Professional Documents
Culture Documents
ปลาย
Math Kit Ebook
สรุปแก่นคณิตศาสตร์ม.ปลาย
คณิน อังศุนิตย์ เขียน
ภาพประกอบ
เผยแพร่โดย ขมิ้นศรีพัฒนาการ
รหัสหนังสือ KRM-MATH-56-12-B1-8
ของผู้เขียน
หนังสือประกอบการเรียน ทางคณะผู้จด
ั ทา ได้จัดทาขึ้นเพื่อ นักเรียนใน
สูตรต่างๆ ทีจ
่ าเป็น พร้อมทัง้ คาแนะนา ความรู้เพิ่มเติมที่นักเรียนควรทราบในการ
เนื้อหาที่ออกสอบ
ด้วยความปรารถนาดี
คณิน อังศุนต
ิ ย์
การจัดวางเนื้อหา
Math Kit Ebook
Math Kit Ebook
เนื้อหาภายในเล่ม
เกี่ยวกับการเรียนคณิตศาสตร์
จะเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา สาหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะเรียนต่อในระดับ
กาหนดการเชิงเส้น ความน่าจะเป็น
ดังนั้นการปูพื้นฐานก่อนที่จะศึกษาในระดับที่สูงยิ่งขึ้นจึงเป็นปัจจัยสาคัญ ในการเรียนต่อ
เกิดขึ้น
แนวโน้มของข้อสอบคัดเลือกโดยเฉลี่ยจะยากขึ้นทุกปี ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนระดับในการคัดเลือก
จึงต้องศึกษาในแนวทางในการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป ในบางสาขาวิชาอาจจะใช้เพียง
เพื่อให้ทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นมาเหมือนกับหนังสือโดยทั่วไป แต่เราใช้ทั้งหัวใจในการ
ประดิษฐ์และสร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ถ้าหากหนังสือเล่มนี้มี
ข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
Math Kit EBook ห น้ า 7
บทที่ 1 เซต
พื้นฐาน Set
ประเภทของเซต เซตจากัด
การเท่ากันของเซต เซตอนันต์
เอกภพสัมพัทธ์
ข้อควรระวัง หากไม่กาหนดเอกภพสัมพัทธ์ เอกภพสัมพัทธ์ จะเป็นจานวนจริง
สับเซตและเพาเวอร์เซต
การดาเนินการทาง Set
ยูเนียน
อินเตอร์เซกชัน
ผลต่าง
คอมพลีเมนต์
การหาจานวนสมาชิก
วาดแผนภาพเวนน์ออยเลอร์
ใช้สูตร
การประยุกต์เซต
เราใช้เซตในการศึกษากลุม
่ สิง่ ต่างๆทีเ่ ราสนใจ เช่น เซต
ชื่อเดือน เซตจานวนที่ 6 เป็นพหุคูณ เซตจานวนนับ ฯลฯ เซต
ถูกใช้งานในการแก้ปัญหาจานวนสมาชิกในชีวิตประจาวัน
Math Kit EBook ห น้ า 8
สัมพัทธ์ คือเซตของจานวนจริง
การเขียนเซต EX เซตของสระในภาษาอังกฤษ
1. {a,e,i,o,u}
1.การเขียนแจกแจงสมาชิก
2. {x | x เป็นสมาชิกในสระในภาษาอังกฤษ}
2.การเขียนแบบบอกเงื่อนไข
ประเภทของเซต EX
ความสัมพันธ์ระหว่างเซต
1.การเท่ากันของเซต
เซต A จะเท่ากับ เซต B ก็ต่อเมื่อเซตทัง้ สองมีสมาชิกเหมือนกันทุกตัว และมีจานวนสมาชิกเท่ากัน
Ex กาหนดให้ A = {1,4,6} B={1,1,1,4,6} จงพิจารณาว่าทั้งสองเซตเท่ากันหรือไม่
ทั้งเซต A และ B เท่ากันเพราะว่าเซต B มีสมาชิกทีซ
่ ้ากันถือว่าเป็นตัวเดียว กล่าวคือสมาชิกของ B
คือ {1,4,6} ดังนั้นทั้งสองเซตจึงเท่ากัน
2.สับเซต
เซต A จะเป็นสับเซตของเซต B ได้ก็ตอ
่ เมื่อ สมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B เราสามารถเขียน
ในรูปสัญลักษณ์ได้ดังนี้ A B แต่ถ้า เซต A และ B ไม่เป็นสับเซตให้เขียนด้วย A B
2.อินเตอร์เซกชัน
A B A B A B คือเซตที่ประกอบไปด้วยสมาชิก A
และ B คือ{2}
3.ผลต่าง
A – B คือสมาชิกทั้งหมดของ A ที่ไม่ได้
เป็นสมาชิกของ B จะได้ {1}
A B A 4.คอมพลีเมนต์
คือเซตตัวอื่นที่ประกอบอยู่ในเอกภพ
สัมพัทธ์ แต่ไม่ได้อยู่ในที่เราสนใจ เช่น
A คือไม่เอาสมาชิกทั้งหมดของ A
คือ {3,4,5}
Math Kit EBook ห น้ า 11
คุณสมบัติการดาเนินการทางเซต สูตรการหาจานวนสมาชิก
A–B=A B =B –A 2 เซต n(A B) = n(A) + n(B) n(A B)
(A B) = A B 3 เซต n(A B C)
(A B) = A B = n(A) + n(B) + n(C)
A (B C) = (A B) (A C) n(A B) n(A C) n(B C)
+ n(A B C)
สูตรการจัดรูปสับเซตและเพาเวอร์เซต
{A} B A B
{A} P(B) A (B)
{A} P(B) A (B)
วิธีทา พิจารณา
ข้อ 1 A B = {{1,2}} ผิดเพราะ {{1,2}} ไม่ได้อยู่ใน A
ข้อ 2 A B = {{1,2},{1,2,3}} ผิดเพราะ ขาด {1,2,3}
ข้อ 3 A – B ={{1,2,3},3} ถูกเพราะจานวนสมาชิก 2 ตัวของ A ซ้ากับ B
ข้อ 4 B – A = ผิดเพราะ {{1,2}} ไม่ได้อยู่ใน A ดังนั้น B – A = {{1,2}}
ดังนั้นข้อนี้จึงตอบข้อ 3
วิธีทา พิจารณา
ข้อ 1 ถูก มี B บางส่วนไม่ได้อยู่ใน A ส่วนดังกล่าวจึงเป็นสับเซตของ B
ข้อ 2 ผิด เพราะ นอก B เป็นเซตว่าง A =
ข้อ 3 ถูกเพราะ A เป็นส่วนหนึ่งของ B เมื่อนาส่วนที่ใหญ่กว่ามา จึงตอบเซตทีเ่ ล็กกว่า
ข้อ 4 ถูกเมื่อ ถ้า A = B แล้ว A B จึงทาให้ A B=B
ดังนั้นข้อนี้จึงตอบข้อ 2
Math Kit EBook ห น้ า 12
แล้ว (A – B) (B – A) จะมีจานวนสมาชิก
(A – B) (B – A) ={ ,1,2,3,4,5,6,{1},{2,3},{4,5,6}}
n((A–B) (B–A)) = 10
=7+3
= 10
1.(A B) (D C) 2. (A B) (C D)
3.(A B) (D C) 4. (A B) (D )
วิธีทา (A C) – (B D) = (A C) (B D)
= (A C) (B D )
= (A B) (D C)
= (A B) (D )
ตอบ ข้อ 4
B = {0,1, , , ,…}
แล้ว (A C) – B มีจานวนสมาชิกเท่าใด
Math Kit EBook ห น้ า 13
ดังนั้นเราจะได้ว่า (A C) – B = { – 1}
ก. A P{B}
ค. จานวนสมาชิกของ P(A B) = 2
P(B) = { , {0}, {{1}} ,{{0, 1}}, {0, {1}}, {0, {{0,1}}}, {{1}, {0,1}}, {0,{1}, {0,1}}}
ตอบ ข้อ 3
Math Kit EBook ห น้ า 14
มีพนักงานชอบดื่มชาเขียว จานวน 80 คน
มีพนักงานชอบดื่มน้าผลไม้รวมจานวน 140 คน
จงหาค่ามีจานวนพนักงานที่ชอบดื่มเพียงชนิดเดียว
วิธีทา
x = 20
มีนักเรียนชอบวิชาสังคมจานวน 40 คน
มีนักเรียนชอบวิชารายได้ประชาชาติจานวน 30 คน
มีนักเรียนชอบวิชาบัญชีในชีวิตประจาวันจานวน 20 คน
มีนักเรียนที่ไม่ชอบทั้ง 3 วิชาจานวน 10 คน
มีนักเรียนที่ชอบวิชาสังคมเพียงวิชาเดียว 30 คน
มีนักเรียนที่ชอบวิชาสังคมและบัญชี 5 คน
มีนักเรียนที่ชอบบัญชี เพียงอย่างเดียว 10 คน
จงหาจานวนนักเรียนที่ชอบทั้ง 3 วิชา
วิธีทา
จากข้อมูลที่โจทย์กาหนด นาข้อมูลโจทย์มาหาส่วนที่เหลือ
75 – x = 72
75 – 72 = x
x=3
ดังนั้นนักเรียนที่ชอบเรียนทั้ง 3 วิชามีจานวน 3 คน
Math Kit EBook ห น้ า 16
บทที่ 2 ตรรกศาสตร์
ประพจน์และการเชื่อมประพจน์
หรือ เป็นเท็จเพียงกรณีเดียวคือ เท็จหรือเท็จ ได้เท็จ ค่าความจริงเป็นจริงง่าย
และ เป็นจริงเพียงกรณีเดียวคือ จริงและจริง ได้จริง ค่าความจริงเป็นจริงยาก
ถ้า... แล้ว... เป็นเท็จเพียงกรณีเดียวคือ ถ้า จริง แล้วเท็จ ได้เท็จ
ก็ต่อเมื่อ เป็นจริงต่อเมื่อ ตัวหน้าและตัวหลังเหมือนกัน
สมมูล
ประพจน์ที่มีค่าความจริงเหมือนกัน
สัจนิรันดร์ / สมเหตุสมผล
ประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริงทุกกรณี
ตัวบ่งปริมาณ อุปนัย
บทตรรกศาสตร์เป็นบททีใ่ กล้เคียงกับเซตมากทีส
่ ด
ุ บทหนึง่ การดาเนินทางทางเซต เราสามารถใช้
แทนการดาเนินการของตรรกศาสตร์บางตัวได้
ตรรกศาสตร์ เซต
ค่าความจริงเป็นจริง
ค่าความจริงเป็นเท็จ
(และ)
(หรือ)
(นิเสธ) (คอมพลีเมนต์)
ตัวเชื่อมของประพจน์แบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ
1. และ (and)
2. หรือ (or)
3. ถ้าแล้ว (if… then …)
4. ก็ต่อเมื่อ (… if and only if ..)
นิเสธ คือ ค่าความจริงจะตรงข้ามกัน
สัจนิรน
ั ดร์ (Tautology) คือประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริงทุกกรณี
การตรวจสอบ ว่าเป็นสัจนิรน
ั ดร์หรือไม่
1. เขียนตารางค่าความจริง
2. สมมติให้ประพจน์มีค่าความจริงเป็นเท็จ แล้วตรวจสอบว่าขัดแย้งหรือไม่ ถ้าขัดแย้งแสดงว่าเป็นสัจ
นิรันดร์
3. a b เป็นสัจนิรันดร์ก็ต่อเมือ
่ a b
Math Kit EBook ห น้ า 18
1. p q มีค่าความจริงเป็นจริง 2. q r มีค่าความจริงเป็นจริง
3. r s มีค่าความจริงเป็นเท็จ 4. s p มีค่าความจริงเป็นเท็จ
เท็จ
p เป็นจริง
q เป็นจริง
r เป็นเท็จ
s เป็นเท็จ
การอ้างเหตุผล Ex เหตุ
ให้ P1,P2,P3,…,Pn เป็นเหตุ และ C เป็นผล 1. P Q
การอ้างเหตุผลจะสมเหตุสมผลก็ต่อเมือ
่ 2. Q
[P1 P ,P3 … Pn] C เป็นสัจนิรันดร์ ผล P
วิธีทาให้
เหตุ 1. P Q T
2. Q T
ผล P F
จากเหตุ Q เป็นเท็จ
ทาให้เหตุอันที่ 1 ขัดแย้ง
ข้อนี้จงึ สมเหตุสมผล
ตัวบ่งปริมาณ (Quantifier)
เป็นข้อความที่ใช้บ่งบอกจานวนตัวแปรในประโยคเปิด โดยเกี่ยวข้องกับสมาชิกในเอกภพ
สัมพัทธ์ มีทั้งหมด 2 ชนิดคือ
1. Universal Quantifier เป็นตัวบ่งปริมาณทั้งหมดของสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ์ ใช้
Ex 1 x[x+1 > 3] { }
ประพจน์นี้มค
ี ่าความจริง เป็นจริงเนื่องจากทั้ง 4 ,5 และ 6 นาไปบวก 1 ซึ่งทุกตัวมีค่า
มากกว่า 3
Ex 2 x[3x+1 > 5 ] = I+
ประพจน์นี้มีค่าความจริงเป็นเท็จ เมื่อถ้า x = 1
กรณีใดก็ตามเป็นจริงเพียงกรณีเดียวก็มีค่าความจริงเป็นจริง ในทางกลับกันถ้าทุกกรณีเป็น
เท็จ ค่าความจริงจะมีค่าเป็นเท็จ
Math Kit EBook ห น้ า 20
การหาค่าความจริงของตัวบ่งปริมาณ 2 ตัว
ง่าย
ก็มค
ี ่าความความจริงของตัวบ่งปริมาณเป็นเท็จทันที
เดียว ก็จะทาให้ค่าความความจริงของตัวบ่งปริมาณเป็นจริงทันที
นิเสธของตัวบ่งปริมาณ
~ x[P(x)] x[~P(x)]
~ x[P(x)] x[~P(x)]
วิธีทา ให้พิจารณาคาตอบของสมการ x2 – x + 6= 0
เนื่องจากสมการดังกล่าวไม่สามารถแยกตัวประกอบ เราสามารถใช้ตัวเลขที่โจทย์กาหนด
แทนลงในสมการเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
(–1)2 + 1 + 6 = 7
(1)2 – 1 + 6 = 6
(2)2 – 2 + 6 = 8
ดังนั้นค่าความจริงจึงเป็นเท็จ
Math Kit EBook ห น้ า 22
ประพจน์ (p q) (r s) มีค่าความจริงเป็นเท็จ
ประพจน์ p r มีค่าความจริงเป็นจริง
1. (p q) (q r) 2.q [p (q ~r)]
3. (p s) (r q) 4. (r s) [q (p r)]
เท็จเนื่องจาก T F F
ดังนั้น q จึงมีค่าความจริงเป็นเท็จ
ตอบ ข้อ 2
Math Kit EBook ห น้ า 23
วิธีทา ขั้นแรกให้กระจายนิเสธจะว่า
[(p q) v (p ~r)]
[(p (q v ~r)]
ตอบ ข้อ 2
ตอบ ข้อ 3
Math Kit EBook ห น้ า 24
การให้เหตุผล (เลขพื้นฐาน)
ส่วนประกอบของการให้เหตุผลแบ่งเป็น 2 แบบดังนี้
ประเภทของการให้เหตุผล
ข้อสังเกตของการให้เหตุผลแบบอุปนัย
1. ข้อสรุปของอุปนัย ไม่จาเป็นต้องเป็นจริงเสมอไป
2. ข้อสรุปของอุปนัยสามารถเกิดขึ้นได้มากกว่า 1 คาตอบ
3. ข้อสรุปของอุปนัยสามารถเกิดความผิดพลาดได้สูง
2.ห่านตัวนั้นก็สีขาว
3.ห่านตัวโน้นก็สีขาว
2.คอมพิวเตอร์พกพาใช้ไฟฟ้า
3.คอมพิวเตอร์ในสานักงานใช้ไฟฟ้า
การให้เหตุผลแบบนิรนัย(Deductive reasoning)เป็นการนาความรู้พื้นฐานที่อาจเป็น
นาไปสู่ข้อสรุป
ข้อสังเกตของการให้เหตุผลแบบนิรนัย
3. ข้อสรุปของนิรนัยไม่ได้เป็นจริงทุกกรณีเสมอไป
2.มนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิต
3.สิ่งมีชีวิตต้องการอากาศหายใจ
2.จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว
3.จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบนิรนัยจะให้ความแน่นอน แต่การให้เหตุผลแบบ
อุปนัย จะให้ความน่าจะเป็น
วิธีการตรวจสอบว่าข้อสรุปสมเหตุสมผลหรือไม่
เพียงกรณีเดียวที่ไม่สมเหตุสมผล แสดงว่าข้อสรุปนั้นไม่สมเหตุสมผล
Math Kit EBook ห น้ า 26
2.แมวบางตัวมีหนวด
ข้อสรุป แมวทุกตัวเป็นมนุษย์
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
วิธีทา วาดแผนภาพ
จากแผนภาพพบว่ามีแมวบางตัวที่มีหนวดแต่ไม่ใช่มนุษย์และแมวบางตัวไม่มีหนวด
2.นายกฤษฎา เป็นคนไทย
3.นายกฤษฎา อายุ 17 ปี
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
วิธีทา วาดแผนภาพ
จากแผนภาพคนไทยและมีบัตรประชาชนมีนายกฤษฎา
ตัวอย่างที่ 3 .จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วระบุว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
เหตุ ชาวนาบางคนรวย
คนรวยบางคนเป็นคนดี
ผล คนรวยบางคนไม่เป็นชาวนาและไม่เป็นคนดี
ตอบไม่สมเหตุสมผลเพราะมีกรณีที่เป็นเท็จ
Math Kit EBook ห น้ า 28
บทที่ 3 จานวนจริงและทฤษฏีจานวน
การแก้สมการ
แยกตัวประกอบ
กาลัง 2
มากกว่ากาลัง 2 −𝑏 ± 𝑏2 − 𝑎𝑐
ใช้สูตร
𝑎
จับคู่ดึงตัวร่วม
หารสังเคราะห์
การแก้อสมการ
แยกตัวประกอบ
เขียนเส้นจานวน ระวังเรื่องการใส่เครื่องหมาย
ค่าสัมบูรณ์
|x|≤a -a ≤ x ≤ a
|x|≥a x ≥ a หรือ x ≤ -a
รูปแบบอืน
่ ๆแยกช่วงคิด
ทฤษฎีจานวน
ห.ร.ม. ใช้วิธีของยูคลิด
ค.ร.น. ใช้หารสั้น
จานวนจริง เป็นจานวนที่ใช้อยู่ในชีวิตประจาวันของเราซึ่ง
มีทั้งจานวนบวก จานวนลบ หรือแม้แต่จานวนเต็มศูนย์
Math Kit EBook ห น้ า 29
จานวนเต็ม ประกอบไปด้วยจานวนเต็ม
จานวนจริง บวก จานวนเต็มศูนย์ จานวนเต็มลบ
จานวนนับ หรือจานวนเต็มบวก
ได้แก่ 1,2,3,...
