกระแสตรงฟูล
เวฟ 3 เฟส ถึง 1.73 เท่า เป็นเหตุให้ต้องการกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนําที่สูงมาก ซึ่งอาจมากถึง 600
แอมแปร์ 41
4. กระแสตรงฟูลเวฟ 3 เฟส(Three-phase full wave direct current)
เกิดจากการกลับทิศทางกระแสไฟที่ไหลในทิศทางที่เป็นลบของกระแสไฟฟ้าสลับ 3
เฟส ดังแสดง มาให้เป็นทิศทางบวก ซึ่งจะได้สัญญาณของกระแสตรงฟูลเวฟ 3 เฟส ดัง
แสดงในรูปู

ข้อได้เปรียบ
ชนิดนี้มีข้อดีกว่าแบบฟูลเวฟ 1 เฟส อยู่หลายประการ การใช้ไฟ 3 เฟส ทําให้หลีกเลี่ยง
ปัญหาการเกิด การไม่สมดุลของการใช้ไฟเฟสเดียว ซึ่งจะทําให้ต้องมีภาระในการจ่ายค่าไฟฟ้าที่สูง
เนื่องจากค่าไฟนั้นใช้ค่ากระแสไฟฟ้าสูงสุดเป็นตัวคูณในการคํานวณด้วย 42
เหตุุผลที่ต้องทําการคลายอํานาจแม่เหล็ก
1. สนามแม่เหล็กตกค้างมีผลต่อการทํางานและความถูกต้องของเครื่องมือและ
มิเิ ตอร์ต์ ่างๆ เชน่ อุปกรณ์์บนเครืือ่ งบินิ
2. อนุภาคแม่เหล็กที่ตกค้างอาจเป็นอุปสรรคที่สําคัญต่อกระบวนการต่อไป เช่น
การขึึ้นรูป และการเคลืือบผิิว หรืือ ในบางกรณี
ใ ีอนุภาคที่ีตกค้้างอยู่จะเปน
ป็
เหตุให้เกิดการสึกหรอในอุปกรณ์ที่มีการใช้งานที่ต้องเสียดสี
3 ชนงานทตองไปขนรู
3. ิ้ ี่ ้ ไป ึ้ ป เชน่ การกลงและไส
ึ ไ ถามแมเหลกตกคาง
้ ี ่ ็ ้ เศษของ
ชิ้นงานจะติดอยู่บนชิ้นงานซึ่งทําให้ผิวชิ้นงานไม่เรียบ และมีดกลึงสึกหรอ
่ ็ ื
อยางรวดเรวหรอแตกหกได ัไ ้
4. อนุภาคแม่เหล็กที่เกาะติดชิ้นงานที่จะต้องนําไปพ่นสีหรือเคลือบผิวจะทําให้

เกดรอยความไมตอเนอง ไ ่ ่ ื่
5. สนามแม่เหล็กตกค้างมีผลต่อการเชื่อมไฟฟ้า คือมีการดูดติดของชิ้นงานกับ
ไส้
ไสลวดอาจทาใหการเดนลวดไมเปนไปตามทตองการ
ํใ ้ ร ิ ไ ่ ป็ ไป ี่ ้ ร
43
วิธีการคลายอํานาจแม่เหล็ก
1. การให้ความร้อนเหนือจุดคูรี (Curie point heating)
วัสดุุเฟอโรแมกเนติกทุุกชนิด สามารถทําให้อํานาจแม่เหล็กหมดไป โดยให้
อุ ณ หภู มิ สู ง กว่ า จุ ด คู รี จุ ด คู รี จ ะเปลี่ ย นแปลงไปตามส่ ว นผสม เช่ น ถ้ า นิ เ กิ ล
ประกอบด้วยซิลิกอน 1 % อุุณหภููมิคูรีคือ 320 oC ในขณะที่ถ้าส่วนผสมของ
ซิลิกอนเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิที่จุดคูรีจะลดลงเหลือเพียง 40 oC โดยทั่วไป
จุุดคูรู ีของเหล็กกล้าผสมจะอยู่ใู นช่วงระหว่าง 650 oC ถึง 870 oC

