Professional Documents
Culture Documents
แนวคิดเชิงปรัชญาด้านความงามที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ แบงค์
แนวคิดเชิงปรัชญาด้านความงามที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ แบงค์
บทนา
สุนทรียศาสตร ์เป็ นสาขาของปรช ่ ยวข
ั ญาทีเกี ่ ่
้องกับการรบั รู ้ในเรืองความ
ง า ม ต ล อ ด ร ว ม ถึ ง ค ว า ม น่ า เ ก ลี ย ด
ใ น ภ า ษ า ฝ ร ่ ั ง เ รี ย ก ว่ า เ ป็ น คุ ณ ค่ า ใ น เ ชิ ง นิ เ ส ธ ( negative value)
นอกจากนี ้ เรืองของสุ
่ น ทรีย ศาสตร ์ยัง เกี่ ยวกข อ้ งกับ ประเด็ น ค าถามที่ ว่ า
คุ ณ ส ม บั ติ ( ค ว า ม ง า ม – ค ว า ม น่ า เ ก ลี ย ด )
เ ป็ น สิ่ ง ที่ มี อ ยู่ ใ น เ ชิ ง ” วั ต ถุ วิ สั ย ” ( objective)
่
หรือเป็ นเรืองของ”อั ตวิสยั ”(subjective)ซึงมี ่ อยู่ในใจของแต่ละบุ คคลเท่า นั้ น
ด ว้ ยเหตุ นี ้ วัต ถุ ต่ า งๆ จึง ควรที่จะได ร้ บั การสัม ผัส โดยวิธ ีก ารเฉพาะอัน หนึ่ ง.
นอกจากนี ้ สุ น ทรีย ศาสตร ์ยัง ตังค ้ าถามในเรืองที ่ ่ว่ า มัน มีค วามแตกต่ า งกัน
ระหว่าง”ความงาม”และ”ความสูงส่ง”(sublime)หรือไม่?
ท ฤ ษ ฎี ท า ง สุ น ท รี ย ศ า ส ต ร แ์ ร ก ใ น ข อ บ เ ข ต นี ้ เ ป็ น ข อ ง Plato
นั ก ป รั ช ญ า ก รี ก
้ ่ึงเชื่อว่ า ความเป็ นจริง (reality)มี อ ยู่ ใ นโลกของแบบ(archetypes or
ผู ซ
forms) ที่ เหนื อไปจากประสาทสั ม ผั ส ของมนุ ษย ์ ซึ่งเป็ นต น ้ แบบต่ า ง ๆ
ของสรรพสิ่งซึงมี ่ อ ยู่ ใ นโลกแห่ ง ประสบการณ์ข องมนุ ษย ์ วัต ถุ ส่ิงของต่ า งๆ
ของประสบการณ์เป็ นเพียงตัวอย่าง หรือการเลียนแบบรูปในโลกของแบบทังสิ ้ น ้
นักปรช ้
ั ญาท่านนี พยายามให เ้ หตุผลสาหรบั วัตถุเชิงประสบการณ์(ในโลกมนุ ษ
ย ์ ) กั บ ค ว า ม เ ป็ น จ ริ ง ( โ ล ก ข อ ง แ บ บ ) ที่ มั น เ ลี ย น แ บ บ ม า
บ ร ร ด า ศิ ล ปิ น ทั้ ง ห ล า ย ล อ ก แ บ บ วั ต ถุ เ ชิ ง ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ อี ก ท อ ด ห นึ่ ง
หรือ ใช ้มัน ในฐานะเป็ นต น ้ แบบอัน หนึ่ งส าหร บ ั งานของพวกเขา ด ว้ ยเหตุ นี ้
ผลงานของบรรดาศิลปิ นทังหลายจึ ้ งเป็ นการเลียนแบบของการเลียนแบบอีกทอ
ดหนึ่ ง เพือความเข
่ ้
้าใจชัดเจนขึนขอยกตั วอย่างต่อไปนี ้
่ อยู่ในสมอง/ความคิดของมนุ ษย ์)
โลกของแบบ - “มา้ ” (มา้ ทีมี
โ ล ก ข อ ง ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ – “ ม ้ า ” ( ม ้ า ที่ เ ร า สั ม ผั ส ร ั บ รู ้ จ ริ ง -
เลียนมาจากโลกของแบบ)
่ ยนเลียนแบบโลกของประสบการณ์)
โลกของศิลปะ – “มา้ ” (ภาพวาดมา้ ทีเขี
ศิลปะคือการเลียนแบบในทัศนะของอริสโตเติล
