You are on page 1of 200

สรุปแก่นคณิตศาสตร์ม.

ปลาย
Math Kit Ebook

สรุปแก่นคณิตศาสตร์ม.ปลาย
คณิน อังศุนิตย์ เขียน
ภาพประกอบ

พิมพ์ครัง้ แรก ธันวาคม พ.ศ. 2555


ปรับปรุงเมื่อ มีนาคม พ.ศ.2557

เจ้าของลิขสิทธิ์ ขมิ้นหนังสือ (เครือขมิ้นธุรกิจ)

เผยแพร่โดย ขมิ้นศรีพัฒนาการ
รหัสหนังสือ KRM-MATH-56-12-B1-8

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

เรื่อง © 2014 คณิน อังศุนิตย์ ห้ามลอกเลียนไม่ว่าส่วนหนึง่ ส่วนใดของหนังสือเล่มนี้

ภาพประกอบ © 2014 คณิน อังศุนิตย์ ห้ามลอกเลียนไม่ว่าส่วนหนึง่ ส่วนใดของหนังสือเล่มนี้

แผนภาพ © 2014 คณิน อังศุนิตย์ ห้ามลอกเลียนไม่ว่าส่วนหนึง่ ส่วนใดของหนังสือเล่มนี้


Math Kit Ebook

ของผู้เขียน

หนังสือประกอบการเรียน ทางคณะผู้จด
ั ทา ได้จัดทาขึ้นเพื่อ นักเรียนใน

ระดับชั้น ม.ปลายที่ต้องการเตรียมพร้อมสาหรับ สอบแข่งขัน และการสอบเข้า

มหาวิทยาลัย และการเพิ่มคะแนนในโรงเรียน ในเอกสารชุดนีจ


้ ะประกอบไปด้วย

สูตรต่างๆ ทีจ
่ าเป็น พร้อมทัง้ คาแนะนา ความรู้เพิ่มเติมที่นักเรียนควรทราบในการ

เรียน และวิธใี ช้งานพร้อมคาอธิบายอย่างละเอียด เนื้อหาในเอกสารชุดนี้ได้รวบรวม

เนื้อหาที่ออกสอบ

ด้วยความปรารถนาดี

คณิน อังศุนต
ิ ย์

การจัดวางเนื้อหา
Math Kit Ebook
Math Kit Ebook

เนื้อหาภายในเล่ม

เซต ... 7 จานวนจริง ...28 ฟังก์ชัน ... 40


ตรรกศาสตร์ ...16

ภาคตัดกรวย เมตริกซ์ ... 67 เอกช์โพเนนเชียลและลอการิทึม


... 53 … 76

ตรีโกณมิติ … 83 ความน่าจะเป็น ทฤษฎีกราฟ ...


เวกเตอร์ … 96 ... 114 134
จานวนเชิงซ้อน ... 105

สถิติ ... 143 ลาดับและ แคลคูลัส …174


อนุกรม ... 162 กาหนดการเชิงเส้น … 190
Math Kit Ebook

เกี่ยวกับการเรียนคณิตศาสตร์

การเรียนคณิตศาสตร์ในระดับชั้นม.ปลายหรือ อนุปริญญา มีความสาคัญอย่างมาก เพราะ

จะเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา สาหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะเรียนต่อในระดับ

ที่สูงขึ้น เพราะคณิตศาสตร์สามารถนาไปประยุกต์ได้ในหลากหลายสาขา สาหรับสาขาทาง

วิทยาศาสตร์ จะเน้นเรื่องแคลคูลัส เวกเตอร์ ตรีโกณมิติ จานวนเชิงซ้อน ความน่าจะเป็น ทฤษฎี

กราฟ สาหรับสาขาทางด้านสังคมศาสตร์หรือศิลปะศาสตร์ จะใช้เรื่องเซต จานวนจริง สถิติ

กาหนดการเชิงเส้น ความน่าจะเป็น

ดังนั้นการปูพื้นฐานก่อนที่จะศึกษาในระดับที่สูงยิ่งขึ้นจึงเป็นปัจจัยสาคัญ ในการเรียนต่อ

ในระดับที่สูงยิ่งขึ้น ซึ่งในชีวิตประจาวันของเราจะต้องใช้คณิตศาสตร์ คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้จ่าย

การคิดราคาสินค้า การเปรียบราคาสินค้าต่อหน่วย หรือ ความน่าจะเป็นในโอกาสต่างๆ ที่จะ

เกิดขึ้น

คณิตศาสตร์เป็นวิชาทักษะ ไม่ใช่วิชาท่องจา ดังนั้นเราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะ

แนวโน้มของข้อสอบคัดเลือกโดยเฉลี่ยจะยากขึ้นทุกปี ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนระดับในการคัดเลือก

บุคคลเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีทั้งสอบข้อสอบกลาง มีทั้งข้อสอบตรง มีทั้งโควตา ฯลฯ เรา

จึงต้องศึกษาในแนวทางในการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป ในบางสาขาวิชาอาจจะใช้เพียง

คณิตศาสตร์พื้นฐาน ซึ่งในบางครั้งก็ออกนิยาม ซึ่งเราจะต้องเข้าใจถึงนิยามเหล่านั้นด้วย พบมาก

ในบทจานวนจริง และทฤษฎีจานวน ผมขอให้ทุกท่านได้ศึกษาบทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ให้เกิด

ประโยชน์สูงสุด เพราะในการสร้างสรรค์งานเขียนใช้เวลาไม่น้อยในการจัดทา เพราะเราต้องกลั่น

ถึงแก่นเนื้อหาของบทเรียน พร้อมทั้งบทเรียนที่ตัวผู้เขียนเองเคยผิดพลาดมาก่อน เราจึงย้าเตือน

เพื่อให้ทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นมาเหมือนกับหนังสือโดยทั่วไป แต่เราใช้ทั้งหัวใจในการ

ประดิษฐ์และสร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ถ้าหากหนังสือเล่มนี้มี

ข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
Math Kit EBook ห น้ า 7

บทที่ 1 เซต

พื้นฐาน Set

ประเภทของเซต เซตจากัด

การเท่ากันของเซต เซตอนันต์

เอกภพสัมพัทธ์
ข้อควรระวัง หากไม่กาหนดเอกภพสัมพัทธ์ เอกภพสัมพัทธ์ จะเป็นจานวนจริง

สับเซตและเพาเวอร์เซต

การดาเนินการทาง Set

ยูเนียน
อินเตอร์เซกชัน
ผลต่าง
คอมพลีเมนต์
การหาจานวนสมาชิก

วาดแผนภาพเวนน์ออยเลอร์

ใช้สูตร

การประยุกต์เซต

เราใช้เซตในการศึกษากลุม
่ สิง่ ต่างๆทีเ่ ราสนใจ เช่น เซต
ชื่อเดือน เซตจานวนที่ 6 เป็นพหุคูณ เซตจานวนนับ ฯลฯ เซต
ถูกใช้งานในการแก้ปัญหาจานวนสมาชิกในชีวิตประจาวัน
Math Kit EBook ห น้ า 8

เซต (Set) เป็นอนิยาม แต่เราใช้เซตในการศึกษากลุม


่ สิง่ ต่างๆทีเ่ ราสนใจ สิ่งที่อยู่ในเซต คือ
สมาชิก(Element) การเขียนสัญลักษณ์เซตคือ { } โดยการเขียนแจกแจงสมาชิกจะต้องมีจุลภาค
(,) คั่นกลางหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเซตคือสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อใช้แทนกลุ่มสิ่งต่างๆที่เรา
สนใจซึ่งเขียนภายในเครื่องหมายปีกกา { }
เครื่องหมาย คือเครื่องหมายเป็นสมาชิก
คือเครื่องหมายไม่เป็นสมาชิก

เอกภพสัมพัทธ์ (Relative Universe) คือเซตที่กาหนดขอบเขตของสมาชิกเซตที่เรา

ต้องการศึกษา เราเขียนด้วยสัญลักษณ์ ถ้าเซตไม่ได้กาหนดเอกภพสัมพัทธ์ ให้ถือว่า เอกภพ

สัมพัทธ์ คือเซตของจานวนจริง

คาแนะนา ชื่อเซตถ้าเป็นภาษาอังกฤษ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ แต่ถ้าเป็นสมาชิกให้ใช้ตัวพิมพ์เล็ก

การเขียนเซต EX เซตของสระในภาษาอังกฤษ
1. {a,e,i,o,u}
1.การเขียนแจกแจงสมาชิก
2. {x | x เป็นสมาชิกในสระในภาษาอังกฤษ}
2.การเขียนแบบบอกเงื่อนไข

หมายเหตุ ลาดับก่อนหลังของสมาชิกไม่มีความสาคัญ และ ในเซตใดๆ มีสมาชิกตัวเดียวกันมากกว่า 1 ครั้ง


ให้ถือว่าเป็นสมาชิกตัวเดียวกัน

ประเภทของเซต EX

1.เซตจากัด คือ เซตที่เราสามารถบอกจานวน 1.{1,2,3,4} เป็นเซตจากัด เพราะมีสมาชิก 4 ตัว

สมาชิกได้ 2.{x | x เป็นจานวนนับที่มีค่ามากกว่า 3} เป็นเซต

2.เซตอนันต์ คือเซตที่มีจานวนมากมายนับไม่ถ้วน อนันต์

และไม่สามารถบอกจานวนสมาชิกได้ 3.เซตว่างคือ { } หรือ

3.เซตว่าง คือ เซตที่ไม่มีสมาชิกอยู่เลย ข้อควรระวัง { } และ {{ }} ไม่เป็นเซตว่างนะครับ

สัญลักษณ์ควรรู้ I คือจานวนเต็ม I+ คือจานวนเต็มบวก I– คือจานวนเต็มลบ


R คือจานวนจริง C คือจานวนเชิงซ้อน
N คือจานวนนับ
Q คือจานวนตรรกยะ Q คือจานวนอตรรกยะ
Math Kit EBook ห น้ า 9

ความสัมพันธ์ระหว่างเซต
1.การเท่ากันของเซต
เซต A จะเท่ากับ เซต B ก็ต่อเมื่อเซตทัง้ สองมีสมาชิกเหมือนกันทุกตัว และมีจานวนสมาชิกเท่ากัน
Ex กาหนดให้ A = {1,4,6} B={1,1,1,4,6} จงพิจารณาว่าทั้งสองเซตเท่ากันหรือไม่
ทั้งเซต A และ B เท่ากันเพราะว่าเซต B มีสมาชิกทีซ
่ ้ากันถือว่าเป็นตัวเดียว กล่าวคือสมาชิกของ B
คือ {1,4,6} ดังนั้นทั้งสองเซตจึงเท่ากัน
2.สับเซต
เซต A จะเป็นสับเซตของเซต B ได้ก็ตอ
่ เมื่อ สมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B เราสามารถเขียน
ในรูปสัญลักษณ์ได้ดังนี้ A B แต่ถ้า เซต A และ B ไม่เป็นสับเซตให้เขียนด้วย A B

Ex กาหนดเซต A = {1,2,3} B = {x | x จานวนนับ}


A B เพราะสมาชิกทุกตัวของ A อยู่ใน B
B A เพราะสมาชิกทุกตัวของ B ไม่อยู่ใน A มีสมาชิกเพียง 3 ตัวที่อยู่ใน A คือ {1,2,3}

ข้อควรรู้ ถ้า A B และ A B เรียกว่า A เป็นสับเซตแท้ของ B


ข้อควรระวัง เป็นสับเซตของทุกเซต
3.เพาเวอร์เซต คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิกทุกตัวที่สับเซตทั้งหมดของเซตนัน
้ เช่น เพาเวอร์เซต A
สามารถเขียนด้วยสัญลักษณ์ P(A)
Ex A = {1,2,3}
P(A) = { { } { } { } { }{ }{ }{ }}

ดังนั้น เราสามารถสรุปได้วา่ P(A)


{ } P(A)
สับเซตแท้ของ A คือ { }{ }{ }{ }{ }{ }

ถ้าเรามีสมาชิก n ตัว แล้ว เพาเวอร์เซต มีจานวนสมาชิก 2n ตัว


Math Kit EBook ห น้ า 10

แผนภาพเวนน์–ออยเลอร์ เป็นแผนภาพที่ใช้แสดงถึงเซต ซึ่งใช้รูปปิด โดยทั่วไปจะใช้รูป


สี่เหลี่ยมผืนผ้าแทนเอกภพสัมพัทธ์ และเขียนเซตอื่นๆเป็นวงกลม
ตัวอย่างการวาด 2 เซต ตัวอย่างการวาด 3 เซต

ข้อควรรู้ ตั้งแต่ 4 เซตเป็นต้นไปไม่นิยมวาดแผนภาพ แต่เราใช้สูตรในการช่วยหาจานวนสมาชิกใน


เซตได้

การกระทาทางเซต Ex = {1,2,3,4,5} A={1,2} B={2,3,4}


1.ยูเนียน
A B คือเซตที่ประกอบไปด้วยเซตของ A
หรือ B จะได้ {1,2,3,4}

2.อินเตอร์เซกชัน
A B A B A B คือเซตที่ประกอบไปด้วยสมาชิก A
และ B คือ{2}
3.ผลต่าง
A – B คือสมาชิกทั้งหมดของ A ที่ไม่ได้
เป็นสมาชิกของ B จะได้ {1}

A B A 4.คอมพลีเมนต์
คือเซตตัวอื่นที่ประกอบอยู่ในเอกภพ
สัมพัทธ์ แต่ไม่ได้อยู่ในที่เราสนใจ เช่น
A คือไม่เอาสมาชิกทั้งหมดของ A
คือ {3,4,5}
Math Kit EBook ห น้ า 11

คุณสมบัติการดาเนินการทางเซต สูตรการหาจานวนสมาชิก
 A–B=A B =B –A  2 เซต n(A B) = n(A) + n(B)  n(A B)
 (A B) = A B  3 เซต n(A B C)
 (A B) = A B = n(A) + n(B) + n(C)
 A (B C) = (A B) (A C)  n(A B)  n(A C)  n(B C)
+ n(A B C)
สูตรการจัดรูปสับเซตและเพาเวอร์เซต
{A} B A B
{A} P(B) A (B)
{A} P(B) A (B)

ตัวอย่างที่ 1 ให้เซต A = {1,2,3,{1,2,3}} และเซต B = {1,2,{1,2}} ข้อใดต่อไปนี้ถก


ู ต้อง (Ent)

1. A B = {{1,2}} 2.A B = {{1,2},{1,2,3}} 3. A – B = {{1,2,3},3} 4.B – A =

วิธีทา พิจารณา
ข้อ 1 A B = {{1,2}} ผิดเพราะ {{1,2}} ไม่ได้อยู่ใน A
ข้อ 2 A B = {{1,2},{1,2,3}} ผิดเพราะ ขาด {1,2,3}
ข้อ 3 A – B ={{1,2,3},3} ถูกเพราะจานวนสมาชิก 2 ตัวของ A ซ้ากับ B
ข้อ 4 B – A = ผิดเพราะ {{1,2}} ไม่ได้อยู่ใน A ดังนั้น B – A = {{1,2}}
ดังนั้นข้อนี้จึงตอบข้อ 3

ตัวอย่างที่ 2กาหนดให้ A B ข้อใดผิด (สมาคมคณิตศาสตร์)


1. B A B 2. A B 3. A B=A 4. A B=B

วิธีทา พิจารณา
ข้อ 1 ถูก มี B บางส่วนไม่ได้อยู่ใน A ส่วนดังกล่าวจึงเป็นสับเซตของ B
ข้อ 2 ผิด เพราะ นอก B เป็นเซตว่าง A =
ข้อ 3 ถูกเพราะ A เป็นส่วนหนึ่งของ B เมื่อนาส่วนที่ใหญ่กว่ามา จึงตอบเซตทีเ่ ล็กกว่า
ข้อ 4 ถูกเมื่อ ถ้า A = B แล้ว A B จึงทาให้ A B=B
ดังนั้นข้อนี้จึงตอบข้อ 2
Math Kit EBook ห น้ า 12

ตัวอย่างที่ 3 กาหนด A ={ ,1,2,3, … }

และ B={{1}, {2,3}, {4,5,6}, 7, 8, 9,… }

แล้ว (A – B) (B – A) จะมีจานวนสมาชิก

วิธีทา A – B ={ ,1,2,3,4,5,6}; n(A – B) = 7

B – A = {{1}, {2, 3}, {4, 5, 6}}; n (B – A) = 3

(A – B) (B – A) ={ ,1,2,3,4,5,6,{1},{2,3},{4,5,6}}

n((A–B) (B–A)) = 10

หรือ n((A–B) (B–A)) = n(A – B) + n(B – A)

=7+3

= 10

ตอบ จานวนของสมาชิก (A−B) (B−A) คือ 10

ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้ A,B,C,D เป็นเซตใดๆ (A C) – (B D)เท่ากับข้อใดต่อไปนี้

1.(A B) (D C) 2. (A B) (C D)

3.(A B) (D C) 4. (A B) (D )

วิธีทา (A C) – (B D) = (A C) (B D)

= (A C) (B D )

= (A B) (D C)

= (A B) (D )

ตอบ ข้อ 4

ตัวอย่างที่ 5 ถ้า A= {x | x = 1 − และ n เป็นจานวนนับ}

B = {0,1, , , ,…}

และ C = {–1, 0, , { , , , …}}

แล้ว (A C) – B มีจานวนสมาชิกเท่าใด
Math Kit EBook ห น้ า 13

วิธีทา พิจารณา A จะได้สมาชิกดังนี้ {–1, 0, , , ,…}

เมื่อเรา นา A C จะได้สมาชิกดังนี้ {–1,0, }

ซึ่งสมาชิกที่ A C ซ้ากับ B คือ {0}

ดังนั้นเราจะได้ว่า (A C) – B = { – 1}

ตอบ ได้จานวนสมาชิกทั้งหมด 1 ตัว

ตัวอย่างที่ 6 กาหนดให้ A = {0, 1, {1}} และ B ={0, {1}, {0,1}} จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้

ก. A P{B}

ข {{1}} P(A) P(B)

ค. จานวนสมาชิกของ P(A B) = 2

1.ถูกทุกข้อ 2.ถูก 2 ข้อ 3.ถูก 1 ข้อ 4.ผิดทุกข้อ

วิธีทา พิจารณา P(A) และ P(B)

P(A) = { , {0}, {1}, {{1}}, {0,1}, {0,{1}}, {1,{1}}, {0,1,{1}}} .

P(B) = { , {0}, {{1}} ,{{0, 1}}, {0, {1}}, {0, {{0,1}}}, {{1}, {0,1}}, {0,{1}, {0,1}}}

จากข้อ ก พบว่า {0, 1} ไม่ได้อยู่ใน P(A) ดังนั้นข้อนี้จึงผิด

จากข้อ ข P(A) P(B) = { , {0} , {{1}} , {0,{1}}}

{{1}} P(A) P(B) ดังนั้นข้อนี้จึงถูก

จากข้อ ค จาก A B ={0, {1}} เมื่อเราหาสับเซตเราจะได้ทั้งหมด 22 ตัว

คือ 4 ตัวไม่ใช่ 2 ตัวดังนั้นข้อนี้จึงผิด

ตอบ ข้อ 3
Math Kit EBook ห น้ า 14

ตัวอย่างที่ 7 ในการสอบถามพนักงานจานวน 300 คนในบริษัทแห่งหนึ่งพบว่า

มีพนักงานชอบดื่มชาเขียว จานวน 80 คน

มีพนักงานชอบดื่มน้าผลไม้รวมจานวน 140 คน

มีพนักงานไม่ชอบดื่มทั้ง 2 อย่างจานวน 100 คน

จงหาค่ามีจานวนพนักงานที่ชอบดื่มเพียงชนิดเดียว

วิธีทา

กาหนด x เป็นจานวนพนักงานชอบดื่มชาและน้าผลไม้รวม ทั้ง 2 ชนิด

80 + 140 – x +100 = 300

x = 20

มีพนักงานชอบดื่มชาเขียวเพียงอย่างเดียว จานวน 80– 20 = 60 คน

มีพนักงานชอบดื่มน้าผลไม้รวมจานวนเพียงอย่างเดียว 140– 20 =120 คน

ดังนั้นมีพนักงานที่ดื่มเครื่องดื่มเพียงชนิดเดียวจานวน 60 + 120 = 180 คน


Math Kit EBook ห น้ า 15

ตัวอย่างที่ 8 จากการสารวจของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 82 คน พบว่า

มีนักเรียนชอบวิชาสังคมจานวน 40 คน

มีนักเรียนชอบวิชารายได้ประชาชาติจานวน 30 คน

มีนักเรียนชอบวิชาบัญชีในชีวิตประจาวันจานวน 20 คน

มีนักเรียนที่ไม่ชอบทั้ง 3 วิชาจานวน 10 คน

มีนักเรียนที่ชอบวิชาสังคมเพียงวิชาเดียว 30 คน

มีนักเรียนที่ชอบวิชาสังคมและบัญชี 5 คน

มีนักเรียนที่ชอบบัญชี เพียงอย่างเดียว 10 คน

จงหาจานวนนักเรียนที่ชอบทั้ง 3 วิชา

วิธีทา

จากข้อมูลที่โจทย์กาหนด นาข้อมูลโจทย์มาหาส่วนที่เหลือ

กาหนด x คือนักเรียนที่ชอบทั้ง สังคม รายได้ประชาชาติและ บัญชี

30 + 5 + 5 + 10 +10 +(5 – x) + x + (20 – x) = 72

75 – x = 72

75 – 72 = x

x=3

ดังนั้นนักเรียนที่ชอบเรียนทั้ง 3 วิชามีจานวน 3 คน
Math Kit EBook ห น้ า 16

บทที่ 2 ตรรกศาสตร์

ประพจน์และการเชื่อมประพจน์
หรือ เป็นเท็จเพียงกรณีเดียวคือ เท็จหรือเท็จ ได้เท็จ ค่าความจริงเป็นจริงง่าย
และ เป็นจริงเพียงกรณีเดียวคือ จริงและจริง ได้จริง ค่าความจริงเป็นจริงยาก
ถ้า... แล้ว... เป็นเท็จเพียงกรณีเดียวคือ ถ้า จริง แล้วเท็จ ได้เท็จ
ก็ต่อเมื่อ เป็นจริงต่อเมื่อ ตัวหน้าและตัวหลังเหมือนกัน
สมมูล

ประพจน์ที่มีค่าความจริงเหมือนกัน

สัจนิรันดร์ / สมเหตุสมผล
ประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริงทุกกรณี

ตรวจสอบให้ทุกตัวเป็นเท็จ ถ้าเกิดการขัดแย้ง แสดงว่าเป็นสัจนิรันดร์


ต้องเป็นสัจนิรันดร์ถึงจะสมเหตุสมผล

ตัวบ่งปริมาณ อุปนัย

การให้เหตุผล (เลขพื้นฐาน) นิรนัย

บทตรรกศาสตร์เป็นบททีใ่ กล้เคียงกับเซตมากทีส
่ ด
ุ บทหนึง่ การดาเนินทางทางเซต เราสามารถใช้

แทนการดาเนินการของตรรกศาสตร์บางตัวได้

ตรรกศาสตร์ เซต

ค่าความจริงเป็นจริง
ค่าความจริงเป็นเท็จ
(และ)
(หรือ)
(นิเสธ) (คอมพลีเมนต์)

ตรรกศาสตร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการ วิเคราะห์ค่าความจริง


(จริงหรือเท็จ) ของประโยคต่างๆ
Math Kit EBook ห น้ า 17

ตรรกศาสตร์ (Logic) เป็นการศึกษาที่ว่าด้วยการให้เหตุผล โดยมักจะเป็นส่วนสาคัญของวิชา


ปรัชญา คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงภาษาศาสตร์ ตรรกศาสตร์เป็นการตรวจสอบข้อโต้แย้งที่
สมเหตุสมผล (valid argument)

ประพจน์ (proposition) หมายถึงประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธที่สามารถบอกได้ ว่าเป็นจริงหรือ


เท็จเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เช่น 1+5 = 10 มีค่าความจริงเป็นเท็จ
ประโยคเปิด (Open Sentence) หมายถึง ประโยคที่ติดตัวแปรซึ่งไม่สามารถบอกว่าเป็นจริงหรือ
เท็จได้ แต่เราสามารถทาให้เป็นประพจน์ได้โดยการแทนค่าตัวแปร
เช่น x+1=5
ตาราง การเชือ
่ มประพจน์ (compound proposition) สมมูลที่สาคัญ
p q p q p q p q p q p 1. p q p q q p
T T T T T T F 2. (p q) p q
T F T F F F F (p q) p q
F T T F T F T 3. p (q r) (p q) (p r)
F F F F T T T p (q r) (p q) (p r)
4. p q (p q) (q p)

ค่าความจริงเป็นจริง (True) ใช้ตัวย่อ T


ค่าความจริงเป็นเท็จ (False) ใช้ตัวย่อ F

ตัวเชื่อมของประพจน์แบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ
1. และ (and)
2. หรือ (or)
3. ถ้าแล้ว (if… then …)
4. ก็ต่อเมื่อ (… if and only if ..)
นิเสธ คือ ค่าความจริงจะตรงข้ามกัน
สัจนิรน
ั ดร์ (Tautology) คือประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริงทุกกรณี
การตรวจสอบ ว่าเป็นสัจนิรน
ั ดร์หรือไม่
1. เขียนตารางค่าความจริง
2. สมมติให้ประพจน์มีค่าความจริงเป็นเท็จ แล้วตรวจสอบว่าขัดแย้งหรือไม่ ถ้าขัดแย้งแสดงว่าเป็นสัจ
นิรันดร์
3. a b เป็นสัจนิรันดร์ก็ต่อเมือ
่ a b
Math Kit EBook ห น้ า 18

ตัวอย่างที่ 1 ให้ p, q, r, s เป็นประพจน์ ถ้า [p (q r)] (s r) มีค่าความจริงเป็นจริงและ

p s มีค่าความจริงเป็นเท็จ แล้วข้อใดต่อไปนี้ถูก (Ent 45 มีนาฯ)

1. p q มีค่าความจริงเป็นจริง 2. q r มีค่าความจริงเป็นจริง

3. r s มีค่าความจริงเป็นเท็จ 4. s p มีค่าความจริงเป็นเท็จ

วิธีทาให้พิจารณา p s มีค่าความจริงเป็นเท็จ ดังนั้น p เป็นเท็จ p จึงเป็นจริง และ s เป็น

เท็จ

p เป็นจริง

q เป็นจริง

r เป็นเท็จ

s เป็นเท็จ

ดังนั้น p q มีค่าความจริงเป็นจริง T T T ตอบข้อ 1


Math Kit EBook ห น้ า 19

การอ้างเหตุผล Ex เหตุ
ให้ P1,P2,P3,…,Pn เป็นเหตุ และ C เป็นผล 1. P Q
การอ้างเหตุผลจะสมเหตุสมผลก็ต่อเมือ
่ 2. Q
[P1 P ,P3 … Pn] C เป็นสัจนิรันดร์ ผล P

วิธีทาให้
เหตุ 1. P Q T
2. Q T
ผล P F
จากเหตุ Q เป็นเท็จ
ทาให้เหตุอันที่ 1 ขัดแย้ง
ข้อนี้จงึ สมเหตุสมผล
ตัวบ่งปริมาณ (Quantifier)

เป็นข้อความที่ใช้บ่งบอกจานวนตัวแปรในประโยคเปิด โดยเกี่ยวข้องกับสมาชิกในเอกภพ
สัมพัทธ์ มีทั้งหมด 2 ชนิดคือ
1. Universal Quantifier เป็นตัวบ่งปริมาณทั้งหมดของสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ์ ใช้

x[P(x)] เป็นสัญลักษณ์ แทนข้อความ สาหรับ x ทุกตัว ค่าความจริง ประพจน์จะเป็นจริง

ได้ต่อเมื่อ ทุกกรณีต้องเป็นจริง หากเป็นเท็จแม้แต่กรณีเดียวก็เป็นเท็จ

Ex 1 x[x+1 > 3] { }

ประพจน์นี้มค
ี ่าความจริง เป็นจริงเนื่องจากทั้ง 4 ,5 และ 6 นาไปบวก 1 ซึ่งทุกตัวมีค่า

มากกว่า 3

Ex 2 x[3x+1 > 5 ] = I+

ประพจน์นี้มีค่าความจริงเป็นเท็จ เมื่อถ้า x = 1

2. Existential Quantifier เป็นตัวบ่งปริมาณบางสิ่งของสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ์ ใช้

x[P(x)] เป็นสัญลักษณ์ แทนข้อความ มี x บางตัว ค่าความจริง จะเป็นจริงได้ต่อเมื่อมี

กรณีใดก็ตามเป็นจริงเพียงกรณีเดียวก็มีค่าความจริงเป็นจริง ในทางกลับกันถ้าทุกกรณีเป็น

เท็จ ค่าความจริงจะมีค่าเป็นเท็จ
Math Kit EBook ห น้ า 20

การหาค่าความจริงของตัวบ่งปริมาณ 2 ตัว

x y มีค่าความจริงเมื่อ x และ y ใน แทนค่าแล้วเป็นจริงทุกกรณี มีโอกาสเกิดจริงยาก

x y มีค่าความจริงเมื่อ x และ y อย่างน้อย 1 คู่ใน แทนค่าแล้วเป็นจริง มีโอกาสเกิดจริง

ง่าย

x y มีค่าความจริงเมื่อ x ทุกค่าสามารถหาค่า y บางตัวได้ แล้วจะมีค่าความจริงเป็นจริง

x y มีค่าความจริงเมื่อ x อย่างน้อย 1 ตัวทาให้ y ทุกตัวใน แทนค่าแล้วเป็นจริง

ตัวอย่างวิธีการใช้งาน กาหนดให้ x คือเด็กในห้องเรียนหนึ่ง y คือ สัตว์เลี้ยง

x y คือ เด็กทุกคนต้องเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทุกชนิด x y คือเด็กทุกคนเลียงสัตว์เลี้ยงบางชนิด

x y คือ เด็กบางคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทุกชนิด x y คือ เด็กบางคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงบางชนิด


Math Kit EBook ห น้ า 21

ตัวอย่างที่ 2 จงหาความจริงต่อไปนี้เมื่อกาหนด ={0,1,2,3}

x y[x > y] มีค่าความจริงเป็นเท็จเช่นเมื่อ x = 0 y = 1 เป็นเท็จ เมื่อเป็นเท็จกรณีใดกรณีหนึ่ง

ก็มค
ี ่าความความจริงของตัวบ่งปริมาณเป็นเท็จทันที

x y[x > y] มีค่าความจริงเป็นจริงเช่น เมื่อ x = 2 y =0 เมื่อมีกรณีใดก็ตามเป็นจริงเพียงกรณี

เดียว ก็จะทาให้ค่าความความจริงของตัวบ่งปริมาณเป็นจริงทันที

x y[x > y] มีค่าความจริงเป็นเท็จ

x y[x > y] มีค่าความจริงเป็นเท็จเพราะไม่มี x ที่สามารถทาให้ y ทุกค่าเป็นจริง

นิเสธของตัวบ่งปริมาณ

~ x[P(x)] x[~P(x)]

~ x[P(x)] x[~P(x)]

ตัวอย่างที่ 3 กาหนดให้เอกภพสัมพัทธ์คือ {–1,1,2} จงหาค่าความจริงของ x[x2 – x + 6= 0]

วิธีทา ให้พิจารณาคาตอบของสมการ x2 – x + 6= 0

เนื่องจากสมการดังกล่าวไม่สามารถแยกตัวประกอบ เราสามารถใช้ตัวเลขที่โจทย์กาหนด

แทนลงในสมการเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง

(–1)2 + 1 + 6 = 7

(1)2 – 1 + 6 = 6

(2)2 – 2 + 6 = 8

ดังนั้นค่าความจริงจึงเป็นเท็จ
Math Kit EBook ห น้ า 22

ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้ p,q,r และ s เป็นประพจน์ที่

ประพจน์ (p q) (r s) มีค่าความจริงเป็นเท็จ

ประพจน์ p r มีค่าความจริงเป็นจริง

ประพจน์ข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นจริง (PAT1 ก.ค. 53)

1. (p q) (q r) 2.q [p (q ~r)]

3. (p s) (r q) 4. (r s) [q (p r)]

วิธีทา จากโจทย์ (p q) (r s) มีค่าความจริงเป็นเท็จทาให้ทราบว่า r และ s มีค่าความจริงเป็น

เท็จเนื่องจาก T F F

เมื่อทราบว่า r เป็นเท็จจะทาให้ p มีค่าความจริงเป็นเท็จ เนื่องจาก p r มีค่าความจริงเป็นจริง

ดังนั้น q จึงมีค่าความจริงเป็นเท็จ

ตอบ ข้อ 2
Math Kit EBook ห น้ า 23

ตัวอย่างที่ 5 ประพจน์ใดที่สมมูลกับ ~[(p ~q) (~p v r)]

1.p v (q ~r) 2.p (q v ~r) 3.p v (~ q r) 4.p (~q v r)

วิธีทา ขั้นแรกให้กระจายนิเสธจะว่า

[~ (p ~q) v ~ (~p v r)] [~(~p v ~q) v (p ~r)]

[(p q) v (p ~r)]

[(p (q v ~r)]

ตอบ ข้อ 2

ตัวอย่างที่ 5 กาหนดให้ p,q,r เป็นประพจน์ ประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้ไม่เป็นสัจนิรันดร์

1.(p q) [~r (p q)] 2.(~p v q) (~q ~p)

3.(p q) v (q r) v (~p ~q) 4.[(p q) v r)] [(~p v q) v (~r ~p)]

ตอบ ข้อ 3
Math Kit EBook ห น้ า 24

การให้เหตุผล (เลขพื้นฐาน)

ส่วนประกอบของการให้เหตุผลแบ่งเป็น 2 แบบดังนี้

1. ข้ออ้างหรือเหตุ มักปรากฎคาว่า เพราะว่า เนื่องจาก ด้วยเหตุที่ว่า ฯลฯ

2. ข้อสรุปหรือผล มักปรากฎคาว่า เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุนี้จึง ดังนั้น ฯลฯ

ประเภทของการให้เหตุผล

การให้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive reasoning) เป็นการให้เหตุผลโดยอาศัยข้อสังเกต