2. การคลายอํานาจแม่เหล็กด้วยวิธีแม่เหล็กไฟฟ้า
มีเทคนิคหลายเทคนิคเพื่อใช้ในการคลายอํานาจแม่เหล็ก โดยการใช้พลังงาน
แม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตามแต่ละเทคนิคก็จะใช้หลักการเดียวกันคือใช้การกลับ
ขั้วไปมาของสนามแม่เหล็กและค่อยๆลดความเข้มลงมา

44
45
3 การคลายอํ
3. การคลายอานาจแมเหลกดวยวธไฟฟากระแสสลบ
านาจแม่เหล็กด้วยวิธีไฟฟ้ากระแสสลับ
วิธีการคลายอํานาจแม่เหล็กโดยทั่วไปสําหรับชิ้นงานที่ไม่ใหญ่มาก
นัก คืคอการผานชนงานลงไปในขดลวดทมไฟฟากระแสสลบไหลอยู
นก อ การผ่ า นชิ้น งานลงไปในขดลวดที่มี ไ ฟฟ้า กระแสสลับ ไหลอย่
ปรั บ ขนาดของกระแสไฟฟ้ า ในขดลวดจนฟลั ก ซ์ แ ม่ เ หล็ ก สู ง ที่ สุ ด
หลังจากนั้นค่อยๆดึงชิ้นงานออกในแนวแกนเพื่อทําให้ความเข้มของ
หลงจากนนคอยๆดงชนงานออกในแนวแกนเพอทาใหความเขมของ
ฟลั ก ซ์ ล ดลง เพื่ อ ให้ มั่ น ใจว่ า ฟลั ก ซ์ ล ดลงในระดั บ ต่ํ า สุ ด ควรถอย
ออกมาอย่างน้อยที่สด 2 เทาของระยะเสนผานศู
ออกมาอยางนอยทสุ เท่าของระยะเส้นผ่านศนย์ นยกลาง
กลาง

4. การคลายอํ
การคลายอานาจแมเหลกดวยไฟฟากระแสตรง
านาจแม่เหล็กด้วยไฟฟ้ากระแสตรง
ใช้หลักการเดียวกับการใช้กระแสสลับคือ ค่อยๆลดกระแสไฟฟ้า
พร้อมกับการกลับขั้วไปมาในทางปฏิบัติชิ้นงานจะถกวางไว้
พรอมกบการกลบขวไปมาในทางปฏบตชนงานจะถู กวางไวในขดลวด
ในขดลวด
จนกระทั่งคลายอํานาจแม่เหล็กเสร็จสมบูรณ์ ข้อได้เปรียบคือสามารถ
คลายอํานาจแม่เหล็กลึกลงไปในผิวชิ้นงานได้
คลายอานาจแมเหลกลกลงไปในผวชนงานได
46
5. การคลายอํานาจแม่เหล็กโดยใช้โยค
อาจจะใช้ชนิดไฟฟ้ากระแสสลับหรือกระแสตรงกลับขั้ว แบบกระแสตรง
ชนิดฮาล์ฟเวฟ จะใช้ไม่ได้ถ้าไม่มีวงจรสําหรับกลับขั้ว การคลายอํานาจ
แม่เหล็กสําหรับชิ้นงานขนาดเล็กทําได้โดยการวางชิ้นงานในระหว่างขั้วของ
ขาโยค แล้วค่อยๆถอยชิ
ๆ ้นงานออกในระหว่างที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าลงไปด้วย
โยคสามารถใช้คลายอํานาจแม่เหล็กบนผิวชิ้นงานขนาดใหญ่ โดยการ
หมุุนโยคเป็นวงกลมในขณะที่ค่อยๆยกโยคห่
ๆ างออกจากชิ้นงาน เมื่อต้องการ
คลายอํานาจแม่เหล็กเป็นบริเวณเล็กๆบนชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ จะต้อง
ระมัดระวังไม่ให้ไปเหนี่ยวนําบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง

47
ชนิดของอนภาคแม่
ชนดของอนุ ภาคแมเหลก
เหล็ก
อนุภาคแม่เหล็กสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1 แบบแหง
1. แบบแห้ง (Dry) มลกษณะแหง
มีลักษณะแห้ง ปราศจากตวพา
ปราศจากตัวพา (Carrier vehicle)
2. แบบเปียก (Wet) ต้องการตัวแขวนลอย เช่น น้ํา หรือในน้ํามัน (เช่น คีโรเซน)