อ ริ ส โ ต เ ติ ล ( Aristotle) ไ ด ้ พู ด ถึ ง เ รื่ อ ง “ ศิ ล ป ะ คื อ ก า ร เ ลี ย น แ บ บ ”
เอาไว ด ้ ว้ ยเช่น กัน แต่ไ ม่ ใ ช่ใ นความหมายอย่ า งเดีย วกัน กับ เพลโต (Plato)
ใครคนหนึ่ งสามารถทีจะเลี ่ ่ างๆ ไดอ้ ย่างทีพวกมั
ยนแบบ “สิงต่ ่ นควรจะเป็ น และ
“ บ า ง ส่ ว น
ศิลปะได ้สร ้างความสมบูรณ์ในสิงที ่ ธรรมชาติ
่ ่
ไม่สามารถนามาซึงความสมบู รณ์
แบบได ้” (art party completes what nature can not bring to a finish)
ศิลปิ นไดแ้ ยกแยะรูปทรงออกมาจากสสารของวัตถุบางอย่างของประสบการณ์
ตั ว อ ย่ า ง เ ช่ น ร่ า ง ก า ย ข อ ง ม นุ ษ ย ์ ห รื อ ต ้ น ไ ม ้ จ ริ ง บ น โ ล ก
แ ล ะ จั ด ก า ร กั บ รู ป ท ร ง อั น นั้ น ใ น ส ส า ร อี ก อ ย่ า ง ห นึ่ ง อ ย่ า ง เ ช่ น
เขีย นหรือวาดมัน ลงบนผืน ผ า้ ใบหรือสลัก ขึนมาจากแท่ ้ ง หิน อ่ อน ดว้ ยเหตุ นี ้
ก า ร เ ลี ย น แ บ บ จึ ง มิ ใ ช่ เ พี ย ง แ ค่ ก า ร ล อ ก เ ลี ย น ต น ้ แ บ บ อั น ห นึ่ ง เ ท่ า นั้ น
แ ล ะ ไ ม่ ใ ช่ สิ่ ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ ์ ที่ เ ป็ น สั ญ ลั ก ษ ณ์ ม า จ า ก ข อ ง เ ดิ ม
แ ต่ เ ป็ น สิ่ ง ที่ ป ร า ก ฏ ซึ่ ง มี ล ั ก ษ ณ ะ เ ฉ า พ ะ มี แ ง่ มุ ม อั น ห นึ่ ง ข อ ง สิ่ ง ต่ า ง ๆ
และผลงานศิลปะแต่ละชินคื ้ อการเลียบแบบมาจากสิงสากลหรื ่ อทัวๆ่ ไป
สุนทรียศาสตร ์กับศีลธรรมและการเมือง
สุ น ท รี ย ศ า ส ต ร์
่
ไม่ อ าจแยกออกได จ้ ากเรืองของศี ล ธรรมและการเมื อ งส าหร บั ในทัศ นะของ
Aristotle และ Plato. Plato ได ้เขียนเกียวกั ่ ่
บเรืองของดนตรี
เอาไวใ้ นหนั งสือ
Politics ข อ ง เ ข า โ ด ย ยื น ยั น ว่ า
“ศิลปะมีผลกระทบต่อบุคลิกภาพหรืออัตลักษณ์ของมนุ ษย ์ และเนื่ องจากเหตุนี ้
จึ ง ต ้ อ ง มี ก ฏ เ ก ณ ฑ ์ ท า ง สั ง ค ม ” ส่ ว น Aristotle นั้ น ถื อ ว่ า
ค ว า ม สุ ข คื อ เ ป้ า ห ม า ย ข อ ง ชี วิ ต ( happiness is the aim of life)
เขาเชือว่่ าหน้าทีหลั
่ กของศิลปะก็คอื การจัดเตรียมความพึงพอใจให ้กับมนุ ษย ์
ศิ ล ป ะ ใ น ช่ ว ง ยุ ค ก ล า ง
แรกเริ่มเดิ ม ที เ ป็ นการแส ดง ออกอั น หนึ่ ง ซึ่งเกี่ ยว พั น กับ ศาสนา ค ริส ต ์
ห ลั ก ก า ร ท า ง สุ น ท รี ย ม์ ี ร า ก ฐ า น ส่ ว น ใ ห ญ่ อ ยู่ ใ น ลั ท ธิ Neoplatonism
และต่ อ มาในช่ว งระหว่ า งสมัย เรอเนสซองค ร์ าวคริส ต ศ ์ ตวรรษที่ 15-16
ศิ ล ป ะ ไ ด ้ เ ริ่ ม ก ล า ย ม า เ ป็ น เ รื่ อ ง ข อ ง ท า ง โ ล ก ม า ก ขึ ้ น
และสุนทรียศาสตร ์ของมันเป็ นเรืองราวเกี ่ ่
ยวกั บยุคคลาสสิค(กรีก)ยิงกว่ ่ าสุนทรีย
ศ า ส ต ร ์ เ ชิ ง ศ า ส น า . ส า ห ร ั บ โ ล ก ส มั ย ใ ห ม่
