You are on page 1of 57

2-7 ระบบปรับอากาศ

2-7.1 ระบบปรับอากาศทํางานอยางไร?
(1) ภาระการปรับอากาศมีอะไรบาง?
(2) องคประกอบในการปรับอากาศเพื่อความสุขสบายของคนมีอะไรบาง?
(3) มาตรฐานการปรับอากาศสําหรับอุตสาหกรรมเปนอยางไร?
(4) แผนภาพไซโครเมตริกมีประโยชนอยางไร?
(5) แผนภาพไซโครเมตริกใชงานอยางไร?
(6) คุณสมบัติที่ไดจากแผนภาพไซโครเมตริกนําไปใชวิเคราะหหาสาเหตุอะไรไดบาง?
(7) วงจรการทํางานของสารทําความเย็นเปนอยางไร?
(8) การเพิ่มสมรรถนะใหเครื่องปรับอากาศทําอยางไร?
2-7.2 ระบบปรับอากาศที่ใชงานมีกี่ประเภทและมีสัดสวนการใชพลังงานเทาใด?
(1) ระบบปรับอากาศที่ใชงานมีกี่ประเภท?
(2) มาตรฐานการตรวจสอบการใชงานอุปกรณในระบบทําน้ําเย็นมีอะไรบาง?
(3) ระบบปรับอากาศแตละประเภทมีสัดสวนการใชพลังงานเทาใด ?
2-7.3 เลือกใชระบบปรับอากาศใหเหมาะสมกับการใชงานทําอยางไร ?
2-7.4 การหาสมรรถนะของเครื่องปรับอากาศและอุปกรณประกอบทําอยางไร ?
2-7.5 ทําอยางไรใหระบบปรับอากาศประหยัดพลังงาน ?
(1) การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องทําน้ําเย็นโดยการเพิ่มความดันดานอีแวปปอเรเตอร
(2) การลดความดันสารทําความเย็นดานคอนเดนเซอรโดยการทําความสะอาดคอนเดนเซอร
(3) การลดความดันสารทําความเย็นดานคอนเดนเซอรโดยการเดินหอผึ่งเย็นเพิ่ม
(4) การใชเครื่องทําน้ําเย็นในจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
(5) การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องทําน้ําเย็นโดยการเพิ่มอัตราการไหลของน้ําเย็น
(6) การเลือกเดินเครื่องทําน้ําเย็นชุดที่มีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น
(7) การเปลี่ยนไปใชเครื่องทําน้ําเย็นประสิทธิภาพสูง
(8) การลดการนําอากาศภายนอกเขาหรือลดการดูดอากาศภายในทิ้ง
(9) การลดอากาศรอนจากภายนอกรั่วเขาหองปรับอากาศ
(10) การลดพื้นที่ปรับอากาศ
(11) การปรับอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธภายในหองปรับอากาศใหสูงขึ้น
(12) การลดภาระการปรับอากาศโดยการปรับปรุงระบบแสงสวาง
(13) การหรี่วาลวที่ออกจากปมเพื่อลดอัตราการไหลของน้ํา
(14) การเลือกเดินปมน้ําชุดที่มีประสิทธิภาพสูงเปนหลัก
(15) การเปลี่ยนปมน้ําชุดที่มีประสิทธิภาพต่ําในระบบปรับอากาศ
2-7.6 แนวทางการตรวจวินิจฉัยและบํารุงรักษาเครื่องทําน้ําเย็นและอื่นๆในระบบทําอยางไร?
(1) การตรวจวินิจฉัยเครื่องทําน้ําเย็นและอุปกรณอื่นในระบบเพื่อการอนุรักษพลังงานทําอยางไร ?
(2) การบํารุงรักษาเครื่องปรับอากาศแบบแยกสวนและแบบเปนชุดเพื่อการประหยัดพลังงานมีอะไรบาง ?

183
ระบบปรับอากาศใชในสํานักงานเพื่อทําใหอุณหภูมิพอเหมาะแกการทํางาน มักใชระบบแยกสวน สวนอุตสาหกรรม
บางประเภทมีการใชในกระบวนการผลิตเพื่อรักษาอุณหภูมิและความชื้นใหเหมาะสม และเพื่อระบายความรอนใหกับ
อุปกรณหรือเครื่องจักรในกระบวนการผลิต เชน อุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิคส สิ่งทอ พลาสติก อาหาร เปนตน มักใช
ระบบที่มีขนาดใหญ เรียกวาระบบรวมศูนย (Central System)

รูปที่ 2-7.1 ระบบปรับอากาศแบบแยกสวน

SA :
SUPPLY AIR

รูปที่ 2-7.2 ระบบปรับอากาศแบบทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ํา

2-7.1 ระบบปรับอากาศทํางานอยางไร ?
ทํางานโดยใชพดั ลมดูดหรือเปาอากาศผานขดทอความเย็น(Evaporator) ทําใหอุณหภูมิและความชื้นของอากาศ
ลดลงตามตองการเพื่อจายไปยังจุดใชงาน สวนระบบขนาดใหญจะใชน้ํารับความเย็นจากสารทําความเย็นแลวสงน้ําเย็น
ไปยังอุปกรณสงลมเย็น (Air Handling Unit; AHU) หรืออุปกรณจายลมเย็น (Fan Coil Unit; FCU) หลังจากนั้นอากาศ
จะถูกดูดหรือเปาผานขดทอทําความเย็นของ AHU หรือ FCU เพื่อรับความเย็นจากน้ําเย็นทําใหไดอากาศที่มีอุณหภูมิ
และความชื้นตามตองการ เพื่อจายไปยังจุดใชงานโดยผานระบบทอลม(Air Duct) และหัวจายลม (Supply Air Diffuser)
(1) ภาระการปรับอากาศมีอะไรบาง ?
แบงออกเปน 2 สวน คือ ภาระจากภายนอกซึ่งสวนใหญมาจากแสงอาทิตยที่ผานผนังและหลังคา ดังนั้นผนังและ
หลังคาควรมีคุณสมบัติการเปนฉนวนที่ดี และความรอนจากอากาศรั่วและอากาศระบายซึ่งควรลดลงใหมากที่สุด อีกสวน
หนึ่งคือภาระจากภายในซึ่งมาจากคน แสงสวาง และอุปกรณไฟฟาตางๆ ดังนั้นจึงตองใชอุปกรณที่มีประสิทธิภาพสูงและ
นําอุปกรณที่ไมจําเปนออกนอกหองปรับอากาศ
ความสามารถในการทําความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
= ภาระการปรับอากาศ
= พลังงานความรอนจากภายนอก + พลังงานความรอนจากภายใน

184
= (พลังงานความรอนจากแสงอาทิตยผานผนังและหลังคาโปรงแสง + พลังงานความรอนจาก
แสงอาทิตยผานผนังและหลังคาทึบ + พลังงานความรอนจากอากาศภายนอกที่รั่วและ
อากาศระบาย) + (พลังงานความรอนจากคน + พลังงานความรอนจากไฟฟาแสงสวาง +
พลังงานความรอนจากอุปกรณ ไฟฟาตางๆ)

รูปที่ 2-7.3 ภาระการปรับอากาศ


(2) องคประกอบในการปรับอากาศเพื่อความสุขสบายของคนมีอะไรบาง?
ตามลักษณะการใชงานเปน 2 ลักษณะ คือ ใชเพื่อความสุขสบายของคนและใชเพื่อกระบวนการผลิต ในการปรับ
จะตองมีองคประกอบควบคุมคือ 1 อุณหภูมิโดยทั่วไปประมาณ 24-25OC, 2 ความชื้นสัมพัทธ ประมาณ 50-60%RH ถา
ความชื้นต่ํากวา 30% ผิวหนังแหงและถาสูงกวา 70% จะรูสึกเหนียวตัวเพราะเหงื่อไมระเหย, 3 ความเร็วอากาศประมาณ
25-70 ft/min, 4 เสียง และ 5 ความสะอาดของอากาศ สวนการปรับอากาศเพื่อกระบวนการผลิตนั้นจะควบคุมเฉพาะ
อุณหภูมิและความชื้นใหเหมาะสมกับการผลิตแตละชนิดของอุตสาหกรรม
(3) มาตรฐานการปรับอากาศสําหรับอุตสาหกรรมเปนอยางไร?
โรงงานควรตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธในพื้นที่ใชงานวาอยูในเกณฑมาตรฐานหรือไม เพราะถา
อุณหภูมิและความชื้นต่ําเกินไปจะสงผลใหระบบปรับอากาศใชพลังงานมากขึ้นตารางที่ 2-7.1 มาตรฐานการปรับอากาศ
ประเภทอุตสาหกรรม กรรมวิธี DRY-BULB (F) RH (%)
ขนมปง การผสมแปง 75-80 40-45
การปลอยขนมปงเย็น 70-80 80-85
การทําขนมปงกรอบ 60-65 50
ลูกกวาด-ชอคโกแลต บริเวณทําลูกกวาด 80-85 40-50
หองบรรจุหอ 75-80 55-60
การเก็บรักษาทั่วไป 65-70 40-50
ลูกกวาด (แข็ง) การผลิต 75-80 30-40
การบรรจุหบี หอ 65-75 40-45
การเก็บรักษา 65-75 45-50
หมากฝรั่ง การผลิต 77 33
การทําใหเปนแผนยาว 72 53
การหอ 74 58
เซรามิค การเตรียมขึ้นรูป 110-150 50-90
การเก็บรักษาดินเหนียว 60-80 35-65
การตกแตง 75-80 45-50
การกลั่น (สุรา) การเก็บรักษา
เมล็ดขาว 60 35-40
ยีสตเหลว 32-34 -
การผลิต 60-75 45-60
การบม 65-72 50-60

185
สําหรับอุตสาหกรรม(ASHRAE)
ประเภทอุ ต สาหกรรม กรรมวิ ธี DRY-BULB (F) RH (%)
ขนสั ต ว การอบแห ง 110 -
การเก็ บ รั ก ษา 40-50 -
เครื่ ง หนั ง การอบแห ง
Veg Tanned 70 75
Chrome Tanned 120 75
การเก็ บ รั ก ษา 50-60 40-60
ไม ขี ด การผลิ ต 72-74 50
การอบแห ง 70-75 40
เภสั ช กรรม การเก็ บ ผงยา
ก อ นผลิ ต 70-80 30-35
หลั ง ผลิ ต 75-80 15-35
ห อ งบดยา 80 35
การอั ด เม็ ด ยา 70-80 40
การเคลื อ บเม็ ด ยา 80 35
การผลิ ต ยาฉี ด 80 35
การเก็ บ แคปซู ล 75 35-40
วั ส ดุ ภ าพถ า ย การทํ า แห ง 20-125 40-80
การตั ด ต อ , การบรรจุ 65-75 40-70
การเก็ บ รั ก ษา
Film Base, ฟ ล ม , กระดาษภาพ 70-75 40-65
สิ่ ง พิ ม พ พิ ม พ ป ระกอบสี
ห อ งพิ ม พ 75-80 46-48
ห อ งเก็ บ สิ่ ง พิ ม พ 73-80 49-51
การเก็ บ การพั บ และอื่ น ๆ Comfort Comfort
อุ ป กรณ ทํ า ความเย็ น การประกอบคอมเพรสเซอร 70-76 30-45
การทดสอบ 65-82 47
ยางสั ง เคราะห การผลิ ต 90 -
การเก็ บ ก อ นผลิ ต 60-75 40-50
ทอผ า ผ า ฝ า ย
การดึ ง เส น และ Roving 80 55-60
การป น วง
Conventional 80-85 60-70
Long Draft 80-85 -
การทอ 78-80 70-85
การหวี ฝ า ย 75 55-65
ผ า ลิ นิ น
การจั ด เยื่ อ และการป น 75-80 60
การทอ 80 80
ผ า ขนสั ต ว
การป น 80-85 50-60
การทอ
Light Goods 80-85 55-70
Heavy 80-85 60-65

186
ประเภทอุ ต สาหกรรม กรรมวิ ธี DRY-BULB (F) RH (%)
ผ า วู ส ทิ ด
การจั ด เยื่ อ , การหวี ฝ า ย, Gilling 80-85 60-70
การเก็ บ รั ก ษา 70-85 75-80
Cap Spinning 80-85 50-55
การกรอด า ย การพั น ด า ย 75-80 55-60
การทอ 80 50-60
ผ า ไหม
การทอและการป น 80 65-70
การบิ ด ให เป น เส น 60 60
แพรเที ย ม
การป น 80-90 50-60
การทอ
Regenerated 80 50-60
Acetate 80 55-60
Spun rayon 80 80
การเก็ บ 75-80 50-60
การจั ด เยื่ อ และดึ ง เส น Roving 80-90 50-60
ยาสู บ ซิ ก าร แ ละบุ ห รี่
การผลิ ต 70-75 55-60
การเก็ บ และการเตรี ย ม 78 70
การบรรจุ แ ละการส ง 75 60

(4) แผนภาพไซโครเมตริกมีประโยชนอยางไร ?
อากาศที่อยูรอบตัวเราประกอบดวยอากาศแหงและไอน้ําซึ่งเรียกวาอากาศชื้น การหาปริมาณไอน้ําหรือปริมาณ
ความรอนที่อยูในอากาศชื้นจะตองใชแผนภาพไซโครเมตริก โดยแผนภาพไซโครเมตริกจะแสดงคุณสมบัติดังนี้
1. อุณหภูมิกระเปาะแหง (Dry bulb temperature, db) คืออุณหภูมิที่อานคาจากเทอรโมมิเตอรที่กระเปาะแหง
2. อุณหภูมิกระเปาะเปยก (Wet bulb temperature, wb) คืออุณหภูมิที่อานจากเทอรโมมิเตอรที่กระเปาะหุมดวย
ผาสําลีที่ชื้นโดยตองมีกระแสลมพัดผานกระเปาะเปยกที่ความเร็วไมนอยกวา 5 m/s
3. ปริมาณความชื้นในอากาศ (Humidity ratio) คืออัตราสวนโดยน้ําหนักระหวางไอน้ําในอากาศตออากาศ
แหง 1 kg
4. ความชื้นในอากาศ (Relative humidity, RH) คืออัตราสวนความดันระหวางความดันของไอน้ําที่มีอยูใน
อากาศชื้น และความดันอิ่มตัวของไอน้ําที่อุณหภูมิเดียวกัน
5. ปริมาตรจําเพาะของอากาศชื้น (Specific volume,) คือปริมาตรของอากาศชื้นตอ1กิโลกรัมของอากาศแหง
6. อุณหภูมิจุดน้ําคาง(Dew point, DP) คืออุณหภูมิที่ไอน้ําในอากาศเริ่มควบแนนเปนหยดน้ําเมื่ออากาศชื้น
ถูกทําใหเย็นลง
7. ความรอนจําเพาะของอากาศ (Specific enthalpy, h) คือปริมาณความรอนที่ทําใหอากาศแหง 1 กิโลกรัม
และน้ํา X กิโลกรัม รอนขึ้นจาก 0OC เปน toC และทําใหน้ํา X กิโลกรัม ระเหยกลายเปนไอหมด
7 4

6 3

รูปที่ 2-7.5 แผนภาพไซโครเมตริก

187
การปรับสภาวะอากาศมีอยู 8 กระบวนการ เพื่อใหเหมาะสมกับความตองการของคนหรือการผลิตในอุตสาหกรรม
1. ทําใหอากาศรอนขึ้นโดยความชื้นเทาเดิม ทําโดยใชขดทอความรอน
2. ทําไหอากาศรอนขึ้นและเพิ่มความชื้น ทําโดยใชไอน้ําพนเขาไปในอากาศ
3. ทําใหอากาศรอนขึ้นและลดความชื้น ทําโดยใชขดทอความเย็นเพื่อลดความชื้นแลวใหความรอนโดยขด
ทอความรอน
4. ทําใหอากาศเย็นโดยความชื้นเทาเดิม ทําโดยใชขดทอความเย็นที่อุณหภูมิผิวทอสูงกวาอุณหภูมิจุดน้ําคาง
(อุณหภูมิกลั่นตัว) ของความชื้นในอากาศ
5. ทําใหอากาศเย็นและเพิ่มความชื้น ทําโดยใชน้ําเย็นพนไปในอากาศ
6. ทําใหอากาศเย็นและลดความชื้น ทําโดยใชขดทอความเย็นที่อุณหภูมิผิวทอต่ํากวาอุณหภูมิจุดน้ําคาง
(อุณหภูมิกลั่นตัว) ของความชื้นในอากาศ
7. เพิ่มความชื้น ทําโดยใชน้ําที่มีอุณหภูมิเทากับกระเปาะแหงของอากาศ
8. ลดความชื้น ทําโดยใชสารดูดความชื้นหรือใชขดทอความเย็นเพื่อทําใหความชื้น
กลั่นตัว แลวจึงใชขดทอความรอนเพื่อควบคุมอุณหภูมิใหคงที่

ทําความเย็นและเพิ่มความชื้น เพิ่มความชื้น
ทําความรอนและเพิ่มความชื้น
ทําความเย็น
ทําความรอน
ทําความเย็นและลดความชื้น ทําความรอนและลดความชื้น
ลดความชื้น
รูปที่ 2-7.6 กระบวนการปรับสภาวะอากาศ
(5) แผนภาพไซโครเมตริกใชงานอยางไร ?
จะตองทราบคุณสมบัติของอากาศ 2 ประการเพื่อกําหนดจุด คือตรวจวัดอากาศในหองไดอุณหภูมิกระเปาะแหง
80 Fและความชื้นสัมพัทธ 30% เมื่อนํามากําหนดจุดบนไซโครเมตริกชารตจะไดอุณหภูมิกระเปาะเปยก 60OF อุณหภูมิ
O

จุดน้ําคาง 45.9OF อัตราสวนความชื้น 0.0066 Ibw/Iba ปริมาตรจําเพาะ 13.72 ft3/Iba และเอนธาลป 26.35 Btu/Iba

W s = 0 .0 2 2 2 lb w / lb a

h = 2 6 .3 5 B tu /lb a
จุ ด ที่ 8 0 o F d b
6 0 oF w b
T d e w = 4 5 .9 o F
W = 0 .0 0 6 6 lb w / lb a

v = 1 3 .7 2 ft 3 / lb a

รูปที่ 2-7.7 การใชงานแผนภาพไซโครเมตริก

188
(6) คุณสมบัติที่ไดจากแผนภาพไซโครเมตริกนําไปใชวิเคราะหหาสาเหตุอะไรไดบาง?
1. อุณหภูมิผิวขดทอความเย็นที่อากาศผานจะตองต่ํากวาอุณหภูมิจุดน้ําคาง(tdew)ของอากาศที่เขาถึงจะทําให
ความชื้นในอากาศกลั่นตัวเปนของเหลวได
2. อุณหภูมิที่ไดจากหอผึ่งเย็นควรจะสูงกวาอุณหภูมิกระเปาะเปยกที่เขาระบายความรอน(twb)ไมเกิน 3OC
3. ความสามารถในการทําความเย็นของขดทอความเย็นหรือทําความรอนของขดทอความรอนเปนเทาใดจะตอง
หาจากผลตางของเอนธาลปของอากาศที่เขาและออกจากขดทอ
ตารางที่ 2-7.2 คาเอนธาลปของอากาศ
คาเอนธาลปของอากาศ( Btu/lb)
อุณหภูมิกระเปาะแหง ความชื้นสัมพัทธ (%RH)
(OC) 40 45 50 55 60 65 70 75 80 85 90 95
15 18.764 19.343 19.924 20.506 21.089 21.673 22.257 22.843 23.43 24.018 24.607 25.197
16 19.506 20.126 20.746 21.368 21.99 22.614 23.239 23.865 24.493 25.121 25.751 26.381
17 20.268 20.929 21.591 22.255 22.92 23.586 24.254 24.923 25.593 26.265 26.938 27.612
18 21.048 21.754 22.461 23.169 23.879 24.591 25.304 26.018 26.734 27.451 28.17 28.89
19 21.85 22.602 23.356 24.112 24.87 25.629 26.39 27.153 27.917 28.683 29.451 30.22
20 22.672 23.475 24.279 25.085 25.893 26.703 27.515 28.329 29.145 29.962 30.782 31.604
21 23.518 24.373 25.23 26.09 26.951 27.815 28.681 29.549 30.419 31.292 32.167 33.044
22 24.387 25.298 26.211 27.127 28.046 28.966 29.89 30.815 31.744 32.674 33.608 34.543
23 25.281 26.251 27.224 28.2 29.178 30.159 31.143 32.13 33.12 34.112 35.108 36.106
24 26.201 27.234 28.269 29.309 30.351 31.396 32.444 33.496 34.551 35.609 36.67 37.735
25 27.148 28.247 29.35 30.456 31.565 32.679 33.795 34.916 36.04 37.167 38.299 39.433
26 28.124 29.294 30.467 31.644 32.825 34.01 35.199 36.392 37.589 38.791 39.996 41.206
27 29.131 30.374 31.622 32.874 34.13 35.392 36.657 37.928 39.203 40.482 41.767 43.056
28 31.24 32.644 34.054 35.47 36.891 38.318 39.751 41.19 42.635 44.085 45.542 47.005
29 31.24 32.644 34.054 35.47 36.891 38.318 39.751 41.19 42.635 44.085 45.542 47.005
30 32.346 33.838 35.336 36.84 38.351 39.869 41.393 42.923 44.461 46.005 47.555 49.113
31 33.489 35.073 36.664 38.262 39.868 41.481 43.101 44.729 46.365 48.008 49.658 51.317
32 34.67 36.351 38.041 39.738 41.444 43.158 44.881 46.612 48.351 50.099 51.856 53.621
33 35.89 37.675 39.468 41.271 43.083 44.904 46.735 48.575 50.425 52.284 54.153 56.032
34 37.153 39.046 40.949 42.863 44.787 46.722 48.667 50.623 52.59 54.567 56.556 58.555
35 38.46 40.467 42.487 44.518 46.561 48.615 50.682 52.76 54.851 56.954 59.069 61.196
36 39.812 41.941 44.083 46.238 48.406 50.588 52.782 54.991 57.213 59.449 61.698 63.962
37 41.213 43.47 45.741 48.027 50.328 52.643 54.974 57.32 59.682 62.058 64.451 66.859
38 42.664 45.056 47.464 49.888 52.329 54.787 57.262 59.753 62.263 64.789 67.333 69.895
39 44.168 46.702 49.254 51.825 54.414 57.022 59.65 62.296 64.962 67.647 70.352 73.078
40 45.727 48.411 51.116 53.841 56.587 59.355 62.143 64.953 67.785 70.64 73.516 76.415

(7) วงจรการทํางานของสารทําความเย็นเปนอยางไร? (ประกอบดวย 4 กระบวนการ ดังนี้)


1. กระบวนการอัดสารทําความเย็น โดยสารทําความเย็นในสถานะไอจะถูกเครื่องอัดอัดใหมีความดันสูงขึ้นตาม
ตองการของสารทําความเย็นแตละชนิด เมื่อความดันสูงขึ้นอุณหภูมิของสารทําความเย็นก็จะสูงขึ้นตามกฎของกาซ
2. กระบวนการควบแนน สารทําความเย็นในสถานะไอที่มีอุณหภูมิและความดันสูงจะถูกสงผานทอเขาไปยังขด
ทอระบายความรอน(Condenser)โดยจะใชน้ําหรืออากาศระบายความรอนทําใหสารทําความเย็นควบแนนเปนของเหลว
3. กระบวนการขยาย สารทําความเย็นที่ออกจากคอนเดนเซอรจะอยูในสถานะของเหลวอิ่มตัวหรือของเหลวเย็น
เยือกประมาณ 10OC ที่มีความดันสูงจะถูกลดความดันลงโดยอุปกรณลดความดัน ทําใหสารทําความเย็นมีอุณหภูมิลด
ต่ําลงตามที่ผูใชตองการ

