You are on page 1of 3

คงมีพ่อแม่ หลายคู่ทชี่ อบให้ ลูกฉลาดมากยิ่งขึน้ แต่ ปัจจัยหลายๆ อย่ างอาจทาให้ ลูกของคุณเกิดปัญหามากยิ่งขึน้ วันนีเ้ รามีวิธีช่วยให้ คุณและลูกของคุณ

ฉลาดมากยิ่งขึน้ มาฝากกันค่ะ
ปัจจัยที่ช่วยให้ ลูกของคุณฉลาดมากขึน้
ถามพ่ อแม่ 100 คน ว่ าอยากให้ ลูกฉลาดหรือไม่ คาตอบก็คงเหมือนกันทั้ง 100 คน แต่ทา
อย่างไรดีล่ะที่จะทาให้ ลูกฉลาด ถ้ าเป็ นสมัยก่ อนก็จะบอกว่ า เป็ นไปตามบุญ ตามกรรม หรือ
พรสวรรค์ ของคนนั้น

ถัดมาอีกหน่อยก็บอกว่าพ่อแม่ฉลาดลูกก็ฉลาด แต่ปัจจุบนั ความฉลาดเป็ นเรื่ องที่พ่อแม่สามารถเสริ มให้ลูกได้มากขึ้น และปั จจัยที่สาคัญที่สุด ก็คือ พ่อแม่จะสามารถ
ส่งเสริ มความฉลาดของลูกได้มากน้อยแค่ไหน

ฉบับนี้เรามาดูก ันว่า อะไรบ้างที่ทาให้ลูกฉลาด และพ่อแม่จะมีวิธีส่งเสริ มให้ลูกฉลาดได้อย่างไร

1.พันธุกรรม
คือการถ่ายทอดลักษณะจากรุ่ นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อไป เช่น สีผม สีตา ความสูง โรคบางชนิด รูปร่ าง รวมถึงสติปัญญาบางส่วน (จากการวิจยั มีรายงานว่ามีส่วน 48%)
ในส่วนของพันธุกรรม เราคงไม่สามารถไปแก ้ไขอะไรได้

พ่ อแม่ทาได้
การเตรี ยมพร้อมสุขภาพลูก ตามหลักความเป็ นจริง ต้องเตรี ยมตั้งแต่ยงั ไม่ต้ งั ครรภ์ก ันเลยทีเดียว คุณแม่ตอ้ งมีร่างกายแข็งแรง เสริ มวิตามินโฟเลต เพื่อป้ องก ันภาวะ
กะโหลกศีรษะไม่ปิด และมีการเช็กสุขภาพ ตรวจเลือด เพื่อดูว่าร่ างกายยังไม่มีภูมิคุม้ ก ันใด ๆ จะได้ฉีดวัคซีนก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อป้ องก ันไม่ให้เกิดโรคนั้น ๆ
ระหว่างตั้งครรภ์ เพราะบางโรคมีผลกระทบต่อการเจริ ญเติบโตต่อลูกในท้องเป็ นอย่างมาก

รวมทั้งค้นหาความเสี่ยงของการเกิดโรคธาลัสซีเมีย หรื อไม่ ตั้งแต่กอ่ นตั้งครรภ์ เพราะคนไทยมีพาหะของโรคนี้ค่อนข้างเยอะ ทาให้ถ่ายทอดไปยังลูก ถ้ามีลูกเมื่อแม่มี


อายุเยอะหรื อญาติสนิทเคยเป็ นโรคที่มีความผิดปกติเกีย่ วก ับสมอง ที่เห็นได้เด่นชัด เช่น ดาวน์ซินโดรม ควรได้รบั การเจาะน้ าคร่ า เมื่ออายุครรภ์ได้ 4 เดือน เพื่อจะได้
มีการวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีการวางแผนก่อนการตั้งครรภ์ และมีการดูแลครรภ์ที่ดีจะลดปัญหาเรื่ องความผิดปกติของลูกไปได้มากมาย

2.อาหาร
นอกจากอาหารจะช่วยให้ลูกน้อยเจริ ญเติบโตแล้ว สารอาหารบางชนิดส่งผลโดยตรงต่อความฉลาดของลูก เพราะสารอาหารจะเข้าไปมีส่วนช่วยในพัฒนาการของการ
เจริ ญเติบโตของสมองฉะนั้นถ้าเด็กมีภาวะขาดสารอาหาร จะมีผลต่อการเรี ยนรู ้ จะมากหรื อน้อยก็ข้ ึนอยูก่ ับความรุ นแรงของการขาดสารอาหาร มีผลงานวิจยั ที่ชดั เจน
ว่า เด็กที่ได้รบั สารอาหารที่ดีจะมีประสิทธิภาพในการอ่าน การคิดเลขที่ดีกว่าเด็กที่ขาดสารอาหาร และในเด็กบางกลุ่ม อาจจะมีปัญหาโรคสมาธิส้ นั ก็เป็ นได้ ฉะนั้น
การให้ลูกรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริ มาณที่เพียงพอ จะทาให้พฒั นาการทั้งร่างกาย การเรี ยนรู ้เป็ นไปอย่างสมบูรณ์

