You are on page 1of 31

1

แนวทางในการววินวิจฉฉัยและรฉักษาโรคหหืดในผผผู้ปป่วยเดด็กของประเทศไทย
(The Thai National Guideline for Diagnosis and Management of Childhood Asthma)

1. บทนนา
2. การววินวิจฉฉัยและการประเมวินระดฉับความรรุนแรงของโรคหหืด
.
นพ เฉลวิมชฉัย บรุญยะลลีพรรณ

3. แนวทางการรฉักษาโรคหหืดในระยะเฉลียบพลฉัน (Treatment of acute exacerbations)


.
พญ อฉัญชลลี เยหืยื่องศรลีกรุล

4. แนวทางการรฉักษาผผผู้ปป่วยโรคหหืดในระยะเรหืรื้อรฉัง (Chronic therapy for childhood asthma)


.
พญ จวิตลฉัดดา ดลีโรจนน์วงศน์

5. การปผู้ องกฉันโรคหหืด (Prevention of asthma)


.
นพ ไพศาล เลวิศฤดลีพร

บรรณาธวิการ
.
นพ ปกวิต ววิชยานนทน์
2

I บทนนา

การศศึกษาถศึงอฉัตราความชรุกของโรคหหืดในเดด็กทลียื่อาศฉัยอยผป่ในกรรุงเทพมหานครในปลี พ ศ . .2539-40 พบวป่าอฉัตราดฉังกลป่าวเพวิยื่มขศึรื้นจากรผู้ อยละ


4.5 จากการสนารวจในปลี พ.ศ. 2530 ขศึรื้นเปด็ นรผู้ อยละ 13 (อฉัตราการเพวิยื่มมากกวป่า 3 เทป่าตฉัว) การสนารวจโดยใชผู้ ววิธทลี ยื่คลี ลผู้ ายคลศึงกฉันทฉัยื่วประเทศ
(เชลียงใหมป่,เชลียงราย, ขอนแกป่น, นครปฐม) ในระยะเวลาใกลผู้ เคลียงกฉันกด็ใหผู้ ผลการสนารวจทลียื่ใกลผู้ เคลียงกฉัน จศึงทนาใหผู้ คาดประมาณการณน์วป่ามลีประชากรเดด็กใน
ประเทศไทยไมป่นผู้อยกวป่า 1.8 ลผู้ านคนทลียื่เปด็ นโรคหหืดอยผป่ ทนาใหผู้ โรคหหืดเปด็ นโรคเรหืรื้อรฉังทลียื่มลีความสนาคฉัญทลียื่สรุดสนาหรฉับเดด็กไทย ซศึยื่งบฉัยื่นทอนทฉัรื้งสรุขภาพของเดด็ก ทนาใหผู้ เดด็ก
ขาดเรลียนบป่อย พป่อแมป่ตผู้องขาดงาน ทนาใหผู้ เกวิดความสผญเสลียทางดผู้ านเศรษฐกวิจของครอบครฉัวและของประเทศอยป่างมาก ในประเทศสหรฉัฐอเมรวิกามลีการคนานวณความ
1
สผญเสลียทางเศรษฐกวิจ โดยทฉัรื้งทางตรงและทางอผู้ อมของโรคหหืด พบวป่าความสผญเสลียดฉังกลป่าวมลีมผลคป่าสผงถศึง หมหืยื่นลผู้ านเหรลียญสหรฉัฐตป่อปลี
ดผู้ วยเหตรุผลดฉังกลป่าวจศึงไดผู้ มลีความพยายามทลียื่จะจฉัดทนามาตรฐานและแนวทางในการววินวิจฉฉัยและการรฉักษาโรคหหืดขศึรื้นทฉัยื่วโลก เชป่น มาตรฐานจาก
NHLBI จากประเทศสหรฉัฐอเมรวิกา และจากองคน์การอนามฉัยโลก (GINA) ในประเทศไทยไดผู้ มลีการรป่างมาตรฐานการววินวิจฉฉัยและการรฉักษาโรคหหืดในเดด็ก
ขศึรื้นเปด็ นครฉัรื้งแรกในปลี พ .ศ. 2538 โดยความรป่วมมหือระหวป่างสมาคมอรุรรุเวชชน์แหป่งประเทศไทยและสมาคมโรคภผมวิแพผู้ และอวิมมผโนววิทยาแหป่งประเทศไทย ในเดหือน
พฤษภาคม พ.ศ.2541 ภาคววิชากรุมารเวชศาสตรน์ คณะแพทยศาสตรน์ศวิรวิราชพยาบาล เปด็ นเจผู้ าภาพรป่ วมกฉับราชววิทยาลฉัยกรุมารแพทยน์แหป่งประเทศไทย จฉัดการ
ประชรุมกรุมารแพทยน์ทยื่วฉั ประเทศมากกวป่า 400 ทป่าน เพหืยื่อรป่วมพวิจารณาความเหมาะสมของมาตรฐานเดวิมและเพหืยื่อปรฉับปรรุงมาตรฐานดฉังกลป่าวใหผู้ เหมาะสมกฉับการ
รฉักษาโรคหหืดในเดด็กของประเทศไทยในปฉั จจรุบฉัน มาตรฐานและแนวทางทลียื่จฉัดพวิมพน์ขรื้ นศึ ในครฉัรื้งนลีรื้เปด็ นผลสหืบเนหืยื่องมาจากการประชรุมในครฉัรื้งนฉัรื้น และจากการประชรุมใน
กลรุป่มผผผู้เชลียื่ยวชาญการรฉักษาโรคหหืดในเดด็กของราชววิทยาลฉัยกรุมารแพทยน์อลีกหลายครฉัรื้ง (ดผรายชหืยื่อผผผู้รป่วมในการจฉัดทนาแนวทางในตอนทผู้ายบท) ซศึยื่งทนาใหผู้ แนวทางดฉัง
กลป่าวเสรด็จสวิรื้นเปด็ นรผปรป่ างขศึรื้นโดยแบป่งออกเปด็ น 4 ตอน บรรณาธวิการขอขอบพระครุณศ.นพ.มนตรลี ตผผู้จวินดา ศ.พญ.สรุภรลี สรุวรรณจผฑะ และกรรมการของราช
ววิทยาลฉัยกรุมารแพทยน์ทยื่เลี กลียื่ยวขผู้ องในการจฉัดทนาแนวทางนลีรื้ทรุกทป่าน โดยเฉพาะอยป่างยวิยื่งกรรมการทฉัรื้ง 4 ทป่านทลียื่รฉับหนผู้ าทลียื่เปด็ นผผผู้เขลียนรวบรวมขผู้ อสรรุปในแตป่ละตอนไวผู้ ณ ทลียื่
นลีรื้ดผู้วย
3
เนหืยื่องจากโรคหหืดเปด็ นโรคเรหืรื้อรฉังซศึยื่งมลีความรรุนแรงของโรคแตกตป่างกฉันออกไปในผผผู้ปป่วยแตป่ละคน ผลของการรฉักษาจศึงอาจจะแตกตป่างออกไปในผผผู้ปป่วย
แตป่ละคนเชป่ นเดลียวกฉัน อยป่างไรกด็ดลีเปด็ นทลียื่ยอมรฉับกฉันวป่า จรุดมรุป่งหมายของการรฉักษาโรคหหืด (goal of therapy) นฉัรื้นควรจะประกอบดผู้ วย
1. การควบครุมอาการของใหผู้ เกวิดขศึรื้นนผู้ อยทลียื่สดรุ เทป่าทลียื่จะทนาไดผู้
2. การรฉักษาทลียื่จะทนาใหผู้ การทนางานของปอดกลฉับเขผู้ าอยผป่ในสภาวะทลียื่ปกตวิทยื่สลี รุดเทป่าทลียื่จะทนาไดผู้
3. (
ใหผู้ ผผู้ ผปป่วยสามารถรป่วมกวิจกรรมประจนาวฉันทลียื่ปกตวิทยื่สลี ดรุ เทป่าทลียื่จะทนาไดผู้ รวมถศึงการออกกนาลฉังกาย )
4. การปผู้ องกฉันการจฉับหหืดเฉลียบพลฉัน เพหืยื่อลดความจนาเปด็ นทลียื่ผผู้ ผปป่วยจะตผู้ องเขผู้ ารฉับการรฉักษาตฉัวทลียื่หผู้องฉรุกเฉวินและในโรงพยาบาล
5. การใชผู้ ยาในการรฉักษาทลียื่เหมาะสมกฉับระดฉับอาการของผผผู้ปป่วยแตป่ละคน โดยเกวิดผลขผู้ างเคลียงจากยานผู้ อยทลียื่สดรุ เทป่าทลียื่จะทนาไดผู้
6. การรฉักษาทลียื่ใหผู้ ผลเปด็ นทลียื่พอใจของผผผู้ปป่วยและครอบครฉัว
โดยในปฉัจจรุบฉันหลฉักเกณฑน์ในการรฉักษาโรคหหืด ซศึยื่งคลผู้ ายกฉับการรฉักษาโรคเรหืรื้อรฉังทฉัยื่วไปประกอบโดยดผู้ วยการรฉักษา 6 ขฉัรื้นตอนอฉันไดผู้ แกป่
1. /
การใหผู้ ความรผผู้แกป่ผผู้ ผปป่วยเพหืยื่อทลียื่จะนนามาซศึยื่งความรป่วมมหือในการรฉักษาโรคระหวป่างแพทยน์ พยาบาล กฉับผผผู้ปป่วยและครอบครฉัว (educate
patient and establish partnership)
2. การประเมวินและการจฉัดขฉัรื้นความรรุนแรงของโรคดผู้ วยอาการของโรค และการวฉัดการทนางานของปอด (assessment of asthma
severity)
3. (avoidance and control of triggers)
การหลลีกเลลียื่ยงและการควบครุมสวิยื่งกระตรุผู้นทลียื่จะทนาใหผู้ เกวิดอาการของโรค
4. การวางแผนและจฉัดการรฉักษาโดยทางยาทลียื่เหมาะสมในการรฉักษาระยะยาว (establish medication plans for long-
term management)
5. การวางแผนการรฉักษาการจฉับหหืดเฉลียบพลฉัน (establish plans for managing exacerbations)
6. การตวิดตามการรฉักษาผผผู้ปป่วยเปด็ นระยะๆ อยป่างสมนยื่าเสมอ (provide regular follow-up care)
เพหืยื่อทลียื่จะบรรลรุจรุดประสงคน์ดฉังกลป่าว ทางคณะผผผู้จฉัดทนามาตรฐานการรฉักษาจศึงแบป่งแนวทางการววินวิจฉฉัยและการรฉักษาโรคหหืดในเดด็กออกเปด็ น 4 บท และ
หวฉังวป่าแนวทางทลียื่จฉัดทนาขศึรื้นนลีรื้จะมลีประโยชนน์แกป่กรุมารแพทยน์ในประเทศไทยทลียื่กาน ลฉังรฉักษาผผผู้ปป่วยเหลป่านลีรื้อยผป่
4