แ ร ง ผ ลั ก ดั น อั น ยิ่ ง ใ ห ญ่ ต่ อ ค ว า ม คิ ด ท า ง สุ น ท รี ย ์ใ น โ ล ก ส มั ย ใ ห ม่
ถื อ ก า เ นิ ด ขึ ้ น ใ น เ ย อ ร ม นี ใ น ช่ ว ง ร ะ ห ว่ า ง ค ริ ส ต ์ ศ ต ว ร ร ษ ที่ 1 8
นั ก วิ จ ารณ์ช าวเยอรมัน Gotthold Ephraim Lessing ในงานเขี ย นเรื่อง
Laokoon (1 7 6 6 ) ข อ ง เ ข า ไ ด ้ ใ ห ้ เ ห ตุ ผ ล ว่ า
ศิลปะมีข ้อจากัดในตัวเองและได ้มาถึงจุดสูงสุดของมันเมือข ่ ้อจากัดเหล่านี ได
้ ้รบั
การยอมร ับ
Modern Aesthetics
วั ต ถุ ที่ มี ค ว า ม ง า ม มิ ไ ด ้ มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค ์ ใ ด ๆ โ ด ย เ ฉ พ า ะ
แ ล ะ ก า ร ตั ด สิ น เ กี่ ย ว กั บ เ รื่ อ ง ข อ ง ค ว า ม ง า ม นั้ น
ไ ม่ ไ ด ้ เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง อ อ ก ข อ ง ค ว า ม ช อ บ ที่ เ ป็ น ส่ ว น ตั ว เ ท่ า นั้ น
แต่มน ั เป็ นภาวะทีเป็ ่ นสากล(beautiful objects have no specific purpose
and that judgement of beauty are not expressions of mere
personal preference but are universal)
ศิ ล ป ะ ค ว ร ที่ จ ะ ใ ห ้ ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ที่ ไ ม่ เ กี่ ย ว ข ้ อ ง กั บ ผ ล ป ะ โ ย ช น์
เ ช่ น เ ดี ย ว กั บ ค ว า ม ง า ม ข อ ง ธ ร ร ม ช า ติ ( Art should give the same
disinterested satisfaction as natural beauty). ใ น เ ชิ ง ป ร ะ ติ ท ร ร ศ น์
ศิล ปะสามารถที่จะบรรลุ ถึง ผลส าเร็จ อัน หนึ่ งซึงธรรมชาติ ่ ไ ม่ อ าจบรรลุ ถึง ได ้
มันสามารถให ้ภาพของความน่ าเกลียดและความงามในวัตถุหนึ่ งเดียว กล่าวคือ
งานจิตรกรรมทีประณี ่ ่
ตสามารถทีจะแสดงถึ งใบหน้าทีน่ ่ าเกลียดทียั ่ งคงมีความง
ดงามได ้
G.W.F.Hegel: ตามความคิดของนักปรช ั ญาชาวเยอรมันในคริสต ์ศตวรรษที่
1 9 G.W.F.Hegel ศิ ล ป ะ ศ า ส น า แ ล ะ ป ร ั ช ญ า คื อ ร า ก ฐ า น ต่ า ง ๆ
ข อ ง พั ฒ น า ก า ร ท า ง ด ้ า น จิ ต วิ ญ ญ า ณ อั น สู ง สุ ด
ความงามในธรรมชาติคอ ่ กอย่างทีจิ
ื ทุกสิงทุ ่ ตวิญญาณของมนุ ษย ์ได ้ค ้นพบควา
ม พึ ง พ อ ใ จ
และเป็ นที่ถู ก ใจต่ อ การฝึ กฝนของจิต วิญ ญาณและอิส รภาพของสติปั ญ ญา
่
บางสิงบางอย่ างในธรรมชาติสามารถถูกทาใหเ้ ป็ นทีถู่ กใจมากขึนและพึ
้ งพอใจ
ม า ก ขึ ้ น แ ล ะ มั น เ ป็ น วั ต ถุ ท า ง ธ ร ร ม ช า ติ ต่ า ง ๆ
้ ถู
เหล่านี ที ่ กยอมร ับโดยศิลปะต่อความต ้องการความพึงพอใจต่างๆ ทางสุนทรีย ์
Arthur Schopenhauer:
ถึ ง แ ม ้ ว่ า ” สุ น ท รี ย ศ า ส ต ร ์ส มั ย ใ ห ม่ ” เ ป็ น จ า น ว น ม า ก
ไ ด ้ ร ั บ ก า ร ห ยั่ ง ร า ก อ ยู่ ใ น ค ว า ม คิ ด ข อ ง นั ก ป ร ั ช ญ า ช า ว เ ย อ ร มั น