หรือผลการทดลองจากหลาย ๆ ตัวอย่าง มาสรุปเป็นข้อตกลง หรือข้อคาดเดาทั่วไป หรือคา

พยากรณ์ ซึ่งจะเห็นว่าการจะนาเอาข้อสังเกต หรือผลการทดลองจากบางหน่วยมาสนับสนุนให้

ได้ข้อตกลง หรือ ข้อความทั่วไปซึ่งกินความถึงทุกหน่วย ย่อมไม่สมเหตุสมผล

ข้อสังเกตของการให้เหตุผลแบบอุปนัย

1. ข้อสรุปของอุปนัย ไม่จาเป็นต้องเป็นจริงเสมอไป

2. ข้อสรุปของอุปนัยสามารถเกิดขึ้นได้มากกว่า 1 คาตอบ

3. ข้อสรุปของอุปนัยสามารถเกิดความผิดพลาดได้สูง

ตัวอย่าง เหตุ 1.ห่านตัวนี้สีขาว

2.ห่านตัวนั้นก็สีขาว

3.ห่านตัวโน้นก็สีขาว

ดังนั้น ข้อสรุปคือ ห่านทุกตัวมีสีขาว

ตัวอย่าง เหตุ 1.คอมพิวเตอร์ที่บ้านใช้ไฟฟ้า

2.คอมพิวเตอร์พกพาใช้ไฟฟ้า

3.คอมพิวเตอร์ในสานักงานใช้ไฟฟ้า

ดังนั้น ข้อสรุปคือ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องใช้ไฟฟ้า


Math Kit EBook ห น้ า 25

การให้เหตุผลแบบนิรนัย(Deductive reasoning)เป็นการนาความรู้พื้นฐานที่อาจเป็น

ความเชื่อ ข้อตกลง กฎ หรือบทนิยาม ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้มาก่อนและยอมรับว่าเป็นจริง เพื่อหาเหตุผล

นาไปสู่ข้อสรุป

ข้อสังเกตของการให้เหตุผลแบบนิรนัย

1. เหตุเป็นจริง และ ผลเป็นจริง

2. เหตุเป็นเท็จ และ ผลเป็นเท็จ

3. ข้อสรุปของนิรนัยไม่ได้เป็นจริงทุกกรณีเสมอไป

ตัวอย่าง เหตุ 1.นายจรัสเป็นมนุษย์

2.มนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิต

3.สิ่งมีชีวิตต้องการอากาศหายใจ

ดังนั้น ข้อสรุป นายจรัสต้องการอากาศหายใจ

ตัวอย่าง เหตุ 1.นางสาวกานดาเกิดจังหวัดเชียงใหม่

2.จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว

3.จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย

ดังนั้น ข้อสรุป นางสาวกานดาเกิดในจังหวัดท่องเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทย

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบนิรนัยจะให้ความแน่นอน แต่การให้เหตุผลแบบ

อุปนัย จะให้ความน่าจะเป็น

วิธีการตรวจสอบว่าข้อสรุปสมเหตุสมผลหรือไม่

ใช้แผนภาพเวนน์ – ออยเลอร์ตรวจสอบความสมเหตุสมผล โดยในการวาดถ้าทุกแผนภาพ

แสดงผลข้อสรุปตามที่กาหนดแสดงว่า ข้อสรุปสมเหตุสมผล แต่ในทางกลับกัน ถ้ามีแผนภาพแม้

เพียงกรณีเดียวที่ไม่สมเหตุสมผล แสดงว่าข้อสรุปนั้นไม่สมเหตุสมผล
Math Kit EBook ห น้ า 26

ตัวอย่างที่ 1 เหตุ 1.มนุษย์ทุกคนมีหนวด

2.แมวบางตัวมีหนวด

ข้อสรุป แมวทุกตัวเป็นมนุษย์

จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่

วิธีทา วาดแผนภาพ

จากแผนภาพพบว่ามีแมวบางตัวที่มีหนวดแต่ไม่ใช่มนุษย์และแมวบางตัวไม่มีหนวด

ดังนั้น ข้อสรุป แมวทุกตัวเป็นมนุษย์ จึงไม่สมเหตุสมผล

ตัวอย่างที่ 2 เหตุ 1.คนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ต้องมีบัตรประชาชน

2.นายกฤษฎา เป็นคนไทย

3.นายกฤษฎา อายุ 17 ปี

ข้อสรุป นายกฤษฎา มีบัตรประชาชน

จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่

วิธีทา วาดแผนภาพ

จากแผนภาพคนไทยและมีบัตรประชาชนมีนายกฤษฎา

ดังนั้น ข้อสรุป นายกฤษฎา มีบัตรประชาชนจึงสมเหตุสมผล


Math Kit EBook ห น้ า 27

ตัวอย่างที่ 3 .จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วระบุว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
เหตุ ชาวนาบางคนรวย
คนรวยบางคนเป็นคนดี
ผล คนรวยบางคนไม่เป็นชาวนาและไม่เป็นคนดี

ตอบไม่สมเหตุสมผลเพราะมีกรณีที่เป็นเท็จ
Math Kit EBook ห น้ า 28

บทที่ 3 จานวนจริงและทฤษฏีจานวน

การแก้สมการ
แยกตัวประกอบ
กาลัง 2

มากกว่ากาลัง 2 −𝑏 ± 𝑏2 − 𝑎𝑐
ใช้สูตร
𝑎
จับคู่ดึงตัวร่วม

หารสังเคราะห์
การแก้อสมการ

แยกตัวประกอบ

เขียนเส้นจานวน ระวังเรื่องการใส่เครื่องหมาย

ค่าสัมบูรณ์

|x|≤a -a ≤ x ≤ a

|x|≥a x ≥ a หรือ x ≤ -a

|x|≥|y| (x)2 ≥ (y)2

รูปแบบอืน
่ ๆแยกช่วงคิด

ทฤษฎีจานวน

หารลงตัว a|b อ่านว่า a หาร b ลงตัว

ห.ร.ม. ใช้วิธีของยูคลิด

ค.ร.น. ใช้หารสั้น

จานวนจริง เป็นจานวนที่ใช้อยู่ในชีวิตประจาวันของเราซึ่ง
มีทั้งจานวนบวก จานวนลบ หรือแม้แต่จานวนเต็มศูนย์
Math Kit EBook ห น้ า 29

จานวนจริง(Real Number) คือจานวนที่สามารถเขียนบนเส้นตรงที่มีความยาวไม่สิ้นสุด


(เส้นจานวน) ได้ คาว่า จานวนจริง ซึ่งประกอบด้วยจานวนตรรกยะ และจานวนอตกรรกยะ

จานวนเต็ม ประกอบไปด้วยจานวนเต็ม
จานวนจริง บวก จานวนเต็มศูนย์ จานวนเต็มลบ
จานวนนับ หรือจานวนเต็มบวก
ได้แก่ 1,2,3,...
จานวนตรรกยะ จานวนอตรรกยะ

จานวนเต็มลบ ได้แก่ –1, –2, –3, ... โดย


มี –1 มีค่ามากที่สุด

เศษส่วน จานวนเต็ม จานวนคู่ คือจานวนที่ 2 หารลงตัว


จานวนคี่ คือจานวนที่ 2 หารไม่ลงตัว

จานวนเต็มบวก จานวนเต็มศูนย์ จานวนตรรกยะ คือจานวนทีส


่ ามารถ
เขียนรูปเศษส่วนได้ เช่น 4 , 3.67
จานวนเต็มลบ 3.4848..

จานวนอตรรกยะคือจานวนที่ไม่สามารถ
เขียนในรูปเศษส่วนได้ เช่น
6.5123...,e,

สมบัติของจานวนจริง

สมบัติ การบวก การคูณ


ปิด ถ้า a และ b เป็นจานวนจริงแล้ว a + b R ถ้า a และ b เป็นจานวนจริงแล้ว a x b R
สลับที่ a+b=b+a axb=bxa
เปลี่ยนกลุ่ม (a + b) + c = a + (b + c) (a b) c=a (b c)
เอกลักษณ์ 0 1
อินเวอร์ส –a

แจกแจง a (b+c) = a b + a c

ความรูเ้ สริม

เอกลักษณ์ คือ จานวนซึ่งนาไปดาเนินการกับจานวนใดแล้วได้จานวนนั้นแล้วได้ตัวเดิม

อินเวอร์ส (a–1) คือจานวนก็ตามซึ่งนาไปดาเนินการกับจานวนใดแล้วจะได้ เอกลักษณ์


Math Kit EBook ห น้ า 30

การดาเนินการด้วย Operation

เครื่องหมายดาเนินการ (Operators) หรือ ตัวดาเนินการ นั้นกาหนดการการกระทาที่เกิด

ขึ้นกับตัวแปรและค่าคงที่ โดยที่นิพจน์ประกอบด้วยตัวแปร และค่าคงที่ และใช้ตัว ดาเนินการ

คานวณเพื่อให้ได้ค่า

ตัวอย่างที่ 1 กาหนด * เป็นตัวดาเนินการในระบบจานวนจริง ให้ a และ b เป็นจานวนจริงบวก


ทุก a * b = 2a + b
a*a=1
b*b=0
จงหาค่า 5 * (10 * 5)
วิธีทา 5 * (10 * 5) = 5 * (2(10)+5)
= 5 * 25
= 2(5) + 25
= 35
ตอบ 35
ตัวอย่างที่ 2 กาหนด * เป็นตัวดาเนินการในระบบจานวนจริง ให้ a และ b เป็นจานวนจริงบวก

โดยนิยามของ * คือ a * b = 4a + 2b – 1 จงหาเอกลักษณ์ของการดาเนินการต่อไปนี้

วิธีทา กาหนดให้ e เป็นเอกลักษณ์ของการดาเนินการ ดังนั้น a * e = a

จาก a*e = 4a + 2e –1

4a + 2e − 1 = a

2e = 1 – 3a
e = 1 – 3a
2

ตอบ 1 – 3a
2
Math Kit EBook ห น้ า 31

การแก้สมการพหุนามดีกรี 2 (Quadratic equation)

สมการกาลังสองมีรูปทั่วไป คือ
ax2 + bx + c = 0 เมื่อ x เป็นตัวแปร และ a,b,c เป็นค่าคงที่และ a ไม่เป็น 0
การแก้สมการกาลังสอง
1. การสมการโดยการแยกตัวประกอบ
− ± 2−
2. ใช้สูตร
ข้อสังเกต
 ถ้า b2 4ac > 0 สมการจะมี 2 คาตอบ
 ถ้า b2 4ac = 0 สมการจะมี 2 คาตอบที่เหมือนกัน
 ถ้า b2 4ac < 0 สมการไม่มีคาตอบเป็นจานวนจริง
คาตอบของสมการจะเป็นจานวนเชิงซ้อน

การแก้สมการพหุนามดีกรีตั้งแต่กาลัง 3 ขึ้นไป

วิธีที่ 1 จับคู่ดงึ ตัวร่วม


Ex x3 – 2x2 – 6x + 12 = 0

x2(x – 2) – 6(x – 2) = 0

(x2 – 6)(x – 2) = 0

(x – )(x + )(x – 2) = 0

x=– ,2,

ความรู้เสริม

สมการพหุนามดีกรี 3 ในรูป ax3 + bx2 + cx + d = 0 เรียกว่า Cubic equation

สมการพหุนามดีกรี 4 ในรูป ax4 + bx3 + cx2 + dx +e = 0 เรียกว่า Quartic equation


Math Kit EBook ห น้ า 32

วิธีที่ 2 ใช้ทฤษฏีเศษเหลือและหารสังเคราะห์
หลักการแก้โจทย์คือ
Ex x3 + 4x2 – 7x – 10 = 0

ลองแทนเลขพบว่า แทน 2 แล้วสมการเป็นจริง นาสุ่มตัวเลขไปแทนแล้วทาให้สมการเป็น

จริง แล้วนาตัวเลขนั้นไปหารสังเคราะห์

ตัวเลขที่สุ่มไปแทนต้องหารตัวเลข ตัว

สุดท้ายของโจทย์ลงตัว การสุ่มเราต้องสุ่ม

ทั้งค่าบวกและลบ

เมื่อทราบว่าใดหารลงตัว แล้วนา

สัมประสิทธิ์จากโจทย์มาเป็นตัวตั้งแล้ว

หารด้วยจานวนนั้น

(x – 2)(x2 + 6x + 5) = 0
(x – 2)(x + 5)(x + 1)=0
x = 2 , –5 , –1

ข้อควรรู้
(น+ล)3 = น3 + ล3 + 3นล(น+ล)
(น−ล)3 = น3 − ล3 − 3นล(น−ล)
Math Kit EBook ห น้ า 33

ช่วงและการแก้อสมการ

ช่วง (Interval) เมื่อกาหนด a และ b เป็นจานวนจริงโดยที่ a < b


ช่วงเปิด (Opened Interval) จาก a ถึง b คือ (a,b) = {x R | a < x< b }
ช่วงปิด (Closed Interval) จาก a ถึง b คือ [a,b]={x R|a≤x≤b}
ช่วงครึง่ เปิดทางขวา (Interval half open on the right)
จาก a ถึง b คือ [a,b) = {x R|a≤x<b}
ช่วงครึง่ เปิดทางซ้าย (Interval half open on the left)
จาก a ถึง b คือ (a,b] = {x R|a x≤b}

หลักการแก้อสมการ

1. ย้ายข้างเหมือนสมการทุกอย่าง ยกเว้น ถ้าเอาจานวนลบไปคูณหรือการให้กลับ

เครื่องหมาย

2. ย้ายข้างจนกว่าด้านหนึ่งจะกลายเป็น 0 และแยกตัวประกอบ

3. เขียนเส้นจานวน หาค่าวิกฤติ (คือเลขที่ทาให้ค่าเป็น 0)

4. ใส่เครื่องหมายเป็นเส้นจานวน

Ex จงแก้อสมการต่อไปนี้ x2 – 6x + 2 > –7

x2 – 6x + 9 > 0 ค่า + เกิดจากการแทนเลขที่


(x – 3)(x – 3) > 0 มากกว่า 3 แล้วพบว่าทุกตัวมีค่า

เราจึงสามารถเขียนเส้นจานวนได้ดังนี้ เป็นบวก เพราะฉะนั้นเราต้องแทน

เลขลงไปจึงจะทราบ ช่วงจะเป็น

บวกหรือลบ
+ 3 +

เซตคาตอบ คือ R – {3}


Math Kit EBook ห น้ า 34

ตัวอย่างที่ 3 จงเขียนเส้นจานวนของอสมการต่อไปนี้

1.(x – 3)(5 – x) > 0

ตอบ (3,5) เพราะหากเรานาตัวเลขที่อยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 มาแทนลงในสมการ มีผลให้คาตอบได้เป็นจานวน

บวกเสมอแต่ในทางกลับกัน ถ้านาช่วงที่นอ
้ ยกว่า 3 หรือ มากกว่า 5 ไปแทนลงในสมการจะทาให้สมการได้

คาตอบเป็นจานวนลบเสมอ

2.(x – 6)2 (x – 2)(x + 1) < 0

ตอบ (–1,2) เพราะหากเรานาตัวเลขที่อยูร่ ะหว่าง 3 ถึง 5 มาแทนลงในสมการ มีผลให้คาตอบได้เป็น

จานวนบวกเสมอ

3.(7 – x)2(x + 3) ≤ 0

ตอบ (∞,–3] {7}

− − − 2
4. ≥0

ตอบ (–∞,–2) (1,3] {2} เพาระ ที่เราไม่รวม –2 กับ 1 มาเป็นคาตอบเพราะถ้าถ้านามารวมเป็นคาตอบ


จะทาให้ส่วนเป็น 0 แล้วหาค่าไม่ได้
Math Kit EBook ห น้ า 35

ตัวอย่างที่ 4 จงหาเซตคาตอบของ < –1


วิธีทา + 1 < 0 คาแนะนาถ้าเป็นเศษส่วนแล้วมีตัวแปรซึง่ ไม่ทราบว่าจะเป็นบวกหรือลบห้ามคูณไขว้



<0


<0

ตอบ คาตอบอยู่ในช่วง (1,2)

ค่าสัมบูรณ์

นิยาม สาหรับจานวนจริงใดๆ a, ค่าสัมบูรณ์ของ a เขียนแทนด้วย |a| เท่ากับ a ถ้า a ≥ 0 และ


เท่ากับ −a ถ้า a < 0 |a| จะไม่เป็นจานวนลบ
ค่าสัมบูรณ์จะเป็นจานวนบวกหรือศูนย์เสมอ นั่นคือจะไม่มีค่า a ที่ |a| < 0
|x| = |–x| |x – y| =| y – x | |x + y| ≤ |x| + |y| |x – y| ≥ |x| – |y|

|x • y| = |x||y| | | = ;y≠0 |xn| = |x|n |x2|=x2

การแก้อสมการค่าสมบูรณ์ตัวเดียว การแก้อสมการค่าสมบูรณ์สองตัว
|x|≤a –a ≤ x ≤ a | x | เครื่องหมายอสมการ | a | ให้ยกกาลังสองทัง้
ตัวอย่าง สองข้าง
|x–3|<5 ตัวอย่าง
–5 < x – 3 < 5 | 4x + 3 | > | 3x – 1 |
–2 < x < 8 (4x + 3)2 > (3x – 1)2
|x|≥a x ≥ a หรือ x ≤ –a (4x + 3)2 – (3x – 1)2 > 0
ตัวอย่าง (4x + 3 – 3x + 1)(4x + 3 + 3x – 1) > 0
|x–2|>7 (x + 4)(7x + 2) > 0
x – 2 > 7 หรือ x – 2 < –7
x > 9 หรือ x < –5
+ –4 - – +
Math Kit EBook ห น้ า 36

การแก้อสมการค่าสมบูรณ์รูปแบบอื่นๆ
ตัวอย่าง |x–3|+|x–1|≤2

x ≤ 1 1≤x≤3 x≥3
นาคาตอบที่ได้มา – (x – 3) – (x – 1) ≤ 2 –(x – 3) + (x – 1) ≤ 2 (x – 3)+(x – 1) ≤ 2

อินเตอร์เชกชันกับ –2x + 4 ≤ 2 2≤2 2x – 4 ≤ 2


–2x ≤ –2 2x ≤ 6
ช่วง
x≥ 4 x≤3
ช่วงนี้ไม่มีคาตอบ ได้ 1 ≤ x ≤ 3 ช่วงนี้ไม่มีคาตอบ

นาตอบทุกช่วงมายูเนียนกัน เซตคาตอบคือช่วง [1,3]

การหารลงตัว Ex จงแสดงว่า 4|20


n|m คือ n หาร m ลงตัว หรือกล่าวว่า m ถูก n วิธีทา 20 = 4×5 + 0
หารลงตัว เศษเป็น 0 แสดงว่า 4 หาร 20 ลงตัว
n คือตัวหาร m คือพหุคณ
ู ของ n
ขั้นตอนการหาร
m = n(q) + r
m คือตัวตั้ง n คือตัวหาร q คือผลหาร r คือเศษ
ห.ร.ม. (a,b) แทน ห.ร.ม. ของ a และ b คือ (15,25) = 5 เพราะ 5 คือจานวนเต็มบวกที่มาก
จานวนเต็มบวกที่มากที่สุดทีห
่ าร a และ b ลงตัว ที่สุด ที่หารทัง้ 15 และ 25 ลงตัว
ขั้นตอนของยุคลิด Ex จงหา ห.ร.ม. ของ 14 และ 58
1) ต้องการหา ห.ร.ม. ของ a,b ให้ใช้วิธีการหาร 58 = 14(4) + 2
2) (a,b) = ( ตัวหาร , เศษเหลือ ) 14 = 2(7) + 0
3) ทาขั้นตอน 2 ไปเรือ
่ ยๆ จนกว่าเศษจะเป็น 0
4) เศษเหลือตัวสุดท้ายของการหารก่อนเศษเป็น 0 ดังนั้น (14,58) = 2
คือ ห.ร.ม.
ค.ร.น. [a,b] แทน ค.ร.น. ของ a และ b คือจานวน Ex จงหาค.ร.น. ของ 4 กับ 6
เต็มบวกที่น้อยที่สุดที่หารด้วย a และ b ลงตัว 4 • 6 = ห.ร.ม. • ค.ร.น.
24 = 2 • ค.ร.น.
ดังนั้น ค.ร.น. = 12
Math Kit EBook ห น้ า 37

ทฤษฏีบท a และ b คือจานวนเต็มบวก แล้ว จานวนเฉพาะสัมพัทธ์


a•b = (a,b) • [a,b] a,b เป็นจานวนเฉพาะสัมพัทธ์ เมื่อ (a,b) = 1

หารร่วมมากและคูณร่วมน้อย

หารร่วมมากคือจานวนเต็มบวกที่มีค่ามากที่สุดซึ่งหารจานวนที่เราสนใจอย่างน้อย 2 ตัวลงตัว

หรือจะกล่าวตามนิยามว่า เมือ
่ กาหนด d เป็นตัวหารร่วมมากของ a และ b ซึ่ง a หรือ b ห้ามเป็น 0ก็

ต่อเมื่อ d | a และ d | b และเราแทนห.ร.ม.ที่บวกบวกของ a,b ด้วย (m,n)

อย่าสับสนกับเรื่องช่วงของอสมการนะครับ
Ex จงหาห.ร.ม. ของ 146 และ 192

วิธีทาให้ใช้ขั้นตอนวิธีการหารดังนี้ 192 = 146(1) + 48

146 = 48(3) + 2

48 = 2(24) + 0

ห.ร.ม.ของ 146 และ 192 คือ 2 เพราะ 2 คือจานวนเต็มบวกที่มีค่ามากที่สุดที่หารทั้ง 146 และ 192 ลงตัว

คูณร่วมน้อยคือจานวนเต็มบวกซึ่งมีค่าน้อยที่สุดถูกหารด้วยที่จานวนที่เราสนใจอย่างน้อย 2 ตัวลง

ตัวหรือจะกล่าวตามนิยามว่า เมื่อกาหนด d เป็นคูณร่วมน้อยของ a และ b ซึ่ง a หรือ b ห้ามเป็น 0 ก็

ต่อเมื่อ a | d และ b | d และเราแทนค.ร.น.ที่บวกบวกของ a,b ด้วย [m,n]

อย่าสับสนกับเรื่องช่วงของอสมการนะครับ

Ex จงหาค.ร.น.ของ 34 และ 112

วิธีทา เราสามารถทาได้หลายวิธีเช่นใช้ทฤษฎีบท a • b = (a,b) • [a,b] การหารสั้น การแยกตัวประกอบ

สาหรับวิธีทงี่ ่ายที่สุดและรวดเร็วคือการตัง้ หารสั้น

2×17×56 = 1904

ดังนั้น ค.ร.น.ของ34 และ 112 คือ 1,904 เพราะ 1,904 คือจานวนเป็นบวกที่น้อยที่สด


ุ ที่

34|1,904 และ 112|1,904


Math Kit EBook ห น้ า 38

ตัวอย่างที่ 5

กาหนดให้ S = , | 2−
≥ 2− - ช่วงใดต่อไปนี้เป็นสับเซตของ S (PAT1)

1.(–∞,–3) 2.(–1,0.5) 3.(–0.5,2) 4.(1,∞)

วิธีทา − −
≥ −


(-∞,-4) (-1,1) (2, ∞)

ตอบข้อ 2 สังเกตได้ว่า (–1,0.5) เป็นสับเซตของเซต S

ตัวอย่างที่ 6 กาหนด S ={x | =1} เซตในข้อใดต่อไปนี้เท่ากับเซต S (PAT1)

1. {x| x3=1} 2.{x|x2=1} 3.{x|x3=–1} 4.{x4=x}

วิธีทา จากเซต S เราสามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้ดังนี้ {1,–1}

พิจารณาคาตอบ 1.{x| x3=1} สามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้ดังนี้ {1}

2.{x|x2=1} สามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้ดังนี้ {1,–1} เนื่องจากทั้งคู่เมื่อ

นาไปยกกาลังสองแล้วจะมีค่าเท่ากับ 1

3.{x|x3=–1} สามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้ดังนี้ {–1}

4.{x4=x} สามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้ดังนี้ {0,1} เนื่องจากค่า x = x4

ซึ่ง x4เป็นได้เพียงจานวนเต็มบวกเท่านั้น ดังนั้นจึงทาให้ x ต้องเป็นจานวนเต็มบวก

ไปด้วย

ตอบ ข้อ 2
Math Kit EBook ห น้ า 39

ตัวอย่างที่ 7 ถ้าเซตคาตอบของอสมการ |x2 + x – 2| < (x + 2) คือช่วง (a,b) แล้ว a+b มีค่า

เท่ากับเท่าใด (A–NET มีนาคม 50)

วิธีทา จากนิยามของค่าสัมบูรณ์จะได้ – (x + 2) < x2 + x – 2 < x + 2

– (x + 2) < x2 + x – 2 x2 + x – 2 < x + 2
0 < x2 + 2x x2 < 4
0 < x(x + 2) x < –2,2

นาทั้งสองช่วงมาอินเตอร์เซกชันกัน

จากรูปช่วงที่ซ้ากันคือ (0,2) ดังนั้น 0 + 2 = 2

ดังนั้นตอบ 2

ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้ A = {x | (2x+1)(x–1) < 2} B = {x | |2x–10| < 2} C เป็นเซตของ A B


จงหาเซตคาตอบของ (A B) C
วิธีทา พิจารณา A = (2x+1)(x–1) < 2 ให้จัดรูปให้ฝั่งหนึ่งมีค่าเป็นศูนย์
2x2 – x – 3 < 0
(2x–3)(x+1) < 0

พิจารณา B = –2< 2x – 10 < 2


8< 2x < 12
4< x <6
พิจารณา C คือ A B=
(A B) C = (A B)
ดังนั้น ตอบ A B = (–1,1.5) (4,6
Math Kit EBook ห น้ า 40

บทที่ 4 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน

ความสัมพันธ์
ผลคูณคาร์ทีเชียน A x B = {(x,y) | x Ay B}

โดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์

โดเมนคือ ค่า x ในคู่อันดับ (x,y)

เรนจ์คือ ค่า y ในคู่อันดับ (x,y)

อินเวอร์สของความสัมพันธ์ หรือตัวผกผันของความสัมพันธ์

สลับที่ x กับ y

ฟังก์ชัน y = f(x)

ประเภทของฟังก์ชัน
ฟังก์ชัน A ไป B (into function) Df = A Rf B

ฟังก์ชัน A ไปทั่วถึง B (onto function) Df = A Rf = B

ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง(1-1 function) ฟังก์ชันที่ตัวหลัง (y) สามารถจับคู่กับ


สมาชิกตัวหน้า (x) เพียง 1 ตัวเท่านั้น
อินเวอร์สของฟังก์ชัน

สลับที่ x กับ y
ตรวจสอบว่าฟังก์ชันหรือไม่

ฟังก์ชันประกอบ
gof(x) = g(f(x) แทนค่า f(x) ลงใน g(x)

ฟังก์ชันเอกลักษณ์ fof-1(x) = x
การดาเนินการของฟังก์ชัน
(f+g)(x) = f(x) + g(x) ; Df+g = Df Dg
(f-g)(x) = f(x) – g(x) ; Df-g = Df Dg
(f⋅g)(x) = f(x) ⋅ g(x) ; Df•g = Df Dg
(g)(x) = ; g(x) ≠ 0 และ D f = Df Dg
f f
g g

โดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชัน

ความสัมพันธ์และฟังก์ชันเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาที่

เกี่ยวข้องกับตัวแปรและเป็นพื้นฐานของคณิตศาสตร์ในระดับที่

สูงต่อไป
Math Kit EBook ห น้ า 41

คู่อันดับ (Order Pair) เป็นการจับคู่สิ่งของโดยถือลาดับเป็นสาคัญ เช่น คู่อันดับ a, b จะ


เขียนแทนด้วย (a, b) เรียก a ว่าเป็นสมาชิกตัวหน้า และเรียก b ว่าเป็นสมาชิกตัวหลัง
(การเท่ากับของคู่อันดับ) (a, b) = (c, d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
ผลคูณคาร์ทเี ชียน (Cartesian Product)
ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A และเซต B คือ เซตของคู่อน
ั ดับ (a, b) ทั้งหมด โดยที่ a เป็น
สมาชิกของเซต A และ b เป็นสมาชิกของเซต B
สัญลักษณ์ ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A และเซต B เขียนแทนด้วย A x B หรือ เขียนในรูปเซต
แบบบอกเงือ
่ นไขจะได้ว่า
A x B = {(x,y) | x Ay B}
ตัวอย่าง A ={1,2,3} B = {a,b}
A x B = {(1,a),(1,b),(2,a),(2,b),(3,a),(3,b)}
ดังนั้นจานวนสมาชิกทั้งหมดคือ n(A) x n(B) = 3 x 2 = 6
ความสัมพันธ์ (Relation) คือเซตของคูอ
่ ันดับซึ่งเป็นสับเซตของ A x B
กาหนดให้ r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ r เป็นสับเซตของ A x B

ตัวอย่าง กาหนดให้ A ={1, 3, 5} B = {−2, 2} จงเขียนคู่อันดับของความสัมพันธ์ A x B ใน


จตุภาค

วิธท
ี า เราสามารถเขียนคู่อันได้ดังนี้ {(1,−2), (1,2), (3, −2), (3,2), (5, −2), (5,2)}

(1,2) (3,2) (5,2)


2

1 3 5
-2
(1,−2) (3,−2) (5,−2)
Math Kit EBook ห น้ า 42

ข้อควรรูเ้ กีย
่ วกับความสัมพันธ์

1. เซตว่างเป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B เพราะ เซตว่างเป็นสับเซตของทุกเซต


2. ถ้าความสัมพันธ์ A B และ B C แล้ว ความสัมพันธ์ A C
3. จานวนความสัมพันธ์ของ A ไป B คือ 2n(A x B)
4. ถ้าไม่มีกาหนดขอบเขตของความสัมพันธ์ ให้ถือว่าขอบเขตของความสัมพันธ์คือ จานวนจริง
เมื่อ A และ B เป็นจานวนจริง แล้ว A x B RxR
5. x r y คือ x มีความสัมพันธ์ r กับ y สามารถเขียนอยู่ในรูป (x,y) r
6. x r y คือ x ไม่มีความสัมพันธ์ r กับ y สามารถเขียนอยู่ในรูป (x,y) r

ตัวอย่าง (9,3) r คือ 9 r 3 อ่านว่า 9 มีความสัมพันธ์กับ 3 “เป็น 3 เท่า”

โดเมน (Domain) และ เรนจ์ (Range)

1. โดเมน (Domain) ของความสัมพันธ์ r คือ เซตที่มีสมาชิกตัวหน้าของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r ใช้


สัญลักษณ์แทนด้วย Dr ดังนัน
้ Dr = {x | (x, y) r}
2. เรนจ์ (Range) ของความสัมพันธ์ r คือ เซตที่มีสมาชิกตัวหลังของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r ใช้
สัญลักษณ์แทนด้วย Rr ดังนั้น Rr = {y | (x, y) r}

ตัวอย่าง กาหนดให้ A = {−2, 0, 1 , 3, 4} และ r เป็นความสัมพันธ์ {(x,y) A × A | y = x2} จงพิจารณา


หาค่าโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ตอ
่ ไปนี้

วิธีทา r เป็นความสัมพันธ์รูปแบบของ A โดยที่ y = x2


r = {(−2,4), (0,0), (1,1)}

ดังนั้น Dr = {−2, 0 ,1}

Rr = {0, 1, 4}

ตัวอย่าง จงหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ตอ
่ ไปนี้ {(x,y) | y = 2x}

ตอบ Dr = R

Rr = R
Math Kit EBook ห น้ า 43

การตรวจสอบข้อจากัดของโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์
ตรวจสอบโดเมน จัด y ในเทอม x
ตรวจสอบเรนจ์ จัด x ในเทอม y

1.ในรูปแบบเศษส่วน

แนวคิด ส่วนห้ามเป็น 0 เนื่องจากส่วนเป็น 0 แล้วหาค่าไม่ได้

ตัวอย่างที่ 1 r=, - จงพิจารณาหาโดเมนและเรนจ์

ตรวจสอบโดเมน จากความสัมพันธ์ ส่วนห้ามเป็นศูนย์ คือ

x+2 ≠0
x ≠ –2
ตรวจสอบเรนจ์ ให้จัด x ในเทอม y คือ
r=, -
r=, -

r=, -

จากความสัมพันธ์ ส่วนห้ามเป็นศูนย์ คือ


y≠0
ตอบ โดเมนคือ (–∞,–2) (–2, ∞) หรือ R – {–2}
เรจน์คือ (–∞,0) (0, ∞) หรือ R – {0}

2.ในรูปของยกกาลัง 2

แนวคิด
Math Kit EBook ห น้ า 44

ตัวอย่างที่ 2 r = {(x,y)| y = (x−3)2 } จงพิจารณาหาโดเมนและเรนจ์

ตอบ โดเมน คือจานวนจริง {x | x R}

เรนจ์ คือจานวนจริงซึ่งมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 {y | y ≥ 0 }

3.ในรูปในเครื่องหมายกรณฑ์

แนวคิด จะพบว่า A ≥0 เนื่องจากในเรื่องความสัมพนธ์จะมีจานวนจริงเป็นเอกภพสัมพัทธ์ จะ


ทาให้ ค่าของ A ติดลบไม่ได้ในเรื่องของจานวนจริง

ตัวอย่างที่ 3 r = {(x,y)| y = } จงพิจารณาหาโดเมนและเรนจ์

2x – 8 ≥ 0

2x ≥8

x ≥4

ตอบ โดเมน คือจานวนจริง {x | x ≥ 4}

เรนจ์ คือจานวนจริงซึ่งมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 {y | y ≥ 0 }

4.ในรูปเครื่องหมายค่าสัมบูรณ์

แนวคิด

ตัวอย่างที่ 4 r = {(x,y)| y = |5 – 2x|} จงพิจารณาหาโดเมนและเรนจ์

ตอบ โดเมน คือจานวนจริง {x | x R}

เรนจ์ คือจานวนจริงซึ่งมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 {y | y ≥ 0 }
Math Kit EBook ห น้ า 45

5.ประยุกต์โดยใช้กราฟ แล้วพิจารณาจากกราฟ ค่า x คือโดเมน ค่า y คือเรนจ์

ตัวอย่างที่ 5 r = {(x,y)| |x|+|y| = 4} จงพิจารณาหาโดเมนและเรนจ์

สามารถวาดกราฟได้

ตอบ โดเมน คือ {x | −4 ≤ x ≤ 4 }

เรนจ์ คือ {y | −4 ≤ y ≤ 4 }

กราฟ วงกลม วงรี พาราโบลา ไฮเปอร์โบลา สามารถศึกษาได้จากบทเรขาคณิตวิเคราะห์

ตัวผกผันของความสัมพันธ์

ตัวผกผันของความสัมพันธ์ r คือความสัมพันธ์ซึ่งเกิดจากการสลับที่ระหว่างโดเมน
−1
และเรนจ์ โดยเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ r