จานวนตรรกยะ จานวนอตรรกยะ
จานวนอตรรกยะคือจานวนที่ไม่สามารถ
เขียนในรูปเศษส่วนได้ เช่น
6.5123...,e,
สมบัติของจานวนจริง
แจกแจง a (b+c) = a b + a c
ความรูเ้ สริม
การดาเนินการด้วย Operation
คานวณเพื่อให้ได้ค่า
จาก a*e = 4a + 2e –1
4a + 2e − 1 = a
2e = 1 – 3a
e = 1 – 3a
2
ตอบ 1 – 3a
2
Math Kit EBook ห น้ า 31
สมการกาลังสองมีรูปทั่วไป คือ
ax2 + bx + c = 0 เมื่อ x เป็นตัวแปร และ a,b,c เป็นค่าคงที่และ a ไม่เป็น 0
การแก้สมการกาลังสอง
1. การสมการโดยการแยกตัวประกอบ
− ± 2−
2. ใช้สูตร
ข้อสังเกต
ถ้า b2 4ac > 0 สมการจะมี 2 คาตอบ
ถ้า b2 4ac = 0 สมการจะมี 2 คาตอบที่เหมือนกัน
ถ้า b2 4ac < 0 สมการไม่มีคาตอบเป็นจานวนจริง
คาตอบของสมการจะเป็นจานวนเชิงซ้อน
การแก้สมการพหุนามดีกรีตั้งแต่กาลัง 3 ขึ้นไป
x2(x – 2) – 6(x – 2) = 0
(x2 – 6)(x – 2) = 0
(x – )(x + )(x – 2) = 0
x=– ,2,
ความรู้เสริม
วิธีที่ 2 ใช้ทฤษฏีเศษเหลือและหารสังเคราะห์
หลักการแก้โจทย์คือ
Ex x3 + 4x2 – 7x – 10 = 0
จริง แล้วนาตัวเลขนั้นไปหารสังเคราะห์
ตัวเลขที่สุ่มไปแทนต้องหารตัวเลข ตัว
สุดท้ายของโจทย์ลงตัว การสุ่มเราต้องสุ่ม
ทั้งค่าบวกและลบ
เมื่อทราบว่าใดหารลงตัว แล้วนา
สัมประสิทธิ์จากโจทย์มาเป็นตัวตั้งแล้ว
หารด้วยจานวนนั้น
(x – 2)(x2 + 6x + 5) = 0
(x – 2)(x + 5)(x + 1)=0
x = 2 , –5 , –1
ข้อควรรู้
(น+ล)3 = น3 + ล3 + 3นล(น+ล)
(น−ล)3 = น3 − ล3 − 3นล(น−ล)
Math Kit EBook ห น้ า 33
ช่วงและการแก้อสมการ
หลักการแก้อสมการ
เครื่องหมาย
2. ย้ายข้างจนกว่าด้านหนึ่งจะกลายเป็น 0 และแยกตัวประกอบ
4. ใส่เครื่องหมายเป็นเส้นจานวน
Ex จงแก้อสมการต่อไปนี้ x2 – 6x + 2 > –7
เลขลงไปจึงจะทราบ ช่วงจะเป็น
บวกหรือลบ
+ 3 +
ตัวอย่างที่ 3 จงเขียนเส้นจานวนของอสมการต่อไปนี้
บวกเสมอแต่ในทางกลับกัน ถ้านาช่วงที่นอ
้ ยกว่า 3 หรือ มากกว่า 5 ไปแทนลงในสมการจะทาให้สมการได้
คาตอบเป็นจานวนลบเสมอ
จานวนบวกเสมอ
3.(7 – x)2(x + 3) ≤ 0
− − − 2
4. ≥0
−
−
<0
−
−
<0
−
ค่าสัมบูรณ์
การแก้อสมการค่าสมบูรณ์ตัวเดียว การแก้อสมการค่าสมบูรณ์สองตัว
|x|≤a –a ≤ x ≤ a | x | เครื่องหมายอสมการ | a | ให้ยกกาลังสองทัง้
ตัวอย่าง สองข้าง
|x–3|<5 ตัวอย่าง
–5 < x – 3 < 5 | 4x + 3 | > | 3x – 1 |
–2 < x < 8 (4x + 3)2 > (3x – 1)2
|x|≥a x ≥ a หรือ x ≤ –a (4x + 3)2 – (3x – 1)2 > 0
ตัวอย่าง (4x + 3 – 3x + 1)(4x + 3 + 3x – 1) > 0
|x–2|>7 (x + 4)(7x + 2) > 0
x – 2 > 7 หรือ x – 2 < –7
x > 9 หรือ x < –5
+ –4 - – +
Math Kit EBook ห น้ า 36
การแก้อสมการค่าสมบูรณ์รูปแบบอื่นๆ
ตัวอย่าง |x–3|+|x–1|≤2
x ≤ 1 1≤x≤3 x≥3
นาคาตอบที่ได้มา – (x – 3) – (x – 1) ≤ 2 –(x – 3) + (x – 1) ≤ 2 (x – 3)+(x – 1) ≤ 2
หารร่วมมากและคูณร่วมน้อย
หารร่วมมากคือจานวนเต็มบวกที่มีค่ามากที่สุดซึ่งหารจานวนที่เราสนใจอย่างน้อย 2 ตัวลงตัว
หรือจะกล่าวตามนิยามว่า เมือ
่ กาหนด d เป็นตัวหารร่วมมากของ a และ b ซึ่ง a หรือ b ห้ามเป็น 0ก็
อย่าสับสนกับเรื่องช่วงของอสมการนะครับ
Ex จงหาห.ร.ม. ของ 146 และ 192
146 = 48(3) + 2
48 = 2(24) + 0
ห.ร.ม.ของ 146 และ 192 คือ 2 เพราะ 2 คือจานวนเต็มบวกที่มีค่ามากที่สุดที่หารทั้ง 146 และ 192 ลงตัว
คูณร่วมน้อยคือจานวนเต็มบวกซึ่งมีค่าน้อยที่สุดถูกหารด้วยที่จานวนที่เราสนใจอย่างน้อย 2 ตัวลง
อย่าสับสนกับเรื่องช่วงของอสมการนะครับ
2×17×56 = 1904
ตัวอย่างที่ 5
กาหนดให้ S = , | 2−
≥ 2− - ช่วงใดต่อไปนี้เป็นสับเซตของ S (PAT1)
วิธีทา − −
≥ −
≥
(-∞,-4) (-1,1) (2, ∞)
≥
นาไปยกกาลังสองแล้วจะมีค่าเท่ากับ 1
ไปด้วย
ตอบ ข้อ 2
Math Kit EBook ห น้ า 39
– (x + 2) < x2 + x – 2 x2 + x – 2 < x + 2
0 < x2 + 2x x2 < 4
0 < x(x + 2) x < –2,2
นาทั้งสองช่วงมาอินเตอร์เซกชันกัน
ดังนั้นตอบ 2
บทที่ 4 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
ความสัมพันธ์
ผลคูณคาร์ทีเชียน A x B = {(x,y) | x Ay B}
โดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์
อินเวอร์สของความสัมพันธ์ หรือตัวผกผันของความสัมพันธ์
สลับที่ x กับ y
ฟังก์ชัน y = f(x)
ประเภทของฟังก์ชัน
ฟังก์ชัน A ไป B (into function) Df = A Rf B
สลับที่ x กับ y
ตรวจสอบว่าฟังก์ชันหรือไม่
ฟังก์ชันประกอบ
gof(x) = g(f(x) แทนค่า f(x) ลงใน g(x)
ฟังก์ชันเอกลักษณ์ fof-1(x) = x
การดาเนินการของฟังก์ชัน
(f+g)(x) = f(x) + g(x) ; Df+g = Df Dg
(f-g)(x) = f(x) – g(x) ; Df-g = Df Dg
(f⋅g)(x) = f(x) ⋅ g(x) ; Df•g = Df Dg
(g)(x) = ; g(x) ≠ 0 และ D f = Df Dg
f f
g g
โดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชัน
ความสัมพันธ์และฟังก์ชันเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาที่
เกี่ยวข้องกับตัวแปรและเป็นพื้นฐานของคณิตศาสตร์ในระดับที่
สูงต่อไป
Math Kit EBook ห น้ า 41
วิธท
ี า เราสามารถเขียนคู่อันได้ดังนี้ {(1,−2), (1,2), (3, −2), (3,2), (5, −2), (5,2)}
1 3 5
-2
(1,−2) (3,−2) (5,−2)
Math Kit EBook ห น้ า 42
ข้อควรรูเ้ กีย
่ วกับความสัมพันธ์
Rr = {0, 1, 4}
ตัวอย่าง จงหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ตอ
่ ไปนี้ {(x,y) | y = 2x}
ตอบ Dr = R
Rr = R
Math Kit EBook ห น้ า 43
การตรวจสอบข้อจากัดของโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์
ตรวจสอบโดเมน จัด y ในเทอม x
ตรวจสอบเรนจ์ จัด x ในเทอม y
1.ในรูปแบบเศษส่วน
x+2 ≠0
x ≠ –2
ตรวจสอบเรนจ์ ให้จัด x ในเทอม y คือ
r=, -
r=, -
−
r=, -
2.ในรูปของยกกาลัง 2
แนวคิด
Math Kit EBook ห น้ า 44
เรนจ์ คือจานวนจริงซึ่งมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 {y | y ≥ 0 }
3.ในรูปในเครื่องหมายกรณฑ์
2x – 8 ≥ 0
2x ≥8
x ≥4
เรนจ์ คือจานวนจริงซึ่งมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 {y | y ≥ 0 }
4.ในรูปเครื่องหมายค่าสัมบูรณ์
แนวคิด
เรนจ์ คือจานวนจริงซึ่งมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 {y | y ≥ 0 }
Math Kit EBook ห น้ า 45
สามารถวาดกราฟได้
เรนจ์ คือ {y | −4 ≤ y ≤ 4 }
ตัวผกผันของความสัมพันธ์
ตัวผกผันของความสัมพันธ์ r คือความสัมพันธ์ซึ่งเกิดจากการสลับที่ระหว่างโดเมน
−1
และเรนจ์ โดยเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ r
−1
วิธีทา r = {(−4,6), (1,7), (5,2), (12,8)}
Math Kit EBook ห น้ า 46
ฟังก์ชน
ั (Function) คือ ความสัมพันธ์ ซึ่งในสองคู่อันดับใด ๆ ของความสัมพันธ์นั้น ถ้า
มีสมาชิกตัวหน้าเท่ากันแล้ว สมาชิกตัวหลังต้องไม่แตกต่างกัน
ฟังก์ชน
ั A ไป B (into function) คือฟังก์ชันที่ใช้สมาชิกตัวหน้าครบทุกตัว
Df = A Rf B เขียนสัญลักษณ์แทนด้วย f: A B
ฟังก์ชน
ั A ไปทัว่ ถึง B (onto function) คือฟังก์ชันที่ใช้สมาชิกตัวหน้าและตัวหลังครบทุก
ตัว
Df = A Rf B เขียนสัญลักษณ์แทนด้วย f: A ทั่วถึง B
ฟังก์ชน
ั หนึง่ ต่อหนึง่ (1–1 function) คือ ฟังก์ชันที่ตัวหลัง (y) สามารถจับคู่กับสมาชิกตัว
1–1
หน้า x เพียง 1 ตัวเท่านั้น เขียนสัญลักษณ์แทนด้วย f: A B
Math Kit EBook ห น้ า 47
การตรวจสอบความสัมพันธ์ว่าเป็นฟังก์ชัน
เราสามารถทดสอบว่าความสัมพันธ์นั้นเป็นฟังก์ชันหรือไม่โดยการลากเส้นแนวขนาน
แนวแกน y หาก ตัดกราฟมากกว่า 1 จุดแสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน
กราฟนี้เป็นฟังก์ชัน กราฟนี้ไม่เป็นฟังก์ชัน
สาหรับการพิจารณาว่าฟังก์ชันเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งหรือไม่ เราลากแนวเส้นขนานแกน
x ถ้าเส้นตัดกราฟมากกว่า 1 จุดแสดงว่าฟังก์ชันไม่ใช่ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
กราฟนี้เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง กราฟนี้ไม่เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
ประเภทของฟังก์ชัน
ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
เมื่อ f เป็นฟังก์ชัน ถ้า x1 <x2 เมื่อ f เป็นฟังก์ชัน ถ้า x1 < x2
แล้ว f(x1) < f(x2) แล้ว f(x1) > f(x2)
Math Kit EBook ห น้ า 48
สัญลักษณ์ของฟังก์ชัน
ฟังก์ชันผกผัน
กราฟของอินเวอร์สของความสัมพันธ์
f(x)
f-1(x)
อินเวอร์สของฟังก์ชัน คือฟังก์ชันที่เกิดจากการ Ex
สลับสมาชิกตัวหน้ากับสมาชิกตัวหลัง f={(x,y) I+ x I | y = 2x+1}
f–1={(y,x) I x I+ | y = 2x+1}
หรือ f–1={(x,y) I x I+ | x = 2y+1}
ซึ่งสามารถจัดรูปได้ดังนี้
−
f–1={(x,y) I x I+ | y = }
1. f–1(x) เป็นฟังก์ชัน 1 – 1
2. D f = Rf
3. R f = Df
รูปแบบการแก้ปัญหาอินเวอร์สของฟังก์ชัน
อินเวอร์สในรูปคู่อันดับ
f–1={(2,1),(4,3),(6,5)}
f–1 (4) = 3
Math Kit EBook ห น้ า 50
อินเวอร์สในรูปสมการปกติ
−
Ex f(x) = 3x +1 จงหา f–1 (2) Ex f(x) = จงหา f–1 (2)
y = 3x +1 −
y=
สลับที่ x และ y x = 3y +1 −
สลับที่ x และ y x=
y=
−
f–1 (x) =
−
x(6y+5) = 4y –1
f–1 (2) = x(6y+5) +1 = 4y
6xy – 4y + 5x +1 = 0
Ex f(x) =
± y(6x–4) = – 5x – 1
± − −
y=
−
− ± − −
–1
f (x) = f–1 (x) =
± − −
−
f–1 (2) =
อินเวอร์สในรูปไม่สมการปกติ
การดาเนินการของฟังก์ชัน
ตอบ 110
Math Kit EBook ห น้ า 53
บทที่ 5 เรขาคณิตวิเคราะห์และภาคตัดกรวย
จุด
ระยะห่างระหว่างจุด
จุดแบ่งเส้นตรง
จุดตัดเส้นมัธยฐาน
พื้นที่ n เหลี่ยม
เส้นตรง
สมการเส้นตรง
ความชันเส้นตรง
ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้นตรง
ระยะห่างระหว่างเส้นตรงกับเส้นตรง
การเลื่อนแกนขนาน
วงกลม
พาราโบลา
วงรี
ไฮเพอร์โบลา
เรขาคณิตวิเคราะห์และภาคตัดกรวย เป็นการคานวณเกี่ยวกับ
รูปเรขาคณิต ซึ่งเขียนกราฟในระบบพิกัดฉาก
Math Kit EBook ห น้ า 54
ความรูเ้ บือ
้ งต้นเกีย
่ วกับเรขาคณิตวิเคราะห์ (Fundamental of Geometry)
จุด 2 จุด Ex
ความยาว
|AB| = √
ความชัน
2−
mab = tan( ) =
2−
จุดแบ่งเส้นตรง
2 2
P=( )
|AB| = √
=
−
mab = =
−
P ( )
=P( )
ถ้าจุดแบ่งครึ่ง AB คือ ( 2
, 2
)
จุดตั้งแต่ 3 จุดขึ้นไป Ex
| | | |
2 25 0
|2+25+0+0+4+5| =18 ตารางหน่วย
Math Kit EBook ห น้ า 56
− 2
ตั้งฉาก m1 × m2 = –1 ทามุม tan =
ขนานกัน m1 =m2 2
ข้อควรระวัง
เมื่อเส้นตรงสองเส้นตั้งฉากกันแบบนี้ จะหาความชันหาค่าไม่ได้
ระยะจากจุดถึงเส้นตรง Ex
d
d
d= 2 2 − −
d= 2 2
=
Math Kit EBook ห น้ า 57
ระยะทางเส้นตรงถึงเส้นตรง Ex
d d
.
