Professional Documents
Culture Documents
Hihihihi
Hihihihi
การอ่านและพิจารณาวรรณคดีเรื่อง คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
โดย
นายอัฐวุฒิ อนันต์ญาภา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 เลขที่ 1
นายพัสกร บุญเกิด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 เลขที่ 3
นางสาวชนิกา ภู่พัทธยากร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 เลขที่ 15
เสนอ
อ.พนมศักดิ์ มนูญปรัชญาภรณ์
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning)
รายวิชาภาษาไทยและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
รายงานเชิงวิชาการ
การอ่านและพิจารณาวรรณคดีเรื่อง คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
โดย
นายอัฐวุฒิ อนันต์ญาภา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 เลขที่ 1
นายพัสกร บุญเกิด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 เลขที่ 3
นางสาวชนิกา ภู่พัทธยากร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 เลขที่ 15
เสนอ
อ.พนมศักดิ์ มนูญปรัชญาภรณ์
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning)
รายวิชาภาษาไทยและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ก
คำนำ
ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้มาศึกษา
เป็นอย่างดี และทางคณะผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยให้รายงานเล่มนี้สำเร็จมา ณ โอกาสนี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
ก
สารบัญ
หน้า
1. การอ่านและพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม 1
1.1 เนื้อเรื่อง หรือเนื้อเรื่องย่อ 1
1.2 โครงเรื่อง 1
1.3 บทรำพึงรำพัน 1
1.4 แก่นเรื่อง 2
2. การอ่านและพิจารณาการใช้ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม 2
2.1 การสรรคำ 2
2.2 การเรียบเรียงคำ 3
2.3 การใช้โวหาร 3
3. การอ่านและพิจารณาประโยชน์หรือคุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรม 5
3.1 คุณค่าด้านอารมณ์ 5
3.2 คุณค่าด้านคุณธรรม 5
3.3 คุณค่าด้านอื่นๆ 6
บรรณานุกรม 7
Z1
1. การอ่านและพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีวรรณคดีและวรรณกรรม
1.1 เนื้อเรื่อง
ในคัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ กวีได้เปิดเนื้อเรื่องโดยการเปรียบร่างกายของมนุษย์ทุก
คน ทั้งชายหญิงเสมือนเมืองเมืองหนึ่ง โดยมีหลายองค์ประกอบในเมืองนั้น มีหัวใจคือพระราชา มีน้ำดีเป็น
ภูมิคุ้มกัน ข้าศึกหรือโรคภัย มีอาหารเป็นเสบียงเพื่อเลี้ยงผู้คนในประเทศ และท้ายสุด มีแพทย์ที่คอยปกป้อง
ร่างกายและ องค์ประกอบต่างๆที่กล่าวมาจากโรคภัยนานาชนิดเสมือนทหาร จากนั้น ผู้แต่งก็กล่าวถึงความ
สำคัญของ การวินัจฉัยโรคร้ายอย่างแม่นยำและทันกาล เพราะมิฉะนั้นอาจใช้วิธีการรักษาที่ผิดและรักษาได้
ไม่ทันกาล จนทำให้ ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตได้ หลังจากนั้นผู้แต่งได้กล่าวตักเตือนถึงแพทย์ที่อวดรู้ว่าอย่าได้ดูถูก
โรคร้าย ว่าเป็นเรื่องที่สามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดาย เพราะหากเกิดผิดพลาดขึ้นมาจะไม่เป็นการดีต่อ
ตัวผู้ป่วย และตัวแพทย์เอง แพทย์ที่ไม่ได้เรียนตำราหรือมีความรู้อย่างถ่องแท้จึงควรที่จะศึกษาจากคัมภีร์พุทธ