Ex กาหนดให้ r = {(1,7), (2,5), (6,−4), (8,12)} จงหาตัวผกผันของความสัมพันธ์ r

−1
วิธีทา r = {(−4,6), (1,7), (5,2), (12,8)}
Math Kit EBook ห น้ า 46

ฟังก์ชน
ั (Function) คือ ความสัมพันธ์ ซึ่งในสองคู่อันดับใด ๆ ของความสัมพันธ์นั้น ถ้า
มีสมาชิกตัวหน้าเท่ากันแล้ว สมาชิกตัวหลังต้องไม่แตกต่างกัน
ฟังก์ชน
ั A ไป B (into function) คือฟังก์ชันที่ใช้สมาชิกตัวหน้าครบทุกตัว
Df = A Rf B เขียนสัญลักษณ์แทนด้วย f: A B

ฟังก์ชน
ั A ไปทัว่ ถึง B (onto function) คือฟังก์ชันที่ใช้สมาชิกตัวหน้าและตัวหลังครบทุก
ตัว
Df = A Rf B เขียนสัญลักษณ์แทนด้วย f: A ทั่วถึง B

ฟังก์ชน
ั หนึง่ ต่อหนึง่ (1–1 function) คือ ฟังก์ชันที่ตัวหลัง (y) สามารถจับคู่กับสมาชิกตัว
1–1
หน้า x เพียง 1 ตัวเท่านั้น เขียนสัญลักษณ์แทนด้วย f: A B
Math Kit EBook ห น้ า 47

การตรวจสอบความสัมพันธ์ว่าเป็นฟังก์ชัน
เราสามารถทดสอบว่าความสัมพันธ์นั้นเป็นฟังก์ชันหรือไม่โดยการลากเส้นแนวขนาน
แนวแกน y หาก ตัดกราฟมากกว่า 1 จุดแสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน

กราฟนี้เป็นฟังก์ชัน กราฟนี้ไม่เป็นฟังก์ชัน

สาหรับการพิจารณาว่าฟังก์ชันเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งหรือไม่ เราลากแนวเส้นขนานแกน
x ถ้าเส้นตัดกราฟมากกว่า 1 จุดแสดงว่าฟังก์ชันไม่ใช่ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง

กราฟนี้เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง กราฟนี้ไม่เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
ประเภทของฟังก์ชัน
ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
เมื่อ f เป็นฟังก์ชัน ถ้า x1 <x2 เมื่อ f เป็นฟังก์ชัน ถ้า x1 < x2
แล้ว f(x1) < f(x2) แล้ว f(x1) > f(x2)
Math Kit EBook ห น้ า 48

สัญลักษณ์ของฟังก์ชัน

ถ้า f เป็นฟังก์ชันเราจะเรียน y = f(x) โดย (x,y) f

ตัวอย่างที่ 1 f={(1,2),(3,4),(5,6)} ตัวอย่างที่ 2 f(x) =x2+3x–1 จงหา f(2)


f(1) =2 f(2) = (2)2+3(2)–1
f(5) =6 f(2) =9

ตัวอย่างที่ 3 f(2x+6) = 3x–4จงหา f(2) ตัวอย่างที่ 4 f(2x–1) = 4x + 5 จงหา f(x)


f(2) = 3(−2) − 4 f(x) = 4[ ]+5
= −10 = 2(x+1)+5
= 2x+7

วิธีคิด จับก้อนข้างใน f( ) = จานวนที่ ระวัง


โจทย์ตอ
้ งการ
2x1 – 1 = x2
2x+6 = 2
2x1 = x2 + 1
2x = −4 𝑥2
x1 =
x =−2

ฟังก์ชันผกผัน

อินเวอร์สของความสัมพันธ์ (r–1) คือ Ex


ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการสลับสมาชิกตัวหน้า r = {(1,2),(3,4),(5,6)}
กับสมาชิกตัวหลัง r–1={(2,1),(4,3),(6,5)}
Math Kit EBook ห น้ า 49

กราฟของอินเวอร์สของความสัมพันธ์

f(x)

f-1(x)

อินเวอร์สของฟังก์ชัน คือฟังก์ชันที่เกิดจากการ Ex
สลับสมาชิกตัวหน้ากับสมาชิกตัวหลัง f={(x,y) I+ x I | y = 2x+1}
f–1={(y,x) I x I+ | y = 2x+1}
หรือ f–1={(x,y) I x I+ | x = 2y+1}
ซึ่งสามารถจัดรูปได้ดังนี้

f–1={(x,y) I x I+ | y = }

ความสัมพันธ์ระหว่าง f(x) และ f–1(x)

1. f–1(x) เป็นฟังก์ชัน 1 – 1

2. D f = Rf

3. R f = Df

รูปแบบการแก้ปัญหาอินเวอร์สของฟังก์ชัน

อินเวอร์สในรูปคู่อันดับ

Ex f = {(1,2),(3,4),(5,6)} จงหา f–1 (4)

f–1={(2,1),(4,3),(6,5)}

f–1 (4) = 3
Math Kit EBook ห น้ า 50

อินเวอร์สในรูปสมการปกติ

Ex f(x) = 3x +1 จงหา f–1 (2) Ex f(x) = จงหา f–1 (2)
y = 3x +1 −
y=
สลับที่ x และ y x = 3y +1 −
สลับที่ x และ y x=
y=

f–1 (x) =

x(6y+5) = 4y –1
f–1 (2) = x(6y+5) +1 = 4y
6xy – 4y + 5x +1 = 0

Ex f(x) =
± y(6x–4) = – 5x – 1
± − −
y=

− ± − −
–1
f (x) = f–1 (x) =
± − −

f–1 (2) =

อินเวอร์สในรูปไม่สมการปกติ

แนวคิดให้สลับก้อนข้านใน f( ) = เป็น f–1 ( ) =

Ex f(4x+1) = 2x – 2 จงหา f–1(–2) กาหนด A แทน x2


f–1(2x – 2) = 4x +1 2x – 2 = A
f–1(x) = 4[ ] +1 x=
f–1(x) = 2(x+2) +1
f–1(x) = 4x+5
f–1(–2) = 4(–2) +5
= –3
Math Kit EBook ห น้ า 51

ฟังก์ชันประกอบ (Composite Function)

gof(x) = g(f(x)) ทุก x Dgof และจะหาค่าได้เมื่อ Ex f(x) = x2+3 g(x) = –x +5


Rf Dg ≠ จงหา gof(1)
วิธีทา g(f(1)) = g(12+3)
= g(4)
= –4 + 5
=1
ฟังก์ชันเอกลักษณ์
(fof–1)(x) = x และ (f–1of)(x) =x แต่ (f–1ogof)(x) ≠ x
ตัวอย่าง f(x) = 3x+7 จงหา (fof–1)(5)
ตอบ 5 เพราะเป็นฟังก์ชันเอกลักษณ์
ฟังก์ชันประกอบอินเวอร์ส
(fog)–1(x) = g–1of–1 (x)

การดาเนินการของฟังก์ชัน

(f+g)(x) = f(x) + g(x) ; Df+g = Df Dg Ex 1


(f–g)(x) = f(x) – g(x) ; Df–g = Df Dg f = {(1,–1),(3,2)} g(x)={(1,2),(7,3)}
(f⋅g)(x) = f(x) ⋅ g(x) ; Df•g = Df Dg (f+g)(x) = {(1,1)}
(g)(x) = ; g(x) ≠ 0 และ D f = Df Dg (f–g)(x) = {(1,–3)}
f f
g g
(f⋅g)(x) = {(1,–2)}
(g)(x) ={(1, )}
f

Ex2 กาหนด f(x)= –x+5 และ g(x) = 2x+6


(f+g)(x) = (–x+5) + (2x+6) = x+11
(f–g)(x) = (–x+5) – (2x+6) = –3x–1
(f⋅g)(x) = (–x+5)(2x+6) =–2x2+x+30
f
( )(x) =

g
Math Kit EBook ห น้ า 52

ตัวอย่างที่ 5 กาหนดให้ f ={(1,2),(2,7),(3,4),(4,1),(5,6)}

ก. จงหา f(f(1)) ข. จงหา f–1(f(3))

วิธีทา f(f(1)) = f(2) f–1 ={(2,1),(7,2),(4,3),(1,4),(6,5)}


f(2) =7 f–1(f(3)) = f–1(4)
ตอบ 7 f–1(4) =3
ตอบ 3

ตัวอย่างที่ 6 กาหนดให้ f(0) = 10 และ f(x+1) = f(x) + 5 จงหา f(20)

วิธีทา พิจารณา f(1) คือ (f(0)) +5 = 15 (เกิดจาก 15 + 0(5))

พิจารณา f(2) คือ (f(1)) +5 = 20 (เกิดจาก 15 + 1(5))

พิจารณา f(3) คือ (f(2)) +5 = 25 (เกิดจาก 15 + 2(5))

f(20) เกิดจาก 15 + 19(5) = 110

ตอบ 110
Math Kit EBook ห น้ า 53

บทที่ 5 เรขาคณิตวิเคราะห์และภาคตัดกรวย
จุด
ระยะห่างระหว่างจุด
จุดแบ่งเส้นตรง
จุดตัดเส้นมัธยฐาน

พื้นที่ n เหลี่ยม

เส้นตรง

สมการเส้นตรง
ความชันเส้นตรง
ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้นตรง

ระยะห่างระหว่างเส้นตรงกับเส้นตรง

การเลื่อนแกนขนาน

วงกลม
พาราโบลา

วงรี

ไฮเพอร์โบลา

เรขาคณิตวิเคราะห์และภาคตัดกรวย เป็นการคานวณเกี่ยวกับ
รูปเรขาคณิต ซึ่งเขียนกราฟในระบบพิกัดฉาก
Math Kit EBook ห น้ า 54

ความรูเ้ บือ
้ งต้นเกีย
่ วกับเรขาคณิตวิเคราะห์ (Fundamental of Geometry)

ระบบแกนมุมฉาก (Coordinate System)


คือระบบแกนที่มีแกนราบ (แกน x) และแกนดิ่ง (แกน y) ตั้งฉากกันที่จุด O (Origin) หรือ
จุดกาเนิด หรือ จุด (0,0)

ดังนั้น เราสามารถแทนคู่อันดับใดๆ ลงในระบบระบบแกนมุมฉาก เช่นคู่อันดับ (x,y) เป็นจุด


ห่างจากแกน y เป็นระยะทาง |x| หน่วยไป ทางขวา เมื่อ x เป็นบวก
ห่างจากแกน y เป็นระยะทาง |x| หน่วยไป ทางซ้าย เมื่อ x เป็นลบ
ห่างจากแกน x เป็นระยะทาง |y| หน่วยไป ทางบน เมื่อ y เป็นบวก
ห่างจากแกน x เป็นระยะทาง |y| หน่วยไป ทางล่าง เมื่อ y เป็นลบ
Math Kit EBook ห น้ า 55

จุด 2 จุด Ex

ความยาว
|AB| = √
ความชัน
2−
mab = tan( ) =
2−
จุดแบ่งเส้นตรง
2 2
P=( )
|AB| = √
=

mab = =

P ( )
=P( )
ถ้าจุดแบ่งครึ่ง AB คือ ( 2
, 2
)

จุดตั้งแต่ 3 จุดขึ้นไป Ex

1.จุดตัดเส้นมัธยฐาน (Centroid) 1.จุดตัดเส้นมัธยฐาน


− −
( ) ( ) = (2,1)
2.พื้นที่รูป n เหลี่ยม 2.พื้นที่รูป n เหลี่ยม
0 4 5

| | | |
2 25 0
|2+25+0+0+4+5| =18 ตารางหน่วย
Math Kit EBook ห น้ า 56

เส้นตรง ผ่านจุด (x1.y1) , มีความชัน m


1.สร้างสมการเส้นตรงจาก y – y1 = m(x – x1)
2.สมการใช้หาความชัน y = mx + c
เส้นตรงสองเส้น
1 2 3

− 2
ตั้งฉาก m1 × m2 = –1 ทามุม tan =
ขนานกัน m1 =m2 2

ข้อควรระวัง

เมื่อเส้นตรงสองเส้นตั้งฉากกันแบบนี้ จะหาความชันหาค่าไม่ได้

ระยะจากจุดถึงเส้นตรง Ex

d
d

d= 2 2 − −
d= 2 2

=
Math Kit EBook ห น้ า 57

ระยะทางเส้นตรงถึงเส้นตรง Ex

d d

.
− 2 − −
d= 2 2 d= 2 2

=d=

การเลือ
่ นแกน (Translation of Axes)

การเลื่อนแกนทางขนาน หมายถึง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงแกนพิกัดเดิมอย่างน้อยหนึ่ง


แกน (แกน X หรือแกน Y) โดยให้แกนพิกัดใหม่ขนานกับแกนพิกัดเดิม

การเลื่อนแกนทางขนานนับเป็นพื้นฐานที่สาคัญที่จะช่วยในการศึกษาเกี่ยวกับภาคตัดกรวย
ได้ สะดวกยิ่งขึ้นในระบบแกนมุมฉาก เราใช้แกน X และ Y สาหรับอ้างอิงพิกัดหรือตาแหน่งของ
จุดในระนาบจุด P(x, y) เป็นจุดที่อยู่ห่างจากแกน Y ไปทางขวามือเป็นระยะ x หน่วย และอยู่ห่าง
จากแกน X ซึ่งอยู่เหนือแกน X เป็นระยะ y หน่วย ดังรูป
Math Kit EBook ห น้ า 58

ภาคตัดกรวย (conic section หรือ conic) ในทางคณิตศาสตร์ หมายถึง เส้นโค้งที่ได้จาก


การตัดพื้นผิวกรวยกลม ด้วยระนาบแบน ภาคตัดกรวยนี้ถูกตั้งเป็นหัวข้อศึกษาตั้งแต่สมัย 200 ปี
ก่อนคริสต์ศักราชโดย อพอลโลเนียส แห่ง เพอร์กา ผู้ซึ่งศึกษาภาคตัดกรวยและค้นพบสมบัติหลาย
ประการของภาคตัดกรวย ต่อมากรณีการศึกษาภาคตัดกรวยถูกนาไปใช้ประโยชน์หลายแบบ

กรวยกลมตรงมีลักษณะดังนี้

วงกลม เกิดจากการตัดกรวยกลมตรงด้วยระนาบ ที่ตั้งฉากแกนของกรวย


พาราโบลา เกิดจากการตัดกรวยกลมตรงด้วยระนาบที่ขนานกับเส้นขอบกรวย
วงรี เกิดจาดการตัดกรวยกลมตรงด้วยระนาบเพียงส่วนเดียว โดยที่ระนาบนั้นไม่ขนาน
กับเส้นของกรวยและไม่ตั้งฉากกับแกนของกรวย
ไฮเปอร์โบลา เกิดจากการตัดกรวยกลมตรงด้วยระนาบที่ตัดทั้งสองส่วนของกรวย
Math Kit EBook ห น้ า 59

วงกลม(Circle)
วงกลมคือเซตของจุ ด ทั้งหมดในระนาบที่ ห่างจากจุด ศู นย์กลางของวงกลม(center)เป็ น
ระยะคงตัว และมีระยะทางคงตัว คือรัศมี(radius) ของวงกลม
สมการรูปมาตรฐาน วงกลมคือ (x – h)2+(y – k)2=r2
ส่วนประกอบของวงกลม จุดยอด (h,k)
รัศมี r

สมการรูปทั่วไป x2 + y2 + ax + by + c = 0
ถ้าสมการของวงกลมในรูปแบบทั่วไป สามารถเขียนสมการใหม่ในรูปแบบสมการมาตรฐาน
ได้โดยใช้วิธีการทาเป็นกาลังสองสมบูรณ์

Ex จงหารัศมีของวงกลมและจุดศูนย์กลางของสมการวงกลมต่อไปนี้ x2 +y2– 4x + 6y – 12 = 0

วิธีทา x2 +y2– 4x + 6y = 12

x2 – 4x +4 + y2 +6y + 9 = 12 + 4 + 9

(x2–2(2)x+22) + (y2+2(3)y+32) = 12+22+32

(x–2)2 + (y+3)2 = 25 หรือ (x–2)2 + (y+3)2 = 52

วงกลมจุดศูนย์กลาง (2,–3) รัศมี 5


Math Kit EBook ห น้ า 60

Ex จงวาดกราฟของสมาการต่อไปนี้

จุดยอด (5,-3)

รัศมี 7 หน่วย

ข้อควรระวังเรื่องวงกลม

1.เส้นสัมผัสตัง้ ฉากกับรัศมีทจ
ี่ ุดสัมผัส
(mเส้นสัมผัส × mรัศมี = –1)
2.ระยะทางจากจุดศูนย์กลางถึงจุดสัมผัสคือ รัศมี
Math Kit EBook ห น้ า 61

พาราโบลา(Parabola)
พาราโบลาคือ เซตของจุดทุกจุดบนระนาบ ซึ่งอยู่ห่างจากเส้นตรง(เส้นไดเรกติก) ที่เส้น
หนึ่งบนระนาบและจุดคงที่(จุดโฟกัส)จุดหนึ่งบนระนาบนอกเส้นตรงคงที่นั้น เป็นระยะทางเท่ากัน
เสมอ

สมการมาตรฐาน

(x – h)2 = 4c(y–k) (y – k)2 = 4c(x – h)

จุดยอด V

จุดโฟกัส F

ลาตัสเรกตรัม (LR) = 4C
Math Kit EBook ห น้ า 62

วงรี (ellipse)
วงรี คือเซตของจุดทั้งหมดในระนาบซึ่งผลบวกของระยะทางจากจุดใดๆ ไปยังจุดโฟกัส
(focus) ทั้ง 2 มีค่าคงตัว

สมการวงรีรูปมาตรฐาน

− 2 − 2 − 2 − 2
2 2 =1 2 2

คาแนะนา ค่า a จะมีค่ามากกว่าค่า b เสมอ ความสัมพันธ์ของวงรี c2 = a2 − b2


ส่วนประกอบของวงรี

จุดยอด V, V’

จุดศูนย์กลาง C

แกนเอก 2a
2
ลาตัสเล็กตัมยาว แกนโท 2b
ความเยื้องศูนย์กลาง e =
โดยที่ 0 < e < 1
e เข้าใกล้เลข 0 จะเป็นรูปใกล้เคียงวงกลม แต่ ถ้าค่า e เข้าใกล้เลข 1 จะเป็นรูปวงรีทรี่ ีมาก
Math Kit EBook ห น้ า 63

ไฮเปอร์โบลา(Hyperbola)
ไฮเปอร์โบลา คือ เซตของจุดทุกจุดในระนาบซึ่งผลต่างของระยะทางจากจุดใดๆในเซตนี้ไป
ยังจุดคงที่สองจุดบนระนาบมีค่าคงตัวซึ่งมากกว่าศูนย์แต่น้อยกว่าระยะห่างระหว่างจุดคงที่ทั้งสอง
โดยที่จุดคงที่นี้เรียกว่าจุดโฟกัสของไฮเพอร์โบลา

= 2a

สมการมาตรฐาน
Math Kit EBook ห น้ า 64

ส่วนประกอบไฮเปอร์โบลา

จุดศูนย์กลาง C
จุดยอด V, V’
จุดโฟกัส F, F’
แกนตามขวาง 2a
แกนสังยุค 2b
2
ลาตัสเรกตัม (LR) =

สมการเส้นกากับไฮเปอร์โบลา
− 2 − 2
1. 2 2
หรือ y – k = ± (x – h)
− 2 − 2
2. 2 2
หรือ x – h = ± (y – k)
หมายเหตุ ไฮเปอร์โบลามุมฉาก คือไฮเปอร์โบลาคือ a = b

คาแนะนา สาหรับโจทย์บางประเภทไม่เป็นไป ตามสมการมาตรฐาน เช่น วงรีเอียง ซึง่ ไม่ตรงกับวงรีรีตาม

แกน x และแกน y เราจะต้องสร้างสมการเองโดยอิงจากส่วนประกอบที่โจทย์กาหนดมาให้ โดยเราต้อง

พิจารณาตามนิยามของแต่ละรูป
Math Kit EBook ห น้ า 65

ตัวอย่างที่ 1 จุด A(–3,1) B(8,3) C(8,3) D(2,–3) เป็นจุดยอดของรูปสี่เหลี่ยม ABCD ข้อใดต่อไปนี้


ผิด (PAT 1 มี.ค. 53)
1.ด้าน AB ขนาดกับ BC
2.ผลบวกความยาวของด้าน AB กับ DC เท่ากับ 10√2 หน่วย
3.ระยะตั้งฉากจากจุด A ไปยังเส้นตรงที่ผ่านจุด C และจุด D เท่ากับ หน่วย
4.ระยะตั้งฉากจากจุด B ไปยังเส้นตรงที่ผ่านจุด C และจุด D เท่ากับ หน่วย
วิธีทา ร่างกราฟโดยคร่าวๆจะได้ประมาณนี้

mAB = =1

− −

mDC = =1
− −

ดังนั้นข้อ 1 จึงถูก AB // DC
|AB| = √ =√ =
|DC| = √ =
|AB| +|DC| = + =
ดังนั้นข้อ2 ถูก
เส้นตรงที่ผ่านจุด C และจุด D หาโดยใช้จุด C และความชัน CDจะได้ y – 3 =1(x – 8)
x–y –5=0
ระยะตั้งฉากจากจุด A ไปยังเส้นตรงที่ผ่าน CD
− − − – − − − −
2 2
=
√ −
=
ดังนั้นข้อ3 ถูก
ระยะตั้งฉากจากจุด A ไปยังเส้นตรงที่ผ่าน CD
− − – −
2 2
=
√ −
=
ดังนั้นข้อ4 ผิด
ตอบข้อ 4
Math Kit EBook ห น้ า 66

ตัวอย่างที่ 2 เส้นตรงที่ผ่านจุด (1,–3 ) จะตั้งฉากและตัดกับเส้นตรง x + 2y = 5


1. (3,1) 2. (–1,3) 3. (1,2) 4.(5,0)
วิธีทา สร้างสมการเส้นตรงที่ผ่านจุด (1,–3 ) ซึ่งมีความชันคือ 2 เพราะตั้งฉากกับสมการที่โจทย์
กาหนด (– )
y + 3 = 2(x – 1)
2x – y – 5 =0
แล้วแก้สมการ 2 ตัวแปร 2 สมการ
x + 2y = 5 ––––––––––––––––––– (1)
2x – y = 5 ––––––––––––––––– (2)
(1)+ 2x(2) 5x = 15 x = 3
ดังนั้น y=1
ดังนั้นจุดตัดคือ (3,1)
ตอบข้อ 1
ตัวอย่างที่ 3 สมการของเส้นตรงที่อยู่ห่างจากจุด A(–5,2), B(–1,4) เท่ากัน
1. y + 2x = –3 2.2y – x = 9 3.2x+3y =6 4.2x + y = 3
วิธีทา วาดกราฟโดยคร่าวๆ
จุดกึ่งกลาง A กับ B
=( ) = (–3,3)

ความชันของAB = =

− −
ดังนั้นความชันของเส้นตรงที่ตั้งฉากคือ –2

เราสามรถสร้างสมการที่แบ่งครึ่งเส้นตรงได้ดังนี้
(y+3)=–2(x–3)
2x + y = –3
ตอบข้อ 1
Math Kit EBook ห น้ า 67

บทที่ 6 เมตริกซ์

พื้นฐานเมตริกซ์

A + B และ A - B
kA เมตริกซ์คูณด้วยค่าคงที่ (k)

A × B เมตริกซ์ คูณด้วยเมตริกซ์

At การทรานสโพสเมตริกซ์

det

det = 0 คือเมตริกซ์เอกฐาน

det ≠ 0 คือเมตริกซ์ไม่เอกฐาน

วิธีการหา det

อินเวอร์สเมตริกซ์

A-1 = [Cij]t
detA

AA-1 = I โดยที่ I คือเมตริกซ์เอกลักษณ์

ประยุกต์เมตริกซ์

เมตริกซ์ขั้นบันได
เมตริกซ์กับสมการเชิงเส้น

เมตริกซ์ประยุกต์เวกเตอร์

เมตริกซ์ คือกลุ่มของจานวนหรือสมาชิกของจริงใดๆ เขียนเรียง


กันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือจัตุรัส
Math Kit EBook ห น้ า 68

เมตริกซ์ คือกลุ่มของจานวนหรือสมาชิกของจริงใดๆ เขียนเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า


หรือจัตุรัส กล่าวคือเรียงเป็นแถวในแนวนอน และเรียงเป็นแถวในแนวตั้ง เรามักเขียนเมตริกซ์เป็น
ตารางที่ไม่มีเส้นแบ่งและเขียนวงเล็บคร่อมตารางไว้ (ไม่ว่าจะเป็นวงเล็บโค้งหรือวงเล็บเหลี่ยม) เรา
เรียก m×nมิติ

[ ]

เมตริกซ์ที่ควรรู้จัก

1.เมตริกซ์เฉียง (Diagonal Matrix) คือเมตริกซ์จัตุรส


ั ที่มีสมาชิกทุกตัวที่เป็นสมาชิกทแยงมีค่าเป็น

ศูนย์ โดยที่ aij = 0ทุกค่าที่ i ≠ j

ตัวอย่าง * + [ ]

2.เมตริกซ์สามเหลี่ยมบน (Upper Triangular matrix) คือ เมตริกซ์ที่ i > j แล้ว aij = 0

ตัวอย่าง * + [ ]

3.เมตริกซ์สามเหลี่ยมล่าง (Lower Triangular matrix) คือ เมตริกซ์ที่ i < j แล้ว aij = 0

ตัวอย่าง * + [ ]

4.เมตริกซ์เอกลักษณ์ (Identity matrix) คือ เมตริกซ์ที่ i ≠ j แล้ว aij = 0 และ i = j แล้ว aij = 1

ตัวอย่าง * + [ ]
Math Kit EBook ห น้ า 69

การบวกลบ เมตริกซ์

การดาเนินการบวก หรือ ลบ เมตริกซ์ ต้องมีมิติเท่ากัน

[ ]+[ ]=[ ]

[ ]–[ ]=[ ]

การทรานสโพส

คือเมตริกซ์ที่ได้จากการสลับสมาชิก จากแถวเป็นหลัก และจากหลักเป็นแถว ของเมตริกซ์

ต้นแบบ เมตริกซ์สลับเปลี่ยนของของเมตริกซ์ A ขนาด m×n คือ At ขนาด n×m

A=[ ] A t= [ ]

การคูณเมตริกซ์ด้วยค่าคงที่

ให้ A=[a]m x n และ k เป็นจานวนจริงใด ๆ จะได้ว่า KA=[ka]m x n

A=[ ] 5A = [ ]
Math Kit EBook ห น้ า 70

การคูณเมตริกซ์ด้วยเมตริกซ์

ถ้า A และ B เป็นเมตริกซ์ 2 เมตริกซ์ใด ๆ การนาเมตริกซ์ A มาคูณกับเมตริกซ์ B จะ

เกิดผลขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 อย่างต่อไปนี้

1. ไม่สามารถหาผลคูณได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องมิติ

2. สามารถหาผลคูณได้

ปัญหาที่เราจะต้องทราบก็คือ ถ้าหาผลคูณได้ต้องมีเงื่อนไขอย่างไร และสมาชิกของเมตริกซ์ที่เป็น

ผลคูณจะหามาได้อย่างไร ให้ดูหลักการต่อไปนี้

1. มิติของเมตริกซ์ที่นามาหาผลคูณ

ถ้า A เป็นเมตริกซ์ m × p

B เป็นเมตริกซ์ q × n

เราจะคูณเมตริกซ์ได้เมื่อ p = q และ AB จะมีมิติ m × n

2. ลักษณะสมาชิกของเมตริกซ์ที่เป็นผลคูณ (ถ้าหาผลคูณได้)

หลักการหาสมาชิกโดยทั่ว ๆ ไป สามารถหาได้ดังนี้

"สมาชิกของผลคูณของเมตริกซ์ในแถวที่ i หลักที่ j จะเกิดสมาชิกในแถวที่ i ของเมตริกซ์ที่อยู่

หน้า คูณกับ สมาชิกในหลักที่ j ของเมตริกซ์หลักเป็นคู่ ๆ แล้วนามาบวกกัน"

A=* +B=* +

AB = [ ]

AB = * +

☺ข้อระวัง AB ไม่จาเป็นที่ต้องเท่ากับ BA เพราะการคูณเมตริกซ์ด้วยเมตริกซ์ ไม่มี


คุณสมบัติการสลับที่ ☺
Math Kit EBook ห น้ า 71

ดีเทอร์มิแนนต์
คือฟังก์ชันหนึง่ ที่ให้ผลลัพธ์เป็นสเกลาร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับค่าของ n ในมิติ n×n ของเมตริกซ์จัตุรัส

แบบ 1 x 1
A = [a] detA =a

เเบบ 2 x 2
A=* + detA = ad – bc

แบบ 3 x 3

A=[ ]

detA = [ ] aei + bfg + cdh – gec – hfa – idb

ตั้งแต่ 3 x 3
ใช้แถว I แล้วพิจารณาหาค่าโคแฟเตอร์
detA = ai1Ci1 + ai2Ci2 + … ainCin
หรือ ใช้หลัก j แล้วพิจารณาหาค่าโคแฟเตอร์
detA = a1jC1j + a2jC2j + … anjCnj

ไมเนอร์ โคแฟกเตอร์
คือดิเทอร์มิแนนต์ของเมตริกซ์ที่เกิดจากการตัด Cij = (–1)i+j • Mij(A)
แถวที่ i หลัก ที่ j ตัวอย่าง

A=[ ] จงหา C23

C23 = (–1)2+3 | |
= (–1)(2)
= –2
Math Kit EBook ห น้ า 72

ประเภทของเมตริกซ์
1. เมตริกซ์เอกฐาน (Singular Matrix) คือ เมตริซ์ที่มี det = 0
ซึ่งหาอินเวอร์สไม่ได้
2. เมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Non Singular Matrix) คือเมตริซท
์ ี่มี det ไม่เท่ากับ 0 ซึ่งหาอินเวอร์สได้

การดาเนินการทางแถว
1. สลับแถว ทาให้ det กลับเครื่องหมาย
2. นาค่าคงที่คูณทั้งแถว ทาให้ค่า det ถูกคูณด้วยค่าคงที่
3. นาค่าคงที่คูณทั้งแถวไปดาเนินการบวกหรือลบกับอีกแถวหนึ่ง det มีค่าเท่าเดิม

คุณสมบัติดีเทอร์มิแนนต์ Ex A = * + จงหา det 3At


detAB = detA × det B เราสามารถใช้คุณสมบัติของ ดีเทอร์มิแนนต์ช่วย
detAm = (detA)m จะได้ว่า 32 det A

detAt = detA detA = 2

detkA = kn × detA n × n มิติ จึงได้วา่ 9 x 2 = 18

อินเวอร์สการคูณ การหาอินเวอร์สจากการดาเนินการทางแถว
อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A ก็คือ เมตริกซ์ ซึ่ง [A | I] ~ [I | A–1]
เมื่อนามาคูณกับเมตริกซ์ A แล้วจะได้ผลลัพธ์
Ex A= [ ] จงหา A–1
เท่ากับเมตริกซ์เอกลักษณ์ I และเราใช้สญ
ั ลักษณ์
A–1 แทน อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ นั่นคือ
[ | ]
AA–1 = I

~
เราสามารถหาอินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ได้เมื่อ R2-R3
เมตริกซ์เป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Non – Singular [ | ]
Matrix) หรือค่า det ไม่เป็น 0

~
R23
[ | ]

~[
R1÷2
| ]

A–1 = [ ]
Math Kit EBook ห น้ า 73

การหาอินเวอร์สการคูณ Ex
1 × 1 มิติ A = [3] A–1 =[ ]
A = [a] A–1 =[ ]
B=* + B–1= * +

2 × 2 มิติ =[ ]
A=* + A–1 = * +

ตั้งแต่3 × 3 มิติ C=[ ] detC = 7

A–1 = [adjA] ; adjA { adjoint (เมตริกซ์

ผูกพัน)} คือโคแฟเตอร์ทั้งหมดทรานสโพส | | | | | |

adjA = [Cij]
t C–1= | | | | | |

[ | | | | | | ]

= [ ]

= [ ]

[ ]

คุณสมบัติทรานสโพสและอินเวอร์ส
คุณสมบัติทรานสโพส คุณสมบัติอินเวอร์ส
(At) t = A (A–1) –1 = A
(A×B) t= Bt × At (A×B) –1= B–1 × A–1
(A±B) t = At ± Bt (A±B) –1 กระจายอินเวอร์สไม่ได้
(kA) t = kAt (kA) –1 = k–1A–1
(An) t = (A t) n (An) –1 = (A –1) n

.
Math Kit EBook ห น้ า 74

คุณสมบัติพิเศษของ adjoint (เมตริกซ์ผูกพัน)


 adj(AB) = adj(A) × adj(B)
 adj(kA) = kn–1 × adj(A) ; A มีมิติ n×n ; k คือค่าคงที่ซึ่งเป็นจานวนจริง
 A adj(A) = (adjA)A = (detA)I
 det(adjA) = (detA)n–1 *** ออกข้อสอบบ่อย ***
 adj(At) = (adjA) t
 adj(adjA) = (detA)n–2 A

ระบบสมการเชิงเส้น
𝑥
* + *𝑦+ = * +
Ex x + y = 4
A X B
x–y=8

การแก้ปัญหาสมการเชิงเส้นโดยเมตริกซ์ซึ่งเป็นเมตริกซ์จัตุรัส

1.แก้โดยใช้กฎคราเมอร์
detA detA2 detA
X1, = X2 = , … ,Xn =
detA detA detA
วิธีคิด
a1x + b1y + c1z = d1
a2x + b2y + c2z = d2
a3x + b3y + c3z = d3
เราสามารถหา ค่า x , y ,z ได้จาก

| 2 2 2| | 2 2 2| | 2 2 2|

x= y= z=
| 2 2 2| | 2 2 2| | 2 2 2|

2.แก้โดยใช้อินเวอร์สของเมตริกซ์
X= A–1B

3.แก้โดยใช้ การดาเนินการทางแถว
[A | B] ~ [I | X]
Math Kit EBook ห น้ า 75

เมตริกซ์รูปแบบขั้นบันได (Row echelon form matrix)

ทุกแถวที่ประกอบด้วย 0 ทั้งหมดจะอยู่แถวล่างของเมตริกซ์

โดยการพิจารณาจากซ้ายไปขวา สมาชิกตัวแรกที่ไม่เป็นศูนย์จะต้องมีค่าเป็น 1

ตัวอย่าง

* + * + * + [ ] [ ]