แต่ความคิดของนักปรช ั ญาชาวเยอรมันก็ใหค้ วามเคารพต่ออิทธิพลทางความ
คิดของชาวตะวัน ตกอื่นๆ อย่ า งน้อย ผู ก ้ ทธิโรแมนติคเยอรมัน คนหนึ่ ง
้ ่อตังลั
ก็ได ้รบั อิทธิพลมาจากงานเขียนต่างๆ ทางสุนทรีย ์ของรฐั บุรุษชาวอังกฤษ อย่าง
Edmund Burke
สุ น ท รี ย ศ า ส ต ร แ์ น ว ป ร ะ เ พ ณี นิ ย ม ใ น ค ริ ส ต ศ ์ ต ว ร ร ษ ที่ 1 8 - 1 9
ได ้ถูกครอบงาแนวความคิดเกียวกั ่ บศิลปะทีว่่ า ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ
บรรดานั ก เขี ย นนวนิ ย ายทั้งหลาย อย่ า งเช่น Jane Austen และ Charles
Dickens ในอังกฤษ และนักเขียนบทละครอย่างเช่น Carlo Goldoni ในอิตาลี
แ ล ะ Alexandre Dumas Fils (ลู ก ช า ย ข อ ง Alexandre Dumas pere)
ใ น ฝ ร ่ ั ง เ ศ ส ไ ด ้ น า เ ส น อ เ รื่ อ ง ร า ว สั จ จ นิ ย ม เ กี่ ย ว กั บ ช น ชั้ น ก ล า ง .
บรรดาจิ ต รกรทั้งหลาย ไม่ ว่ า จะเป็ นพวกท างานในแนว Neoclassical
อย่ า งเช่น Jean Auguste Dominique Ingres, หรือ ที่ ท างานในแนวทาง
Romantic, อย่ า ง เช่ น Eugene Delacroix, หรือ พว ก realist อย่ า ง เช่ น
Gustave Courbet
ได ้ทางานตามแนวทางของพวกเขาด ้วยความเอาใจใส่และระมัดระวังในรายละเอี
่ อนกับชีวต
ยดทีเหมื ิ จริง
ใ น ช่ ว ง ป ล า ย ข อ ง ค ริ ส ต ศ์ ต ว ร ร ษ ที่ 1 9 บ ร ร ด า จิ ต ร ก ร Post-
Impressionists หลายคน อย่างเช่น Paul Cezanne, Paul Gauguin, และ
Vincent van Gogh
ต่ า ง ก็ ถู ก น า เ ข ้า ม า พั ว พั น กั บ โ ค ร ง ส ร า้ ง ข อ ง ง า น จิ ต ร ก ร ร ม อั น ห นึ่ ง
โดยการแสดงออกทางจิตวิญญาณของพวกเขายิงกว่ ่ าด ้วยวัตถุทปรากฏแก่
่ี สา
ย ต า ใ น โ ล ก ธ ร ร ม ช า ติ . ใ น ช่ ว ง ต ้ น ข อ ง ค ริ ส ต ์ ศ ต ว ร ร ษ ที่
20ความสนใจในโครงสร ้างอันนี ได ้ ร้ บั การพัฒนายิ่งๆ ขึน ้ โดยบรรดาจิตรกร
cubist อย่างเช่น Pablo Picasso และการเกียวพั ่ นกับศิลปิ น Expressionists
ที่ ได ร้ บ
ั การสะท อ้ นถ่ า ยอยู่ ใ นงานของ Henri Matisse และศิ ล ปิ นในแนว
Fauves คนอืนๆ ่ และจากภาพเขียนของบรรดาจิตรกรในแนว expressionism
อ า จ พ บ เ ห็ น ไ ด ้ ใ น บ ท ล ะ ค ร ข อ ง August Strindberg
นั ก เ ขี ย น บ ท ล ะ ค ร ช า ว ส วี เ ด น แ ล ะ Frank Wedekind
นักเขียนบทละครชาวเยอรมัน
ใ ก ล ้เ คี ย ง แ ล ะ เ กี่ ย ว โ ย ง กั บ วิ ธี ก า ร แ บ บ non-representstional
approaches ห รื อ “ น า ม ธ ร ร ม ศิ ล ป ะ ” คื อ ห ลั ก ก า ร เ กี่ ย ว กั บ
“ศิลปะเพื่อศิลปะ”(art for art’ s sake) ซึงได ่ ส้ บ ื ทอดมาจากทัศนะของ Kant