189
4. กระบวนการระเหย สารทําความเย็นที่มีอุณหภูมิต่ําจะผานเขาไปยังขดทอความเย็น มื่อรับความรอนจาก
อากาศหรือน้ําทําใหไดอากาศเย็นและน้ําเย็นสวนสารทําความเย็นจะเกิดการระเหยตัวกลายเปนไอจนอยูในสถานะไออิ่มตัว
หรือไอรอนยวดยิ่งประมาณ 10OC (Superheat Vapor) กอนที่จะถูกเครื่องอัดดูดแลวเริ่มการทํางานตอไปอยางตอเนื่อง

Qr = HEAT REJECTED (ความรอนถูกระบายออก )

1 4 ความดันสูง

CONDENSER (คอยลรอน) work


Compressor

EXPANSION
VALVE EVAPORATOR (คอยลเย็น)
(ลิ้นลดความดัน)
2 3
ความดันต่ํา

Qa = HEAT ABSORBED ( ความรอนถูกดูดเขา )

รูปที่ 2-7.8 วงจรการทํางานของสารทําความเย็น


วงจรการทํางานของสารทําความเย็นแตละชนิดจะแสดงในแผนภาพ P-h diagram ซึ่งเปนแผนภาพที่บอกถึง
ความสัมพันธของความดันและพลังงานความรอน รวมทั้งสถานะของสารทําความเย็นที่อยูในวงจร อธิบายการทํางานไดดังนี้
1. สารทําความเย็นที่อยูภายในโดมรูประฆังคว่ําจะมีสถานะเปนทั้งของเหลวและไอ สารทําความเย็นที่อยูบนเสน
ดานซายจะมีสถานะเปนของเหลวอิ่มตัว(ของเหลว 100%) และอยูบนเสนดานขวาจะอยูในสถานะไออิ่มตัว(ไอ 100%)
และออกนอกโดมดานซายจะอยูในสถานะของเหลวเย็นเยือก ถาออกนอกโดมดานขวาจะอยูในสถานะไอรอนยวดยิ่ง
2. กระบวนการอัดแบบไอเซนทรอปคจะอยูชวง h1-h2 ’ กระบวนการควบแนนแบบความดันคงที่อยูชวง h2-h3
กระบวนการลดความดันแบบเอนธาลปคงที่อยูชวง h3-h4 และกระบวนการระเหยแบบความดันคงที่อยูชวง  h42-h1

รูปที่ 2-7.9 แผนภาพ P-h diagram


สัมประสิทธิ์สมรรถนะทําความเย็น (Coefficient of Performance; COP)คือ ความสามารถในการทําความเย็น
ของเครื่องปรับอากาศวิเคราะหจากการทํางานของสารทําความเย็น ดังนั้นผูวิเคราะหจะตอง1)เก็บขอมูลความดันดานต่ํา
(Low Pressure)ของสารทําความเย็น (P1,4) แลวขีดเสนตามแนวนอน 2) เก็บขอมูลความดันดานสูง(High Pressure)
ของสารทําความเย็น (P2,3) แลวขีดเสนตามแนวนอน 3)วัดอุณหภูมิของสารทําความเย็นกอนเขาเครื่องอัดแลวกําหนด
จุด  4) ใหขีดเสนเอียงตามกระบวนการไอเซนทรอปคไปตัดเสนบนจะไดจุด  5)ใหวัดอุณหภูมิของสารทําความเย็น
ที่ออกจากคอนเดนเซอรแลวกําหนดจุดที่ ‘ 6) ใหลากเสนตามแนวดิ่งจากจุด ‘ ลงมาตัดเสนดานลางจะไดจุดที่ ’

190
สัมประสิทธิ์สมรรถนะทําความเย็น (COP) = ความเย็นที่เครื่องสามารถทําได h1 − h 4
=
h 2 − h1
พลังงานที่ใชขับคอมเพรสเซอร

คา COP ของเครื่องปรับอากาศยิ่งสูงเทาใดก็จะประหยัดพลังงานมากเทานั้น ดังนั้นโรงงานควรตรวจสอบ


เครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็นอยางสม่ําเสมอ การวิเคราะหแบบงายอาจหาจากสัมประสิทธิ์สมรรถนะทํา
ความเย็นในอุดมคติ โดยทั่วไป COP จริงจะมีคาประมาณ 40% ของ COP อุดมคติ

สัมประสิทธิ์สมรรถนะทําความเย็นในอุดมคติ = Te
Tc − Te

เมื่อ Te = อุณหภูมิระเหย, K (ที่ Evaporator)


Tc = อุณหภูมิควบแนน, K (ที่ Condenser)
K = อุณหภูมิสมบูรณ เคลวิน (273 + OC)
จากสมการจะเห็นวาคา Te ยิ่งสูงเทาใดคา COP จะสูงมากขึ้น ดังนั้นไมควรปรับตั้งความดันระเหยที่
Evaporator หรือ Cooler ต่ําเกินไป และคา Tc ยิ่งต่ําเทาใดคา COP จะสูงมากขึ้น ดังนั้นควรระบายความรอนออกจาก
Condenserใหมากที่สุดเทาที่จะมากได

ตารางที่ 2-7.3 คา COP อุดมคติ


อุณหภูมอิ มิ่ ตัวของสารทําความเย็นในคอนเดนเซอร OK
อ ุณ หภ ูม ิอ ิ่ม ต ัว ขอ งสารท ํา ค วาม เย ็น ใน อ ีแ วป ปoอKเรเต อ ร

300 301 302 303 304 305 306 307 308 309 310 311 312 313 314 315 316 317 318
283 6.66 6.29 5.96 5.66 5.39 5.15 4.92 4.72 4.53 4.35 4.19 4.04 3.9 3.77 3.65 3.54 3.43 3.33 3.23
278 5.05 4.83 4.63 4.45 4.28 4.12 3.97 3.83 3.71 3.59 3.48 3.37 3.27 3.18 3.09 3.01 2.93 2.85 2.78
273 4.04 3.9 3.77 3.64 3.52 3.41 3.31 3.21 3.12 3.03 2.95 2.87 2.8 2.73 2.66 2.6 2.54 2.48 2.43
268 3.35 3.25 3.15 3.06 2.98 2.9 2.82 2.75 2.68 2.61 2.55 2.49 2.44 2.38 2.33 2.28 2.23 2.19 2.14
263 2.84 2.77 2.7 2.63 2.57 2.5 2.45 2.39 2.34 2.29 2.24 2.19 2.15 2.1 2.06 2.02 1.98 1.95 1.91
258 2.46 2.4 2.35 2.29 2.24 2.2 2.15 2.11 2.06 2.02 1.98 1.95 1.91 1.88 1.84 1.81 1.78 1.75 1.72
253 2.15 2.11 2.07 2.02 1.98 1.95 1.91 1.87 1.84 1.81 1.78 1.74 1.72 1.69 1.66 1.63 1.61 1.58 1.56
248 1.91 1.87 1.84 1.8 1.77 1.74 1.71 1.68 1.65 1.63 1.6 1.57 1.55 1.53 1.5 1.48 1.46 1.44 1.42
243 1.71 1.68 1.65 1.62 1.59 1.57 1.54 1.52 1.5 1.47 1.45 1.43 1.41 1.39 1.37 1.35 1.33 1.31 1.3
238 1.54 1.51 1.49 1.46 1.44 1.42 1.4 1.38 1.36 1.34 1.32 1.3 1.29 1.27 1.25 1.24 1.22 1.21 1.19
233 1.39 1.37 1.35 1.33 1.31 1.29 1.28 1.26 1.24 1.23 1.21 1.19 1.18 1.17 1.15 1.14 1.12 1.11 1.1
228 1.27 1.25 1.23 1.22 1.2 1.18 1.17 1.15 1.14 1.13 1.11 1.1 1.09 1.07 1.06 1.05 1.04 1.02 1.01
223 1.16 1.14 1.13 1.12 1.1 1.09 1.07 1.06 1.05 1.04 1.03 1.01 1 0.99 0.98 0.97 0.96 0.95 0.94

191
รูปที่ 2-7.10 แผนภาพ P-h ของสารทําความเย็น R22

192
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ลดอุณหภูมิสารทําความเย็นในคอนเดนเซอรลงจาก 40OC เปน 30OC โดยการทําความสะอาด
คอนเดนเซอรและหอผึ่งเย็น สารทําความเย็นในอีแวปปอเรเตอรเทากับ -20OC จงหารอยละของ COP ที่เปลี่ยนแปลง
COP เดิม = (-20 + 273)/((40 + 273) – (-20 + 273)) = 4.22 หรืออาจหาจากตารางที่
COP ใหม = (-20 + 273)/((30 + 273) – (-20 + 273)) = 5.06 หรืออาจหาจากตารางที่
รอยละของ COP สูงขึ้น = [(5.06 – 4.22)/4.22] x 100 = 19.91%
โรงงาน ECON เพิ่มอุณหภูมิสารทําความเย็นในอีแวปปอเรเตอรจาก -20OC เปน -15OC โดยการปรับตั้งลิ้นลดความ
ดันใหม ขณะที่อุณหภูมิสารทําความเย็นในคอนเดนเซอรเทากับ 30OC จงหา รอยละของ COP ที่เปลี่ยนแปลง
COP เดิม = (-20 + 273)/((30 + 273) – (-20 + 273)) = 5.08
COP ใหม = (-15 + 273)/((30 + 273) – (-15 + 273)) = 5.73
รอยละของ COP สูงขึ้น = [(5.73 – 5.06)/5.06] x 100 = 13.24%
จากการปรับปรุงทั้งหมดของโรงงาน ECON สงผลใหคา COP เพิ่มขึ้นเปนรอยละเทาใด
รอยละ COP ที่เพิ่มขึ้น = [(5.73 – 4.22)/4.22] x 100 = 35.78%
(8) การเพิ่มสมรรถนะใหเครื่องปรับอากาศทําอยางไร ?
1. ลดความดันดานสูงของสารทําความเย็นที่อยูในคอนเดนเซอร โดยทําความสะอาดพื้นผิวแลกเปลี่ยนความ
รอนอยางสม่ําเสมอ โดยทั่วไปอุณหภูมิสารทําความเย็นควรมีอุณหภูมิสูงกวาอุณหภูมิน้ําระบายความรอนที่ออกไมเกิน
6OFการทําใหน้ําหรืออากาศมีอุณหภูมิลดต่ําลงทําไดโดยใหน้ําหรืออากาศที่เขาระบายความรอนมีปริมาณตามมาตรฐาน
การออกแบบคอนเดนเซอร ซึ่งโดยทั่วไปอัตราการไหลของน้ําผานคอนเดนเซอรประมาณ 3.0 GPM/TR และอากาศ
ประมาณ 400 CFM/TR นอกจากนี้ในกรณีน้ําควรทําความสะอาดหรือปรับปรุงหอผึ่งเย็นใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
จากแผนภาพ P-h diagram จะเห็นวาถาลดความดันสารทําความเย็นจาก P2,3 เปน P6 จะทําใหพลังงานที่ใชขับ
คอมเพรสเซอรลดลงจาก 1-2 เปน 1-5 และปริมาณความเย็นที่ไดเพิ่มจาก 4-1 เปน 7-1 ทําใหคา COP ของเครื่องสูงขึ้น

รูปที่ 2-7.11 การลดความดันดานสูงของสารทําความเย็น


2. เพิ่มความดันดานต่ําของสารทําความเย็นที่อยูในอีแวปปอเรเตอร โดยทําความสะอาดพื้นผิวแลกเปลี่ยน
ความรอนเปนประจํา โดยการปรับลิ้นลดความดันใหความดันสูงขึ้น เติมสารทําความเย็นใหไดมาตรฐาน การปรับอัตรา
การไหลของน้ําเย็นที่เขา Cooler หรืออากาศที่เขาอีแวปปอเรเตอรใหไดมาตรฐาน โดยทั่วไปอัตราการไหลของน้ําเย็น
ประมาณ 2.4 GPM/TR ที่อุณหภูมิน้ําเย็นเขาออกตางกัน 10OF และอากาศประมาณ 400 CFM/TR หรือปรับตั้ง
อุณหภูมิน้ําเย็นใหสูงขึ้น นอกจากนั้นโรงงานอาจตองแยกระบบทําความเย็นเปนระบบที่ตองการอุณหภูมิต่ําและระบบที่

193
ตองการอุณหภุมิสูงเพื่อที่จะไมตองทําสารทําความเย็นอุณหภูมิต่ําแตนําไปใชงานเพียงสวนนอย จากแผนภาพ P-h
diagram จะเห็นวาถาเราเพิ่มความดันสารทําความเย็นจาก P1,4 เปน P7,5 จะสงผลทําใหพลังงานที่ใชขับคอมเพรสเซอร
ลดลงจาก 1-2 เปน 5-6 สวนความเย็นจะเพิ่มขึ้นเล็กนอยจาก 4-1 เปน 7-5 สงผลทําใหคา COP ของเครื่องสูงขึ้น

รูปที่ 2-7.12 การลดสภาวะรอนยวดยิ่งของสารทําความเย็น


3. ลดสภาวะรอนยวดยิ่ง(Super Heat)ของสารทําความเย็นกอนเขาคอมเพรสเซอร ซึ่งเกิดจากปริมาณสารทํา
ความเย็นที่เขาอีแวปปอเรเตอรนอยเกินไป ทําใหสารทําความเย็นรับความรอนมากจนอยูในสภาวะรอนยวดยิ่ง ดังนั้น
โรงงานควรเลือกขนาดอีแวปปอเรเตอรใหเหมาะสมกับภาระและปรับตั้งลิ้นลดความดันใหเหมาะสมและเติมสารทําความ
เย็นใหไดมาตรฐาน ซึ่งโดยทั่วไปควรจะมีอุณหภูมิ Super Heat ประมาณ 10 OC จากแผนภาพ P-h diagram จะเห็นวา
เมื่อสารทําความเย็นรับความรอนมากขึ้น สภาวะของสารทําความเย็นจะเปลี่ยนจากจุด 1 เปนจุด 5 ทําใหพลังงานที่ใช
ขับคอมเพรสเซอรเพิ่มขึ้นจาก 1-2 เปน 5-6 สงผลใหคา COP ของเครื่องลดต่ําลง

รูปที่ 2-7.13 การลดสภาวะรอนยวดยิ่งของสารทําความเย็น

2-7.2 ระบบปรับอากาศที่ใชงานมีกี่ประเภทและมีสัดสวนการใชพลังงานเทาใด?
(1) ระบบปรับอากาศที่ใชงานมีกี่ประเภท ? (มี 4 ประเภท)
1. ประเภททําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ํา (Water Cooled Water Chiller) เปนระบบที่มีขนาดใหญที่สุด
อุปกรณที่ใชพลังงานไฟฟามากที่สุดคือเครื่องทําน้ําเย็น และมีอุปกรณประกอบคือปมน้ําเย็น ปมน้ําระบายความรอน หอ
ผึ่งเย็น และอุปกรณสงจายลมเย็น การทํางานแบงเปน 2 วงจร คือ 1)วงจรน้ําเย็น โดยเริ่มจากปมน้ําเย็นสงน้ําเขาไป
รับความเย็นจากสารทําความเย็นที่ Cooler เพื่อใหอุณหภูมิน้ําเย็นไดตามตองการ แลวจึงสงน้ําเย็นไปยังอุปกรณสงจาย
ลมเย็นโดยอุปกรณสงจายลมเย็นแตละชุดจะมีลิ้นควบคุมปริมาณน้ํา ซึ่งไดรับสัญญาณจากอุปกรณควบคุมอุณหภูมิ โดย
ถาอุณหภูมิในพื้นที่สูงจะสงสัญญาณใหลิ้นเปดน้ําเขาขดทอแลกเปลี่ยนความรอนมากขึ้น หลังจากน้ํารับความรอนจาก
อากาศที่แลกเปลี่ยนแลวจะกลับไปรับความเย็นจาก Cooler อีก โดยการดูดของปมน้ําเย็น 2) วงจรน้ําระบายความรอน

194
จะเริ่มจากปมน้าํ ระบายความรอนสงน้ําเขาไปรับความรอนจากสารทําความเย็นที่ Condenser น้ํารอนที่ไดจะถูกสงไป
ระบายความรอนที่หอผึ่งเย็น ซึ่งที่หอผึ่งเย็นนั้นน้ําจะถูกระบายความรอนดวยอากาศที่อยูแวดลอม หลังจากอุณหภูมิน้ํา
ลดลงตามตองการจะถูกสงไปเขา Condenser โดยการดูดของปมน้ําระบายความรอน การประหยัดพลังงานในระบบนี้
จะตองเพิ่มประสิทธิภาพของแตละอุปกรณใหสูงที่สุดและใชงานใหสัมพันธกับภาระการปรับอากาศ

WATER COOLED WATER

SA : SUPPLY AIR
RA : RETURN AIR
FA : FRESH AIR
EX : EXHAUST AIR

รูปที่ 2-7.14 ระบบปรับอากาศแบบทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ํา


2. ประเภททําน้ําเย็นระบายความรอนดวยอากาศ (Air Cooler Water Chiller) เปนระบบที่เล็กกวาระบบ
แรกโดยมีความแตกตางกันที่การระบายความรอนเทานั้น ซึ่งระบบนี้จะไมมีวงจรของน้ําระบายความรอนเพราะจะใช
อากาศในการระบายความรอน ดังนั้นอุปกรณที่ใชพลังงานไฟฟามากที่สุดคือ เครื่องทําน้ําเย็นและมีอุปกรณประกอบคือ
ปมน้ําเย็นและอุปกรณสงจายลมเย็น เทานั้น การระบายความรอนออกจากสารทําความเย็นจะใชอากาศดูดหรือเปาไปยัง
ขดทอความรอน ซึ่งพัดลมอาจมีจํานวนหลายชุดใน Chiller แตละชุด ดังนั้นเครื่องทําน้ําเย็นระบบนี้จะมีประสิทธิภาพต่ํา
กวาแบบระบายความรอนดวยน้ําเพราะน้ําจะมีความสามารถในการระบายความรอนสูงกวา อีกทั้งเมื่อพัดลมชํารุดจะ
เกิดการลัดวงจรของลมทําใหประสิทธิภาพลดลงดวย นอกจากนั้นเครื่องปรับอากาศระบบนี้จะมีอายุการใชงานสั้นเพราะ
จะตองติดตั้งภายนอกอาคารซึ่งตากแดดตากฝนตลอดเวลา ดังนั้นผูใชควรดูแลทําความสะอาดและหาวัสดุใหรมเงาแก
ขดทอความรอน ปจจุบันมีโรงงานหลายแหงไดใชน้ําชวยระบายความรอนโดยการสเปรยไปที่ขดทอความรอนสงผลให
ประสิทธิภาพสูงขึ้นประมาณ 10-20%

รูปที่ 2-7.15 ระบบปรับอากาศแบบทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยอากาศ

195
3. ประเภทเปนชุดระบายความรอนดวยน้ํา (Water Cooled Package) แบบนี้จะมีขนาดเล็กโดยทั้งชุดอยู
ภายในบริเวณปรับอากาศซึ่งจะมีคอมเพรสเซอรอยูภายในดวย แตจะมีขดทอระบายความรอนดวยน้ําแยกกันแตละชุด
ดังนั้นปญหาของระบบนี้คือการบํารุงรักษาหรือการทําความสะอาดคอนเดนเซอรซึ่งมีขนาดเล็กและมีจํานวนมาก สวน
ระบบปมน้ําระบายความรอนและหอผึ่งเย็นจะเหมือนกับระบบระบายความรอนดวยน้ําแบบอื่น ในการตรวจสอบและ
บํารุงรักษาคอนเดนเซอรนั้นก็ทําเชนเดียวกับคอนเดนเซอรของระบบใหญ

รูปที่ 2-7.16 ระบบปรับอากาศแบบเปนชุดระบายความรอนดวยน้ํา


4. ประเภทแยกสวน (Split Type) เปนแบบที่มีขนาดเล็กที่สุด สวนใหญใชกับหองปรับอากาศในโรงงานเพราะ
สะดวกในการใชงานและการดูแลรักษาไมยุงยากมากนักแตประสิทธิภาพต่ํากวาระบบใหญ สวนประกอบที่ใชพลังงาน
แยกเปน 2 สวนคือ Condensing Unit อาจอยูภายนอกหอง ซึ่งประกอบดวยขดทอความรอน พัดลม และคอมเพรสเซอร
สวนที่สองคือ Fan Coil Unit จะอยูภายในหอง ซึ่งประกอบดวยขดทอความเย็นและพัดลม โดยทั้งสองสวนจะเชื่อมตอ
กันดวยทอทองแดง สิ่งที่สําคัญของระบบนี้จะตองทําความสะอาดขดทอและกรองอากาศเปนประจํา รวมทั้งตรวจเช็ค
ปริมาณสารทําความเย็นและฉนวนหุมทอ นอกจากนั้นในการติดตั้งถามีระยะหางกันเกิน 5 เมตร จะตองขยายขนาดทอ
ดูดสารทําความเย็น(ทอไอ)ใหใหญขึ้นและเพิ่มปริมาณสารหลอลื่นเขาไปในคอมเพรสเซอร และถาติดตั้ง Condensing
Unit สูงกวา Fan Coil Unit ทอทางดูดจะตองทํา TAP เปนรูปตัวยู หรือตัวเอส เพื่อจะใหน้ํามันหลอลื่นถูกดูดกลับเขา
คอมเพรสเซอรได มิเชนนั้นคอมเพรสเซอรจะเกิดการไหมได นอกจากนั้นกรณีที่ลิ้นลดความดันอยูที่ Condensing Unit
จะตองทําการหุมฉนวนทอทองแดงทั้งสองทอแยกจากกัน

รูปที่ 2-7.17 ระบบปรับอากาศแบบแยกสวน

196
(2) มาตรฐานการตรวจสอบการใชงานอุปกรณในระบบทําน้ําเย็นมีอะไรบาง ?
1. เครื่องทําน้ําเย็น (Chiller)
1.1 อัตราการไหลของน้ําเย็นตองไดตามมาตรฐานการออกแบบของผูผลิตประมาณ 2.4 GPM/TR ที่อุณหภูมิ
น้ําเย็นเขาและออกตางกัน 10OF และภาระเต็มพิกัด เพื่อใหประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนความรอนสูงที่สุด
1.2 อัตราการไหลของน้ําระบายความรอนตองไดตามมาตรฐานการออกแบบของผูผลิตประมาณ 3.0 GPM/TR
ที่อุณหภูมิน้ําระบายเขาและออกตางกัน 10OF และภาระเต็มพิกัด
1.3 ปรับตั้งอุณหภูมิน้ําเย็นใหสูงที่สุดเทาที่จะทําไดโดยทุกๆ 1OF ที่ปรับใหสูงขึ้นจะสงผลใหเกิดการประหยัด
พลังงานที่เครื่องอัดประมาณ 1.5-2%
1.4 ทําความสะอาดคอนเดนเซอรสม่ําเสมออยางนอยทุก 6 เดือน หรือดูจากอุณหภูมของน้ําระบายความรอนที่
ออกจากคอนเดนเซอรจะตองสูงกวาอุณหภูมิสารทําความเย็นไมเกิน 6 OF
1.5 เครื่องอัดแบบแรงเหวี่ยงควรปรับตั้ง Current Limit Load ในชวง 80-90% เพราะเปนจุดที่มีประสิทธิภาพ
สูงสุด
1.6 อุณหภูมิน้ําเขาระบายความรอนควรจะต่ําที่สุดเทาที่จะทําได โดยทุกๆ 1 OF ของน้ําที่เขามีอุณหภูมิลดลงจะ
สงผลใหเกิดการประหยัดพลังงานที่เครื่องอัดประมาณ 1.5-2%