ประโยชน์ของเมตริกซ์ขั้นบันได

คือ เอานาไปแก้สมการเชิงเส้น ซึ่งเมื่อจากรูปสมการเป็นเมตริซ์แล้วไม่เป็นเมตริซ์จัตุรัส ซึ่งส่วน

ใหญ่จะสามารถหาค่าตัวแปรได้บางตัว หรือหาค่าไม่ได้เลย

[A | B] ~ [เมตริซ์ขั้นบันได | X]
Math Kit EBook ห น้ า 76

บทที่ 7เลขยกก
ฟังก์ชาลัน
ั งเอกช์โพเนนเชียลและลอการิทึม

xn คุณสมบัติของเลขยกกาลัง
เครื่องหมายกรณฑ์

ฟังก์ชันเอกช์โพเนนเชียล
นิยาม Expo = {(x,y) ∈ R x R+ | y =ax, a > 0 , a ≠ 1}

สมการฟังก์ชันเอกช์โพเนนเชียล

อสมการฟังก์ชันเอกช์โพเนนเชียล

ฟังก์ชันลอการิทึม

นิยาม Log ={(x,y) ∈ R+ x R | y =logax โดยที่ a > 0 , a ≠ 1}


สมการฟังก์ชันลอการิทึม

อสมการฟังก์ชันลอการิทึม

การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสิ่งต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นในรูปแบบที่
เป็นแบบทวีคูณ ดังนั้นฟังก์ชันที่เกีย
่ วข้องคือเอกช์โพเนนเชียล
และลอการิทึมจึงถูกนาไปใช้ประโยชน์ในหลายๆด้าน
Math Kit EBook ห น้ า 77

การยกกาลัง คือการดาเนินการทางคณิตศาสตร์อย่างหนึ่ง เขียนอยู่ในรูป an ซึ่ง


ประกอบด้วยสองจานวนคือ ฐาน a และ เลขชี้กาลัง (หรือ กาลัง) n การยกกาลังมีความหมาย
เหมือนการคูณซ้า ๆ กัน คือ a คูณกันเป็นจานวน n ตัว เมื่อ n เป็นจานวนเต็มบวก
an = a × a × a × … × a (ทั้งหมด n ตัว)

สูตรเลขยกกาลัง Ex จงหาค่าต่อไปนี้

1. = am+n–p a ไม่เป็น 0 (16 • 82 • 2−4) ÷ 43


m n mn วิธีทา = (24 • 26 • 2−4) ÷ 26
2.(a ) =a
= 24+6−4 ÷ 26
3., -
= 26÷ 26
0
4.a =1 =1
–n
5.a =

6. =
คาเตือน 00 ไม่นิยาม

การหาค่ารากที่ 2 ของจานวนติด a+b±2√ab Ex จงหาค่าของ √


(a+b)+2 =( )2+2 +( )2 วิธีทา = √( ) ( )
=( + ) 2

= √( ) ( )
รากที่สองคือ ±( + )
= √( )
แต่ √( ) = +
ดังนั้นรากที่ 2 คือ ±| + | =
=
Math Kit EBook ห น้ า 78

สมบัติของเครื่องหมายกรณฑ์
เมื่อ เป็นจานวนคี่
( ) ={
| |เมื่อ เป็นจานวนคู่
= ×

√ =

=( )
× =
ข้อควรระวัง เครือ
่ งหมาย คือกรณฑ์ที่ 2 ของ a ไม่ใช่ รากที่ 2 ของ a เพราะ รากที่ 2 ของ a จะมีทั้ง
ค่าบวกและค่าลบ แต่ภายในเครื่องหมายกรณฑ์ เมื่อถอดกรณฑ์ที่ 2 แล้วจะได้ค่าบวกเสมอ

จงหาค่ากรณฑ์ที่ 2 ของ 4 จงหาค่ารากที่ 2 ของ 4


=2 รากที่ 2 ของ 4 คือ 2 กับ – 2
เพราะ เมื่อนาทั้งสองค่าไปยกกาลัง 2 แล้วจะมีค่า
เท่ากับ 4 ทัง้ คู่

Expo = {(x,y) ∈ R x R+ | y =ax, a > 0 , a ≠ 1} หลักการแก้โจทย์เลขยกกาลัง


โดเมนเป็นจานวนจริง เรนจ์เป็นจานวนจริงบวก 1.จัดฐานเท่า
a>1 0<a<1 Ex จงหาค่า y ของ 23y • 4 = 16y–3
3y+2 4(y–3)
วิธทา 2 =2
3y+2= 4y–12
y = 14
2.จัดเลขชี้เท่า
Ex จงหาค่า x ที่ทาให้ 21X–3 = 63x–9
ฟังก์ชันเพิ่ม
ฟังก์ชันลด 3x–9 3x–9
วิธีทา 3 =6
3x−9 = 0
3x = 9
x= 3
Math Kit EBook ห น้ า 79

Log = {(x,y) ∈ R+ x R | y =logax, a > 0 , a ≠ 1} 3.หากไม่สามารถใช้วิธีทั้ง 2ได้ ให้ take log ทั้ง 2
โดเมนเป็นจานวนจริงบวก เรนจ์เป็นจานวนจริง ข้าง
a>1 0<a<1 Ex จงแก้ 2x=3x+1
วิธีทา x log 2 = (x+1) log 3
X log 2 = x log 3 + log 3
x (log 2 – log 3) = log3

x=
ฟังก์ชันลด
ฟังก์ชันเพิ่ม
สูตร log พื้นฐาน Ex จงหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับ

6 log (x − 2y) = log x3 +log y3


วิธีทา (x − 2y)6 = x3 y3
(x − 2y)2= xy
x2 − 5xy + 4y2=0
(x − 4y)(x − y) = 0
= 4 หรือ 1

สูตร log เพิ่มเติมควรรู้

พิสูจน์ take log ฐาน x ทั้ง 2 ข้าง

จะได้ว่า =

จากกฎของ log จะกล่าวได้วา่

(logx b)(log x a) = (logx a)(logx b)

เนื่องจากการคูณกันของจานวนจริง มีสมบัติการสลับที่การคูณ
Math Kit EBook ห น้ า 80

ลอการิทึมสามัญ
ลอการริทึมสามัญ คือลอการริทึมฐาน 10 ซึ่งเราสามารถไม่ต้องเขียนตัวเลขฐานกากับได้
เช่น log 2 = log10 2
กาหนด A เป็นจานวนจริงบวกใดๆ สามารถเขียน A ในรูปมาตรฐานคือ
A = N × 10n ; 1 ≤ N < 10
ดังนั้น log A = log N + log 10n
หรือเราสามารถเขียนในรูป log A = log N + n
N คือค่าแคแรกเทอริสติก (Characteristic) ของ log A แคแรกเทอริสติกเป็นจานวนเต็มเท่านั้น
log N คือค่าแมนทิสซา (Mantissa) ของ log A ซึ่งค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 แต่จะน้อยกว่า 1
เสมอ

ลอการิทึมธรรมชาติ

ลอการิทึมธรรมชาติ คือลอการริทึมฐาน e (e มีค่าประมาณ 2.71828) เรานิยมเขียนในรูป

ln x = logex

แอนติลอการิทึม
แอนติลอการิทึมคือการดาเนินการที่ตรงข้ามกับการหาค่าลอการิทึม โดยที่ log x = A ก็ต่อเมื่อ
antilog A = x
เช่น log 5 = 0.699
5 = 100.699 ซึ่งเราสามารถสรุปได้ ว่า 5 เป็น antilog 0.699
การแก้โจทย์เกี่ยวกับ log และเลขยกกาลัง

ตัวอย่างที่ 1 จงแก้สมการ 6x+3(2)x −4 (3) x −12=0


วิธีทา ให้ เรานาเลขยกกาลังเปลี่ยนเป็นตัวแปร A =2x และ B =3x
AB + 3A – 4B–12=0
A(B + 3) – 4(B + 3)=0
(A – 4)(B + 3)=0
A = 4 B = –3
2x = 4 หรือ 3x =–3 ใช้ไม่ได้
x=2
Math Kit EBook ห น้ า 81

ตัวอย่างที่ 2 ผลบวกของสมการทั้งหมดของสมการ 3x+ 32−x = มีค่าเท่ากับเท่าไร


(สามัญ 7 วิชา)
วิธีทา กาหนดให้ 3x เป็น A

จะได้ว่า A + =

นา A คูณตลอด A2 + 9 = A
A2 − A + 9 =0
(A − )(A − )=0
A= ,
ดังนั้น 3x = และ 3x =
x= ,
ตอบ ผลบวกของคาตอบคือ 2

ตัวอย่างที่ 3 กาหนดให้ A และ B เป็นจานวนเต็มบวก ถ้า A log50 5 +Blog50 2 = 1 และ A + B


มีค่าเท่ากับเท่าไรต่อไปนี้ (B – PAT)
1.2 2.3 3.4 4.5
วิธีทา log50 5A + log50 2B =1
log50 (5A 2B) =1
5A 2B = 50
5A 2B = 52 21
A = 2 B =1
ตอบ A + B = 3 ตอบข้อ 2

ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้คาตอบ log2 log3 log5 (2x +3) = 0 คือ A

กาหนดให้ log2 256 – A เป็น B

จงหา 2A – 3B
Math Kit EBook ห น้ า 82

วิธีทา พิจารณา log2 log3 log5 (2x +3) =0

จะได้ว่า log3 log5 (2x +3) = 20

log5 (2x +3) = 31

2x + 3 = 125

x = 61

พิจารณา log2 256 – A = log2 256 – 61

= log2 28 – 61

= 8 – 61

= – 53

2A – 3B = 122 +159

= 281

ตอบ 281

การแก้อสมการ Expo, log


วิธีทา จัดฐานทั้ง 2 ข้างให้เท่ากัน
 ฐาน > 1 ให้ใช้เครื่องหมายเดิม
 0 < ฐาน <1 ให้เปลี่ยนโดยการกลับเครื่องหมาย

Ex log (5x–3) > log (4x+6)


Ex ( ) > ( )
วิธีทา ปลด log ฐานมากกว่า 1 เครื่องหมายเดิม
วิธีทา ( ) > ( ) 5x–3 > 4x+6
ปลดฐาน x>9
2
x <4
|x| < 2
−2 < x < 2
Math Kit EBook ห น้ า 83

บทที่ 8 ตรีโกณมิติ

มุมพื้นฐาน 30° 45° 60°


วงกลมหนึ่งหน่วย ตรีโกณมิติเป็นการศึกษาเกี่ยวกับมุมและ
สูตรพื้นฐาน sin2θ + cos2 θ = 1
สามเหลี่ยมโดยเฉพาะ
สูตรมุม 2 เท่า
sin2A = 2sinAcosA

cos2A = cos2A – sin2A = 2cos2A – 1 = 1- 2sin2A


𝑡𝑎𝑛𝐴
tan2A =
𝑡𝑎𝑛 𝐴
สูตรมุม 3 เท่า
sin3A = 3sinA – 4sin3A

cos3A = 4cos3A – 3cosA


tan3A = 3 tanA – tan3 A
1–3tan2A
สูตรมุมครึ่งเท่า
c sθ +c sθ c sθ
sin = √ cos =√ tan =√
+c sθ

สูตรผลบวกลบ
sin(A±B) = sinAcosB ± cosAsinB

cos(A±B) = cosAcosB ∓ sinAsinB


tan ±tanB
tan(A±B) =
∓𝑡𝑎𝑛𝐴𝑡𝑎𝑛𝐵

สูตรแปลงผลบวกลบเป็นผลคูณ แปลงผลคูณเป็นผลบวกลบ

sinA + sinB = 2sin(A+B) cos(A−B) 2sinAcosB = sin(A+B)+sin(A-B)


2 2
sinA – sinB = 2cos(A+B) sin(A−B) 2cosAsinB = sin(A+B)-sin(A-B)
2 2
2cosAcosB = cos(A+B)+cos(A-B)
cosA + cosB = 2cos(A+B) cos (A−B)
2 2 2sinAsinB = cos(A-B)-cos(A+B)
cosA – cosB = −2sin(A+B) sin(A−B)
2 2
สามเหลี่ยมประยุกต์
Math Kit EBook ห น้ า 84

ตรีโกณมิติ (จากภาษากรีก trigonon มุม 3 มุม และ metro การวัด) เป็นสาขาของ


คณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมุม, รูปสามเหลี่ยม และฟังก์ชันตรีโกณมิติ เช่น ไซน์ และ โคไซน์ มี
ความเกี่ยวข้องกับเรขาคณิต แม้ว่าจะสรุปไม่ได้อย่างแน่ชัดว่า ตรีโกณมิติเป็นหัวข้อย่อยของ
เรขาคณิต

ความรู้พื้นฐานสามเหลี่ยมมุมฉาก ค่ามุมตรีโกณมิติ
30° 45° 60°
sin

cos

tan 1

โคฟังก์ชันของตรีโกณมิติ คุณสมบัติโคฟังก์ชัน
cos เป็นโคฟังก์ชันของ sin sin(90° − A) = cos A
cosec เป็นโคฟังก์ชันของ sec sec(90° − A) = cosec A
cot เป็นโคฟังก์ชันของ tan tan(90° − A) = cot A

วงกลมหนึ่งหน่วย มีสมการ x2+y2=1


ขนาดของมุมมี 2ประเภท
1. หน่วยองศา Ex 360°
มุมขนาด 1 องศา คือ 1 ใน 360 ส่วนของ
มุมรอบจุด
มุมขนาด 1 ลิปดา ( 1 ) คือ 1 ใน 60 ส่วน
ของมุม 1 องศา
มุมขนาด 1 ฟิลิปดา (1 ) คือ 1 ใน 60 ส่วน
ของมุม 1 ลิปดา
Math Kit EBook ห น้ า 85

2. หน่วยเรเดียน Ex 2

ขนาดของ (หน่วยเรเดียน) =

เครื่องหมายของฟังก์ชันตรีโกณในแต่ละจตุภาค คาอธิบาย
จตุภาค1 ทุกฟังก์ชันมีค่าเป็นบวก
จตุภาค2 มีเฉพาะฟังก์ชัน sin และส่วนกับ
เท่านั้นที่เป็นบวก
จตุภาค3 มีเฉพาะฟังก์ชัน tan และส่วน
กับเท่านั้นที่เป็นบวก
จตุภาค4 มีเฉพาะฟังก์ชัน cos และส่วน
กับเท่านั้นที่เป็นบวก
การหาค่ามุมตามแกน ในวงกลมหนึ่งหน่วย Ex
fn (แกนแนวราบ ± A) = fn (A) sin(120°) = sin(180° − 60°)
fn (แกนแนวดิ่ง ± A) = co fn (A) = sin(60°) อยู่ควอดรันต์ 2

่ งหมายดูตามจตุภาค(ควอดรันต์)
fn คือฟังก์ชัน เครือ sec(280°) = sec(270°+10°)
= sec(10°)
Math Kit EBook ห น้ า 86

รูปสามเหลี่ยม ที่ชอบออกบ่อย
มุมพื้นฐาน (ต้องทราบ) มุมจาก วงกลม 1 หน่วย (ต้องทราบ)
30° 45° 60° sin(0° + n(360°)) = 0
sin cos(0° + n(360°)) = 1
sin(180° + n(360°)) = 0
cos
cos(180° + n(360°)) = –1
tan 1 sin(90° + n(360°)) = 1
cos(90° + n(360°)) = 0
sin(270° + n(360°)) = –1
cos(270° + n(360°)) = 0

เมื่อ n เป็นจานวนเต็มใดๆ
มุม 15° และมุม 75° (ควรทราบ) มุม 72° , 18° และมุม 36° , 54° (ควรทราบ)
15° 75° 18° 72°
sin sin √

cos cos √

tan tan √

54° 36°
sin √

cos √

tan √

Math Kit EBook ห น้ า 87

ตัวอย่างที่ 1 จงหาค่า sin60° – cos30° + tan45°

วิธีทา – +1

=1

ตอบ 1

ตัวอย่างที่ 2 จงหาค่า A เมื่อ 0°< A < 90° และ 2 – 2sinA = 1

วิธีทา 2 – 2sinA = 1

2–1 = 2sinA

= sinA

ตอบ A = 30°

ตัวอย่างที่ 3 กาหนด sin A = จงหา 12sin30°(tanA)

13
วิธีทา จากค่า sin จะได้ 132 = 52 + x2 5

x = 12
x
tan A =

6sin30°(tanA) = 6( × )

ตอบ

ข้อควรรู้ มุมหน่วยเรเดียน = 180° = 90°

= 60° = 45°

= 30°
Math Kit EBook ห น้ า 88

สูตรตรีโกณมิติพน
ื้ ฐาน สูตรผลบวกและผลต่างตรีโกณมิติ
sin2 + cos2 =1 sin(A±B) = sinAcosB ± cosAsinB
sec2 – tan2 =1 cos(A±B) = cosAcosB ∓ sinAsinB
tan ±tanB
cosec2 – cot2 =1 tan(A±B) =

สูตรมุม 2 เท่า สูตรมุม 3 เท่า


sin2A = 2sinAcosA sin3A = 3sinA – 4sin3A
= 2 tan A cos3A = 4cos3 A – 3cosA
1 + tan2A tan3A = 3 tanA – tan3 A
cos2A = cos2A – sin2A 1–3tan2A
= 2cos2A – 1 cot3A = cot3A – 3cotA
3cot2A – 1
=1 – 2sin2A

= 1 – tan2A
1 + tan2A
tan2A = 2 tan A
1 – tan2A

สูตรมุมครึง่ เท่า
c s
sin = √
+c s
cos =√

c s
tan =√
+c s

สูตรแปลงผลบวกผลต่างเป็นผลคูณ สูตรแปลงผลคูณเป็นผลบวกผลต่าง

sinA + sinB = 2sin(A+B) cos(A−B) 2sinAcosB = sin(A + B) + sin(A – B)


2 2
2cosAsinB = sin(A + B) – sin(A – B)
sinA – sinB = 2cos(A+B) sin(A−B)
2 2 2cosAcosB = cos(A + B) + cos(A – B)
cosA + cosB = 2cos(A+B) cos (A−B) 2sinAsinB = cos(A – B) – cos(A + B)
2 2
cosA – cosB = −2sin(A+B) sin(A−B)
2 2
Math Kit EBook ห น้ า 89

ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้ A และ B เป็นมุมแหลมถ้า sec A = และ sec B = จงหา cos(A+B)

วิธีทา sec คือส่วนกลับของ cos จะได้ cosA = cosB =


5
3
จะได้ cosAcosB  sinAsinB = ( )( ) – ( )( )

4
=
17
= 15

ตอบ

ตัวอย่างที่ 5 จงหาค่า cosec(75°) × tan(75°)

×
sn °
วิธีทา cosec(75°) × tan(75°) =
sn ° c s °

=
c s °

cos 75° = cos(30° + 45°)

= cos30°cos45° sin30°sin45°

= 

=
c s °

ตอบ
Math Kit EBook ห น้ า 90

สูตรอินเวอร์ส

+
arcsin (–x) = −arcsin (x) arctan x + arctan y = arctan( ) ; xy < 1
+
arctan(–x) = −arctan(x) arctan x + arctan y = arctan( ) ; xy > 1

arcos (–x) = π – arcos(x) arctan x – arctan y = arctan( )


+

การประยุกต์สามเหลี่ยม

b a

A B
c

เมื่อ ABC เป็นสามเหลี่ยมใดๆ


กฎของไซต์

= = = 2R, R คือ รัศมีของวงกลมแนบในสามเหลีย


่ ม

กฎของโคไซน์
1. a2 = b2 +c2 – 2bc cos A
2. b2 = a2 + c2 – 2ac cos B
3. c2 = a2 + b2 – 2ab cos C
a +c
และ cos A =
c

การหาพื้นที่สามเหลี่ยม

1ab sinC = 1 bc sinA = 1 ac sinB


2 2 2
Math Kit EBook ห น้ า 91

ข้อควรรู้ กราฟฟังก์ชันตรีโกณ
ฟังก์ชน
ั ตรีโกณ แอมพลิจด
ู (Amplitude) คาบ
y = A sin Bx |A|
| |

y = A cos Bx ไม่มี
| |

y = A tan Bx ไม่มี | |

กราฟ sin

กราฟ cos

กราฟ tan
Math Kit EBook ห น้ า 92

กราฟ cosec

กราฟ sec
Math Kit EBook ห น้ า 93

กราฟ cot

กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติในวงกลม 1 หน่วย
กราฟ sin กราฟ arcsin
โดเมนของฟังก์ชัน [− , ]
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [–1,1]

โดเมนของฟังก์ชัน[− 1 ,1]
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [− , ]

กราฟ cos กราฟ arccos


โดเมนของฟังก์ชัน [0, ]
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [–1,–1]

โดเมนของฟังก์ชัน[–1,–1]
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [0, ]
Math Kit EBook ห น้ า 94

กราฟ tan กราฟ arctan


โดเมนของฟังก์ชัน (− , )
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั R

โดเมนของฟังก์ชัน R
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั (− , )

กราฟ cosec กราฟ arccosec


โดเมนของฟังก์ชัน [− , ] – {0}
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั R – {–1,1}

โดเมนของฟังก์ชัน R – {–1,1}
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [− , ] – {0}

กราฟ sec กราฟ arcsec


โดเมนของฟังก์ชัน [0, ] – { }
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั R – {–1,1}

โดเมนของฟังก์ชัน R – {–1,1}
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [0, ] – { }
Math Kit EBook ห น้ า 95

กราฟ cot กราฟ arccot


โดเมนของฟังก์ชัน (0, )
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั R

โดเมนของฟังก์ชัน R
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั (0, )
Math Kit EBook ห น้ า 96

บทที่ 9 เวกเตอร์

เวกเตอร์รูปภาพ
การเท่ากันของเวกเตอร์

การขนานกันของเวกเตอร์

นิเสธของเวกเตอร์

การบวกลบเวกเตอร์

การคูณเวกเตอร์

เวกเตอร์ในพิกัดฉาก

ขนาดของเวกเตอร์
เวกเตอร์ในระบบสองมิติ

เวกเตอร์ในระบบสามมิติ

การคูณเวกเตอร์
ผลคูณเชิงสเกลาร์
ผลคูณเชิงเวกเตอร์
ประยุกต์เวกเตอร์
พืน
้ ที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน |u v|

ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน |u ⋅ (v r)|

เวกเตอร์เป็นจานวนที่มีทั้งขนาด และ ทิศทาง เวกเตอร์มี


การใช้กันในหลายสาขาทั้งฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์
Math Kit EBook ห น้ า 97

เวกเตอร์ (vector) ในทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกับ สเกลาร์(scalar) ซึ่ง


เวกเตอร์เป็นจานวนที่มีทั้งขนาด และ ทิศทาง เวกเตอร์มีการใช้กันในหลายสาขา
นอกเหนือจากทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์
เวกเตอร์ในเรขาคณิต เราใช้เส้นตรงที่ระบุทิศทาง แทนเวกเตอร์ โดยความยาวของ
เส้นตรง แทนขนาดของเวกเตอร์และหัวลูกศรบอกทิศทางของเวกเตอร์ แทนขนาดของ
เวกเตอร์และหัวลูกศรบอกทิศทางของเวกเตอร์

ในบางครั้งเราสามารถกล่าวถึงเวกเตอร์โดยไม่
B จาเป็นต้องระบุจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
เช่น

A 𝑢
𝑣
จากรูป A เป็นจุดเริ่มต้น (initial point)
B เป็นจุดสิ้นสุด (terminal point)
แสดงเวกเตอร์ AB เขียนแทนด้วย
ความยาวของเส้นตรง AB เป็นขนาดของ
เวกเตอร์ เขียนด้วย | |

การขนานกันของเวกเตอร์
และ จะขนานกันก็ต่อเมือ
่ เวกเตอร์ทั้งสองมีทิศทางเดียวกัน หรือมีทิศทางตรงข้ามกัน
B D
จากตัวอย่าง และ มีขนาดเท่ากันและมีทิศทางเดียวกัน
𝑢
𝑣
A
C
การเท่ากันของเวกเตอร์และนิเสธของเวกเตอร์

และ จะเท่ากันก็ต่อเมื่อเวกเตอร์ทงั้ สองมีทิศทางและขนาดเดียวกันเขียนแทนด้วย =


Math Kit EBook ห น้ า 98

นิเสธของเวกเตอร์

นิเสธ ของ (negative of ) คือเวกเตอร์ที่มีขนาดที่มีขนาดเท่ากับขนาดของ แต่มีทิศทางตรง

ข้ามกับทิศทางของ เขียนแทนด้วย

จากตัวอย่างเวกเตอร์ มีขนาดเท่ากันกับเวกเตอร์ แต่มีทศ


ิ ทาง
𝑢
𝑣 ตรงกันข้ามดังนี้ เป็นนิเสธของเวกเตอร์

การกาหนดทิศทางของเวกเตอร์ในระบบ 3 ตัว

ในการกาหนดทิศทางของเวกเตอร์ สามารถกาหนดโดยใช้ทิศเหนือเป็นหลัก และกาหนด

ทิศทางของเวกเตอร์ เป็นมุม ที่วัดจากทางทิศเหนือ ในทิศทวนเข็มนาฬิกา โดย ขนาด มุมจะอยู่

ระหว่าง 0° ถึง 360°

การบวกลบเวกเตอร์

เมื่อ และ เป็นเวกเตอร์ใดๆ เลื่อน ให้จุดเริ่มต้นของ อยู่ที่จุดสิ้นสุดของ ผลบวกของ

และ เขียนแทนด้วย “ + ” คือเวกเตอร์ที่มีจุดเริ่มต้นของ และจุดสิ้นสุดของ

เวกเตอร์ศูนย์ (zero vector) เป็นเวกเตอร์ที่มีขนาดเป็นศูนย์ เขียนแทนด้วย

ข้อสังเกต

1.กรณีของเวกเตอร์ศูนย์ ไม่จาเป็นต้องกล่าวถึงทิศทางของเวกเตอร์ แต่ถ้าต้องการกล่าวถึงมี

ข้อตกลงว่าจะระบุทิศทางของเวกเตอร์ศูนย์เป็นเช่นใดก็ได้

2.เมื่อเขียนรูปเรขาคณิตแทนเวกเตอร์ศูนย์ จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเวกเตอร์เป็นจุด

เดียวกัน
Math Kit EBook ห น้ า 99

= + + = =

เมื่อ และ เป็นเวกเตอร์ใดๆ ผลลบของ และ เขียนแทนด้วย – หมายถึง

ผลบวก และนิเสธของ คือ – = +( )

การคูณเวกเตอร์ด้วยสเกลาร์

นิยามเมื่อ a เป็นสเกลาร์ เป็นเวกเตอร์ ผลคูณของเวกเตอร์ u ด้วย สเกลาร์ a เป็นเวกเตอร์

เขียนแทนด้วย a โดยถ้า a เป็นบวก

 ถ้า a เป็นบวก จะมีทิศทางเดียวกัน

 ถ้า a เป็น ลบจะมีทิศทางตรงกันข้าม

 ถ้า a = 0 แล้ว a =

ตัวอย่าง

คาอธิบายจากรูป

v=–u

= u

= u
Math Kit EBook ห น้ า 100

คุณสมบัติการบวกของเวกเตอร์ คุณสมบัติการคูณเวกเตอร์ดว้ ยสเกลาร์


 คุณสมบัติปิด เมื่อ และ ไม่เท่ากับ 0 ถ้า = m( )
 คุณสมบัติเปลี่ยนกลุ่มได้ ถ้า m เป็นบวก จะมีทิศทางเดียวกัน
 คุณสมบัติการมีเอกลักษณ์ ถ้า m เป็น ลบจะมีทิศทางตรงกันข้าม
 คุณสมบัติการมีอินเวอร์ส
 คุณสมบัติการสลับที่

เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก

เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉากสองมิติ เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
เราสามารถเขียนเวกเตอร์ ใดๆในรูปเวกเตอร์ เราสามารถเขียนเวกเตอร์ ใดๆในรูปเวกเตอร์ ,
และ ได้เสมอเมื่อ และ ได้เสมอเมือ

เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน x เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน x
ทางบวก ทางบวก
เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน y เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน y
ทางบวก ทางบวก
เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน z
ทางบวก

(a1,a2,a3)

ให้ a1 + a2 สามารถเขียนให้อยู่ ในรูปของ ขนาด | | = √


เมตริกซ์ได้ ⌈ ⌉ โคไซน์แสดงทิศทางของ คือ
ขนาด | | = √ , ,
|a| |a| |a|
ความชัน m a = tan =
หรือ cos , cos , cos
cos2 + cos2 + cos2 =1
=* +
Math Kit EBook ห น้ า 101

คาแนะนา

1. เวกเตอร์ที่มีจุดเริ่มต้นที่ A(x1,y1,z1) และจุดสิ้นสุดที่ B(x2,y2,z2)

คือ [ ]

2. เวกเตอร์ 1 หนึง่ ในทิศทางเดียวกัน แทนด้วย ̂ =


| |

เวกเตอร์ 2 เวกเตอร์จะมี
ทิศทางเดียวกัน ทิศทางตรงข้ามกัน
มีโคไซน์แสดงทิศทางชุดเดียวกัน โคไซน์แสดงทิศทางกับแต่ละแกนของเวกเตอร์ จะ
เป็นจานวนที่มีค่าตรงข้ามกันกับโคไซน์แสดงทิศทาง
ของอีกเวกเตอร์หนึ่ง
คุณสมบัติของเวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก

นิยาม เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉากสองมิติ เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉากสามมิติ

การเท่ากัน * +=* +
0 1 [ ]
ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
ก็ต่อเมื่อ a = d และ b = e
c=f
การบวกเวกเตอร์ * ++* +=* +
0 1 [ ] [ ]

การลบเวกเตอร์ * +–* +=* +


0 1 [ ] [ ]

เวกเตอร์ศูนย์ เวกเตอร์ศูนย์ คือ * +


เวกเตอร์ศูนย์ คือ[ ]

การคูณเวกเตอร์ด้วย k* + = * +
k0 1 = [ ]
สเกลาร์ เมื่อ k เป็นจานวนจริงใดๆ
เมื่อ k เป็นจานวนจริงใดๆ
Math Kit EBook ห น้ า 102

ผลคูณระหว่างเวกเตอร์

ผลคูณเชิงสเกลาร์ (Dot Product)


ผลคูณเชิงสเกลาร์สองมิติ ผลคูณเชิงสเกลาร์สามมิติ
⋅ = a1b1+a2b2 ⋅ = a1b1+a2b2+a3b3
= | || |cos ; ° ° = | || |cos ; ° °

ตัวอย่าง กาหนดให้ =2 + 3 และ = –3 + 4


วิธีทา u ⋅ v = (2 • (–3 )) + (3 • 4 )
= –6 + 12
=6
ผลคูณเชิงเวกเตอร์(Cross Product)
ผลคูณเชิงเวกเตอร์สามมิติ

กาหนด u [ ]v [ ]

u v =| |

=| || |sin
Math Kit EBook ห น้ า 103

คุณสมบัติผลคูณระหว่างเวกเตอร์

ผลคูณเชิงสเกลาร์ ผลคูณเชิงเวกเตอร์
u⋅v = v⋅u u v= v u
u ⋅ (v w) =u ⋅ v u⋅w u (v w) = u v u w)
(u ⋅ v) = ( u) ⋅ v (u v) = ( u) v
= u ⋅ ( v) =u ( v)
u ⋅ u = |u| u u=0
u⋅ =0 u =
ถ้า u และ v ไม่เท่ากับ 0 แล้ว ถ้า u และ v ไม่เท่ากับ 0 แล้ว u v= แล้ว
u ⋅ v > 0 ก็ต่อเมือ
่ เป็นมุมแหลม u v

u ⋅ v = 0 ก็ต่อเมือ
่ =90°และ u v ตั้งฉากกัน
u ⋅ v < 0 ก็ต่อเมือ
่ เป็นมุมป้าน
|u v |2 = |u|2 + |v|2 + 2|u|⋅|v|cos u ⋅ (u v) = 0
|u v |2 = |u|2 + |v|2 – 2|u|⋅|v|cos
|u v |2 – |u v |2 = 4(|u ⋅ v |)
|u v |2 + |u v |2 =2(|u|2 + |v|2)
|u v |2 = |u|2 + |v|2 – (u ⋅ v) 2
Math Kit EBook ห น้ า 104

การประยุกต์เวกเตอร์

1.พืน
้ ที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน (ต้องทราบ)

พื้นที่ = ฐาน สูง


= |u v|
= | || |sin

2.ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน (ต้องทราบ)
ปริมาตร = พื้นที่ฐาน × สูง
= |u||v r |cos
= | u ⋅ (v r)|

3.โปรเจคชั่นของเวกเตอร์ (นอกหลักสูตร แต่ควรทราบ)


Proj v u = av เนื่องจาก v ตั้งฉาก u –av
u⋅ v
Proj v u = v
| v|
มาจาก v ⋅ (u v) = 0
v ⋅u ( v ⋅ v) = 0
v ⋅u = |v|
u⋅ v
a=
|v|
u⋅ v
Proj u v = u
| u|

4.พื้นที่รูปสามเหลี่ยม (นอกหลักสูตร แต่ควรทราบ)


× |u|⋅|v|⋅sin
= × ฐาน × สูง
Math Kit EBook ห น้ า 105

บทที่ 10 จานวนเชิงซ้อน

พื้นฐาน
ค่า i
ค่าสมบูรณ์ของจานวนเชิงซ้อน

สมบัติของจานวนเชิงซ้อน

สังยุคของจานวนเชิงซ้อน

อินเวอร์สของจานวนเชิงซ้อน

กราฟของจานวนเชิงซ้อน

พิกัดเชิงขั้ว

รากที่ n

การแก้ปัญหาสมการด้วยจานวนเชิงซ้อน

สมการบางสมการไม่มีคาตอบเป็นจานวนจริง จึงมีการกาหนด

จานวนจินตภาพขึ้นเพื่อใช้ในการหาคาตอบของสมการที่มีคาตอบ

ไม่ใช่จานวนจริง จานวนจินตภาพ กับจานวนจริงประกอบกัน

เรียกว่าจานวนเชิงซ้อน
Math Kit EBook ห น้ า 106

ระบบจานวนเชิงซ้อน (Complex Numbers)


เนื่องจากสมการพหุนามจานวนมากไม่มีคาตอบตัวอย่างเช่น x2+1=0 ไม่มีจานวนจริงใด
เป็นคาตอบของสมการ จึงมีการกาหนดจานวนชนิดหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานจานวนชนิด
หนึ่งซึ่งไม่ใช่จานวนจริงเรียกว่า จานวนเชิงซ้อน เพื่อหาค่าของสมการที่ไม่มีคาตอบในจานวนจริง
สาหรับจานวนเชิงซ้อน เมื่อ a และ b เป็นจานวนจริง
เรียก a ว่าส่วนจริง (Real part) ของ z เขียนแทนด้วย Re(z)
เรียก b ว่าส่วนจินตภาพ (Imaginary part) ของ z เขียนแทนด้วย Im(z)

จานวนจินตภาพ Ex
คือ จานวนที่ไม่ใช่จานวนจริง เขียนในรูป √จานวนลบ 1.
โดยนิยมเขียนในรูปของตัว 2.