การแบ่งชนิดของอนุภาคแม่เหล็ก
อาจแบงชนดตามสทยอมเพอใหเกดการมองเหนทดขน
่ช ิ สี ี่ ้ ื่ ใ ้ ิ ็ ี่ ี ึ้ ดงนั ี้
1. ชนิดย้อมสีมองเห็นด้วยตาเปล่า คือ ชนิดที่ใช้สีที่ทําให้เกิดการมองเห็นได้ด้วยตา
เปลา
ปล่า
2. ชนิดวาวแสงหรือเรืองแสง คือ ชนิดที่เคลือบด้วยสีเรืองแสงจะต้องมองภายใต้
แสงแบล็กไลต์
แสงแบลกไลต
3. ชนิดที่ผสมกันระหว่างวาวแสงและชนิดย้อมสี

48
การเลือกตัวกลาง (Media selection)
การเลอกตวกลาง
การเลือกแบบเปียกและแบบแห้งจะต้องคํานึง
1. ชนิดของรอยความไม่ต่อเนื่องว่าอยู่ท่ีผิวหรืออยู่ใต้ผิว โดยปกติ
อนุุ ภ าคแม่ เ หล็ ก แบบแห้ ง จะเหมาะสมกั บ การทดสอบใต้ ผิ ว
มากกว่า
2. ขนาดของรอยความไมตอเนอง
ขนาดของรอยความไม่ต่อเนื่อง อนุ อนภาคแม่
ภาคแมเหลกแบบเปยกเหมาะ
เหล็กแบบเปียกเหมาะ
กับการทดสอบกับรอยความไม่ต่อเนื่องที่ละเอียดที่อยู่รวมกันเป็น
บริเวณกว้างที่ตื้น
บรเวณกวางทตน
3. ความสะดวกในการทดสอบอนุภาคแบบแห้งและกระแสไฟแบบ
ฮาล์์ เ วฟ หรืื อ การใช้
ใ ้ แ บบเปีี ย กทีี่ บ รรจุ ใ นกระป๋ อ งสเปรย์์ จะมีี
ความสะดวกในการทดสอบในงานสนาม
49
ขั้นตอนการทดสอบ
จากทฤษฎี ทั่ ว ไปที่ ก ล่ า วมาแล้ ว ข้ า งต้ น ขั้ น ตอนการทดสอบ
ประกอบด้วย 6 ขนตอน
ประกอบดวย ขั้นตอน ดัดงตอไปน
งต่อไปนี้
1. การเตรียมพื้นผิวและทําความสะอาดชิ้นงานที่จะทดสอบ
(Preparation of inspection surface)
2. ทําให้พื้นผิวชิ้นงานกลายเป็นแม่เหล็ก (Magnetization of
inspection surface)
3. เลอ เลือกชนิ
ชนดขอ
ของตัวกลางที
ล จ่ ะใช้
ใชแลและทําการใช้
รใชกบั พืน้ ผิวดังกล่ลาว
(Indicating medium selection and application)
4 ทดสอบ (Inspection)
4.
5. คลายอํานาจแม่เหล็ก (Demagnetizing)
6. ทําํ ความสะอาดหลัังการทดสอบ (Post cleaning)
50
ตัวอย่างการใช้ผงแบบเปียกชนิดย้อมสี (มองเห็นด้วยตาเปล่า) ทดสอบโดย
ใ โ้ ยค เพือื่ หารอยความไม่
ใช้ ไ ต่ อ่ เนืือ่ งในงานเชื
ใ อ่ื ม