รูปที่ 2-7.18 เครื่องทําน้ําเย็นแบบหอยโขง


2. หอผึ่งเย็น (Cooling Tower)
2.1 อุณหภูมิน้ําที่ไดไมควรสูงกวาอุณหภูมิกระเปาะเปยกของอากาศที่เขาระบายความรอนเกิน 6OF ซึ่งถาสูงกวามากอาจ
เกิดจากความสกปรกของ Filling สงผลใหประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนความรอนระหวางน้ํากับอากาศลดต่ําลงซึ่งอาจ
เกิดจากปริมาณลมนอยเกินไป ปริมาณน้ํามากเกินไป การกระจายน้ําไมเต็มพื้นที่เนื่องจากรูกระจายน้ําตัน การรั่วของ
น้ําที่ Sprinkler head หรืออาจเกิดจากลมที่เปาทิ้งหมุนวนกลับเขามาระบายความรอน
2.2 อากาศที่เขาระบายความรอนจะตองมีอุณหภูมิและความชื้นต่ํา
2.3 อัตราการไหลของน้ําจะตองไมเกินพิกัดการออกแบบโดยทั่วไปไมเกิน 3.0 GPM/TR เพราะถาน้ํามากกวา
อากาศจะสงผลใหอุณหภูมินํา้ ที่ไดสูง
2.4 อัตราการไหลของอากาศจะตองไมนอยกวาพิกัดการออกแบบ โดยทั่วไปประมาณ 180-250 CFM/TR
เพราะถาต่ําเกินไปจะระบายความรอนใหกับน้ําไดนอยลง
2.5 รอบการหมุนของ Sprinkler Pipe จะตองไดตามพิกัดการออกแบบโดยทั่วไปดังนี้
ขนาด Cooling Tower (TR) 3 5-30 40-60 80-250 300-350 400-700 800-1,500
รอบการหมุนของ Sprinkler Pipe 12-17 7-10 5-8 3-7 3.5-5 2.5-4 2-3
2.6 ทําความสะอาด Filling และถาดน้ํารวมทั้งหัวฉีดเปนประจําทุก 1 เดือน และเปลี่ยน Filling เมื่อหมดอายุ
การใชงาน
197
รูปที่ 2-7.19 หอผึ่งเย็นแบบไหลสวนทางกัน (Counter Flow Cooling Tower)

รูปที่ 2-7.20 หอผึ่งเย็นแบบไหลตัดกัน (Cross Flow Cooling Tower)


3. อุปกรณสงจายลมเย็น (AHU ; FCU)
3.1 อุณหภูมิผิวขดทอความเย็นจะตองต่ํากวาอุณหภูมิจุดน้ําคางของอากาศที่เขาไปรับความเย็น
3.2 อุณหภูมิอากาศที่ออกจากขดทอความเย็นตองสูงกวาอุณหภูมิน้ําเย็นที่ออกจากขดทอความเย็นไมกิน 6OF
ถาตางกันมากอาจเกิดจากปริมาณน้ําเย็นนอยกวาปริมาณอากาศหรือความสกปรกของพื้นที่ผิวแลกเปลี่ยนความรอน
3.3 อัตราการไหลของอากาศที่ผานขดทอความเย็นควรประมาณ 300-400 CFM/TR ถาต่ําเกินไปอาจเกิดจาก
กรองอากาศตัน หรือขดทอความเย็นสกปรก หรือมอเตอรพัดลมชํารุด
3.4 อัตราการไหลของน้ําเย็นที่ผานควรไดตามมาตรฐานที่ผูผลิตกําหนด โดยทั่วไปประมาณ 2.4 GPM/TR ที่
อุณหภูมิน้ําเย็นเขาและออกตางกัน 10 OF และภาระเต็มพิกัด
3.5 อุปกรณควบคุมอุณหภูมิจะตองใชงานไดเปนปกติ โดยจะเปดเต็มที่เมื่ออุณหภูมิอากาศสูงกวาที่ปรับตั้ง
และปดสนิทเมื่ออุณหภูมิต่ํากวาที่ปรับตั้ง
3.6 ควรทําความสะอาด Stainer เปนประจํา เพื่อปองกันไมใหน้ําไหลนอยเกินไป ควรปรับตั้งอุณหภูมิใน
บริเวณปรับอากาศใหสูงที่สุดเทาที่จะทําได และปรับการกระจายลมในพื้นที่ใหเหมาะสมโดยจะตองไมมีจุดอับ และทํา
การสมดุลลมอยางนอยปละ 1 ครั้ง

198
รูปที่ 2-7.21 อุปกรณสงลมเย็น
4. ปมน้ําเย็นและปมน้ําระบายความรอน
4.1 การตอปมน้ําแบบขนานไมควรเชื่อมตอทอทางเขาและทางออกแบบตัวทีเพราะจะมีการสูญเสียความดัน
มากกวาการตอแบบตัววาย และทอรวมควรจะมีขนาดใหญ
4.2 มอเตอรปมน้ําขนาดต่ํากวา 10 แรงมาเมื่อไหมควรเปลี่ยนใหม เพราะถานําไปพันใหมแตละครั้ง
ประสิทธิภาพของมอเตอรจะลดลงประมาณ 4%
4.3 ไมควรเลือกปมน้ําขนาดใหญแลวทําการหรี่วาลวน้ําเพราะประสิทธิภาพของปมน้ําจะลดต่ําลง ควรใชวิธีลด
รอบปมน้ํา หรือลดขนาดใบพัด หรือเปลี่ยนปมใหมเมื่อหมดอายุการใชงาน
4.4 ควรใชมอเตอรที่มีขนาด 80-90% ของภาระเพราะทุกๆ 10% ของภาระที่ต่ํากวา 80% จะทําให
ประสิทธิภาพของมอเตอรลดลง 1%
4.5 ควรทําความสะอาด Stainer สม่ําเสมอเพื่อใหน้ําไหลไดสะดวก
4.6 ควรเลือกเดินปมน้ําชุดที่มีคา GPM/kW สูงสุดเปนหลัก
4.7 ไมควรติดตั้งปมหลายๆ ชุดรวมกันเพราะบางครั้งชุดหลังๆ อาจจะสงน้ําไดนอยมากสงผลใหประสิทธิภาพ
โดยรอบของระบบปม (GPM/kW รวม) ลดต่ําลง
4.8 กรณีเดินปมน้ํารวมกันหลายตัวไมควรเดินชุดที่สงน้ําออกมาแลวทิศทางของน้ําตานกัน

รูปที่ 2-7.22 ปมน้ํา

199
(3) ระบบปรับอากาศแตละประเภทมีสัดสวนการใชพลังงานเทาใด ?
การประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศนั้นโรงงานควรจะตองรูวาอุปกรณประกอบในระบบปรับอากาศสวนใด
ใชพลังงานมาก เพื่อที่จะหาแนวทางในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตอไป
ตารางที่ 2-7.4 สัดสวนการใชพลังงานในระบบปรับอากาศ
ระบบปรับอากาศ พลังไฟฟาที่ใช (%)
1. ระบบทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ํา
- คอมเพรสเซอร 80
- มอเตอรพัดลมเครื่องสงลมและเครือ่ งจายลมเย็น 10
- มอเตอรปมน้ําระบายความรอน 3-5
- มอเตอรปมน้ําเย็น 3-5
- มอเตอรพัดลมหอผึ่งเย็น 2-3
2. ระบบทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยอากาศ
- คอมเพรสเซอร 85
- มอเตอรพัดลมระบายความรอน 5
- มอเตอรพัดลมเครื่องสงลมและเครือ่ งจายลมเย็น 50-10
- มอเตอรปมน้ําเย็น 3-5
3. ระบบปรับอากาศแบบเปนชุดระบายความรอนดวยน้ํา
- คอมเพรสเซอร 85
- มอเตอรพัดลมเครื่องสงลมและเครือ่ งจายลมเย็น 5-10
- มอเตอรปมน้ําระบายความรอน 3-5
- มอเตอรพัดลมหอผึ่งเย็น 2-3
4. ระบบปรับอากาสแบบแยกสวน
- แฟนคอลยยูนิต 5-10
- คอนเดนซิ่งยูนิต 90-95

2-7.3 เลือกใชระบบปรับอากาศใหเหมาะสมกับการใชงานทําอยางไร ?
สิ่งที่สําคัญอันดับแรกคือการประหยัดพลังงานและคาใชจายในการบํารุงรักษา ซึ่งพิจารณาไดดังนี้
ตารางที่ 2-7.5 การเลือกใชระบบปรับอากาศ
รายละเอียด ระบบทําน้ําเย็นระบาย ระบบทําน้ําเย็นระบาย แบบเปนชุดระบาย แบบแยกสวน
ความรอนดวยน้ํา ความรอนดวยอากาศ ความรอนดวยน้ํา
1. องคประกอบทาง
เทคนิค
1.1 การออกแบบและ ใชผเู ชี่ยวชาญเพราะตอง ใชผเู ชี่ยวชาญเพราะตอง ใชผเู ชี่ยวชาญเพราะตองใช ไมจําเปนตองใช
ติดตั้ง ใชวิชาการและความ ใชวิชาการและความ วิชาการและความชํานาญ ผูเชีย่ วชาญ
ชํานาญมาก ชํานาญมาก มาก
1.2 การดูแลและ ควบคุม ใชผเู ชี่ยวชาญเพราะตอง ใชผเู ชี่ยวชาญเพราะตอง ใชผเู ชี่ยวชาญเพราะตอง ไมจําเปนตองใช
การใชงาน ควบคุมการใชงานให ควบคุมการใชงานให ควบคุมการใชงานใหสมดุล ผูเชีย่ วชาญ
สมดุลกันตลอดเวลา สมดุลกันตลอดเวลา กันตลอดเวลา
1.3 การบํารุงรักษา ใชผเู ชี่ยวชาญเพราะมี ไมจําเปนตองใช ไมจําเปนตองใช ไมจําเปนตองใช
รายละเอียดทางเทคนิค ผูเชีย่ วชาญ ผูเชีย่ วชาญ ผูเชีย่ วชาญ

200
รายละเอียด ระบบทําน้ําเย็นระบาย ระบบทําน้ําเย็นระบาย แบบเปนชุดระบาย แบบแยกสวน
ความรอนดวยน้ํา ความรอนดวยอากาศ ความรอนดวยน้ํา
1.4 โครงสรางและ สวนประกอบมากและ สวนประกอบมากและ สวนประกอบมากและ สวนประกอบนอย
สวนประกอบ ซับซอน ซับซอน ซับซอน ไมซับซอน
1.5 การเปดและปดระบบ พื้นที่ใชงานทั้งหมดตอง พื้นที่ใชงานสวนใหญ พื้นที่ใชงานสวนใหญตอง แตละพื้นทีไ่ ม
เริ่มใชและหยุดใชงาน ตองเริม่ ใชและหยุดใช เริ่มใชและหยุดใชงาน จําเปนตองเริ่มใช
พรอมกัน งานพรอมกัน พรอมกัน และหยุดพรอมกัน
1.6 อายุการใชงาน ประมาณ 15-20 ป ประมาณ 15-20 ป ประมาณ 10-15 ป ประมาณ 5-8 ป
1.7 การยืดหยุนตอการ นอยถาอุปกรณหลัก นอยถาอุปกรณหลัก นอยถาอุปกรณหลักไมได มากเพราะไมสัมพันธ
ขยายในอนาคต ไมไดเผือ่ ไวมาก ไมไดเผือ่ ไวมาก เผื่อไวมาก กับอุปกรณอื่น
1.8 ขนาดที่เหมาะสมกับ
การใชงาน
60 TR – 100 TR ไมเหมาะสม พอใชได ไมเหมาะสม เหมาะสม
150 TR – 300 TR พอใชได เหมาะสม เหมาะสม ไมเหมาะสม
มากกวา 400 TR เหมาะสม พอใชได พอใชได ไมเหมาะสม
2. องคประกอบทาง
เศรษฐศาสตร
2.1 เงินลงทุน (บาท/ตัน 28,000-35,000 26,000-30,000 28,000-32,000 24,000-28,000
ความเย็น)
2.2 สมรรถนะดาน 1.10-1.30 1.5-1.6 1.3-1.45 1.2-1.6
พลังงาน (kW/TR)
2.3 คาใชจายในการ ประมาณ 1% ตอป ประมาณ 1% ตอป ประมาณ 1.5% ตอป ประมาณ 1.5% ตอป
บํารุงรักษา

2-7.4 การหาสมรรถนะของเครื่องปรับอากาศและอุปกรณประกอบในระบบปรับอากาศทําอยางไร ?
เครื่องปรับอากาศไมวาจะมีขนาดใหญหรือเล็กจะใชดัชนีชี้วัดสมรรถนะเหมือนกันคือคาพลังไฟฟาที่ใชตอ
ความสามารถในการทําความเย็น(kW/TR) ดังนั้นถาเปนเครื่องปรับอากาศใหมจะตองเขาหองทดสอบที่เปนมาตรฐาน
สวนเครื่องปรับอากาศเกาที่ติดตั้งใชงานแลวจะตองตรวจวัดคาตางๆ แลวนํามาคํานวณตอไป
(1) เครื่องทําน้ําเย็น (Chiller)
สมรรถนะของเครื่องปรับอากาศ = พลังไฟฟาที่เครื่องทําน้ําเย็นใช / ความสามารถในการทําความเย็น
ChP = kW/TR
เมื่อ TR = ความสามารถในการทําความเย็นที่ภาระเต็มพิกัด (TR)
= (500 x FL x ΔT) / 12,000
FL = อัตราการไหลของน้ําเย็นที่ไหลผานสวนทําน้ําเย็น (GPM)
ΔT = อุณหภูมิแตกตางของน้ําเย็นที่ไหลเขาและไหลออกจากสวนทําน้ําเย็น (๐F)
kW = พลังไฟฟาที่ใชของสวนทําน้ําเย็น (kW)
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ําขนาดพิกัด 350 TR และคา kW/TR พิกัด 0.60
kW/TR จากการตรวจวัดขณะที่เครื่องทํางานที่ภาระสูงสุดไดอุณหภูมิน้ําเย็นเขาเครื่อง 53๐F และออกที่ 46.5๐F อัตรา
การไหลของน้ําเย็น 1,020 แกลลอนตอนาที พลังไฟฟาที่ใช 269 กิโลวัตต จงหาคา kW/TR ของเครื่องทําน้ําเย็นชุดนี้
201
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน

1.1 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาเครื่อง Ti F 53.00 วัดอุณหภูมนิ ้ําเย็นจริง

1.2 อุณหภูมิน้ําเย็นออกเครื่อง To F 46.50 วัดอุณหภูมนิ ้ําเย็นจริง
1.3 อัตราการไหลของน้ําเย็น FL GPM 1,020.00 วัดอัตราการไหลของน้ําเย็น
1.4 พลังไฟฟาที่เครื่องใช EL kW 269.00 วัดพลังไฟฟาเฉพาะที่ Chiller
1.5 คา kW/TR พิกัด ChPR kW/TR 0.60 จากคุณลักษณะของเครือ่ ง
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็น
TR = (500 x FL x (To-Ti))/12,000 TR TR 276.25
2.2 สมรรถนะของเครือ่ งปรับอากาศ
ChP = EL/TR ChP kW/TR 0.97
2.3 คา kW/TR สูงกวาพิกัด
PChP = ((ChP – ChPR)/ChP) x 100 PChP % 38.38

(2) เครื่องปรับอากาศแบบเปนชุดและแบบแยกสวน
สมรรถนะของเครื่องปรับอากาศ = พลังไฟฟาที่เครื่องปรับอากาศใช / ความสามารถในการทําความเย็น
ChP = kW/TR
เมื่อ TR = ความสามารถในการทําความเย็นที่ภาระเต็มพิกัด (TR)
= (4.5 x CFM x Δh) / 12,000
CFM = อัตราการไหลของลมเย็นที่ไหลผานขดทอความเย็น (ft3/min)
Δh = ผลตางของเอนธาลปของอากาศที่ไหลเขาและออกจากขดทอความเย็น (Btu/lb)
kW = พลังไฟฟาที่ใชของเครื่องทําความเย็นทั้งระบบ ยกเวนปมน้ําและหอผึ่งเย็น (kW)
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ไดทําการตรวจวัดเพื่อหาสมรรถนะของเครื่องปรับอากาศแบบแยกสวนขนาดพิกัด 35,500 Btu/h
และคา kW/TR พิกัด 1.13 kW/TR โดยมีขอมูลและผลการวิเคราะหดังนี้
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 ขนาดพื้นที่ของชองจายลมเย็น A Ft2 1.83 วัดพื้นที่หนาตัดหัวจายลม
1.2 ความเร็วลมที่ออกจากหัวจาย V Ft/min 612.50 วัดความเร็วเฉลี่ยของอากาศที่หัวจายลม

1.3 อุณหภูมิอากาศกอนเขาขดทอความเย็น Ti F 78.80 วัดอุณหภูมอิ ากาศที่เขาขดทอ
1.4 ความชื้นสัมพัทธของอากาศกอนเขาขด
ทอความเย็น RHi %RH 62.90 วัดความชื้นสัมพัทธที่เขาขดทอ

1.5 อุณหภูมิอากาศหลังผานขดทอความเย็น To F 70.70 วัดอุณหภูมอิ ากาศที่ออกขดทอ
1.6 ความชื้นสัมพัทธหลังผานขดทอความเย็น RHO %RH 75.40 วัดความชื้นสัมพัทธที่ออกขดทอ
1.7 พลังไฟฟาที่เครื่องปรับอากาศทั้งชุดใช EL kW 2.20 วัดพลังไฟฟาที่เครื่องทั้งชุด
1.8 คา kW/TR พิกัด ChPR kW/TR 1.13 จากคุณสมบัติของเครือ่ ง
1.9 ความสามารถในการทําความเย็นพิกัด Btu R Btu/h 35,500.00 จากคุณสมบัติของเครือ่ ง

202
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 อัตราการไหลของอากาศผานขดทอ
ความเย็น CFM = A x V CFM ft3/min 1,120.88
2.2 เอนธาลปของอากาศกอนเขาขดทอความเย็น hi Btu/Ib 33.51
2.3 เอนธาลปของอากาศหลังผานขดทอความเย็น ho Btu/Ib 30.25
2.4 ผลตางของเอนธาลปอากาศที่ไหลเขาและ
ออกขดทอความเย็น Dh = hi-ho Dh Btu/Ib 3.26
2.5 ความสามารถในการทําความเย็น
TR = (4.5 x CFM x Dh)/12,000 TR TR 1.37
2.6 สมรรถนะของเครือ่ ง ChP = EL/TR ChP kW/TR 1.60
2.7 อัตราสวนประสิทธิภาพพลังงาน
EER = (TR x 12,000)/(EL x 1,000) EER Btu/W 7.48
2.8 ความสามารถในการทําความเย็นต่ํากวาพิกัด
PTR = (((BtuR / 12,000)-TR)/TR) x 100 PTR % 115.68
2.9 คา kW/TR สูงกวาพิกัด
PChP = ((ChP - ChPR)/ChP) x 100 PChP % 29.55

(3) เครื่องสงลมเย็น (AHU) และเครื่องจายลมเย็น (FCU)


ความสามารถในการทําความเย็น = (500 x FL x ΔT)/12,000
เมื่อ FL = อัตราการไหลของน้ําเย็นทีเขาหรือออกจาก AHU หรือ FCU ขณะที่ลิ้นควบคุมอัตราการไหล
ของน้ําเปดเต็มที่ (GPM)
ΔT = อุณหภูมิแตกตางของน้ําเย็นที่ไหลเขาและไหลออกจาก AHU หรือ FCU (๐F)
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ทําการตรวจวัดหาอัตราการทําความเย็นของเครื่องสงลมเย็น ขนาดพิกัด 120,000 Btu/h อุณหภูมิ
น้ําเย็นเขา 45 ๐F อุณหภูมิน้ําเย็นออก 52 ๐F อัตราการไหลของน้ําเย็น 26 แกลลอนตอนาที ทําการวิเคราะหไดดังนี้
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน

1.1 อุณหภูมิน้ําเย็นกอนเขา AHU หรือ FCU Ti F 45.00 วัดอุณหภูมนิ ้ําเย็นกอนเขา

1.2 อุณหภูมิน้ําเย็นออกจาก AHU หรือ FCU To F 52.00 วัดอุณหภูมนิ ้ําเย็นที่ออก
1.3 อัตราการไหลของน้ําเย็นที่เขาหรือออกจาก FL GPM 26.000 วัดอัตราการไหลของน้ําเย็น
AHU
1.4 พิกัดการทําความเย็น Btu R kW/TR 120,000.00 จากคุณสมบัติของเครือ่ ง
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็น TR TR 7.58
TR = (500 x FL x (To-Ti))/12,000
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นต่ํากวาพิกัด ChP kW/TR 31.93
PTR = (((Btu R / 12,000) – TR)/TR) x 100

203
(4) หอผึ่งเย็น (Cooling Tower)
ความสามารถในการระบายความรอน (TR) = (500 x FL x ΔT) / 12,000
เมื่อ FL = อัตราการไหลของน้ําระบายความรอนที่ไหลผานหอผึ่งเย็น (GPM)
ΔT = อุณหภูมิแตกตางของน้ําระบายความรอนกอนเขาและออกจากหอผึ่งเย็น (๐F)
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ทําการตรวจวัดหาความสามารถของหอผึ่งเย็นซึ่งมีขนาด 700 TR วัดอุณหภูมิน้ําระบายความ
รอนกอนเขาหอผึ่งเย็น 100 ๐F และออกที่ 95 ๐F อัตราการไหลของน้ํา 1,680 แกลลอนตอนาที ทําการวิเคราะหดังนี้
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน

1.1 อุณหภูมิน้ําระบายความรอนกอนเขาหอผึ่งเย็น Ti F 100.00 วัดอุณหภูมนิ ้ําระบายกอนเขา CT

1.2 อุณหภูมิน้ําระบายความรอนออกจากหอผึ่งเย็น To F 95.00 วัดอุณหภูมนิ ้ําระบายออกจาก CT
1.3 อัตราการไหลของน้ําระบายความรอนผานหอ
ผึ่งเย็น FL GPM 1,680.00 วัดอัตราการไหลน้ําระบายเขาหรือออก
1.4 พิกัดการระบายความรอน TRR TR 700.000 จากคุณสมบัติของ CT
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการระบายความรอนของหอ
ผึ่งเย็น TR = (500 x FL x (Ti -To))/12,000 TR TR 350.00
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นต่ํากวาพิกัด
PTR = (( TRR – TR)/TR) x 100 PTR % 100.00

(5) ปมน้ําเย็น (CHP) และปมน้ําระบายความรอน (CDP)


ดัชนีการใชพลังงานของปมน้ํา = อัตราการไหลของน้ําทีผานเขาหรือออกจากปม / พลังไฟฟาที่ใชขับปม (kW)
= FL / kW
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งปมน้ําเย็นขนานกัน 4 ชุด โดยเปดใชงานครั้งละ 2 ชุด สลับกันไปมา เพื่อใหเกิดการ
ประหยัดพลังงานโรงงานจึงทําการตรวจวัดหาสมรรถนะเพื่อนําชุดที่มีสมรรถนะสูงไปใชเดินเปนหลัก โดยมีขอมูลและผล
การวิเคราะหดังนี้
รายการปมน้ําเย็น ผลการตรวจวัด ผลการวิเคราะหสมรรถนะ
อัตราการไหลของน้ําเย็น(GPM) พลังไฟฟาที่ใชขบั ปม (kW) ของปมน้ําเย็น (GPM/ kW)
CHP – 1 800 43.4 18.43
CHP – 2 720 42.8 16.82
CHP – 3 870 43.6 19.95
CHP – 4 700 42.5 16.47

จากผลการตรวจวัดโรงงานจึงนําปม CHP – 1 และ CHP – 3 มาเดินเปนหลักจะสงผลใหเกิดการประหยัด


พลังงานและไดทําการหาสาเหตุและแกไข CHP – 2 และ CHP – 4 ใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