จานวนจริงคือจานวนเชิงซ้อนที่มีหน่วยจินตภาพเป็น Ex
ศูนย์ และจานวนเชิงซ้อนที่ไม่มีส่วนจริงหรือส่วนจริง 1.
เป็นศูนย์ เรียกว่า 2.

จานวนจินตภาพแท้ (Purely imaginary number)

ค่าของ Ex
เมื่อ ∈ +
สามารถหาค่าของ ได้ดังนี้ 1. ( เหลือเศษ )
1. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ 2. ( เหลือเศษ )
2. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ
3. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ
4. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ
ข้อควรรู้ i2 = −1 i3 =−i i4 = 1 i5 = i i6 = −1 i7 = −i i8 = 1
จานวนเชิงซ้อน
z = (a,b) = a + bi a คือส่วนจริง Re(z) b คือส่วนจินตภาพ Im(z)

แกนจินตภาพ

a แกนจริง
Math Kit EBook ห น้ า 107

ตัวอย่าง

เราสามารถเขียนได้วา่ 4 + 2i เราสามารถเขียนได้ว่า 5 − i

สมบัตข
ิ องจานวนเชิงซ้อน
ให้ และ
1. เมื่อ และ
2. ( ) ( )i
3. ( ) ( )i
4.
5. ( ) ( ) หรือ (a+bi)(c+di) แล้วคูณเหมือนจานวนจริง
+
6. =
+

ตัวอย่างที่ 1 กาหนด z1= 4 – 6i z2= –3 + 2i จงหาค่า 3(z1 + z2)

วิธีทา z1 + z2 = (4 – 3) + (–6+2)i

= 1 – 4i

3(z1 + z2) = 3 – 12i

ตอบ 3 – 12i
Math Kit EBook ห น้ า 108

ตัวอย่างที่ 2 กาหนดให้ 4 + 3i =(3a+b) + (a+2b)i โดยที่ a และ b เป็นจานวนจริง จงหาค่า a+b

วิธีทา จากโจทย์ 3a + b = 4 ––––––––– (1)

a + 2b = 3 ––––––––– (2)

(1) x 2 6a + 2b = 8 ––––––––– (3)

(3) – (2) 5a = 5

a=1

แทน a ลงในสมการ (2) 1 + 2b = 3

2b = 2

B=1

ดังนั้น a+b = 2

+
ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่าของ

+ + ( + )( + )
วิธีทา
+

+ + +
+

+
Math Kit EBook ห น้ า 109

+
ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้ x และ y เป็นจานวนจริงซึ่งสอดคล้องกับสมการ = 1 – 4i จงหาค่าของ
+
y–x

วิธีทา y + 11i = (1 – 4i)(x+3i)

= x + 3i – 4xi –12i2

ดังนั้น y + 11i = (x + 12) + (3 – 4x)i

11 = 3 – 4x

4x = –8

x = –2

y = (x + 12)

= (–2+12)

= 10

y–x = 10 – (–2)

= 12

ตอบ 12

สังยุคของจานวนเชิงซ้อน (Conjugate)
ให้ คอนจูเกตของ คือ ̅ โดยที่ ̅
1. ̿
2. ̅
3. ̅̅̅̅̅̅̅̅̅
± ̅±̅
4. ̅̅̅̅̅̅ ̅ ̅
̅̅̅̅̅ ̅̅̅
5. ( ) ̅̅̅

6. ̅
7. ̅
ข้อควรรู้ การหารจานวนเชิงซ้อนทาได้โดยการทาให้อยู่ในรูปของเศษส่วนแล้วนาสังยุกต์ของจานวนนั้นๆไป
คูณทั้งเศษและส่วน
Math Kit EBook ห น้ า 110

ค่าสัมบูรณ์ของจานวนเชิงซ้อน
ถ้า ค่าสัมบูรณ์ของ คือ | | โดยที่ | |
1. | | | | | ̅|
2. | | ̅
3. | | | || |
4. | | | |
| |
5. | | | |
เมื่อ ≠
6. | | | | | |
7. | | | | | |

รากทีส
่ องของจานวนเชิงซ้อน
ให้ และ √
+ +
รากที่สองของ ± .√ √ / เมื่อ หรือ ± .√ √ / เมื่อ

อินเวอร์สการคูณของจานวนเชิงซ้อน
ถ้า แล้ว อินเวอร์สการคูณของ หรือ
̅
ดังนั้น | |
+

ตัวอย่างที่ 5 จงหาค่าของ |(5 – 4i)(5 + 12i)(–3i)|

วิธีทา |(5 – 4i)|(5 + 12i)|(–3i)| =

= (13)(3)

= 39

ตอบ 39
Math Kit EBook ห น้ า 111

ตัวอย่างที่ 6 กาหนดให้ z เป็นจานวนเชิงซ้อน ซึง่ |(7–24i)(3+4i)z6| = 1 แล้ว z มีค่าเท่าใด (Ent 42)

วิธีทา |(7 – 24i)||(3 + 4i)||z6| = 1

|z6| = 1

(25)(5)|z6| =1

|z6| =

z = |z2|

|z2| =

ตอบ

กราฟของจานวนเชิงซ้อน
สาหรับจานวนเชิงซ้อน ใช้จุดในระนาบเป็นตัวแทนของจานวนเชิงซ้อน ซึง่ ระนาบดังกล่าวประกอบด้วย
แกนจริง(X)และแกนจินตภาพ(Y) ถ้า จะมีความหมายดังนี้

เรียก ว่า อาร์กิวเมนต์ของ


จากรูป จะพบว่า

| |
| |
| |
| |
แล้ว | |
( )
ั เชิงขัว้ (Polar Co–Ordinate System)
เรียกรูปแบบนี้ว่า จานวนเชิงซ้อนในรูปของพิกด
 สามารถเขียน r( ) เป็น r
Math Kit EBook ห น้ า 112

การดาเนินการของจานวนเชิงซ้อนในรูปของพิกด
ั เชิงขัว้
z1=r1cis 1 z2=r2cis 2

z1 × z2 = r1 × r2 cis ( 1+ 2)

z1 ÷ z2 = r1 ÷ r2 cis ( 1– 2)

z1n = (r1)n cis ( 1)

z̅1 = r1cis – 1

ทฤษฎีบทของเดอมัวร์

ถ้า ( )

( ) ( )

ตัวอย่างที่ 7 จงหาค่าของ [3(cos35° +i sin35°)][5(cos55° +I sin55°)]

วิธีทา [3cis35°][5cis55°] = [3×5 cis (35°+45°)

= 15 cis (90°)

= 15(cos90° + i sin 90°)

= 15 (0 + 1i)

= 15i

ตอบ 15i

การแก้สมการทีม
่ ผ
ี ลลัพธ์เป็นจานวนเชิงซ้อน
1. ถ้าสมการอยูใ่ นรูป
± ac
จัดรูปแล้วใช้ เทียบสูตร
a

2. ถ้าสมการอยูใ่ นรูป เมื่อ ≠


± ac
ใช้สูตร
a

3. ถ้าสมการมีเลขชีก
้ าลังสูงสุดเกิน 2 ขึน
้ ไป
ให้ใช้วิธีแยกตัวประกอบโดยอาจใช้วิธีเศษเหลือ ทาให้อยูใ่ นรูปแบบที่สองแล้วใช้สูตร
Math Kit EBook ห น้ า 113

รากที่ n ของจานวนเชิงซ้อน
ถ้า แล้ว รากที่ ของ จะมีทั้งหมด รากที่แตกต่างกัน คือ

[ ( )]
เมื่อ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับสมการพหุนาม

axn + bxn–1 +cxn–2 + … + s = 0

ผลบวกของคาตอบทั้งหมดคือ –
s
ผลคูณคาตอบทั้งหมดคือ (–1)n
a

ตัวอย่างที่ 8 จงหารากที่ 2 ของ z เมื่อ z = 3 + 4i

วิธีทา หา |z| =

=5

รากที่ 2 ของ z คือ ± .√ √ /

± .√ √ /

= ± (2 + i)
Math Kit EBook ห น้ า 114

บทที่ 11 ความน่าจะเป็น

กฎการนับ

หลัการบวก ใช้เมื่องานยังไม่เสร็จ

หลักการคูณ ใช้เมื่องานเสร็จ

รูปแบบวิธีการนับยอดนิยม

ของต่าง ของเหมือน ของซ้า


ตัวอย่าง ABCDE AAAAA MMCAI
การเรียงสับเปลี่ยน n! 1 วิธี n! หารด้วยของที่
(สนใจตาแหน่งที่ได้) 5! = 120 วิธี ซ้า

การเลือก ใช้ nCr 1 วิธี ใช้กฎการนับ


(ไม่สนใจตาแหน่งที่ได้)
การแบ่ง จานวนของ ใช้กฎ Star and ใช้กฎการนับ
ทั้งหมดหาร Bar
ด้วยกลุ่มที่แบ่ง

ความน่าจะเป็น

ความน่าจะเป็น เครื่องมือในการช่วยตัดสินใจและบอกถึงความ

เป็นไปได้ของสิ่งต่างๆ เป็นอีกวิชาหนึ่งที่มีความสาคัญทั้งทางด้าน

ธุรกิจ ด้านสถิติ ด้านวิศวกรรมศาสตร์


Math Kit EBook ห น้ า 115

กฎเกณฑ์เบือ
้ งต้นเกีย
่ วกับการนับ

ปัญหาเกี่ยวกับการนับเป็นปัญหาหนึ่งที่มักจะพบอยู่เสมอ หลักการนับมี 2 ประการ ดังนี้

1.หลักการบวก ใช้เมื่อการทางานนั้นยังไม่เสร็จ เช่นใช้ในรวมกันของกรณีต่างๆ

2.หลักการคูณ ใช้เมื่อการทางานนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว

หลักการบวก

ถ้าการทางานหนึ่งมีวิธีการทา k วิธี คือ วิธีที่ 1 ถึงวิธีที่ k โดยที่

การทางานวิธีที่ 1 มีวิธีทา วิธี

การทางานวิธีที่ 2 มีวิธีทา วิธี

การทางานวิธีที่ k มีวิธีทา วิธี

และวิธีการทางานแต่ละวิธีแตกต่างกัน แล้วจานวนวิธีทางานนี้เท่ากับ + +...+ วิธี

ตัวอย่างที่ 1 มีชุดทางาน 2 ชุด มีถุงเท้า 3 แบบ จะเลือกวิธีการแต่งตัวโดยไม่ซ้ากันเลย

วิธีทา ชุดทางานแบบที่ 1 สามารถใช้ถึงเท้าได้ 3 แบบ 3 วิธี

ชุดทางานแบบที่ 2 สามารถใช้ถึงเท้าได้ 3 แบบ 3 วิธี

ดังนั้น วิธีการแต่งตัวโดยไม่ซ้ากันเลยมีทั้งหมด 3 + 3 = 6 วิธี


Math Kit EBook ห น้ า 116

ตัวอย่างที่ 2 นักเรียน 3 คน ต้องการเข้าและออกห้องๆหนึ่ง ซึ่งมีประตู 3 บาน โดยนักเรียนคนที่

1 เข้าและออกโดยใช้ประตูบานเดียวกัน นักเรียนคนที่ 2 เข้าและออกโดยไม่ใช้ประตูบานเดิม และ

นักเรียนคนที่ 3 เข้าและออกประตูบานใดก็ได้ จงหาจานวนวิธีที่นักเรียนทั้งสามคนเข้าและออก

ห้องนี้

วิธท
ี า นักเรียนคนที่ 1 มีวิธีเข้าและออกได้ 3 วิธี

นักเรียนคนที่ 2 มีวิธีเข้าและออกได้ 6 วิธี

นักเรียนคนที่ 3 มีวิธีเข้าและออกได้ 9 วิธี

ดังนั้น วิธีที่นักเรียนทั้งสามคนเข้าและออกห้องนี้มีทั้งหมด 3+6+9=18

หลักการคูณ

ถ้าการทางานอย่างหนึ่งประกอบด้วยการทางาน k ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ถึงขั้นตอนที่ k

ตามลาดับ โดยที่

การทางานขั้นตอนที่ 1 มีวิธีทา วิธี


การทางานขั้นตอนที่ 2 มีวิธีทา วิธี

การทางานขั้นตอนที่ k มีวิธีทา วิธี


และวิธีการทางานแต่ละวิธีแตกต่างกัน แล้วจานวนวิธีทางานนี้เท่ากับ ... วิธี

ตัวอย่าง 3 บริษัทผลิตเสื้อผ้าสาเร็จรูปแห่งหนึ่งผลิตเสื้อ 6 แบบ กางเกง 5 แบบ และเนคไท 4

แบบ ถ้าจะจัดแต่งตัวให้กับหุ่นเพื่อนาไปโชว์หน้าร้าน จะสามารถแต่งเป็นชุดต่างๆกันได้กี่ชุด

วิธท
ี า ในการแต่งตัวให้กับหุ่นมี 3 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1 เลือกเสื้อได้ 6 วิธี

ขั้นตอนที่ 2 เลือกกางเกงได้ 5 วิธี

ขั้นตอนที่ 3 เลือกเนคไทได้ 4 วิธี

ดังนั้น วิธีแต่งตัวให้กับหุ่นทาได้ทั้งหมด 6 x 5 x 4 = 120


Math Kit EBook ห น้ า 117

ตัวอย่าง 4 ในคณะกรรมการนักเรียนจานวน 10 คน จะมีวิธีเลือกประธาน รองประธานและ

เลขานุการ ได้กี่วิธี ถ้าคณะกรรมการคนหนึ่งไม่สมัครจะเป็นประธาน (Ent มีนาคม 48)

วิธท
ี า 1.ในตาแหน่งประธาน มีโอกาสเกิดได้ทั้งหมด 9 วิธี (เนื่องจากมีคณะกรรมการคนหนึ่งไม่

สมัครจะเป็นประธาน)

2.ในตาแหน่งรองประธาน มีโอกาสเกิดได้ 9 วิธี (10คน ไปอยู่ประธานแล้ว 1 คน)

3.ในตาแหน่งเลขานุการ มีโอกาสเกิดได้ 8 วิธี

ดังนั้น วิธเี ลือกประธาน รองประธานและเลขานุการได้ทั้งหมด 9 x 9 x 8 = 684 วิธี


Math Kit EBook ห น้ า 118

ตัวอย่างที่ 5 ในการสร้างรหัส (Code) กาหนดให้ใช้อักขระ 3 ตัวที่ไม่ซ้ากัน โดยตั้งมีตัวอักษร

ภาษาอังกฤษ (A–F อย่างน้อย 1 ตัว และมีตัวเลข 0 – 9) อย่างน้อยหนึ่งตัวจานวนหารที่สร้างได้

โดยไม่ซ้าแบบเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (B–PAT ตุลาคม 51)

ก.1,260 ข.2,520 ค.5,040 ง.3,780

วิธีทา ให้แยกกรณี จากโจทย์เราสามารถได้ทั้งหมด 5 กรณี

กรณี 1 มีอักษร 1 ตัว เกิดได้ 6 วิธี กรณี 2 มีอักษร 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่ง


มีตัวเลข 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่ง หนึ่งสามารถเกิดได้ 6 วิธี
หนึ่งสามารถเกิดได้ 10 วิธี มีตัวเลข 1 ตัว เกิดได้ 10 วิธี
6 x 10 x 10 6 x 6 x 10
ตัวอักษร ตัวเลข ตัวเลข ตัวอักษร ตัวอักษร ตัวเลข

ดังนั้น กรณีที่ 1 มีโอกาสเกิด 600 วิธี ดังนั้น กรณีที่ 2 มีโอกาสเกิด 360 วิธี
กรณี 3 มีอักษร 1 ตัว เกิดได้ 6 วิธี กรณี 4มีอักษร 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่งหนึ่ง
มีตัวเลข 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่ง สามารถเกิดได้ 6 วิธี
หนึ่งสามารถเกิดได้ 10 วิธี มีตัวเลข 1 ตัว เกิดได้ 10 วิธี
10 x 6 x 10 10 x 6 x 6
ตัวเลข ตัวอักษร ตัวเลข ตัวเลข ตัวอักษร ตัวอักษร

ดังนั้น กรณีที่ 1 มีโอกาสเกิด 600 วิธี ดังนั้น กรณีที่ 2 มีโอกาสเกิด 360 วิธี
กรณี 5 มีอักษร 1 ตัว เกิดได้ 6 กรณี
มีตัวเลข 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่งหนึ่งสามารถเกิดได้ 10 วิธี
10 x 10 x 6
ตัวเลข ตัวเลข ตัวอักษร

ดังนั้น กรณีที่ 1 มีโอกาสเกิด 600 วิธี

ดังนั้น เราสามารถสร้างรหัสได้ทั้งหมด 600+600+600+360+360 = 2,520 วิธี

ตอบข้อ ข.
Math Kit EBook ห น้ า 119

แฟคทอเรียล

คือจานวนเต็มบวก n ใดๆ แฟคทอเรียล n เขียนแทนด้วย n! หมายถึงผลคูณจานวนเต็ม

บวกตั้งแต่ 1 ถึง n n! = n(n – 1)(n – 2)…(3)(2)(1)

ข้อควรระวัง 0! = 1 1! = 1

ข้อควรรู้ 4! = 24 5! = 120 6! = 720 7! = 5,040

รูปแบบวิธีการนับ

ของต่าง ของเหมือน ของซ้า


ตัวอย่าง ABCDE AAAAA MMCAI
การเรียงสับเปลี่ยน n! 1 วิธี n! หารด้วยของที่ซ้า
(สนใจตาแหน่งที่ได้) 5! = 120 วิธี

การเลือก ใช้ nCr 1 วิธี ใช้กฎการนับ


(ไม่สนใจตาแหน่งที่ได้)
การแบ่ง จานวนของทั้งหมด ใช้กฎ Star and Bar ใช้กฎการนับ
หารด้วยกลุ่มที่แบ่ง

วิธเี รียงสับเปลีย
่ น (Permutation)

เป็นการจัดเรียงสิ่งของโดยคานึงถึงตาแหน่งของสิ่งของแต่ละสิ่งเป็นสาคัญ

นิยาม ถ้า n เป็นจานวนเต็มบวก แฟกทอเรียล n คือ ผลคุณของจานวนเต็มบวกตั้งแต่ 1 ถึง n

และเขียนแทนด้วย n! เช่น 5x4x3x2x1 = 5! เป็นต้น

วิธเี รียงสับเปลีย
่ นเชิงเส้น

เป็นการจัดเรียงสิ่งของในแนวเส้นตรง แบ่งออกได้ 2 แบบ ดังนี้

1.กฎการนับ เหมาะสาหรับทาโจทย์ในระดับสูง โจทย์ที่มีการประยุกต์ ไม่สามารถคิดด้วยสูตร

2.ใช้สูตรสาหรับการเรียงสับเปลี่ยน เหมาะสาหรับโจทย์ที่ไม่มีการประยุกต์

1.เรียงของแตกต่างกันหมด Ex มีนักเรียน 10 คน นามาเรียงเป็นแถวเพียง 7 คน


มีของ n ชิ้นนามาเรียงเป็นจานวน r ชิ้น Pn,r = =
( )
n
Pr = Pn,r = = 60480 วิธี
( )
Math Kit EBook ห น้ า 120

2.เรียงของซ้า Ex หนังสือสังคมเหมือนกัน 3 เล่ม หนังสือ


มีของ n ชิ้นนามาเรียงเป็นเส้นตรง โดยมีของซ้า คณิตศาสตร์เหมือนกัน 2 เล่ม นามาเรียงบนชัน

กลุ่ม n1 n2 n3 … nk
Pn,r =
n
Pr = Pn,r = = 10 วิธี

ตัวอย่างที่ 6 ชาย 4 คน หญิง 2 คน เข้าแถวตรงโดยที่ไม่มีผู้หญิงยืนติดกันเลย จะได้ทั้งหมดกี่วิธี

วิเคราะห์ ผู้ชายสามารถสลับกันเองได้ 4! วิธี

4 3 2 1

จับผู้หญิงแทรกระหว่างผู้ชายเพื่อไม่ให้ผู้หญิงยืนติดกัน ได้ ผู้หญิงคนแรก ยืนได้ 5 ตาแหน่งผู้หญิง

คนที่สอง ยืนได้ 4 ตาแหน่ง

ดังนั้น 24 x (5x4) = 480 วิธี

ตัวอย่างที่ 7 จงหาจานวนวิธีที่จะแจกหนังสือเลขซึ่งเหมือนกัน 2 เล่ม หนังสืออังกฤษที่เหมือนกัน

3 เล่ม และหนังสือวิทยาศาสตร์ที่ต่างกัน 2 เล่ม ให้นักเรียนคนละเล่มจะแจกได้ กี่วิธี

วิธีทา หนังสือมีทั้งหมด 7 เล่ม เรียงสับเปลี่ยนได้ 7! แต่เนื่องจากมีหนังสือเลขเหมือนกัน 2 เล่ม

และหนังสือภาษาอังกฤษเหมือน 3 เล่ม ถ้าหนังสือภายในสองกองนี้ สลับกันเองทาให้เกิด

เหตุการณ์ซ้า ดังนั้น เราต้องหารด้วย 2! และ 3!

ดังนั้น ตอบ 420 วิธี


Math Kit EBook ห น้ า 121

ตัวอย่างที่ 8 จงหาจานวนวิธีเดินทางจาก A ไป D ที่ ผ่านจุด C โดยทางทิศเหนือและตะวันออก

เท่านั้น

วิธีทา ให้ใช้วิธีคิดแบบของซ้า

จากโจทย์ เราต้องแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วง A ไป C และ C ไป D

ช่วง A ไป C ต้องขึ้นทางทิศเหนือ 2 ครั้ง

ต้องไปทางตะวันออก 4 ครั้ง

รวมต้องเดินทั้งหมด 6 ครั้ง

ช่วง C ไป D ต้องขึ้นทางทิศเหนือ 2 ครั้ง

ต้องไปทางตะวันออก 2 ครั้ง

รวมต้องเดินทั้งหมด 4 ครั้ง

ดังนั้นตอบ 90 วิธี

เสริมความรู้ ถ้าโจทย์กาหนดว่า A ไป D ต้องไม่ผ่านจุด C เรานากรณีทั้งหมด ไปหักด้วย

กรณีที่ผ่านจุด C กรณีทั้งหมด คือ เคลื่อนที่ทั้งหมด 10 ครั้ง ทางเหนือ 4 ครั้ง ทางตะวันออก 6

ครั้งดังนั้นได้ – 90 ตอบ 120 วิธี


Math Kit EBook ห น้ า 122

ตัวอย่างที่ 6 จากรูปจงพิจารณาว่ามีรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากทั้งหมดกี่รูป

วิธีทา พิจารณาว่ารูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก 1 รูป เกิดจากเส้นแนวตั้ง 2 เส้น และเส้นแนวนอน 2 เส้น

จึงเกิดเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก

เลือกเส้นแนวตั้ง 5C2 = 10

เลือกเส้นแนวนอน 4C2 = 6

ดังนั้น สี่เหลี่ยมมุมฉากเกิดจากเส้นแนวตั้งและแนวนอนคือ 10 x 6 = 60 รูป


Math Kit EBook ห น้ า 123

วิธจ ั หมู่ (Combination)


ี ด

เป็นการเลือกสิ่งของออกมาเป็นหมู่หรือชุด โดยไม่คานึงว่าจะได้สิ่งของใดออกมาก่อนหรือ

หลัง เช่น มีตัวอักษร 3 ตัว คือ a , b และ c ถ้าต้องการเลือกตัวอักษร 2 ตัว จากตัวอักษร 3 ตัวนี้

โดยไม่คานึงถึงลาดับก่อนหลังของการเลือก จะเลือกได้ 3 วิธี คือ ab , bc และ ca

โดยทั่วไปจานวนวิธีจัดหมู่ของสิ่งของ n สิ่ง โดยเลือกคราวละ r สิ่ง (0 r n) เท่ากับจานวนสับ

เซตที่มีสมาชิก r ตัว ของเซตที่มีสมาชิก n

ให้ nCr หรือ Cn,r หรือ (n) แทนจานวนวิธีจัดหมู่ของสิ่งของ n สิ่ง โดยเลือกคราวละ r สิ่ง ในแต่

ละวิธีจัดหมู่ของสิ่งของ r สิ่ง เมื่อนามาจัดเรียงในแนวเส้นตรง จะได้วิธีเรียงสับเปลี่ยน r! วิธี

ดังนั้น จานวนวิธีการเรียงสับเปลี่ยนของสิ่งของทีละ r สิ่ง จากสิ่งของ n สิ่ง ที่แตกต่างกัน เท่ากับ

r! x Cn,r = Pn,r

ดังนั้น = =
n
n (n )

สรูปได้ว่า จานวนวิธีจัดหมู่ของสิ่งของที่แตกต่างกัน n สิ่ง โดยเลือกคราวละ r สิ่ง (0 r n)

เท่ากับ
n
(n )

เนื่องจาก =
n
n (n )

=
n
(n )

=
n
(n (n )) (n )

= nn

ดังนั้น จะได้ว่า n = nn หรือ (n) = (nn )


Math Kit EBook ห น้ า 124

ตัวอย่างที่ 10 รูป 12 เหลี่ยมมีเส้นทแยงมุมทั้งหมดกี่เส้น

วิธีทา เนื่องจาก 12 เหลี่ยม มีเส้นรอบรูปทั้งหมด 12 เส้น

เราสามารถหาเส้นทแยงมุมจากการเลือกได้

12
มี 12 จุด เลือกมา 2 จุด เพื่อสร้างเส้นทแยงมุมจะได้ C2 แล้วหักด้วยจานวนเส้นรอบรูป
เนื่องจากการเลือกจุด 2 จุดเหล่านั้น เป็นการนับรวมเส้นรอบรูปเข้าไปด้วย ดังนั้น เราต้องหัก
ออกไป 12 เส้น
12
C2 – 12 = 54

ดังนั้น ข้อนี้มีเส้นทแยงมุมทั้งหมด 54 เส้น

ตัวอย่างที่ 11 รูป 12 เหลี่ยมจะมีเส้นทแยงมุมทั้งหมดกี่เส้น

วิธีทา เส้นทแยงมุมเกิดจากการเลือกจุด 2 จุด จากทั้งหมด 12 จุด มาลากเส้นต่อกัน แต่เมื่อเลือก

จุด 2 จุด จากทั้งหมด 12 จุด มาลากเส้นต่อกันจะได้เส้นรอบรูปมาเพิ่มด้วยดังนั้นเราต้องลบเส้น


12
รอบรูปออกจะได้ว่า C2 – 12(จานวนเส้นรอบรูป)

= – 12
( )

= 66 –12

= 54

ตอบ รูปสิบสองเหลี่ยมจะมีเส้นรอบรูปทั้งหมด 54 เส้น


Math Kit EBook ห น้ า 125

ตัวอย่างที่ 12 กาหนดจุด 6 จุดบนวงกลมวงหนึ่ง จานวนวิธีที่จะสร้างรูปเหลี่ยมบรรจุในวงกลมใน

วงกลมโดยใช้จุดเหล่านั้นเป็นจุดยอดมุมเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (Ent)

1.20 2.35 3.42 4.65

วิธีทา รูปเหลี่ยมที่สามารถเกิดขึ้นได้จากจุด 6 จุด

3 เหลี่ยม 6C3 = 20

4 เหลี่ยม 6C4 = 15

5 เหลี่ยม 6C5 = 6

6 เหลี่ยม 6C6 = 1

20 + 15 + 6 + 1 = 42

ตอบ ข้อ 3 42 รูป

ตัวอย่างที่ 13 มีคนงานหญิง 6 คนและคนงานชาย 8 คนซึ่งมีนายดารวมอยู่ด้วย ถ้าจะเลือก


คนงาน 4 คนไปทางานที่ต่างกัน 4 ประเภทโดยให้เป็นหญิง 2 คน ชาย 2 คน และให้นายดาอยู่ใน
4 คนนี้ด้วย จานวนวิธีการเลือกคนงานดังกล่าวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (Ent 46 มีนาคม)

1. 1,920 วิธี 2. 2,400 วิธี 3. 2,520 วิธี 4. 2,880 วิธี

6
วิธีทา เลือกผู้หญิง C2 วิธี
7
เลือกผู้ชาย C1 วิธี
เลือกนายดาได้ 1 วิธี
สลับงานได้ 4! วิธี
6
C2 x 7C1 x 1 x 4!
ตอบ ข้อ 3 2,520 วิธี
Math Kit EBook ห น้ า 126

ตัวอย่างที่ 14 คุณครูสุวรีย์ ครูประจาชั้นห้อง ม.6/4 นาของรางวัลทั้งหมด 3 ชิ้น ในช่วงกิจกรรม


วันเด็ก แต่ในห้องมีนักเรียนอยู่เพียง 10 เนื่องจาก เด็กส่วนใหญ่ต้องไปสอบตรง ในจานวนนักเรียน
ที่อยู่ มีนายสมเกียรติ และ นางสาวทัศน์กมล อยู่ด้วย จงหาจานวนวิธีที่ นายสมเกียรติ และ
นางสาวทัศน์กมล รับรางวัลไม่พร้อมกัน

1. 720 2. 640 3. 102 4. 112

วิธีทา หากรณีทั่วไป – กรณีรับรางวัลพร้อมกัน

10
กรณีทั่วไป C3 มี 10 คนเลือกมา 3 คน

กรณีรับรางวัลพร้อมกัน 1 x 1 x 8
นายสมเกียรติ นางสาวทัศน์กมล นักเรียนที่เหลือ

120 – 8 = 112

ตอบข้อ 4 112 วิธี


Math Kit EBook ห น้ า 127

การแบ่งกลุ่ม

การแบ่งกลุ่มของแตกต่างกันโดยแบ่งแล้วยังไม่แจก ใช้ วิธีคาแบบเดียวกับของซ้าๆ


Ex มีปากกาที่แตกต่างกันทั้งหมด 10 ด้าน แบ่งเป็นกองละ 3 ด้าน 2 กอง กองละ 2 ด้าน 2 กอง

วิธีทา

มีปากกา 10 ด้านเรียงสับเปลี่ยนได้ 10!


แบ่งเป็นกอง กองแรก 3 ด้าน กองสอง 3 ด้าม กองสาม 2 ด้าน กองสี่ 2 ด้าม

การแบ่งกลุ่มของเหมือนกัน ใช้หลักการ Stars and bars


n–1
 แบ่งของ n สิ่งเหมือนกัน ให้ r คน โดยทุกคนจะต้องได้รับ Cr–1
n–1+r
 แบ่งของ n สิ่งเหมือนกัน ให้ r คน โดยไม่จาเป็นที่ทุกคนจะต้องได้รับ Cr–1
ซึ่งสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Stars_and_bars_(combinatorics)
http://jhyun95.hubpages.com/hub/Stars–and–Bars–Combinatorics
Math Kit EBook ห น้ า 128

วิธเี รียงสับเปลีย
่ นเชิงวงกลม

พิจารณาการจัดเรียงตัวอักษร 3 ตัว คือ A ,B และ C เป็นแถวตรงจะมีวิธีจัดเรียงได้ 3! =

6 วิธี คือ ABC BCA CAB ACB BAC CBA

วิธีการจัดเรียงตัวอักษร ABC , BCA และ CAB เป็นการจัดเรียงแถวตรงที่แตกต่างกัน แต่

ถ้านาแต่ละวิธีมาจัดเป็นวงกลม จะได้

A B C

B C A C A B

A B C B C A C A B

จะเห็นว่า การจัดเรียงทั้งสามแบบ ถือว่าเป็นการจัดเรียงเป็นวงกลมเพียง 1 วิธี เท่านั้น

ในทานองเดียวกัน วิธีการจัดเรียงตัวอักษร ACB BAC และ CBA เป็นการจัดเรียงเป็นวงกลม

เพียง 1 วิธี

ดังนั้น การจัดเรียงตัวอักษร 3 ตัวเป็นวงกลม จะจัดได้ 2 วิธี คือ

A A

B C C B

แนวคิดในการหาจานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนเชิงวงกลมของสิ่งของที่แตกต่างกัน n สิ่ง อาจจะเริ่มโดย

ให้สิ่งของสิ่งหนึ่งอยู่คงที่ ณ ตาแหน่งใดตาแหน่งหนึ่ง แล้วจัดเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของที่เหลืออยู่ n–1

สิ่ง จะได้ จานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนเท่ากับ (n – 1)(n – 2)(n – 3)... 3 x 2 x 1 = (n – 1)!


Math Kit EBook ห น้ า 129

สรุปได้ว่า จานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนเชิงวงกลมของสิ่งของที่แตกต่างกัน n สิ่งให้ปักหมุด เพื่อไม่ให้

วงกลมหมุนได้ (n – 1)! วิธี

ข้อควรระวัง สาหรับโจทย์พื้นฐาน หากเป็นโจทย์ประยุกต์ให้ปักหมุดแล้วจานวนที่เหลือ !

ตัวอย่างที่ 15 ต้องการจัดชาย 8 คนหญิง 2 คน นั่งรับประทานอาหารโต๊ะจีนรอบโต๊ะกลม จงหา

จานวนวิธีที่หญิงทั้ง 2 คนนั้นต้องนั่งติดกันเสมอ

วิธีทา  มัดผู้หญิง (เพื่อให้ได้ว่าผู้หญิงต้อง


ติดกัน) ผู้หญิงสลับกันเองได้ 2! วิธี
 มัดผู้หญิงสองคนแล้วมองเป็นก้อน
เดียวกัน แล้วจับปักหมุด (การปัก
หมุดเพื่อไม่ให้วงกลมหมุน ปกติ
เรามักจะปักหมุดก้อนที่มีปัญหา
ก่อนแล้วค่อยทา)
 ผู้ชายยืนสลับกันเองได้ 8!

ดังนั้นจานวนวิธีที่ผู้หญิง 2 คนนั่งติดกันคือ 8!2!