สารอาหารที่สมองต้องการเป็ นพิเศษ เช่ น


กรดไขมันโอเมก ้า 3 หรื อ DHA : มีการเสนอผลงานของการตรวจระดับ DHA ในเลือดของเด็กอายุ 4 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรงพบว่า ถ้ายิง่ มี DHA ในเลือด
มากเท่าใด เด็กก็จะทาแบบทดสอบด้านการรับรู ้ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น โอเมก ้า 3 มีผลต่อระบบการทางานของสมอง และระบบประสาท (จอตา) รวมทั้งช่วยปกป้ องการ
ทางานของหัวใจให้เป็ นไปตามปกติ ซึ่งอาหารที่พบโอเมก ้า 3 มากก็คือ ปลาทะเล ปลาน้ าจืด ผักใบเขียว

ธาตุเหล็ก : เราอาจจะคุน้ เคยก ับประโยชน์ของธาตุเหล็กในเรื่ องของการสร้างเม็ดเลือด แต่ธาตุเหล็กก็ยงั มีบทบาทสาคัญต่อการสร้างไขมันสมอง และสารเคมีในสมอง


ซึ่งทาให้การทางานของสารเคมีเป็ นไปอย่างปกติ การเรี ยนรู ้ของลูกน้อยก็จะดีไปด้วยเช่นก ัน

พ่ อแม่ทาได้
การเตรี ยมอาหารให้ลูกด้วยตัวเอง ยังคงเป็ นเรื่ องที่ควรใส่ใจ เพราะอาหารที่ทาเองย่อมสะอาดกว่าอาหารนอกบ้าน คุณพ่อคุณแม่สามารถกาหนดรสชาติ และความสด
ของวัตถุดิบ รวมถึงให้ลูกคุน้ เคยก ับการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ไม่พ่ งึ พาอาหารนอกบ้านมากเกินไป

3.ออกกาลังกาย
การออกกาลังกายของเด็กเล็ก ๆ นั้นดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต เพราะเด็กวัยเตาะแตะ เป็ นวัยที่กาลังพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้แข็งแรงและคล่องแคล่ว เด็ก
อยากจะเดินจะวิ่งและเล่นอยูเ่ กือบตลอดเวลา

การออกกาลังกาย มีส่วนเกีย่ วข้องก ับความฉลาดของลูก เพราะเมื่อร่ างกายได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตแข็งแรง


ปอดมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนเพิ่ม มีความสุข สบายใจ เนื่องจากร่ างกายหลัง่ สารเอนดอร์ฟิน และหลับสนิทได้ต่อเนื่องร่ างกายก็จะหลัง่ Growth Hormones
เมื่อร่ างกายพร้อมก็ ย่อมพร้อมที่จะเรี ยนรู ้สิ่งต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน

พ่ อแม่ทาได้
สิ่งที่พ่อแม่ควรส่งเสริ ม คือ ให้ลูกมีโอกาสได้เล่นกลางแจ้ง จัดสถานที่ให้ปลอดภัยต่อการหัดเดิน หัดวิ่งของลูก คอยระวังเรื่ องอากาศบ้าง ถ้าลูกเล่นมาก เหงื่อออกมาก
อย่าลืมป้ อนน้ าลูกให้บ่อยขึ้น และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี

4.คาพูดของผู้ใหญ่ ในบ้ าน
หลายท่านอาจจะงงว่าแค่ "คาพูด" จะสาคัญอะไรก ับความฉลาดของลูก แต่ถา้ ลองนึกถึงพฤติกรรมของลูกให้ดี จะเห็นว่าวัยนี้สามารถใช้ภาษาสื่อสารได้ดี มีท้ งั ความ
อยากรู ้ อยากสัมผัส อยากทดลอง อยากเลียนแบบ ฉะนั้นถ้าเด็กได้รบั ประสบการณ์ที่ดี ก็จะสะสมสิ่งเหล่านั้นจนกลายเป็ นความเข้าใจ และนาไปใช้ในที่สุด

ดังนั้นถ้าพ่อแม่เปิ ดโอกาสให้สมองของลูกมีการเรี ยนรู ้ ได้คิด ได้ลองทา ทดลอง โดยไม่ตีกรอบมากจนเกินไปด้วยคาพูดของผูใ้ หญ่ที่บอกว่า "อย่ากระโดดนะ เดี๋ยว
ล้ม", "อย่าเอามือไปจับสีสิลูกสกปรก", "อย่าเล่นทรายนะ เดี๋ยวเข้าตา" ฯลฯ ด้วยคาว่า "อย่า" หรื อการห้ามทา เท่าก ับเป็ นการปิ ดโอกาสการเรี ยนรู ้ของลูก แต่ถา้ พ่อ
แม่สามารถส่งเสริ มให้ลูกได้ทดลอง ได้หยิบจับ โดยดูแลเรื่ องความปลอดภัยให้แล้ว ลูกจะสนุกก ับการค้นหา ทดลอง พ่อแม่เพียงแต่แนะนา กระตุน้ ให้ลองทา เท่าก ับ
เป็ นการเสริ มให้ลูกใช้สมองอย่างเต็มที่