204
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 อัตราการไหลน้ําเขาหรือออกจากจากปมชุดที่ 1 FL1 GPM 800 วัดอัตราการไหลของน้ํา
1.2 อัตราการไหลน้ําเขาหรือออกจากจากปมชุดที่ 2 FL2 GPM 720 วัดอัตราการไหลของน้ํา
1.3 อัตราการไหลน้ําเขาหรือออกจากจากปมชุดที่ 3 FL3 GPM 870 วัดอัตราการไหลของน้ํา
1.4 อัตราการไหลน้ําเขาหรือออกจากจากปมชุดที่ 4 FL4 GPM 700 วัดอัตราการไหลของน้ํา
1.5 พลังไฟฟาที่ปม ชุดที่ 1 EL1 kW 43.4 วัดพลังไฟฟาที่ปม
1.6 พลังไฟฟาที่ปม ชุดที่ 2 EL2 kW 42.8 วัดพลังไฟฟาที่ปม
1.7 พลังไฟฟาที่ปม ชุดที่ 3 EL3 kW 43.6 วัดพลังไฟฟาที่ปม
1.8 พลังไฟฟาที่ปม ชุดที่ 4 EL4 kW 42.5 วัดพลังไฟฟาที่ปม
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ดัชนีการใชพลังงานของปมน้ําชุดที่ 1
SECP1 = FL1/EL1 SECP1 GPM/kW 18.43
2.2 ดัชนีการใชพลังงานของปมน้ําชุดที่ 2
SECP2 = FL2/EL2 SECP2 GPM/kW 16.82
2.3 ดัชนีการใชพลังงานของปมน้ําชุดที่ 3
SECP3 = FL3/EL3 SECP3 GPM/kW 19.95
2.4 ดัชนีการใชพลังงานของปมน้ําชุดที่ 4
SECP4 = FL4/EL4 SECP4 GPM/kW 16.47

(6) ระบบปรับอากาศขนาดใหญ
สมรรถนะของระบบปรับอากาศ = พลังไฟฟาที่ระบบปรับอากาศใช / ความสามารถในการทําความเย็น
ChPS = kW / TR
เมื่อ TR = ความสามารถในการทําความเย็นที่ภาระเต็มพิกัด (TR) = (500 x FL x ΔT)/12,000
FL = อัตราการไหลของน้ําเย็นที่ไหลผานสวนทําน้ําเย็น (GPM)
Δ T = อุณหภูมิแตกตางของน้ําเย็นที่ไหลเขาและออกจากสวนทําน้ําเย็น (๐F)
kW = ผลรวมของพลังไฟฟาที่ใชกับเครื่องทําน้ําเย็น ปม น้ําเย็น ปมน้ําระบายความรอน หอผึ่งเย็นและ
อุปกรณสงจายลมเย็นทั้งหมด (kW)
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้าํ 350 TR ขณะใชงานเครือ่ งทําน้าํ เย็น 1 ชุด จะเปด
ปมน้ําเย็น 1 ชุด ปมน้าํ ระบายความรอน 1 ชุด หอผึ่งเย็น 2 ชุด และเครื่องสงจายลมเย็น 30 ชุด จากการวัดแสดงดังนี้

เครื่องทําน้ําเย็น อุณหภูมิน้ําเย็นเขา 53OF ออก 46.5OF อัตราการไหลของน้ําเย็น 1,020 GPM พลังไฟฟา 269 kW
ปมน้ําเย็น พลังไฟฟา 42 kW
ปมน้ําระบายความรอน พลังไฟฟา 25 kW
หอผึ่งเย็น พลังไฟฟา 6 kW
เครื่องสงลมเย็น พลังไฟฟารวม 42 kW

205
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน

1.1 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาเครื่อง Ti F 53 วัดอุณหภูมนิ ้ําเย็นจริง

1.2 อุณหภูมิน้ําเย็นออกเครื่อง To F 46.5 วัดอุณหภูมนิ ้ําเย็นจริง
1.3 อัตราการไหลของน้ําเย็น FL GPM 1,020 วัดอัตราการไหลของน้ําเย็น
1.4 พลังไฟฟาเครื่องทําน้ําเย็น ELC kW 269 วัดพลังไฟฟาเฉพาะที่ Chiller
1.5 พลังไฟฟาปมน้ําเย็น ELCHP kW 42 วัดพลังไฟฟาเฉพาะที่ปมน้ําเย็น
1.6 พลังไฟฟาปมน้ําระบายความรอน ELCDP kW 25 วัดพลังไฟฟาเฉพาะที่ปมน้ําระบาย
ความรอน
1.7 พลังไฟฟาหอผึ่งเย็น ELCT kW 6 วัดพลังไฟฟาเฉพาะที่หอผึ่งเย็น
1.8 พลังไฟฟาเครื่องสงลมเย็น ELAHU kW 42 วัดพลังไฟฟาเฉพาะที่เครือ่ งสงลมเย็น
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็น
TR = (500 x FL x (Ti – To))/12,000 TR TR 276.25
2.2 พลังไฟฟารวม
ELT = ELC +ELCHP +ELCDP + ELCT + ELAHU ELT kW 384
2.3 สมรรถนะของระบบปรับอากาศ
ChPS = ELT/TR ChP kW/TR 1.39

2-7.5 ทําอยางไรใหระบบปรับอากาศประหยัดพลังงาน ?
ในการลดการใชพลังงานจะตองทําการตรวจวินจิ ฉัยและวิเคราะหในแตละปจจัย แลวจัดลําดับความสําคัญจาก
ปจจัยที่ใชพลังงานมากที่สุด เพราะจะทําใหเกิดการประหยัดพลังงานไดมาก ปจจัยที่สงผลตอการใชไฟฟาในระบบปรับ
อากาศมีดังนี้

Cooling Load
(kW)
Electric
Power
1 Operating
Consumption Time
of HVAC
= x (hr)
(kWh) C.O.P. of Motor Trans
System x Eff x Eff 5
2 η m 13 ηt 4

Power of Operating
Auxilary Time
++ (kW) x (hr)
6 7
Pump , Cooling fan , FCU

206
หมายเลข แนวทางการประหยัดพลังงาน มาตรการทีด่ าํ เนินการ
1 1. ลดภาระการปรับอากาศ จากภายนอก • ลดพืน้ ทีผ่ นังโปรงแสงทางทิศตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต และทิศใต
ใหเหลือนอยที่สุด • ใชอปุ กรณบงั แดด เชน กันสาดหรือตนไม ติดตัง้ ฟลม กันความรอน
• เลือกใชวัสดุที่มีคุณสมบัติเปนฉนวนความรอนกับผนังทึบ
• ลดการนําอากาศภายนอกเขาและลดการนําอากาศภายในออก
• ปรับตั้งอุณหภูมิในพื้นที่ปรับอากาศใหสูงที่สุด
2. ลดภาระการปรับอากาศ จากภายในให • ใชอุปกรณแลกเปลี่ยนความรอนระหวางอากาศ
เหลือนอยที่สุด • ปรับปรุงระบบแสงสวางใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
• ใชอุปกรณไฟฟาที่มีประสิทธิภาพสูง
• นําอุปกรณที่กอใหเกิดความรอนออกจากหองปรับอากาศ
• หุมฉนวนอุปกรณที่มีอุณหภูมิสูง
• ลดพื้นที่ปรับอากาศ
2 เพิ่มสัมประสิทธิ์สมรรถนะ (COP; • ควบคุมปริมาณสารทําความเย็นในระบบใหเหมาะสม
Coefficient of Performance) ใหสูงที่สุด • ทําความสะอาดพื้นที่ผิวแลกเปลี่ยนความรอนระหวางสารทํา
ความเย็นกับน้ําหรืออากาศ
• ควบคุมปริมาณน้ําหรืออากาศใหไหลผานขดทอแลกเปลี่ยน
ความรอนในอัตราที่เหมาะสม
• เพิ่มขนาดพื้นที่ผิวแลกเปลี่ยนความรอน
• ปรับตั้งหรือเลือกใชลิ้นลดความดันที่มีขนาดเหมาะสม
• ปรับตั้งอุณหภูมิน้ําเย็นใหสูงขึ้น
• ใชน้ําหรืออากาศที่มีอุณหภูมิต่ําเขาระบายความรอน
• ใชน้ําระบายความรอนแทนอากาศ
• ใชเครื่องอัดที่มีประสิทธิภาพสูง
• ควบคุมคุณภาพน้ําระบายความรอน
3 เพิ่มประสิทธิภาพของมอเตอร (ηm) ที่ขับ • คอมเพรสเซอรขนาดเล็ก เมือ่ มอเตอรไหมหรือมีอายุการใชงานมาก
คอมเพรสเซอรใหสูงที่สุด กวา 5 ป ควรเปลีย่ นใหมโดยใขคอมเพรสเซอรประสิทธิภาพสูง
• คอมเพรสเซอรขนาดใหญควรซอมมอเตอรไมเกิน 3 ครั้ง เพราะ
มอเตอรไหมแตละครั้งประสิทธิภาพจะลดลงประมาณ 4%
• อัดจารบีหรือสารหลอลื่นเปนประจํา
• เปลี่ยนลูกปนเมื่อหมดอายุการใชงาน
• เปลี่ยนไปใชมอเตอรประสิทธิภาพสูง
4 เพิ่มประสิทธิภาพระบบสงกําลัง (ηt ) • ปรับความตึงสายพานใหเหมาะสม
ระหวางเครื่องอัดสารทําความเย็นกับ • เปลี่ยนสารพานเมื่อหมดอายุการใชงาน
มอเตอรใหสูงที่สุด • ใสสายพานใหครบตามจํานวนที่ออกแบบ
• เลือกใชสายพานที่มีประสิทธิภาพสูง
5 ลดชั่วโมงการใชงาน เครื่องปรับอากาศ • เปดใชงานใหชาลง (Optimum Start)
• ปดกอนเลิกงานเล็กนอย (Optimum Stop)

207
หมายเลข แนวทางการประหยัดพลังงาน มาตรการทีด่ าํ เนินการ
• ปดเครือ่ งปรับอากาศในชวงเวลาไมใชงาน
• ปดเครื่องปรับอากาศชวงพักกลางวัน
• ลดจํานวนเครื่องปรับอากาศเมื่อภาระการปรับอากาศต่ํา
6 ลดพลังไฟฟาที่ใชกับอุปกรณประกอบของ • เปดใชงานในจํานวนที่เหมาะสม
ระบบปรับอากาศ (Power of Auxiliary) • เลือกใชงานอุปกรณชดุ ทีม่ ปี ระสิทธิภาพสูงเปนหลัก
เชน ปมน้ํา หอผึ่งเย็น เครื่องสงหรือจายลม
• ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปกรณใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
เย็น
• ใชงานอุปกรณในจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
• ใชอุปกรณปรับความเร็วรอบกับปมหรือพัดลม
• ทําความสะอาดอุปกรณ เชน ฟลเตอรและทอน้ํา
• ลดปริมาณน้าํ และอากาศสวนเกิน โดยใช VWV และ VAV เปนตน
7 ลดชั่วโมงการใชงานอุปกรณประกอบระบบ • ปดปมน้ําระบายความรอนและหอผึ่งกอนปดปมน้ําเย็น
ปรับอากาศ • ควบคุมเวลาการเปดเครื่องสงจายลมเย็นโดยไมเปดกอนเวลา
ทํางานนานเกินไป และปดทันทีเมื่อเลิกงาน
• ปดเครื่องสงจายลมเย็นในเวลาที่ไมมีการใชงาน

แนวทางการประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศมีดังนี้
(1) การเพิม่ ประสิทธิภาพเครือ่ งทําน้าํ เย็นโดยการเพิม่ ความดันสารทําความเย็นดานอีแอปปอเรเตอร
(2) ลดความดันสารทําความเย็นดานคอนเดนเซอร โดยการทําความสะอาดคอนเดนเซอรและการเดินหอผึง่ เย็นเพิม่
(3) การใชเครือ่ งทําน้าํ เย็นในจุดทีม่ ปี ระสิทธิภาพสูงสุด หรือเลือกเดินเครือ่ งทําน้าํ เย็นชุดทีม่ ปี ระสิทธิภาพสูงมากขึน้
(4) การเพิม่ ประสิทธิภาพเครือ่ งทําน้าํ เย็นโดยการเพิม่ อัตราการไหลของน้าํ เย็น
(5) การเปลีย่ นไปใชเครือ่ งทําน้าํ เย็นประสิทธิภาพสูง
(6) การลดการนําอากาศภายนอกเขาหรือลดการดูดอากาศภายในทิง้
(7) การลดอากาศรอนจากภายนอกรัว่ เขาหองปรับอากาศ
(8) การลดพืน้ ทีป่ รับอากาศ และการปรับอุณหภูมแิ ละความชืน้ สัมพัทธภายในหองปรับอากาศใหสงู ขึน้
(9) การลดภาระการปรับอากาศโดยการปรับปรุงระบบแสงสวาง
(10) การหรีว่ าลวทีอ่ อกจากปม เพือ่ ลดอัตราการไหลของน้าํ
(11) เลือกเดินปม น้าํ ชุดทีม่ ปี ระสิทธิภาพสูงเปนหลัก และเปลีย่ นปม น้าํ ชุดทีม่ ปี ระสิทธิภาพต่าํ ในระบบปรับอากาศ
(1) การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องทําน้ําเย็นโดยการเพิ่มความดันสารทําความเย็นดานอีแวปปอเรเตอร
การที่ความดันระเหยหรือความดันของสารทําความเย็นใน Evaporator ต่ําลงจะสงผลใหความสามารถในการทํา
ความเย็นลดลงและพลังไฟฟาจะมากขึ้น ทําใหเครื่องปรับอากาศมีคา kW/TR สูงขึ้นหรือคา COP ลดลง ดังนั้นควรเพิ่ม
ความดันของสารทําความเย็นดานต่ําใหสูงขึ้น โดยเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กอาจทําโดยการปรับตั้งลิ้นลดความดัน แต
ถาเปนเครื่องขนาดใหญ ทําโดยการปรับตั้งอุณหภูมิน้ําเย็นใหสูงขึ้น ทั่วไปในชวงที่ภาระของเครื่องต่ํากวา 80%
สามารถปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ําเย็นได 1-3 ๐F โดยทุกๆ 1๐F ที่ปรับสูงขึ้นจะทําใหคา kW/TR ลดลง 2-4% โดยกอนที่จะ
ปรับเพิ่มอุณหภูมิเครื่องทําน้ําเย็นควรตรวจสอบและทําความสะอาดกรองอากาศและขดทอความเย็นของเครื่องสงลม
เย็นและเครื่องจายลมเย็นทั้งหมดกอน เพราะบางครั้งเมื่อเพิ่มอุณหภูมิแลวทําใหบางพื้นที่อุณหภูมิสูงเกินความตองการ

208
ซึ่งปญหาไมไดเกิดจากอุณหภูมิน้ําเย็นที่สูงเกินไปแตเกิดจากประสิทธิภาพของ AHU หรือ FCU นอกจากนั้นที่พบมาก
คืออัตราการไหลของน้ําเย็นที่เขา AHU นอยเกินไปทําใหความสามารถในการทําความเย็นของ AHU ลดลง ดังนั้นควร
สมดุลน้ําในระบบใหเหมาะสมและอีกประการหนึ่งที่พบบอยคือในพื้นที่ปรับอากาศที่ใช AHU ชุดเดียวกันพบวาบางจุด
อุณหภูมิสูงและบางจุดอุณหภูมิต่ํา ซึ่งเกิดจากการกระจายลมในพื้นที่ไมดี หรือปริมาณลมที่ออกจากหัวจายบางจุดนอย
เกินไป ซึ่งควรแกปญหาโดยการปรับตั้งหัวจายลมใหเหมาะสมและทําการสมดุลลมใหเหมาะสมกับภาระการปรับอากาศ
ในแตละจุด การปรับตั้งอุณหภูมิน้ําเย็นใหสูงขึ้นมีหลายวิธี คือ การปรับโดยใชคน และการปรับโดยอัตโนมัติ ซึ่งการปรับ
โดยอัตโนมัตินั้นสามารถทําไดโดย
1. ควบคุมจากอุณหภูมิน้ําเย็นที่กลับเขาเครื่อง
2. ควบคุมจากอากาศภายนอก
3. ควบคุมจากอุณหภูมิในพื้นที่ที่รอนที่สุดหรือพื้นที่ที่สําคัญที่สุด
จากรูปที่ 2-7.23 จะเห็นวาถาอุณหภูมิน้ําเย็นสูงขึ้นจะทําใหรอยละของ COP สูงขึ้น หรือ คา kW/TR ลดลงซึ่ง
เครื่องอัดแตละชนิดจะไดผลที่แตกตางกัน

Percentincrease in
Coefficient of performance
(base 40 ๐F)

Leaving chilled water Temperature ๐F

รูปที่ 2-7.23 การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิน้ําเย็นสงผลใหสัมประสิทธิสมรรถนะ (COP) ของเครื่องอัดแบบตางๆ

สมการที่ใชในการคํานวณ
ความสามารถในการทําความเย็นของเครือ่ งหอผึง่ เย็น (TR) = (500 x GPM x T) / 12,000
ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็น (ChP) = kW/TR
พลังงานไฟฟาที่ลดลง (ES) = (kW/TR กอนปรับเปลี่ยน – kW/TR หลังปรับเปลี่ยน)
x ตันความเย็นเดิม x ชั่วโมงการใชงานตอป
x ตัวประกอบการทํางาน
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นแบบหอยโขงระบายความรอนดวยน้ําขนาดพิกัด 350 TR ปกติปรับตั้ง
อุณหภูมิน้ําเย็นไวที่ 45๐F เพื่อใหเกิดการประหยัดพลังงานโรงงานจึงปรับอุณหภูมิน้ําเย็นเปน 46๐F ที่ภาระโหลด 60%
โดยพื้นที่ปรับอากาศไมมีปญหา ผลการตรวจวัดกอนและหลังการปรับตั้งมีดังนี้ (ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป
ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศเปลี่ยนแปลงประมาณ 80% อัตราคาไฟฟา 2.95 บาทตอหนวย) [วิธีการคํานวณ 1)
กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูล ของหัวขอ 1 ใหครบถวน 2) ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]

209
รายละเอียด อุณหภูมิน้ําเย็น อุณหภูมิน้ําเย็น อัตราการไหล พลังไฟฟาที่ใช
เขา(๐F) ออก (๐F) ของน้ําเย็น (kW)
(GPM)
เดิมปรับตั้งอุณหภูมิน้ําเย็นที่ 45 ๐F 51.4 45.0 631 129
ปรับตั้งอุณหภูมิน้ําเย็นใหมเปน 46 ๐F 52.3 46.2 631 116

รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล


1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hr h/y 3,600 จากการใชงานจริง
1.3 ตัวประกอบการทํางาน OF - 1 ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศ
ของเครื่องเปลี่ยนแปลงเทาใด

1.4 อุณหภูมิน้ําเย็นเขากอนเพิ่มอุณหภูมิน้ําเย็น TOi F 51.4 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.5 อุณหภูมิน้ําเย็นออกกอนเพิ่มอุณหภูมิน้ําเย็น TOO F 45 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.6 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาหลังเพิ่มอุณหภูมิน้ําเย็น TNI F 52.3 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.7 อุณหภูมิน้ําเย็นออกหลังเพิ่มอุณหภูมิน้ําเย็น TNO F 46.2 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง
1.8 อัตราการไหลของน้ําเย็น FLO GPM 631 จากการตรวจวัด
1.9 พลังไฟฟากอนเพิ่มอุณหภูมิน้ําเย็น ELO kW 129 จากการตรวจวัด
1.10 พลังไฟฟาหลังเพิ่มอุณหภูมิน้ําเย็น ELN kW 116 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็นเดิม
TRO = ((500 x FLO x (TOi- TOO)) / 12,000 TRO TR 168.27
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นหลังเพิม่ อุณหภูมิ
น้าํ เย็น TRN = ((500 x FLO x (TNI- TNO))/12,000 TRN TR 160.38
2.3 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นกอนปรับ
ChPO = ELO /TRO ChPO kW/TR 0.77
2.4 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นหลังเพิ่มน้ําเย็น
ChPN = ELN/TRN ChPN kW/TR 0.72
2.5 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป 23,094.7
Es = (ChPO - ChPN) x TRN x hr x OF ES kWh/y 2
2.6 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x EC 68,129.4
SC B/y 2

(2) การลดความดันสารทําความเย็นดานคอนเดนเซอรโดยการทําความสะอาดคอนเดนเซอร
โรงงานสวนใหญจะทําความสะอาดคอนเดนเซอรปละ 1 ครั้ง ซึ่งนอยเกินไปเนื่องจากเมื่อใชงานตะกรันซึ่งเกิด
จากน้ําระบายความรอนจะยึดเกาะผิวทอแลกเปลี่ยนความรอนของคอนเดนเซอรหนามากขึ้นเรื่อย ทําใหประสิทธิภาพใน
การแลกเปลี่ยนความรอนระหวางสารทําความเย็นและน้ําระบายความรอนลดลง ปริมาณความรอนที่ระบายทิ้งลดลง
ความเย็นที่ไดก็จะลดลงตามไปดวย นอกจากนั้นความดันสารทําความเย็นในคอนเดนเซอรจะสูงขึ้น สงผลใหเครื่องอัดใช
พลังไฟฟามากขึ้น ดังนั้นความถึ่ในการลางจะมากนอยขึ้นอยูกับผลตางของอุณหภูมิสารทําความเย็นในคอนเดนเซอร
และอุณหภูมิของน้ําที่ออกจากคอนเดนเซอร ซึ่งควรตางกันไมเกิน 4-6OF จากรูปที่ 2-7.24 จะเห็นวาเมื่อใชงานไปคา

210
kW/TR ของเครื่องจะสูงขึ้นและเมื่อลางทําความสะอาดคา kW/TR ก็จะลดลง ดังนั้นการคิดการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟา
จะคิดที่ 0.5 ของพลังงานไฟฟาที่เครื่องใชสูงขึ้นจากหลังทําความสะอาดใหมๆ และถาลดความถี่ลงจากปละ 1 ครั้งเปนป
ละ 2 ครั้ง จะคิดผลการประหยัดไดครึ่งหนึ่งของการสิ้นเปลืองพลังงานจากการทําความสะอาดปละ 1 ครั้ง ปจจุบันมี
kW / TR kW / TR

Time Time
รูปที่ 2-7.24 คา kW/TR จะมากขึ้นตามระยะเวลาการใช รูปที่ 2-7.25 ผลของการทําความสะอาดปละ 2 ครั้ง
อุปกรณที่ใชทําความสะอาดอัตโนมัติ เชนใชแปรงหรือใชลูกบอลฟองน้ําหรือใชประจุไฟฟา หรือใชโอโซน
สมการที่ใชในการคํานวณ
พลังไฟฟาที่สูญเสียจากความถี่ในการทําความสะอาดเดิม
= 0.5 x (kW/TR กอนทําความสะอาด – kW/TR หลังทําความสะอาด) x ตันความเย็นเดิม x ชั่วโมงการใช
งานในชวงการทําความสะอาดเดิม x ตัวประกอบการทํางาน
พลังงานไฟฟาที่ประหยัดไดจากการเพิ่มความถี่ใน
= 1–1 / (จํานวนชั่วโมงเดิมในรอบการทําความสะอาดความถี่เดิม/จํานวนชั่วโมงในรอบความถี่ใหม) xพลัง
งานไฟฟาที่สูญเสียจากความถี่ในการทําความสะอาดเดิม
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ําขนาดพิกัด 1,200 TR โดยปกติโรงงานทําความ
สะอาดคอนเดนเซอรปละ 1 ครั้ง จากการตรวจวัดพบวาอุณหภูมิสารทําความเย็นที่คอนเดนเซอรมาก ทําใหสูญเสียพลัง
งาน โรงงานจึงปรับแผนการทําความสะอาดใหมเปนปละ 2 ครั้ง จึงทําการตรวจวัดหาประสิทธิภาพกอนและหลังทํา
ความสะอาด ดังนี้ (ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศเปลี่ยนแปลง 80% อัตราคา
ไฟฟา 2.95 บาทตอหนวย) [วิธีการคํานวณ 1) กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูล ของหัวขอ 1 ใหครบถวน 2) ทําการ
คํานวณตามหัวขอ 2]
รายละเอียด Condenser ความดันสาร อุณหภูมิน้ําเย็น อัตราการไหล พลังไฟฟา
Approach ทําความเย็น ออก ของน้ําเย็น ที่ใช
เขา(๐F)
Temp. (๐F) (psig) (๐F) (GPM) (kW)
กอนทําความสะอาดคอนเดนเซอร 8 12 61.0 53.2 3,100 675
หลังทําความสะอาดคอนเดนเซอร 3 10 61.0 52.5 3,330 600

รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล


1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานในชวงการทําความสะอาดเดิม hrO h/y 3,600 จากแผนการบํารุงรักษา
1.3 ชั่วโมงการใชงานในชวงการทําความสะอาดใหม hrN h/y 1,800 จากแผนการบํารุงรักษาใหม
1.4 ตัวประกอบการทํางาน OF - 0.8 ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศ

211
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
ของเครื่องเปลี่ยนแปลงเทาใด

1.5 อุณหภูมิน้ําเย็นเขากอนทําความสะอาด TOi F 61 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.6 อุณหภูมิน้ําเย็นออกกอนทําความสะอาด TOO F 53.2 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.7 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาหลังทําความสะอาด TNI F 61 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.8 อุณหภูมิน้ําเย็นออกหลังทําความสะอาด TNO F 52.5 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง
1.9 อัตราการไหลของน้ําเย็นกอนทําความสะอาด FLO GPM 3,100 จากการตรวจวัด
1.10 อัตราการไหลของน้ําเย็นหลังทําความสะอาด FLN GPM 3,330 จากการตรวจวัด
1.11 พลังไฟฟากอนทําความสะอาด ELO kW 675 จากการตรวจวัด
1.12 พลังไฟฟาหลังทําความสะอาด ELN kW 600 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็นกอนทําความ
สะอาด TR0 = ((500 x FLO x (TOi– TOO)) / 12,000 TRO TR 1,007.50
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นหลังทําความ 1,179.38
สะอาด TRN = ((500 x FLN x (TNi – TNO))/12,000 TRN TR
2.3 ประสิทธิภาพของเครือ่ งทําน้าํ เย็นกอนทําความ
สะอาด ChPO = ELO /TRO ChPO kW/TR 0.67
2.4 ประสิทธิภาพของเครือ่ งทําน้าํ เย็นหลังทําความ
สะอาด ChPN = ELN/TRN ChPN kW/TR 0.51
2.5 พลังงานไฟฟาทีส่ ญ
ู เสียจากความถีใ่ นการทําความ
สะอาดเดิม
EN = 0.5 x (ChPO- ChPN) x TRO x hrO x OF EN kWh/y 232,128.00
2.6 พลังงานไฟฟาทีป่ ระหยัดไดจากการเพิม่ ความถีใ่ น
การทําความสะอาด ES = 1-1 / (hrO / hrN) x EN ES kWh/y 116,064.00
2.7 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x EC SC B/y 342,388.80

(3) การลดความดันสารทําความเย็นดานคอนเดนเซอรโดยการเดินหอผึ่งเย็นเพิ่ม
การที่ความดันควบแนนหรือความดันของสารทําความเย็นใน Condenser สูงขึ้นจะสงผลใหความสามารถในการ
ทําความเย็นลดลง และพลังไฟฟาที่เครื่องอัดใชมากขึ้น ทําใหเครื่องปรับอากาศมีคา kW/TR สูงขึ้น หรือคา COP ของ
เครื่องลดลง ดังนั้นโรงงานควรลดความดันสารทําความเย็นดานสูงใหต่ําลง โดยเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กที่ระบาย
ความรอนดวยอากาศอาจทําโดยการทําความสะอาดขดทอความรอนเปนประจํา และควรติดตั้งในที่อากาศถายเทได
สะดวก อีกทั้งอากาศที่เขาระบายควรมีอุณหภูมิต่ําที่สุดเทาที่จะทําได นอกจากนั้นถาเปนไปไดควรเพิ่มขนาดของ
Condenser หรือเพิ่มขนาดของพัดลมระบายความรอน สวนระบบขนาดใหญที่ใชน้ําระบายความรอนควรทําความ
สะอาดคอนเดนเซอรสม่ําเสมอ โดยควบคุมไมใหผลตางของอุณหภูมิอิ่มตัวของสารทําความเย็นในคอนเดนเซอรสูงกวา
น้ําระบายความรอนที่ออกจากคอนเดนเซอรเกิน 4-6๐F นอกจากนั้นควรปรับปรุงหรือเพิ่มจํานวนการเดินหอผึ่งเย็น เพื่อ
ใหอุณหภูมิน้ําที่เขาคอนเดนเซอรต่ําที่สุดเทาที่จะทําได โดยอุณหภูมิน้ําที่ไดจากหอผึ่งเย็นควรมีอุณหภูมิสูงกวาอุณหภูมิ
กระเปาะเปยกของอากาศที่เขาระบายไมเกิน 6 ๐F นอกจากนั้นควรควบคุมอัตราการไหลของน้ําระบายความรอนที่เขา
คอนเดนเซอรใหไดตามการออกแบบของผูผลิต หรือ 3.0 GPM/TR การที่ทําใหอุณหภูมิน้ําระบายเขาเครื่องมีอุณหภูมิ
ต่ําลงทุก 1๐F จะทําใหคา kW/TR ลดลง 1-3% จากรูปที่ 2-7.26 จะเห็นวาถาอุณหภูมิควบแนนของสารทําความเย็นลง
จะสงผลใหคา COP สูงขึ้น โดยเครื่องอัดแตละชนิดจะไดผลที่ตางกัน เชนเครื่องอัดแบบสกรู ถาลดอุณหภูมิควบแนนได
10 ๐F คา COP จะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 23%

212
รูปที่ 2-7.26 ความสัมพันธของอุณหภูมิควบแนนสารทําความเย็น
กับสัมประสิทธิ์สมรรถนะ (COP) ของเครื่องอัดแบบตางๆ

สมการที่ใชในการคํานวณ
ความสามารถในการทําความเย็นของหอผึง่ เย็น (TR) = (500 x GPM x T) / 12,000
ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็น (ChP) = kW/TR
พลังงานไฟฟาที่ลดลง (ES) = (kW/TR กอนปรับเปลี่ยน – kW/TR หลังปรับเปลี่ยน) x ตันความเย็นเดิม x ชั่ว
โมงการใชงานตอป x ตัวประกอบการทํางาน
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นแบบหอยโขงระบายความรอนดวยน้ําขนาด 350 TR ปกติเดินหอผึ่งเย็น 1
ชุด รวมกับเครื่องทําน้ําเย็น 1 ชุด อุณหภูมิน้ําระบายความรอนกอนเขาคอนเดนเซอร 90๐F อุณหภูมิน้ําที่ไดจากหอผึ่ง
เย็นสูงกวาอุณหภูมิกระเปาะเปยกของอากาศที่เขาหอผึ่งเย็น 8๐F ดังนั้นเมื่อเดินหอผึ่งเย็นเพิ่มขึ้น 1 ชุด ปริมาณน้ําที่
เขาหอผึ่งเย็นทั้งสองชุดจะลดลงจากเดิม สงผลใหอุณหภูมิน้ําที่ไดลดลงจาก 90๐F เปน 86๐F ผลการตรวจวัดกอนและ
หลังการปรับตั้ง มีดังนี้ (ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศเปลี่ยนแปลง 80% อัตรา
คาไฟฟาตอหนวย 2.95 บาท) [วิธีคํานวณ 1) กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูล ของหัวขอ1 ใหครบถวน 2) ทําการคํานวณ
ตามหัวขอ 2]
รายละเอียด อุณหภูมิน้ําเย็น อัตราการ อุณหภูมิน้ําระบาย พลังไฟฟา พลังไฟฟา
ออก ไหลน้ําเย็น เขา(๐F) ออก(๐F) Chiller Cooling Tower
เขา(๐F)
(๐F) (GPM) (kW) (kW)
เดิมเดิน Chiller 1 ชุดและ 46.0 52.2 653.4 90.1 97.4 122 7.2
เดิน Cooling Tower 1 ชุด
ใหมเดิน Chiller 1 ชุดและ 45.7 52.2 653.4 86.2 93.6 107 15.1
เดินCooling Tower 2 ชุด (รวม 2 ชุด)

213
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hrO h/y 3,600 จากการใชงานจริง
1.3 ตัวประกอบการทํางาน OF - 0.8 ตลอดทั้งปภาระการปรับ
อากาศของเครื่องเปลี่ยน
แปลงเทาใด

1.4 อุณหภูมิน้ําเย็นเขากอนเดิน Cooling Tower เพิ่ม TOi F 52.2 จากการตรวจวัดทีภ่ าระสูง

1.5 อุณหภูมิน้ําเย็นออกกอนเดิน Cooling Tower เพิ่ม TOO F 46 จากการตรวจวัดทีภ่ าระสูง

1.6 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาหลังเดิน Cooling Tower เพิ่ม TNI F 52.2 จากการตรวจวัดทีภ่ าระสูง

1.7 อุณหภูมิน้ําเย็นออกหลังเดิน Cooling Tower เพิ่ม TNO F 45.7 จากการตรวจวัดทีภ่ าระสูง
1.8 อัตราการไหลของน้ําเย็น FLO GPM 653.4 จากการตรวจวัด
1.9 พลังไฟฟาของ Chiller กอนเดิน Cooling Tower เพิ่ม ELO kW 122 จากการตรวจวัด
1.10 พลังไฟฟาของ Chiller หลังเดิน Cooling Tower เพิ่ม ELN kW 107 จากการตรวจวัด
1.11 พลังไฟฟาของ Cooling Tower กอนเดินเพิ่ม ECTO kW 7.2 จากการตรวจวัด
1.12 พลังไฟฟาของ Cooling Tower หลังเดินเพิ่ม ECTN kW 15.1 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็นเดิม CT เพิ่ม
TR0 = ((500 x FLO x (TOi– TOO)) / 12,000 TRO TR 168.80
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นหลังเดิน CTเพิ่ม
TRN = ((500 x FLO x (TNi – TNO))/12,000 TRN TR 176.96
2.3 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นกอนเดิน
CT เพิ่ม ChPO = ELO /TRO ChPO kW/TR 0.72
2.4 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นหลังเดิน
CT เพิ่ม ChPN = ELN/TRN ChPN kW/TR 0.60
2.5 พลังงานไฟฟาของ CT จากการเดิน Cooling
Tower เพิ่ม ECT = (ECTN – ECTO) x hrO ECT kWh/y 28,440.00
2.6 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป
ES = [(ChPO- ChPN) x TRO x hr0 x OF] - ECT ES kWh/y 29,897.28
2.7 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x ECT SC B/y 88,196.98

(4) ใชเครื่องทําน้ําเย็นในจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เครื่องทําน้ําเย็นที่ใชเครื่องอัดแบบหอยโขงจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับภาระ 80-90% ดังนั้นควรปรับตั้ง
Current Limit ไมเกิน 90% จะสงผลใหคา kW/TR ลดต่ําลง ถาเครื่องทําน้ําเย็นทํางานที่ภาระต่ํากวา 70% จะทําใหประ
สิทธิภาพของ Chiller ลดต่ําลงดวย ถาคิดประสิทธิภาพโดยรวมของระบบปรับอากาศซึ่งประกอบดวย เครื่องทําน้ําเย็น
ปมน้ําเย็น ปมน้ําระบายความรอน หอผึ่งเย็น และเครื่องสงจายลมเย็น จะเห็นวาเมื่อเครื่องทําน้ําเย็นทํางานที่ภาระต่ํา
ปริมาณความเย็นที่ไดนอย แตพลังงานไฟฟาที่ใชกับอุปกรณประกอบในระบบไมไดลดลง ดังนั้นประสิทธิภาพของระบบ
รวบรวมจะลดต่ําลง

214
Current Limit 100% Current Limit 90%
ทําความเย็นได 475 TR ทําความเย็นได 450 TR
พลังไฟฟาที่ใช 335 kW พลังไฟฟาที่ใช 304 kW
คา kW/TR 0.705 kW/TR คา kW/TR 0.676 kW/TR

รูปที่ 2-7.27 คา kW/TR ของ Chiller ลดลง เมื่อลด Current Limit

ภาระการทํางานของ Chiller 60% ภาระการทํางานของ Chiller 90%


ทําความเย็นได 291 TR ทําความเย็นได 450 TR
พลังไฟฟาที่ Chiller ใช 221 kW พลังไฟฟาที่ Chiller ใช 304 kW
พลังไฟฟาที่ปมน้ําเย็นใช 32 kW พลังไฟฟาที่ปมน้ําเย็นใช 32 kW
พลังไฟฟาที่ปมน้ําระบายใช 41 kW พลังไฟฟาที่ปมน้ําระบายใช 41 kW
พลังไฟฟาที่หอผึ่งเย็นใช 11 kW พลังไฟฟาที่หอผึ่งเย็นใช 11 kW
พลังไฟฟาที่เครื่องสงลมเย็นใช 22 kW พลังไฟฟาที่เครื่องสงลมเย็นใช 22 kW
รวมพลังไฟฟาที่ใช 327 kW รวมพลังไฟฟาที่ใช 410 kW
คา kW/TR 327/291 คา kW/TR 410/450
= 1.124 kW/TR = 0.911 kW/TR

รูปที่ 2-7.28 คา kW/TR ของ ระบบรวมจะสูงขึ้นเมื่อภาระของระบบปรับอากาศต่ํา

สมการที่ใชในการคํานวณ
ความสามารถในการทําความเย็นของหอผึง่ เย็น (TR) = (500 x GPM x T) / 12,000
ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็น (ChP) = kW/TR
พลังงานไฟฟาที่ลดลง (ES) = (kW/TR กอนปรับเปลี่ยน – kW/TR หลังปรับเปลี่ยน) x ตันความเย็นเดิม x ชั่ว
โมงการใชงานตอป x ตัวประกอบการทํางาน
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน RET ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นแบบหอยโขงระบายความรอนดวยน้ําขนาดพิกัด 500 TR โดยปกติปรับตั้ง
Current Limit ที่ 100% ซึ่งเปนจุดที่ประสิทธิภาพของเครื่องต่ําโรงงานจึงทําการปรับตั้ง Current Limit ใหมเปน 90%
ซึ่งจากการปรับตั้ง ไมสงผลตอภาระการปรับอากาศภายในโรงงาน ผลการตรวจวัดกอนและหลังการปรับตั้งมีดังนี้ (ใช
พลังงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศเปลี่ยนแปลง 80% อัตราคาไฟฟา 2.95 บาทตอ
หนวย) [วิธีการคํานวณ 1) กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูล ของหัวขอ1ใหครบถวน 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายละเอียด อุณหภูมิน้ําเย็นเขา อุณหภูมิน้ําเย็นออก อัตราการไหลของน้ําเย็น พลังไฟฟาที่ใช
(๐F) (๐F) (GPM) (kW)
Current Limit 100% 55.8 46.3 1,200 335
Current Limit 90% 55.8 46.5 1,200 304

215
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hr h/y 3,600 จากการใชงานจริง
1.3 ตัวประกอบการทํางาน OF - 0.8 ตลอดทั้งปภาระการปรับ
อากาศของเครื่องเปลี่ยน
แปลงเทาใด

1.4 อุณหภูมิน้ําเย็นเขากอนปรับ Current Limit TOi F 55.8 จากการตรวจวัด

1.5 อุณหภูมิน้ําเย็นออกกอนปรับ Current Limit TOO F 46.3 จากการตรวจวัด

1.6 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาหลังปรับ Current Limit TNI F 55.8 จากการตรวจวัด

1.7 อุณหภูมิน้ําเย็นออกหลังปรับ Current Limit TNO F 46.5 จากการตรวจวัด
1.8 อัตราการไหลของน้ําเย็น FLO GPM 1,200 จากการตรวจวัด
1.9 พลังไฟฟากอนปรับ Current Limit ELO GPM 335 จากการตรวจวัด
1.10 พลังไฟฟาหลังปรับ Current Limit ELN kW 304 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็นกอนลด Current Limit
TR0 = ((500 x FLO x (TOi– TOO)) / 12,000 TRO TR 475.00
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นหลังลด Current Limit
TRN = ((500 x FLO x (TNi – TNO))/12,000 TRN TR 465.00
2.3 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นกอนปรับ
ChPO = ELO /TRO ChPO kW/TR 0.71
2.4 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นหลังปรับ
ChPN = ELN/TRN ChPN kW/TR 0.65
2.5 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป
ES = [(ChPO- ChPN) x TRO x hr0 x OF] ES kWh/y 82,080.00
2.6 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x ECT SC B/y 242,136.00

(5) การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องทําน้ําเย็นโดยการเพิ่มอัตราการไหลของน้ําเย็น
เครื่องทําน้ําเย็นจะมีอุปกรณแลกเปลี่ยนความรอนระหวางสารทําความเย็นกับน้ําเรียกวา Cooler ดังนั้นสิ่งที่
สําคัญคือ ประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนความรอน ซึ่งเครื่องทําน้ําเย็นที่ผานการใชงานมาระยะหนึ่งประสิทธิภาพใน
การแลกเปลี่ยนความรอนจะลดลง ซึ่งอาจเกิดจากความสกปรกของพื้นที่ผิวแลกเปลี่ยนความรอน อัตราการไหลของน้ํา
เย็นหรือปริมาณสารทําความเย็นในระบบ โดยทั่วไป Cooler จะออกแบบมาที่อตั ราการไหลของน้ําเย็น 2.4 GPM/TR ที่
อุณหภูมิน้ําเย็นเขาออกที่ภาระเต็มพิกัด 10 OF แตมีบางแหงออกแบบที่ ΔT สูงกวา 10 OF ดังนั้นอัตราการไหลจะต่ํา
กวา 2.4 GPM/TR และถาออกแบบที่ ΔT ต่ํากวา 10 OF อัตราการไหลจะสูงกวา 2.4 GPM/TR ดังนั้นควรดูคาจากผูผลิต
หรือคูมือแลวทําการปรับตั้งใหไดตามมาตรฐานการออกแบบเพราะเปนจุดที่ประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนความรอนสูง
ที่สุด จะสงผลใหความสามารถในการทําความเย็นสูงขึ้นและคา kW/TR ลดต่ําลง นอกจากนั้นตัวที่จะบอกถึงสิ่งผิดปกติ
ทางดานน้ําเย็นคือ Evaporator Approach Temperature คือผลตางอุณหภูมิสารทําความเย็นอิ่มตัวใน Cooler กับ
อุณหภูมิน้ําเย็นที่ไดควรตางกันไมเกิน 1.5-2OC

216
คูลเลอร

รูปที่ 2-7.29 การแลกเปลี่ยนความรอนระหวางสารทําความเย็นและน้ําเย็นของคูลเลอร

สมการที่ใชในการคํานวณ
ความสามารถในการทําความเย็นของเครือ่ งทําน้าํ เย็น (TR) = (500 x GPM x T) / 12,000
ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็น (ChP) = kW/TR
พลังงานไฟฟาที่ลดลง (ES) = (kW/TR กอนปรับเปลี่ยน – kW/TR หลังปรับเปลี่ยน) x ตันความเย็นเดิม x ชั่ว
โมงการใชงานตอป x ตัวประกอบการทํางาน
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ําขนาด 500 TR โดยปรับตั้ง Current Limit ที่
100% จากการตรวจวัดพบวาอัตราการไหลของน้ําเย็น 1,011 แกลลอนตอนาที ต่ํากวาพิกัดโดยพิกัดอยูที่ 2.4x500 =
1,200 แกลลอนตอนาที จึงมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพโดยการเพิ่มอัตราการไหลของน้ําเย็นใหสูงขึ้น ผลการ
ตรวจกอนและหลังการปรับตั้งมีดังนี้ (ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศเปลี่ยนแปลง
80% อัตราคาไฟฟา 2.95 บาทตอหนวย) [วิธีการคํานวณ 1) กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของหัวขอ 1 2) ทําการ
คํานวณตามหัวขอ 2]
รายละเอียด Current อุณหภูมิ อุณหภูมิน้ําเย็น อัตราการไหลของ พลังไฟฟาที่ใช

Limit (%) น้ําเย็นเขา ( F) ออก (๐F) น้ําเย็น (GPM) (kW)
กอนเพิ่มปริมาณน้ําเย็น 100 55.5 45.1 1,010 327
หลังเพิ่มปริมาณน้ําเย็น 100 55.8 46.3 1,200 335

รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล


1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hr h/y 3,600 จากการใชงานจริง
1.3 ตัวประกอบการทํางาน OF - 0.8 ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศของ
เครื่องเปลี่ยนแปลงเทาใด

1.4 อุณหภูมิน้ําเย็นเขากอนเพิ่มปริมาณน้ํา TOi F 55.5 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.5 อุณหภูมิน้ําเย็นออกกอนเพิ่มปริมาณน้ํา TOO F 45.1 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.6 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาหลังเพิ่มปริมาณน้ํา TNI F 55.8 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.7 อุณหภูมิน้ําเย็นออกหลังเพิ่มปริมาณน้ํา TNO F 46.3 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

217
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1.8 อัตราการไหลของน้ําเย็นกอนเพิ่มปริมาณน้ํา FLO GPM 1,010 จากการตรวจวัด
1.9 อัตราการไหลของน้ําเย็นหลังเพิ่มปริมาณน้ํา FLN GPM 1,200 จากการตรวจวัด
1.10 พลังไฟฟากอนเพิ่มปริมาณน้ํา ELO kW 327 จากการตรวจวัด
1.11 พลังไฟฟาหลังเพิ่มปริมาณน้ํา ELN kW 335 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็นเดิม
TR0 = ((500 x FLO x (TOi– TOO)) / 12,000 TRO TR 437.67
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นหลังเพิม่ น้าํ เย็น
TRN = ((500 x FLO x (TNi – TNO))/12,000 TRN TR 475.00
2.3 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นกอนปรับ
ChPO = ELO /TRO ChPO kW/TR 0.75
2.4 ประสิทธิภาพของเครือ่ งทําน้าํ เย็นหลังเพิม่ น้าํ เย็น
ChPN = ELN/TRN ChPN kW/TR 0.71
2.5 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป
ES = [(ChPO- ChPN) x TRO x hr0 x OF] ES kWh/y 50,419.58
2.6 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x ECT SC B/y 148,737.76

(6) การเลือกเดินเครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ประสิทธิภาพสูงมากขึ้น
โรงงานสวนใหญติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นหลายชุดเพื่อสลับการเดินโดยไมคํานึงถึงประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ํา
เย็นแตละชุด ดังนั้นชวงเวลาใดที่เดินชุดที่มีประสิทธิภาพต่ําอาจเกิดปญหาความเย็นไมเพียงพอกับการใชงานและมีการ
ใชพลังงานไฟฟาในชวงนั้นสูง โรงงานควรตรวจวัดและวิเคราะหประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นอยางนอยทุก 6 เดือน
เพื่อจัดแผนการเดินเครื่องทําน้ําเย็นโดยเดินชุดที่มีประสิทธิภาพสูงใหมากและลดการเดินเครื่องมีประสิทธิภาพต่ํา
เครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 1 เครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 2 เครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 1 เครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 2
CH-1 CH-2 CH-1 CH-2

kW/TR = 0.559 kW/TR = 0.633 kW/TR = 0.559 kW/TR = 0.633


เดิมใชงาน 50% เดิมใชงาน 50% ใหมใชงาน 75% ใหมใชงาน 25%
รูปที่ 2-7.30 เพิ่มเวลาการเดินเครื่องทําน้ําเย็นชุดที่มีประสิทธิภาพสูงจาก 50% เปน 75%