II การววินวิจฉฉัยและการประเมวินความรรุนแรงของโรคหหืด
นวิยามของโรคหหืด
โรคหหืดเปด็ นโรคทลียื่มลีคาน นวิยามอฉันประกอบดผู้ วย
1. Airway inflammation
2. Increased airway responsiveness to a variety of stimuli
3. Reversible or partial reversible airway obstruction
เกณฑน์ในการววินวิจฉฉัยโรคหหืด มลีดฉังนลีรื้
1. มลีภาวะการอรุดกฉัรื้นของหลอดลม
2. ภาวะการอรุดกฉัรื้นของหลอดลมดฉังกลป่าวอาจจะหายไปไดผู้ หรหือดลีขรื้ ศึนเอง หรหือหลฉังจากไดผู้ รฉับการรฉักษา (reversible airway
obstruction)
3.ไดผู้ ววินวิจฉฉัยแยกโรคอหืยื่นๆ ทลียื่เปด็ นสาเหตรุของการอรุดกฉัรื้นของทางเดวินระบบหายใจอหืยื่นๆ ออกไปแลผู้ ว
การววินวิจฉฉัยโรคหหืดในเดด็ก
1. ประวฉัตวิ มลีอาการไอ หอบ เหนหืยื่อย แนป่นหนผู้ าอก หรหือหายใจมลีเสลียงวลีรื้ด (wheeze) โดย
1.1 เปด็ นซนารื้ หลาย ๆ ครฉัรื้ง มฉักจะเกวิดขศึรื้นในเวลากลางคหืนหรหือเชผู้ าตรผป่ อาการดลีขรื้ ศึนไดผู้ เองหรหือหลฉังจากไดผู้ รฉับการรฉักษาดผู้ วยยาขยายหลอดลม
1.2 มฉักจะเกวิดขศึรื้นตามหลฉังการตวิดเชหืรื้อของระบบทางเดวินหายใจ การออกกนาลฉังกาย หลฉังจากกระทบกฉับสารระคายเคหือง เชป่น สารเคมลี มลภาวะ
ทางอากาศทลียื่เปด็ นพวิษ ควฉันบรุหรลียื่ การเปลลียื่ยนแปลงทางอารมณน์ การเปลลียื่ยนแปลงของอากาศ และมฉักจะเกวิดขศึรื้นตามหลฉังการสฉัมผฉัสสารกป่อ
ภผมวิแพผู้ (allergen) เชป่น ไรฝรุป่ น ละอองเกสรหญผู้ า เชหืรื้อรา สฉัตวน์เลลีรื้ยง ฯลฯ
1.3 มฉักจะมลีอาการของโรคภผมวิแพผู้ อยื่ หืนๆ รป่วมดผู้ วย เชป่น ผหืยื่นผวิวหนฉังอฉักเสบจากภผมวิแพผู้ (atopic dermatitis) เยหืยื่อบรุจมผกอฉักเสบจาก
ภผมวิแพผู้ (allergic rhinitis) แพผู้ อาหาร (food allergy) และมฉักจะมลีประวฉัตวิโรคภผมวิแพผู้ ในครอบครฉัว
2. การตรวจรป่างกาย
2.1 (wheeze) โดยเฉพาะอยป่างยวิยื่งตอนหายใจเขผู้ าหรหือหายใจออกแรง ๆ (forced
ไอ เหนหืยื่อยหอบ หายใจลนาบาก หายใจมลีเสลียงวลีรื้ด
inspiratory/expiratory wheeze)
2.2 หนผู้ าอกโปป่ ง ถผู้ าเปด็ นเรหืรื้อรฉังมานาน (increased A-P diameter)
2.3 มลีอาการแสดงของโรคภผมวิแพผู้ อยื่นหื ๆ ไดผู้ แกป่ อาการของ allergic rhinitis, allergic conjunctivitis หรหือ atopic
dermatitis
ในขณะทลียื่ผผู้ ผปป่วยไมป่มลีอาการ การตรวจรป่างกายอาจจะอยผป่ในสภาวะปกตวิทรื้งฉั หมด ทนาใหผู้ การววินวิจฉฉัยทนาไดผู้ ยาก อยป่างไรกด็ดลีผผู้ ผปป่วยมฉักจะมาพบแพทยน์เมหืยื่อมลี
อาการ ซศึยื่งจะทนาใหผู้ สามารถววินวิจฉฉัยไดผู้ งป่ายขศึรื้น

ขผู้ อควรคนานศึง
ในเดด็กอายรุตยื่าน กวป่า 5
recurrent wheezing (  3 ครฉัรื้งขศึรื้นไป) ควรคนานศึงถศึง asthma ดผู้ วย โดยเฉพาะในกรณลีทยื่มลี ลี
ปลี ทลียื่มลี
atopic background และตผู้ องววินวิจฉฉัยแยกโรคออกจากโรคทลียื่มลี wheeze อหืยื่นๆ สป่วนในกรณลีทยื่ไลี มป่มลี atopic background และมลี
wheeze เกวิดตามหลฉัง bronchiolitis หรหือการตวิดเชหืรื้อของทางเดวินหายใจสป่วนลป่าง อาการ wheeze อาจจะหายไปเองไดผู้ เมหืยื่ออายรุมากขศึรื้น
3. การตรวจพวิเศษเพหืยื่อสนฉับสนรุนการววินวิจฉฉัย
3.1 การตรวจภาพรฉังสลีทางทรวงอก (chest X-ray) ไมป่จาน เปด็ นตผู้ องทนาทรุกครฉัรื้ง แตป่จะมลีประโยชนน์ในกรณลีดฉังตป่อไปนลีรื้
5

1 เมหืยื่อไดผู้ รฉับการววินวิจฉฉัยวป่าเปด็ นโรคหหืดครฉัรื้งแรก


2 เมหืยื่อผผผู้ปป่วยไมป่ตอบสนองตป่อการรฉักษา
3 เมหืยื่อสงสฉัยวป่าผผผู้ปป่วยเปด็ นโรคอหืยื่น เชป่น โรคปอดอฉักเสบ หรหือ วฉัณโรค เปด็ นตผู้ น
4 เมหืยื่อตผู้ องการววินวิจฉฉัยภาวะแทรกซผู้ อนของโรคหหืด เชป่น pneumothorax, atelectasis
3.2 การวฉัดสมรรถภาพการทนางานของปอด (pulmonary function test)
1 เพหืยื่อดผวป่าภาวะการอรุดกฉัรื้นของหลอดลมดลีขรื้ ศึนไดผู้ หลฉังจากไดผู้ รฉับยาขยายหลอดลมหรหือไมป่ (reversible airway
obstruction) ซศึยื่งในผผผู้ปป่วยโรคหหืดควรจะมลีคป่าของ FEV1 (forced expiratory volume at 1 second) ในกรณลีทยื่วลี ฉัดดผู้ วย
spirometer หรหือคป่า PEF (peak expiratory flow) เพวิยื่มมากกวป่ารผู้ อยละ 15 หลฉังไดผู้ รฉับการรฉักษาดผู้ วยยาขยายหลอดลมแลผู้ ว
2 เพหืยื่อดผคป่า peak flow variability (ความผฉันผวน) โดยการวฉัดดผู้ วย peak flow meter ซศึยื่งถผู้ าคป่าดฉังกลป่าวมลีคป่า
มากกวป่ารผู้ อยละ 20 จะชป่วยสนฉับสนรุ นการววินวิจฉฉัยโรคหหืด

Peak flow variability = PEFmax - PEFmin x 100%


1/2 (PEFmax + PEFmin)

3.3 การตรวจเพหืยื่อหาภาวะภผมวิแพผู้ เชป่น การตรวจภผมวิแพผู้ ทางผวิวหนฉัง (allergy skin prick test) เนหืยื่องดผู้ วยผผผู้ปป่วยโรคหหืดในเดด็กเปด็ น
จนานวนมาก (มากกวป่ารผู้ อยละ 70) จะมลีสภาวะแพผู้ (atopic status) รป่วมดผู้ วย การตรวจพบวป่าผผผู้ปป่วยแพผู้ ตป่อสารกป่อภผมวิแพผู้ โดยเฉพาะอยป่างยวิยื่งถผู้ าแพผู้
มากๆ (ปฏวิกวิรวิยาการแพผู้ ทยื่ทลี าน การทดสอบผวิวหนฉังมลีขนาดใหญป่ ๆ) อาจชป่วยสนฉับสนรุ นการววินวิจฉฉัยโรคหหืด รวมทฉัรื้งเปด็ นการหาสาเหตรุจากภผมวิแพผู้ ในผผผู้ปป่วยนฉัรื้น ๆ ไดผู้
ดผู้ วย
3.4 การตรวจความไวของหลอดลมตป่อ methacholine หรหือ histamine หรหือตป่อการออกกนาลฉังกาย
(bronchoprovocation test)
การววินวิจฉฉัยแยกโรค
1. การตวิดเชหืรื้อในทางเดวินหายใจ เชป่น ไขผู้ หวฉัด หลอดลมอฉักเสบ ปอดอฉักเสบ วฉัณโรค ฯลฯ
2. ภาวะอรุดกฉัรื้นทางเดวินหายใจขนาดใหญป่ เชป่น croup, foreign body, vascular ring ฯลฯ
3. ภาวะอรุดกฉัรื้นทางเดวินหายใจขนาดเลด็ก เชป่น BPD (bronchopulmonary dysplasia) ฯลฯ
3. ภาวะอหืยื่นๆ เชป่น gastroesophageal reflux (GER), congestive heart failure ฯลฯ

การแบป่งระดฉับความรรุนแรงของโรคหหืด (Classification of asthma by severity)


แนวทางการรฉักษาโรคหหืดขององคน์การอนามฉัยโลกรป่วมกฉับ NHLBI (National Heart Lung and Blood Institute)
ของประเทศสหรฉัฐอเมรวิกา ไดผู้ แบป่งระดฉับความรรุนแรงของโรคออกเปด็ น 4 ระดฉับ ไดผู้ แกป่ ระดฉับมลีอาการเปด็ นครฉัรื้งคราว (intermittent), ระดฉับมลีอาการนผู้ อย
(mild persistent), ระดฉับปานกลาง (moderate persistent) และระดฉับรรุนแรง (severe persistent) คณะทนางานเพหืยื่อจฉัดทนา
รป่างแนวทางการรฉักษาโรคหหืดในเดด็กไทยเหด็นพผู้ องตผู้ องกฉันวป่า การแบป่งระดฉับความรรุนแรงในเดด็กไทยควรจะเปด็ นไปตาม guideline ดฉังกลป่าวเพหืยื่อใหผู้ ไดผู้ มาตรฐาน
สากล และสะดวกตป่อการรฉักษาโดยทฉัยื่วไป (ตารางทลียื่ 1)

ตารางทลียื่ 1 การจนาแนกความรรุนแรงของโรคหหืด (Classification of asthma severity)


ขฉัรื้นทลียื่ 4 : โรคหหืดระดฉับรรุนแรงมาก (Severe persistent)
6
อาการแสดงกป่อนการรฉักษา
 อาการหอบตลอดเวลา
 อาการกนาเรวิบ (Exacerbation) บป่อยมาก
 อาการหอบตอนกลางคหืนบป่อยมาก
 กวิจกรรมตป่าง ๆ ของผผผู้ปป่วยถผกจนากฉัดดผู้ วยอาการหอบ
 PEF หรหือ FEV 1
60% ของคป่ามาตรฐาน
ความผฉันผวน > 30%

ขฉันรื้ ทลียื่ 3 : โรคหหืดระดฉับรรุนแรงปานกลาง (Moderate persistent)


อาการแสดงกป่อนการรฉักษา
 อาการหอบทรุกวฉัน
 อาการกนาเรวิบ (Exacerbation) มลีผลตป่อการทนากวิจกรรมและการนอนของผผผู้ปป่วย
 อาการหอบตอนกลางคหืนมากกวป่า 1 ครฉัรื้งตป่อสฉัปดาหน์
 ใชผู้  2- agonist ชนวิดสผดออกฤทธวิธสรื้นฉั ทรุกวฉัน
 PEF หรหือ FEV1
>60% - <80% ของคป่ามาตรฐาน
ความผฉันผวน >30%

ขฉัรื้นทลียื่ 2 : โรคหหืดระดฉับรรุนแรงนผู้ อย (mild persistent)