ที่ว่ า “ศิล ปะมีเ หตุ ผ ลส าหร บ ั การด ารงอยู่ ข องตัว มัน เอง”(Art has its own
reason for being)
วลี ด ัง กล่ า วนี ้ ได ถ ้ั
้ ู ก น ามาใช ค้ ร งแรกโดยปร ั ญาเมธีช าวฝร ่งเศส
ช ั Victor
Cousin ใ น ปี ค . ศ . 1 8 1 8
ห ลั ก ก า ร นี ้ บ า ง ค ร ้ั ง เ รี ย ก ว่ า ลั ท ธิ สุ น ท รี ย ศ า ส ต ร (์ aestheticism) (*)
่
ซึงได ร้ บ
ั การสนั บ สนุ นในอัง กฤษโดยนั ก วิ จ ารณ์อ ย่ า ง Water Horation
Pater โ ด ย บ ร ร ด า จิ ต ร ก ร Pre-Raphaelite
(จิ ต ร ก ร อั ง ก ฤ ษ ก ลุ่ ม ห นึ่ ง ใ น ค ริ ส ต ์ ศ ต ว ร ร ษ ที่ 1 9
่
ซึงสนใจกั ่
บ เรืองราวจากประวั ติศ าสตร ์ในยุ ค กลาง ปกรณั ม แบบโรแมนติค
และคติชาวบา้ น)และโดยจิตรกรชาวอเมริกน ่
ั ทีอพยพไปอยู ่ต่างประเทศ James
ABBott Mcneil Whistler. ใ น ป ร ะ เ ท ศ ฝ ร ่ ั ง เ ศ ส
มีขอั บัญญัตท ่
ิ างดา้ นความเชือของกวี ในแนว symbolist อย่างเช่น Charles
Baudelaire. อ า จ ก ล่ า ว ไ ด ้ ว่ า “ ศิ ล ป ะ เ พื่ อ ศิ ล ป ะ ” ห ลั ก ก า ร อั น นี ้
ไ ด ้ อ ยู่ ข ้ า ง ใ ต ้ ห รื อ ท า ห น้ า ที่ ร อ ง ร ั บ ศิ ล ป ะ avant-garde
ของตะวันตกมากทีสุ ่ ดในช่วงคริสต ์ศตวรรษที่ 20
อิ ท ธิ พ ล ท า ง ค ว า ม คิ ด ร่ ว ม ส มั ย ที่ ส า คั ญ : นั ก ป ร ั ช ญ า 4
ค น ใ น ช่ ว ง ป ล า ย ค ริ ส ต ์ ศ ต ว ร ร ษ ที่ 1 9
ิ ธิพลในช่วงแรกของสุนทรียศาสตร ์ทุกวันนี ้
นับว่ามีอท
Benedetto Croce: ใ น อิ ต า ลี นั ก ป ร ัช ญ า แ ล ะ นั ก ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร ์
Benedetto Croce ได ใ้ ห ก ้ า รย กย่ อ งเรื่องของส หั ช ญานนี ้ ด ว้ ยเช่ น กัน
แต่ เ ขาได พ ่
้ ิ จ ารณามัน เป็ นเรืองของการร ั รู ้โดยทัน ทีเ กี่ยวกับ วัต ถุ ช นหนึ
บ ิ้ ่ง
ซึ่งด ว้ ยเหตุ ผ ลบางประการ ท าให ว้ ั ต ถุ ช ินนั ้ ้ นปรากฏเป็ นรู ป ทรงขึ นมา ้
มั น เ ป็ น ก า ร ห ยั่ ง รู ้ เ กี่ ย ว กั บ สิ่ ง ต่ า ง ๆ
ก่ อ นที่ ใครคนหนึ่ งจะสะท อ้ นภาพเกี่ ยวกับ มัน ออกมา ผลงานศิ ล ปะต่ า งๆ
คื อ ก า ร แ ส ด ง อ อ ก เ ป็ น รู ป ท ร ง ที่ เ ป็ น วั ต ถุ ข อ ง ส หั ช ญ า น อั น นั้ น
แ ต่ ค ว า ม ง า ม แ ล ะ ค ว า ม น่ า เ ก ลี ย ด มิ ใ ช่ คุ ณ ส ม บั ติ ข อ ง ผ ล ง า น ศิ ล ป ะ
แ ต่ มั น เ ป็ น คุ ณ ส ม บั ติ ต่ า ง ๆ
่
ของจิตวิญญาณทีแสดงออกในลั กษณะของสหัชญานในงานศิลปะเหล่านี ้
John Dewey: นั ก ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ นั ก ป ร ั ช ญ า ช า ว อ เ ม ริ กั น
ม อ ง ว่ า ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง ม นุ ษ ย ์เ ป็ น สิ่ ง ตั ด ข า ด เ ป็ น เ ศ ษ ชิ ้น ส่ ว น