สมการที่ใชในการคํานวณ
ความสามารถในการทําความเย็นของเครือ่ งทําน้าํ เย็น (TR) = (500 x GPM x T) / 12,000
ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็น (ChP) = kW/TR
พลังงานไฟฟาที่ลดลง (ES) = (kW/TR ชุดที่ลดการเดิน - kW/TR ชุดที่เพิ่มการเดิน) x ตันทําความเย็นเฉลี่ย x ชั่ว
โมงการใชงานชุดประสิทธิภาพสูงที่เพิ่มขึ้น x ตัวประกอบการทํางาน
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ําขนาดพิกัด 1,200 TR จํานวน 2 ชุด โดยปกติจะ
เดินสลับไปมาในสัดสวนที่เทากัน หลังจากปรับปรุงสภาพของเครื่องทั้ง 2 ชุด อยางสมบูรณแลวไดทําการตรวจวัดและ
วิเคราะหหาประสิทธิภาพเพื่อนํามาจัดการเดินเพื่อการประหยัดพลังงานโดยจะเดินชุดทีม่ คี า kW/TR ต่าํ ทีส่ ดุ เปนหลักเพิม่

218
ขึน้ จาก 50% เปน 75% ผลการตรวจวัดมีดงั นี้ (ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศ
เปลี่ยนแปลงประมาณ 80% อัตราคาไฟฟา 2.95 บาทตอหนวย) [วิธกี ารคํานวณ 1) กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของ
หัวขอ1 2) ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายละเอียด อุณหภูมนิ า้ํ เย็นเขา อุณหภูมิน้ําเย็นออก อัตราการไหลของน้าํ เย็น พลังไฟฟาที่ใช
(๐F) (๐F) (GPM) (kW)
เครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 1 61 52 3,100 650
เครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 2 60 52 3,100 675

รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล


1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชัว่ โมงการใชงานตอปเดิมของชุดประสิทธิภาพสูง hrO h/y 1,800 เดิมเครื่องประสิทธิภาพสูง ใชงาน
ปละกี่ชั่วโมง

1.3 ชัว่ โมงการใชงานตอปใหมของทุกประสิทธิภาพสูง hrN h/y 2,700 ใหมเครื่องประสิทธิภาพสูง ใชงาน


ปละกี่ชั่วโมง
1.4 ตัวประกอบการทํางาน OF - 0.8 ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศ
ของเครื่องเปลี่ยนแปลงเทาใด

1.5 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาเครื่องชุดที่ 1 T1i F 61 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.6 อุณหภูมิน้ําเย็นออกเครื่องชุดที่ 1 T1o F 52 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.7 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาเครื่องชุดที่ 2 T2i F 60 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.8 อุณหภูมิน้ําเย็นออกเครื่องชุดที่ 2 T2O F 52 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง
1.9 อัตราการไหลของน้ําเย็นชุดที่ 1 FL1 GPM 3,100 จากการตรวจวัด
1.10 อัตราการไหลของน้ําเย็นชุดที่ 2 FL2 GPM 3,200 จากการตรวจวัด
1.11 พลังไฟฟาชุดที่ 1 EL1 kW 650 จากการตรวจวัด
1.12 พลังไฟฟาชุดที่ 2 EL2 kW 675 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็นชุดที่ 1
TR1 = ((500 x FLO x (T1i– T1O)) / 12,000 TR1 TR 1,162.50
2.2 ความสามารถในการทําความเย็นชุดที่ 2
TR2 = ((500 x FLO x (T2i – T2O))/12,000 TR2 TR 1,066.67
2.3 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 1
ChP1 = ELO /TRO ChP1 kW/TR 0.56
2.4 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นชุดที่ 2
ChP2 = ELN/TRN ChP2 kW/TR 0.63
2.5 ชัว่ โมงการใชงานของชุดประสิทธิภาพสูงเพิม่ ขึน้
hri = hrN - hrO hrI h/y 900.00
2.6 ตันทําความเย็นเฉลี่ย TRAV = ( TR1 + TR2)/2 TRAV TR 1,114.59
2.7 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป
ES = (ChP2 – ChP1) x TRAV x hri x OF ES kWh/y 56,175.34
2.8 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x ECT SC B/y 165,717.25

219
(7) การเปลี่ยนไปใชเครื่องทําน้ําเย็นประสิทธิภาพสูง
เครื่องทําน้ําเย็นเปนอุปกรณที่ใชพลังงานสูงที่สุดในระบบปรับอากาศ ดังนั้นเครื่องที่มีอายุการใชงานมากกวา 15
ป ควรพิจารณาเปลี่ยนใหมเนื่องจากประสิทธิภาพของเครื่องจะต่ํามากจนไมคุมคาที่จะใชงานตอไป ถานําคาใชจายใน
การบํารุงรักษามาพิจารณาดวยแลวเห็นวาไมคุมคาในการใชงาน นอกจากนั้นโดยเทคโนโลยีปจจุบันสามารถสรางเครื่อง
ทําน้ําเย็นใหมีประสิทธิภาพสูงถึง 0.5 kW/TR และยังใชสารทําความเย็นที่ไมทําลายชั้นโอโซน (Non CFC)
สมการที่ใชในการคํานวณ
ความสามารถในการความเย็นของเครือ่ งทําน้าํ เย็น (TR) = (500 x GPM x T) / 12,000
ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็น (ChP) = kW/TR
kW = พลังไฟฟาที่เครื่องทําน้ําเย็นใชที่ภาระ 80-90% (kW)
พลังงานไฟฟาที่ลดลง (ES) = (kW/TR เดิม - kW/TR ใหม)x ตันความเย็นx ชัว่ โมงการใชงานตอป
x ตัวประกอบการทํางาน
เมื่อ GPM = อัตราการไหลของน้ําเย็นเขาหรือออกจาก Cooler
ΔT = ผลตางอุณหภูมิน้ําเย็นที่เขาและออกจาก Cooler ที่ภาระ 80-90% (๐F)
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งเครื่องทําน้ําเย็นระบายความรอนดวยน้ําขนาด 400 TR มีอายุใชงาน 17 ป และชํารุดบอย
มากจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนใหม จากการตรวจวัดขณะที่เครื่องทํางานที่ภาระสูงสุดไดอุณหภูมิน้ําเย็นเขาเครื่อง 53๐F
และออกที่ 46.5๐F อัตราการไหลของน้ําเย็น 1,020 แกลอนตอนาที พลังไฟฟาที่ใช 269 กิโลวัตต ใชงานวันละ 12 ชั่ว
โมง 300 วันตอป ตลอดทั้งปภาระการปรับอากาศเปลี่ยนแปลง 80% อัตราคาไฟฟา 2.95 บาทตอหนวย ถาโรงงาน
เปลี่ยนเครื่องใหมซึ่งมีคา kW/TR 0.50 kW/TR จะสงผลใหเกิดการประหยัดพลังงานเทาใด [วิธีคํานวณ 1) กรอกขอมูล
ลงไปในชองขอมูลของหัวขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2 การวิเคราะหขอมูลในตาราง]
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hr h/y 3,600 จากการใชงานจริง
1.3 ตัวประกอบการทํางาน OF - 0.8 ตลอดทั้งปภาระการปรับ
อากาศของเครื่องเปลี่ยน
แปลงเทาใด
1.4 คา kW/TR ของเครื่องทําน้ําเย็นใหม ChPN kW/TR 0.5 จากขอมูลผูผลิต

1.5 อุณหภูมิน้ําเย็นเขาเครื่อง Ti F 53 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง

1.6 อุณหภูมิน้ําเย็นออกเครื่อง To F 46.5 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง
1.7 อัตราการไหลของน้ําเย็น FL GPM 1,020 จากการตรวจวัด
1.8 พลังไฟฟาที่เครื่องทําน้ําเย็นใช EL kW 269 จากการตรวจวัดที่ภาระสูง
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ความสามารถในการทําความเย็นเดิม
TR = ((500 x FL x (Ti– To)) / 12,000 TR TR 276.25
2.2 ประสิทธิภาพของเครื่องทําน้ําเย็นเกา ChPO = EL/TR ChPO kW/TR 0.97
2.3 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป

220
ES = (ChPO – ChPN) x TR x hr x OF ES kWh/y 373,932.00
2.4 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x ECT SC B/y 1,103,099.40

(8) การลดการนําอากาศภายนอกเขาหรือลดการดูดอากาศภายในทิ้ง
การดูดอากาศภายในออก (Exhaust air) หรือการนําอากาศภายนอกเขา (Out door air) เปนผลใหเพิ่มภาระใน
การปรับอากาศ ดังนั้นถาอากาศภายในไมสกปรก ควรลดปริมาณอากาศที่ปลอยทิ้ง และถาเปนหองปรับอากาศสําหรับ
คนปริมาณ CO2 ที่เกิดจากการหายใจไมควรเกิน 2% โดยปริมาตรหรือไมเกิน 200 ppm ซึ่งแตละคนจะทําใหเกิด CO2
จากการหายใจประมาณ 0.5-0.6 ลูกบาศกฟุตตอชั่วโมงเทานั้น ดังนั้นหองที่คนไมแออัดมากก็ไมจําเปนตองระบาย
อากาศและถาตองระบายอากาศก็ไมควรเกิน 5-30 ลูกบาศกฟุตตอนาทีตอคน

รูปที่ 2-7.31มีเฉพาะพัดลมดูดทิ้งซึ่งใชกับระบบเล็ก รูปที่ 2-7.32 มีทั้งพัดลมดูดทิ้งและพัดลมเติมอากาศ


ซึ่งใชกับระบบใหญ

สมการที่ใชในการคํานวณ
อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน (QE) = (4.5 x CFM x Δh)/12,000
QE = อัตราการสิน้ เปลืองพลังงาน (TR)
เมื่อ CFM = อัตราการไหลของอากาศเย็นที่ดูดทิ้งหรืออากาศภายนอกที่สงเขา (ft3/min)
Δh = ความแตกตางของเอนธาลประหวางอากาศภายนอกและอากาศภายใน (Btu/lb)

ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON มีการติดตัง้ พัดลมดูดอากาศทิง้ จากในหองปรับอากาศ จากการตรวจวัดความเร็วลมและพืน้ ที่
หนาตัดของพัดลมแลวคํานวณหาปริมาณอากาศเย็นทีด่ ดู ทิง้ มีปริมาณ 12,000 ลูกบาศกฟตุ ตอนาที ระบบปรับอากาศที่
ติดตัง้ ใชงานจากการตรวจวัดมีคา kW/TR 1.25 kW/TR อัตราคาไฟฟาเฉลีย่ 2.95 บาทตอหนวย พัดลมดูดอากาศทิง้ วันละ
12 ชัว่ โมง 300 วันตอป ตรวจวัดอุณหภูมอิ ากาศภายนอกได 35๐F ความชืน้ สัมพัทธ 65%RH และตรวจวัดอุณหภูมิ
อากาศภายในได 22๐F ความชืน้ สัมพัทธ 45%RH โรงงานมีแผนลดปริมาณการดูดอากาศทิง้ จากเดิม 50% จะทําใหเกิด
การประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศเทาใด [วิธคี ํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณ
ตามหัวขอ 2]
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คา kW/TR ของระบบปรับอากาศ ChP kW/TR 1.25 จากการตรวจวัดและวิเคราะห
ระบบปรับอากาศที่ใช
1.2 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟาของโรงงาน
1.3 ชั่วโมงการใชงานพัดลมดูดหรือเปาตอป hr h/y 3,600 ชั่วโมงการเปดใชงานจริงของพัดลม

221
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1.4 อัตราการไหลของอากาศที่ดูดหรือเปา F CFM 12,000 ตรวจวัดความเร็วลมแลวคูณดวย
พื้นที่หนาตัดที่ลมผาน

1.5 อุณหภูมิอากาศภายนอก TO C 35 ตรวจวัดอุณหภูมิอากาศภายนอก
1.6 ความชื้นสัมพัทธอากาศภายนอก RHO % 65 ตรวจวัดความชื้นสัมพัทธอากาศภายนอก

1.7 อุณหภูมิอากาศภายใน Ti C 22 ตรวจวัดอุณหภูมิอากาศภายใน
1.8 ความชื้นสัมพัทธอากาศภายใน RHi % 45 ตรวจวัดความชื้นสัมพัทธอากาศภายใน
1.9 รอยละการลดการเดินพัดลมระบายอากาศ Rd % 50 ขอมูลการใชงานจริง
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 เอนธาลปอากาศภายนอก hi Btu/Ib 48.62
2.2 เอนธาลปอากาศภายใน ho Btu/Ib 25.30
2.3 อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน
QE = (4.5 x CFM x Dh)/12,000 QE TR 104.93
2.4 พลังงานไฟฟาทีร่ ะบบปรับอากาศ
สิน้ เปลืองตอป
EL = ChP x QE x hr EL kWh/y 472,185.00
2.5 พลังงานไฟฟาที่ประหยัดไดเมื่อลดการ
เปดพัดลมระบายอากาศลง
ES = EL x Rd /100 ES kWh/y 236,092.50
2.6 คาพลังงานลดลง SC = ES x EC SC B/y 696,472.88

(9) การลดอากาศรอนจากภายนอกรั่วเขาหองปรับอากาศ
อากาศภายนอกมีอุณหภูมิสูงกวาอากาศภายในดังนั้นถาหองปรับอากาศมีรอยรั่วบริเวณขอบประตูหนาตาง จะ
ทําใหอากาศภายนอกดันเขาสูภายในหอง สงผลใหภาระการปรับอากาศสูงขึ้น นอกจากนั้นถาความเร็วของอากาศภาย
นอกสูงก็จะทําใหอากาศรอนผานรูรั่วไดมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปจะคํานวณจากความเร็วของอากาศ 2,200 ฟุตตอนาที่
โดยทั่วไปขอบประตูหนาตางจะมีอากาศรั่ว 0.5 CFM/ft crack และอากาศรั่วเขาขณะเปดประตูโดยทั่วไปบานสวิงไมมี
ซุมหนาประตู 900 ft3/person และประตูบานสวิงที่มีซุมหนาประตู 60 ft3/person

รูปที่ 2-7.33 อากาศรอนจากภายนอกรั่วเขาสูหองปรับอากาศตามขอบประตูหนาตาง

สมการที่ใชในการคํานวณ
อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน (QC) = (4.5 x CFM x Δh)/12,000
เมื่ อ QC = อั ต ราการสิ้น เปลือ งพลัง งานจากการรั่ว ของประตูห น า ตา ง(TR)
CFM = อัตราการไหลของอากาศรอนที่รั่วเขาหองปรับอากาศ (ft3/min)

222
Δh = ความแตกตางของเอนธาลประหวางอากาศภายนอกและอากาศภายใน (Btu/lb)

ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON มีประตูที่เปดสูภายนอกกวาง 3.0 ฟุต สูง 6.0 ฟุต จํานวน 6 ชุด และหนาตางกวาง 2.0 ฟุต
สูง 4.0 ฟุต จํานวน 30 ชุด ระบบปรับอากาศที่ติดตั้งใชงานจากการตรวจวัดมีคา kW/TR 1.25 kW/TR อัตราคาไฟฟา
2.95 บาทตอหนวย ทํางานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป ตรวจวัดอุณหภูมิอากาศภายนอกได 35๐ แC ความชื้นสัมพัทธ
65%RH และตรวจวัดอุณหภูมิอากาศภายในได 22๐C ความชื้นสัมพัทธ 45%RH โรงงานคิดวาจะซอมรูรั่วตามขอบ
ประตูหนาตางที่เสื่อมสภาพโดยคาดวาจะลดปริมาณอากาศรั่วลง 70% จะทําใหเกิดการประหยัดพลังงานในระบบปรับ
อากาศเทาใด [วิธคี ํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คา kW/TR ของระบบปรับอากาศ ChP kW/TR 1.25 จากการตรวจวัดและวิเคราะหระบบ
ปรับอากาศที่ใช
1.2 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟาของโรงงาน
1.3 ชั่วโมงการใชงานพัดลมดูดหรือเปาตอป hr h/y 3,600 ชั่วโมงการเปดใชงานจริงของพัดลม
1.4 ความยาวชองขอบประตูหนาตางทั้งหมด L ft 468 ตรวจวัดความเร็วลมแลวคูณดวยพื้นที่
หนาตัดที่ลมผาน

1.5 อุณหภูมิอากาศภายนอก TO C 35 ตรวจวัดอุณหภูมิอากาศภายนอก
1.6 ความชื้นสัมพัทธอากาศภายนอก RHO % 65 ตรวจวัดความชื้นสัมพัทธอากาศ
ภายนอก

1.7 อุณหภูมิอากาศภายใน Ti C 22 ตรวจวัดอุณหภูมิอากาศภายใน
1.8 ความชื้นสัมพัทธอากาศภายใน RHi % 45 ตรวจวัดความชื้นสัมพัทธอากาศภาย
ใน
1.9 รอยละอากาศรั่วที่ลดลง Rd % 70 ขอมูลการใชงานจริง
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 เอนธาลปอากาศภายนอก hi Btu/Ib 48.62
2.2 เอนธาลปอากาศภายใน ho Btu/Ib 25.30
2.3 อัตราการอากาศรั่วผานหนาตางและประตู
QL = 0.5 x L QL CFM 234.00
2.4 อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน
QC = (4.5 x CFM x Dh)/12,000 QC TR 2.05
2.5 พลังงานไฟฟาที่ระบบปรับอากาศ 9,225.00
สิ้นเปลืองตอป EL = ChP x QC x hr EL kWh/y
2.6 พลังงานไฟฟาที่ประหยัดไดเมื่อลดการ
เปดพัดลมระบายอากาศลง
ES = EL x Rd /100 ES kWh/y 6,457.50
2.7 คาพลังงานลดลง SC = ES x EC SC B/y 19,049.63

(10) การลดพื้นที่ปรับอากาศ

223
ภาระการปรับอากาศมีอยูสองสวนคือภาระภายในจากคนแลอุปกรณที่ใชพลังงาน อีกสวนหนึ่งคือภาระภายนอก
เกิดจากพลังงานความรอนจากดวงอาทิตย สภาวะอากาศภายนอก และอากาศภายนอกที่รั่วเขาหรือนําเขามาในพื้นที่
ปรับอากาศ ดังนั้นการลดพื้นที่ปรับอากาศลงโดยการกั้นหองจะสงผลใหลดภาระการปรับอากาศจากภายนอก

รูปที่ 2-7.34 พื้นที่ไมใชงานรับความรอน รูปที่ 2-7.35 กั้นหองลดพื้นที่ผนังที่รับความรอนลง

สมการที่ใชในการคํานวณ
รอยละพืน้ ทีห่ อ งปรับอากาศทีล่ ดลง = (พืน้ ทีห่ อ งปรับอากาศทีล่ ดลง/พืน้ ทีห่ อ งปรับอากาศเดิม) x 100
พลังงานไฟฟาลดลงจากการกั้นหอง = รอยละพื้นที่หองปรับอากาศที่ลดลง x ตันความเย็นรวมที่เครื่องปรับอากาศ
ทําได x คา kW/TR ของเครื่องปรับอากาศที่ใชxชั่วโมงทํางานตอปของเครื่อง
ปรับอากาศ x ตัวประกอบการทํางานของเครื่องปรับอากาศ
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON มีพื้นที่ปรับอากาศ 500 ตารางเมตร แตใชงานจริง 400 ตารางเมตร จึงทําการกั้นหองเพื่อลด
ขนาดพื้นที่ปรับอากาศ จากการตรวจวัดเครื่องปรับอากาศทั้งหมดพบวามีความสามารถในการทําความเย็นรวม 35 ตัน
ความเย็น มีคา kW/TR เฉลี่ย 1.25 kW/TR คอมเพรสเซอรทํางานเฉลี่ย 80% โรงงานเปดใชเครื่องปรับอากาศวันละ 12
ชั่วโมง 300 วันตอป อัตราคาไฟฟา 2.95 บาทตอหนวย จะประหยัดพลังงานไดเทาใด [วิธคี ํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไป
ในชองขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการเปดใชงานตอป hr h/y 3,600 ชั่วโมงการเปดใชงานจริง
1.3 คา kW/TR ของระบบปรับอากาศ จากการตรวจวัดประสิทธิภาพของ
ChP kW/TR 1.25 เครื่องปรับอากาศทั้งหมด
1.4 ตันทําความเย็นรวมทีเ่ ครือ่ งปรับอากาศทําได TR TR 35 จากการตรวจวัดความสามารถการทํา
ความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
1.5 ตัวประกอบการทํางานของเครือ่ งปรับอากาศ OF - 0.8 ประเมินจากการทํางานของ
คอมเพรสเซอร ถาเดินตลอดเวลา OF
= 1.0
1.6 พื้นที่ปรับอากาศเดิม AO m2 500 ใชตลับเมตรวัดพื้นที่
1.7 พื้นที่ปรับอากาศที่ลดลง AR m2 100 ใชตลับเมตรวัดพื้นที่
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 รอยละพื้นที่หองปรับอากาศที่ลดลง

224
RA = ( AR / AO) x 100 RA % 20.00
2.2 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอปจากการกั้นหอง
ES = (RA/100) x TR x ChP x hr x OF Es kWh/y 25,200.00
2.3 คาพลังงานลดลง SC = ES x EC SC B/y 74,340.00

(11) การปรับอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธภายในหองปรับอากาศใหสูงขึ้น
เครื่องปรับอากาศจะตองนําความรอนสัมผัสและความรอนแฝงที่เกิดขึ้นภายในหองทิ้ง เพื่อรักษาอุณหภูมิและ
ความชื้นใหไดตามตองการ ถาทําการปรับตั้งอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธต่ําเกินไป จะทําใหภาระการปรับอากาศสูง
ขึ้น สงผลใหสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น

รูปที่ 2-7.36 การปรับอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธภายในหองใหสูงขึ้น

สมการที่ใชในการคํานวณ
พลังงานไฟฟาที่ประหยัดไดตอป (kWh/y) = (พลังงานไฟฟากอนปรับตัง้ ตอวัน – พลังงานไฟฟาหลังปรับตัง้ ตอ
วัน) xจํานวนวันใชงานเครือ่ งปรับอากาศ x ตัวประกอบโหลดตามฤดูกาล
รอยละการประหยัดพลังงาน = (พลังงานไฟฟากอนปรับตั้ง – พลังงานไฟฟาหลังปรับตัง้ )/พลังงาน
ไฟฟากอนปรับตัง้
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ทําการปรับตั้งอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธภายในพื้นที่ปรับอากาศจาก 22๐C และ 45%RH
เปน 25๐C และ 55%RH โดยติดตั้งมิเตอรวัดพลังงานไฟฟาปรากฏวากอนปรับตั้งเครื่องปรับอากาศใชพลังงานไฟฟา
225 กิโลวัตตชั่วโมงตอวัน และหลังจากปรับตั้งใชพลังงานไฟฟา 199 กิโลวัตตชั่วโมงตอวันโรงงานทํางานวันละ 12 ชั่ว
โมง 300 วันตอป อัตราคาไฟฟา 2.95 บาทตอหนวย จะประหยัดพลังงานเทาใด [วิธคี ํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไปในชอง
ขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟาของโรงงาน
1.2 จํานวนวันใชงานเครื่องปรับอากาศตอป D d/y 300 ชัว่ โมงการเปดใชงานเครือ่ งปรับอากาศจริง
1.3 ตัวประกอบโหลดตามฤดูกาล LF % 80 ประเมินจากภาระความรอนที่เปลี่ยน
แปลงตลอดทั้งป
1.4 พลังงานที่บันทึกกอนปรับตั้งตอวัน EL1 kWh/d 225 อานมิเตอรการใชพลังงานของเครื่องปรับ
อากาศ
1.5 พลังงานที่บันทึกหลังปรับตั้งตอวัน EL2 kWh/d 199 อานมิเตอรการใชพลังงานของเครื่องปรับ
อากาศ
2. การวิเคราะหขอมูล