อาการแสดงกป่อนการรฉักษา
 อาการหอบมากกวป่า 1 ครฉัรื้งตป่อสฉัปดาหน์ แตป่ไมป่ไดผู้ เปด็ นทรุกวฉัน
 อาการกนาเรวิบ (Exacerbation) อาจมลีผลตป่อการทนา
กวิจกรรมและการนอน
 จนานวนครฉัรื้งของการหอบในเวลากลางคหืน
มากกวป่า 2 ครฉัรื้งตป่อเดหือน
 PEF หรหือ FEV1
80% ของคป่ามาตรฐาน
ความผฉันผวน 20-30%

ขฉัรื้นทลียื่ 1: โรคหหืดระดฉับมลีอาการเปด็ นครฉัรื้งคราว (Intermittent)


อาการแสดงกป่อนการรฉักษา
 อาการหอบนผู้ อยกวป่าสฉัปดาหน์ละ 1 ครฉัรื้ง
III การรฉักษาโรคหหื  ดในระยะเฉลี (Treatment of acute asthmatic attacks)
อาการกนายเรวิบพลฉั บ (Exacerbation)
น ชป่วงสฉัรื้น ๆ
 จน า นวนครฉั รื้ งของการหอบในเวลากลางคหื น
หลฉักการรฉักษาทลียื่สาน คฉัญ ประกอบดผู้ วย
ตนยื่ากวป่า 2 ครฉัรื้งตป่อเดหือน
1. การใหผู้ การรฉักษาในระยะเรวิ
 ชป่วงทลียื่มไยื่ มป่แรก เพหืยื่อทลียื่จะใหผู้
มลี exacerbation จะไมป่ไดผู้มผอลี ลดลี และเรด็ว ดฉังนฉัรื้นควรใหผู้ คาน แนะนนาแกป่ผผู้ ผปป่วยหรหือผผผู้ปกครองใหผู้ ทราบถศึงอาการและอาการแสดงของภาวะ
าการและสมรรถภาพปอดปกตวิ
PEF หรหื อ FEV
asthma exacerbations 
80% ของคป่ามาตรฐาน
1
และววิธปลี ฏวิบฉัตวิเมหืยื่อเกวิดภาวะดฉังกลป่าว
2. ประเมวินความรรุนแรงของภาวะ asthma exacerbations
ความผฉันผวน <20% , ใหผู้ ถผกตผู้ อง โดยพวิจารณาจากอาการ อาการแสดง และจากการตรวจวฉัดสมรรถภาพปอด
เชป่น FEV1, PEFR ในกรณลีทยื่ทลี าน ไดผู้
3. ววิธกลี ารรฉักษา asthma exacerbations ประกอบดผู้ วย
- การใหผู้ inhaled 2-agonist
- การใหผู้ systemic corticosteroids ในกรณลีทยื่มลี ลีภาวะ exacerbations ทลียื่รรุนแรง
- การใหผู้ ยาอหืยื่นๆ เชป่น theophylline, anticholinergic drug ฯลฯ
- การใหผู้ oxygen ในรายทลียื่มลี exacerbations ทลียื่รรุนแรง
4. มลีการประเมวินตวิดตามอาการหลฉังการใหผู้ การรฉักษาเปด็ นระยะ ๆ
7

แนวทางและขฉัรื้นตอนการรฉักษา asthma exacerbations


1. การประเมวินความรรุนแรงของ asthma exacerbations
ความรรุนแรงของภาวะ exacerbations เปด็ นตฉัวกนาหนดววิธกลี ารรฉักษาวป่าควรจะใหผู้ การรฉักษามากนผู้ อยเทป่าใด การประเมวินทนาไดผู้ จากการประเมวิน
อาการและอาการแสดงของผผผู้ปป่วย รวมทฉัรื้งการตรวจวฉัดสมรรถภาพปอด ตามหฉัวขผู้ อดฉังตารางทลียื่ 2 โดยใชผู้ ขผู้อมผลตป่างๆ เขผู้ ามาประกอบกฉัน
8

ตารางทลียื่ 2 การประเมวินความรรุนแรงของ asthma exacerbations


กนาลฉังเขผู้ าสผป่ภาวะ
Mild Moderate Severe Respiratory arrest
อาการ (Symptoms)
หายใจลนาบาก ขณะเดวิน ขณะพผด ขณะพฉัก
ทป่านอน นอนราบไดผู้ ตผู้ องนอนยกหฉัวสผง นฉัยื่ง, นอนราบไมป่ไดผู้
การพผด ปกตวิ เปด็ นประโยคสฉัรื้น ๆ เปด็ นคนา ๆ
สตวิสฉัมปชฉัญญะ อาจจะกระสฉับกระสป่าย กระสฉับกระสป่าย กระสฉับกระสป่าย ซศึมหรหือสฉับสน

อาการแสดง (Signs)
อฉัตราการหายใจ เพวิยื่มขศึรื้น เพวิยื่มขศึรื้น เพวิยื่มขศึรื้นมาก
อฉัตราการหายใจในเดด็กขศึรื้นกฉับอายรุดฉังนลีรื้
อายรุ อฉัตราปกตวิ
< 2 เดหือน < 60 ครฉัรื้ง/นาทลี
2 – 12 เดหือน < 50 ครฉัรื้ง/นาทลี
1 – 5 ปลี < 40 ครฉัรื้ง/นาทลี
6 – 8 ปลี < 30 ครฉัรื้ง/นาทลี
การใชผู้ กลผู้ ามเนหืรื้อชป่วยเพวิยื่ม ไมป่มลี มลี มลีมาก มลีการเคลหืยื่อนตฉัวของทรวงอก
แรงหายใจ และหนผู้ าทผู้ องไมป่สฉัมพฉันธน์กฉัน
เสลียง wheeze เสลียงดฉังพอควร เสลียงดฉังและมฉักไดผู้ ยวินตลอดชป่ วง เสลียงดฉังและไดผู้ ยวินทฉัรื้งในขณะ ไมป่ไดผู้ ยวินเสลียง wheeze
เวลาหายใจออก หายใจเขผู้ าและหายใจออก
ชลีพจร (ครฉัรื้ง/นาทลี) < 100 100 – 120 > 120 หฉัวใจเตผู้ นชผู้ า
อฉัตราเตผู้ นของชลีพจรในเดด็กขศึรื้นกฉับอายรุดฉังนลีรื้
อายรุ อฉัตราปกตวิ
2 – 12 เดหือน < 160 ครฉัรื้ง/นาทลี
1 – 2 ปลี < 120 ครฉัรื้ง/นาทลี
2 – 8 ปลี < 110 ครฉัรื้ง/นาทลี
Pulsus paradoxus ไมป่มลี อาจมลีไดผู้ มฉักจะมลี > 25 mm Hg ใน
(< 10 mm Hg) (10–25 mm Hg) ผผผู้ใหญป่ และ 20–40 mm Hg
ในเดด็ก

การตรวจพวิเศษ
(Functional Assessment)
PEF > 80% ประมาณ 50–80% < 50% มลีคป่าตนยื่ามากหรหือวฉัดไมป่ไดผู้ เลย
% predicted or
% personal best
PaO2 (on air) ปกตวิ > 60 mm Hg < 60 mm Hg
PaCO2 < 42 mm Hg < 42 mm Hg > 42 mm Hg
SaO2% (on air) > 95% 91 – 95% < 91%

2. asthma exacerbations
การใหผู้ การรฉักษาเรวิยื่มตผู้ นทลียื่บผู้านในภาวะทลียื่เกวิด
ใหผู้ คาน แนะนนาและจฉัดแผนการรฉักษาแกป่ผผู้ ผปป่วยใหผู้ ทราบถศึงววิธกลี ารดผแลรฉักษา โดยเฉพาะในระยะเรวิยื่มตผู้ น รวมทฉัรื้งววิธกลี ารตวิดตามอาการ การตวิดตป่อแพทยน์
inhaled 2-agonist และประเมวินผลการรฉักษา ความรลีบดป่วนทลียื่จะตผู้ องพบแพทยน์ขรื้ ศึนอยผป่กฉับความ
เพหืยื่อรฉับการดผแลรฉักษาตป่อไป หลฉักการสนาคฉัญคหือการใหผู้
รรุนแรงและการตอบสนองตป่อการรฉักษา ดฉังขผู้ อแนะนนาตามแผนภผมวิทยื่ลี 1
9

แผนภผมวิทยื่ลี 1 การปฏวิบฉัตวิตนของผผผู้ปป่วยในภาวะทลียื่เกวิด asthma exacerbations ทลียื่บผู้าน

ประเมวินความรรุนแรงของภาวะหอบหหืดเฉลียบพลฉัน
,
นฉับอฉัตราการหายใจ สฉังเกตรุลฉักษณะการบรุบุ๋มของทรวงอก
(
และฟฉั งเสลียงวลีรื้ด ในกรณลีทยื่มลี ลี peak flow meter ใหผู้ วฉัด PEF)

ใหผู้ Inhaled short-acting 2–agonists โดยววิธลี MDI*


2 puffs ซนารื้ ไดผู้ 3 ครฉัรื้ง โดยใหผู้ หป่างกฉัน 20 นาทลี

อาการดลีขรื้ ศึนจนเปด็ นปกตวิ อาการดลีขรื้ ศึนแตป่ยฉังไมป่กลฉับ อาการไมป่ดลีขรื้ นศึ


- ใหผู้ 2-agonists เปด็ นปกตวิหรหือมลีอาการหอบ - ใหผู้ 2-agonists ซนารื้ ทฉันทลี
ทรุก 4 – 6 ชม. ตป่อประมาณ กลฉับมาอลีกภายใน 3 ชฉัยื่วโมง
24 – 48 ชม. - ใหผู้ ใชผู้ 2-agonists ซนารื้
- ในผผผู้ปป่วยทลียื่ใชผู้ inhaled steroids ใหผู้
เพวิยื่ม dose เปด็ น ไดผู้ ทรุก 2 ชม.
2 เทป่าประมาณ 7 – 10 วฉัน

นฉัดพบแพทยน์เพหืยื่อตวิดตาม พบแพทยน์เพหืยื่อรฉับการรฉักษา รลีบไปโรงพยาบาลทฉันทลีรฉับการ


การรฉักษาตป่อไป ภายในวฉันนฉัรื้น รฉักษาทลียื่หผู้องฉรุกเฉวิน

*ในกรณลีทยื่ไลี มป่มลี MDI อาจพวิจารณาใชผู้ ชนวิดกวิน แตป่ขผู้อควรระวฉังคหือยาจะออกฤทธวิธชผู้ากวป่าชนวิด MDI ถผู้ าอาการไมป่ดลีขรื้ ศึนใน 1 ชฉัยื่วโมง หรหือมลีอาการเลวลงใหผู้ รลีบ
ปรศึกษาแพทยน์

3. การใหผู้ การรฉักษาasthma exacerbations ทลียื่โรงพยาบาล


ในกรณลีทยื่ผลี ผู้ ผปป่วยเกวิดภาวะ exacerbations ทลียื่รรุนแรงและตผู้ องเขผู้ ารฉับการรฉักษาตฉัวในโรงพยาบาล แนะนนาใหผู้ รฉักษาตามขฉัรื้นตอนดผู้ วยการประเมวิน
ความรรุนแรงขฉัรื้นตผู้ น การใหผู้ การรฉักษาระยะแรก และประเมวินดผการตอบสนองตป่อการรฉักษาและจฉัดการดผแลทลียื่เหมาะสมตป่อไป ทนาตามขฉัรื้นตอนดฉังในแผนภผมวิทยื่ลี 2
การดผแลรฉักษาประกอบดผู้ วย
แผนภผมวิทยื่ลี 2 การดผแลรฉักษา asthma exacerbations ในโรงพยาบาล (หผู้ องฉรุกเฉวิน) 10

ประเมมินความรรุ นแรง
ประววัตมิ, อาการ, อาการแสดง, อวัตราการหายใจ, ชชีพจร
ตรวจววัด SaO2, PEFR, EFV1