− 2 − −
d= 2 2 d= 2 2
=d=
การเลือ
่ นแกน (Translation of Axes)
การเลื่อนแกนทางขนานนับเป็นพื้นฐานที่สาคัญที่จะช่วยในการศึกษาเกี่ยวกับภาคตัดกรวย
ได้ สะดวกยิ่งขึ้นในระบบแกนมุมฉาก เราใช้แกน X และ Y สาหรับอ้างอิงพิกัดหรือตาแหน่งของ
จุดในระนาบจุด P(x, y) เป็นจุดที่อยู่ห่างจากแกน Y ไปทางขวามือเป็นระยะ x หน่วย และอยู่ห่าง
จากแกน X ซึ่งอยู่เหนือแกน X เป็นระยะ y หน่วย ดังรูป
Math Kit EBook ห น้ า 58
กรวยกลมตรงมีลักษณะดังนี้
วงกลม(Circle)
วงกลมคือเซตของจุ ด ทั้งหมดในระนาบที่ ห่างจากจุด ศู นย์กลางของวงกลม(center)เป็ น
ระยะคงตัว และมีระยะทางคงตัว คือรัศมี(radius) ของวงกลม
สมการรูปมาตรฐาน วงกลมคือ (x – h)2+(y – k)2=r2
ส่วนประกอบของวงกลม จุดยอด (h,k)
รัศมี r
สมการรูปทั่วไป x2 + y2 + ax + by + c = 0
ถ้าสมการของวงกลมในรูปแบบทั่วไป สามารถเขียนสมการใหม่ในรูปแบบสมการมาตรฐาน
ได้โดยใช้วิธีการทาเป็นกาลังสองสมบูรณ์
Ex จงหารัศมีของวงกลมและจุดศูนย์กลางของสมการวงกลมต่อไปนี้ x2 +y2– 4x + 6y – 12 = 0
วิธีทา x2 +y2– 4x + 6y = 12
x2 – 4x +4 + y2 +6y + 9 = 12 + 4 + 9
Ex จงวาดกราฟของสมาการต่อไปนี้
จุดยอด (5,-3)
รัศมี 7 หน่วย
ข้อควรระวังเรื่องวงกลม
1.เส้นสัมผัสตัง้ ฉากกับรัศมีทจ
ี่ ุดสัมผัส
(mเส้นสัมผัส × mรัศมี = –1)
2.ระยะทางจากจุดศูนย์กลางถึงจุดสัมผัสคือ รัศมี
Math Kit EBook ห น้ า 61
พาราโบลา(Parabola)
พาราโบลาคือ เซตของจุดทุกจุดบนระนาบ ซึ่งอยู่ห่างจากเส้นตรง(เส้นไดเรกติก) ที่เส้น
หนึ่งบนระนาบและจุดคงที่(จุดโฟกัส)จุดหนึ่งบนระนาบนอกเส้นตรงคงที่นั้น เป็นระยะทางเท่ากัน
เสมอ
สมการมาตรฐาน
จุดยอด V
จุดโฟกัส F
ลาตัสเรกตรัม (LR) = 4C
Math Kit EBook ห น้ า 62
วงรี (ellipse)
วงรี คือเซตของจุดทั้งหมดในระนาบซึ่งผลบวกของระยะทางจากจุดใดๆ ไปยังจุดโฟกัส
(focus) ทั้ง 2 มีค่าคงตัว
สมการวงรีรูปมาตรฐาน
− 2 − 2 − 2 − 2
2 2 =1 2 2
จุดยอด V, V’
จุดศูนย์กลาง C
แกนเอก 2a
2
ลาตัสเล็กตัมยาว แกนโท 2b
ความเยื้องศูนย์กลาง e =
โดยที่ 0 < e < 1
e เข้าใกล้เลข 0 จะเป็นรูปใกล้เคียงวงกลม แต่ ถ้าค่า e เข้าใกล้เลข 1 จะเป็นรูปวงรีทรี่ ีมาก
Math Kit EBook ห น้ า 63
ไฮเปอร์โบลา(Hyperbola)
ไฮเปอร์โบลา คือ เซตของจุดทุกจุดในระนาบซึ่งผลต่างของระยะทางจากจุดใดๆในเซตนี้ไป
ยังจุดคงที่สองจุดบนระนาบมีค่าคงตัวซึ่งมากกว่าศูนย์แต่น้อยกว่าระยะห่างระหว่างจุดคงที่ทั้งสอง
โดยที่จุดคงที่นี้เรียกว่าจุดโฟกัสของไฮเพอร์โบลา
= 2a
สมการมาตรฐาน
Math Kit EBook ห น้ า 64
ส่วนประกอบไฮเปอร์โบลา
จุดศูนย์กลาง C
จุดยอด V, V’
จุดโฟกัส F, F’
แกนตามขวาง 2a
แกนสังยุค 2b
2
ลาตัสเรกตัม (LR) =
สมการเส้นกากับไฮเปอร์โบลา
− 2 − 2
1. 2 2
หรือ y – k = ± (x – h)
− 2 − 2
2. 2 2
หรือ x – h = ± (y – k)
หมายเหตุ ไฮเปอร์โบลามุมฉาก คือไฮเปอร์โบลาคือ a = b
พิจารณาตามนิยามของแต่ละรูป
Math Kit EBook ห น้ า 65
mAB = =1
−
− −
mDC = =1
− −
−
ดังนั้นข้อ 1 จึงถูก AB // DC
|AB| = √ =√ =
|DC| = √ =
|AB| +|DC| = + =
ดังนั้นข้อ2 ถูก
เส้นตรงที่ผ่านจุด C และจุด D หาโดยใช้จุด C และความชัน CDจะได้ y – 3 =1(x – 8)
x–y –5=0
ระยะตั้งฉากจากจุด A ไปยังเส้นตรงที่ผ่าน CD
− − − – − − − −
2 2
=
√ −
=
ดังนั้นข้อ3 ถูก
ระยะตั้งฉากจากจุด A ไปยังเส้นตรงที่ผ่าน CD
− − – −
2 2
=
√ −
=
ดังนั้นข้อ4 ผิด
ตอบข้อ 4
Math Kit EBook ห น้ า 66
ความชันของAB = =
−
− −
ดังนั้นความชันของเส้นตรงที่ตั้งฉากคือ –2
เราสามรถสร้างสมการที่แบ่งครึ่งเส้นตรงได้ดังนี้
(y+3)=–2(x–3)
2x + y = –3
ตอบข้อ 1
Math Kit EBook ห น้ า 67
บทที่ 6 เมตริกซ์
พื้นฐานเมตริกซ์
A + B และ A - B
kA เมตริกซ์คูณด้วยค่าคงที่ (k)
A × B เมตริกซ์ คูณด้วยเมตริกซ์
At การทรานสโพสเมตริกซ์
det
det = 0 คือเมตริกซ์เอกฐาน
det ≠ 0 คือเมตริกซ์ไม่เอกฐาน
วิธีการหา det
อินเวอร์สเมตริกซ์
A-1 = [Cij]t
detA
ประยุกต์เมตริกซ์
เมตริกซ์ขั้นบันได
เมตริกซ์กับสมการเชิงเส้น
เมตริกซ์ประยุกต์เวกเตอร์
[ ]
เมตริกซ์ที่ควรรู้จัก
ตัวอย่าง * + [ ]
ตัวอย่าง * + [ ]
ตัวอย่าง * + [ ]
4.เมตริกซ์เอกลักษณ์ (Identity matrix) คือ เมตริกซ์ที่ i ≠ j แล้ว aij = 0 และ i = j แล้ว aij = 1
ตัวอย่าง * + [ ]
Math Kit EBook ห น้ า 69
การบวกลบ เมตริกซ์
[ ]+[ ]=[ ]
[ ]–[ ]=[ ]
การทรานสโพส
A=[ ] A t= [ ]
การคูณเมตริกซ์ด้วยค่าคงที่
A=[ ] 5A = [ ]
Math Kit EBook ห น้ า 70
การคูณเมตริกซ์ด้วยเมตริกซ์
เกิดผลขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 อย่างต่อไปนี้
1. ไม่สามารถหาผลคูณได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องมิติ
2. สามารถหาผลคูณได้
ผลคูณจะหามาได้อย่างไร ให้ดูหลักการต่อไปนี้
1. มิติของเมตริกซ์ที่นามาหาผลคูณ
ถ้า A เป็นเมตริกซ์ m × p
B เป็นเมตริกซ์ q × n
2. ลักษณะสมาชิกของเมตริกซ์ที่เป็นผลคูณ (ถ้าหาผลคูณได้)
หลักการหาสมาชิกโดยทั่ว ๆ ไป สามารถหาได้ดังนี้
A=* +B=* +
AB = [ ]
AB = * +
ดีเทอร์มิแนนต์
คือฟังก์ชันหนึง่ ที่ให้ผลลัพธ์เป็นสเกลาร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับค่าของ n ในมิติ n×n ของเมตริกซ์จัตุรัส
แบบ 1 x 1
A = [a] detA =a
เเบบ 2 x 2
A=* + detA = ad – bc
แบบ 3 x 3
A=[ ]
ตั้งแต่ 3 x 3
ใช้แถว I แล้วพิจารณาหาค่าโคแฟเตอร์
detA = ai1Ci1 + ai2Ci2 + … ainCin
หรือ ใช้หลัก j แล้วพิจารณาหาค่าโคแฟเตอร์
detA = a1jC1j + a2jC2j + … anjCnj
ไมเนอร์ โคแฟกเตอร์
คือดิเทอร์มิแนนต์ของเมตริกซ์ที่เกิดจากการตัด Cij = (–1)i+j • Mij(A)
แถวที่ i หลัก ที่ j ตัวอย่าง
C23 = (–1)2+3 | |
= (–1)(2)
= –2
Math Kit EBook ห น้ า 72
ประเภทของเมตริกซ์
1. เมตริกซ์เอกฐาน (Singular Matrix) คือ เมตริซ์ที่มี det = 0
ซึ่งหาอินเวอร์สไม่ได้
2. เมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Non Singular Matrix) คือเมตริซท
์ ี่มี det ไม่เท่ากับ 0 ซึ่งหาอินเวอร์สได้
การดาเนินการทางแถว
1. สลับแถว ทาให้ det กลับเครื่องหมาย
2. นาค่าคงที่คูณทั้งแถว ทาให้ค่า det ถูกคูณด้วยค่าคงที่
3. นาค่าคงที่คูณทั้งแถวไปดาเนินการบวกหรือลบกับอีกแถวหนึ่ง det มีค่าเท่าเดิม
อินเวอร์สการคูณ การหาอินเวอร์สจากการดาเนินการทางแถว
อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A ก็คือ เมตริกซ์ ซึ่ง [A | I] ~ [I | A–1]
เมื่อนามาคูณกับเมตริกซ์ A แล้วจะได้ผลลัพธ์
Ex A= [ ] จงหา A–1
เท่ากับเมตริกซ์เอกลักษณ์ I และเราใช้สญ
ั ลักษณ์
A–1 แทน อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ นั่นคือ
[ | ]
AA–1 = I
~
เราสามารถหาอินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ได้เมื่อ R2-R3
เมตริกซ์เป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Non – Singular [ | ]
Matrix) หรือค่า det ไม่เป็น 0
~
R23
[ | ]
~[
R1÷2
| ]
A–1 = [ ]
Math Kit EBook ห น้ า 73
การหาอินเวอร์สการคูณ Ex
1 × 1 มิติ A = [3] A–1 =[ ]
A = [a] A–1 =[ ]
B=* + B–1= * +
2 × 2 มิติ =[ ]
A=* + A–1 = * +
ผูกพัน)} คือโคแฟเตอร์ทั้งหมดทรานสโพส | | | | | |
adjA = [Cij]
t C–1= | | | | | |
[ | | | | | | ]
= [ ]
= [ ]
[ ]
คุณสมบัติทรานสโพสและอินเวอร์ส
คุณสมบัติทรานสโพส คุณสมบัติอินเวอร์ส
(At) t = A (A–1) –1 = A
(A×B) t= Bt × At (A×B) –1= B–1 × A–1
(A±B) t = At ± Bt (A±B) –1 กระจายอินเวอร์สไม่ได้
(kA) t = kAt (kA) –1 = k–1A–1
(An) t = (A t) n (An) –1 = (A –1) n
.