เต็ มไปดว้ ยการเริมต ่ น ้ โดยปราศจากขอ้ สรุปใดๆ หรือเป็ นประสบการณ์ต่ า งๆ
ที่ มี ก า ร ยั ก ย ้ า ย เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ ห ้ เ ห ม า ะ ส ม อ ย่ า ง จ ง ใ จ
ใ น ฐ า น ะ ที่ เ ป็ น วิ ธี ก า ร ไ ป สู่ เ ป้ า ห ม า ย
ประสบการณ์ท่ี เป็ นข อ้ ยกเว น ้ เหล่ า นั้ นซึ่งไหลเลื่ อนจากจุ ด เริ่มต น ้ ต่ า งๆ
ข อ ง มั น ไ ป สู่ ค ว า ม ส ม บู ร ณ์ ต่ า ง ๆ คื อ สุ น ท รี ย ะ
ประสบการณ์ทางสุ นทรีย ค์ ือความเพลิดเพลินสาหรบั จุดหมายของตัวมันเอง
เ ป็ น สิ่ ง ส ม บู ร ณ์ แ ล ะ มี ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ใ น ตั ว เ อ ง พ ร ้ อ ม มู ล
แ ล ะ เ ป็ น บ ท ส รุ ป โ ด ย ตั ว มั น เ อ ง
มิ ใ ช่ เ พี ย วเครื่องมื อ ที่ น าพาไปสู่ จุ ด หมายอื่ น(Aesthetic experience is
enjoyment for its owm sake, is complete and self-contained, and
is terminal, not merely instrumental to other purposes)
่
ขบวนการเคลือนไหวที ่ พลัง 2 ขบวนการในคริสต ์ศตวรรษที่ 20 ได ้แก่
มี
Marxism แ ล ะ Freudianism. Marxism
เคลื่อนไหวในขอบเขตของเศรษฐศาสตร ์และการเมือ ง ส่ ว น Freudianism
เ ค ลื่ อ น ไ ห ว ใ น ด ้ า น จิ ต วิ ท ย า ซึ่ ง ทั้ ง ส อ ง ข บ ว น ก า ร ท า ง ค ว า ม คิ ด
ป ฏิ เ ส ธ ห ลั ก ก า ร เ กี่ ย ว กั บ ” ศิ ล ป ะ เ พื่ อ ศิ ล ป ะ ”
และได ย้ ื น ยัน อีก คร งถึ ้ั ง ประโยชน์ใ นทางปฏิ บ ัติข องศิ ล ปะ. ลัท ธิ Marxism
มองศิลปะในฐานะทีเป็ ่ นการแสดงออกของความสัมพันธ ์ทางสังคมทีมี ่ รากฐานท
า ง เ ศ ร ษ ฐ กิ จ บ ร ร ด า ผู ้ ใ ห ้ ก า ร สั น บ สุ น น Marxism
ยื น ยั น ว่ า ศิ ล ป ะ เ ป็ น สิ่ ง ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ เ ป็ น สิ่ ง ที่ ก ้ า ว ห น้ า
่ นใหก้ ารสนับสนุ นมูลเหตุของสังคมภายใต ้สิงซึงมั
ต่อเมือมั ่ นได ้ถูกสร ้างสรรค ์ขึ ้
นมา
Existentialism
Academic Controversies
ผ ล ง า น ข อ ง
Richardsเป็ นสิ่ งส าคัญ ส าหร บ ั ประโยชน์ ท างเทคนิ คด า้ นจิ ต วิ ท ยา ด ว้ ย
ใ น ก า ร ศึ ก ษ า ป ฏิ ก ิ ร ิ ย า ท า ง สุ น ท รี ย เ์ รื่ อ ง Practical Criticism(1 9 2 9 )
เ ข า ไ ด ้อ ธิ บ า ย ก า ร ท ด ล อ ง ต่ า ง ๆ ซึ่ ง เ ผ ย ใ ห ้รู ว้ ่ า ค น ที่ มี ก า ร ศึ ก ษ า สู ง
ต่า งถูก ก าหนดโดยการศึก ษาของพวกเขา โดยการถ่า ยทอดความคิด เห็ น
แ ล ะ โ ด ย ผ่ า น อ ง ค ์ ป ร ะ ก อ บ ท า ง สั ง ค ม แ ล ะ ส ถ า น ก า ร ณ์ ต่ า ง ๆ
ใ น ก า ร ต อ บ โ ต ้ ท า ง สุ น ท รี ย ์ ข อ ง พ ว ก เ ข า . ส่ ว น นั ก เ ขี ย น ค น อื่ น ๆ
ไดแ้ สดงความคิดเห็ นเกียวกั ่ บผลกระทบต่างๆ ทีมาจากเงื ่ ่อนไขของขนบจารีต