ใหห้การรวักษาเรมิร มตห้นดห้วย
Inhaled short-acting 2-agonist ทรุก 20 นาทชี เปป็ นจจานวน 3 doses
ใหห้ oxygen เพพรอใหห้ SaO2 > 95%
ใหห้ systemic corticosteroid ในรายทชีรไมม่ดชีขข นในทวันทชี

ประเมมินซจขา
อาการ, อาการแสดง
SaO2, PEFR, FEV1

อาการรรุ นแรงปานกลาง อาการรรุ นแรงมาก


ใหห้ inhaled short-acting 2-agonist ซจขาทรุกชวัวร โมง ใหห้ inhaled short-acting 2-agonist ซจขาทรุก 1 ชวัวร โมง หรพ อใหห้แบบ
ใหห้ systemic corticosteroid continuous nebulization รม่ วมกวับ inhaled anticholinergic
ใหห้การรวักษาตม่อไปนาน 1-3 ชวัวร โมง ใหห้ oxygen
ใหห้ systemic corticosteroid ในรายทชีรไมม่ดชีขข นในทวันทชี

อาการดชีขข นเปป็ นปกตมิ อาการดชีขข นบห้าง อาการไมม่ดชีขข น


หายใจดชี , ไมม่มชี distress ยวังมชีอาการหอบ หอบรรุ นแรง
SaO2 > 95% SaO2 < 95% PEF < 30%
PEF > 70% PEF 50% - 70% PCO2 > 45 mm Hg
SaO2 < 90%
PaO2 < 60 mm Hg

Discharge ผผปห้ ม่ วย รวับไวห้ในโรงพยาบาล intensive care


รวับผผปห้ ม่ วยไวห้ใน
ใหห้ใชห้ inhaled 2-agonist ตม่อ พมิจารณาใหห้ ใหห้ inhaled 2-agonist ใหห้ inhaled 2-agonist
systemic corticosteroid ตม่อทชีรบาห้ นเปป็ น ใหห้ oxygen ใหห้ systemic corticosteroid
ใหห้ oxygen
short course ใหห้ systemic corticosteroid พมิจารณาใหห้ systemic 2-agonist: SC, IV,
ใหห้ความรผห้ผปผห้ ม่ วยในการดผแลรวักษา อาจใหห้ anticholinergic รม่ วมดห้วย IM
นวัดผผปห้ ม่ วยเพพรอตมิดตามการรวักษา อาจพมิจารณาใหห้ theophylline พมิจารณาใหห้ continuous 2-agonist และ/หรพ อ
IV theophylline
อาจใหห้ anticholinergic รม่ วมดห้วย
อาจตห้องใชห้เครพร องชม่วยหายใจ ถห้าไมม่ดชีขข น

ดชีขข น ไมม่ดชีขข น
11

– Oxygen
– Bronchodilators: 2-agonist, anticholinergics, adrenaline
– Corticosteroids
– Other treatments: เชป่น theophylline เปด็ นตผู้ น
Oxygen
– แนะนนาใหผู้ ใชผู้ oxygen ในรายทลียื่มลี hypoxemia หรหือคป่า FEV1 หรหือ PEFR < 50% ของ predicted value,
โดยรฉักษาระดฉับ SaO2 > 95%

– ใหผู้ oxygen ทาง nasal cannula หรหือ face mask


– ในกรณลีทยื่ไลี มป่สามารถตรวจวฉัด SaO2 พวิจารณาใหผู้ oxygen ไดผู้ เลย
– ใหผู้ ใชผู้ ความชหืรื้น (humidification) รป่วมดผู้ วย แตป่ไมป่แนะนนาใหผู้ ใชผู้ water nebulizer
 2 - Agonists
– แนะนนาใหผู้ inhaled short-acting 2 - agonists ในผผผู้ปป่วยทรุกราย ขนาดของยาและววิธกลี ารบรวิหารแสดงไวผู้ ในตารางทลียื่ 3
การใหผู้ ยากลรุป่มนลีรื้สามารถใหผู้ ไดผู้ หลายรผปแบบโดยมลีหลฉักการประกอบดฉังนลีรื้
Nebulizers
– 3 doses ตวิดตป่อกฉันระยะหป่าง 20 - 30 นาทลี ในชฉัยื่วโมงแรก หลฉังจากนฉัรื้นพวิจารณาใหผู้ โดยประเมวินจาก
สามารถใหผู้ ไดผู้ ถศึง
ลฉักษณะทางคลวินวิก , การเปลลียื่ยนแปลงของ airflow obstruction จาก wheezing และ/หรหือ PEFR รวมทฉัรื้งผล
ขผู้ างเคลียงจากยา
– nebulization flow โดยใชผู้ oxygen flow ทลียื่ 6-8 L/min
พวิจารณาใหผู้

– ในรายทลียื่อาการไมป่ดลีขรื้ ศึน พบวป่าการใหผู้ แบบ continuous nebulization อาจใหผู้ ผลการรฉักษาทลียื่ดลีและปลอดภฉัยในเดด็ก

Metered-dose inhaler (MDI) with spacer


– พบวป่า MDI with spacer ในขนาดยาทลียื่สผง (6-12 puffs) ใหผู้ ผล bronchodilatation เทป่ากฉับการใชผู้
nebulizers
Injection
– ในผผผู้ปป่วยทลียื่มลี severe bronchospasm บางครฉัรื้งการใชผู้ ยาพป่นอาจจะไมป่ไดผู้ ผล แนะนนาใหผู้ ใชผู้ terbutaline หรหือ
salbutamol ฉลีดใตผู้ ผวิวหนฉังแทน (subcutaneous) ขนาดยาทลียื่ใชผู้ เทป่ากฉับ 0.01 mg/kg/dose ขนาดสผงสรุด
0.3 mg
12

ตารางทลียื่ 3 ขนาดของยาและววิธกลี ารใหผู้ ยา 2 -agonist ในภาวะ asthma exacerbations


ชหืยื่อของยา ขนาดของยา ขผู้ อแนะนนา
Inhaled short – acting 2-gonist.
- Salbutamol nebulizer solution 0.05-0.15 mg/kg/dose (maximum แนะนนาใหผู้ ใชผู้ เฉพาะ selective 2-agonist การ
dose 2.5 mg) ทรุก 20 นาทลี ใหผู้ 3 doses ตป่อ ผสมยาใน normal saline ใหผู้ ไดผู้ ปรวิมาณ 2.5 –
จากนฉัรื้นใหผู้ 0.15 - 0.3 mg/kg ทรุก 1-4 4 mL เพหืยื่อชป่วยใหผู้ ยาเปด็ นฝอยละอองไดผู้ ดลี และควรใชผู้
ชฉัยื่วโมงตามความจนาเปด็ น gas flow ทลียื่ 6-8 L/min
หรหือ 0.5 mg/kg/hour โดยววิธลี continuous
nebulization
- Salbutamol MDI 4-8 puffs ทรุก 20 นาทลี ใหผู้ ไดผู้ 3 doses, จากนฉัรื้น ไดผู้ ผลดลีเทป่ากฉับววิธลี nebulizer ถผู้ าผผผู้ปป่วยไมป่สามารถสผด
(100 mg/puff) ทรุก 1-4 ชฉัยื่วโมงตามตผู้ องการ ไดผู้ ถผกววิธลี ควรจะใชผู้ spacer รป่วมดผู้ วย
Systemic (injected) 2-agonists 0.01 mg/kg subcutaneous (ขนาดสผงสรุด ไมป่ไดผู้ ผลดลีไปกวป่าววิธลี aerosol therapy
- Terbutaline dose 0.3 mg) ทรุก 20 นาทลีใหผู้ ไดผู้ 3 doses
จากนฉัรื้นทรุก 2-6 ชฉัยื่วโมงตามตผู้ องการ

Epinephrine
– anaphylaxis หรหือ angioedema
แนะนนาใหผู้ ใชผู้ ในผผผู้ปป่วยทลียื่มลีอาการจาก


พวิจารณาใชผู้ ในผผผู้ปป่วย asthma ในกรณลีทยื่ไลี มป่มลี 2-agonist ทฉัรื้งแบบพป่ นและฉลีด


ขนาดทลียื่ใชผู้ ในเดด็กคหือ epinephrine 0.01 mg/kg หรหือ 0.01 ml/kg ของ 1:1,000 (1 mg/ml) ขนาด
สผงสรุด 0.5 mL ใหผู้ subcutaneous ทรุก 20 นาทลีใหผู้ ไดผู้ 3 doses
Anticholinergics
– เลหือกใชผู้ ในผผผู้ปป่วยทลียื่ไมป่ตอบสนองตป่อ inhaled 2-agonists ไมป่ควรใชผู้ เปด็ น first line drug ในการรฉักษา acute
exacerbation
– การใหผู้ ipratropium bromide ในเดด็กรป่วมกฉับ inhaled 2-agonists ชป่วยเสรวิมฤทธวิธ bronchodilator
effect โดยเฉพาะในกลรุป่ม severe airflow obstruction
ยาในกลรุป่มนลีรื้อยผป่ในรผปยาเดลียื่ยว (Ipratropium bromide -Atrovent) หรหือผสมกฉับ Beta2-agonist เชป่น
Berodual (รป่วมกฉับ fenoterol) หรหือ Combivent (รป่วมกฉับ salbutamol)
13

Ipratropium bromide
ในกรณลีทยื่ใลี ชผู้ 2-agonist ไมป่ไดผู้ อาจพวิจารณาใชผู้ ยานลีรื้ ขนาดทลียื่ใชผู้ ของ ipratropium bromide nebulizer solution
(0.25 mg/ml) initial 0.25 mg ทรุก 20 นาทลี ใหผู้ ไดผู้ 3 doses, จากนฉัรื้นทรุก 2-4 ชฉัยื่วโมง
Combivent unit dose 2.5 cc ประกอบดผู้ วย salbutamol 2.5 mg และ ipratroium bromide 0.5 mg
คนานวณขนาดของยาตามขนาดของ salbutamol หรหือโดยประมาณ ½ unit dose/ 10 kgs
ขผู้ อหผู้ ามใชผู้ ของ anticholinergics
ผผผู้ปป่วยทลียื่มลีกลผู้ ามเนหืรื้อหฉัวใจโตชนวิดอรุดตฉัน (hypertrophic subaortic stenosis), หฉัวใจเตผู้ นเรด็วผวิดจฉังหวะ, ในผผผู้ปป่วยทลียื่ไวตป่อ
fenoterol hydrobromide, salbutamol หรหือสารทลียื่มลีฤทธวิธคลผู้ าย atropine

Corticosteroids
การใหผู้ corticosteroid ควรพวิจารณาเลหือกใชผู้ ในบางกรณลีของ acute asthmatic attack ไดผู้ แกป่

– ผผผู้ปป่วยทลียื่มลี moderate acute episode ทลียื่ไมป่ตอบสนองตป่อ inhaled  -agonists 2

– ตอบสนองตป่อ inhaled 2-agonists เปด็ นบางสป่วนและมลี attack ขศึรื้นมาใหมป่ภายใน 3-4


ชฉัยื่วโมง หลฉังจากใหผู้ inhaled 2-agonists ครฉัรื้งแรก

– Severe acute episode


อนศึยื่ง การใชผู้ corticosteroid นฉัรื้น เปด็ นประโยชนน์ตป่อเมหืยื่อผผผู้ปป่วยเปด็ น asthma เทป่านฉัรื้น ไมป่ไดผู้ หมายรวมถศึง wheezing-
associated respiratory illness (WARI) อหืยื่นๆ เชป่น wheezing ทลียื่เกวิดขศึรื้นรป่วมกฉับภาวะตวิดเชหืรื้อของระบบหายใจเปด็ นตผู้ น
corticosteroid แตป่ละชนวิดจะมลีครุณสมบฉัตวิแตกตป่างกฉันดฉังแสดงในตารางทลียื่ 4 พวิจารณาชนวิดของยารวมทฉัรื้งขนาดทลียื่ใหผู้ ไดผู้ จากตารางทลียื่ 5