Math Kit EBook ห น้ า 74
ระบบสมการเชิงเส้น
𝑥
* + *𝑦+ = * +
Ex x + y = 4
A X B
x–y=8
การแก้ปัญหาสมการเชิงเส้นโดยเมตริกซ์ซึ่งเป็นเมตริกซ์จัตุรัส
1.แก้โดยใช้กฎคราเมอร์
detA detA2 detA
X1, = X2 = , … ,Xn =
detA detA detA
วิธีคิด
a1x + b1y + c1z = d1
a2x + b2y + c2z = d2
a3x + b3y + c3z = d3
เราสามารถหา ค่า x , y ,z ได้จาก
| 2 2 2| | 2 2 2| | 2 2 2|
x= y= z=
| 2 2 2| | 2 2 2| | 2 2 2|
2.แก้โดยใช้อินเวอร์สของเมตริกซ์
X= A–1B
3.แก้โดยใช้ การดาเนินการทางแถว
[A | B] ~ [I | X]
Math Kit EBook ห น้ า 75
ทุกแถวที่ประกอบด้วย 0 ทั้งหมดจะอยู่แถวล่างของเมตริกซ์
โดยการพิจารณาจากซ้ายไปขวา สมาชิกตัวแรกที่ไม่เป็นศูนย์จะต้องมีค่าเป็น 1
ตัวอย่าง
* + * + * + [ ] [ ]
ประโยชน์ของเมตริกซ์ขั้นบันได
ใหญ่จะสามารถหาค่าตัวแปรได้บางตัว หรือหาค่าไม่ได้เลย
[A | B] ~ [เมตริซ์ขั้นบันได | X]
Math Kit EBook ห น้ า 76
บทที่ 7เลขยกก
ฟังก์ชาลัน
ั งเอกช์โพเนนเชียลและลอการิทึม
xn คุณสมบัติของเลขยกกาลัง
เครื่องหมายกรณฑ์
ฟังก์ชันเอกช์โพเนนเชียล
นิยาม Expo = {(x,y) ∈ R x R+ | y =ax, a > 0 , a ≠ 1}
สมการฟังก์ชันเอกช์โพเนนเชียล
อสมการฟังก์ชันเอกช์โพเนนเชียล
ฟังก์ชันลอการิทึม
อสมการฟังก์ชันลอการิทึม
การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสิ่งต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นในรูปแบบที่
เป็นแบบทวีคูณ ดังนั้นฟังก์ชันที่เกีย
่ วข้องคือเอกช์โพเนนเชียล
และลอการิทึมจึงถูกนาไปใช้ประโยชน์ในหลายๆด้าน
Math Kit EBook ห น้ า 77
สูตรเลขยกกาลัง Ex จงหาค่าต่อไปนี้
6. =
คาเตือน 00 ไม่นิยาม
= √( ) ( )
รากที่สองคือ ±( + )
= √( )
แต่ √( ) = +
ดังนั้นรากที่ 2 คือ ±| + | =
=
Math Kit EBook ห น้ า 78
สมบัติของเครื่องหมายกรณฑ์
เมื่อ เป็นจานวนคี่
( ) ={
| |เมื่อ เป็นจานวนคู่
= ×
√ =
=( )
× =
ข้อควรระวัง เครือ
่ งหมาย คือกรณฑ์ที่ 2 ของ a ไม่ใช่ รากที่ 2 ของ a เพราะ รากที่ 2 ของ a จะมีทั้ง
ค่าบวกและค่าลบ แต่ภายในเครื่องหมายกรณฑ์ เมื่อถอดกรณฑ์ที่ 2 แล้วจะได้ค่าบวกเสมอ
Log = {(x,y) ∈ R+ x R | y =logax, a > 0 , a ≠ 1} 3.หากไม่สามารถใช้วิธีทั้ง 2ได้ ให้ take log ทั้ง 2
โดเมนเป็นจานวนจริงบวก เรนจ์เป็นจานวนจริง ข้าง
a>1 0<a<1 Ex จงแก้ 2x=3x+1
วิธีทา x log 2 = (x+1) log 3
X log 2 = x log 3 + log 3
x (log 2 – log 3) = log3
x=
ฟังก์ชันลด
ฟังก์ชันเพิ่ม
สูตร log พื้นฐาน Ex จงหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
จะได้ว่า =
เนื่องจากการคูณกันของจานวนจริง มีสมบัติการสลับที่การคูณ
Math Kit EBook ห น้ า 80
ลอการิทึมสามัญ
ลอการริทึมสามัญ คือลอการริทึมฐาน 10 ซึ่งเราสามารถไม่ต้องเขียนตัวเลขฐานกากับได้
เช่น log 2 = log10 2
กาหนด A เป็นจานวนจริงบวกใดๆ สามารถเขียน A ในรูปมาตรฐานคือ
A = N × 10n ; 1 ≤ N < 10
ดังนั้น log A = log N + log 10n
หรือเราสามารถเขียนในรูป log A = log N + n
N คือค่าแคแรกเทอริสติก (Characteristic) ของ log A แคแรกเทอริสติกเป็นจานวนเต็มเท่านั้น
log N คือค่าแมนทิสซา (Mantissa) ของ log A ซึ่งค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 แต่จะน้อยกว่า 1
เสมอ
ลอการิทึมธรรมชาติ
ln x = logex
แอนติลอการิทึม
แอนติลอการิทึมคือการดาเนินการที่ตรงข้ามกับการหาค่าลอการิทึม โดยที่ log x = A ก็ต่อเมื่อ
antilog A = x
เช่น log 5 = 0.699
5 = 100.699 ซึ่งเราสามารถสรุปได้ ว่า 5 เป็น antilog 0.699
การแก้โจทย์เกี่ยวกับ log และเลขยกกาลัง
จะได้ว่า A + =
นา A คูณตลอด A2 + 9 = A
A2 − A + 9 =0
(A − )(A − )=0
A= ,
ดังนั้น 3x = และ 3x =
x= ,
ตอบ ผลบวกของคาตอบคือ 2
จงหา 2A – 3B
Math Kit EBook ห น้ า 82
2x + 3 = 125
x = 61
= log2 28 – 61
= 8 – 61
= – 53
2A – 3B = 122 +159
= 281
ตอบ 281
บทที่ 8 ตรีโกณมิติ
สูตรผลบวกลบ
sin(A±B) = sinAcosB ± cosAsinB
สูตรแปลงผลบวกลบเป็นผลคูณ แปลงผลคูณเป็นผลบวกลบ
ความรู้พื้นฐานสามเหลี่ยมมุมฉาก ค่ามุมตรีโกณมิติ
30° 45° 60°
sin
cos
tan 1
โคฟังก์ชันของตรีโกณมิติ คุณสมบัติโคฟังก์ชัน
cos เป็นโคฟังก์ชันของ sin sin(90° − A) = cos A
cosec เป็นโคฟังก์ชันของ sec sec(90° − A) = cosec A
cot เป็นโคฟังก์ชันของ tan tan(90° − A) = cot A
2. หน่วยเรเดียน Ex 2
ขนาดของ (หน่วยเรเดียน) =
เครื่องหมายของฟังก์ชันตรีโกณในแต่ละจตุภาค คาอธิบาย
จตุภาค1 ทุกฟังก์ชันมีค่าเป็นบวก
จตุภาค2 มีเฉพาะฟังก์ชัน sin และส่วนกับ
เท่านั้นที่เป็นบวก
จตุภาค3 มีเฉพาะฟังก์ชัน tan และส่วน
กับเท่านั้นที่เป็นบวก
จตุภาค4 มีเฉพาะฟังก์ชัน cos และส่วน
กับเท่านั้นที่เป็นบวก
การหาค่ามุมตามแกน ในวงกลมหนึ่งหน่วย Ex
fn (แกนแนวราบ ± A) = fn (A) sin(120°) = sin(180° − 60°)
fn (แกนแนวดิ่ง ± A) = co fn (A) = sin(60°) อยู่ควอดรันต์ 2
่ งหมายดูตามจตุภาค(ควอดรันต์)
fn คือฟังก์ชัน เครือ sec(280°) = sec(270°+10°)
= sec(10°)
Math Kit EBook ห น้ า 86
รูปสามเหลี่ยม ที่ชอบออกบ่อย
มุมพื้นฐาน (ต้องทราบ) มุมจาก วงกลม 1 หน่วย (ต้องทราบ)
30° 45° 60° sin(0° + n(360°)) = 0
sin cos(0° + n(360°)) = 1
sin(180° + n(360°)) = 0
cos
cos(180° + n(360°)) = –1
tan 1 sin(90° + n(360°)) = 1
cos(90° + n(360°)) = 0
sin(270° + n(360°)) = –1
cos(270° + n(360°)) = 0
เมื่อ n เป็นจานวนเต็มใดๆ
มุม 15° และมุม 75° (ควรทราบ) มุม 72° , 18° และมุม 36° , 54° (ควรทราบ)
15° 75° 18° 72°
sin sin √
cos cos √
tan tan √
√
54° 36°
sin √
cos √
tan √
√
Math Kit EBook ห น้ า 87
วิธีทา – +1
=1
ตอบ 1
วิธีทา 2 – 2sinA = 1
2–1 = 2sinA
= sinA
ตอบ A = 30°
13
วิธีทา จากค่า sin จะได้ 132 = 52 + x2 5
x = 12
x
tan A =
6sin30°(tanA) = 6( × )
ตอบ
= 60° = 45°
= 30°
Math Kit EBook ห น้ า 88
สูตรตรีโกณมิติพน
ื้ ฐาน สูตรผลบวกและผลต่างตรีโกณมิติ
sin2 + cos2 =1 sin(A±B) = sinAcosB ± cosAsinB
sec2 – tan2 =1 cos(A±B) = cosAcosB ∓ sinAsinB
tan ±tanB
cosec2 – cot2 =1 tan(A±B) =
∓
= 1 – tan2A
1 + tan2A
tan2A = 2 tan A
1 – tan2A
สูตรมุมครึง่ เท่า
c s
sin = √
+c s
cos =√
c s
tan =√
+c s
สูตรแปลงผลบวกผลต่างเป็นผลคูณ สูตรแปลงผลคูณเป็นผลบวกผลต่าง
4
=
17
= 15
ตอบ
×
sn °
วิธีทา cosec(75°) × tan(75°) =
sn ° c s °
=
c s °
= cos30°cos45° sin30°sin45°
=
=
c s °
ตอบ
Math Kit EBook ห น้ า 90
สูตรอินเวอร์ส
+
arcsin (–x) = −arcsin (x) arctan x + arctan y = arctan( ) ; xy < 1
+
arctan(–x) = −arctan(x) arctan x + arctan y = arctan( ) ; xy > 1
การประยุกต์สามเหลี่ยม
b a
A B
c
กฎของโคไซน์
1. a2 = b2 +c2 – 2bc cos A
2. b2 = a2 + c2 – 2ac cos B
3. c2 = a2 + b2 – 2ab cos C
a +c
และ cos A =
c
การหาพื้นที่สามเหลี่ยม
ข้อควรรู้ กราฟฟังก์ชันตรีโกณ
ฟังก์ชน
ั ตรีโกณ แอมพลิจด
ู (Amplitude) คาบ
y = A sin Bx |A|
| |
y = A cos Bx ไม่มี
| |
y = A tan Bx ไม่มี | |
กราฟ sin
กราฟ cos
กราฟ tan
Math Kit EBook ห น้ า 92
กราฟ cosec
กราฟ sec
Math Kit EBook ห น้ า 93
กราฟ cot
กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติในวงกลม 1 หน่วย
กราฟ sin กราฟ arcsin
โดเมนของฟังก์ชัน [− , ]
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [–1,1]
โดเมนของฟังก์ชัน[− 1 ,1]
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [− , ]
โดเมนของฟังก์ชัน[–1,–1]
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [0, ]
Math Kit EBook ห น้ า 94
โดเมนของฟังก์ชัน R
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั (− , )
โดเมนของฟังก์ชัน R – {–1,1}
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [− , ] – {0}
โดเมนของฟังก์ชัน R – {–1,1}
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั [0, ] – { }
Math Kit EBook ห น้ า 95
โดเมนของฟังก์ชัน R
เรนจ์ของฟังก์ชน
ั (0, )
Math Kit EBook ห น้ า 96
บทที่ 9 เวกเตอร์
เวกเตอร์รูปภาพ
การเท่ากันของเวกเตอร์
การขนานกันของเวกเตอร์
นิเสธของเวกเตอร์
การบวกลบเวกเตอร์
การคูณเวกเตอร์
เวกเตอร์ในพิกัดฉาก
ขนาดของเวกเตอร์
เวกเตอร์ในระบบสองมิติ
เวกเตอร์ในระบบสามมิติ
การคูณเวกเตอร์
ผลคูณเชิงสเกลาร์
ผลคูณเชิงเวกเตอร์
ประยุกต์เวกเตอร์
พืน
้ ที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน |u v|
ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน |u ⋅ (v r)|
ในบางครั้งเราสามารถกล่าวถึงเวกเตอร์โดยไม่
B จาเป็นต้องระบุจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
เช่น
A 𝑢
𝑣
จากรูป A เป็นจุดเริ่มต้น (initial point)
B เป็นจุดสิ้นสุด (terminal point)
แสดงเวกเตอร์ AB เขียนแทนด้วย
ความยาวของเส้นตรง AB เป็นขนาดของ
เวกเตอร์ เขียนด้วย | |
การขนานกันของเวกเตอร์
และ จะขนานกันก็ต่อเมือ
่ เวกเตอร์ทั้งสองมีทิศทางเดียวกัน หรือมีทิศทางตรงข้ามกัน
B D
จากตัวอย่าง และ มีขนาดเท่ากันและมีทิศทางเดียวกัน
𝑢
𝑣
A
C
การเท่ากันของเวกเตอร์และนิเสธของเวกเตอร์
นิเสธของเวกเตอร์
ข้ามกับทิศทางของ เขียนแทนด้วย
การกาหนดทิศทางของเวกเตอร์ในระบบ 3 ตัว
การบวกลบเวกเตอร์
ข้อสังเกต
ข้อตกลงว่าจะระบุทิศทางของเวกเตอร์ศูนย์เป็นเช่นใดก็ได้
2.เมื่อเขียนรูปเรขาคณิตแทนเวกเตอร์ศูนย์ จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเวกเตอร์เป็นจุด
เดียวกัน
Math Kit EBook ห น้ า 99
= + + = =
การคูณเวกเตอร์ด้วยสเกลาร์
ถ้า a = 0 แล้ว a =
ตัวอย่าง
คาอธิบายจากรูป
v=–u
= u
= u
Math Kit EBook ห น้ า 100
เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก
เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉากสองมิติ เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
เราสามารถเขียนเวกเตอร์ ใดๆในรูปเวกเตอร์ เราสามารถเขียนเวกเตอร์ ใดๆในรูปเวกเตอร์ ,
และ ได้เสมอเมื่อ และ ได้เสมอเมือ
่
เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน x เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน x
ทางบวก ทางบวก
เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน y เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน y
ทางบวก ทางบวก
เป็นเวกเตอร์ 1 หน่วยและมีทิศทางไปทางแกน z
ทางบวก
(a1,a2,a3)
คาแนะนา
คือ [ ]
เวกเตอร์ 2 เวกเตอร์จะมี
ทิศทางเดียวกัน ทิศทางตรงข้ามกัน
มีโคไซน์แสดงทิศทางชุดเดียวกัน โคไซน์แสดงทิศทางกับแต่ละแกนของเวกเตอร์ จะ
เป็นจานวนที่มีค่าตรงข้ามกันกับโคไซน์แสดงทิศทาง
ของอีกเวกเตอร์หนึ่ง
คุณสมบัติของเวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก
การเท่ากัน * +=* +
0 1 [ ]
ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
ก็ต่อเมื่อ a = d และ b = e
c=f
การบวกเวกเตอร์ * ++* +=* +
0 1 [ ] [ ]
การคูณเวกเตอร์ด้วย k* + = * +
k0 1 = [ ]
สเกลาร์ เมื่อ k เป็นจานวนจริงใดๆ
เมื่อ k เป็นจานวนจริงใดๆ
Math Kit EBook ห น้ า 102
ผลคูณระหว่างเวกเตอร์
กาหนด u [ ]v [ ]
u v =| |
=| || |sin
Math Kit EBook ห น้ า 103
คุณสมบัติผลคูณระหว่างเวกเตอร์
ผลคูณเชิงสเกลาร์ ผลคูณเชิงเวกเตอร์
u⋅v = v⋅u u v= v u
u ⋅ (v w) =u ⋅ v u⋅w u (v w) = u v u w)
(u ⋅ v) = ( u) ⋅ v (u v) = ( u) v
= u ⋅ ( v) =u ( v)
u ⋅ u = |u| u u=0
u⋅ =0 u =
ถ้า u และ v ไม่เท่ากับ 0 แล้ว ถ้า u และ v ไม่เท่ากับ 0 แล้ว u v= แล้ว
u ⋅ v > 0 ก็ต่อเมือ
่ เป็นมุมแหลม u v
u ⋅ v = 0 ก็ต่อเมือ
่ =90°และ u v ตั้งฉากกัน
u ⋅ v < 0 ก็ต่อเมือ
่ เป็นมุมป้าน
|u v |2 = |u|2 + |v|2 + 2|u|⋅|v|cos u ⋅ (u v) = 0
|u v |2 = |u|2 + |v|2 – 2|u|⋅|v|cos
|u v |2 – |u v |2 = 4(|u ⋅ v |)
|u v |2 + |u v |2 =2(|u|2 + |v|2)
|u v |2 = |u|2 + |v|2 – (u ⋅ v) 2
Math Kit EBook ห น้ า 104
การประยุกต์เวกเตอร์
1.พืน
้ ที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน (ต้องทราบ)
2.ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน (ต้องทราบ)
ปริมาตร = พื้นที่ฐาน × สูง
= |u||v r |cos
= | u ⋅ (v r)|
บทที่ 10 จานวนเชิงซ้อน
พื้นฐาน
ค่า i
ค่าสมบูรณ์ของจานวนเชิงซ้อน
สมบัติของจานวนเชิงซ้อน
สังยุคของจานวนเชิงซ้อน
อินเวอร์สของจานวนเชิงซ้อน
กราฟของจานวนเชิงซ้อน
พิกัดเชิงขั้ว
รากที่ n
การแก้ปัญหาสมการด้วยจานวนเชิงซ้อน
สมการบางสมการไม่มีคาตอบเป็นจานวนจริง จึงมีการกาหนด
จานวนจินตภาพขึ้นเพื่อใช้ในการหาคาตอบของสมการที่มีคาตอบ
เรียกว่าจานวนเชิงซ้อน
Math Kit EBook ห น้ า 106
จานวนจินตภาพ Ex
คือ จานวนที่ไม่ใช่จานวนจริง เขียนในรูป √จานวนลบ 1.