ขันั้ ตอนทีี่ 1
เตรียมผิวและทําความสะอาดผิวหน้าชิ้นงาน
การทําความสะอาดโดยทั่วไปจะใช้แปรงลวดขัดและใช้สารทําความสะอาด
การใช้การเจียระไนตรงบริเวณผิวงานที่ขรุขระ และตรงบริเวณที่มีเม็ดโลหะกระเด็น
(Spatter) อาจทําเพิ่มเติมเพื่อให้ผลการทดสอบถูกต้องยิ่งขึ้น การทําความสะอาด
จะต้องครอบคลุมบริเวณที่จะทดสอบ และเผื่อออกไปอีกข้างละไม่ต่ํากว่า 1 นิ้ว สี
เคลือบที่เป็นชั้นบางๆไม่จําเป็นต้องลอกออกแต่ถ้ามีความหนาเกินกว่า 80 ไมโครเมตร
ในบางข้ อ กํ า หนดจํ า เป็ น จะต้ อ งลอกสี เ คลื อ บนั้ น ออกก่ อ นและเพื่ อ เป็ น การทํ า ให้
มองเห็นอนุภาคแม่เหล็กชัดเจน โดยปกติจะพ่นสีขาวรองพื้นเป็นชั้นบางๆ (เฉพาะกรณี
ที่ใช้อนุภาคแม่เหล็กแบบย้อมสีที่มองเห็นด้วยตาเปล่านั้น จะไม่ใช้สีขาวรองพื้นถ้าใช้
อนุภาคแม่เหล็กแบบวาวแสง)
51
ขัขนตอนท
้นตอนที่ 2
ทําให้ผิวชิ้นงานกลายเป็นแม่เหล็ก
ในขณะทเรมทดสอบครงแรกจะตองมนใจวาโยคนนมประสทธภาพด
ในขณะที ่เริ่มทดสอบครั้งแรกจะต้องมั่นใจว่าโยคนั้นมีประสิทธิภาพดี (หรอ
(หรือ
ต้องเคยสอบเทียบมาแล้วภายใน 1 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งทดสอบได้โดยการยกน้ําหนัก
มาตรฐาน (10 ปอนดและปอนด์และ 40 ปอนด ปอนด์ ในกรณทใชไฟฟากระแสสลบและกระแสตรง
ในกรณีที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับและกระแสตรง
ตามลําดับ) การทดสอบความเพียงพอ และความครอบคลุมพื้นที่ของอํานาจแม่เหล็กให้
ใช้อปกรณ์
ใชอุ ปกรณชวดรู
ชี้วัดรปพาย
ปพาย (Pie shape field indicator) ดงแสดงในรู
ดังแสดงในรปที
ปท่ 5.32
5 32 การปรบ
การปรับ
ความกว้างของขาโยค (ในกรณีที่ปรับได้) จะต้องไม่แคบกว่า 75 มิลลิเมตร และจะต้อง
คํานึงว่าจะต้องให้อํานาจแม่เหล็กอย่างน้อยที่สด 2
คานงวาจะตองใหอานาจแมเหลกอยางนอยทสุ แนว ในทศทางทตงฉากกน
ในทิศทางที่ตั้งฉากกัน
โดยประมาณ การวางตําแหน่งของโยค ดังแสดงในรูปที่ 5.33 สําหรับขดลวดและพร็อต
ดังแสดงในรปที
ดงแสดงในรู ปท่ 5.34
5 34 และ 5.35
5 35 ตามลาดบ
ตามลําดับ

52
53
54
55
56
ขัขนตอนท
้นตอนที่ 3
การฉีดพ่นอนุภาคแม่เหล็กลงบนผิวงาน
โดยปกตอนุ
โดยปกติ อ นภาคแม่
ภ าคแมเหลกจะบรรจุ
เ หล็ ก จะบรรจอย่ อ ยู ใ นกระป๋
นกระปองทมหวฉด
อ งที่มี หัว ฉีด ใหทาการเขยา
ให้ทํ า การเขย่ า
กระป๋ อ งก่ อ นการฉี ด พ่ น ทุ ก ครั้ ง เพื่ อ ให้ อ นุ ภ าคแม่ เ หล็ ก กระจายตั ว อย่ า งดี ใ นสาร
แขวนลอย การฉดพนจะกระทาหลงจากใหอานาจแมเหลกลงไปอยางนอยไมตากวา
การฉีดพ่นจะกระทําหลังจากให้อํานาจแม่เหล็กลงไปอย่างน้อยไม่ต่ํากว่า 5
วินาที เพื่อให้มั่นใจว่ามีสนามแม่เหล็กที่พอเพียง

ขั้นตอนที่ 4
การทดสอบ

ให้ทําการสังเกตการเกาะตัวของอนุภาคแม่เหล็กในทันทีหลั งจากที่ฉีดพ่น
อนุภาคแม่่เหล็็กลงไป
ไป ส่่วนการบัันทึึกผลอาจทํําหลัังจากทดสอบเสร็็จสิิ้นหรืือไได้้ทดสอบ
ไปเป็นพื้นที่ขนาดหนึ่งแล้ว