ตารางทลียื่ 4 potency
การเปรลียบเทลียบ และ side effects ของ systemic corticosteroids ชนวิดตป่างๆ ทลียื่ใชผู้ ใน asthma
exacerbations
Steroid Anti-inflammatory Growth Salt-retaining Plasma Biological
Effect Suppression Effect Half-life Half-life
Effect (min) (hr)
Hydrocortisone 1.0 1.0 1.0 80-120 8
Prednisolone 4 7.5 0.8 120-300 16-36
Methylprednisolone 5 7.5 0.5 120-300 16-36
Dexamethasone 30 80 0 150-300 36-54
14

ตารางทลียื่ 5 ขนาดของยา corticosteroids


ชหืยื่อยา ขนาดยา ขผู้ อควรคนานศึง
Methylprednisolone (IV) loading dose 2 มก./กก. ราคาปฉั จจรุบฉัน

ตป่อดผู้ วย 1-2 มก./กก./ครฉัรื้ง Methylprednisolone succinate


â
ทรุก 6 ชม. (Solu-Medrol )
40 mg/1 ml = 159 บาท
125 mg/ 2 ml = 336 บาท
Hydrocortisone (IV) loading dose 5-7 มก./กก. Hydrocortisone succinate
ตป่อดผู้ วย 5 มก./กก. ทรุก 4-6 ชม. â
(Solu-Cortef )
100 mg/2 ml = 50 บาท
Prednisolone (oral) 1-2 มก./กก./วฉัน 1 tablet = 5 mg
ขนาดสผงสรุด 60 มก./วฉัน ราคาเมด็ดละ 50 สตางคน์
แบป่งใหผู้ วฉันละ 2-3 ครฉัรื้ง

Other treatments
– Theophylline ไมป่แนะนนาใหผู้ ใชผู้ เปด็ น first line drug ในการรฉักษา acute asthmatic attack เนหืยื่องจาก
therapeutic index ของยาแคบ อาจเกวิด side effect ไดผู้ งป่าย โดยเฉพาะอยป่างยวิยื่งเมหืยื่อใชป่รป่วมกฉับ inhaled 2-agonist ขนาดสผง ไมป่
แนะนนาใหผู้ รลีบใชผู้ ในระยะแรกของการดผแลผผผู้ปป่วย แตป่อาจพวิจารณาใชผู้ ในกรณลีทยื่มลี ลี asthmatic attack ทลียื่รรุนแรง ตผู้ องรฉับผผผู้ปป่วยเขผู้ ารฉับการรฉักษาในโรงพยาบาล
ขนาดของยาทลียื่ใชผู้ คหือ initial bolus dose 5 mg/kg แลผู้ วตป่อดผู้ วย infusion ทลียื่ขนาด 0.5-0.9 mg/kg/hr เพหืยื่อทลียื่จะรฉักษาระดฉับ

ของยาอยผป่ทยื่ลี 10-20 mg/dL ผลขผู้ างเคลียงทลียื่ตผู้องเฝผู้ าระวฉังคหือ อาการใจสฉัยื่น , หฉัวใจเตผู้ นเรด็ว, อาเจลียนและอาจทนาใหผู้ ชฉักไดผู้ ถผู้าระดฉับยาสผงเกวินไป และควรวฉัด
ระดฉับยานลีรื้ในเลหือดเปด็ นระยะๆ
– Antibiotics ควรใชผู้ เฉพาะในรายทลียื่ตรวจพบการตวิดเชหืรื้อดผู้ วยแบคทลีเรลียรป่วมเทป่านฉัรื้น เชป่น sinusitis, otitis media และ
pneumonia
– Inhaled mucolytic drugs ไมป่ควรใชผู้ เพราะอาจทนาใหผู้ อาการไอ และอาการหอบเลวลง
– Chest physical therapy โดยทฉัยื่วไปไมป่แนะนนาในขณะทลียื่ผผู้ผปป่วยกนาลฉังมลีอาการหอบเฉลียบพลฉันเพราะจะทนาใหผู้ ผผู้ผปป่วย
กระวนกระวายไดผู้ และไมป่มลีผลดลีตป่อผผผู้ปป่วย
– Sedation ไมป่ควรใหผู้ ในภาวะทลียื่มลี exacerbations เพราะอาจทนาใหผู้ กดการหายใจไดผู้

4. การดผแลรฉักษาเพวิยื่มเตวิมในกรณลีผผู้ ผปป่วยเดด็กเลด็กทลียื่เกวิด asthma exacerbations


ขผู้ อควรระวฉังและพวิจารณาเพวิยื่มเตวิม
– การประเมวินความรรุนแรงในเดด็กเลด็กทนาไดผู้ ยาก
– ความแตกตป่างทาง anatomy และ physiology ในปอดเดด็กเลด็ก ทนาใหผู้ มลีอฉัตราเสลียื่ยงตป่อการเกวิดภาวะหายใจลผู้ มเหลวไดผู้
มากกวป่าและบป่อยกวป่า
– ความผวิดปกตวิของ ventilation/perfusion ทนาใหผู้ เดด็กเลด็กเกวิดภาวะ hypoxemia ไดผู้ เรด็วกวป่าในเดด็กโตและในผผผู้ใหญป่
15

– การตวิดเชหืรื้อไวรฉัส โดยเฉพาะ RSV เปด็ นสาเหตรุสาน คฉัญทลียื่สรุดอฉันหนศึยื่งทลียื่กป่อใหผู้ เกวิด acute wheezing illness ในเดด็กเลด็ก
และอาจทนาใหผู้ เกวิดภาวะหายใจลผู้ มเหลวไดผู้
ขผู้ อแนะนนา
– subjective และ objective parameters
ควรใชผู้ ทรื้งฉั มาชป่วยในการประเมวินความรรุนแรง ไดผู้ แกป่ signs,
symptoms และ functional assessment
– ควรเฝผู้ าตวิดตามอาการ และการแสดงอยป่างใกลผู้ ชวิด
– การใหผู้ oral corticosteriod เรด็วอาจเปด็ นสวิยื่งจนาเปด็ น
– ใหผู้ rehydration ถผู้ าเกวิดภาวะ dehydration จากหายใจเรด็วและกวินไดผู้ นผู้อย

– สป่วนใหญป่ acute wheezing จะเกวิดจากการตวิดเชหืรื้อไวรฉัส จศึงไมป่จาน เปด็ นตผู้ องใหผู้ antibiotic ถผู้ าไมป่มลีขผู้อบป่งชลีรื้ ควรหลลีกเลลียื่ยง
หฉัตถการทลียื่ทาน ใหผู้ เกวิดความเจด็บปวด กฉังวล และความกลฉัว เชป่น ใชผู้ pulse oximetry แทนการเจาะ arterial blood gas อาจพวิจารณาการใหผู้ ยา
ทางปากแทนการฉลีด เปด็ นตผู้ น
– ตวิดตามดผ oxygen saturation ซศึยื่งควรมลีคป่า > 95% ถผู้ ามลีคป่านผู้ อยกวป่าปกตวิ เปด็ นสฉัญญาณบป่งชลีรื้ถศึง severe airway
obstruction ถผู้ าคป่าตนยื่ากวป่า 90% เปด็ นตฉัวพยากรณน์ถศึงความจนาเปด็ นทลียื่จะตผู้ องรฉับตฉัวไวผู้ รฉักษาในโรงพยาบาล
– ในรายสงสฉัยวป่ามลีภาวะหายใจลผู้ มเหลว ควรดผตรวจ blood gases โดยเฉพาะ PaCO2 จะ เปด็ นตฉัวบป่งบอกถศึงภาวะ
ventilation ไดผู้ ดลีทยื่สลี ดรุ
5. การรฉับผผผู้ปป่วยไวผู้ รฉักษาในโรงพยาบาล
ในกรณลีทยื่ผลี ผู้ ผปป่วยตอบสนองตป่อการรฉักษาระยะแรกทลียื่ emergency department ไมป่ดลี และหรหือเปด็ นผผผู้ปป่วยทลียื่อยผป่ในกลรุป่มเสลียื่ยงใหผู้ แนะนนาใหผู้ รฉับ
ไวผู้ รฉักษาในโรงพยาบาล ในรายทลียื่รรุนแรงใหผู้ รฉับไวผู้ ใน intensive care ดฉังในแผนภผมวิทยื่ลี 2
หลฉักการในการรฉับตฉัวผผผู้ปป่วยเขผู้ าใน intensive care unit ประกอบดผู้ วย
ผผผู้ปป่วยทลียื่มลี severe asthmatic attack หรหือ impending respiratory failure ควรรฉับไวผู้ ใน ICU โดยมลีอาการและ
อาการแสดงดฉังตป่อไปนลีรื้
- หายใจไมป่ออกในขณะพฉัก หรหือนอนราบไมป่ไดผู้ หรหือในเดด็กเลด็กไมป่ยอมกวินหรหือดผดนม
- พผดเปด็ นคนาๆ ไมป่ตป่อเนหืยื่องกฉันและไมป่เปด็ นประโยค
- กระวนกระวาย หรหือซศึมลง
- มลีการใชผู้ accessory muscles อยป่างรรุนแรง เชป่น มลี retraction ของ suprasternal notch หรหือมลี paradoxical
thoracoabdominal movement
- มลีเสลียง wheeze ตลอดทฉัรื้งหายใจเขผู้ า และหายใจออก หรหือในรายทลียื่รรุนแรงมากจะไดผู้ ยวินเสลียงหายใจเบาลงหรหือไมป่ไดผู้ ยวินเสลียง wheeze
เลย (silent chest)
- หฉัวใจเตผู้ นเรด็วกวป่าปกตวิ หรหือ หฉัวใจเตผู้ นชผู้ ากวป่าปกตวิ
- Pulsus paradoxus > 20 mmHg
- PEF < 50% ของ predicted/personal base value
- PaO2 < 60 mmHg ใน room air หรหือพบวป่าเขลียวจากการตรวจรป่างกาย
- PaCO2  42 mmHg
16

- SaO2 ทลียื่ room air < 90%


- ผผผู้ปป่วยทลียื่มลี pneumothorax หรหือ pneumomediastinum
6. การ Discharge ผผผู้ปป่วยจาก emergency department
Criteria
- ผผผู้ปป่วยควรมลีอาการ stable และไดผู้ รฉับการเฝผู้ าดผแลอยป่างนผู้ อย 1 ชฉัยื่วโมง หลฉังจากไดผู้ รฉับ nebulized bronchodilator ครฉัรื้ง
สรุดทผู้ าย

- มลีอาการและอาการแสดงทลียื่ดลีขรื้ ศึน หรหือมลีคป่า peak expiratory flow  70% predicted หรหือ personal base value
Medications
- ควรสฉัยื่งการรฉักษาตป่อเนหืยื่องอลีก 3-5 วฉัน หลฉังจากนฉัรื้นจศึงคป่อยลดขนาดยาตามอาการของผผผู้ปป่วย
7. การใหผู้ ความรผผู้และขผู้ อแนะนนาแกป่ผผู้ ผปป่วยกป่อนออกจากโรงพยาบาล
- คผู้ นหาสาเหตรุและหลลีกเลลียื่ยงปฉัจจฉัยทลียื่กระตรุผู้นใหผู้ เกวิดหอบหหืด
- ทบทวนววิธกลี ารใชผู้ inhaler และ peak flow meter
- สอนใหผู้ รผู้ ผจฉักการดผแลเบหืรื้องตผู้ นในกรณลีทยื่มลี ลี exacerbation และการประเมวินการรฉักษาของตนเองในกรณลีทยื่ไลี มป่ดลีขรื้ ศึนควรมารฉับการรฉักษาทลียื่โรง
พยาบาล
- เนผู้ นใหผู้ เหด็นถศึงความสนาคฉัญของการตวิดตามการรฉักษา ปฏวิบฉัตวิตามคนาแนะนนาของแพทยน์อยป่าง เครป่งครฉัดเพหืยื่อใหผู้ สมรรถภาพปอดกลฉับสผป่สภาพดลีทยื่สลี รุด