โดยนิยมเขียนในรูปของตัว 2.
จานวนจริงคือจานวนเชิงซ้อนที่มีหน่วยจินตภาพเป็น Ex
ศูนย์ และจานวนเชิงซ้อนที่ไม่มีส่วนจริงหรือส่วนจริง 1.
เป็นศูนย์ เรียกว่า 2.
ค่าของ Ex
เมื่อ ∈ +
สามารถหาค่าของ ได้ดังนี้ 1. ( เหลือเศษ )
1. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ 2. ( เหลือเศษ )
2. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ
3. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ
4. ถ้า เหลือเศษ ค่าของ
ข้อควรรู้ i2 = −1 i3 =−i i4 = 1 i5 = i i6 = −1 i7 = −i i8 = 1
จานวนเชิงซ้อน
z = (a,b) = a + bi a คือส่วนจริง Re(z) b คือส่วนจินตภาพ Im(z)
แกนจินตภาพ
a แกนจริง
Math Kit EBook ห น้ า 107
ตัวอย่าง
เราสามารถเขียนได้วา่ 4 + 2i เราสามารถเขียนได้ว่า 5 − i
สมบัตข
ิ องจานวนเชิงซ้อน
ให้ และ
1. เมื่อ และ
2. ( ) ( )i
3. ( ) ( )i
4.
5. ( ) ( ) หรือ (a+bi)(c+di) แล้วคูณเหมือนจานวนจริง
+
6. =
+
วิธีทา z1 + z2 = (4 – 3) + (–6+2)i
= 1 – 4i
ตอบ 3 – 12i
Math Kit EBook ห น้ า 108
a + 2b = 3 ––––––––– (2)
(3) – (2) 5a = 5
a=1
2b = 2
B=1
ดังนั้น a+b = 2
+
ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่าของ
+ + ( + )( + )
วิธีทา
+
+ + +
+
+
Math Kit EBook ห น้ า 109
+
ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้ x และ y เป็นจานวนจริงซึ่งสอดคล้องกับสมการ = 1 – 4i จงหาค่าของ
+
y–x
= x + 3i – 4xi –12i2
11 = 3 – 4x
4x = –8
x = –2
y = (x + 12)
= (–2+12)
= 10
y–x = 10 – (–2)
= 12
ตอบ 12
สังยุคของจานวนเชิงซ้อน (Conjugate)
ให้ คอนจูเกตของ คือ ̅ โดยที่ ̅
1. ̿
2. ̅
3. ̅̅̅̅̅̅̅̅̅
± ̅±̅
4. ̅̅̅̅̅̅ ̅ ̅
̅̅̅̅̅ ̅̅̅
5. ( ) ̅̅̅
6. ̅
7. ̅
ข้อควรรู้ การหารจานวนเชิงซ้อนทาได้โดยการทาให้อยู่ในรูปของเศษส่วนแล้วนาสังยุกต์ของจานวนนั้นๆไป
คูณทั้งเศษและส่วน
Math Kit EBook ห น้ า 110
ค่าสัมบูรณ์ของจานวนเชิงซ้อน
ถ้า ค่าสัมบูรณ์ของ คือ | | โดยที่ | |
1. | | | | | ̅|
2. | | ̅
3. | | | || |
4. | | | |
| |
5. | | | |
เมื่อ ≠
6. | | | | | |
7. | | | | | |
รากทีส
่ องของจานวนเชิงซ้อน
ให้ และ √
+ +
รากที่สองของ ± .√ √ / เมื่อ หรือ ± .√ √ / เมื่อ
อินเวอร์สการคูณของจานวนเชิงซ้อน
ถ้า แล้ว อินเวอร์สการคูณของ หรือ
̅
ดังนั้น | |
+
= (13)(3)
= 39
ตอบ 39
Math Kit EBook ห น้ า 111
|z6| = 1
(25)(5)|z6| =1
|z6| =
z = |z2|
|z2| =
ตอบ
กราฟของจานวนเชิงซ้อน
สาหรับจานวนเชิงซ้อน ใช้จุดในระนาบเป็นตัวแทนของจานวนเชิงซ้อน ซึง่ ระนาบดังกล่าวประกอบด้วย
แกนจริง(X)และแกนจินตภาพ(Y) ถ้า จะมีความหมายดังนี้
| |
| |
| |
| |
แล้ว | |
( )
ั เชิงขัว้ (Polar Co–Ordinate System)
เรียกรูปแบบนี้ว่า จานวนเชิงซ้อนในรูปของพิกด
สามารถเขียน r( ) เป็น r
Math Kit EBook ห น้ า 112
การดาเนินการของจานวนเชิงซ้อนในรูปของพิกด
ั เชิงขัว้
z1=r1cis 1 z2=r2cis 2
z1 × z2 = r1 × r2 cis ( 1+ 2)
z1 ÷ z2 = r1 ÷ r2 cis ( 1– 2)
z̅1 = r1cis – 1
ทฤษฎีบทของเดอมัวร์
ถ้า ( )
( ) ( )
= 15 cis (90°)
= 15 (0 + 1i)
= 15i
ตอบ 15i
การแก้สมการทีม
่ ผ
ี ลลัพธ์เป็นจานวนเชิงซ้อน
1. ถ้าสมการอยูใ่ นรูป
± ac
จัดรูปแล้วใช้ เทียบสูตร
a
3. ถ้าสมการมีเลขชีก
้ าลังสูงสุดเกิน 2 ขึน
้ ไป
ให้ใช้วิธีแยกตัวประกอบโดยอาจใช้วิธีเศษเหลือ ทาให้อยูใ่ นรูปแบบที่สองแล้วใช้สูตร
Math Kit EBook ห น้ า 113
รากที่ n ของจานวนเชิงซ้อน
ถ้า แล้ว รากที่ ของ จะมีทั้งหมด รากที่แตกต่างกัน คือ
[ ( )]
เมื่อ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับสมการพหุนาม
ผลบวกของคาตอบทั้งหมดคือ –
s
ผลคูณคาตอบทั้งหมดคือ (–1)n
a
วิธีทา หา |z| =
=5
± .√ √ /
= ± (2 + i)
Math Kit EBook ห น้ า 114
บทที่ 11 ความน่าจะเป็น
กฎการนับ
หลัการบวก ใช้เมื่องานยังไม่เสร็จ
หลักการคูณ ใช้เมื่องานเสร็จ
รูปแบบวิธีการนับยอดนิยม
ความน่าจะเป็น
ความน่าจะเป็น เครื่องมือในการช่วยตัดสินใจและบอกถึงความ
เป็นไปได้ของสิ่งต่างๆ เป็นอีกวิชาหนึ่งที่มีความสาคัญทั้งทางด้าน
กฎเกณฑ์เบือ
้ งต้นเกีย
่ วกับการนับ
2.หลักการคูณ ใช้เมื่อการทางานนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว
หลักการบวก
ห้องนี้
วิธท
ี า นักเรียนคนที่ 1 มีวิธีเข้าและออกได้ 3 วิธี
หลักการคูณ
ตามลาดับ โดยที่
วิธท
ี า ในการแต่งตัวให้กับหุ่นมี 3 ขั้นตอน คือ
วิธท
ี า 1.ในตาแหน่งประธาน มีโอกาสเกิดได้ทั้งหมด 9 วิธี (เนื่องจากมีคณะกรรมการคนหนึ่งไม่
สมัครจะเป็นประธาน)
ดังนั้น กรณีที่ 1 มีโอกาสเกิด 600 วิธี ดังนั้น กรณีที่ 2 มีโอกาสเกิด 360 วิธี
กรณี 3 มีอักษร 1 ตัว เกิดได้ 6 วิธี กรณี 4มีอักษร 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่งหนึ่ง
มีตัวเลข 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่ง สามารถเกิดได้ 6 วิธี
หนึ่งสามารถเกิดได้ 10 วิธี มีตัวเลข 1 ตัว เกิดได้ 10 วิธี
10 x 6 x 10 10 x 6 x 6
ตัวเลข ตัวอักษร ตัวเลข ตัวเลข ตัวอักษร ตัวอักษร
ดังนั้น กรณีที่ 1 มีโอกาสเกิด 600 วิธี ดังนั้น กรณีที่ 2 มีโอกาสเกิด 360 วิธี
กรณี 5 มีอักษร 1 ตัว เกิดได้ 6 กรณี
มีตัวเลข 2 ตัว สองตาแหน่งตาแหน่งหนึ่งสามารถเกิดได้ 10 วิธี
10 x 10 x 6
ตัวเลข ตัวเลข ตัวอักษร
ตอบข้อ ข.
Math Kit EBook ห น้ า 119
แฟคทอเรียล
ข้อควรระวัง 0! = 1 1! = 1
รูปแบบวิธีการนับ
วิธเี รียงสับเปลีย
่ น (Permutation)
เป็นการจัดเรียงสิ่งของโดยคานึงถึงตาแหน่งของสิ่งของแต่ละสิ่งเป็นสาคัญ
วิธเี รียงสับเปลีย
่ นเชิงเส้น
2.ใช้สูตรสาหรับการเรียงสับเปลี่ยน เหมาะสาหรับโจทย์ที่ไม่มีการประยุกต์
4 3 2 1
เท่านั้น
วิธีทา ให้ใช้วิธีคิดแบบของซ้า
ต้องไปทางตะวันออก 4 ครั้ง
รวมต้องเดินทั้งหมด 6 ครั้ง
ต้องไปทางตะวันออก 2 ครั้ง
รวมต้องเดินทั้งหมด 4 ครั้ง
ดังนั้นตอบ 90 วิธี
ตัวอย่างที่ 6 จากรูปจงพิจารณาว่ามีรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากทั้งหมดกี่รูป
จึงเกิดเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก
เลือกเส้นแนวตั้ง 5C2 = 10
เลือกเส้นแนวนอน 4C2 = 6
เป็นการเลือกสิ่งของออกมาเป็นหมู่หรือชุด โดยไม่คานึงว่าจะได้สิ่งของใดออกมาก่อนหรือ
หลัง เช่น มีตัวอักษร 3 ตัว คือ a , b และ c ถ้าต้องการเลือกตัวอักษร 2 ตัว จากตัวอักษร 3 ตัวนี้
ให้ nCr หรือ Cn,r หรือ (n) แทนจานวนวิธีจัดหมู่ของสิ่งของ n สิ่ง โดยเลือกคราวละ r สิ่ง ในแต่
r! x Cn,r = Pn,r
ดังนั้น = =
n
n (n )
เท่ากับ
n
(n )
เนื่องจาก =
n
n (n )
=
n
(n )
=
n
(n (n )) (n )
= nn
เราสามารถหาเส้นทแยงมุมจากการเลือกได้
12
มี 12 จุด เลือกมา 2 จุด เพื่อสร้างเส้นทแยงมุมจะได้ C2 แล้วหักด้วยจานวนเส้นรอบรูป
เนื่องจากการเลือกจุด 2 จุดเหล่านั้น เป็นการนับรวมเส้นรอบรูปเข้าไปด้วย ดังนั้น เราต้องหัก
ออกไป 12 เส้น
12
C2 – 12 = 54
= – 12
( )
= 66 –12
= 54
วงกลมโดยใช้จุดเหล่านั้นเป็นจุดยอดมุมเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (Ent)
3 เหลี่ยม 6C3 = 20
4 เหลี่ยม 6C4 = 15
5 เหลี่ยม 6C5 = 6
6 เหลี่ยม 6C6 = 1
20 + 15 + 6 + 1 = 42
6
วิธีทา เลือกผู้หญิง C2 วิธี
7
เลือกผู้ชาย C1 วิธี
เลือกนายดาได้ 1 วิธี
สลับงานได้ 4! วิธี
6
C2 x 7C1 x 1 x 4!