แ ฟ ชั่น ค ว า ม นิ ย ม แ ล ะ ค ว า ม ก ด ดั น ท า ง สั ง ค ม ต่ า ง ๆ ย ก ตั ว อ ย่ า ง เ ช่ น
ในช่ว งต น ้ ของคริส ต ศ์ ตวรรษที่ 18 บทละครของ William Shakespears
ไ ด ้ ถู ก ม อ ง ว่ า เ ป็ น ศิ ล ป ะ อ น า ร ย ช น แ ล ะ ศิ ล ป ะ แ บ บ ก อ ธิ ค
(เป็ นคาทีค่่ อนไปในเชิงดูถก ่
ู ) ทีแพร่ หลายดาษๆ ทัวไป ่
้
เชือสายมนุ ษย แ์ ยกออกจากบรรพบุ รุ ษ ร่ ว มสุ ด ท า้ ยกับ ชิม แพนซี
สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ใ ก ล ้ ช ิ ด ที่ สุ ด เ มื่ อ ร า ว 5 ล ้ า น ปี ที่ แ ล ้ ว ใ น แ อ ฟ ริ ก า
ก่ อ นจะวิ ว ั ฒ นา กา รไ ป เป็ น ออ ส ต รา โล พิ เ ธ ซีน ( Australopithecines)
และสุดท ้ายเป็ นสกุล Homo[2] สปี ชีส ์ โฮโม แรก ๆ ทีอพยพออกจากแอฟริ ่ กา
คือ Homo erectus, Homo ergaster ร่ว มกับ Homo heidelbergensis
ซึ่งถู ก มองว่ า เป็ นบรรพบุ รุ ษ สายตรงของมนุ ษย ส์ มั ย ใหม่ [ 3][4] Homo
sapiens ยัง เดิ น หน้ า ตั้งถิ่ นฐานในทวี ป ต่ า ง ๆ โดยมาถึ ง ยู เ รเซีย ระหว่ า ง
125,000-60,000 ปี ที่แล ว้ [5][6] ทวี ป ออสเตรเลี ย ราว 40,000 ปี ที่แล ว้
ทวีปอเมริการาว 15,000 ปี ทีแล ่ ว้ และเกาะห่างไกล เช่น ฮาวาย เกาะอีสเตอร ์
มาดากัสการ ์และนิ วซีแลนด ์ระหว่าง ค.ศ. 300 ถึง 1280[7][8] ราว 10,000
่ ว้ มนุ ษย ์เริมเกษตรกรรมแบบอยู
ปี ทีแล ่ ั ที่ โดยการปลูกพืชและเลียงสั
่กบ ้ ตว ์ป่ า
ท า ใ ห ้ ป ร ะ ช า ก ร ทั่ ว โ ล ก เ พิ่ ม ขึ ้ น อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว
ด ว้ ยการพั ฒ นาเทคโนโลยี ท่ี ขับ เคลื่ อนด ว้ ยเชือเพลิ ้ ง และเทคนิ คใหม่ ๆ
ซึ่ ง เ ป็ น ก า ร พั ฒ น า ส า ธ า ร ณ สุ ข ใ น ค ริ ส ต ์ศ ต ว ร ร ษ ที่ 1 9 แ ล ะ 2 0
ป ร ะ ช า ก ร ม นุ ษ ย ์ ยิ่ ง เ พิ่ ม ขึ ้ น ก ว่ า แ ต่ ก่ อ น
เพราะมนุ ษย พ ์ บอาศัย อยู่ ทุ ก ทวี ป ยกเว น ้ แอนตาร ์กติ ก า จึ ง ได ช ้ ่อว่
ื า เป็ น
"สปี ชีส พ ์ บได ท ้ ่วโลก"
ั (cosmopolitan species) จนถึง เดือ นพฤศจิก ายน
่
ค.ศ. 2012 ประชากรมนุ ษย ์ทีกองประชากรสหประชาชาติ ประเมินไว ้อยู่ทราว่ี 7
พันล ้านคน[9]
ม นุ ษ ย ม์ ี ล ั ก ษ ณ ะ พิ เ ศ ษ คื อ มี ส ม อ ง ใ ห ญ่ เ มื่ อ เ ที ย บ กั บ ข น า ด ตั ว
โดยเฉพาะสมองชันนอก ้ สมองส่วนหน้าและสมองกลีบขมับทีพั ่ ฒนาเป็ นอย่างดี
ท า ให ม้ นุ ษ ย ส ์ า ม า รถใ ห ้เ ห ตุ ผ ลเ ชิง นา ม ธร รม ใช ภ ้ า ษ า พิ นิ จภ า ยใ น
(introspection) แก ้ปัญหาและสร ้างสรรค ์วัฒนธรรมผ่านการเรียนรู ้ทางสังคม
ขี ด ค ว า ม ส า ม า ร ถ ท า ง จิ ต ใ จ ข อ ง ม นุ ษ ย ์ นี ้