ไสย์ให้เข้าใจจนกระจ่างเสียก่อนที่จะทำการรักษา
1.2 โครงเรื่อง
อาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ต้องมีจรรยาบรรณ ผู้รักษาต้องมีความชำนาญและความรู้อย่างถ่องแท้ การ
รักษาของแพทย์ต้องดำเนินการด้วยความแม่นยำและรวดเร็ว มิเช่นนั้นผู้ป่วยอาจถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น อาชีพ
แพทย์จึงเป็นอาชีพที่มีความซับซ้อนและมีความสำคัญต่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก
1.3 บทเจรจารำพึงรำพัน
บทของกาพย์ยานี 11 ดังต่อไปนี้ คือตัวอย่างของบทรำพึงรำพันที่ผู้เขียนได้แต่งขึ้นเพื่อต้องการที่จะ
สื่อความรู้และความในใจให้ผู้อ่านได้ทราบและเข้าใจ
เมื่ออ่อนรักษาได้ แก่แล้วไซร้ยากนักหนา
ไข้นั้นอุปมา เหมือนเพลิงป่าไหม้ลุกลาม
โรคคือครุกรรม บรรจบจำอย่างพึ่งทาย
กล่าวเล่ห์อุบายหมาย ด้วยโลภหลงในลาภา
Z2
บ้างรู้แต่ยากวาด เที่ยวอวดอาจไม่เกรงภัย
โรคน้อยให้หนักไป ดังก่อกรรมให้ติดกาย
จากตัวอย่างข้างต้นผู้แต่งได้ทำการยกตัวอย่างแพทย์ที่มีไม่มีความเชี่ยวชาญในประเภทและชนิดของ
ยา ที่ได้ให้ยาแก่ผู้ป่วยผิดไป ผู้แต่งจึงได้ตัดสินว่าแพทย์จำพวกนี้ชอบด่วนสรุปชนิดของโรคและให้ชนิดของยา ที่
ผิดเพี้ยนไปโดยไม่คำนึงถึงภัยคุกคามที่มีโอกาสจะตามมา ผู้แต่งยังต้องการจะสื่ออีกด้วยว่า หากเกิดอะไรไม่ดี
ขึ้นกับผู้ป่วย แพทย์ผู้นั้นจะติดตราบาปไปอีกยาวนาน
บทรำพึงรำพังที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ทำหน้าที่ในการสื่อสารความที่กวีต้องการจะบอกได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและช่วยในการสร้างอรรถรสให้กับผู้อ่าน บทรำพึงรำพันจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญใน การ
ประพันธ์บทประพันธ์นี้ขึ้นมา
1.4 แก่นเรื่อง
แก่นเรื่องของเรื่องนี้มีอยู่สองประเด็นหลัก คือ อาชีพแพทย์มิใช่อาชีพที่ทำเพื่อหวังแต่ผลกำไร มิใช่
อาชีพที่คนเห็นแก่ตัวจะสามารถทำและเกิดประโยชน์ได้ แต่เป็นอาชีพที่มีไว้รักษาคนให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ
และความตาย อีกทั้งแพทย์ยังเป็นอาชีพที่ต้องมีความชำนาญ เป็นบุคคลที่สำคัญต่อร่างกาย สังคม และ บ้าน
เมืองเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาสามารถวินิจฉัยโรคด้วยความถูกต้องแม่นยำในเวลาอันรวดเร็ว และสั่งยาได้
ตรงกับโรคนั้นๆ ก่อนที่โรคร้ายจะขยายตัวและทวีความรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นอันตรายแก่ชีวิต
2. การอ่านและพิจารณาการใช้ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม
2.1 การสรรคำ
กวีเลือกใช้คำที่เหมาะสมกับบริบทและสารที่ต้องการจะสื่อไปถึงผู้อ่านผ่านบทประพันธ์นี้ โดยการ
เลือกสรรคำที่มีความหมายเฉพาะ ตรงกับเนื้อหาสำคัญของสาร ประกอบกับคำที่มีความหมายชัดเจน เพื่อ
ความถูกต้องในส่งสาร รวมถึงการคงไว้ซึ่งความไพเราะและความสุนทรีย์ในการอ่านของผู้อ่าน ดังต่อไปนี้
บ้างจำแต่เพศไข้ สิ่งเดียวได้สังเกตมา
กองเลือดว่าเสมหา กองวาตาว่ากำเดา
Z3
จากตัวอย่าง คำที่ขีดเส้นใต้ทั้งสองคำล้วนเป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ว่าด้วยประเภทอาการของไข้
โดยคำว่า “กองเลือด” หมายถึงประเภทโรคเลือด และ คำว่า “กองวาตา” หมายถึงประเภทโรคลม แทนการ
อธิบายอาการของโรคทั้งสอง ซึ่งทำให้เกิดความกระชับ เนื้อหาในบทประพันธ์ไม่ยืดเยื้อ