ตอบ ข้อ 3 2,520 วิธี
Math Kit EBook ห น้ า 126
10
กรณีทั่วไป C3 มี 10 คนเลือกมา 3 คน
กรณีรับรางวัลพร้อมกัน 1 x 1 x 8
นายสมเกียรติ นางสาวทัศน์กมล นักเรียนที่เหลือ
120 – 8 = 112
การแบ่งกลุ่ม
วิธีทา
วิธเี รียงสับเปลีย
่ นเชิงวงกลม
ถ้านาแต่ละวิธีมาจัดเป็นวงกลม จะได้
A B C
B C A C A B
A B C B C A C A B
เพียง 1 วิธี
A A
B C C B
จานวนวิธีที่หญิงทั้ง 2 คนนั้นต้องนั่งติดกันเสมอ
การทดลองสุม
่ (Random Experiment)
การทดลองสุม
่ คือ การกระทาหรือการทดลองที่ไม่สามารถคาดการณ์คาตอบล่วงหน้าได้
ตัวอย่างของการทดลองสุ่ม เช่น
การโยนเหรียญบาท
การออกสลากกินแบ่งรัฐบาล
การโยนลูกเต๋า
ผลลัพธ์จากการทดลองสุม
่ (Sample space)
ผลลัพธ์จากการทดลองสุม
่ คือ ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดจากการทดลองสุ่ม
ตัวอย่างเช่น
เหตุการณ์ (event)
นิยามของความน่าจะเป็น
n( )
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ P(E) = โดยที่ 0 P(E) 1
n( )
สิง่ ทีค
่ วรรูเ้ กีย
่ วกับความน่าจะเป็น
P(A B) = P(A) + P(B) – P(A B)
P(A ) = 1 – P(A)
P(A – B) = P(A) – P(A B)
ถ้า A B= แล้ว P(A B) P(A) + P(B)
ดังนั้นความน่าจะเป็น คือ =
Math Kit EBook ห น้ า 132
ทฤษฎีบททวินาม
จานวนเต็มบวก พิจารณาการกระจายต่อไปนี้
(x y) = x + y
(x y) = x2+2xy + y2
(x y) = + + +
(x y) = + + + +
(x y) = + + + x
ข้อสังเกตการกระจาย (a+b)n
ดีกรีของแต่ละพจน์จะเท่ากับ n เสมอ
ผลบวกสัมประสิทธ์ทวินามทุกพจน์ คือ 2n
ผลบวกทุกพจน์คือ (a+b)n
สัมประสิทธิ์ทวินามสามารถหาได้จากสามเหลี่ยมปาสคาลหรือใช้การเลือก
Math Kit EBook ห น้ า 133
T7 = T6+1 =10C6(x2)4(– )6
10
C4 x8 ( )6
ตอบ 210
Math Kit EBook ห น้ า 134
บทที่ 12 ทฤษฎีกราฟ
รายละเอียดของกราฟ
จุด
เส้นเชื่อม
วงวน
เส้นเชื่อมขนาน
กราฟอย่างง่าย
กราฟบริบูรณ์
กราฟเติมเต็ม ต้นไม้
ดีกรี ป่า
กราฟย่อย
กราฟเชื่อมโยง ต้นไม้แผ่ทั่ว
ประยุกต์กราฟ กราฟถ่วงน้าหนัก
เดินทางโดยเส้นที่สุด ฯลฯ
Math Kit EBook ห น้ า 135
A C
e1 e2
ตัวอย่าง ที่ 1 กราฟ G
รายละเอียดที่น่าสนใจของกราฟ
วงวน (loop) คือเสนเชื่อมที่อยูในรูป {u,u}
e2 e1 หรือ uu หรือเสนที่มีจุดปลายทั้งสองเปนจุด
เดียวกัน เช่นจุด e1
e3
e4 เส้นเชือ
่ มขนาน (parallel edges) หรือเส
นหลายชั้น (multiple edges) คือเสนเชื่อมที่
มีมากกวา 1 เช่นจุด e2
กราฟอย่างง่าย กราฟบริบูรณ์
คือ กราฟที่ไม่มีวงวนและเส้นเชื่อมขนาน คือกราฟอย่างง่ายที่ 2 จุด ทีต
่ ่างกันต้องเป็นจุด
Ex ประชิดกันเสมอ
Ex
แนวเดิน กราฟเชื่อมโยง
คือลาดับจากัดของจุดยอดและเส้นเชือ
่ มสลับกัน คือกราฟที่ไม่ขาดตอน เป็นกราฟที่ 2 จุดใดๆ
แนวเดินเปิด เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้นและ สามารถมีแนวเดินถึงกันได้
จุดสิ้นสุดเป็นคนละจุด เช่น กราฟ G มีจุดยอด U และ V เป็นจุดยอดที่
แนวเดินปิด เป็นแนวเดินที่มี จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ต่างกันในกราฟ จะต้องมีแนวเดิน U – V
เป็นจุด เดียวกัน Ex
ไม่เป็นกราฟเชื่อมโยง
กราฟออยเลอร์ ต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง และ มีวงจรออยเลอร์ คือวงจรที่ผ่านจุดทุกจุดและ
เส้นเชื่อมบนกราฟ
Ex จงพิจารณาว่ากราฟต่อไปนี้เป็นกราฟออยเลอร์ หรือไม่
เป็นไม่กราฟกราฟออยเลอร์ เนื่องจากมีดีกรี
เป็นเลขคี่
กราฟย่อยของ G
เป็นต้นไม้และป่า เป็นป่าแต่ไม่เป็นต้นไม้
กราฟถ่วงน้าหนัก คือกราฟเส้นเชือ
่ มทุกเชื่อมโดย กราฟต้นไม้แผ่ทั่ว คือ ต้นไม้ที่เป็นกราฟย่อย
แต่ละเส้นเชือ
่ มมีค่าน้าหนัก ของกราฟเชื่อมโยง
กราฟต้นไม้แผ่ทั่วน้อยสุด คือ ต้นไม้ที่มีผลรวม
ค่าน้าหนัก น้อยที่สุด
ตัวอย่างที่ 1 จงพิจาณาข้อความต่อไปนี้
ข้อใด เป็นไปได้เกี่ยวกับกราฟ G
1. 4 แบบ
2. 5 แบบ
3. 6 แบบ
4. 7แบบ
Math Kit EBook ห น้ า 139
แผ่ทั่วน้อยที่สุดได้ดังนี้
Math Kit EBook ห น้ า 140
ตัวอย่างที่ 4 ข้อใดต่อไปนี้เป็นกราฟต้นไม้
1 2
3 4
ตัวอย่างที่ 5 จงพิจารณาว่ากราฟใดต่อไปนี้จัดเป็นกราฟออยเลอร์
1 2
3 4
ข.กราฟ G มีผลรวมดีกรีคือ 30
ค.กราฟ G เป็นกราฟออยเลอร์
1+1+1+3+3+3+5+x–5+x–3+x–2+x = 3
6+4x = 30
4x = 24
x=6
ดังนั้น กราฟนี้จึงประกอบด้วยดีกรี 1, 1, 1, 3, 3, 3, 3, 4, 5, 6
ข้อ ก จึงผิด
บทที่ 13 สถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
สถิติเชิงพรรณนา
ค่ากลางข้อมูล ค่าเฉลี่ยเลขคณิต
มัธยฐาน
ฐานนิยม
การวัดการกระจายของข้อมูล
การวัดการกระจายแบบสัมบูรณ์
พิสัย
ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์
ส่วนเบี่ยงเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน
การวัดการกระจายแบบสัมพัทธ์
สัมประสิทธิ์พิสัย
สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์
สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเฉลี่ย
สัมประสิทธิ์การแปรผัน
การแจกแจงปกติ
ค่ามาตรฐาน (Z)
เส้นตรง
พื้นที่โค้งปกติ พาราโบลา
ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล เอกซ์โพเนนเชียล
อนุกรมเวลา
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประเภทของประชากร
ประชากร
ด้วย S (เอส)
การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
ใช้ในการจัดข้อมูลที่มีอยู่หรือที่ได้เก็บรวบรวมให้ได้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล
1.ข้อมูลที่แจกแจงความถี่ของข้อมูล
อายุ จานวน
30–34 10
35–39 15
40–44 25
45–49 6
50–54 20
ที่สุดของอันตรภาคชั้นที่ติดกันและเป็นช่วงที่สูงกว่าเช่น
คือ 37
อันตรภาคชั้นที่มีช่วงต่ากว่าทั้งหมด
กับผลรวมของความถี่ทั้งหมด
ความถีข
่ องอันตรภาคชั้นนั้น
ความถี่สัมพันธ์ =
ผลรวมของความถีท
่ ั้งหมด
นั้นกับผลรวมความถี่ทั้งหมด
ความถี่ของอันตรภาคชั้นนั้น
ความถี่สะสมสัมพัทธ์ =
ผลรวมของความถี่สะสมทั้งหมด
การเขียนแจกแจงโดยใช้กราฟ
สี่เหลี่ยมแต่ละรูปแทนความถี่ของแต่ละอันตรภาคชั้น
โยงจุดกึ่งกลางของยอดแท่งของฮิสโทแกรมด้วยเส้นตรง โดยเริ่มต้นและสิ้นสุดกึ่งกลางของอันตร
ภาคชั้น
Math Kit Ebook ห น้ า 148
ของเดิม
เส้นกั้น ส่วนหลักหน่วยอยู่หลังเส้นกัน
ตัวอย่าง
0 3 4 5
2 0
4 1 2
11 0 6 8
ค่ากลางของข้อมูล
1.ค่าเฉลี่ยเลขคณิต
ประชาการ
ข้อมูลเดี่ยว ข้อมูลกลุ่ม
ข้อมูลทั่วไป ไม่มีการถ่วงน้าหนัก ∑
=
∑
= x = จุดกึ่งกลางอันตรภาคชัน
้
ข้อมูลถ่วงน้าหนัก f คือความถี่
∑
=
∑
wi คือเลขถ่วงน้าหนักของ xi แต่ละตัว
ข้อมูลหลายชุดนามาหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต
∑
รวม =
∑
กลุ่มตัวอย่าง ̅
ข้อมูลเดี่ยว ข้อมูลกลุ่ม
ข้อมูลทั่วไป ไม่มีการถ่วงน้าหนัก ∑
̅=
∑
̅ = x = จุดกึ่งกลางอันตรภาคชัน
้
ข้อมูลถ่วงน้าหนัก f คือความถี่
∑
̅=
∑
wi คือเลขถ่วงน้าหนักของ xi แต่ละตัว
ข้อมูลหลายชุดนามาหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต
∑ ̅
̅รวม =
∑
คาแนะนา การคิดค่าเฉลีย
่ เลขคณิตข้อมูลกลุ่มแบบลดทอนข้อมูล
Math Kit Ebook ห น้ า 150
คุณสมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต
1.xmax ̅ xmin
2.
i = N̅
i=
3.
( i− )=0
i=
4.