ประกอบกับการปรบั ตัวมาเคลือนไหวสองเท ่ ่ าใหม้ อ
า้ ซึงท ื ว่างจัดการจับวัตถุได ้
ท าให ม้ นุ ษย ส์ ามารถใช ้อุ ป กรณ์เ ครืองมื ่ อ ได ด้ ีก ว่ า สปี ชีส อ์ ่ืนใดบนโลกมาก
มนุ ษย ์ยังเป็ นสปี ชีส เ์ ดียวเท่า ที่ทราบที่ก่อไฟและทาอาหารเป็ น สวมใส่เสือผ ้ า้
แ ล ะ ส ร ้ า ง ส ร ร ค ์ แ ล ะ ใ ช ้ เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ ศิ ล ป ะ อื่ น ๆ
การศึกษามนุ ษย ์เป็ นสาขาหนึ่ งของวิทยาศาสตร ์ เรียกว่า มานุ ษยวิทยา
่
แนวคิดทางพระพุทธศาสนาทีสอนให้
มนุ ษย ์เห็นความเ
ป็ นจริงของความงาม
เพราะเหตุ ท่ีพระพุ ท ธศาสนามี ห ลัก ค าสอนส าคัญ คื อ ความไม่ เ ที่ ยง
(อนิ จจัง ) ความเป็ นทุ ก ข (์ ทุ ก ขัง ) และความไ ม่ มี ต ัว ตน (อนั ต ตา) ดัง นั้ น
บางคนจึงมีความเข ้าใจผิดว่าพระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาทีสอนให ่ ค้ นมองโลกใ
น แ ง่ ร ้ า ย ( pessimism) เ พ ร า ะ เ ห ตุ นี ้
พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า จึ ง มี ค ว า ม เ กี่ ย ว ข ้ อ ง กั บ เ รื่ อ ง ค ว า ม ง า ม น้ อ ย ม า ก
และเพราะหลักคาสอนของพระพุทธศาสนาบางประการทีสอนให ่ ค้ นสละชีวต ิ ทา
่
งโลก แนวคิด เรืองความงามในพระพุ ท ธศาสนาจึง เลื อ นรางและคลุ ม เครือ
บางคนถึง กับ พู ด ว่า พระพุ ท ธศาสนาประณามความงาม แต่ใ นความเป็ นจริง
คากล่าวเหล่านี ยั ้ งห่างไกลจากความเป็ นจริงและเป็ นการสรุปลงความเห็นแบบผิ
ด ๆ ถ ้ า ศึ ก ษ า ห ลั ก ค า ส อ น ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า อ ย่ า ง ล ะ เ อี ย ด
จ ะ พ บ ว่ า ค ว า ม จ ริ ง ห า ไ ด ้ เ ป็ น ดั ง ค า ก ล่ า ว เ ห ล่ า นั้ น ไ ม่
ดังจะเห็ นได ้ดังต่อไปนี พระพุ้ ทธศาสนาถือว่ามนุ ษย ์สามารถรบั รู ้ความงามไดใ้ น
ภาวะแห่งความเปลียนแปลงพระพุ่ ทธศาสนาถือว่าสิงทั ่ งปวง
้ (ยกเวน ้ นิ พพาน)
ไ ม่ เ ที่ ย ง ( ส พฺ เ พ ส งฺ ข า ร า อ นิ จฺ จ า )
แ ล ะ ค ว า ม ไ ม่ เ ที่ ย ง แ ห่ ง สิ่ ง ทั้ ง ป ว ง นี ้ เ ป็ น ค ว า ม เ ป็ น จ ริ ง แ ท ้ใ น ตั ว มั น เ อ ง
ทรรศนะเรื่องความไม่ เ ที่ ยงอาจจะฟั งดู ค ล า้ ยกับ ความเห็ นว่ า ขา ดสู ญ
( อุ จ เ ฉ ท ทิ ฏ ฐิ ) อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม
่
หลักคาสอนเรืองความไม่ ่
เทียงไม่ ใช่การปฏิเสธโลกมันหมายความเพียงว่าสรร
พ สิ่ ง ย่ อ ม อิ ง อ า ศั ย เ ห ตุ เ กิ ด ขึ ้ น ( ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท )
ไม่ มี อ ะไรมี อ ยู่ อ ย่ า งเที่ ยงแท ส ้ รรพสิ่ ง อยู่ ใ นกระแสแห่ ง กา รเคลื่ อนไ หว
้ อหลักคาสอนว่าด ้วยความเปลียนแปลงและความสื
นี คื ่ บเนื่ อง