2.1.2 กวีเลือกใช้คำที่เหมาะสมแก่ลักษณะของคำประพันธ์
เนื่องจากกวีประพันธ์คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์นี้ในรูปแบบของร้อยกรอง คำบางคำ
ที่กวีเลือกใช้นั้นจึงไม่ใช่คำสามัญที่พบได้ทั่วไปในร้อยแก้ว แต่เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกันและ มีเสียงที่แตก
ต่างออกไป เหมาะแก่การใช้ในร้อยกรอง เช่น การใช้คำว่า “ทิศา” แทนคำว่า “ทิศ” “กระษัตริย์” แทนคำว่า
“กษัตริย์” และคำว่า “โกรธา” แทนคำว่า “โกรธ” เป็นต้น เพื่อสร้างสัมผัสคล้องจองระหว่างวรรค ตาม
ฉันทลักษณ์บังคับของกาพย์ยานี 11 และเพิ่มความไพเราะทางด้านเสียงให้กับบทประพันธ์อีกด้วย
2.2 การเรียบเรียงคำ
2.2.1 การเรียบเรียงถ้อยคำให้เป็นประโยคคำถามเชิงวาทศิลป์
กวีมีการสอดแทรกการเรียบเรียงคำให้เป็นกลายเป็นคำถามเชิงวาทศิลป์ เป็นคำถามที่ไม่ได้ประสงค์ให้ผู้อ่านนั้น
ตอบคำถามโดยตรง แต่ต้องการให้ยอมรับความจริงในแนวที่คิดที่กวีนำเสนอ ดังในตัวอย่าง
คัมภีร์กล่าวไว้หมด ไยมิจดมิจำเอา
ทายโรคแต่โดยเดา ให้เชื่อถือในอาตมา
2.3 การใช้โวหาร
บทประพันธ์เรื่องคัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์นี้มีการใช้โวการภาพพจน์ต่างๆ เพื่อก่อให้
เกิดภาพที่ชัดเจน สุนทรียภาพ และความประทับใจตราตรึงใจแก่ผู้อ่าน ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจ ในเนื้อหา
อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้
อนึ่งจะกล่าวสอน กายนครมีมากหลาย
ประเทียบเปรียบในกาย ทุกหญิงชายในโลกา
ดวงจิตคือกระษัตริย์ ผ่านสมบัติอันโอฬาร์
ข้าศึกคือโรคา เกิดเข่นฆ่าในกายเรา
เปรียบแพทย์คือทหาร อันชำนาญรู้ลำเนา
ข้าศึกมาอย่าใจเบา ห้อมล้อมรอบทุกทิศา
ให้ดำรงกระษัตริย์ไว้ คือดวงใจให้เร่งยา
อนึ่งห้ามอย่าโกรธา ข้าศึกมาจะอันตราย
ปิตตํ คือ วังหน้า เร่งรักษาเขม้นหมาย
อาหารอยู่ในกาย คือเสบียงเลี้ยงโยธา
ใช่โรคสิ่งเดียวดาย จะพลันหายในโรคา
ต่างเนื้อก็ต่างยา จะชอบโรคอันแปรปรวน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกวีได้สอดแทรกลูกเล่นในการประพันธ์วรรคนี้ขึ้นมาโดยการอ้างอิงถึงสำนวน
ไทยที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง “ลางเนื้อชอบลางยา” แล้วนำมาดัดแปลงให้เข้ากับบริบทของเรื่องและง่ายต่อการ
เข้าใจมากขึ้น แต่ก็ยังคงโครงสร้างเดิมของสำนวนเอาไว้ ดังนั้น “ต่างเนื้อก็ต่างยา” จึงมีความหมายว่าต่างคนก็
ต่างถูกกับยาบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป ฉนั้นการพิจารณายาที่สมควรจะใช้รักษา นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับตัว
บุคคลด้วย
Z5
3. การอ่านและพิจารณาประโยชน์หรือคุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรม
3.1 คุณค่าด้านอารมณ์
3.1.1 สร้างความประทับใจและซาบซึ้งแก่ผู้อ่าน
กวีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของแพทย์และยารักษาโรค รวมถึงการแสดงถึงความยากลำบากของการ
เป็นแพทย์ที่ต้องใช้ความพยายามมุมานะและความละเอียดสูง ต้องมีการศึกษาในด้านต่างๆให้แม่นยำและ
ถี่ถ้วน ก่อนที่จะมาวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วย อีกทั้งกวียังได้กล่าวในบทประพันธ์อีกว่าเพียงรู้แค่ตำราก็ยังคงไม่พอ
ต้องอาศัยประสบการณ์ด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากจะเป็นการเตือนใจแพทย์เองแล้ว ยังสร้างความประทับใจ ใน