225
2.1 พลังงานไฟฟาที่ใชลดลงตอป
ES = (EL1 – EL2) x d x (LF/100) RA kWh/y 6,240.00
2.2 รอยละพลังงานไฟฟาที่ลดลง
EP = (( EL1 – EL2)/EL1) x 100 Es % 11.56

(12) การลดภาระการปรับอากาศโดยการปรับปรุงระบบแสงสวาง
ระบบแสงสวางที่เปดใชงานในหองปรับอากาศถือเปนภาระในการปรับอากาศเพราะพลังงานที่ระบบแสงสวางใช
จะกลายเปนพลังงานความรอน ดังนั้นควรทําการปรับปรุงระบบแสงสวางใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะทําใหใชพลังงาน
ไฟฟาในระบบแสงสวางนอยลงแลวยังสามารถลดการใชพลังงานในระบบปรับอากาศดวย

เกิดพลังงานความรอน 100 x 3.4 = 340 Btu/h เกิดพลังงานความรอน 3.4 x 36 x 1.25 = 153 Btu/h
รูปที่ 2-7.37 อินแดนเดสเซนตไมมีบัลลาสต รูปที่ 2-7.38 หลอดฟลูออเรสเซนตคิดความรอน
ที่เกิดจากบัลลาสต 25%

สมการที่ใชในการคํานวณ
หลอดที่มีบัลลาสตทุกชนิดใหนําขนาดของหลอด (W) คูณดวย 1.25 เพราะบัลลาสตจะเกิดความรอนประมาณ 25%
พลังงานความรอนที่เกิดจากระบบแสงสวางกอนปรับปรุงตอป (Btuh/y)
= พลังไฟฟาที่หลอดใชเดิม x 1.25 (เฉพาะกรณีมีบัลลาสต) x 3.4 x ชั่วโมงใชงานตอป
พลังงานความรอนที่เกิดจากระบบแสงสวางหลังปรับปรุงตอป (Btuh/y)
= พลังไฟฟาที่หลอดใชใหม x 1.25 (เฉพาะกรณีมีบัลลาสต) x 3.4 x ชั่วโมงใชงานตอป
พลังงานความรอนที่ลดลงตอป (Btuh/y)
= พลังงานความรอนที่เกิดจากระบบแสงสวางกอนปรับปรุงตอป – พลังงานความรอนที่เกิดจาก
ระบบแสงสวางหลังปรับปรุงตอป
พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป (kWh/y)
= (พลังงานความรอนที่ลดลงตอป / 12,000) x คา kW/TR ของระบบปรับอากาศ
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ทําการปรับปรุงระบบไฟฟาแสงสวางเพื่อใหเกิดการประหยัดพลังงาน เดิมติดตั้งหลอดฟลูออ
เรสเซนต 3.6 วัตต จํานวน 500 หลอด คิดเปนวัตตรวม 18,000 วัตต หลังจากทําการติดตั้งแผนสะทอนแสงแลวจํานวน
หลอดไฟฟาลดลงเหลือ 300 หลอด คิดเปนวัตตที่ใช 10,800 วัตต ระบบแสงสวางเปดใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วัน
ตอป อัตราคาไฟฟาตอหนวย 2.95 บาท และระบบปรับอากาศมีคา kW/TR 1.25 kW/TR โรงงานจะประหยัดพลังงาน
ไฟฟาในระบบปรับอากาศเทาใด [วิธคี ํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1. ขอมูลเบื้องตน

226
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟาของโรงงาน
1.2 คา kW/TR ของระบบปรับอากาศ จากการตรวจวัดประสิทธิภาพของ
ChP kW/TR 1.25 ระบบปรับอากาศ
1.3 พลังงานไฟฟารวมที่หลอดใชเดิม ELO W 18,000 ผลรวมจากขนาดหลอดไฟฟาทั้งหมด
ที่เปดใชงานกอนปรับปรุง
1.4 พลังงานไฟฟารวมที่หลอดใชใหม ELN W 10,800 ผลรวมจากขนาดหลอดไฟฟาทั้งหมด
ที่เปดใชงานหลังปรับปรุง
1.5 ชั่วโมงการเปดใชงานตอป hr h/y 3,600 ชั่วโมงการเปดใชงานจริง
1.6 ตัวคูณกรณีเปนหลอดไฟฟาที่มีบัลลาสต FC - 1.25 กรณีหลอดไฟฟามีบัลลาสตใหคูณวัตต
รวมดวย 1.25
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 พลังงานความรอนที่เกิดจากระบบ
แสงสวางกอนปรับปรุงตอป
EO = ELO x FC x 3.4 x hr EO Btuh/y 275,400,000.00
2.2 พลังงานความรอนที่เกิดจากระบบ
แสงสวางหลังปรับปรุงตอป
EN = ELN x FC x 3.4 x hr EN Btuh/y 165,240,000.00
2.3 พลังงานความรอนที่ลดลงตอป
ES = E O - E N ES Btuh/y 110,160,000.00
2.4 พลังงานไฟฟาที่ลดลงตอป
ELS = (ES/12,0000) x ChP ELS kWh/y 11,475.00
2.5 คาพลังงานลดลง SC = ES x EC SC B/y 33,851.25

(13) การหรี่วาลวที่ออกจากปมเพื่อลดอัตราการไหลของน้ํา
เครื่องทําน้ําเย็นตองการอัตราการไหลของน้ําเพื่อเขาไปแลกเปลี่ยนความรอนกับสารทําความเย็นในอัตราที่
เหมาะสมตามการออกแบบอุปกรณแลกเปลี่ยนความรอน ซึ่งโดยทั่วไปน้ําเย็นประมาณ 2.4 GPM/TR ที่ T 10 OF และ
น้ําระบายความรอนที่ 3.0 GPM/TR ดังนั้นถาอัตราการไหลของน้ําต่ําหรือสูงกวาพิกัดมาก จะสงผลใหประสิทธิภาพแลก
เปลี่ยนความรอนลดลง ทําใหเครื่องมีคา kW/TR สูงขึ้น ดังนั้นควรทําการตรวจวัดและปรับอัตราการไหลของน้ําใหเหมาะ
สมในการปรับอัตราการไหลของน้ําใหลดต่ําลง อาจทําโดยวิธีการหรี่วาลวน้ําที่ออกจากปมน้ําหรือการลดรอบปมน้ําหรือ
การลดขนาดใบพัดของปม หรือการเปลี่ยนปมน้ําใหมซึ่งในแตละวิธีจะไดผลการประหยัดพลังงานและผลตอบแทนการ
ลงทุนที่แตกตางกัน

รูปที่ 2-7.39 กอนหรี่วาลวพลังไฟฟา 42.1 kW รูปที่ 2-7.40 หลังหรี่วาลวพลังไฟฟา 33.0 kW

สมการที่ใชในการคํานวณ

227
พลังไฟฟาที่ลดลง = พลังไฟฟาเดิมที่ปมใช - พลังไฟฟาใหมที่ปมใช
พลังงานไฟฟาที่ลดลง = พลังไฟฟาที่ลดลง x ชั่วโมงการใชงานรอบปม

ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งปมน้ําเย็น 45 กิโลวัตต จํานวน 3 ชุด โดยตอแบบขนานเพื่อจายใหกับเครื่องทําน้ําเย็น
ขนาด 350 TR จํานวน 3 ชุด โดยเครื่องทําน้ําเย็นแตละชุดตองการอัตราการไหลของน้ําเย็นรวมกัน 2,520 แกลลอนตอ
นาที แตจากการตรวจวัดอัตราการไหลของน้ําที่ออกจากเครื่องทําน้ําเย็นแตละชุดพบวามีอัตราการไหลรวมกัน 3,513
แกลลอนตอนาที ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป อัตราคาไฟฟาตอหนวย 2.95 บาท จึงทําการหรี่วาลวน้ําที่ออก
จากปม น้าํ เย็นจนไดอตั ราการไหลของแตละชุดรวมกัน 2,580 แกลลอนตอนาที และพลังไฟฟาทีป่ ม แตละชุดใชแสดงดังนี้ [วิธี
คํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
ปมน้ําเย็น พลังงานไฟฟากอนหรี่วาลว(kW) พลังงานไฟฟาหลังหรี่วาลว(kW)
CHP-1 42.1 33.0
CHP-2 42.3 34.0
CHP-3 41.4 34.7

รูปที่ 2-7.41 อัตราการไหลของน้ําผาน Chiller เดิม 3,513 GPMหลังจากหรี่วาลวที่ปมลดลงเปน 2,580 GPM

รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล


1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอป EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hr h/y 3,600 จาการใชงานจริง
1.3 พลังงานไฟฟาของปมชุดที่ 1 กอนหรี่วาลว ELO1 kW 42.1 จากการตรวจวัด
1.4 พลังงานไฟฟาของปมชุดที่ 2 กอนหรี่วาลว ELO2 kW 42.3 จากการตรวจวัด
1.5 พลังงานไฟฟาของปมชุดที่ 3 กอนหรี่วาลว ELO3 kW 41.4 จากการตรวจวัด
1.6 พลังงานไฟฟาของปมชุดที่ 1 หลังหรี่วาลว ELN1 kW 33 จากการตรวจวัด
1.7 พลังงานไฟฟาของปมชุดที่ 2 หลังหรี่วาลว ELN2 kW 34 จากการตรวจวัด
1.8 พลังงานไฟฟาของปมชุดที่ 3 หลังหรี่วาลว ELN3 kW 34.7 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 พลังไฟฟารวมกอนหรี่วาลว
SELO = ELO1 + ELO2 + ELO3 SELO kW 125.80

228
2.2 พลังไฟฟารวมหลังหรี่วาลว
SELN = ELN1 + ELN2 + ELN3 SELN kW 101.70
2.3 พลังไฟฟาลดลง ELS = SELO – SELN ELS kW 24.10
2.4 พลังงานไฟฟาลดลง ES = ELS x hr ES kWh/y 86,760.00
2.5 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x EC SC B/y 255,942.00

(14) การเลือกเดินปมน้ําชุดที่มีประสิทธิภาพสูงเปนหลัก
ในระบบปรับอากาศขนาดใหญสวนใหญจะมีเครื่องทําน้ําเย็นจํานวนหลายชุด ดังนั้นจึงมีการออกแบบใหใชปมน้ํา
เย็นและปมน้ําระบายความรอนตามจํานวนของเครื่องทําน้ําเย็น โดยการติดตั้งปมน้ําแบบขนานกันและเชื่อมตอทอของ
ปมน้ําและเครื่องทําน้ําเย็นดวยทอรวม ซึ่งตําแหนงของปมและการเชื่อมตอทอเขาและออกของปมจะสงผลตอการสูญ
เสียความดันของปมทําใหปมแตละชุดมีอัตราการไหลของน้ําและใชพลังงานไฟฟาตางกัน รวมทั้งปมที่ใชไปนานการสึก
หรอของปมก็จะตางกันสงผลใหประสิทธิภาพของปมตางไปดวย นอกจากนั้นปมน้ําชุดที่มอเตอรเคยไหมก็จะใชพลังงาน
มากกวาชุดอื่น ดังนั้นการเลือกใชปมชุดที่มีประสิทธิภาพสูงใหมากขึ้นจะสงผลใหเกิดการประหยัดพลังงาน

229
ทอรวม

รูปที่ 2-7.42 การตอปมแบบน้ําเขากอนและออกกอน รูปที่ 2-7.43 การตอปมแบบน้ําเขากอนและออกหลัง


จะทําใหประสิทธิภาพปมตางกัน จะทําใหประสิทธิภาพปมไมตางกันมาก

รูปที่ 2-7.44 การเชื่อมทอแบบตัวที รูปที่ 2-7.45 การเชื่อมทอแบบตัววาย


จะทําใหอัตราการไหลของน้ําลดลงประมาณ 10-20% จะทําใหอัตราการไหลของน้ําเพิ่มขึ้น

รูปที่ 2-7.46 การเชื่อมตอทอสงทําใหทิศทางของ รูปที่ 2-7.47 การเชื่อมตอทอดูดทําใหปมชุดที่อยูไกล


น้ําปะทะกันประสิทธิภาพต่ํา อัตราการไหลลดลง นอกเสียจากขนาด Header ใหญ

สมการที่ใชในการคํานวณ
ดัชนีการใชพลังงานของปม = อัตราการไหลของน้ํา / พลังไฟฟาที่ปมใช
ดัชนีการใชพลังงานที่สูงขึ้น(%) = [1–(ดัชนีการใชพลังงานของกลุมปมที่ต่ํา/ดัชนีการใชพลังงานของกลุม
ป ม
ที่สูง)] x 100

230
พลังงานไฟฟาที่ลดลง = พลังไฟฟาของกลุมปมที่มีดัชนีการใชพลังงานต่ํา x (รอยละดัชนีการใช
พลังงานที่สูงขึ้น/100) x (ชั่วโมงการใชงานที่เพิ่มขึ้นของกลุมปมที่มีดัชนี
การใชพลังงานสูง
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งปมน้ําเย็น 45 กิโลวัตต จํานวน 3 ชุด มีอายุการใชงาน 18 ป การเชื่อมตอทอเปนแบบเขา
กอนและออกกอนและตอแบบตัวที อีกทั้งบางชุดมีการไหมของมอเตอร ปกติจะเปดใชงานครั้งละ 2 ชุด สลับกันไปมา
จากการตรวจวัด พบวาปมกลุม 1, 2 มีดัชนีการใชพลังงานต่ําสุด และปมกลุม 1, 3 มีดัชนีการใชพลังงานสูงสุด ดังนั้น
โรงงานจึงจัดทําแผนการเดินปมใหม โดยลดการเดินกลุม 1, 2 ลงจากเดิม 33.33% เปนปละ 10% และเพิ่มการเดิน
กลุม 1, 3 จาก 33.33% เปน 56.66% ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป อัตราคาไฟฟาตอหนวย 2.95 บาท ทําให
เกิดการประหยัดพลังงานเทาใด [วิธคี ํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายละเอียด อัตราการไหลของน้ํา(GPM) พลังไฟฟาที่ใชรวม(kW) ดัชนีการใชพลังงาน(GPM/ kW)
เดินปม 1 คูกับ 2 3,120 81.6 38.24
เดินปม 1 คูกับ 3 3,530 76.0 46.45
เดินปม 2 คูกับ 3 3,460 78.5 44.08

วัดอัตราการไหลรวม

รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล


1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hr h/y 3,600 จากการใชงานจริง
1.3 รอยละของชั่วโมงการใชงานที่จะเดินของ Pho % 33.33
กลุมที่มีดัชนีการใชพลังงานสูง ดัชนีการใชพลังงานสูงทํางานกีเ่ ปอรเซ็นต
1.4 รอยละของชั่วโมงการใชงานที่จะเพิ่มขึ้น PhN % 23.33 คิดวาจะเพิ่มการใชงานของกลุมที่มี
ของกลุมที่มีดัชนีการใชพลังงานสูง ดัชนีการใชพลังงานสูงเทาใด
1.5 ดัชนีการใชพลังงานของกลุมปมที่ต่ําสุด SECL GPM/kW 38.24 จากการตรวจวัด
1.6 ดัชนีการใชพลังงานของกลุมปมที่สูงสุด SECh GPM/kW 46.45 จากการตรวจวัด
1.7 พลังไฟฟาของกลุมปมที่มีดัชนีการใช
พลังงานต่ําสุด ELL kW 81.6 จากการตรวจวัด
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 รอยละดัชนีการใชพลังงานที่สูงขึ้น
PTi = (1- ( SECL/SECh)) x 100 PTi % 17.67

231
รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล
2.2 ชั่วโมงการใชงานที่เพิ่มขึ้นของกลุมปมที่มี 839.88
ดัชนีการใชพลังงานสูง hri = hr x
(PhN/100) hri h/y
2.3 พลังไฟฟาลดลง ES = ELL x (PTi/100) x 12,109.99
hri ES kWh/y
2.4 คาพลังงานไฟฟาลดลง SC = ES x EC SC B/y 35,724.47

(15) การเปลี่ยนปมน้ําชุดที่มีประสิทธิภาพต่ําในระบบปรับอากาศ
ปมน้ําเย็นและปมน้ําระบายความรอนในระบบปรับอากาศจะมีอายุการใชงาน 15 ป ดังนั้นเมื่อปมน้ํามีอายุการใช
งานมาก จะเกิดการสึกหรอมากสงผลใหประสิทธิภาพของปมลดต่ําลง อีกทัง้ ปม บางชุดอาจเกิดการไหมของมอเตอร ซึง่
การไหมของมอเตอรแตละครัง้ จะทําใหประสิทธิภาพของมอเตอรลดลง 4% ดังนัน้ ไมวา อายุการใชงานมากหรือมอเตอรเคย
ไหมบอ ยโรงงานควรพิจารณาเปลีย่ นปม น้าํ ใหมโดยเลือกใชปม น้าํ ทีม่ ปี ระสิทธิภาพสูง

อัตราการไหล 2,058 GPM อัตราการไหล 2,150 GPM

ปมน้ําเกา ปมน้ําใหม

พลังไฟฟา 42 kW พลังไฟฟา 31 kW
ดัชนีการใชพลังงาน = 49 GPM/kW ดัชนีการใชพลังงานใหม = 69.35 GPM/kW

สมการที่ใชในการคํานวณ
รอยละดัชนีการใชพลังงานที่สูงขึ้น = ( 1 – ( ดัชนีการใชพลังงานเดิม / ดัชนีการใชพลังงานใหม)) x 100
พลังงานไฟฟาที่ลดลง = พลังไฟฟาที่ใชเดิม x ( รอยละดัชนีการใชพลังงานที่สูงขึ้น) / 100 x ชั่ว
โมงการใชงานตอป
ดูตัวอยางเพื่อใหเกิดความเขาใจ
โรงงาน ECON ติดตั้งปมน้ําเย็นขนาด 45 กิโลวัตต มีอายุการใชงาน 18 ป และมอเตอรเคยไหมมาแลว 2 ครัง้
จึงสนใจทีจ่ ะเปลีย่ นปม น้าํ ใหม ใชงานวันละ 12 ชั่วโมง 300 วันตอป อัตราคาไฟฟาตอหนวย 2.95 บาท โดยมีผลการ
ตรวจวัดดังนี้ [วิธคี ํานวณ 1)กรอกขอมูลลงไปในชองขอมูลของขอ 1 2)ทําการคํานวณตามหัวขอ 2]
รายละเอียด อัตราการไหลของน้ํา(GPM) พลังไฟฟาที่ใช(kW)
ปมน้ําเย็นชุดเดิม 2,058 42
ปมน้ําเย็นชุดใหม 2,150 31

รายการ สัญลักษณ หนวย ขอมูล แหลงที่มาของขอมูล


1. ขอมูลเบื้องตน
1.1 คาไฟฟาเฉลี่ยตอหนวย EC B/kWh 2.95 จากใบแจงหนี้คาไฟฟา

232
1.2 ชั่วโมงการใชงานตอป hr h/y 3,600 จากการใชงานจริง
1.3 อัตราการไหลของปมน้ําเดิม FLO GPM 2,058 จากการตรวจวัดอัตราการไหล
1.4 พลังไฟฟาของปมเดิม ELO kW 42 จากการตรวจวัดพลังไฟฟาที่ปมเดิมใช
1.5 อัตราการไหลของปมน้ําใหม FLN GPM 2,150 จากคุณสมบัติของปมน้ําชุดใหมที่อัตราการ
ไหลและเฮดตกครอมปมเทากัน
1.6 พลังไฟฟาของปมใหม ELN kW 31 จากคุณสมบัติของปมน้ําชุดใหมที่อัตราการ
ไหลและเฮดตกครอมปมเทาชุดเดิม
2. การวิเคราะหขอมูล
2.1 ดัชนีการใชพลังงานของปมชุดเดิม
SECO = FLO / ELO SECO GMP/kW 49.00
2.2 ดัชนีการใชพลังงานของปมชุดใหม
SECN = FLN / ELN SECN GMP/kW 69.35
2.3 รอยละดัชนีการใชพลังงานที่สูงขึ้น
PTi = ( 1 - ( SECO/SECN)) x 100 PTi % 29.34
2.4 พลังงานไฟฟาที่ลดลง
ES = ELO x (PTd/100) x hr ES kWh/y 44,362.08
2.5 คาพลังงานไฟฟาลดลง
SC = ES x EC SC B/y 130,868.14

2-7.6 แนวทางการตรวจ วินิจฉัย และบํารุงรักษาเครื่องทําน้ําเย็นและอุปกรณอื่นในระบบทําอยางไร ?