พ่ อแม่ทาได้
การพูดก ับลูกและสมาชิกในครอบครัว ด้วยคาพูดที่อ่อนหวาน รักษาจิตใจก ัน ลูกจะจดจาและเลียนแบบคาพูด และลักษณะนั้น ๆ เกิดความไว้ใจคนในครอบครัว และ
พ่อแม่ควรพาลูกไปรู ้จกั ก ับคนอื่น ๆ บ้าง เป็ นการส่งเสริ มให้ลูกรู ้จกั การปรับตัวให้เข้าก ับผู อ้ ื่น เพื่อให้มีสมั พันธภาพ ซึ่งเป็ นเรื่ องสาคัญมากเมื่อโตเป็ นผูใ้ หญ่

5.ไม่ เปิ ดโทรทัศน์ เลีย้ งลูก


หลายปี มานี้ คุณแม่คงเคยได้ยนิ หรื อได้รับทราบข่าวสารถึงพิษภัยของทีวีก ับเด็กเล็กมาบ้าง ซึ่งเป็ นเรื่ องที่นกั วิชาการที่เกีย่ วข้องก ับการศึกษา การพัฒนาการเด็ก
ค่อนข้างให้ความสาคัญ และเป็ นประเด็นก ันบ่อยครั้ง ว่าการเปิ ดทีวีให้เด็กดูน้ นั ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองเด็ก แถมยังเป็ นหนามแหลมกลับมาทาร้ายลูกเราได้ดว้ ย มีการ
วิจยั รับรองมากมายว่าการให้เด็กเล็กดูทีวีมีผลเสีย บางรายเป็ นโรคสมาธิส้ นั เพราะทีวี

ภาพเคลื่อนไหวหน้าจอจะดึงดูดความสนใจของเด็ก ซึ่งเด็กจะได้ดูภาพ (ได้แค่ภาพสองมิติ) ก ับได้ยนิ เสียง แต่ไม่สามารถตอบโต้ก ับเด็กได้ และเป็ นการรับสารฝ่ าย


เดียว ซึ่งขัดก ับหลักการเรี ยนรู ้ของเด็กที่ตอ้ งเรี ยนรู ้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหก แต่ทีวีตอบสนองสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อเด็กได้ดูทีวีมาก ๆ สมองที่ควรจะได้รับการเรี ยนรู ้
กลับไม่ได้รับการกระตุน้ ทาให้สมองส่วนรับประสาทสัมผัสอื่น ๆ ฝ่ อไป (สมองจะดีได้ ต้องถูกใช้งานเป็ นประจา อย่างสม่าเสมอ) แถมรายการที่ฉายก็ไม่เหมาะสม
สาหรับเด็ก ทั้งในเรื่ องภาพ คาพูด หรื อการโฆษณาต่าง ๆ เป็ นสิ่งที่ไม่น่าเลียนแบบ ฉะนั้นถ้าพ่อแม่ยงั คิดว่า การเลี้ยงลูกด้วยทีวีเป็ นเรื่ องง่าย สามารถหยุดความซนของ
ลูกวัยนี้ได้ ก็เท่าก ับทาร้ายลูกตัวเองในระยะยาวก็เป็ นได้

พ่ อแม่ทาได้
การหากิจกรรมอื่น ๆ ให้ลูกทา สิ่งที่ลูกได้จะไม่ใช่คาพูดแปลก ๆ เลียนแบบในจอ หรื อท่าทางเลียนแบบตัวการ์ ตูน แต่จะได้ประสบการณ์จากการเล่น ได้จบั ได้สมั ผัส
ที่สาคัญคือ ได้คิดต่อยอดสิ่งที่ตวั เองได้เล่น เช่น
 หาสีผสมอาหารมาให้ลูกปั๊ มนิ้ว วาดรู ปลงกระดาษแผ่นใหญ่
 เตรี ยมแป้ งโดว์ให้ลูกปั้ น
 ของเล่นที่พฒั นาทักษะต่าง ๆ เช่น ตัวต่อ บล็อกไม้ หรื อแม้แต่ก ้อนหิ น ใบไม้ที่อยูบ่ ริ เวณบ้าน ก็ยงั นามาเล่นก ับลูกและเกิดประโยชน์มากกว่าการดูทีวี
 อ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง
 ยังมีกจิ กรรมอีกมากมายที่พ่อแม่สามารถเล่นก ับลูกได้ไม่รู้เบื่อ เพียงแต่ตอ้ งใช้ใจพ่อแม่เล่นด้วยเท่านั้นเอง

โดยสรุ ปแล้ว ความฉลาดของลูกนั้น ขึ้นอยูก่ ับสองมือของพ่อและแม่ ที่จะช่วยก ันสร้างลูกขึ้นมา ให้เป็ นเด็กที่มีความฉลาดจากการเรี ยนรู ้ที่มีพ่อแม่คอยส่งเสริ ม หรื อ
ฉลาดแบบตามธรรมชาตืแล้วปล่อยเป็ นหน้าที่ของคุณครู เมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรี ยนเท่านั้น ก็เป็ นเรื่ องที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจค่ะ

You might also like