สายอาชีพทางการแพทย์แก่ผู้อ่านอีกด้วย เนื่องจากแพทย์เป็นองค์ประกอบสำคัญของสังคมถ้าไม่มีแพทย์ก็
เปรียบเหมือนเปิดทางให้ข้าศึกมาบุกเมือง ดั่งเช่น
เปรียบแพทย์คือทหาร อันชำนาญรู้ลำเนา
ข้าศึกมาอย่าใจเบา ห้อมล้อมรอบทุกทิศา
3.2 คุณค่าด้านคุณธรรม
3.2.1 ปลูกฝังความซื่อสัตย์แก่ผู้อ่าน
กวีได้ยกเรื่องของจรรยาบรรณแพทย์ขึ้นมาในบทประพันธ์คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
และยกตัวอย่างเกี่ยวกับแพทย์ที่ไม่มีความซื่อสัตย์ มีความโลภจึงทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดซึ่งส่งผลไม่ดี
แก่ตัวคนไข้และตัวแพทย์เอง จึงเป็นการปลูกฝังความซื่อสัตย์ให้แก่ผู้อ่าน ทำให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิต
ของตนเอง โดยการมีจรรยาบรรณในทุกอาชีพ ไม่เพียงแค่เฉพาะแต่อาชีพแพทย์
3.2.2 การควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
ให้ดำรงกระษัตริย์ไว้ คือดวงใจให้เร่งยา
อนึ่งห้ามอย่าโกรธา ข้าศึกมาจะอันตราย
นอกจากกวีจะกล่าวถึงความซื่อสัตย์และ กวียังได้อธิบายถึงความสำคัญของการควบคุมอารมณ์ตัวเอง
ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษา แต่ในความเป็นจริงแล้วกวีต้องการที่จะส่งสารที่มีความสำคัญมากกว่านั้นคือ
การควบคุมอารมณ์ตัวเองนั้นส่งผลดีต่อตัวผู้อ่านเองเป็นอย่างมาก ส่งผลที่ดีต่อจิตใจถือว่าเป็นการเตรียมความ
พร้อมในการทำสิ่งต่างๆอย่างมีสติ ฉนั้นผลลัพท์ของการกระทำนั้นๆจะออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจและมี
ประสิทธิภาพ
Z6
3.3 คุณค่าด้านสังคม
3.3.1 สะท้อนให้เห็นความเชื่อในสังคมไทย
ความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจและเวรกรรมได้ถูกแสดงในบทประพันธ์ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยมีความเชื่อ
ที่หนักแน่นเกี่ยวกับศาสนา และนำความเชื่อนั้นมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นประจำ เช่น
อวดยาครั้นให้ยา แต่เคราะห์ครอบจึงหันหวน
กลับกล่าวว่าแรงผี ที่แท้ทำไม่รู้ทำ
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น อย่างเช่นการรักษาโรคที่ไม่ประสบความสำเร็จ
รับประทานยาแล้วก็ยังคงไม่หาย คนไทยก็นั้นจะโทษว่าเป็นฝีมือของภูติผีปีศาจ ทั้งๆที่หากพิเคราะห์พิจารณา
แล้วจะพบว่าเป็นความผิดตั้งแต่การสั่งยาให้คนไข้แล้ว
โรคคือครุกรรม บรรจบจำอย่าพึงทาย
กล่าวเล่ห์อุบายหมาย ด้วยโลภหลงในลาภา
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าเนื่องจากคนไทยส่วนมากมีความเชื่อและหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องเวรกรรม กวี
จึงมีการเปรียบเทียบโรคภัยไข้เจ็บเป็นกรรมหนัก เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงความน่ากลัวของโรค ไม่ประมาท
คิดว่าอาการป่วยนั้นจะสามารถรักษาให้หายได้อย่างง่าย
3.3.2 ให้ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์และจรรยาบรรณแพทย์
กวีแสดงตัวอย่างของวิธีการรักษาโรคทางการแพทย์ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการใช้คำศัพท์เฉพาะใน
การแพทย์ ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้เกี่ยวกับแพทย์และยารักษาโรคมากยิ่งขึ้น ทั้งจากการอ่านบทประพันธ์และ
ส่งเสริมให้เกิดการค้นคว้าเพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม
Z7
บรรณานุกรม