57
ขัขน้นตอนที
อน ่ 5
ทําการคลายอํานาจแม่เหล็ก
ถ้ถาชนงานทจาเปนตองคลายอานาจแมเหลก
าชิ้นงานที่จําเป็นต้องคลายอํานาจแม่เหล็ก ให้
ใหกระทาดวยการใชวธดงท
กระทําด้วยการใช้วิธีดังที่
ได้กล่าวมาแล้วในทฤษฎีข้างต้น

ขั้นตอนที่ 6
ทาความสะอาดหลงการทดสอบ
ํ ส ั ร ส
ให้เลือกใช้วิธีตามความเหมาะสม ตามปกติให้ใช้สารทําความสะอาดและ
ใ ้ผ้าเช็็ด
ใช้

58
Homework 4-5
4.1 การทดสอบด้วยวิธีสารแทรกซึมสามารถทดสอบกับวัสดุชนิดใด และรอยความ
ไม่ต่อเนื่องชนิดใดบ้าง
4.2 มุมที่ของเหลวสัมผัสกับชิ้นงาน (Contact angle : (θ)) แสดงคุณสมบัติใด
ของน้ํายา
4.3 สารแทรกซึมมีกี่ชนิดอะไรบ้างให้ตอบเรียงตามความไวในการทดสอบ
4.4 ถ้าใช้สารแทรกซึมประเภทวาวแสง (Fluorescent dye) ความยาวคลื่นของ
แสงแบล็กไลต์ (Black light) จะเป็นอย่างไร และจะมีวิธีป้องกันแสงในช่วงที่เป็น
อันตรายได้อย่างไร
4.5 จงอธิบายความแตกต่างของการกําจัดสารแทรกซึมส่วนเกินโดยใช้อิมัลซิฟาย
เออร์ชนิดน้ํามัน และ อิมัลซิฟายเออร์ชนิดน้ํา
4.6 ดีเวลอเปอร์มีกี่ชนิดอะไรบ้างให้ตอบเรียงตามความไวในการทดสอบ
4.7 จงสรุปข้อได้เปรียบเสียเปรียบของการใช้เทคนิคการทดสอบด้วยสารแทรกซึม
แบบต่างๆ ตามรูปร่างและสภาพพื้นผิวของชิ้นงาน
59
55.11 การทดสอบดวยวธอนุ
การทดสอบด้วยวิธีอนภาคแม่
ภาคแมเหลกสามารถทดสอบกบวสดุ
เหล็กสามารถทดสอบกับวัสดชนิ ชนดใด
ดใด และรอย
ความไม่ต่อเนื่องชนิดใดบ้าง
5 2 ชนดของวสดุ
5.2 ชนิดของวัสดแบ่
แบงตามความเปนแมเหลกมกชนด
งตามความเป็นแม่เหล็กมีกี่ชนิด อะไรบ้
อะไรบางาง และชนดใด
และชนิดใด
สามารถนํามาทดสอบด้วยวิธีอนุภาคแม่เหล็ก
5.3 จงอธบายฮสเทอรซสแมเหลก
จงอธิบายฮีสเทอรีซีสแม่เหล็ก (Magnetic hysteresis) และอธบายเทอมท
และอธิบายเทอมที่
สําคัญ (OA, OB และ OC)
5.4 คาความซมซาบทางแมเหลก
ค่าความซึมซาบทางแม่เหล็ก (Magnetic permeability) หมายถงอะไร
หมายถึงอะไร
คําใดที่มีความหมายตรงข้ามคํานี้
5.5 การเลอกอนุ
การเลือกอนภาคตั
ภาคตวกลางแมเหลกตองคานงถงอะไรบางจงอธบาย
วกลางแม่เหล็กต้องคํานึงถึงอะไรบ้างจงอธิบาย
5.6 ทําไมต้องมีการคลายอํานาจแม่เหล็ก
5.7 ขนตอนการทดสอบประกอบดวยกขนอะไรบาง
ขั้นตอนการทดสอบประกอบด้วยกี่ขั้นอะไรบ้าง จงอธิ
จงอธบายเปนขอๆ
บายเป็นข้อๆ

60

You might also like