- ในรายทลียื่กลฉับเปด็ นซนารื้ ๆ ควรไดผู้ รฉับการทบทวนการรฉักษาใหมป่อลีกครฉัรื้ง


17

IV แนวทางการรฉักษาผผผู้ปป่วยในระยะเรหืรื้อรฉัง (Chronic therapy for childhood asthma)


2 กลรุป่ม คหือ
ยาทลียื่ใชผู้ ในการรฉักษาโรคหอบหหืด แบป่งไดผู้ เปด็ น
กลรุป่มทลียื่ 1 ยาขยายหลอดลม (Bronchodilator) ซศึยื่งมลีฤทธวิธปผู้องกฉันและรฉักษาอาการหดเกรด็งของหลอดลมทลียื่เกวิดขศึรื้น โดยไมป่มลีผลตป่อ
การอฉักเสบทลียื่เกวิดในผนฉังหลอดลม ยากลรุป่มนลีรื้จะใชผู้ รฉักษาอาการหหืดในเฉพาะชป่วงทลียื่มลีอาการ (quick relief medication) โดยการใหผู้ ยาจะแตกตป่างกฉัน
ตามความรรุนแรงของอาการของโรค ดฉังรายละเอลียดในการรฉักษา acute asthma
2
กลรุป่มทลียื่ ยาตผู้ านการอฉักเสบ (Anti-inflammatory agent) หรหือยาปผู้ องกฉัน (Preventer, Controller) ยาใน
กลรุป่มนลีรื้จะทนาใหผู้ การอฉักเสบในผนฉังหลอดลมลดลง การใชผู้ ยากลรุป่มนลีรื้ตวิดตป่อกฉันเปด็ นเวลานานพอควรจะทนาใหผู้ อาการของโรคดลีขรื้ ศึน และมลีระดฉับความรรุนแรงโรคลดลงไดผู้
ยาในกลรุป่มนลีรื้จศึงเปด็ นยาหลฉักในการรฉักษาโรคหหืดเรหืรื้อรฉัง โดยเฉพาะในกลรุป่มทลียื่เรวิยื่มมลีอาการรรุนแรง เพหืยื่อลดระดฉับความรรุนแรงของโรค ยาตผู้ านการอฉักเสบชนวิดตป่างๆ ทลียื่ใชผู้
เปด็ น long-term preventive therapy ในเดด็ก ไดผู้ แกป่ inhaled corticosteroid, cromolyn sodium, leukotriene
receptor antagonist, และ ketotifen (ตารางทลียื่ 6)
การรฉักษาผผผู้ปป่วยโรคหอบหหืดชนวิดเรหืรื้อรฉัง (แผนภผมวิทยื่ลี 3) จะใหผู้ การรฉักษาตามระดฉับความรรุนแรงของโรค ซศึยื่งทางองคน์การอนามฉัยโลกไดผู้ แบป่งความรรุนแรง
ออกเปด็ น 4 ระดฉับ
ระดฉับทลียื่ 1 มลีอาการนานๆ ครฉัรื้ง (intermittent asthma) คหือ มลีอาการหอบนผู้ อยกวป่า 1 ครฉัรื้งตป่อสฉัปดาหน์ มลีอาการหหืดเปด็ นระยะสฉัรื้นๆ
เปด็ นชฉัยื่วโมง หรหือเพลียง 2-3 วฉัน ในชป่วงระหวป่างการจฉับหหืดจะมลีอาการเปด็ นปกตวิ แตป่อาจมลีอาการหอบหลฉังการออกกนาลฉังกายไดผู้ มลีอาการหอบตอนกลางคหืนนผู้ อย
กวป่า 2 ครฉัรื้งตป่อเดหือน สมรรถภาพปอดอยผป่ในเกณฑน์ปกตวิ ผผผู้ปป่วยกลรุป่มนลีรื้ควรไดผู้ รฉับการรฉักษาตามอาการเฉพาะในเวลาทลียื่มลีอาการหหืด ซศึยื่งมฉักตอบสนองดลีตป่อยา 2-
agonist ซศึยื่งอาจเปด็ นยาพป่นหรหือยารฉับประทาน สป่วนในบางรายทลียื่มลีอาการหหืดรรุนแรงกด็พวิจารณาใหผู้ การรฉักษาตามความรรุนแรงเปด็ นรายๆ
การใหผู้ ยาตผู้ านการอฉักเสบเพหืยื่อการปผู้ องกฉันในระยะยาวไมป่มลีความจนาเปด็ น ในผผผู้ปป่วยกลรุป่มนลีรื้
ระดฉับทลียื่ 2 มลีอาการรรุนแรงนผู้ อย (mild persistent) คหือ มลีอาการหอบบป่อยมากกวป่า 1 ครฉัรื้งตป่อสฉัปดาหน์ แตป่ไมป่เปด็ นทรุกวฉัน มลีอาการหอบ
ตอนกลางคหืนมากกวป่า 2 ครฉัรื้งตป่อเดหือน เวลาเกวิดอาการจะมลีอาการคป่อนขผู้ างรรุนแรงและอาจมลีผลรบกวนการเรลียน หรหือการนอนของผผผู้ปป่วย การตรวจสมรรถภาพ
ปอดจะพบวป่า PEF หรหือ FEV 1 อยผป่ในเกณฑน์ปกตวิ  ( 80% )
ของคป่ามาตรฐาน แตป่มลีความผฉันผวน (variability) ประมาณ 20-30%
ผผผู้ปป่วยกลรุป่มนลีรื้นอกจากจะใหผู้ การรฉักษาเปด็ นครฉัรื้งคราวเวลาทลียื่มลีอาการตามความรรุนแรงแลผู้ ว ควรใหผู้ ยาตผู้ านการอฉักเสบตป่อเนหืยื่องเปด็ นระยะยาวเพหืยื่อลดความ
รรุนแรงของโรค ยาตผู้ านการอฉักเสบทลียื่ควรพวิจารณาเรวิยื่มใชผู้ ไดผู้ แกป่
: inhaled low-dose corticosteroid หรหือ
: inhaled cromolyn sodium หรหือ leukotriene receptor antagonists
ในรายทลียื่มลีขผู้อขฉัดขผู้ องในการบรวิหารทางการสผดดม อาจเรวิยื่มดผู้ วย ketotifen และดผผลการรฉักษาประมาณ 8-12 สฉัปดาหน์ หรหืออาจใหผู้
sustained-release theophylline ในรายทลียื่รฉับประทานยาเมด็ดไดผู้ ถผู้ าไมป่ไดผู้ ผลจศึงพวิจารณาใชผู้ ยา inhaled drug ดฉังกลป่าวขผู้ างตผู้ น
ในรายทลียื่มลีอาการหอบตอนกลางคหืน (nocturnal asthma) และไมป่สามารถรฉับประทานยาเมด็ด อาจพวิจารณาใหผู้ oral long-acting
2-agonist ซศึยื่งอยผป่ในรผปยานนารื้ หรหือในรผป inhaled form แตป่ไมป่ควรใชผู้ ตป่อเนหืยื่องเปด็ นเวลายาว เพราะไมป่มลีฤทธวิธตผู้านการอฉักเสบ
ระดฉับทลียื่ 3 อาการรรุนแรงปานกลาง (moderate persistent) คหือ มลีอาการหหืดทรุกวฉัน มลีอาการหอบตอนกลางคหืนมากกวป่า 1
ครฉัรื้ง/สฉัปดาหน์ อาการหหืดจะรรุนแรงและมลีผลกระทบตป่อการเรลียน และการนอนของผผผู้ปป่วย ผลการตรวจสมรรถภาพพบวป่า PEF หรหือ FEV1 อยผป่ระหวป่าง
60-80% ของคป่ามาตรฐาน และมลีความผฉันผวนมากกวป่า 30%
ผผผู้ปป่วยกลรุป่มนลีรื้จะตผู้ องไดผู้ รฉับ inhaled corticosteroid เปด็ นยาปผู้ องกฉันในระยะยาว โดยอาจใหผู้ เปด็ น medium-dose inhaled
steroid อยป่างเดลียว หรหือใหผู้ low-dose inhaled corticosteroid รป่วมกฉับยาตฉัวใดตฉัวหนศึยื่งตป่อไปนลีรื้ ไดผู้ แกป่ sustained-release
18

theophylline, long-acting inhaled 2-agonist หรหืออาจพวิจารณาใหผู้ long acting oral 2-agonist หรหือ
leukotriene-receptor antagonist
ระดฉับทลียื่ 4 อาการรรุนแรงมาก (severe persistent) คหือ มลีอาการหอบหหืดตลอดเวลา มลีอาการหอบตอนกลางคหืนบป่อยๆ กวิจกรรมตป่างๆ
ถผกจนากฉัดดผู้ วยอาการหอบ การตรวจสมรรถภาพปอดพบวป่า PEF หรหือ FEV1 ≤ 60% ของคป่ามาตรฐานและมลีความผฉันผวนมากกวป่า 30 %
ผผผู้ปป่วยกลรุป่มนลีรื้ควรไดผู้ รฉับ ยาหลายชนวิดรป่วมกฉัน ไดผู้ แกป่ inhaled medium-to-high dose corticosteroid รป่วมกฉับยาตป่อไปนลีรื้ 1
ชนวิดหรหือมากกวป่า ไดผู้ แกป่ inhaled long-acting 2-agonist, sustained-release theophylline, long-acting
oral 2-agonist, leukotriene-receptor antagonist
ในรายทลียื่มลีอาการรรุนแรงมาก อาจจนาเปด็ นตผู้ องใชผู้ corticosteroid ชนวิดรฉับประทานรป่วมดผู้ วย
การปรฉับขนาดยา
เนหืยื่องจากโรคหหืดเปด็ นโรคทลียื่มลีการเปลลียื่ยนแปลงของความรรุนแรงไดผู้ ตลอดเวลา อาการอาจเลวลงไดผู้ เมหืยื่อไดผู้ รฉับสารกป่อภผมวิแพผู้ หรหือมลีการตวิดเชหืรื้อไวรฉัสในทาง
เดวินหายใจสป่วนบน การรฉักษาจศึงตผู้ องมลีการปรฉับเปลลียื่ยนขนาดและจนานวนยาตามความรรุนแรงของโรค
ในรายทลียื่มลีอาการดลีขรื้ ศึนหลฉังไดผู้ รฉับการรฉักษา และสามารถควบครุมอาการไดผู้ ตวิดตป่อกฉันเปด็ นเวลา 3-6 เดหือน แพทยน์ควรพวิจารณาลดขนาด และจนานวนยา
ลง โดยพวิจารณาลดยาทลียื่มลีผลขผู้ างเคลียงสผงลงกป่อนเพหืยื่อใหผู้ ใชผู้ ยานผู้ อยทลียื่สดรุ ในการควบครุมอาการและปผู้ องกฉันการกนาเรวิบของโรค ในกรณลีทยื่ใลี หผู้ high-dose
inhaled corticosteroid อาจพวิจารณาลดขนาดยาเรด็วขศึรื้นเมหืยื่อครุมอาการไดผู้
หมายเหตรุ ในเดด็กอายรุตยื่าน กวป่า 5 ปลี
1. การแบป่งระดฉับความรรุนแรงของโรคหหืด จะใชผู้ อาการทางคลวินวิกเปด็ นหลฉัก เนหืยื่องจากยฉังไมป่สามารถตรวจสมรรถภาพปอดไดผู้
2. การใหผู้ ยาปผู้ องกฉันระยะยาวในกลรุป่มทลียื่เปด็ น mild persistent ในเดด็กเลด็กอายรุตยื่าน กวป่า 2 ปลี ควรเรวิยื่มดผู้ วย cromolyn sodium หรหือ
ketotifen เมหืยื่อไมป่ไดผู้ ผลจศึงพวิจารณาใชผู้ low-dose inhaled steroid
3. ในกลรุป่มทลียื่เปด็ น moderate และ severe persistent ควร refer ผผผู้ปป่วยไปหา specialist เพหืยื่อยหืนยฉันการววินวิจฉฉัยและตรวจหา
สาเหตรุอยื่หืนของ persistent wheezing ในเดด็กกลรุป่มอายรุนรื้ ลี รวมทฉัรื้งใหผู้ การรฉักษาทลียื่ถผกตผู้ อง
การใชผู้ peak flow meter ในผผผู้ปป่วยเดด็ก
โดยทฉัยื่วไปผผผู้ปกครองจะเปด็ นผผผู้ทยื่บลี อกระดฉับความรรุนแรงของอาการไดผู้ จากอาการทางคลวินวิก การใชผู้ peak flow meter เปด็ นประจนาจะมลี
ประโยชนน์ในรายทลียื่อายรุมากกวป่า 5 ปลี ซศึยื่งมลีอาการรรุนแรงระดฉับ 3 ถศึง 4 (รรุนแรงปานกลางถศึงรรุนแรงมาก) หรหือในรายทลียื่มลีประวฉัตวิการจฉับหหืดรรุนแรง (life-
threatening asthma)