( i − M) มีค่าน้อยสุดเมื่อ M = ̅
i=
2.มัธยฐาน คือข้อมูลที่อยูต
่ าแหน่งกึ่งกลางของข้อมูลที่เรียงจากน้อยไปมาก ใช้สัญลักษณ์ Me หรือ Med
ข้อมูลเดี่ยว Me = Med =
ข้อมูลกลุ่ม Me = ; N คือผลรวมของความถี่
∑
Med = L + I 4 5
L คือขอบล่างของชัน
้ ที่ Me อยู่ f(M) คือความถี่ ณ ชั้น Me อยู่ I คือความกว้างของอันตรภาคชั้น
fm คือ ความถี่ ณ ชัน
้ Me
I คือความกว้างของอันตภาพชั้น
3.ฐานนิยม คือข้อมูลที่มีความถี่สูงสุด ใช้สญ
ั ลักษณ์ Mo หรือ Mod
ข้อมูลเดี่ยว Mo = ข้อมูลที่ซ้ากันมากที่สุด
ข้อมูลกลุ่ม Mo = จุดกึ่งกลางอันตรภาคชั้นที่มีความถี่สงู สุด
Math Kit Ebook ห น้ า 151
รายวิชา คะแนนที่ได้
วิชาสังคมศึกษา 68
วิชาสุขศึกษา 68
วิชาศิลปะ 85
วิชาคณิตศาสตร์ 95
จงหาคะแนนเฉลี่ยและมัธยฐาน
68
มัธยฐาน ตาแหน่งคือ = = 2.5 ซึ่งก็คือ = 76.5
จากการสารวจกลุ่มตัวอย่างของรายวิชาหนึ่งในภาคเรียนที่ 1 ได้ช่วงคะแนนของนักเรียนดังนี้
ช่วงคะแนน จานวนนักเรียน
50 – 60 28
60 – 70 16
70 – 80 38
80 – 90 6
วิธีทา
= =5
Math Kit Ebook ห น้ า 152
= + 65 = 5 + 65 = 70
คะแนนเฉลี่ยคือ 70
ฐานนิยมคือ 75
ตาแหน่งมัธยมฐาน = = 44
= 59.5 +10
= 69.5
เนื่องจากการหาค่าเฉลี่ยเรขาคณิตต้องคานวณหากรณฑ์ที่ N ของจานวนซึ่งทาให้การใช้
สูตรดังกล่าวไม่สะดวกในการหาในกรณีที่มีจานวนข้อมูลมีค่ามากๆ ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการ
คิดจึงใช้ลอการิทึมช่วยในการคานวณ
ข้อมูลที่ไม่แจกแจงความถี่
n
log G.M. = 1
log Xi
N
i=
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่
k
1
log G.M. = fi log Xi
N
i=
โดยที่ Xi คือจุดกึ่งกลางของอันตรภารชั้นที่ i
fi คือแทนความถี่ของข้อมูลอันตรภาคชั้นที่ i
k คือจานวนอันตรภาคชั้น
Math Kit Ebook ห น้ า 153
สาหรับข้อมูลที่แจกแจงความถี่
โดยที่ Xi คือจุดกึ่งกลางของ
ค่าเฉลี่ยอาร์มอนิก H.M. คือ อันตรภารชั้นที่ i
{ }
fi คือแทนความถี่ของข้อมูล
=
k
อันตรภาคชั้นที่ i
fi
k คือจานวนอันตรภาคชั้น
𝑥𝑖
i=
การวัดตาแหน่งข้อมูล
ตาแหน่ง−ความถี่สะสมชั้นก่อนหน้า
ขอบล่าง+ความกว้างอันตรภาคชั้น ( )
ความถี่ ณ ชั้นนัน
้
Math Kit Ebook ห น้ า 154
การวัดการกระจายของข้อมูล
การวัดการกระจายของข้อมูลแบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ
เปรียบเทียบได้
2.การวัดการกระจายแบบสัมพัทธ์ คือการวัดการกระจายของข้อมูลแต่ชุดเพื่อนาเอาค่าที่ได้ไปใช้
เปรียบเทียบการกระจายของข้อมูลกับข้อมูลชุดอื่น
การวัดการกระจายแบบสัมบูรณ์ การวัดการกระจายแบบสัมพัทธ์
1.พิสัย = ค่ามากสุด – ค่าน้อยสุด ค่ามากสุด – ค่าน้อยสุด
1.สัมประสิทธิ์พิสัย =
ค่ามากสุด ค่าน้อยสุด
2.ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ (QD)
2.สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์
= −
3.ส่วนเบี่ยงเบนเฉลีย
่ (MD)
ข้อมูลเดี่ยว 3.สัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย
∑ ̅
MD = หรือ
̅
ข้อมูลกลุ่ม 4.สัมประสิทธิ์การแปรผัน
∑ ̅
MD = เมื่อ x คือจุดกึ่งกลางชั้น ประชากร หรือกลุ่มตัวอย่าง
̅
4.ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)
ข้อมูลเดี่ยว
∑( ) ∑
ประชากร =√ = √ −
∑( ̅)
กลุ่มตัวอย่าง SD =√
∑ ̅
= √
Math Kit Ebook ห น้ า 155
ข้อมูลกลุ่ม
∑ ( )
ประชากร =√
∑
=√ −
กลุ่มตัวอย่าง SD
∑ (
SD =√
̅)
= √∑
เรียกว่าความแปรปรวน (Variance) หรือใช้
สัญลักษณ์
ข้อควรรู้ ส่วนเบีย
่ งเบนมาตรฐานประมาณ
จากกฎ 95% โดยพิจารณาข้อมูลโดยพิจารณาจากพิสย
ั ถ้าประมาณ 95% ของข้อมูลทั้งหมดอยู่ในช่วง
( ̅ – 2s, ̅ + 2s) แล้วมีค่าประมาณ 4 เท่าของส่วนเบีย
่ นเบนมาตรฐาน
คือ ค่าพิสัย
4
สมบัติของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ข้อมูลชุดนั้น ในแต่ละค่าไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยเลขคณิต
2.ส่วนเบี่ยงเบนเป็นการวัดการกระจายที่ให้ค่าลักษณะข้อมูลได้ละเอียดและดีที่สุดและเป็นการวัด
การกระจายที่ใช้กันมากที่สุด
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลชุดเดิม
Sใหม่ = | k | Sเดิม
Math Kit Ebook ห น้ า 156
โดยแต่ละส่วนจะมีจานวนประชากรร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด
ความสัมพันธ์ระหว่างการแจกแจงความถี่ ค่ากลางและการกระจายของข้อมูล
จากภาพเป็นการแจกแจงในรูปของโค้งปกติ
โค้งเบ้ขวา
โค้งเบ้ซ้าย
Math Kit Ebook ห น้ า 157
̅ ̅
= หรือ =
คุณสมบัติของค่ามาตรฐาน
1. ∑ = 0 เสมอ
พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติ
68.27%
95.45%
99.73%
ทางขวาของค่าเฉลีย
่ เลขคณิต เท่ากันคือ 50% ของพื้นที่ทั้งหมด
Math Kit Ebook ห น้ า 158
พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติ
ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน
1.ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันแบบเส้นตรง
มีสมการเป็น ̂ = ax +b (ทานายค่า y)
จากสมการปกติ คือ ∑ = ∑ N ––––– (1)
∑ = ∑ ∑ – (2)
ที่มาของสมการปกติ (1) เกิดจากสมการทานาย y = ax + b คูณด้วยซิกมา (∑)
∑ y = ∑ (ax + b)
∑y=a∑x+∑b
∑ y = a ∑ x + N(b) จากสมบัติของซิกมาค่าคงที่
ที่มาของสมการปกติ (2) เกิดจากสมการทานาย y = ax + b คูณด้วยซิกมา (∑ x)
∑ xy = ∑ (ax + b)
∑ xy = a ∑ x2 + b ∑ x
3.ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันแบบเอกซ์โพเนนเซียล
มีสมการเป็น y=abx หรือ log ̂ = log a + log b
จากสมการปกติ คือ ∑ log = (log ) ∑ N log
∑ log = (log ) ∑ (log )∑
ตัวอย่างที่ 1 ถ้าสมการแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างต้นทุนกับจานวนสินค้าที่ผลิตคือ
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ข้อใดถูกต้อง
ผลิตเป็นตัวแปรหลัก ดังนั้นข้อนี้จึงผิดเพราะเราต้องสร้างสมการหาค่า x
y = 405
ข้อ ข จึงผิด
ตัวอย่างที่ 2 จงพิจาณาข้อความต่อไปนี้
ก.สมการเชิงสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเป็นสมการพาราโบลา
พาราโบลา
ข้อ ข พิจารณาสมการทานายเมื่อ x = 10
= 50 + 10000 – 3000
= 7050
Math Kit Ebook ห น้ า 161
x2(3x + 6) − 4(3x + 6) =0
(x2 − 4)(3x + 6) =0
(x − 2)(x +2)(3x + 6) =0
x = 2, −2
ผลคูณคาตอบของสมการ คือ –4
= −4096
ดังนั้นข้อ ข จึงผิด
ข้อ ค พิจารณาสมการทานายเมื่อ x = 5
= 2012.5
ดังนั้นข้อ ค จึงถูก
บทที่ 14 ลาดับอนุกรม
ลาดับ
ลาดับจากัด
เลขคณิต
เรขาคณิต
ผสม
ลาดับอนันต์
อนุกรมเลขคณิต
เลขคณิต
เรขาคณิต อนุกรมเรขาคณิต
ผสม อนุกรมผสม
อนุกรมจากัด
อนุกรม อนุกรมเศษส่วนย่อย
ประเภทอนุกรม
อนุกรมอนันต์ อนุกรมเรขาคณิตอนันต์
อนุกรมผสมเรขาคณิตอนันต์
อนุกรมเลขคณิต อนุกรมเศษส่วนย่อยอนันต์
อนุกรมเรขาคณิต
อนุกรมผสมเรขาคณิต
อนุกรมเศษส่วนย่อย
ลาดับ คือเซตของจานวนที่เรียงตัวอย่างเป็นระบบระเบียบ
ผลบวกของพจน์ทุกพจน์
Math Kit Ebook ห น้ า 163
จากรูปข้างต้นพบว่า ลาดับรูปจานวนจุดมีความสัมพันธ์ดังนี้
รูปที่ 1 2 3 4 5
จานวนจุด 1 3 6 10 15
จากตารางดังกล่าว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของลาดับของรูปและจานวนจุด โดยมี
ความสัมพันธ์ที่เป็นฟังก์ชันโดยจานวนรูปที่เป็นโดเมน {1,2,3,4,5}และมีจานวนจุดเป็นเรนจ์
{1,3,6,10,15} ของฟังก์ชัน
นิยาม ฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซตของจานวนเต็มบวกหรือสับเซตของจานวนเต็มบวกในรูป
{1, 2, 3, 4, … , n}
ลาดับที่ 1 2 3 4 5 ... n …
จานวน 1 3 5 7 9 … 2n – 1 ...
จากตารางแสดงให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์โดยลาดับเป็นโดเมน และมีเรนจ์ซึ่งมีความ
เกี่ยวข้องกับโดเมน
จานวนซึ่งมีความสัมพันธ์กับลาดับคือ 2(5) – 1 = 9
Math Kit Ebook ห น้ า 164
ตัวอย่างของลาดับ
1) 7, 14 , 21 , 28 , 35 , 42 เป็นลาดับจากัดซึ่งมีค่าเพิ่มขึ้นคงที่ เพิ่มขึ้นครั้งละ 7
ตัวอย่าง จงพิจารณาลาดับต่อไปนี้แล้วหาพจน์ทั่วไป 1, 3, 5, 7, …
b = –1
ดังนั้นพจน์ทั่วไป an = 2n – 1
พิจารณาจากข้อมูลทาให้เราทราบว่าลาดับต่อไปนี้มี อัตราส่วนร่วมเป็น 2
b=0
ในการหาพจน์ทั่วไปของลาดับ ถ้าระหว่างพจน์มีผลต่างเป็นจานวนคงในการหาครั้งที่ 2
(5) – (4) 2a = 4
a=2
c = –4
ดังนั้นพจน์ทั่วไป an = 2n2+7n – 4
พิจารณาความสัมพันธ์ของพจน์ในลาดับจะเห็นว่า
พจน์ที่ 1 2
พจน์ที่ 2 4 = 2 x 2 = 22
พจน์ที่ 3 8 = 4 x 2 = 23
พจน์ที่ 4 16 = 8 x 2 = 24
พจน์ทั่วไปของลาดับต่อไปนี้คือ 2n
Math Kit Ebook ห น้ า 167
ประเภทของลาดับ Ex จงหาพจน์ที่ 10
1.ลาดับเลขคณิต(arithmetic sequence) 1.1, 3, 5, … เป็นลาดับเลขคณิต d คือ 2
คือลาดับที่มีผลต่างของพจน์ที่อยู่ติดกันคงที่ a10 = 1+(10–1)2 จะได้ 19
an = a1 + (n – 1)d d คือผลต่างร่วม 2. 1, 4, 16, … เป็นลาดับเรขาคณิต
(common difference) อัตราส่วนร่วมคือ 4
a10 = 1(4)10–1 จะได้ 262144
2.ลาดับเรขาคณิต (geometric sequence)
คือลาดับทีอ
่ ัตราส่วนระหว่างพจน์ที่ติดกันกับพจน์
ข้างหน้ามีค่าคงที่
an=a1rn–1 r คืออัตราต่างร่วม(ratio)
ชนิดของลาดับ Ex
1.ลาดับคอนเวอร์เจนต์หรือลาดับลู่เข้า 1. 6𝑛 17𝑛 − 1
l
(Convergent sequence) คือลาดับที่หา n 2𝑛 − 1
ได้ l
n
ได้แก่ 1.ลาดับเลขคณิตที่ ผลต่างร่วม(d) มีค่าเป็น 0 ให้ใช้ตัวดีกรีมากที่สุดหารทั้งเศษและส่วน ด้วย
2.ลาดับเราขาคณิตทีอ
่ ต
ั ราส่วนร่วม(r)เป็น 1 แล้วจะได้คาตอบเป็น หรือ 3
3.ลาดับเรขาคณิตที่ | r | < 1 จึงเป็นลาดับคอนเวอร์เจนต์
4.ลาดับใดๆ ที่สามารถหาค่า l ได้
n
6𝑛 17𝑛 − 1
2. l
2.ลาดับไดเวอร์เจนต์หรือลาดับลู่ออก (divergent
n 2𝑛 − 1
คุณสมบัติของ l
n
1. l c โดยที่ c เป็นค่าคงที่ แล้ว l c=c
n n
2. l can = c l an
n n
3. l (an+ bn) = l an + l bn
n n n
4. l (an – bn) = l an – l bn
n n n
5. l (an bn) = l an l bn
n n n
l
6. l ( )= l
และ l bn ≠ 0
n n
Math Kit Ebook ห น้ า 168
a1 =7
เมื่อเรานาค่าที่ได้มาเขียนใหม่ a1 + a2 + a3 = 57
a1 + 7 + a3 = 57
7r–1 + 7r = 50
7r2 – 50r +7 = 0
(7r – 1)(r – 7) =0
r = 7,
ดังนั้นค่ามากที่สุดคือ 49
Math Kit Ebook ห น้ า 169
ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่าต่อไปนี้ l
n
วิธีทา ให้นา n กาลังดีกรีสูงสุดหารทั้งเศษและส่วน
( ) ( )
จะได้ l = l
n ( ) n ( )
0 0
( )
= l
n ( )
0 0
=
ตอบ
จะได้ l
n
แล้วนา ฐานที่มากที่สุดหารทั้งเศษและส่วน
( )
จะได้ l =
n ( )
= 25
ตอบ 25
( )( in )
ตัวอย่างที่ 5 จงหาค่าต่อไปนี้ l
n
วิธีทา พิจารณาจากลิมิตพบว่าตัวส่วนมีการเพิ่มขึ้นเร็วกว่าตัวเศษเพราะฉะนั้นแล้วลิมิตจะมีค่า
เข้าใกล้ศูนย์ พิจารณาฟังก์ชันลอการิทึมเป็นฟังก์ชันที่เพิ่มช้ามากซึ่งคูณกับฟังก์ชันไซน์ซึ่งมีค่าอยู่
ตอบ 0
ข้อควรรู้
อัตราการเพิ่มขึ้น แฟกทอเรียล > ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเซียล > พหุหาม > ฟังก์ชันลอการริทึม
Math Kit Ebook ห น้ า 170
เราสามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้คือ 1 + 2 + 4 + 8 + 16 + 32 + 64
สัญลักษณ์แทนการบวก
กล่าวว่า a1 + a2 + a3 + … + an สามารถเขียนแทนด้วย
n
อ่านว่า การบวก ai เมื่อ i มีค่าตั้งแต่ 1 ถึง n
=
ตัวอย่างการใช้สัญลักษณ์แทนการบวก
1. แทน 1 + 2 + 3 + 4 + 5
=
2 แทน 12 + 22 + 32 + 42 + 52
=
3 แทน (2+1) + (4+1) + (6 + 1)
(2 1)
= ซึ่งมีค่าเท่ากับ 3 + 5 + 7
4 แทน (2+1) + (4+1) + (6 + 1) + (8+1) + …
(2 1)
=
Math Kit Ebook ห น้ า 171
(2 5)
=
วิธีทา ให้ Sn =
n
n = (2 5)
i=
= (4 20 25)
i=
= 4 20 25)
i= = =
n
= 4 20 25( ))
i= =
(2 1)( 1) ( 1)
= 44 5 20 ( ) 25
6 2
อนุกรมที่สาคัญ ข้อควรระวัง
( )
1. ∑ = 1+2+3+…+n =
2 2 2 2
( )( ) =
2. ∑ = 1+2 +3 +…+n =
3. ∑
3
= 1+2 +3 +…+n =0
3 3 3
( )
1 เป็นอนุกรมที่เริ่มต้นจาก –1 บวกไปถึงพจน์ที่ n
Math Kit Ebook ห น้ า 172
คุณสมบัติของ ∑
1.
= ( )
=
n n
2. f( ) = f( )
i= i=
n n n
3.