Math Kit EBook ห น้ า 130

ความน่าจะเป็น ( Probability ) คือจานวนที่บ่งบอกว่าเหตุการณ์ที่เราสนใจนั้นมีโอกาส


เกิดขึ้นมากน้อย ขนาดไหน ตัวอย่างเช่น โยนเหรียญบาท 1 เหรียญ 2 ครั้ง 1เหรียญมีโอกาสเกิด
ทั้งหัวและก้อย ครั้งแรกอาจจะเป็นหัวหรือก้อยก็ได้ ครั้งที่สองก็เช่นกัน เป็นต้น

การทดลองสุม
่ (Random Experiment)

การทดลองสุม
่ คือ การกระทาหรือการทดลองที่ไม่สามารถคาดการณ์คาตอบล่วงหน้าได้
ตัวอย่างของการทดลองสุ่ม เช่น

 การโยนเหรียญบาท
 การออกสลากกินแบ่งรัฐบาล
 การโยนลูกเต๋า

ผลลัพธ์จากการทดลองสุม
่ (Sample space)

ผลลัพธ์จากการทดลองสุม
่ คือ ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดจากการทดลองสุ่ม

ตัวอย่างเช่น

 โยนเหรียญบาท 1 เหรียญ 1 ครั้ง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้คือ หัว(Head) กับ ก้อย(Tail)


 โยนลูกเต๋า 1 ลูก 1 ครั้ง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ คือ แต้ม 1,2,3,4,5 ,6

เหตุการณ์ (event)

เหตุการณ์ คือ สิ่งที่เราสนใจจากการทดลองสุ่ม ตัวอย่างเช่น หากโยนลูกเต๋า จงหาจานวน


เหตุการณ์ที่ลูกเต๋าออกหน้าเลขคู่ เป็นต้น
Math Kit EBook ห น้ า 131

นิยามของความน่าจะเป็น

n( )
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ P(E) = โดยที่ 0 P(E) 1
n( )

เมื่อ n(E) คือ จานวนผลลัพธ์ทั้งหมดของเหตุการณ์ใดๆที่เราสนใจ


n(s) คือ จานวนผลลัพธ์ทั้งหมดของ sample space

สิง่ ทีค
่ วรรูเ้ กีย
่ วกับความน่าจะเป็น
P(A B) = P(A) + P(B) – P(A B)
P(A ) = 1 – P(A)
P(A – B) = P(A) – P(A B)
ถ้า A B= แล้ว P(A B) P(A) + P(B)

ตัวอย่างที่ 16 ชาย 3 คน หญิง 4 คนนั่งในรถ จงหาความน่าจะเป็นที่คน 2 คนที่ลงรถก่อนนั้นเป็น


ผู้หญิง
วิธีทา ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ( Sample space) ของคนที่ลงจากรถ 2 คน คือ 7 x 6
มีคนอยู่บนรถ 7 คน คนแรกลงจากรถจะมีได้ 7 วิธี คนที่สองลงจากรถ 6วิธี เนื่องจาก มี
คนหนึ่งลงไปก่อนหน้านี้แล้ว
เหตุการณ์ ที่คนลงทั้งสองคนเป็นผู้หญิง 4 x 3 เนื่องจากมีผู้หญิง 4 คน

ดังนั้นความน่าจะเป็น คือ =
Math Kit EBook ห น้ า 132

ทฤษฎีบททวินาม

ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงสูตรของการกระจาย (x+y)n เมื่อ x , y เป็นจานวนจริงใดๆ และ n เป็น

จานวนเต็มบวก พิจารณาการกระจายต่อไปนี้

(x y) = x + y

(x y) = x2+2xy + y2

(x y) = + + +

(x y) = + + + +

(x y) = + + + x

(x y) =(x y) (x y) (x y) (ทั้งหมด n ตัว)

ถ้า x , y เป็นจานวนจริง และ n เป็นจานวนเต็มบวก แล้ว

(x y)n = (n)x n (n)x n y (n)x n y (nn)y n

เราจึงสามารถสรปกฎได้ว่า Tr+1 = (n)an  rbr

ข้อสังเกตการกระจาย (a+b)n

 กระจายได้ทั้งหมด n+1 พจน์

 ดีกรีของแต่ละพจน์จะเท่ากับ n เสมอ

 ผลบวกสัมประสิทธ์ทวินามทุกพจน์ คือ 2n

 ผลบวกทุกพจน์คือ (a+b)n

 สัมประสิทธิ์ทวินามสามารถหาได้จากสามเหลี่ยมปาสคาลหรือใช้การเลือก
Math Kit EBook ห น้ า 133

ตัวอย่างที่ 17 จงหาพจน์ที่ 7 ในการกระจาย (x2 – )10

T7 = T6+1 =10C6(x2)4(– )6

10
C4 x8 ( )6

ตอบ 210
Math Kit EBook ห น้ า 134

บทที่ 12 ทฤษฎีกราฟ
รายละเอียดของกราฟ
จุด
เส้นเชื่อม
วงวน
เส้นเชื่อมขนาน

กราฟอย่างง่าย
กราฟบริบูรณ์
กราฟเติมเต็ม ต้นไม้

ดีกรี ป่า
กราฟย่อย
กราฟเชื่อมโยง ต้นไม้แผ่ทั่ว

กราฟออยเลอร์ กราฟต้นไม้ ต้นไม้แผ่ทั่วน้อยที่สุด

ประยุกต์กราฟ กราฟถ่วงน้าหนัก

ทฤษฏีกราฟ คือแผนภาพซึ่งบรรจุจุดและเส้นเชื่อม ซึ่งถูกใช้

ในการแก้ปัญหาในหลายด้านๆ เช่นการจัดตารางเวลา การ

เดินทางโดยเส้นที่สุด ฯลฯ
Math Kit EBook ห น้ า 135

ทฤษฎีกราฟนั้น มีจุดเริ่มจากผลงานตีพิมพ์ของ เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ ในปี ค.ศ. 1736


(พ.ศ. 2279) หรือที่รู้จักกันในนาม ปัญหาสะพานทั้งเจ็ดแห่งเมืองโคนิกส์เบิร์ก (Seven Bridges
of Königsberg) เขาสนใจวิธีที่จะข้ามสะพานทั้ง 7 แห่งนี้ โดยข้ามแต่ละสะพานเพียงครั้งเดียว
เท่านั้น จากการพิสูจน์ของออยเลอร์ทาให้ทราบว่า เราไม่สามารถข้ามสะพานทั้ง 7 เพียงครั้งเดียว
เพื่อกลับมาจุดเริ่มต้นได้เพราะ ถ้าหากแปลงปัญหาดังกล่าวเป็นกราฟ จะได้เส้นเชื่อมทั้งหมด 7
เส้นซึ่งขัดกับทฤษฎีว่าด้วยกราฟของออยเลอร์

A C

e1 e2
ตัวอย่าง ที่ 1 กราฟ G

กราฟจะต้องประกอบไปด้วยจุดอย่างน้อย 1 จุด แต่จะมีเส้นเชื่อมหรือไม่ก็ได้ จากตัวอย่าง


กราฟ G เราสามารถบอกรายละเอียดของกราฟได้ดังนี้
เซตของจานวนจุดยอด (Vertex) แทนดวยสัญลักษณ์ V(G)
V(G) = {A,B,C}
เซตของเสนเชื่อม (Edge) ที่เชื่อมระหว่างจุดยอดแทนดวยสัญลักษณ์ E(G)
E(G)={e1, e2} หรือ E(G)={AB, BC}
Math Kit EBook ห น้ า 136

รายละเอียดที่น่าสนใจของกราฟ
วงวน (loop) คือเสนเชื่อมที่อยูในรูป {u,u}

e2 e1 หรือ uu หรือเสนที่มีจุดปลายทั้งสองเปนจุด
เดียวกัน เช่นจุด e1

e3
e4 เส้นเชือ
่ มขนาน (parallel edges) หรือเส
นหลายชั้น (multiple edges) คือเสนเชื่อมที่
มีมากกวา 1 เช่นจุด e2

กราฟอย่างง่าย กราฟบริบูรณ์
คือ กราฟที่ไม่มีวงวนและเส้นเชื่อมขนาน คือกราฟอย่างง่ายที่ 2 จุด ทีต
่ ่างกันต้องเป็นจุด
Ex ประชิดกันเสมอ
Ex

กราฟนีเ้ ป็นกราฟบริบูรณ์ 4 จุด เรียกว่าจุด K4


กราฟเติมเต็ม อันดับและขนาด
คือ กราฟที่ไม่มีวงวนและเส้นเชื่อมขนานเขียนแทน อันดับ คือจานวนจุด
ด้วยสัญลักษณ์ ขนาด คือ จานวนเส้นเชื่อม
Ex

ดีกรี คือ จานวนครัง้ ที่เส้นเชือ


่ มเกิดกับจุดยอด
Handshaking Lemma ผลรวมของดีกรี จะเป็นสองเท่าของเส้นเชือ
่ มเสมอ
Math Kit EBook ห น้ า 137

แนวเดิน กราฟเชื่อมโยง
คือลาดับจากัดของจุดยอดและเส้นเชือ
่ มสลับกัน คือกราฟที่ไม่ขาดตอน เป็นกราฟที่ 2 จุดใดๆ
แนวเดินเปิด เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้นและ สามารถมีแนวเดินถึงกันได้
จุดสิ้นสุดเป็นคนละจุด เช่น กราฟ G มีจุดยอด U และ V เป็นจุดยอดที่
แนวเดินปิด เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ต่างกันในกราฟ จะต้องมีแนวเดิน U – V
เป็นจุด เดียวกัน Ex

รอยเดิน เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้นและจุดสิน


้ สุด
เป็นจุดใดก็ต้อง แต้ห้ามใช้เส้นเชื่อมซ้า
วิถี(แนวเดินอย่างง่าย) เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้น
และจุดสิ้นสุดเป็นคนละจุด ห้ามใช้เส้นเชื่อมและจุด
เป็นกราฟเชื่อมโยง
ซ้า
วงจร(Circuit) เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้นและ
จุดสิ้นสุดเป็นจุด เดียวกัน เส้นเชื่อมห้ามใช้ซ้า
วัฏจักร(Cycle) เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้นและ
จุดสิ้นสุดเป็นจุด เดียวกัน เส้นเชื่อมและจุดห้ามใช้
ซ้า ยกเว้นจุดเริ่มต้นและสิน
้ สุด

ไม่เป็นกราฟเชื่อมโยง
กราฟออยเลอร์ ต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง และ มีวงจรออยเลอร์ คือวงจรที่ผ่านจุดทุกจุดและ
เส้นเชื่อมบนกราฟ
Ex จงพิจารณาว่ากราฟต่อไปนี้เป็นกราฟออยเลอร์ หรือไม่

เป็นไม่กราฟกราฟออยเลอร์ เนื่องจากมีดีกรี
เป็นเลขคี่

เป็นกราฟออยเลอร์ ข้อสังเกต กราฟออยเลอร์จุดทุกจุดของกราฟต้องมีดีกรีเป็นเลขคู่เท่านั้น


Math Kit EBook ห น้ า 138

กราฟย่อย คือ กราฟที่ประกอบไปด้วยจุดยอดและ กราฟต้นไม้ คือกราฟเชื่อมโยงที่ไม่มีวัฏจักร


เส้นเชือ
่ มของกราฟนั้นๆ ป่า คือ กราฟที่ไม่มีวัฏจักร แต่ไม่จาเป็นต้อง
Ex กราฟ G กราฟย่อยของ G เป็นกราฟเชื่อมโยง
ใบ คือจุดยอดป่าที่มีดีกรี เป็น 1

กราฟย่อยของ G

เป็นต้นไม้และป่า เป็นป่าแต่ไม่เป็นต้นไม้
กราฟถ่วงน้าหนัก คือกราฟเส้นเชือ
่ มทุกเชื่อมโดย กราฟต้นไม้แผ่ทั่ว คือ ต้นไม้ที่เป็นกราฟย่อย
แต่ละเส้นเชือ
่ มมีค่าน้าหนัก ของกราฟเชื่อมโยง
กราฟต้นไม้แผ่ทั่วน้อยสุด คือ ต้นไม้ที่มีผลรวม
ค่าน้าหนัก น้อยที่สุด
ตัวอย่างที่ 1 จงพิจาณาข้อความต่อไปนี้

ก. กราฟ G มีดีกรีจุดยอด 1,1,4,4,6 จะมีเส้นเชื่อม 8 เส้น

ข กราฟ G มีจุดยอด 7 จุด มีดีกรี 5,4,2,2,2,3 และ 3 ตามลาดับ

ค กราฟ G มีจุดยอดคี่ 6 จุดยอดคู่ 3 จุด

ข้อใด เป็นไปได้เกี่ยวกับกราฟ G

วิเคราะห์ ข้อ ก ถูกเนื่องจาก ผลรวมทั้งหมดของดีกรี เป็น 16 ซึ่งเป็นสองเท่าของจานวนเส้นเชื่อม

. ข้อ ข ผิด เนื่องจาก กราฟ ต้องมีจุดยอดคี่เป็นจานวนคู่เท่านั้น

ข้อ ค ถูก เนื่องจาก กราฟ ต้องมีจุดยอดคี่เป็นจานวนคู่เท่านั้น

ดังนั้นข้อนี้ตอบ ถูก ข้อ ก และ ค

ตัวอย่างที่ 2 กาหนด กราฟ G ดังรูป จานวนกราฟต้นไม้แผ่ทั่วของกราฟ G ที่แตกต่างกันมีกี่แบบ

1. 4 แบบ

2. 5 แบบ

3. 6 แบบ

4. 7แบบ
Math Kit EBook ห น้ า 139

วิเคราะห์ ตอบข้อ 1 4 แบบ เราสามารถเขียนได้ดังนี้

ตัวอย่างที่ 3 จากกราฟ วิถี A–Z จงหาผลรวมค่าน้าหนักของต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุดของกราฟนี้

1.6 2.7 3.8 4.22

วิเคราะห์ ตอบข้อ 1 ผลรวมค่าน้าหนักของต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุดคือ 6 เราสามารถเขียนรูปต้นไม้

แผ่ทั่วน้อยที่สุดได้ดังนี้
Math Kit EBook ห น้ า 140

ตัวอย่างที่ 4 ข้อใดต่อไปนี้เป็นกราฟต้นไม้

1 2

3 4

วิเคราะห์ ตอบข้อ 2 เนื่องจาก

ข้อ 1 กราฟมี วงจร จึงไม่เป็นกราฟต้นไม้

ข้อ 3 กราฟมี วงจร จึงไม่เป็นกราฟต้นไม้

ข้อ4 ไม่เป็นกราฟเชื่อมโยง กราฟต้นไม้ต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง


Math Kit EBook ห น้ า 141

ตัวอย่างที่ 5 จงพิจารณาว่ากราฟใดต่อไปนี้จัดเป็นกราฟออยเลอร์

1 2

3 4

วิเคราะห์ ตอบข้อ 3 เนื่องจากจุดยอดทุกจุดเป็นดีกรีเลขคู่

ข้อ 1 ผิด เนื่องจากไม่เป็นกราฟเชื่อมโยง

ข้อ 2 และ 4 ผิดเนื่องจากดีกรีของจุดยอดบางจุดเป็นเลขคี่จึงทาให้ไม่เป็นกราฟออยเลอร์


Math Kit EBook ห น้ า 142

ตัวอย่างที่ 6 กราฟ G มีจุดยอดทั้งหมด 10 จุด ซึ่งมีดีกรี ดังนี้ 1,1,3,3,3,5,x–5,x–3,x–2 และ x

ถ้ากราฟมีเส้นเชื่อมจานวน 15 เส้นแล้ว ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก.กราฟ G มีจุดยอดคี่ 6 จุด และจุดยอดคู่ 4 จุด

ข.กราฟ G มีผลรวมดีกรีคือ 30

ค.กราฟ G เป็นกราฟออยเลอร์

วิเคราะห์ ผลรวมดีกรีเป็น 2 เท่าของเชื่อมเสมอดังนั้นผลรวมดีกรีจึงเป็น 30

1+1+1+3+3+3+5+x–5+x–3+x–2+x = 3

6+4x = 30

4x = 24

x=6

ดังนั้น กราฟนี้จึงประกอบด้วยดีกรี 1, 1, 1, 3, 3, 3, 3, 4, 5, 6

ข้อ ก จึงผิด

ข้อ ข ถูกเนื่องจากผลรวมดีกรีจะเป็น 2 เท่าของเส้นเชื่อมเสมอ

ข้อ ค ผิดเนื่องจากกราฟออลเลอร์ ทุกจุดบนกราฟต้องเป็นดีกรีเลขคู่


Math Kit Ebook ห น้ า 143

บทที่ 13 สถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
สถิติเชิงพรรณนา

ค่ากลางข้อมูล ค่าเฉลี่ยเลขคณิต
มัธยฐาน
ฐานนิยม

การวัดการกระจายของข้อมูล
การวัดการกระจายแบบสัมบูรณ์
พิสัย
ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์
ส่วนเบี่ยงเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน
การวัดการกระจายแบบสัมพัทธ์
สัมประสิทธิ์พิสัย
สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์

สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเฉลี่ย

สัมประสิทธิ์การแปรผัน

การแจกแจงปกติ

ค่ามาตรฐาน (Z)
เส้นตรง
พื้นที่โค้งปกติ พาราโบลา

ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล เอกซ์โพเนนเชียล

อนุกรมเวลา

ข้อมูล ที่อยู่ในชีวิตประจาวันของเรา เมื่อเราจานาข้อมูลมาใช้


ประโยชน์ เราใช้สถิติเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล
Math Kit Ebook ห น้ า 144

สถิติ (Statistic) คือ ตัวเลขที่แสดงข้อเท็จจริงของข้อมูล เช่น สถิติรายได้ประชาชาติ เป็น


ต้น สถิติมีความสัมพันธ์กับชีวิตประจาวันของเรา เราเห็นได้จาก ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ จะมีข้อมูลตัวเลขแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงต่างๆ เช่น สถิติอัตรา
แลกเปลี่ยนค่าเงินบาท สถิติการซื้อ–ขายอนุพันธ์ในตลาดหลักทรัพย์ สถิติรายได้ประชาชาติ สถิติ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ สถิติอุณหภูมิ
ในทางคณิตศาสตร์ สถิติหมายถึงศาสตร์หรือหลักการ และระเบียบวิธีการทางสถิติ ซึ่ง
ประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
 การเก็บรวมรวมข้อมูล
 การนาเสนอข้อมูล
 การวิเคราะห์ข้อมูล
 การตีความข้อมูล
การจาแนกข้อมูล
 ข้อมูลเชิงปริมาณ คือข้อมูลที่อยู่ในลักษณะเป็นตัวเลข
 ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือข้อมูลที่แสดงลักษณะหรือคุณสมบัติ
แหล่งที่มาของข้อมูล
 ข้อมูลปฐมภูมิ คือข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากแหล่งต้นกาเนิด
 ข้อมูลทุติยภูมิ คือข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลจากแหล่งอ้างอิง
การเก็บรวมข้อมูล
 เก็บรวบรวมข้อมูลจากทะเบียนประวัติ
 เก็บรวมรวมข้อมูลจากการสารวจ
 เก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลอง
 เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสังเกต
Math Kit Ebook ห น้ า 145

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากร (population) ในทางสถิติ มีความหมายคือ หน่วยต่างๆที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

หรือแหล่งที่มาของข้อมูล ประชากรอาจเป็นกลุ่มบุคคล สถานที่ เอกสารการพิมพ์

ประเภทของประชากร

1. ประชากรที่เป็นจานวนจากัด (Finite population) คือประชากรที่สามารถนับแจกแจงรายการได้

2. ประชากรที่มีจานวนอนันต์ (Infinite population) คือประชากรที่ไม่สามารถนับจานวนได้

ค่าที่แสดงคุณสมบัติหรือลักษณะของประชากร คือ พารามิเตอร์(parameter) ได้แก่

ค่าเฉลี่ยเลขคณิตเขียนแทนด้วย (มิว) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานประชากรแทนด้วย (ซิกมา)

กลุ่มตัวอย่าง (Sample) หมายถึงส่วนหนึ่งของหน่วยข้อมูลหรือข้อมูลส่วนหนึ่งที่เลือกมาจาก

ประชากร

ค่าเฉลี่ยเลขคณิตกลุ่มตัวอย่าง เขียนแทนด้วย ̅ (เอ็กซ์บาร์) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานกลุ่มตัวอย่าง เขียนแทน

ด้วย S (เอส)

การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น

การแจงแจงความถี่ของข้อมูล (Frequency distribution) เป็นวิธีการทางสถิติอย่างหนึ่งที่

ใช้ในการจัดข้อมูลที่มีอยู่หรือที่ได้เก็บรวบรวมให้ได้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล

1.ข้อมูลที่แจกแจงความถี่ของข้อมูล

อายุ จานวน
30–34 10
35–39 15
40–44 25
45–49 6
50–54 20

1) อันตรภาคชั้นคือ ช่วงความกว้างแต่ละช่วง เช่น 30 –34

2) ขอบล่าง คือ ค่ากึ่งกลางระหว่างช่วงที่น้อยที่สุดในชั้นนั้น กับช่วงที่มากที่สุดของ

อันตรภาคชั้นที่ติดกัน และเป็นช่วงความกว้างต่ากว่า เช่น

อันตรภาคชั้น 35 – 39 ขอบล่างคือ 34.5 มาจาก


Math Kit Ebook ห น้ า 146

1) ขอบบนคือ คือค่ากึ่งกลางระหว่างช่วงที่มากที่สุดในอันตรภาคชั้นนั้น กับ ช่วงที่น้อย

ที่สุดของอันตรภาคชั้นที่ติดกันและเป็นช่วงที่สูงกว่าเช่น

อันตรภาคชั้น 35 – 39 ขอบล่างคือ 39.5 มาจาก

2) จุดกึ่งกลาง ของแต่ละอันตราภาคชั้น หาได้จากขอบบนและขอบล่างในแต่ละชั้น


ขอบบน ขอบล่าง
2

เช่น จุดกึ่งกลางของอันตรภาคชั้น 35 – 39 คือ

คือ 37

5) ความกว้างของอันตรภาคชั้น คือขนาดของแต่ละชั้น หาได้จากผลต่างระหว่างขอบบน

และขอบล่างของอันตรภาพชั้นนั้น ขอบบน – ขอบล่าง

ความกว้างของอันตรภาคชั้น 35 – 39 คือ 39.5–34.5 = 5

6) ความถี่สะสมของอันตรภาคชั้น คือผลรวมของความถี่ของอันตรภาคชั้น กับความถี่ของ

อันตรภาคชั้นที่มีช่วงต่ากว่าทั้งหมด

7) ความถี่สัมพันธ์ ของอันตรภาคชั้น คือ อัตราส่วนระหว่างความถี่ของอันตราภาคชั้นนั้น

กับผลรวมของความถี่ทั้งหมด

ความถีข
่ องอันตรภาคชั้นนั้น
ความถี่สัมพันธ์ =
ผลรวมของความถีท
่ ั้งหมด

8) ความถี่สะสมสัมพัทธ์ ของอันตรภาคชั้น คืออัตราส่วนระหว่างความถี่ของอันตรภาคชั้น

นั้นกับผลรวมความถี่ทั้งหมด

ความถี่ของอันตรภาคชั้นนั้น
ความถี่สะสมสัมพัทธ์ =
ผลรวมของความถี่สะสมทั้งหมด

9) ร้อยละความถี่สัมพัทธ์ คือ ความถี่สัมพัทธ์ x 100

10) ร้อยละความถี่สะสมสัมพันธ์ คือ ความถี่สะสมสัมพัทธ์ x 100


Math Kit Ebook ห น้ า 147

การเขียนแจกแจงโดยใช้กราฟ

1.ฮิสโทแกรม (Histogram) เป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากที่วางเรียงติดกันบนแกนนอน โดยให้

แกนนอนแทนเป็นค่าตัวแปร ความกว้างของรูปสี่เหลี่ยมคือความกว้างของอันตรภาคชั้น พื้นที่ของ

สี่เหลี่ยมแต่ละรูปแทนความถี่ของแต่ละอันตรภาคชั้น

2. รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ (frequency polygon) คือรูปหลายเหลี่ยมที่เกิดจากการ

โยงจุดกึ่งกลางของยอดแท่งของฮิสโทแกรมด้วยเส้นตรง โดยเริ่มต้นและสิ้นสุดกึ่งกลางของอันตร

ภาคชั้น
Math Kit Ebook ห น้ า 148

3.พื้นที่โค้งของความถี่ (frequency curve) เป็นเส้นโค้งที่ได้รับจากการปรับด้านของรูป

หลายเหลี่ยมของความถี่ให้เรียบขึ้น โดยพยายามให้พื้นที่ใต้โค้งที่ปรับแล้ว มีขนาดใกล้เคียง

ของเดิม

4.แผนภาพต้น – ใบ (Stem – leaf Diagram) เป็นการบอกข้อมูลโดยเขียนหลักสิบอยู่หน้า

เส้นกั้น ส่วนหลักหน่วยอยู่หลังเส้นกัน

ตัวอย่าง

0 3 4 5

2 0

4 1 2

11 0 6 8

จากภาพแผนภาพต้น – ใบ เราสามารถเขียนสมาชิกได้ดังนี้ {3,4,5,20,41,42,110,116,118 }


Math Kit Ebook ห น้ า 149

ค่ากลางของข้อมูล

1.ค่าเฉลี่ยเลขคณิต
ประชาการ
ข้อมูลเดี่ยว ข้อมูลกลุ่ม
ข้อมูลทั่วไป ไม่มีการถ่วงน้าหนัก ∑
 =

 = x = จุดกึ่งกลางอันตรภาคชัน

ข้อมูลถ่วงน้าหนัก f คือความถี่

 =

wi คือเลขถ่วงน้าหนักของ xi แต่ละตัว
ข้อมูลหลายชุดนามาหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต

 รวม =

กลุ่มตัวอย่าง ̅
ข้อมูลเดี่ยว ข้อมูลกลุ่ม
ข้อมูลทั่วไป ไม่มีการถ่วงน้าหนัก ∑
 ̅=

 ̅ = x = จุดกึ่งกลางอันตรภาคชัน

ข้อมูลถ่วงน้าหนัก f คือความถี่

 ̅=

wi คือเลขถ่วงน้าหนักของ xi แต่ละตัว
ข้อมูลหลายชุดนามาหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต
∑ ̅
 ̅รวม =

คาแนะนา การคิดค่าเฉลีย
่ เลขคณิตข้อมูลกลุ่มแบบลดทอนข้อมูล
Math Kit Ebook ห น้ า 150

คุณสมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต
1.xmax ̅ xmin
2.
i = N̅
i=

3.
( i− )=0
i=

4.
( i − M) มีค่าน้อยสุดเมื่อ M = ̅
i=

5.ถ้า yi = axi + b แล้ว ̅ = a̅ + b

2.มัธยฐาน คือข้อมูลที่อยูต
่ าแหน่งกึ่งกลางของข้อมูลที่เรียงจากน้อยไปมาก ใช้สัญลักษณ์ Me หรือ Med
ข้อมูลเดี่ยว Me = Med =

ข้อมูลกลุ่ม Me = ; N คือผลรวมของความถี่


Med = L + I 4 5

L คือขอบล่างของชัน
้ ที่ Me อยู่ f(M) คือความถี่ ณ ชั้น Me อยู่ I คือความกว้างของอันตรภาคชั้น
fm คือ ความถี่ ณ ชัน
้ Me
I คือความกว้างของอันตภาพชั้น
3.ฐานนิยม คือข้อมูลที่มีความถี่สูงสุด ใช้สญ
ั ลักษณ์ Mo หรือ Mod
ข้อมูลเดี่ยว Mo = ข้อมูลที่ซ้ากันมากที่สุด
ข้อมูลกลุ่ม Mo = จุดกึ่งกลางอันตรภาคชั้นที่มีความถี่สงู สุด
Math Kit Ebook ห น้ า 151

ตัวอย่างที่ 1 นายอานวย สอบได้คะแนนตามรายวิชาได้ดังนี้

รายวิชา คะแนนที่ได้
วิชาสังคมศึกษา 68
วิชาสุขศึกษา 68
วิชาศิลปะ 85
วิชาคณิตศาสตร์ 95
จงหาคะแนนเฉลี่ยและมัธยฐาน

คะแนนเฉลี่ย คือ = 79 คะแนน

68
มัธยฐาน ตาแหน่งคือ = = 2.5 ซึ่งก็คือ = 76.5

ตัวอย่างที่ 2 จงหาคะแนนเฉลี่ย ฐานนิยมและมัธยฐานจากข้อมูลต่อไปนี้

จากการสารวจกลุ่มตัวอย่างของรายวิชาหนึ่งในภาคเรียนที่ 1 ได้ช่วงคะแนนของนักเรียนดังนี้

ช่วงคะแนน จานวนนักเรียน
50 – 60 28
60 – 70 16
70 – 80 38
80 – 90 6
วิธีทา

ช่วงคะแนน จานวนนักเรียน ความถี่สะสม x (จุดกึ่งกลางอันตภาพชั้น) y = x – 65


(f)
50 – 60 28 28 55 –10
60 – 70 16 44 65 0
70 – 80 38 82 75 10
80 – 90 6 88 85 20
ผลรวม 88 242 280 20
y = x – 65 ดังนั้น = – 65

= =5
Math Kit Ebook ห น้ า 152

= + 65 = 5 + 65 = 70

คะแนนเฉลี่ยคือ 70

ฐานนิยมคือ 75

ตาแหน่งมัธยมฐาน = = 44

จากสูตรมัธยมฐาน คือ 59.5 + 10. /

= 59.5 +10

= 69.5

4.ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต (geometric mean)

ถ้า x1, x2, x3, …, xn เป็นข้อมูล N จานวนซึ่งเป็นจานวนบวกทุกจานวน

ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต G.M. คือ √

เนื่องจากการหาค่าเฉลี่ยเรขาคณิตต้องคานวณหากรณฑ์ที่ N ของจานวนซึ่งทาให้การใช้

สูตรดังกล่าวไม่สะดวกในการหาในกรณีที่มีจานวนข้อมูลมีค่ามากๆ ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการ

คิดจึงใช้ลอการิทึมช่วยในการคานวณ

ข้อมูลที่ไม่แจกแจงความถี่
n
log G.M. = 1
log Xi
N
i=

ข้อมูลที่แจกแจงความถี่
k
1
log G.M. = fi log Xi
N
i=

โดยที่ Xi คือจุดกึ่งกลางของอันตรภารชั้นที่ i

fi คือแทนความถี่ของข้อมูลอันตรภาคชั้นที่ i

k คือจานวนอันตรภาคชั้น
Math Kit Ebook ห น้ า 153

5.ค่าเฉลี่ยอาร์มอนิก (harmonic mean)

ถ้า x1, x2, x3, …, xn เป็นข้อมูล N จานวนซึ่งเป็นจานวนบวกทุกจานวน

ค่าเฉลี่ยอาร์มอนิก H.M. คือ


{ }
N
=
1

𝑥𝑖

สาหรับข้อมูลที่แจกแจงความถี่
โดยที่ Xi คือจุดกึ่งกลางของ
ค่าเฉลี่ยอาร์มอนิก H.M. คือ อันตรภารชั้นที่ i
{ }
fi คือแทนความถี่ของข้อมูล

=
k
อันตรภาคชั้นที่ i
fi
k คือจานวนอันตรภาคชั้น
𝑥𝑖
i=
การวัดตาแหน่งข้อมูล

1.ควอไทล์ (Qr) คือค่าของข้อมูลที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน เมื่อเรียงข้อมูลจากน้อยไปมาก


มีควอไทล์ทั้งหมด 3 ค่า คือ Q1, Q2, Q3

2.เดไซน์ (Dr) คือค่าของข้อมูลที่ถูกแบ่งออกเป็น 10 ส่วนเท่าๆกัน เมื่อเรียงข้อมูลจากน้อยไปมาก


มีเดไซน์ทั้งหมด 9 ค่า คือ D1, D2, D2, ..., D9

3.เปอร์เซ็นต์ไทล์(Pr) คือค่าของข้อมูลที่ถูกแบ่งออกเป็น 100 ส่วนเท่าๆกัน เมื่อเรียงข้อมูลจาก


น้อยไปมาก มีเปอร์เซ็นต์ไทล์ทั้งหมด 99 ค่า คือ P1, P2, P3,… P99
ข้อมูลเดี่ยว ข้อมูลกลุ่ม
ตาแหน่ง Qr = ( ) ตาแหน่ง Qr = ( )
ตาแหน่ง Dr = ( ) ตาแหน่ง Dr = ( )
ตาแหน่ง Pr = ( ) ตาแหน่ง Pr = ( )

หรือใช้สูตรหา Qr, Dr, Pr (เฉพาะข้อมูลกลุ่ม)

ตาแหน่ง−ความถี่สะสมชั้นก่อนหน้า
ขอบล่าง+ความกว้างอันตรภาคชั้น ( )
ความถี่ ณ ชั้นนัน

Math Kit Ebook ห น้ า 154

การวัดการกระจายของข้อมูล

การวัดการกระจายของข้อมูลแบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ

1.การวัดการกระจายแบบสัมบูรณ์ คือการวัดการกระจายของข้อมูลชุดเดียว ไม่สามารถนามา

เปรียบเทียบได้

2.การวัดการกระจายแบบสัมพัทธ์ คือการวัดการกระจายของข้อมูลแต่ชุดเพื่อนาเอาค่าที่ได้ไปใช้

เปรียบเทียบการกระจายของข้อมูลกับข้อมูลชุดอื่น

การวัดการกระจายแบบสัมบูรณ์ การวัดการกระจายแบบสัมพัทธ์
1.พิสัย = ค่ามากสุด – ค่าน้อยสุด ค่ามากสุด – ค่าน้อยสุด
1.สัมประสิทธิ์พิสัย =
ค่ามากสุด ค่าน้อยสุด
2.ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ (QD)
2.สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์
= −
3.ส่วนเบี่ยงเบนเฉลีย
่ (MD)
ข้อมูลเดี่ยว 3.สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย
∑ ̅
MD = หรือ
̅
ข้อมูลกลุ่ม 4.สัมประสิทธิ์การแปรผัน
∑ ̅
MD = เมื่อ x คือจุดกึ่งกลางชั้น ประชากร หรือกลุ่มตัวอย่าง
̅
4.ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)
ข้อมูลเดี่ยว

∑( ) ∑
ประชากร =√ = √ −
∑( ̅)
กลุ่มตัวอย่าง SD =√

∑ ̅
= √
Math Kit Ebook ห น้ า 155

ข้อมูลกลุ่ม

∑ ( )
ประชากร =√


=√ −
กลุ่มตัวอย่าง SD

∑ (
SD =√
̅)
= √∑
เรียกว่าความแปรปรวน (Variance) หรือใช้
สัญลักษณ์

ข้อควรรู้ ส่วนเบีย
่ งเบนมาตรฐานประมาณ
จากกฎ 95% โดยพิจารณาข้อมูลโดยพิจารณาจากพิสย
ั ถ้าประมาณ 95% ของข้อมูลทั้งหมดอยู่ในช่วง
( ̅ – 2s, ̅ + 2s) แล้วมีค่าประมาณ 4 เท่าของส่วนเบีย
่ นเบนมาตรฐาน
คือ ค่าพิสัย
4

สมบัติของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

1.ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าเป็นบวกเสมอ ในกรณีที่ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าเป็น 0 แสดงว่า

ข้อมูลชุดนั้น ในแต่ละค่าไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยเลขคณิต

2.ส่วนเบี่ยงเบนเป็นการวัดการกระจายที่ให้ค่าลักษณะข้อมูลได้ละเอียดและดีที่สุดและเป็นการวัด

การกระจายที่ใช้กันมากที่สุด

3.ถ้านาค่าคงตัว (k) ไปบวกหรือลบข้อมูลทุกค่าในข้อมูล ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะมีค่าเท่ากับ

ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลชุดเดิม

4.ถ้านาค่าคงตัว (k) ไปคูณทุกค่าในข้อมูล ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะมีค่าเท่ากับ

Sใหม่ = | k | Sเดิม
Math Kit Ebook ห น้ า 156

แผนภาพกล่อง (Box – plot)

โดยแต่ละส่วนจะมีจานวนประชากรร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด

ความสัมพันธ์ระหว่างการแจกแจงความถี่ ค่ากลางและการกระจายของข้อมูล

จากภาพเป็นการแจกแจงในรูปของโค้งปกติ

โค้งเบ้ขวา

โค้งเบ้ซ้าย
Math Kit Ebook ห น้ า 157

ค่ามาตรฐาน (standard value :Z)

̅ ̅
= หรือ =

คุณสมบัติของค่ามาตรฐาน

1. ∑ = 0 เสมอ

2. ค่าเฉลยเลขคณิตของ z มีค่าเป็น 0 เสมอ

3. ส่วนเบี่ยงเบนของ z คือ 1 เสมอ

4. ∑ ของข้อมูลประชากรจะเป็น N แต่ ∑ ของกลุ่มตัวอย่างจะเป็น N – 1

พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติ

68.27%

95.45%

99.73%

เส้นโค้งแจกแจงปกติจะมีลักษณะสมมาตร คือพื้นที่ทางด้านซ้ายของ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต กับพื้นที่

ทางขวาของค่าเฉลีย
่ เลขคณิต เท่ากันคือ 50% ของพื้นที่ทั้งหมด
Math Kit Ebook ห น้ า 158

พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติ

ค่า z 0 ถึง 1 มีค่าประมาณ 0.3413

ค่า z 0 ถึง 2 มีค่าประมาณ 0.4772

ค่า z 0 ถึง 3 มีค่าประมาณ 0.4987

ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน

ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือแบบ เส้นตรง พาราโบลา และ

เอกซ์โพเนนเซียล ปกติข้อสอบ Ent จะออกแบบเส้นตรงเป็นหลัก

1.ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันแบบเส้นตรง
มีสมการเป็น ̂ = ax +b (ทานายค่า y)
จากสมการปกติ คือ ∑ = ∑ N ––––– (1)
∑ = ∑ ∑ – (2)
ที่มาของสมการปกติ (1) เกิดจากสมการทานาย y = ax + b คูณด้วยซิกมา (∑)
∑ y = ∑ (ax + b)
∑y=a∑x+∑b
∑ y = a ∑ x + N(b) จากสมบัติของซิกมาค่าคงที่
ที่มาของสมการปกติ (2) เกิดจากสมการทานาย y = ax + b คูณด้วยซิกมา (∑ x)
∑ xy = ∑ (ax + b)
∑ xy = a ∑ x2 + b ∑ x

สมการทานายค่า x คือ ̂= ay+b (ทานายค่า x)


ข้อแนะนา สมการทานาย y และสมการทานาย x จะตัดกันที่จุด ( ̅)
Math Kit Ebook ห น้ า 159

ถ้าโจทย์กาหนด ̂ มา แล้วกาหนดให้หาค่า x ตอบหาค่าไม่ได้


2.ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันแบบพาราโบลา
มีสมการเป็น ̂ = โดยที่ a ไม่เท่ากับ 0
จากสมการปกติ คือ ∑ = ∑ ∑ N ––––––––––––– (1)
∑ = ∑ ∑ ∑ –––––– (2)
∑ = ∑ ∑ ∑ ––– (3)

ที่มาของสมการปกติ (1) เกิดจากสมการทานาย y = ax2 + bx + c คูณด้วยซิกมา (∑)


∑ y = ∑ (ax2 + bx + c)
∑ y = a ∑ x2 + b ∑ x + ∑ c
∑ y = a ∑ x2 + b ∑ x + Nc จากสมบัติของซิกมาค่าคงที่
ที่มาของสมการปกติ (2) เกิดจากสมการทานาย y = ax2 + bx + c คูณด้วยซิกมา (∑ x)
∑ xy = ∑ (ax2 + bx + c)
∑ xy = a ∑ x3 + b ∑ x2 + c ∑ x
ที่มาของสมการปกติ (2) เกิดจากสมการทานาย y = ax2 + bx + c คูณด้วยซิกมา (∑ x2)
∑ xy = ∑ (ax2 + bx + c)
∑ xy = a ∑ x4 + b ∑ x3 + c ∑ x2

3.ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันแบบเอกซ์โพเนนเซียล
มีสมการเป็น y=abx หรือ log ̂ = log a + log b
จากสมการปกติ คือ ∑ log = (log ) ∑ N log
∑ log = (log ) ∑ (log )∑

ที่มาของสมการปกติ (1) เกิดจากสมการทานาย log y = log a + log b คูณด้วยซิกมา (∑)


∑ log y = ∑ (log a + log b)
∑ log y = log a ∑ x + ∑ log b
∑ Log y = log a ∑ x + N(log b) จากสมบัติของซิกมาค่าคงที่
ที่มาของสมการปกติ (2) เกิดจากสมการทานาย y = ax + b คูณด้วยซิกมา (∑ x)
∑ xy = ∑ (log a + log b)
∑ xlog y = log a ∑ x2 + log b ∑ x
x เป็นตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น y เป็นตัวแปรตาม a,b,c, m เป็นค่าคงที่
Math Kit Ebook ห น้ า 160

ตัวอย่างที่ 1 ถ้าสมการแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างต้นทุนกับจานวนสินค้าที่ผลิตคือ

y = 2x + 5 โดยที่ x คือจานวนสินค้ามีหน่วยเป็นร้อยชิ้น y คือต้นทุนมีหน่วยเป็นพันบาท จง

พิจารณาข้อความต่อไปนี้

ก.ถ้าต้นทุนเท่ากับ 7,000 บาทคาดว่าผลิตสินค้าได้ 100 ชิ้น

ข.ถ้าผลิตสินค้าเพิ่ม 200 ชิ้นจะต้นทุนจานวน 4,000 บาท

ข้อใดถูกต้อง

1.ข้อ ก ถูกเท่านั้น 2. ถูกทั้งสองข้อ 3. ข้อ ข ถูกเท่านั้น 4. ผิดทั้งสอง 2 ข้อ

วิธีทา พิจารณาข้อ ก จากสมการที่โจทย์กาหนดให้เป็นสมการทานายต้นทุนโดยใช้จานวนสิน้าที่

ผลิตเป็นตัวแปรหลัก ดังนั้นข้อนี้จึงผิดเพราะเราต้องสร้างสมการหาค่า x

พิจารณาข้อ ข เมื่อ x = 200 y = 2(200) + 5

y = 405

ข้อ ข จึงผิด

ดังนั้นข้อนี้จึงตอบ ข้อ 4 ผิดทั้ง 2 ข้อ

ตัวอย่างที่ 2 จงพิจาณาข้อความต่อไปนี้

สมการทานาย y = 0.5(x)2 + 1000x − 3000

ก.สมการเชิงสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเป็นสมการพาราโบลา

ข.สมการดังกล่าวเมื่อ x = 10 จะมีค่า y เป็นจานวนเต็มลบ 32 เท่าของผลคูณของคาตอบ

สมการ 3x3 + 6x2 − 12x − 24 =0 และ √1024

ค.สมการดังกล่าวเมื่อค่า x = 5 ค่า y จะมีค่าเท่ากับ 2012.5

1.ถูกข้อ ก และ ข 2.ถูกข้อ ก และ ค 3.ถูกทั้ง 3 ข้อ 4.มีข้อถูกเพียง 1 ข้อ

วิธีทาพิจารณา ข้อ ก ถูกต้องเพราะเป็นสมการที่มีกาลังเป็นกาลัง 2 ตามรูปแบบของสมการแบบ

พาราโบลา

ข้อ ข พิจารณาสมการทานายเมื่อ x = 10

y = 0.5(10)2 +1000(10) – 3000

= 50 + 10000 – 3000

= 7050
Math Kit Ebook ห น้ า 161

พิจาณาสมการ 3x3 + 6x2  12x  24 =0

x2(3x + 6) − 4(3x + 6) =0

(x2 − 4)(3x + 6) =0

(x − 2)(x +2)(3x + 6) =0

x = 2, −2

ผลคูณคาตอบของสมการ คือ –4

จานวนเต็มลบ 32 เท่าของผลคูณคาตอบของสมการและ √1024

คือ 32 x – 4 x √1024 = −128 x 32

= −4096

ดังนั้นข้อ ข จึงผิด

ข้อ ค พิจารณาสมการทานายเมื่อ x = 5

y = 0.5(5)2 +1000(5) – 3000

= 12.5 + 5000 – 3000

= 2012.5

ดังนั้นข้อ ค จึงถูก

ดังนั้นข้อนี้ตอบข้อ 2 ถูกข้อ ก และ ค


Math Kit Ebook ห น้ า 162

บทที่ 14 ลาดับอนุกรม
ลาดับ

ลาดับจากัด
เลขคณิต
เรขาคณิต
ผสม

ลาดับอนันต์
อนุกรมเลขคณิต
เลขคณิต
เรขาคณิต อนุกรมเรขาคณิต

ผสม อนุกรมผสม
อนุกรมจากัด
อนุกรม อนุกรมเศษส่วนย่อย

ประเภทอนุกรม
อนุกรมอนันต์ อนุกรมเรขาคณิตอนันต์

อนุกรมผสมเรขาคณิตอนันต์

อนุกรมเลขคณิต อนุกรมเศษส่วนย่อยอนันต์

อนุกรมเรขาคณิต

อนุกรมผสมเรขาคณิต

อนุกรมเศษส่วนย่อย

ลาดับ คือเซตของจานวนที่เรียงตัวอย่างเป็นระบบระเบียบ

ภายใต้เงื่อนไข สมาชิกแต่ละตัวจะเรียกว่าพจน์ อนุกรมคือ

ผลบวกของพจน์ทุกพจน์
Math Kit Ebook ห น้ า 163

ลาดับ (Sequence) คือเซตของจานวนที่เรียงตัวอย่างเป็นระบบระเบียบ ภายใต้เงื่อนไข


สมาชิกแต่ละตัวจะเรียกว่าพจน์ (Term)
ลาดับทั่วไปแบ่งได้เป็น Ex
1.ลาดับจากัด (finite sequence) 1. 2,4,6,8,10,…,100
2.ลาดับอนันต์ (infinite sequence) 2. sin 30 + sin 60 + sin 90 + …

จากรูปข้างต้นพบว่า ลาดับรูปจานวนจุดมีความสัมพันธ์ดังนี้
รูปที่ 1 2 3 4 5
จานวนจุด 1 3 6 10 15
จากตารางดังกล่าว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของลาดับของรูปและจานวนจุด โดยมี
ความสัมพันธ์ที่เป็นฟังก์ชันโดยจานวนรูปที่เป็นโดเมน {1,2,3,4,5}และมีจานวนจุดเป็นเรนจ์
{1,3,6,10,15} ของฟังก์ชัน
นิยาม ฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซตของจานวนเต็มบวกหรือสับเซตของจานวนเต็มบวกในรูป
{1, 2, 3, 4, … , n}

ลาดับที่ 1 2 3 4 5 ... n …
จานวน 1 3 5 7 9 … 2n – 1 ...
จากตารางแสดงให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์โดยลาดับเป็นโดเมน และมีเรนจ์ซึ่งมีความ

เกี่ยวข้องกับโดเมน

เช่น ลาดับที่ 5 (โดเมนคือ 5 ซึ่งเรนจ์มีความสัมพันธ์กับโดเมนคือ 2n – 1)

จานวนซึ่งมีความสัมพันธ์กับลาดับคือ 2(5) – 1 = 9
Math Kit Ebook ห น้ า 164

ในการเขียนลาดับ จะเขียนเฉพาะสมาชิกของเรนจ์เรียงกันไปตามกล่าวคือถ้าa เป็นลาดับ

จากัดจะเขียนแทนด้วย a1, a2, a3, … , an ในกรณีที่เป็นลาดับอนันต์ a1, a2, a3, … , an , ...

เรียก a1 ว่า พจน์ที่ 1 ของลาดับ

a2 ว่า พจน์ที่ 2 ของลาดับ

a3 ว่า พจน์ที่ 3 ของลาดับ

an ว่า พจน์ที่ n ของลาดับ หรือพจน์ทั่วไป

ตัวอย่างของลาดับ

1) 7, 14 , 21 , 28 , 35 , 42 เป็นลาดับจากัดซึ่งมีค่าเพิ่มขึ้นคงที่ เพิ่มขึ้นครั้งละ 7

2) 3, 6 , 12 , 24 , … เป็นลาดับอนันต์ มีค่าเพิ่มขึ้นคงที่ เพิ่มขึ้นเป็น 2เท่า* ของพจน์หน้า

3) an = 2n + 3 เป็นลาดับอนันต์ มีค่าเพิ่มขึ้นคงที่ เพิ่มขึ้นเป็น 2เท่า ของพจน์หน้า

4) an = (n+1)2 เป็นลาดับอนันต์ ซึ่งค่าผลต่างครั้งที่ 2เพิ่มขึ้นคงที่

* 2 เป็นอัตราส่วนร่วม ซึ่งคือ อัตราส่วนระหว่างพจน์ที่ n +1 กับ พจน์ที่ n มีค่าคงตัว


Math Kit Ebook ห น้ า 165

การหาพจน์ทวั่ ไปของลาดับ (an)

ในการหาพจน์ทั่วไปของลาดับ ถ้าระหว่างพจน์มีผลต่างเป็นจานวนคงตัว (1 ครั้ง)

รูปแบบพจน์ทั่วไป คือ an = an+b ; a,b R

ตัวอย่าง จงพิจารณาลาดับต่อไปนี้แล้วหาพจน์ทั่วไป 1, 3, 5, 7, …

วิธีทา แทนค่า n ถ้า n = 1 แล้ว a(1)+b = 1 ––––––– (1)

แทนค่า n ถ้า n = 2 แล้ว a(2)+b = 3 ––––––– (2)

(2) – (1) a=2

แทน a ใน (1) 2+b =1

b = –1

ดังนั้นพจน์ทั่วไป an = 2n – 1

ในการหาพจน์ทั่วไปของลาดับ ถ้าระหว่างพจน์มีอัตราส่วนร่วม(r)เป็นจานวนคงตัว (1 ครั้ง)

รูปแบบพจน์ทั่วไป คือ an = arn+b ; a,b R

ตัวอย่าง จงพิจารณาลาดับต่อไปนี้แล้วหาพจน์ทั่วไป 4,8,16,32, …

พิจารณาจากข้อมูลทาให้เราทราบว่าลาดับต่อไปนี้มี อัตราส่วนร่วมเป็น 2

วิธีทา แทนค่า n ถ้า n = 1 แล้ว a(2)1+b = 4 ––––––– (1)

แทนค่า n ถ้า n = 2 แล้ว a(2)2+b = 8 ––––––– (2)

(2) – (1) 2a = 4 ดังนั้น a = 2

แทน a ใน (1) 2(2)1+b = 4

b=0

ดังนั้นพจน์ทั่วไป an = 2(2)n หรือ 2n+1

ในการหาพจน์ทั่วไปของลาดับ ถ้าระหว่างพจน์มีผลต่างเป็นจานวนคงในการหาครั้งที่ 2

รูปแบบพจน์ทั่วไป คือ an = an2+bn+c ; a,b,c R


Math Kit Ebook ห น้ า 166

ตัวอย่าง จงพิจารณาลาดับต่อไปนี้แล้วหาพจน์ทั่วไป 5, 18, 35, 81, …

วิธีทา แทนค่า n ถ้า n = 1 แล้ว a(1)2+b(1)+c = 5 ––––––– (1)

แทนค่า n ถ้า n = 2 แล้ว a(2)2+b(2)+c = 18 ––––––– (2)

แทนค่า n ถ้า n = 3 แล้ว a(3)2+b(3)+c = 35 ––––––– (3)

(2) – (1) 3a+b = 13 ––––––– (4)

(3) – (2) 5a+b = 17 ––––––– (5)

(5) – (4) 2a = 4

a=2

แทนค่า a ใน (4) b=7

แทนค่า a และ b ใน (1) 2(1) + 7 + c = 5

c = –4

ดังนั้นพจน์ทั่วไป an = 2n2+7n – 4

ในการหาพจน์ทั่วไปลาดับ ซึ่งมีอัตราส่วนร่วม (อัตราส่วนระหว่างพจน์ที่ n +1 กับ พจน์ที่ n) คงที่

ตัวอย่าง จงพิจารณาลาดับต่อไปนี้แล้วหาพจน์ทั่วไป 2, 4, 8, 16, …

พิจารณาความสัมพันธ์ของพจน์ในลาดับจะเห็นว่า

พจน์ที่ 1 2

พจน์ที่ 2 4 = 2 x 2 = 22

พจน์ที่ 3 8 = 4 x 2 = 23

พจน์ที่ 4 16 = 8 x 2 = 24

พิจาราความสัมพันธ์ 5 พจน์แรก จะได้ พจน์ที่ n คือ 2n

พจน์ทั่วไปของลาดับต่อไปนี้คือ 2n
Math Kit Ebook ห น้ า 167

ประเภทของลาดับ Ex จงหาพจน์ที่ 10
1.ลาดับเลขคณิต(arithmetic sequence) 1.1, 3, 5, … เป็นลาดับเลขคณิต d คือ 2
คือลาดับที่มีผลต่างของพจน์ที่อยู่ติดกันคงที่ a10 = 1+(10–1)2 จะได้ 19
an = a1 + (n – 1)d d คือผลต่างร่วม 2. 1, 4, 16, … เป็นลาดับเรขาคณิต
(common difference) อัตราส่วนร่วมคือ 4
a10 = 1(4)10–1 จะได้ 262144
2.ลาดับเรขาคณิต (geometric sequence)
คือลาดับทีอ
่ ัตราส่วนระหว่างพจน์ที่ติดกันกับพจน์
ข้างหน้ามีค่าคงที่
an=a1rn–1 r คืออัตราต่างร่วม(ratio)

ชนิดของลาดับ Ex
1.ลาดับคอนเวอร์เจนต์หรือลาดับลู่เข้า 1. 6𝑛 17𝑛 − 1
l
(Convergent sequence) คือลาดับที่หา n 2𝑛 − 1

ได้ l
n
ได้แก่ 1.ลาดับเลขคณิตที่ ผลต่างร่วม(d) มีค่าเป็น 0 ให้ใช้ตัวดีกรีมากที่สุดหารทั้งเศษและส่วน ด้วย
2.ลาดับเราขาคณิตทีอ
่ ต
ั ราส่วนร่วม(r)เป็น 1 แล้วจะได้คาตอบเป็น หรือ 3
3.ลาดับเรขาคณิตที่ | r | < 1 จึงเป็นลาดับคอนเวอร์เจนต์
4.ลาดับใดๆ ที่สามารถหาค่า l ได้
n
6𝑛 17𝑛 − 1
2. l
2.ลาดับไดเวอร์เจนต์หรือลาดับลู่ออก (divergent
n 2𝑛 − 1

sequence) คือลาดับที่หา เราไม่สามารถหาค่าของ ลิมต


ิ ได้ เพราะไม่สามารถ
l ไม่ได้ได้แก่ ใช้ตัวดีกรีมากที่สุดหารทั้งเศษและส่วนได้
n
1.ลาดับเลขคณิตที่ผลต่างร่วม(d) มีค่าไม่เป็น 0 จึงเป็นลาดับไดเวอร์เจนต์
3.ลาดับเรขาคณิตที่ | r | 1
4.ลาดับใดๆ ที่สามารถหาค่า l ไม่ได้
n

คุณสมบัติของ l
n
1. l c โดยที่ c เป็นค่าคงที่ แล้ว l c=c
n n
2. l can = c l an
n n
3. l (an+ bn) = l an + l bn
n n n
4. l (an – bn) = l an – l bn
n n n
5. l (an bn) = l an l bn
n n n
l
6. l ( )= l
และ l bn ≠ 0
n n
Math Kit Ebook ห น้ า 168

ตัวอย่างที่ 1 พจน์แรกที่เป็นจานวนเต็มลบของลาดับเลขคณิต 200, 182, 164, 146, ... มีค่าต่าง


จากพจน์ที่ 10 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (Ent)
1. 54 2.38 3.22 4.20
วิธีทา ลาดับเลขคณิตชุดนี้มี – 18 เป็นผลต่างร่วม ใช้สูตร an = a1 + (n – 1)d
หาพจน์ที่ 10 a10 = 200 + (9)(–18)
= 200 – 163
= 38
พิจารณาพจน์แรกที่เป็นจานวนเต็มลบ
38, 20, 2, –16
38 – (–16) = 54
ตอบ ข้อ 1

ตัวอย่างที่ 2 ถ้าผลคูณของลาดับเรขาคณิต 3 จานวนที่เรียงติดกันเท่ากับ 343และผลบวกของทั้ง


สามจานวนเท่ากับ 57 แล้วค่ามากที่สุดในบรรดา 3 จานวนนี้เท่ากับเท่าใด (PAT 1 ต.ค. 53)
วิธีทา (a1r–1)(a1)(a1r) = 343
a13 = 343

a1 =7

เมื่อเรานาค่าที่ได้มาเขียนใหม่ a1 + a2 + a3 = 57

a1 + 7 + a3 = 57

7r–1 + 7r = 50

นา r คูณตลอด 7 + 7r2 = 50r

7r2 – 50r +7 = 0

(7r – 1)(r – 7) =0

r = 7,

เราสามารถเขียนลาดับได้ดังนี้ 1,7,49 หรือ 49,7,1

ดังนั้นค่ามากที่สุดคือ 49
Math Kit Ebook ห น้ า 169

ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่าต่อไปนี้ l
n
วิธีทา ให้นา n กาลังดีกรีสูงสุดหารทั้งเศษและส่วน

( ) ( )
จะได้ l = l
n ( ) n ( )

0 0
( )
= l
n ( )

0 0
=
ตอบ

ตัวอย่างที่ 4 จงหาค่าต่อไปนี้ l (Ent)


n
วิธีทา ให้จัดรูปของลิมิต

จะได้ l
n
แล้วนา ฐานที่มากที่สุดหารทั้งเศษและส่วน
( )

จะได้ l =
n ( )

= 25
ตอบ 25
( )( in )
ตัวอย่างที่ 5 จงหาค่าต่อไปนี้ l
n

วิธีทา พิจารณาจากลิมิตพบว่าตัวส่วนมีการเพิ่มขึ้นเร็วกว่าตัวเศษเพราะฉะนั้นแล้วลิมิตจะมีค่า

เข้าใกล้ศูนย์ พิจารณาฟังก์ชันลอการิทึมเป็นฟังก์ชันที่เพิ่มช้ามากซึ่งคูณกับฟังก์ชันไซน์ซึ่งมีค่าอยู่

ระหว่าง –1 ถึง 1 จึงทาให้ตัวเศษมีค่าน้อยมาก

ตอบ 0

ข้อควรรู้
อัตราการเพิ่มขึ้น แฟกทอเรียล > ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเซียล > พหุหาม > ฟังก์ชันลอการริทึม
Math Kit Ebook ห น้ า 170

อนุกรม (Series) เป็นพจน์ของลาดับที่เขียนต่อเนื่องในรูปผลบวก Sn


อนุรมที่มีต้นกาเนิดจากลาดับจากัด จะเป็นอนุกรมจากัด อนุกรมที่มีต้นกาเนิดจากลาดับอนันต์จะ
เป็นอนุกรมอนนต์
ตัวอย่างที่ 6 จงหาค่าผลบวกของลาดับต่อไปนี้ 1 + 2 + 4 + 8 +... + a7

วิธีทา ให้หารูปพจน์ทั่วไป จากลาดับเป็นลาดับเรขาคณิตมีอัตราส่วนร่วมเป็น 2

จะได้พจน์ทั่วไปคือ a1(r)n–1 หรือก็คือ 1(2)6

เราสามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้คือ 1 + 2 + 4 + 8 + 16 + 32 + 64

สัญลักษณ์แทนการบวก

เพื่อความสะดวกในการเขียนอนุกรม เมื่อมีจานวนพจน์มากจะทาให้เขียนได้ลาบาก ดังนั้น

นักคณิตศาสตร์จึงกาหนดตัวอักษรกรีก ∑ เรียกว่าซิกมาเป็นสัญลักษณ์แทนการบวก หรืออาจ

กล่าวว่า a1 + a2 + a3 + … + an สามารถเขียนแทนด้วย

n
อ่านว่า การบวก ai เมื่อ i มีค่าตั้งแต่ 1 ถึง n
=
ตัวอย่างการใช้สัญลักษณ์แทนการบวก

1. แทน 1 + 2 + 3 + 4 + 5

=
2 แทน 12 + 22 + 32 + 42 + 52

=
3 แทน (2+1) + (4+1) + (6 + 1)
(2 1)
= ซึ่งมีค่าเท่ากับ 3 + 5 + 7
4 แทน (2+1) + (4+1) + (6 + 1) + (8+1) + …
(2 1)
=
Math Kit Ebook ห น้ า 171

ตัวอย่างที่ 7 จงหาผลบวก 20 พจน์แรกของอนุกรม

(2 5)
=

วิธีทา ให้ Sn =
n

n = (2 5)
i=

= (4 20 25)
i=

= 4 20 25)
i= = =
n

= 4 20 25( ))
i= =

(2 1)( 1) ( 1)
= 44 5 20 ( ) 25
6 2

20(2(20) 1)(20 1) 20(20 1)


n = 44 5 20 ( ) 25(20)
6 2
2(41)(21) 20(21)
= 44 5 20 ( ) 500
6 2

= 11480 4200 500


= 16180

นั้นคือผลบวก 20 พจน์แรกของอนุกรมต่อไปนี้ เท่ากับ 16,180

อนุกรมที่สาคัญ ข้อควรระวัง
( )
1. ∑ = 1+2+3+…+n =
2 2 2 2
( )( ) =
2. ∑ = 1+2 +3 +…+n =

3. ∑
3
= 1+2 +3 +…+n =0
3 3 3
( )
1 เป็นอนุกรมที่เริ่มต้นจาก –1 บวกไปถึงพจน์ที่ n
Math Kit Ebook ห น้ า 172

คุณสมบัติของ ∑

1.
= ( )
=

n n
2. f( ) = f( )
i= i=

n n n
3.
,f( ) g( )- = f( ) g( )
i= i= i=

อนุกรมเลขคณิต คือผลบวกของลาดับเลขคณิต Ex จงหา Sn ของ 1 + 3 + 5 +... +(2n–1)


Sn = (a1 + an) = (2a1 – (n–1)d) Sn = [1+(2n–1)]
= [2n]
= n2
อนุกรมเรขาคณิต คือผลบวกของลาดับเรขาคณิต Ex จงหา Sn ของ 2 + 6 + 18 + ...
( ) ( )
Sn = เมื่อ r < 1 Sn =

( ) ( )
= เมื่อ r > 1 =

= 2(3n–1)

อนุกรมอนันต์ [Infinite Series] คือ ผลบวกของพจน์ทุกพจน์ในอนุกรมอนันต์ หรือเรียกว่า ลิมิต

ของผลบวกย่อยตัวที่ n เมื่อ n เข้าสู่ค่าอนันต์

S∞ = 𝑛l n = 𝑎𝑖
𝑖=

อนุกรมคอนเวอร์เจอร์เจนต์ คือ อนุกรมที่ S∞ หาค่าได้


อนุกรมไดเวอร์เจนต์ คืออนุกรมที่ S∞ หาค่าไม่ได้

ข้อย้าเตือน อนุกรมอนันต์ ไม่สามารถ หา S∞ เพราะเป็นอนุกรมไดเวอร์เจนต์


Math Kit Ebook ห น้ า 173

อนุกรมเรขาคณิตอนันต์

S∞ = และ | r | < 1

ตัวอย่างที่ 8 จงหาผลบวกของอนุกรมต่อไปนี้

S∞ = 8 + 4 + 2 + 1 + +…

วิธีทา a1 = 8 r=

= 4

ตัวอย่างที่ 9 จงหาผลบวก 8 พจน์ ของอนุกรม 6 + 6.5 +7.25 +8.125 + ...

วิธีทา จากอนุกรมที่โจทย์กาหนดให้เป็นอนุกรมผสมเรขาคณิต ซึ่งผสมกับอนุกรมเลข

คณิต ซึ่งเราสามารถแยกได้เป็นอนุกรม 2 ชุด

อนุกรมชุดที่ 1 5 + 6 + 7 + 8+... +12 เป็นอนุกรมเลขคณิต

S8 = [5+12]

= 68

อนุกรมชุดที่ 2 1 + 0.5 + 0.25 +0.125 + ... เป็นอนุกรมเรขาคณิต

[ . / ]
S8 =

0 1
=

นาอนุกรมทั้ง 2 ชุดมาบวกกันจะได้ 69
Math Kit Ebook ห น้ า 174

บทที่ 15 แคลคูลัสพื้นฐาน

ลิมิต (lim) และความต่อเนื่อง

อัตราการเปลี่ยนเฉลี่ย

อนุพันธ์ของฟังก์ชัน (อัตราการเปลี่ยนขณะใดๆ )

อัตราการเปลี่ยนขณะใดๆ เมื่อ y เทียบ x

ความชันเส้นโค้ง

ค่าสูงสุด ค่าต่าสุด

ประยุกต์อนุพันธ์

ปฏิยานุพันธ์ของฟังก์ชัน
ปริพันธ์ไม่จากัดเขต

ปริพันธ์จากัดเขต

พื้นที่ใต้กราฟ

แคลคูลส
ั ถูกใช้ประโยชน์ทั้งทางวิทยาศาสตร์และ

เทคโนโลยีอย่างกว้างขวางซึ่งเป็นพื้นฐานในการคานวณขั้นสูง

ต่อไป
Math Kit Ebook ห น้ า 175

แคลคูลัส (Calculus) เป็นสาขาหนึง่ ของคณิตศาสตร์ซึ่งพัฒนามาจากพีชคณิต เรขาคณิต


แคลคูลัสมีต้นกาเนิดจากสองแนวคิดหลัก ดังนี้
แนวคิดแรกคือ แคลคูลัสเชิงอนุพันธ์ (Differential Calculus) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยอัตรา
การเปลี่ยนแปลง และเกี่ยวข้องกับการหาอนุพันธ์ของฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ ตัวอย่างเช่น การ
หา ความเร็ว, ความเร่ง หรือความชันของเส้นโค้ง บนจุดที่กาหนดให้. ทฤษฎีของอนุพันธ์หลาย
ส่วนได้แรงบันดาลใจจากปัญหาทางฟิสิกส์
แนวคิดที่สองคือ แคลคูลัสเชิงปริพันธ์ (Integral Calculus) เป็นทฤษฎีที่ได้แรงบันดาลใจ
จากการคานวณหาพื้นที่หรือปริมาตรของรูปทรงทางเรขาคณิตต่าง ๆ ทฤษฎีนี้ใช้กราฟของฟังก์ชัน
แทนรูปทรงทางเรขาคณิต และใช้ทฤษฎีปริพันธ์ (หรืออินทิเกรต) เป็นหลักในการคานวณหาพื้นที่
และปริมาตร
พื้นฐานของแคลคูลัส มีฐานมาจาก แนวคิดของฟังก์ชัน และลิมิต มันรวมเทคนิคของ
พีชคณิตพื้นฐาน และการอุปนัยเชิงคณิตศาสตร์ การศึกษาพื้นฐานของแคลคูลัสสมัยใหม่ รู้จักกัน
ในชื่อ การวิเคราะห์เชิงจริง ซึ่งประกอบด้วย นิยามที่เคร่งครัด และบทพิสูจน์ของทฤษฎีของ
แคลคูลัส เช่นทฤษฎีการวัด และการวิเคราะห์เชิงฟังก์ชัน
การศึกษาลิมิตในบทเรื่องแคลคูลัส เป็นการศึกษาค่าเข้าใกล้ ไม่ใช่ค่านั้นโดยตรง

ตัวอย่างที่ 1 จงแสดงค่า f(x) = 2x เมื่อ x เข้าใกล้ 2 แต่ x ≠ 2

x f(x) x f(x)
1.0 2 3 6
1.5 3 2.5 5
1.8 3.6 2.1 4.2
1.9 3.8 2.05 4.1
1.99 3.98 2.01 4.02
1.999 3.998 2.001 4.002

จากตารางเมื่อ x เข้าใกล้ 2 f(x) จะมีค่าเข้าใกล้ 4


Math Kit Ebook ห น้ า 176

ลิมิต คือค่าเข้าใกล้ค่าคงตัวจานวนหนึ่ง
l f( ) (ลิมิตทางขวาของ a ) คือ ลิมิตของ
2
ฟังก์ชันเมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางขวา (x > a) 1
l f( ) (ลิมิตทางซ้ายของ a ) คือ ลิมิตของ
ฟังก์ชัน เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางขวา (x < a)
l f( ) = 2
l f( ) = 1
– a +
a a
l f( ) จะหาได้ก็ต่อเมื่อ ดังนั้นเราไม่สามารถหาค่า l f( )
l f( ) = l f( )
ลิมิตทางซ้าย ต้องเท่ากับลิมต
ิ ทางขวา

ความต่อเนื่องของฟังก์ชัน (Continuity of function)


ฟังก์ชันจะต่อเนื่องก็ต่อเมื่อ l f( ) = l f( ) = f(x)
ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากการวาดกราฟ แล้วพิจาณาลิมิตด้านซ้าย ด้านขวาและค่าของฟังก์ชัน
ฟังก์ชันต่อเนื่องบนช่วง (a,b) เมื่อเป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ทุกๆจุดในช่วง (a,b)
ฟังก์ชันต่อเนื่องบนช่วง [a,b] เมื่อเป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ทุกๆจุดในช่วง [a,b] และลิมิตทางซวา
ของ a = f(a) และลิมิตทางซ้ายของ b = f(b)

จงพิจารณาฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องหรือไม่
−3 1
f(x) { −2 = 1
1
วิธีทา หา l f( ) 1 – 3 = –2

หา l f( ) = = –2
หา f(1) –2(1) = –2
ฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง
Math Kit Ebook ห น้ า 177

ตัวอย่างที่ 2 จงตอบคาหาค่าต่อไปนี้โดยพิจารณาจากกราฟ

f(x) 1) l f( )
2) l f( )
3) l f( )
4) f(1)
5) ฟังก์ชันต่อเนื่องหรือไม่

วิธีทา 1) เมื่อค่า x เข้าใกล้ 1ทางด้านซ้าย (x < 1)

จะได้ว่าค่าของ f(x) เข้าใกล้ 2

ดังนั้น l f( ) = 2

2) เมื่อค่า x เข้าใกล้ 1ทางด้านซวา (x > 1)

จะได้ว่าค่าของ f(x) เข้าใกล้ 2

ดังนั้น l f( ) = 4

3) เนื่องจาก l f( ) l f( )

ดังนั้น l f( ) จึงหาค่าไม่ได้

4) f(1) = 4

5) ฟังก์ชันต่อไปนี้ไม่ต่อเนื่องที่ x = 1 เพราะ l f( ) l f( )

ทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต

1. l โดยที่ c เป็นค่าคงที่ แล้ว l c=c


n n

2. l can = c l an
n n

3. l (an+ bn) =l an +l bn
n n n

4. l (an – bn) =l an – l bn
n n n

5. l (an bn) =l an l bn
n n n
i
6. l ( )= และ l bn ≠ 0
n i n

7. l (f(x))n = [l f(x)]n
n n
Math Kit Ebook ห น้ า 178

หลักการแก้ปัญหาเรื่องลิมิต เรานิยมแทนค่า x ลงไป ซึ่งทาให้เกิดกรณีต่อไปนี้

1.ถ้า x เป็นจานวนจริง เราจะได้คาตอบ

2.ถ้าแทนแล้วได้ เมื่อ c ไม่เป็น 0 เราจะหาค่าไม่ได้

3.ถ้าแทนค่าแล้วได้ หรือ ให้จด


ั รูป หรือ หาอนุพันธ์ตามกฎของโลปิตาล

ตัวอย่างที่ 3 จงหาลิมิตข้อต่อไปนี้

3) l 2 − 33

ให้เราแทนเลขลงไปจะได้ เป็น −3

จะได้คาตอบคือ –1

ให้เราตอบว่า ลิมิตดังกล่าวมี ค่าเข้าใกล้ –1 แต่คาตอบไม่เท่ากับ –1 เป็นเพียงค่าเข้าใกล้

แต่เนื่องจากค่าเข้าใกล้มีจานวนมากมายเป็นเซตอนันต์ เขาจึงกาหนดว่าเมื่อได้คาตอบตัวใดออกมา

ให้ตอบตัวนั้นเลย คือ –1

4) l 2 3 เมื่อเรานา 2 ลงไปแทนจะทาเกิดเหตุการณ์ทเี่ ป็น

( )( )
เราจึงต้องจัดรูปเป็น 3=l
( )
l 2 ( )
2 3

=l *−( 2)+

เมื่อนา 2 ไปแทนแล้วจะได้ ลิมิตเข้าใกล้ –4

ลิมิตต่อเนื่องก็ต่อเมื่อ l f( ) = l f( ) = f(x) และทั้ง 3 ตัวต้องหาค่าได้


Math Kit Ebook ห น้ า 179

กฎของโลปิตาล(L'Hôpital's rule)

ทฤษฎีบท ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้บนช่วงเปิดที่มี a อยู่ โดยที่ g (x) ไม่

เท่ากับศูนย์ ทุกค่า x ยกเว้นที่ x = a

ถ้า l f( )= 0 และ l g( ) = 0 แล้ว

= l
( ) ( )
l
( ) ( )

ทฤษฎีบท ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้ บนช่วงเปิดที่มี a อยู่

ถ้า l f( )= ∞ และ l g( ) = ∞ แล้ว

= l
( ) ( )
l
( ) ( )

ตัวอย่างที่ 4

1 0
4.1) กาหนดให้ f( ) = {6 − 5 0 4
3 4
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ว่าข้อใดถูกต้อง

ก. l f( ) = 12

ข. l f( 2) = 13

วิธีทาพิจารณา

ก ตรวจสอบลิมิตทางซ้าย ข l f( 2) = l f(3)
l f( ) = 6x – 5 = 6x – 5
= 6(4) – 5 = 6(3) –5
= 19 = 13
ตรวจสอบลิมิตทางขวา
l f( ) = 3x
= 3(4)
= 12
l f( ) ≠ l f( )
ดังนั้น l f( ) หาไม่ได้ข้อ ก ผิด
ดังนั้นข้อ ข ถูกต้อง
Math Kit Ebook ห น้ า 180

4.2) กาหนดให้ a,b,c เป็นจานวนจริง และ f เป็นฟังก์ชัน

− √5 −
1
f( ) = −1
=1
{ 2 −1 1

กาหนดให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ x = 1 แล้วจงหาค่า –2(a + b–1c)


วิธีทา พิจารณา เมื่อ x = 1 จะทาให้ส่วนเป็น 0 มีเพียงกรณีเดียวที่ทาให้ส่วนเป็น 0 คือ

ดังนั้น a – √5 − =0

ที่จุด x = 1 จะได้ว่า a – √5 − 1 = 0 ; a = 2

√ 2 −1 =
ดังนั้น b =
เมื่อ x = 1 2c(1) =
√ √
= c =

( )
=
( √ )
=
( √ )
เมื่อ x = 1 =
( √ )
=

5
–2(a + b–1c) = –2[(2) + 4( )]
8
= –2[2 + 5 ]
2
= –4 – 5

= –9

ตอบ –9
Math Kit Ebook ห น้ า 181

อัตราการเปลี่ยนแปลงและอนุพันธ์ของฟังก์ชัน

( ) ( ) ( ) ( )
อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลีย
่ ของ f(x) เทียบ x ในช่วง x+h คือ หรือ

นิยาม ถ้า y = (x) เป็นฟังก์ชันใดๆ เมื่อค่า x เปลี่ยนเป็น x+h แล้วอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ย


ของ y เทียบ x ในช่วง x ถึง x+h
Ex กาหนดให้ f(x) = x2+1 จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยในช่วง x = 2 ถึง 4
( ) ( )
=

=
= 6
Math Kit Ebook ห น้ า 182

อนุพันธ์ของฟังก์ชัน (The derivative of a function)


( ) ( )
คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ขณะ x มีค่าใดๆ คือ l หรือ

f (x) นอกจากนี้เรายังสามารถเขียน f′(x) ในรูปของ อนุพันธ์ของฟังก์ชันคือความชันเส้นโค้งที่

จุด P(x,y) ใดๆ

ข้อควรรู้ ขั้นตอนการหาอนุพันธ์เรียกว่า differentiation (ดิฟเฟอเรนชิเอต)

สูตรอนุพันธ์ จงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชัน f(x) = x2


( ) ( )
1. y = c (ค่าคงที่) จะได้ y = 0 f′ = l
2. y = x จะได้ y = 1 ( ) ( )
= l
3. y = xn จะได้ y = n(x)n–1
=l
4. y = f g จะได้ y = f (x) g (x) ( )
=l
5. y = cf(x) จะได้ y = cf (x)
= 2x
6. y = fg(x) จะได้
y =f(x)g (x)+g(x) f (x)
( ) ( ) ( ) ( )
7. y = จะได้ y′ =
, ( )-
8. y = (gof)(x) จะได้
y = g (f(x)) f (x)
Math Kit Ebook ห น้ า 183

ความชันเส้นโค้ง y = f(x) ที่จุด x0 คือ f′(x0) Ex กาหนดให้ y2+3


จงหาความชันที่จด
ุ x=1
วิธีทา y = 2y
ความชันที่จุด x = 1 คือ 2(1) = 2

ตัวอย่างที่ 5 จงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชันต่อไปนี้

1.f(x) = x3 – 3x +7 2.f(x) = 5x7 + 3x4 – logsin0 tan45 3.f(x) = (2x+3)5

วิธีทา 1. f(x) = x3 – 3x +7

f (x) = 3x2 – 3

2. f(x) = 5x7 + 3x4 – log45 tan45

f (x) = 35x6 + 12x3 (เนื่องจาก log45 tan45 เป็นค่าคงที่ซึ่งมีอนุพันธ์เป็น 0)

3. f(x) = (2x + 3)5

f (x) = 5(2x + 3)4(2)

= 10(2x + 3)4

ตัวอย่างที่ 6 ให้ f(x) = x3 – x2+ 2x – 1 , g(x) = f (x) จงหา (gof)(x) และ (gof)(1)

วิธีทา จาก g(x) = f (x) จะได้

f (x) = 3x2 – 2x +2

f (x) = 6x – 2

ดังนั้น g(x) = 6x – 2

จาก (gof)(x) = g(x3 – x2+ 2x – 1)

= 6(x3 – x2+ 2x – 1) – 2

= 6x3 – 6x2 + 12x – 8

(gof)(1) = 6(1)3 – 6(1)2 + 12(1) – 8

= 6 – 6 + 12 – 8

=4
Math Kit Ebook ห น้ า 184

ระยะทาง ความเร็ว ความเร่ง

สมการการเคลื่อนที่ของวัตถุคือ s(t) = f(t) t เป็นหน่วยของเวลาส่วนใหญ่จะเป็นวินาที

และ s(t) คือระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ โดยอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นเมื่อเวลาผ่านไป t

อัตราการเปลี่ยนแปลงของระยะทางขณะ t ใด คือs (t) ซึ่งคือ ความเร็ว

อัตราการเปลี่ยนแปลงของความเร็วขณะ t ใด คือ s (t) ซึ่งคือ ความเร่ง


Math Kit Ebook ห น้ า 185

ตัวอย่างที่ 7 กาหนดให้ F(x) = f(g(x)) ; g(3) =5 ; g (3) = 7 ; f (3) = –4 ; f (5) = 9 ;F (3) =

A; B = A + (A – 2) + (A – 4) + (A – 6) + … + –1 ; C = log2sin30 + 4tan60 sin60

จงหา B – 4AC

วิธีทา F (x) = f (g(x))(g (x))

F (3) = f (g(3))(g (3))

= (f (5))(7)

= (9)(7)

= 63 = A

พิจารณา B คือ A + (A – 2) + (A – 4) + พิจารณา C


(A – 6) log2sin30 + 4tan60 sin60
= 63 + 61 + 59 +57 + … –1 √
= log22–1 + 4√3( )
จากลาดับด้านบนเป็นลาดับเลขคณิต
= –1 + (2)3
พจน์ n มีค่า –1 = 63 + (n–1)(–2)
=5
–64 = (n–1)(–2)
C =5
33 =n
ใช้สูตรอนุกรมเลขคณิต
Sn = (a1+an)
S33 = (63–1)
= 1023
B = 1023

พิจารณา B – 4AC

= 1023 – (4)(63)(5)

= 1023 – 1260

= – 37

ตอบ – 37
Math Kit Ebook ห น้ า 186

การประยุกต์อนุพน
ั ธ์

ฟังก์ชัน เพิ่ม คือฟังก์ชันที่เมื่อ ค่า x เพิ่มขึ้น แล้วทาให้ค่า y เพิ่มขึ้น หาได้จาก เมื่อ f′(x) > 0

ฟังก์ชันลด คือ ฟังก์ชันที่เมื่อค่า x เพิ่มขึ้นแล้วทาให้ค่า y ลดลง หาได้จาก เมื่อ f′(x) < 0

ค่าสูงสุดและค่าต่าสุด

1. การหาอนุพันธ์ระดับหนึ่ง

หาได้ f′(x) = 0 แล้วหาค่า x1 ที่ทาให้ f′(x1) = 0 เมื่อหาเสร็จแล้วให้พจ


ิ ารณาว่า

f (x1) เปลี่ยนเครื่องหมาย จากค่าบวกเป็นค่าลบ แสดงว่า เป็นจุดสูงสุดสัมพันธ์


f (x1) เปลี่ยนเครื่องหมาย จากค่าลบเป็นค่าบวก แสดงว่า เป็นจุดต่าสุดสัมพันธ์
2. การหาอนุพันธ์ระดับ สอง

หาได้จากค่าวิกฤตจากสมการ f′(x) = 0 แล้วทดสอบด้วย f′′(x) (อนุพันธ์ระดับ 2)

ถ้า f (x) > 0 จะได้ค่าต่าสุดสัมพันธ์

ถ้า f (x) < 0 จะได้ค่าสูงสุดสัมพันธ์

ถ้า f (x) = 0 ให้กลับไปใช้วธิ ีที่หนึ่ง เนือ


่ งจาก ไม่สามารถใช้วิธีที่ 2 หาคาตอบได้

วิธีการหาค่าสูงสุดสัมบูรณ์และค่าต่าสุดสัมบูรณ์

ถ้าฟังก์ชัน f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องบนช่วงปิด [a,b] แล้วสามารถหาค่าสูงสุดสัมบูรณ์และค่า

ต่าสุดสัมบูรณ์ของฟังก์ชัน f ตามขั้นตอนดังนี้

1. หาค่าวิกฤตทั้งหมด จากการหาอนุพันธ์ของ f ในช่วงปิด [a,b]

2. หาค่าของฟังก์ชัน ณ ค่าวิกฤตที่ได้

3. หาค่า f(a) และ f(b)

4. เปรียบเทียบค่าที่ได้จากจากข้อ 2 และข้อ 3 ซึ่ง สามารถสรูปได้ว่า

ค่ามากที่สุดจากข้อ 2 และข้อ 3 เป็นสูงสุดสัมบูรณ์ของฟังก์ชัน f

ค่าน้อยที่สุดจากข้อ 2 และข้อ 3 เป็นสูงสุดสัมบูรณ์ของฟังก์ชัน f


Math Kit Ebook ห น้ า 187

ตัวอย่างที่ 8 จงหาค่าสูงสุดสัมบูรณ์และค่าต่าสุดสัมบูรณ์ของฟังก์ชัน f เมื่อ f(x) = x3 – 3x+2 บน

ช่วงปิด [0,2]

วิธีทา จาก f(x) = x3–3x+2

f (x) = 3x2 – 3

= 3(x2 – 1)

= 3(x – 1)(x + 1)

เพราะฉะนั้นจะได้ค่าวิกฤต 2 ค่า คือ x = 1 และ x = –1 แต่ –1 ใช้ไม่ได้เพราะ – 1ไม่ได้อยู่

ในช่วง [0,2]

วาดกราฟ

จุดที่ มีค่าน้อยสุด เกิดที่ x = 1 ดังนั้นf(1) = 13 – 3(1) + 2 จีงได้ f(1) =0

จุดที่ มีค่ามากสุด เกิดที่ x = 2 ดังนั้นf(2) = 23 – 3(2) + 2 จึงได้ f(2) =4

เมื่อพิจารณาจากกราฟ พบว่า f มีค่าสูงสุดที่ x = 2 ซึ่งคือ f(2) =4

F มีค่าต่าสุดสัมบูรณ์ที่ f x =1 ซึ่งคือ f(1) =0


Math Kit Ebook ห น้ า 188

ปฏิยานุพันธ์ (Integration) เป็นกระบวนการตรงข้ามกับการหาอนุพันธ์ แบ่งเป็น

1.ปริพันธ์ไม่จากัดขอบเขต

2.ปริพันธ์จากัดเขต
ปริพันธ์ไม่จากัดขอบเขต Ex จงหาค่าของ ∫ 8( )
1. ∫ = kx+c ( )
วิธีทา =
2. ∫ = +c = 2(x)4 + c
n
3. ∫ f( ) = ∫ f( )
4. ∫(f( ) g( )) = ∫ f( ) ∫ g( )
ข้อควรระวัง ∫(f( ) g( )) กระจายไม่ได้
ปริพันธ์จากัดเขต Ex
(8𝑥 3𝑥 − 1)𝑑𝑥
นิยาม f(x) = f′ (x) ปริพน
ั ธ์จากัดเขตของฟังก์ชน

ต่อเนือ
่ ง f บนช่วง x = a ถึง x=b คือ
3
= 2x4 + x2–z+c
–2
a คือขอบล่าง b คือขอบบน
= [2(3)4 + (3)2–(3)+c ]–[2(–2)4 + (–2)2–(–
2)+c ]
= 130 + 7.5 – 5
= 132.5
การประยุกต์ปริพันธ์กับพื้นทีใ่ ต้โค้ง จงหาพื้นที่ใต้กราฟต่อไปนี้ f(x) = − ตั้งแต่ x= 0
 ถ้ากราฟอยู่เหนือแกน x ถึง 2
𝑏
พื้นที่ =
𝑓(𝑥)𝑑𝑥
𝑎
 ถ้ากราฟอยู่ใต้แกน x

𝑏
พื้นที่ = − 𝑓(𝑥)𝑑𝑥
𝑎 A = −∫ ( )
เมื่อกราฟ 2 กราฟซ้อนกัน = −∫ −
= [–4] – [0]
A = –4
ดังนั้น พื้นที่ใต้กราฟ คือ 4

ใช้พื้นที่กราฟบน – พื้นที่กราฟล่าง
Math Kit Ebook ห น้ า 189

ตัวอย่างที่ 9 ถ้า f = 2x3 – 3x2 +1 และ f(2) = 3 แล้ว f(−1) มีค่าเท่ากับข้อใดในต่อไปนี้ (Ent)
x2 2

1.4 2.6 3.9 4.11

วิธีทา f = 2x3 – 3x2 + 1 พิจารณา f(2) จะได้ (2)2 – 3(2) – 2–1 +C = 3


x2 x2 x2 3 2
4 – 6 – 2–1 + C =
f = 2x – 3 + x–2 2
C=4
∫ f dx= ∫ (2x – 3 + x–2) dx
พิจารณา f(−1) = (−1)2 – 3(−1) – (−1)–1 + 4
2 –1
f(x) = 2x – 3x + x + C
= 1+3+1+4
2 -1
f(x) = x2 – 3x – x–1 +C =9

ดังนั้นตอบข้อ 3

ตัวอย่างที่ 10 กาหนด F (x) ดังรูป กาหนดให้ F(0) = 4 F(6) = 4 จงหา F(5)

วิธีทา ∫ ( ) = F(6) – F(5)

12 = 4 – F(5)

F(5) = –8
Math Kit Ebook ห น้ า 190

บทที่ 16 กาหนดการเชิงเส้น

สมการเชิงเส้น

สมการจุดประสงค์

อสมการข้อจากัด

การแก้ปัญหาหาค่ามากสุด ค่าน้อยสุด

กาหนดการเชิงเส้น เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาการจัดสรร
ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Math Kit Ebook ห น้ า 191

กาหนดการเชิงเส้น (Linear Programming) เป็นคณิตศาสตร์ประยุกต์แขนงหนึ่งที่คิดค้น


ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของมนุษย์ โดยมีแนวคิดที่ว่า ให้เกิดประโยชน์อย่าง
สูงสุดในทรัพยากรที่มีจากัด สามารถใช้คานวณเพื่อแก้ปัญหาได้หลายอย่าง เช่น คานวณการผลิต
สินค้าให้ได้มากที่สุด แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด,หาวิธีการเคลื่อนย้ายทหารให้มากที่สุดโดยที่เสีย
ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด, ผลิตสินค้าจานวนน้อยที่สุด แต่ทากาไรได้มากที่สุด เป็นต้น

สมการเชิงเส้น (Linear equation)

รูปแบบสมการทั่วไป ax+ by = c ; a และ b ไม่เป็นศูนย์พร้อมกัน

เมื่อนามาเขียนกราฟ จะได้รูปเส้นตรงซึ่งมีความชัน – และมีระยะตัดแกน x เป็น

ตัวอย่างที่ 1 จงวาดกราฟของสมการต่อไปนี้ 5x + 3y = 15

เมื่อเราวาดกราฟเราจะได้ กราฟตัดแกน x ที่ (3,0) ตัดแกน y ที่ (0,5) และพบว่าสมการนี้

มีความชันเป็น –

กาหนดการเชิงเส้น จะอยู่ในรูปแบบทางคณิตศาสตร์ของสมการเชิงเส้นและอสมการเชิง

เส้น แล้วหาค่าสูงสุด ต่าสุดของฟังก์ชันที่สอดคล้องกับสมการ (และอสมการ) ที่กาหนด ตัวแบบ

คณิตศาสตร์ประกอบด้วย
Math Kit Ebook ห น้ า 192

สมการจุดประสงค์ เป็นสมการที่สร้างให้ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการ เรียกฟังก์ชันนี้ว่า

ฟังก์ชันเป้าหมาย โดยจะตั้งสมการขึ้นเพื่อหาค่าสูงสุด หรือต่าสุด ขึ้นอยู่กับตัวแปร เขียนอยู่ในรูป

P = ax +by (ค่าสูงสุด)

C = ax +by (ค่าน้อยสุด)

เช่น P = 5x + 12y

เงื่อนไขจากัด (เงื่อนไขบังคับ) ได้แก่อสมการ หรือสมการที่เป็นเงื่อนไขที่กาหนดให้ เป็น

เงื่อนไขที่ถูกจากัดของทรัพยากร หรือตัวแปร เช่น 2x + y < 100 และ x > 0

หลักการแก้ปัญหา

1. ให้นาอสมการข้อจากัดไปวาดกราฟ

2. ค่าสูงสุด และต่าสุดของ P จะอยู่ที่จุดมุมของพื้นที่ปิดของกราฟ

3. ในกรณีพื้นที่เปิดอาจจะมีค่าสูงสุด,ต่าสุด หรือไม่ก็ได้
Math Kit Ebook ห น้ า 193

Ex กาหนดสมการจุดประสงค์คือ P = 3x – 2y และสมการข้อจากัดคือ y 5, x 0, x+y 10


จงหาค่าสูงสุดของ P

วิธีทา จุด A อยู่ที่ (0,5) เกิดจาก คือ y 5, x 0

จุด B อยู่ที่จุด (0,10) เกิดจาก x = 0 ตัดกับ x+y=10

0 + y = 10

y = 10 เมื่อ y = 10 x = 0

จุด C อยู่ที่ (5,5) เกิดจาก y = 5 ตัดกับ x+y=10

x + 5 = 10

x = 5 เมื่อ x = 5 แล้ว y = 5

วิธีทาที่ 1 แทนค่าลงไปในแต่ละจุด

จุดมุม P = 3x – 2y
A(0,5) 3(0) – 2(5) = –10
B(0,10) 3(0) – 2(10) = –20
C(5,5) 3(5) – 2(5) = 5

P สูงสุดเมื่อ x = 5 y = 5 โดยที่ P = 5
Math Kit Ebook ห น้ า 194

วิธีทาที่ 2 จัดรูปหาความชัน

ขั้นที่ 1 จัดรูปเพื่อให้สามารถหาความชันได้ในสมการจุดประสงค์

P = 3x – 2y

2y = 3x – P

y= x–

ขั้นที่ 2 กาหนดจุด 2 จุดโดยที่จุดแรก

อยู่เหนือกราฟบริเวณใดก็ได้ จุดที่ 2อยู่ใต้กราฟบริเวณใดก็ได้

กาหนดจุด H (–4,5) แทนลงในสมการจุดประสงค์จะได้ว่า

P = 3(–4) – 2(5) = –22

กาหนดจุด O (–3,–6) แทนลงในสมการจุดประสงค์จะได้ว่า

P = 3(–3) – 2(–6) = 3

จากตรวจสอบพบว่าเมื่อจุดใดๆที่อยู่ใต้กราฟจุดประสงค์จะมีค่ามาก

ขั้นตอนที่ 3 ให้เลื่อนกราฟเพื่อหาคาตาแหน่งที่ต้องการ

จากสมการจุดประสงค์ให้เลื่อนกราฟจากบริเวณมากไปน้อยดังรูปข้างต้นเมื่อสมการจุดประสงค์จะ

ตัดที่จุด C เป็นจุดแรก แสดงว่าจุด C มีค่าวสูงสุด


Math Kit Ebook ห น้ า 195

ข้อควรระวังเมื่อใช้วิธีทาที่ 2 จัดรูปหาความชัน

รูปแบบการเลื่อนเพื่อหาตาแหน่งในโจทย์แต่ละข้อจะได้วิธีทาที่ไม่เหมือนกัน

Ex กาหนดสมการจุดประสงค์คือ P = 3x – 2y และสมการข้อจากัดคือ y 5, x 0, x+y 10


จงหาต่าของ P
วิธีจากโจทย์เราไม่สามารถใช้วิธีการเลื่อนแบบเดิมได้เพราะการเลื่อนตาแหน่ง
จากตาแหน่งมากมาน้อย เพื่อหาจุดสูงสุด เมื่อสมการจุดประสงค์ตัดที่จุดแรกใดในพื้นที่

ให้โจทย์ข้อนี้
จากตาแหน่งน้อยมามาย เพื่อหาจุดต่าสุด เมื่อสมการจุดประสงค์ตัดที่จุดแรกใดในพื้นที่

ดังนั้นจุด B จึงมีค่าต่าสุด
Math Kit Ebook ห น้ า 196

ตัวอย่างที่ 1 กาหนด P = ax + 2y และมีเงื่อนไขดังนี้

2x + y ≥ 50

x+2 ≥70

x ≥ 0 , y≥0

ถ้าค่าสูงสุดของ P เท่ากับ 100 แล้วค่า a เท่ากับค่าในข้อใดต่อไปนี้ (Ent 44 มีนาฯ)

1.1 2.2 3.4 4.6

วิธีทา ขั้นแรกให้วาดกราฟ

จุดที่กราฟทั้ง 2 กราฟตัดกันคือ
2x+y=50 ––––– (1)
x+2y=70 ––––– (2)
(1)×2 4x+2y=100 –– (3)
(3) – (2) 3x = 30
x = 10
y=3

เนื่องจาก สมการจุดประสงค์เราไม่สามารถหาความชันได้เนื่องจากติดค่า a

(x,y) P = ax + 2y P
(0,0) a(0)+2(0) 0
(0,35) a(0)+2(35) 70
(25,0) a(25)+2(0) 25a
(10,30) a(10)+2(30) 10a+60
ดังนั้นค่า P สูงสุดจะเกิดขึ้นที่จุด (10,30)

P = 10a + 60

100 = 10a + 60

40 = 10a

a =4

ดังนั้น ตอบข้อ 2
Math Kit Ebook ห น้ า 197

ตัวอย่างที่ 2 กาหนดฟังก์ชันจุดประสงค์และอสมการข้อจากัดดังนี้

C = 40x +32y

6x + 2y 12

2x + 2y 8

4x +12y 24

ค่าต่าสุดของ C เท่ากับเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (Ent)

1. 108 2.112 3.136 4.152

วิธีทา (ใช้วิธีตรวจสอบด้วยความชัน) ขั้นแรกให้วาดกราฟ

6x + 2y = 12 ตัดแกนที่ (0,6) (2,0)


2x + 2y = 8 ตัดแกนที่ (0,4) (4,0)
4x +12y = 24 ตัดแกนที่ (0,2) (6,0)

หาจุด X หาจุด Y หาจุด Z


เกิดจาก 6x+2y = 12 ––– (1) เกิดจาก 2x+2y = 8 ––– (1) เกิดจาก 6x+2y = 12 ––– (1)
ตัดกับ 2x+2y = 8 ––– (2) ตัดกับ 4x+12y = 24 ––– ตัดกับ 4x+12y = 24 –––
(1) – (2) 4x = 4 (2) (2)
x=1 (2) – 2(1) 8y = 8 (2) – 6(1) –32x = –48
แทน x ใน (2) 2(1)+2y = 8 y =1 x= หรือ x =
2y = 6 แทน y ใน (1) 2x+2(1)=8 แทน x ใน (1) 6( )+2y = 12
y=3 2x = 6 9 + 2y = 12
จุดตัด (1,3) x=3 y=
จุดตัด (3,1)
จุดตัด ( , )
ตรวจสอบด้วยความชัน จัดรูป C = 40x +32y ให้อยู่ในรูปของสมการความชัน

y =− x+ C ความชัน m = − หรือ −
Math Kit Ebook ห น้ า 198

ตรวจสอบกราฟ สมการจุดประสงค์

ดังนั้นเพื่อให้ได้ค่าน้อยที่สุด ต้องเลื่อนกราฟจากด้านล่างเมื่อกราฟสมการตัดประสงค์ตัด

จุดใดเป็นจุดแรกแสดงว่าจุดนั้นเป็นค่าน้อยสุด

เลื่อนกราฟสมการจุดประสงค์

จากการตรวจสอบด้วยความชันพบว่าสมการ
จุดประสงค์ที่จุด Z เป็นจุดแรกดังนั้นจุด Z จึงมี
ค่าน้อยสุด

นาพิกัดของ Z มาแทนลงในสมการจุดประสงค์จะได้คาตอบ

C = 40( ) +32( )

= 108

ดังนั้น ตอบ ข้อ 1


Math Kit Ebook ห น้ า 199

เราสามารถจาแนกเรื่องบทเรียนคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

กลุ่มทั่วไป เซต, ตรรกศาสตร์, จานวนจริง, ความน่าจะเป็น, ฟังก์ชัน

กลุ่มที่ไม่ค่อยผสมเรื่องอื่น กาหนดการเชิงเส้น, ทฤษฎีกราฟ, สถิติ

กลุ่มที่เนื้อหาค่อนข้างยาก ตรีโกณมิติ, จานวนเชิงซ้อน, เวกเตอร์, ภาคตัดกรวย

กลุ่มที่สามารถประยุกต์ได้หลายๆ แนว เมตริกซ์, อนุกรม, expo+log, แคลคูลัส

สาหรับการเตรียมตัวสอบ ผมอยากจะให้เตรียมตัวก่อนสอบในโรงเรียนประมาณ 2

สัปดาห์ก่อนสอบโดยการอ่านหนังสือของ สสวท เพื่อเป็นการทบทวนพื้นฐาน พร้อมกับทาโจทย์

ข้อสอบเก่าของโรงเรียนประมาณ 2 – 3 ปีย้อนหลังเพื่อเห็นลักษณะข้อสอบ ข้อสอบโดยส่วนใหญ่

จะออกใกล้เคียงของเดิม แต่อาจจะมีบ้างในบางปีที่รูปแบบข้อสอบบางข้อที่ไม่เหมือนปกติ อาจจะ

เป็นการเอาข้อสอบจากภายนอกมาออก ถ้าเป็นข้อสอบแสดงวิธีทา ให้แสดงวิธีทาให้ละเอียด เพื่อ

ทั้งในการตรวจสอบคาตอบ ถ้าเป็นข้อสอบแบบพิสูจน์ ให้อ้างถึงทฤษฎีบท หรือนิยาม ต่างๆใน

ละเอียด ซึ่งนิยามและทฤษฎีบท ดูได้จากหนังสือของ สสวท

สาหรับการเตรียมตัวสอบคัดเลือก ควรเตรียมตัวประมาณ 4 – 6 เดือนก่อนสอบ โดยการ

อ่านทั้งหนังสือ สสวท และ หนังสือสรุปเนื้อหาโดยต้องอิงหนังสือ สสวท ตามไปด้วย เพราะ

หนังสือสรุปอาจจะสรุปข้ามบางเนื้อหา ข้อสอบคัดเลือกส่วนใหญ่จะออกข้อสอบโดยอ้างอิงเนื้อหา

จากหนังสือของ สสวท พร้อมทั้งทาข้อสอบเก่าประมาณ 5 – 10 ปีย้อนหลังของข้อสอบระบบ

กลางหรือข้อสอบที่ยากกว่าข้อสอบระบบกลาง ถ้าหากมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามที่ชุมชน

คณิตศาสตร์ได้ที่ http://www.mathcenter.net/forum/

สาหรับหนังสือเล่มนี้ ได้สรุปเนื้อหาจากหนังสือ สสวท แต่การสรุปใช้ประสบการณ์ส่วนตัว

ที่เน้นเนื้อหาแต่ละบทที่ไม่เหมือนกัน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสรุปเนื้อหา จะเน้นการสรุปเนื้อหา

เป็นหลัก ส่วนโจทย์ในหนังสือหนังสือก็ได้นาบางจากข้อสอบเก่า และเป็นแบบฝึกหัดที่ผู้เขียน

จัดทาขึ้นเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของผู้อ่าน ดังนั้นการเพิ่มความเข้าใจหรือพื้นฐานสาคัญก็มาจาก

หนังสือของ สสวท อย่าลืมอ่านหนังสือของ สสวท ควบคู่กับการอ่านหนังสือเล่มนี้


Math Kit Ebook ห น้ า 200

ข้าพเจ้า ในนามผู้เขียน ขอบพระคุณทุกท่านในการติดตามเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จนจบ

เล่ม ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือสรุปแก่นคณิตศาสตร์ ม.ปลาย จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน ไม่มากก็

น้อย หากหนังสือเล่มนี้มีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ทางผู้เขียนจะรีบ

ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด ท่านสามารถแจ้งข้อผิดพลาดได้ที่ webinfo@karmins.com

ผลงานเขียนสรุปแก่นคณิตศาสตร์ ม.ปลาย (MATH KIT EBOOK) เป็นหนังสือ

อิเล็กทรอนิกส์ที่ทาขึ้นโดยวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความรู้ ความสามารถ ของผู้ที่มีความสนใจ ซึ่ง

ทางผู้เขียนแจกฟรีในทุกช่องทาง และจะพัฒนาต่อไปให้ดียิ่งขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการพัฒนาหนังสือต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา

MATH KIT EBOOK เพื่อให้หนังสือเล่มนี้ได้มีการพัฒนาปรับปรุงให้สอดคล้องกับหลักสูตรต่อไป

ท่านผู้อ่าน หากท่านเห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นประโยชน์ก็สามารถบริจาคเงินในการสนับสนุนการ

พัฒนาหนังสือเล่มนี้ต่อไป ท่านสามารถให้ความสนับสนุนได้ โดยอุทิศเงินเพียงเล็กน้อย ตามความ

ประสงค์

บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย
เลขที่บัญชี 081–2–76272–9
ชื่อบัญชี คณิน อังศุนิตย์

ท่านที่แจ้งรหัสการนาฝากหรือโอนมายังอีเมล์ webinfo@karmins.com ในนามของ

ผู้เขียน เงินสนับสนุนของท่านที่ท่านเสียสละในการพัฒนาหนังสือสื่อเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ

สังคม สืบต่อไป

ขอขอบพระคุณ

อาจารย์ยุทธนา เฉลิมเกียรติสกุล

อาจารย์สุวรีย์ เมธาวีวินิจ

You might also like