ตารางทลียื่ 6 (long-term preventive


ยาตผู้ านการอฉักเสบทลียื่ใชผู้ ปผู้องกฉันระยะยาวในผผผู้ปป่วยเดด็กโรคหหืด
medications for asthma in children)
ชนวิดของยา ขนาดและววิธใลี ชผู้ ขผู้ อดลี ขผู้ อเสลีย
1. Inhaled - ยาสผด มลีขนาดตป่างๆ กฉัน ขศึรื้นกฉับชนวิดของ - มลีประสวิทธวิภาพสผง - ผลขผู้ างเคลียงจากการสผดดม
corticosteroid ยา และความรรุนแรงของโรค (ตารางทลียื่ ใชผู้ วฉันละ 2-4 ครฉัรื้ง ไดผู้ แกป่ เสลียงแหบ เชหืรื้อราในปาก
2) - systemic side effect ในรายทลียื่
- การใชผู้ spacer จะชป่วยลดผลขผู้ าง ใชผู้ ยา ขนาดสผง (>800 mg/วฉัน)
เคลียงลงไดผู้
2. Cromolyn - nebulized (20 mg/2ml) - ฤทธวิธขผู้างเคลียงนผู้ อยมาก - ราคาแพง
sodium 2 ml x 3-4 ครฉัรื้ง/วฉัน - ปผู้ องกฉันอาการหอบจากการ - ใชผู้ วฉันละ 3-4 ครฉัรื้ง
19

- MDI (1 และ 5 mg/puff) ออกกนาลฉังกายไดผู้


1-2 puff x 3-4 ครฉัรื้ง/วฉัน
ดผผลใน 6-8 สฉัปดาหน์
3. Leukotriene ขนาดยาตป่างกฉันแลผู้ วแตป่ชนวิดของยา - ฤทธวิธขผู้างเคลียงนผู้ อย - ราคาแพง
receptor - บรวิหารงป่าย - อาจทนาใหผู้ ปวดศลีรษะไดผู้
antagonist - ปผู้ องกฉันอาการหอบจากการ
ออกกนาลฉังกายไดผู้
4. Ketotifen - ยานนารื้ (1 mg/5 ml) - ฤทธวิธขผู้างเคลียงนผู้ อย - นนารื้ หนฉักเพวิยื่ม
- ยาเมด็ด (1 mg/tab) - มลีทรื้งฉั ยานนารื้ ยาเมด็ด - งป่วงซศึม
ขนาด - บรวิหารยาไดผู้ งป่าย - ผลทลียื่ไดผู้ ยฉังไมป่แนป่นอน เทป่ากฉับยาใน
< 3 ปลี 0.5 mg bid กลรุป่ม 1-3
> 3 ปลี 1 mg bid
ดผผลใน 8 สฉัปดาหน์
20

3
แผนภภูมทมิ ที่ท แนวทางการรรักษาผภูปผู้ วป ยโรคหหืดเรหืรื้อรรังตามลลาดรับความรรุนแรงของโรค

การปผู้องกรันระยะยาว การรรักษาเมหืที่อมทอาการ

(Long-term Preventive) (Quick-Relief)

ขรันรื้ ททที่ 4  ใชผู้ยาหลายชนมิดรปวมกรัน  short acting  2- agonist ชนมิดสภูด  ลดลง (Step down)
อาการรรุนแรง  inhaled medium-to-high dose หรหือรรับประทานเมหืที่อมทอาการ ทบทวนความรรุนแรงของโรค
มาก (severe corticosteroid รปวมกรับ ยาตปอไปนทรื้ เปป็ นระยะๆ ถผู้าควบครุมอาการ
persistent) 1 ชนมิด หรหือมากกวปา ไดผู้ตดมิ ตปอกรันอยปางนผู้อย
- long-acting inhaled 2--agonist 3 เดหือน ควรพมิจารณาลด
- sustained-release theophylline ขนาดและจลานวนยาลง
- long-acting oral 2- agonist
- leukotriene-receptor antagonist
 ถผู้ายรังควบครุมอาการไมปไดผู้ ใหผู้ prednisolone
ชนมิดรรับประทาน

ขรันรื้ ททที่ 3  inhaled medium-dose corticosteroid  short acting  2- agonist ชนมิดสภูด  เพมิม ที่ ขขนรื้ (Step up)
อาการรรุนแรง หรหือ หรหือรรับประทาน เมหืที่อมทอาการ แตป ถผู้าไมปสามารถควบครุม
ปานกลาง  inhaled low-dose corticosteroid ไมปควรเกมิน 3-4 ครรังรื้ /วรัน อาการไดผู้ พมิจารณาเพมิมที่ ยา
(moderate รปวมกรับ ยาตรัวใดตรัวหนขที่งตปอไปนทรื้ แตปควรทบทวนดภูเทคนมิค
persistent) - long-acting inhaled 2- agonist การใหผู้ยา และความสมลที่าเสมอ
- sustained-release theophylline ของการใชผู้ยาของผภูผู้ปวป ยดผู้วย
- long-acting oral 2- agonist
- leukotriene-receptor antagonist

ขรันรื้ ททที่ 2  inhaled low dose corticosteroid  short acting  2 agonist ชนมิดสภูด
อาการรรุนแรง หรหือ หรหือดมเมหืที่อมทอาการ แตปไมปควรเกมิน
นผู้อย (mild  inhaled cromolyn sodium 3-4 ครรังรื้ /วรัน
persistent) หรหือ
 sustained-release theophylline
หรหือ
 leukotriene-receptor antagonist
หรหือ
 ketotifen

ขรันรื้ ททที่ 1 ล เปป็ น  short acting 2- agonist ชนมิดสภูด


 ไมปจา
มทอาการเปป็ น หรหือรรับประทานเมหืที่อมทอาการ แตป
ครรังรื้ คราว ควรนผู้อยกวปาสรัปดาหห์ละ 1-3 ครรังรื้
(intermittent inhaled  2- agonist หรหือ inhaled
asthma) cromolyn sodium กปอนออก
กลาลรังกาย ถผู้ามทอาการ
21
22

ตารางทลียื่ 7 ขนาดของ corticosteroid ชนวิดสผดดม


Types of corticosteroids Low dose Medium dose High dose
(mg) (mg) (mg)
 Beclomethasone 100-400 400-600 >600
-MDI (50,250 mg)
-Diskhaler (100,200,400 mg)
 Budesonide
-Turbuhaler (100,200 mg) 100-200 200-400 >400
-MDI (50, 100,200 mg) 100-400 400-600 >600
-Nebulized solution (500,1000 mg)
- 1,000-2000 >2,000
 Fluticasone (MDI 25,125,250 mg) 50-200 200-300 >300

ตารางทลียื่ 8 รผปแบบทลียื่เหมาะสมในการใชผู้ ยา inhaled drugs ในเดด็ก

< 4 ปลี  nebulizer


 MDI with spacer (with mask)

4-7 ปลี  MDI with spacer


 DPI

> 7 ปลี  MDI with or without spacer


 DPI

MDI = metered-dose inhaler


DPI = dry powder inhaler
23

IV การปผู้ องกฉันโรคหหืด
ววิธกลี ารการดผแลรฉักษาโรคหหืดทลียื่ดลีทยื่สลี ดรุ คหือ การปผู้ องกฉันการเกวิดอาการหหืด แพทยน์ควรใหผู้ ความรผผู้กฉับผผผู้ปป่วยหรหือผผผู้ปกครอง ถศึงปฉัจจฉัยทลียื่เปด็ นตฉัวกระตรุผู้นใหผู้ เกวิด
อาการ ควรมลีการวางแผนการรฉักษาอยป่างเปด็ นขฉัรื้นตอนและอยป่างตป่อเนหืยื่องในผผผู้ปป่วยแตป่ละราย และอาจจะตผู้ องมลีการปรฉับแผนการรฉักษาเพหืยื่อใหผู้ เหมาะสมเปด็ นระยะ ๆ
2 ววิธลี คหือ
การปผู้ องกฉันโรคหหืด แบป่งไดผู้ เปด็ น

1. Primary prevention คหือการปผู้ องกฉันการเกวิดโรคหหืดในผผผู้ทยื่มลี ลีโอกาสเสลียื่ยง แตป่ยฉังไมป่เกวิดอาการแพผู้ และอาการของโรค เพหืยื่อลดโอกาสทลียื่


จะเกวิดเปด็ นโรคหหืดใหผู้ นผู้อยทลียื่สดรุ ปฉัจจฉัยทลียื่ควรพวิจารณา ไดผู้ แกป่
1.1 ปฉัจจฉัยทางดผู้ านพฉันธรุกรรม เดด็กทลียื่จฉัดเปด็ น กลรุป่มทลียื่มลีโอกาสเสลียื่ยงสผง ไดผู้ แกป่
ก . เดด็กทลียื่ บวิดา หรหือ มารดา คนใดคนหนศึยื่ง มลีประวฉัตวิเปด็ นโรคภผมวิแพผู้ ซศึยื่งจะมลีโอกาสถป่ายทอดการเกวิดโรคไปสผป่ลผกไดผู้ ประมาณรผู้ อยละ 25-
30
.
ข เดด็กทลียื่มลีประวฉัตวิโรคภผมวิแพผู้ ทรื้งฉั ในบวิดา และ มารดา จะมลีโอกาสเกวิดโรคหอบหหืดไดผู้ ประมาณรผู้ อยละ 50
หรหือมากกวป่า
ดฉังนฉัรื้น ควรใหผู้ คาน ปรศึกษาดผู้ านพฉันธรุกรรมแกป่คป่ผสมรส หรหือสามลีภรรยาทลียื่มลีประวฉัตวิดฉังกลป่าว ควรใหผู้ ความรผผู้เกลียื่ยวกฉับโอกาสการเกวิดโรคและแนวทางการ
ปผู้ องกฉัน
1.2 ปฉัจจฉัยทางดผู้ านสวิยื่งแวดลผู้ อม