,f( ) g( )- = f( ) g( )
i= i= i=
( ) ( )
= เมื่อ r > 1 =
= 2(3n–1)
S∞ = 𝑛l n = 𝑎𝑖
𝑖=
อนุกรมเรขาคณิตอนันต์
S∞ = และ | r | < 1
ตัวอย่างที่ 8 จงหาผลบวกของอนุกรมต่อไปนี้
S∞ = 8 + 4 + 2 + 1 + +…
วิธีทา a1 = 8 r=
= 4
S8 = [5+12]
= 68
[ . / ]
S8 =
0 1
=
นาอนุกรมทั้ง 2 ชุดมาบวกกันจะได้ 69
Math Kit Ebook ห น้ า 174
บทที่ 15 แคลคูลัสพื้นฐาน
อัตราการเปลี่ยนเฉลี่ย
อนุพันธ์ของฟังก์ชัน (อัตราการเปลี่ยนขณะใดๆ )
ความชันเส้นโค้ง
ค่าสูงสุด ค่าต่าสุด
ประยุกต์อนุพันธ์
ปฏิยานุพันธ์ของฟังก์ชัน
ปริพันธ์ไม่จากัดเขต
ปริพันธ์จากัดเขต
พื้นที่ใต้กราฟ
แคลคูลส
ั ถูกใช้ประโยชน์ทั้งทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีอย่างกว้างขวางซึ่งเป็นพื้นฐานในการคานวณขั้นสูง
ต่อไป
Math Kit Ebook ห น้ า 175
x f(x) x f(x)
1.0 2 3 6
1.5 3 2.5 5
1.8 3.6 2.1 4.2
1.9 3.8 2.05 4.1
1.99 3.98 2.01 4.02
1.999 3.998 2.001 4.002
ลิมิต คือค่าเข้าใกล้ค่าคงตัวจานวนหนึ่ง
l f( ) (ลิมิตทางขวาของ a ) คือ ลิมิตของ
2
ฟังก์ชันเมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางขวา (x > a) 1
l f( ) (ลิมิตทางซ้ายของ a ) คือ ลิมิตของ
ฟังก์ชัน เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางขวา (x < a)
l f( ) = 2
l f( ) = 1
– a +
a a
l f( ) จะหาได้ก็ต่อเมื่อ ดังนั้นเราไม่สามารถหาค่า l f( )
l f( ) = l f( )
ลิมิตทางซ้าย ต้องเท่ากับลิมต
ิ ทางขวา
จงพิจารณาฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องหรือไม่
−3 1
f(x) { −2 = 1
1
วิธีทา หา l f( ) 1 – 3 = –2
หา l f( ) = = –2
หา f(1) –2(1) = –2
ฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง
Math Kit Ebook ห น้ า 177
ตัวอย่างที่ 2 จงตอบคาหาค่าต่อไปนี้โดยพิจารณาจากกราฟ
f(x) 1) l f( )
2) l f( )
3) l f( )
4) f(1)
5) ฟังก์ชันต่อเนื่องหรือไม่
ดังนั้น l f( ) = 2
ดังนั้น l f( ) = 4
3) เนื่องจาก l f( ) l f( )
ดังนั้น l f( ) จึงหาค่าไม่ได้
4) f(1) = 4
5) ฟังก์ชันต่อไปนี้ไม่ต่อเนื่องที่ x = 1 เพราะ l f( ) l f( )
ทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต
2. l can = c l an
n n
3. l (an+ bn) =l an +l bn
n n n
4. l (an – bn) =l an – l bn
n n n
5. l (an bn) =l an l bn
n n n
i
6. l ( )= และ l bn ≠ 0
n i n
7. l (f(x))n = [l f(x)]n
n n
Math Kit Ebook ห น้ า 178
ตัวอย่างที่ 3 จงหาลิมิตข้อต่อไปนี้
3) l 2 − 33
ให้เราแทนเลขลงไปจะได้ เป็น −3
จะได้คาตอบคือ –1
แต่เนื่องจากค่าเข้าใกล้มีจานวนมากมายเป็นเซตอนันต์ เขาจึงกาหนดว่าเมื่อได้คาตอบตัวใดออกมา
ให้ตอบตัวนั้นเลย คือ –1
( )( )
เราจึงต้องจัดรูปเป็น 3=l
( )
l 2 ( )
2 3
=l *−( 2)+
กฎของโลปิตาล(L'Hôpital's rule)
= l
( ) ( )
l
( ) ( )
= l
( ) ( )
l
( ) ( )
ตัวอย่างที่ 4
1 0
4.1) กาหนดให้ f( ) = {6 − 5 0 4
3 4
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ว่าข้อใดถูกต้อง
ก. l f( ) = 12
ข. l f( 2) = 13
วิธีทาพิจารณา
ก ตรวจสอบลิมิตทางซ้าย ข l f( 2) = l f(3)
l f( ) = 6x – 5 = 6x – 5
= 6(4) – 5 = 6(3) –5
= 19 = 13
ตรวจสอบลิมิตทางขวา
l f( ) = 3x
= 3(4)
= 12
l f( ) ≠ l f( )
ดังนั้น l f( ) หาไม่ได้ข้อ ก ผิด
ดังนั้นข้อ ข ถูกต้อง
Math Kit Ebook ห น้ า 180
− √5 −
1
f( ) = −1
=1
{ 2 −1 1
√
วิธีทา พิจารณา เมื่อ x = 1 จะทาให้ส่วนเป็น 0 มีเพียงกรณีเดียวที่ทาให้ส่วนเป็น 0 คือ
ดังนั้น a – √5 − =0
ที่จุด x = 1 จะได้ว่า a – √5 − 1 = 0 ; a = 2
√ 2 −1 =
ดังนั้น b =
เมื่อ x = 1 2c(1) =
√ √
= c =
√
( )
=
( √ )
=
( √ )
เมื่อ x = 1 =
( √ )
=
5
–2(a + b–1c) = –2[(2) + 4( )]
8
= –2[2 + 5 ]
2
= –4 – 5
= –9
ตอบ –9
Math Kit Ebook ห น้ า 181
อัตราการเปลี่ยนแปลงและอนุพันธ์ของฟังก์ชัน
( ) ( ) ( ) ( )
อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลีย
่ ของ f(x) เทียบ x ในช่วง x+h คือ หรือ
=
= 6
Math Kit Ebook ห น้ า 182
ตัวอย่างที่ 5 จงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชันต่อไปนี้
วิธีทา 1. f(x) = x3 – 3x +7
f (x) = 3x2 – 3
= 10(2x + 3)4
ตัวอย่างที่ 6 ให้ f(x) = x3 – x2+ 2x – 1 , g(x) = f (x) จงหา (gof)(x) และ (gof)(1)
f (x) = 3x2 – 2x +2
f (x) = 6x – 2
ดังนั้น g(x) = 6x – 2
= 6(x3 – x2+ 2x – 1) – 2
= 6 – 6 + 12 – 8
=4
Math Kit Ebook ห น้ า 184
จงหา B – 4AC
= (f (5))(7)
= (9)(7)
= 63 = A
พิจารณา B – 4AC
= 1023 – (4)(63)(5)
= 1023 – 1260
= – 37
ตอบ – 37
Math Kit Ebook ห น้ า 186
การประยุกต์อนุพน
ั ธ์
ฟังก์ชัน เพิ่ม คือฟังก์ชันที่เมื่อ ค่า x เพิ่มขึ้น แล้วทาให้ค่า y เพิ่มขึ้น หาได้จาก เมื่อ f′(x) > 0
ค่าสูงสุดและค่าต่าสุด
1. การหาอนุพันธ์ระดับหนึ่ง
วิธีการหาค่าสูงสุดสัมบูรณ์และค่าต่าสุดสัมบูรณ์
ต่าสุดสัมบูรณ์ของฟังก์ชัน f ตามขั้นตอนดังนี้
2. หาค่าของฟังก์ชัน ณ ค่าวิกฤตที่ได้
ช่วงปิด [0,2]
f (x) = 3x2 – 3
= 3(x2 – 1)
= 3(x – 1)(x + 1)
ในช่วง [0,2]
วาดกราฟ
1.ปริพันธ์ไม่จากัดขอบเขต
2.ปริพันธ์จากัดเขต
ปริพันธ์ไม่จากัดขอบเขต Ex จงหาค่าของ ∫ 8( )
1. ∫ = kx+c ( )
วิธีทา =
2. ∫ = +c = 2(x)4 + c
n
3. ∫ f( ) = ∫ f( )
4. ∫(f( ) g( )) = ∫ f( ) ∫ g( )
ข้อควรระวัง ∫(f( ) g( )) กระจายไม่ได้
ปริพันธ์จากัดเขต Ex
(8𝑥 3𝑥 − 1)𝑑𝑥
นิยาม f(x) = f′ (x) ปริพน
ั ธ์จากัดเขตของฟังก์ชน
ั
ต่อเนือ
่ ง f บนช่วง x = a ถึง x=b คือ
3
= 2x4 + x2–z+c
–2
a คือขอบล่าง b คือขอบบน
= [2(3)4 + (3)2–(3)+c ]–[2(–2)4 + (–2)2–(–
2)+c ]
= 130 + 7.5 – 5
= 132.5
การประยุกต์ปริพันธ์กับพื้นทีใ่ ต้โค้ง จงหาพื้นที่ใต้กราฟต่อไปนี้ f(x) = − ตั้งแต่ x= 0
ถ้ากราฟอยู่เหนือแกน x ถึง 2
𝑏
พื้นที่ =
𝑓(𝑥)𝑑𝑥
𝑎
ถ้ากราฟอยู่ใต้แกน x
𝑏
พื้นที่ = − 𝑓(𝑥)𝑑𝑥
𝑎 A = −∫ ( )
เมื่อกราฟ 2 กราฟซ้อนกัน = −∫ −
= [–4] – [0]
A = –4
ดังนั้น พื้นที่ใต้กราฟ คือ 4
ใช้พื้นที่กราฟบน – พื้นที่กราฟล่าง
Math Kit Ebook ห น้ า 189
ตัวอย่างที่ 9 ถ้า f = 2x3 – 3x2 +1 และ f(2) = 3 แล้ว f(−1) มีค่าเท่ากับข้อใดในต่อไปนี้ (Ent)
x2 2
ดังนั้นตอบข้อ 3
12 = 4 – F(5)
F(5) = –8
Math Kit Ebook ห น้ า 190
บทที่ 16 กาหนดการเชิงเส้น
สมการเชิงเส้น
สมการจุดประสงค์
อสมการข้อจากัด
การแก้ปัญหาหาค่ามากสุด ค่าน้อยสุด
กาหนดการเชิงเส้น เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาการจัดสรร
ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Math Kit Ebook ห น้ า 191
ตัวอย่างที่ 1 จงวาดกราฟของสมการต่อไปนี้ 5x + 3y = 15
มีความชันเป็น –
กาหนดการเชิงเส้น จะอยู่ในรูปแบบทางคณิตศาสตร์ของสมการเชิงเส้นและอสมการเชิง
คณิตศาสตร์ประกอบด้วย
Math Kit Ebook ห น้ า 192
P = ax +by (ค่าสูงสุด)
C = ax +by (ค่าน้อยสุด)
เช่น P = 5x + 12y
หลักการแก้ปัญหา
1. ให้นาอสมการข้อจากัดไปวาดกราฟ
3. ในกรณีพื้นที่เปิดอาจจะมีค่าสูงสุด,ต่าสุด หรือไม่ก็ได้
Math Kit Ebook ห น้ า 193
0 + y = 10
y = 10 เมื่อ y = 10 x = 0
x + 5 = 10
x = 5 เมื่อ x = 5 แล้ว y = 5
วิธีทาที่ 1 แทนค่าลงไปในแต่ละจุด
จุดมุม P = 3x – 2y
A(0,5) 3(0) – 2(5) = –10
B(0,10) 3(0) – 2(10) = –20
C(5,5) 3(5) – 2(5) = 5
P สูงสุดเมื่อ x = 5 y = 5 โดยที่ P = 5
Math Kit Ebook ห น้ า 194
วิธีทาที่ 2 จัดรูปหาความชัน
ขั้นที่ 1 จัดรูปเพื่อให้สามารถหาความชันได้ในสมการจุดประสงค์
P = 3x – 2y
2y = 3x – P
y= x–
P = 3(–3) – 2(–6) = 3
จากตรวจสอบพบว่าเมื่อจุดใดๆที่อยู่ใต้กราฟจุดประสงค์จะมีค่ามาก
ขั้นตอนที่ 3 ให้เลื่อนกราฟเพื่อหาคาตาแหน่งที่ต้องการ
จากสมการจุดประสงค์ให้เลื่อนกราฟจากบริเวณมากไปน้อยดังรูปข้างต้นเมื่อสมการจุดประสงค์จะ
ข้อควรระวังเมื่อใช้วิธีทาที่ 2 จัดรูปหาความชัน
รูปแบบการเลื่อนเพื่อหาตาแหน่งในโจทย์แต่ละข้อจะได้วิธีทาที่ไม่เหมือนกัน
ให้โจทย์ข้อนี้
จากตาแหน่งน้อยมามาย เพื่อหาจุดต่าสุด เมื่อสมการจุดประสงค์ตัดที่จุดแรกใดในพื้นที่
ดังนั้นจุด B จึงมีค่าต่าสุด
Math Kit Ebook ห น้ า 196
2x + y ≥ 50
x+2 ≥70
x ≥ 0 , y≥0
วิธีทา ขั้นแรกให้วาดกราฟ
จุดที่กราฟทั้ง 2 กราฟตัดกันคือ
2x+y=50 ––––– (1)
x+2y=70 ––––– (2)
(1)×2 4x+2y=100 –– (3)
(3) – (2) 3x = 30
x = 10
y=3
เนื่องจาก สมการจุดประสงค์เราไม่สามารถหาความชันได้เนื่องจากติดค่า a
(x,y) P = ax + 2y P
(0,0) a(0)+2(0) 0
(0,35) a(0)+2(35) 70
(25,0) a(25)+2(0) 25a
(10,30) a(10)+2(30) 10a+60
ดังนั้นค่า P สูงสุดจะเกิดขึ้นที่จุด (10,30)
P = 10a + 60
100 = 10a + 60
40 = 10a
a =4
ดังนั้น ตอบข้อ 2
Math Kit Ebook ห น้ า 197
ตัวอย่างที่ 2 กาหนดฟังก์ชันจุดประสงค์และอสมการข้อจากัดดังนี้
C = 40x +32y
6x + 2y 12
2x + 2y 8
4x +12y 24
y =− x+ C ความชัน m = − หรือ −
Math Kit Ebook ห น้ า 198
ตรวจสอบกราฟ สมการจุดประสงค์
ดังนั้นเพื่อให้ได้ค่าน้อยที่สุด ต้องเลื่อนกราฟจากด้านล่างเมื่อกราฟสมการตัดประสงค์ตัด
จุดใดเป็นจุดแรกแสดงว่าจุดนั้นเป็นค่าน้อยสุด
เลื่อนกราฟสมการจุดประสงค์
จากการตรวจสอบด้วยความชันพบว่าสมการ
จุดประสงค์ที่จุด Z เป็นจุดแรกดังนั้นจุด Z จึงมี
ค่าน้อยสุด
นาพิกัดของ Z มาแทนลงในสมการจุดประสงค์จะได้คาตอบ
C = 40( ) +32( )
= 108
เราสามารถจาแนกเรื่องบทเรียนคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
สาหรับการเตรียมตัวสอบ ผมอยากจะให้เตรียมตัวก่อนสอบในโรงเรียนประมาณ 2
หนังสือสรุปอาจจะสรุปข้ามบางเนื้อหา ข้อสอบคัดเลือกส่วนใหญ่จะออกข้อสอบโดยอ้างอิงเนื้อหา
กลางหรือข้อสอบที่ยากกว่าข้อสอบระบบกลาง ถ้าหากมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามที่ชุมชน
คณิตศาสตร์ได้ที่ http://www.mathcenter.net/forum/
จัดทาขึ้นเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของผู้อ่าน ดังนั้นการเพิ่มความเข้าใจหรือพื้นฐานสาคัญก็มาจาก
ทางผู้เขียนแจกฟรีในทุกช่องทาง และจะพัฒนาต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการพัฒนาหนังสือต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา
ท่านผู้อ่าน หากท่านเห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นประโยชน์ก็สามารถบริจาคเงินในการสนับสนุนการ
ประสงค์
บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย
เลขที่บัญชี 081–2–76272–9
ชื่อบัญชี คณิน อังศุนิตย์
ผู้เขียน เงินสนับสนุนของท่านที่ท่านเสียสละในการพัฒนาหนังสือสื่อเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ
สังคม สืบต่อไป
ขอขอบพระคุณ
อาจารย์ยุทธนา เฉลิมเกียรติสกุล
อาจารย์สุวรีย์ เมธาวีวินิจ