(1) การตรวจวินิจฉัยเครื่องทําน้ําเย็นและอุปกรณอื่นในระบบเพื่อการอนุรักษพลังงานทําอยางไร ?
แนวทางการตรวจ แนวทางการวินิจฉัย
รายการตรวจ ผลการตรวจ
1. เครื่องทําน้ําเย็น
1.1 ผลตางอุณหภูมิน้ําเย็นที่ออกและ ‰ สูงกวา 4 ๐F ผลตางอุณหภูมถิ า สูงกวา 4 ๐F แสดงวาประ
อุณหภูมิสารทําความเย็นใน ‰ ต่ํากวา 4 ๐F สิทธิภาพการแลกเปลี่ยนความรอนต่ํา อาจ
Cooler ที่ภาระสูงสุด เกิดจากตะกรันใน Cooler อัตราการไหลของ
น้าํ มากเกินไป ปริมาณสารทําความเย็นนอย
เกินไปหรืออุปกรณลดความดันมีปญหา
1.2 ผลตางอุณหภูมิน้ําระบายความรอน ‰ สูงกวา 6 ๐F ผลตางอุณหภูมิสูงกวา 6 ๐F แสดงวาประสิทธิ
ที่ออกและอุณหภูมิสารทําความเย็น ‰ ต่ํากวา 6 ๐F ภาพการแลกเปลี่ยนความรอนต่ําอาจเกิดจาก
ใน Condenser ที่ภาระสูงสุด ตะกรันใน Condenser หรืออัตราการไหลของ
น้ํามากเกินไป หรือปริมาณสารทําความเย็น
มากเกินไป หรืออุปกรณลดความดันมีปญหา
1.3 อัตราการไหลของน้ําเย็น ‰ สูงกวา 2.4 GPM/TR การออกแบบที่ ΔT = 10 ๐F ถาอัตราการไหล
‰ ต่ํากวา 2.4 GPM/TR ของน้ําเย็นสูงหรือต่ํากวา 2.4 GPM/TR มาก จะ
ทําใหประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนความรอนต่ํา
และคา kW/TR สูงขึ้น
1.4 อัตราการไหลของน้ําระบายความ ‰ สูงกวา 3.0 GPM/TR การออกแบบที่ ΔT = 10 ๐F ถาอัตราการไหล
รอน ‰ ต่ํากวา 3.0 GPM/TR ของน้ําระบายความรอนสูงหรือต่ํากวา 3.0
GPM/TR มาก จะทําใหประสิทธิภาพการแลก

233
แนวทางการตรวจ แนวทางการวินิจฉัย
รายการตรวจ ผลการตรวจ
เปลีย่ นความรอนต่าํ และคา kW/TR สูงขึ้น
1.5 ปรับตั้งอุณหภูมิน้ําเย็นใหสูงที่สุด ‰ ปรับตั้งได ปรับอุณหภูมนิ า้ํ เย็นใหสงู ขึน้ เมือ่ ภาระการปรับ
เทาที่จะทําได ‰ ปรับตั้งไมได อากาศต่าํ กวา 80% จะสงผลใหประหยัดพลังงาน
ประมาณ 2-4% ในทุก 1 ๐F
1.6 เครื่องอัดแบบแรงเหวี่ยงปรับตั้ง ‰ สูงกวา 90% เครื่องอัดแบบแรงเหวี่ยงจะมีประสิทธิภาพสูง
Load ที่เทาใด ‰ ต่ํากวา 80% สุดที่ Load ประมาณ 80-90%
1.7 เครื่องทําน้ําเย็นทํางานที่ภาระเทา ‰ สูงกวา 80% เครื่องทําน้ําเย็นทํางานที่ภาระต่ํา จะสงผลให
ใด ‰ ต่ํากวา 80% คา kW/TR รวมทั้งระบบสูงขึ้นเพราะอุปกรณ
ประกอบของระบบไมไดลดพลังไฟฟา
1.8 เลือกเดินเครื่องทําน้ําเย็นชุดที่มี ‰ เลือกได ควรเดินเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดใหมาก
ประสิทธิภาพสูงสุดเปนหลักหรือไม ‰ สลับไปมา กวาชุดอื่นๆ
1.9 ทําความสะอาดคอนเดนเซอร ทุกๆ…………..เดือน ควรทําความสะอาดทุก 6 เดือน หรือเมือ่
อุณหภูมิสารทําความเย็นสูงกวาอุณหภูมิน้ํา
ระบายความรอนทีอ่ อกทีภ่ าระสูงสุดเกิน 4-6 ๐F
1.10 น้ําเย็นลัดวงจรผานเครื่องทําน้ําเย็น ‰ ลัดวงจร ไมควรปลอยใหลัดวงจรเพราะอุณหภูมิน้ําเย็น
ชุดที่ไมเปดใชหรือไม ‰ ไมลัดวงจร ที่สงไปยัง AHU จะสูงขึ้น อาจมีผลตอ
อุณหภูมิและความชื้นในพื้นที่ปรับอากาศ
1.11 ผลตางความดันสารทําความเย็น ‰ แตกตางกัน เครื่องที่ผลตางของความดันมากจะมีประสิทธิ
ดานสูง (High pressure) และดาน ‰ ไมแตกตางกัน ภาพต่ํา ดังนั้นควรตรวจสอบและเดินใชงาน
ต่ํา (Low pressure) ของแตละ ใหนอยลง
เครื่องแตกตางกันหรือไม
2. ปมน้ําเย็นและปมน้ําระบายความรอน
2.1 มีมอเตอรชุดใดเคยไหมหรือไม ‰ มี มอเตอรที่ผานการพันมาใหมประสิทธิภาพจะ
‰ ไมมี ลดลงโดยทุกครั้งที่พันประสิทธิภาพจะลดลง
4% ควรนํามาใชใหนอย
2.2 มีปมชุดใดผานการบํารุงรักษามา ‰ มี ปมชุดที่ผานการบํารุงรักษาใหมๆ จะมีประ
ใหมๆ ‰ ไมมี สิทธิภาพสูงกวาชุดที่ไมผานการบํารุงรักษาดัง
นั้นควรนํามาใชใหมาก
2.3 มีการหรี่วาลวน้ําหรือไม ‰ มี ควรเปลี่ยนการหรี่วาลวน้ําเปนการใช Inverter
‰ ไมมี ลดรอบหรือเจียรใบพัดหรือลดขนาดปมน้ํา
2.4 มอเตอรแตละชุดใชกระแสไฟฟา ‰ เทากัน ใชงานมอเตอรชุดที่ใชกระแสไฟฟาสูงใหนอย
เทากันหรือไม ‰ ไมเทากัน ลง และควรตรวจสอบแกไข
2.5 ทอรวมทางเขาและทางออกของปม ‰ แบบตัวที ควรแกไขจากแบบตัวทีเปนตัววาย จะสงผล
มีการเชื่อมตอแบบใด ‰ แบบตัววาย ใหอัตราการไหลของน้ําที่ไดสูงขึ้น
2.6 เดินปมน้ําครั้งละหลายชุดหรือไม ‰ หลายชุด ปมน้ําตอขนานกันเมื่อเดินพรอมกันหลายชุด
‰ ชุดเดียว ตองตรวจวัดหาคา GPM/kW ของแตละกลุม
เพื่อใชงานชุดที่มีคาสูงสุดเปนหลัก

234
แนวทางการตรวจ แนวทางการวินิจฉัย
รายการตรวจ ผลการตรวจ
2.7 ใชงานปมน้ําชุดที่มีคา GPM/kW ‰ ใช ชุดทีม่ คี า GPM/kW สูงจะเปนชุดทีม่ ปี ระสิทธิ
สูงสุดเปนหลักหรือไม ‰ เดินสลับไปมา ภาพสูงควรนํามาใชใหมากกวาชุดอืน่ ๆ
2.8 บันทึกกระแสหรือพลังไฟฟาที่ปมใช ‰ บันทึก กระแสไฟฟาหรือพลังไฟฟาที่ปมน้ําแตละชุด
ประจําหรือไม ไมบันทึก ใช ถาผิดปกติไปจากเดิมจะบอกถึงสิ่งผิดปกติ
ที่เกิดขึ้น
3. หอผึ่งเย็น
3.1 ขนาดพิกัดของ CT เทียบกับพิกัด ‰ มากกวา 10-20% ขนาดพิกัดของ CT ควรมีขนาดมากกวาขนาด
ของ Chiller ‰ มากกวา 20-30% พิกัดของ Chiller 20-30% เพื่อใหเกิดการ
ระบายความรอนไดเพียงพอ
3.2 หอผึ่งเย็นเปนแบบใด ‰ เหลี่ยม หอผึง่ เย็นแบบเหลีย่ มจะมีประสิทธิภาพสู ง กว า
‰ กลม แบบกลม โดยทั่วไปประมาณ 2OF
3.3 ระดับน้ําในถาดหอผึ่งเย็นแบบ ‰ ต่ํากวา 1/3 ของความสูงถาด ควรสูงกวา 1/3 ของความสูงเพื่อจะทําให
เหลี่ยม ‰ สูงกวา 1/3 ของความสูงถาด อัตราการไหลของน้ําเหมาะสม
3.4 รูน้ําในถาดของหอผึ่งเย็นแบบ ‰ ตันบางสวน รูทุกรูไมควรตันเพื่อจะทําใหเกิดการกระจาย
เหลี่ยมตันหรือไม ‰ ไมตัน น้ําไดดี
3.5 รอบการหมุนของ Sprinkler ‰ ต่ํากวามาตรฐาน รอบเร็วกวามาตรฐานแสดงวาปริมาณน้ํามาก
‰ สูงกวามาตรฐาน เกิ น ไปส ง ผลให ป ระสิ ท ธิ ภ าพในการแลก
เปลี่ยนความรอนระหวางน้ํากับอากาศลดลง
ถาชาเกินไปเกิดจากน้ํานอยเกินไป หรือการ
สึกหรอของ Sprinkler head
3.6 อุณหภูมิน้ําที่ไดสูงกวาอุณหภูมิ ‰ เกิน 40F อุ ณ หภู มิ สู ง กว า อุ ณหภู มิ กระเปาะเป ย กของ
กระเปาะเปยกของอากาศเขา ‰ ต่ํากวา 40F อากาศทีเ่ ขาระบายเกิน 4 ๐F อาจเกิดจาก
ระบาย ปริมาณน้าํ มาก ปริมาณอากาศนอย รู Sprinkler
pipe ตัน Sprinkler head รัว่ Filling ตัน
3.7 อากาศออกดานบนมีเม็ดน้ําหรือไม ‰ มี มี เ ม็ ด น้ําอาจเกิ ด จากความเร็ ว ลมสู งเกิ นไป
‰ ไมมี หรือที่ Sprinkler Pipe ไมมีแผนกันน้ําหรือ
ปริมาณน้ํามากเกินไป
3.8 น้ํากระเด็นออกดานขาง ‰ มี อาจเกิ ด จากระดั บ น้ํ า ในอ า งสู ง เกิ น ไปหรื อ
‰ ไมมี ปริมาณน้ําที่ตกมากเกินไป หรือไมมี Louver
3.9 แตละชุดใชกระแสไฟฟาตางกันหรือ ‰ ไมตา งกัน ชุดที่ใชกระแสไฟฟานอยที่สุดควรนํามาใชงาน
ไม ‰ ตางกัน ใหมากขึ้น
3.10 มีอากาศรอนชื้นที่พนออก ยอน ‰ มี อากาศที่พนทิ้งมีอุณหภูมิและความชื้นสูงเมื่อ
กลับเขา CT หรือไม ‰ ไม ยอนกลับเขาระบายความรอน จะทําใหประ
สิทธิภาพของ CT ลดลง อาจแกไขโดยการตอ
ปากทางออกใหสูงขึ้น (Hood)
3.11 มีการปลอยน้ําผาน CT โดยไมเปด ‰ มี ไมควรปลอยน้าํ ผาน CT ทีไ่ มไดเปดพัดลม
พัดลมหรือไม ‰ ไมมี เพราะจะทําใหอณ ุ หภูมนิ า้ํ ทีไ่ ดกอ นเขา Chiller
มีอณ
ุ หภูมสิ งู สงผลใหคา kW/TR สูงขึน้

235
แนวทางการตรวจ แนวทางการวินิจฉัย
รายการตรวจ ผลการตรวจ
3.12 แผน Filling สกปรกและลมหรือไม ‰ สภาพดี ควรทําความสะอาด Filling เปนประจํา และ
‰ สกปรกและลม เปลี่ยนเมื่อหมดอายุการใชงาน อีกทั้งควรใส
ให เ ต็ ม และไม มี ก ารล ม จะส ง ผลให ป ระสิ ท ธิ
ภาพการแลกเปลี่ยนความรอนดี อุณหภูมิน้ําที่
ไดจะลดต่ําลง
3.13 มีการตรวจวัดอุณหภูมิน้ําที่ไดจาก ‰ ไมเคย หอผึ่ ง เย็ น ที่ ไ ด อุ ณ หภู มิ น้ํ า ต่ํ า จะมี ป ระสิ ท ธิ
หอผึ่งเย็นแตละชุดหรือไม ‰ ตรวจวัดประจํา ภาพดี ดังนั้นควรนํามาใชใหมากขึ้น
3.14 บันทึกปริมาณน้ําที่ใชกับหอผึ่งเย็น ‰ บันทึก การใชน้ํามากหรือนอยเกินไปของหอผึ่งเย็น
ทุกวันหรือไม ‰ ไมบันทึก จะบอกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นของหอผึ่งเย็น
4. เครื่องสงลมเย็น (AHU) และเครื่องจายลมเย็น (FCU)
4.1 ใช 2 Ways Valve หรือ 3 Ways ‰ 2 Ways Valve ใช 2 Ways Valve จะสงผลใหเกิดการ
Valve ควบคุมปริมาณน้ํา ‰ 3 Ways Valve ประหยัดพลังงานที่ปมน้ําเย็น ขณะที่ ภาระ
การปรับอากาศลดลงแตควรมี Bypass หรือ
Inverter ใชงานรวมดวย
4.2 กรองอากาศตันหรือไม ‰ ตัน กรองอากาศตันจะสงผลใหปริมาณลมเย็นที่สง
‰ ไมตัน ไปใชงานนอยลง สงผลใหประสิทธิภาพของ
AHU ลดลง อีกทั้งอาจเกิดปญหาการกระจาย
ลมในพื้นที่
4.3 อัตราการไหลของน้ําเย็นไดตาม ‰ ตามพิกัด อั ต ราการไหลของน้ําเย็ น ส ง ผลต อ ประสิ ท ธิ
พิกัดหรือไม ‰ ต่ํากวาพิกัด ภาพการแลกเปลี่ยนความรอนระหวางน้ําและ
‰ สูงกวาพิกัด อากาศ และอาจทําให Coil มีความชื้นไดมาก
หรือนอยดวย อีกทั้งมีอัตราการไหลต่ํา ตัน
ความเย็นที่ไดจะลดต่ําลงดวย โดยทั่วไปควร
ประมาณ 2.4 GPM/TR ที่ ΔT = 10 ๐F
ภาระเต็มพิกัด
4.4 ผลตางอุณหภูมิอากาศที่ออกและ ‰ ตางกันมาก ผลตางอุณหภูมิตางกันมากแสดงวาประสิทธิ
อุณหภูมิน้ําที่ออกจาก Coil เย็น ‰ ตางกันไมมาก ภาพในการแลกเปลี่ยนความรอนต่ําซึ่งอาจ
เกิดจากตะกรันภายในทอ ความสกปรกของ
ครีบ ความเร็วลมมากเกินไป ปริมาณอากาศ
มากเกินไป หรือปริมาณความชื้นของอากาศ
ที่เขาสูงเกินไป
4.5 คอลยกลั่นเอาความชื้นออกจาก ‰ กลั่นตัวไดนอย อุณหภูมิคอลยที่สัมผัสกับอากาศอาจไมถึง
อากาศไดนอยหรือไมกลั่นตัว ‰ ไมกลั่นตัว อุณหภูมิจุดน้ําคาง (Drew point) หรือ
อุณหภูมิผิวชวงปลายคอลยมีอุณหภูมิสูงเกินก็
ได ซึ่งอาจเกิดจากอุณหภูมิน้ําเย็นสูงเกินไป
หรือมีตะกรันในทอ หรือครีบสกปรกหรือ
ปริมาณน้ําเย็นต่ํากวาภาระการปรับอากาศ
(ความเร็วอากาศมาก)
4.6 ทําความสะอาดคอลยสม่ําเสมอหรือ ‰ สม่ําเสมอ คอลยเมื่อสกปรกจะสงผลใหประสิทธิภาพใน

236
แนวทางการตรวจ แนวทางการวินิจฉัย
รายการตรวจ ผลการตรวจ
ไม ‰ ไมสม่ําเสมอ การแลกเปลี่ยนความรอนระหวางน้ํากับ
อากาศลดต่ําลง ปริมาณความเย็นที่ไดจะลด
ลง อุณหภูมิอากาศที่ออกจากคอลยจะสูงกวา
เมื่อทําความสะอาดใหมๆ
4.7 อุปกรณควบคุมอุณหภูมิใชงานได ‰ ปกติ อุปกรณควบคุมอุณหภูมิผิดปกติ จะสงผลให
เปนปกติหรือไม ‰ ชํารุด ปริมาณน้ําเย็นไหลผานคอลยในปริมาณที่ไม
สัมพันธกับภาระการปรับอากาศ อีกทั้งไม
สามารถควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่ใหคงที่ตลอด
เวลาได นอกจากนั้นตําแหนงติดตั้งควรจะ
ตองเหมาะสม
4.8 อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธในพื้น ‰ ได การกระจายลมในพื้นที่รวมทั้งความเร็วของ
ที่ไดตามตองการหรือไม ‰ ไมได ลมเปนตัวสําคัญที่จะทําใหทุกบริเวณในพื้นที่
มีอุณหภูมิตางกันไมเกิน 2 ๐F นอกจากนั้น
อากาศที่ออกจากคอลยควรมีอุณหภูมิต่ําแตมี
ความชื้นสัมพัทธสูง โดยทั่วไปอุณหภูมิ
ประมาณ 60 ๐F ความชื้นสัมพัทธมากกวา
80%RH
4.9 บันทึกอุณหภูมิน้ําเย็นเขาและออก ‰ บันทึก ผลตางอุณหภูมิน้ําเย็นเขาและออก จะบอกถึง
จาก AHU เปนประจําหรือไม ‰ ไมบันทึก สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
5. อื่นๆ
5.1 ฉนวนหุมทอน้ําเย็นอยูในสภาพทีดี่ ‰ สภาพดี ฉนวนเสื่อมสภาพอาจมีลักษณะแตกยุยหรือ
และไมเกิดการกลั่นตัวของน้ําที่ผิว ‰ สภาพไมดี อมน้ํา สงผลใหสูญเสียความเย็นและทอจะ
ฉนวน ‰ เป น สนิ ม และฉนวนยางไม ค วรให สั ม ผั ส กั บ
แสง UV โดยตรง เพราะอายุการใชงานจะสั้น
ดังนั้นเมื่อใชนอกอาคารควรหุม Jacket
5.2 นําอากาศภายนอกเขาหรือดูด ‰ ไมมาก ลดปริมาณลงใหไดมากที่สุด จะสงผลใหลด
อากาศภายในออกทิ้งมากหรือไม ‰ มาก ภาระการปรับอากาศลง
5.3 ปดใชงาน CT มากกวาจํานวน CH ‰ เทากัน ทั่วไปการออกแบบจะให CH CDP CHP CT
หรือไม ‰ มากกวา เหมาะสมกับ แตเมื่อใชงานควรเดิน CT ให
มากกวา CH เพื่อจะไดอุณหภูมิน้ําระบาย
ความรอนที่เขาคอนเดนเซอรลดต่ําลง
5.4 น้ําเติม CT ผานการปรับสภาพ ‰ ปรับสภาพ ในระบบระบายความรอนมักเกิดตะกรันบน
อยางดีหรือไม ‰ ไมปรับสภาพ พื้นที่ผิวแลกเปลี่ยนความรอน สงผลใหคา
kW/TR ของเครื่องสูงขึ้น ดังนั้นควรปรับ
สภาพน้ําที่เติมหอผึ่งเย็นใหดี
(2) การบํารุงรักษาเครื่องปรับอากาศแบบแยกสวนและแบบเปนชุดเพื่อการประหยัดพลังงานมีอะไรบาง ?
รายละเอียดการดําเนินงาน ระยะเวลาที่เหมาะสม
1. ลางทําความสะอาดอุปกรณตางๆ ดังตอไปนี้

237
- แผงกรองอากาศ (Air Filter) ทุกเดือน
- ขดทอระบายความรอน (Condensing Coil) ทุก 6 เดือน
- ขดทอทําความเย็น (Cooling Coil) ทุก 6 เดือน
2. มีการดําเนินการตอไปนี้
- ตรวจสอบการทํางานของเทอรโมสตัท เพือ่ ใหควบคุมอุณหภูมไิ ดอยางถูกตอง ทุก 6 เดือน
- ตรวจสอบสภาพ สี และปริมาณของสารทําความเย็นในระบบ
- ตรวจสอบระบบทอสารทําความเย็น และสภาพฉนวนหุมทอสารทําความเย็น
3. ตรวจวัดและจดบันทึกคาตัวแปรตางๆ ตอไปนี้ เพื่อใชวิเคราะห ประสิทธิ ทุก 6 เดือน
ภาพการทํางานของเครื่อง
- กระแส แรงดัน และกําลังไฟฟาที่ใช
- ความดัน และ/หรืออุณหภูมิของสารทําความเย็น
- อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธของลมเย็นดานจายและดานกลับ
(3) การบํารุงรักษาเครื่องทําน้ําเย็นและอุปกรณอื่นๆ เพื่อการประหยัดพลังงานมีอะไรบาง ?
รายละเอียดการดําเนินงาน ระยะเวลาทีเ่ หมาะสม
1. เครือ่ งทําน้าํ เย็น
1.1 ตรวจสอบการทํางานของอุปกรณตางๆ ตอไปนี้ ทุกวัน
- เทอรโมมิเตอร
- เกจวัดความดัน
- เครื่องวัดอัตราการไหล (ถามี)
- วาลวปรับอัตราการไหล
1.2 ทําความสะอาดอุปกรณแลกเปลี่ยนความรอนดานคอนเดนเซอร ทุก 6 เดือน
1.3 ตรวจสอบสภาพ สี และปริมาณของสารทําความเย็น และน้ํามันหลอลื่น ทุกวัน
1.4 เปลี่ยนสารและอุปกรณเหลานี้ เมือ่ หมดอายุการใชงาน
- Refrigerant dryer
- น้ํามันหลอลื่น
- ไสกรอง
1.5 ตรวจวัดและจดบันทึกคาตัวแปรตางๆ ตอไปนี้ เพื่อใชวิเคราะหประสิทธิภาพการ ทุกวัน
ทํางานของเครื่อง
- กระแส แรงดัน และกําลังไฟฟาที่ใช
- ความดัน และอุณหภูมิของสารทําความเย็น
- อุณหภูมิและความดันของน้ําเย็น และน้ําหลอเย็น ทั้งดานเขาและออก
- อัตราการไหลของน้ําเย็น และน้ําหลอเย็น
2. เครื่องสูบน้ําเย็นและเครื่องสูบน้ําหลอเย็น
2.1 ตรวจสอบการทํางานของอุปกรณตางๆ ตอไปนี้ ทุกวัน
- เกจวัดความดัน
- วาลวปรับอัตราการไหล
- Automatic Air Vent
2.2 ทําความสะอาดตัวกรองสารแขวนลอย (Strainer) ทุก 6 เดือน
2.3 ตรวจวัดและบันทึกคาตัวแปรตางๆ ตอไปนี้ ทุกวัน
- กระแสและแรงดันไฟฟาที่ใช
- ความดันของน้ําเย็นและน้ําหลอเย็น ทั้งดานดูดและดานจาย
2.4 ตรวจสอบความรอนที่ตัวมอเตอร ทุกเดือน

238
รายละเอียดการดําเนินงาน ระยะเวลาทีเ่ หมาะสม
3. หอผึ่งเย็น
3.1 ลางทําความสะอาดอุปกรณตางๆ ตอไปนี้ 3.4 ทุก 3 เดือน
- PVC Filling
- ถาดรับน้ํา
- ชุดจายน้ํา
3.2 ตรวจสอบการทํางานของอุปกรณตางๆ ตอไปนี้ ทุกวัน
- วาลวลูกลอย
- ชุดจายน้ํา – พัดลม
- วาลวปกผีเสื้อ (Butterfly Valve) ตางๆ เชน วาลวน้ําเขา วาลวน้ําออก วาลว
ปรับสมดุล เปนตน
3.3 ตรวจสอบสภาพและปรับแตงความตึงของสายพาน (ถามี) หรือชุดเกียรสงกําลัง ทุกเดือน
(ถามี)
4. เครือ่ งสงลมเย็น
4.1 ลางทําความสะอาดอุปกรณตางๆ ตอไปนี้
- แผงกรองอากาศ (Air Filter) ทุกเดือน
- ขดทอทําความเย็น (Cooling Coil) ทุก 6 เดือน
4.2 ตรวจสอบการทํางานของอุปกรณตางๆ ตอไปนี้ ทุกวัน
- เทอรโมมิเตอร
- พัดลม
- เกจวัดความดัน
- เทอรโมสตัท
- วาลวควบคุมการไหล (Actuated Valve)
4.3 ตรวจวัดและบันทึกคาตัวแปรตางๆ ตอไปนี้ ทุก 6 เดือน
- อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธของลมจายและลมกลับ
- กระแสและแรงดันไฟฟาที่ใช
4.4 ตรวจวัดและบันทึกอุณหภูมิของน้ําเย็นที่เขาและออกจากเครื่อง รวมทั้งตรวจสอบ ทุกเดือน
และซอมแซมรอยรั่วของทอน้ําเย็น และทอลมเย็น
5. ชุดระบายความรอนของเครื่องผลิตน้ําเย็นแบบระบายความรอนดวย
อากาศ
5.1 ตรวจสอบสภาพและทําความสะอาดขดทอและครีบระบายความรอน ทุก 3 เดือน
5.2 ตรวจสอบสภาพของพัดลมระบายความรอนใหอยูในสภาพดีอยูเสมอ ทุกวัน
5.3 ตรวจสอบการทํางานของพัดลมระบายความรอน โดยจํานวนพัดลมที่ทํางานควร ทุกวัน
จะสอดคลองกับจํานวนคอมเพรสเซอรที่ทํางาน และสอดคลองกับภาระการทํา
ความเย็นขณะนั้น

239

You might also like