1.2.1. สวิยื่งแวดลผู้ อมภายในบผู้ าน(Indoor environment) เชป่น การปผพรม การมลีของใชผู้ ในหผู้ องนอนมาก เปด็ นตผู้ น
1.2.2. สวิยื่งแวดลผู้ อมภายนอกบผู้ าน (Outdoor environment) ไดผู้ แกป่ มลภาวะทางอากาศ เชป่น ฝรุป่ นละออง เขมป่าควฉันจาก
เครหืยื่องยนตน์ และมลพวิษตป่างๆเชป่ น โอโซน กก๊าซไนโตรเจนอก๊อกไซดน์ เปด็ นตผู้ น
1.2.3. การสฉัมผฉัสควฉันบรุหรลียื่ ทฉัรื้งทางตรงและทางอผู้ อม เปด็ นปฉัจจฉัยทลียื่ทาน ใหผู้ มลีโอกาสเกวิดอาการของโรคหหืดไดผู้ มากกวป่าปกตวิ ดฉังนฉัรื้นจศึงควรหลลีกเลลียื่ยง
การสฉัมผฉัสควฉันบรุหรลียื่ใหผู้ มากทลียื่สดรุ โดยเฉพาะมารดาทลียื่กาน ลฉังตฉัรื้งครรภน์ ควรงดสผบบรุหรลียื่อยป่างเดด็ดขาด
1.2.4. สารระคายเคหือง จากการประกอบอาชลีพหรหือจากโรงงานอรุตสาหกรรมทลียื่อยผป่ใกลผู้ เคลียง อาจจะกป่อใหผู้ เกวิดภาวะภผมวิไวเกวินของหลอดลมไดผู้
ดฉังนฉัรื้นจศึงควรหลลีกเลลียื่ยงการสฉัมผฉัสกฉับสารตป่างๆ เหลป่านลีรื้ และหาววิธลีปผู้องกฉันโอกาสสฉัมผฉัสทลียื่อาจเกวิดขศึรื้นไดผู้ ในอนาคต
1.2.5 นนารื้ หนฉักแรกคลอดทลียื่นผู้อยกวป่า 2,500
กรฉัม พบวป่า มลีความสฉัมพฉันธน์กฉับโอกาสการเกวิดโรคหอบหหืดในอนาคต ดฉัง นฉัรื้นจศึงควรสรผู้ าง
เสรวิมการอนามฉัยแมป่ในระยะกป่อนคลอดเพหืยื่อปผู้ องกฉันการคลอดกป่อนกนาหนด
1.2.6 การตวิดเชหืรื้อของระบบหายใจ พบวป่า การตวิดเชหืรื้อไวรฉัสของระบบหายใจจะเปด็ นปฉัจจฉัยทลียื่ทาน ใหผู้ เกวิดภาวะภผมวิไวเกวินของหลอดลมมากกวป่าปกตวิ
ไดผู้ ซศึยื่งแนวทางการปผู้ องกฉันไดผู้ แกป่
1) การสป่งเสรวิมใหผู้ มลีโภชนาการทลียื่ดลี เพหืยื่อใหผู้ มลีสรุขภาพทลียื่แขด็งแรง
2) หลลีกเลลียื่ยงการพาเดด็กไปอยผป่ในสถานทลียื่แออฉัด เชป่น สถานรฉับเลลีรื้ยงดผเดด็กอป่อน หรหือ โรงเรลียนอนรุบาลกป่อนวฉัยอฉันควร ศผนยน์การคผู้ า โรง
ภาพยนตน์
1.2.7. อาหารและโภชนาการ ยฉังไมป่มลีขผู้อมผลสนฉับสนรุ นทลียื่ชฉัดเจนวป่าการจนากฉัดอาหารบางชนวิดในมารดา และในทารกแรกเกวิดจะสามารถปผู้ องกฉัน
การเกวิดโรคหหืดไดผู้ อยป่างแนป่นอน แตป่อยป่างไรกด็ตาม การววิจฉัยสป่วนใหญป่จะสนฉับสนรุ นการใหผู้ นมแมป่แกป่ทารกและเดด็กในชป่วงขวบปลี แรก โดยเฉพาะในชป่ วงอายรุ 4-6
เดหือนแรก วป่าสามารถลดโอกาสของการเกวิดโรคหหืดในระยะตป่อมาไดผู้
ววิธกลี ารปผู้ องกฉันแบบ Primary prevention นฉัรื้น ควรพวิจารณาการปผู้ องกฉันปฉัจจฉัยทลียื่เกลียื่ยวขผู้ องกฉับการเกวิดโรคหหืด ซศึยื่งยฉังตผู้ องอาศฉัยการศศึกษาววิจฉัย
เพวิยื่มเตวิมอยผป่ แตป่จากการศศึกษาทลียื่ผป่านมาพบวป่า การลดโอกาสสฉัมผฉัสตป่อ indoor allergens โดยเฉพาะไรฝรุป่ นนป่ าจะเปด็ นววิธทลี ยื่ดลี ลีทยื่สลี ดรุ ตป่อการปผู้ องกฉันการเกวิดโรค
โดยเฉพาะอยป่างยวิยื่งในเดด็กเลด็ก
2. Secondary prevention คหือ การปผู้ องกฉันเพหืยื่อลดการเกวิดของอาการ ในผผผู้ปป่วยทลียื่ไดผู้ รฉับการววินวิจฉฉัยวป่าเปด็ นโรคหหืดแลผู้ ว จรุดมรุป่งหมายเพหืยื่อ
ลดอาการใหผู้ นผู้อยทลียื่สดรุ ซศึยื่งประกอบดผู้ วย
1. การปผู้ องกฉันโดยการใชผู้ ยา
2. การปผู้ องกฉันโดยการไมป่ใชผู้ ยา
การปผู้ องกฉันโดยการไมป่ใชผู้ ยา มลีขรื้นฉั ตอนทลียื่สาน คฉัญดฉังนลีรื้
24

1. การคผู้ นหาและหลลีกเลลียื่ยงสวิยื่งกระตรุผู้น ( identify and avoid triggers) ดผรายละเอลียดในตารางทลียื่ 10


2. การใหผู้ ความรผผู้กฉับผผผู้ปป่วยและผผผู้ปกครองอยป่างเหมาะสมและความรผผู้เกลียื่ยวกฉับการดผแลรฉักษาตนเอง
3. การเฝผู้ าระวฉังและตวิดตามผลการรฉักษาอยป่างสมนยื่าเสมอ
การคผู้ นหาและหลลีกเลลียื่ยงสวิยื่งกระตรุผู้น (identify and avoid triggers)
สวิยื่งกระตรุผู้นทลียื่สาน คฉัญทลียื่สามารถกป่อใหผู้ เกวิดอาการหอบในผผผู้ปป่วย ไดผู้ แกป่
1. ไรฝรุป่ นบผู้ าน (Domestic หรหือ house dust mite)
2. ซากหรหือสะเกด็ดแมลงสาบ
3. ละอองเกสร และ สปอรน์จากเชหืรื้อรา
4. รฉังแคจากสฉัตวน์เลลีรื้ยง เชป่น สรุนฉัข แมว เปด็ นตผู้ น
5. การเปด็ นหวฉัดหรหือการตวิดเชหืรื้อไวรฉัสในระบบทางเดวินหายใจ
6. ควฉันบรุหรลียื่
7. ควฉันไฟจากเตาหรุงตผู้ มทลียื่ใชผู้ ไมผู้ หรหือถป่าน หรหือกก๊าซ เปด็ นเชหืรื้อเพลวิง
8. การออกกนาลฉังกายทลียื่หฉักโหมเกวินไป
9. สารอาหารบางชนวิด
25

ตารางทลียื่ 19 สารกป่อภผมวิแพผู้ และววิธกลี ารหลลีกเลลียื่ยง

สารกป่อภผมวิแพผู้ และ สารระคายเคหือง ววิธกลี ารหลลีกเลลียื่ยง


ไรฝรุป่ นบผู้ าน  ซฉักรผู้ อนผผู้ าปผเตลียง ผผู้ าคลรุมทลียื่นอน ปลอกหมอน ปลอกหมอนขผู้ าง และผผู้ าหป่ม ในนนารื้ รผู้ อน ทลียื่มลีอรุณหภผมวิ
การสฉัมผฉัสหรหือสผดละอองตฉัวไรฝรุป่ นเขผู้ าสผป่ระบบการหายใจในชป่วงวฉัยเดด็กทารก มลีความ สผงกวป่า 550 องศาเซลเซลียส นานมากกวป่า 30 นาทลี การนนาเครหืยื่องนอนเหลป่านลีรื้ไปผศึยื่งแดดอยป่าง
สฉัมพฉันธน์กฉับการเกวิดโรคหอบหหืดในระยะเวลาตป่อมา หผู้ องทลียื่ควรเนผู้ นการกนาจฉัดตฉัวไรฝรุป่ น เดลียวไมป่มลีประสวิทธวิภาพเพลียงพอในการกนาจฉัดไรฝรุป่ น
ไดผู้ แกป่ หผู้ องนอน หรหือ หผู้ องทลียื่เดด็กเขผู้ าไปอยผป่เปด็ นเวลานานๆ ในแตป่ละวฉัน เชป่น หผู้ องนฉัยื่งเลป่น  ใชผู้ ผผู้าใยสฉังเคราะหน์ทยื่ผลี ลวิตพวิเศษเพหืยื่อหรุผู้มเครหืยื่องนอน เพหืยื่อปผู้ องกฉันตฉัวไรฝรุป่ น
หรหือ หผู้ องดผทวลี ลี  หลลีกเลลียื่ยงการปผพรมในหผู้ องนอน
 หลลีกเลลียื่ยงการใชผู้ เครหืยื่องเรหือนและของเดด็กเลป่นทลียื่ประกอบดผู้ วยนรุป่นหรหือสนาลลี และการใชผู้ ผผู้าหรหือขนสฉัตวน์
หรุผู้ม
 ทนาความสะอาดมป่าน และ ของเลป่นเดด็กทลียื่มลีขนดผู้ วยนนารื้ รผู้ อนเปด็ นระยะๆ
 ในปฉัจจรุบฉันนลีรื้มลีสารเคมลีเพหืยื่อกนาจฉัดตฉัวไรฝรุป่ น แตป่ยฉังไมป่เปด็ นทลียื่ยอมรฉับถศึงประสวิทธวิภาพและความปลอดภฉัย
ควฉันบรุหรลียื่
ผผผู้ปป่วยอาจสฉัมผฉัสควฉันบรุหรลียื่ โดยการสผบโดยตรง หรหือสผดดมควฉันทลียื่เกวิดจากการสผบของผผผู้  หลลีกเลลียื่ยงการสฉัมผฉัสควฉันบรุหรลียื่ ทฉัรื้งโดยทางตรงและทางอผู้ อมใหผู้ มากทลียื่สรุด
อหืยื่นกด็ไดผู้ พบวป่า ควฉันบรุหรลียื่ เปด็ นปฉัจจฉัยทลียื่สาน คฉัญ ทลียื่เพวิยื่มอฉัตราเสลียื่ยงตป่อการเกวิดภาวะภผมวิแพผู้ ใน  ผผผู้ทยื่มลี ลีหนผู้ าทลียื่ดผแลเดด็กหรหือผผผู้ใกลผู้ ชวิดทลียื่อาศฉัยอยผป่ในบผู้ านเดลียวกฉัน ควรงดสผบบรุหรลียื่ และ ไมป่ควรสผบในหผู้ อง
เดด็ก (โดยเฉพาะเดด็กเลด็กๆ) รวมทฉัรื้ง จะทนาใหผู้ เดด็กทลียื่เปด็ นโรคหหืดมลีอาการทลียื่รรุนแรงมากขศึรื้น ทลียื่มลีเดด็กอยผป่ดผู้วยอยป่างเดด็ดขาด
ไดผู้
สารกป่อภผมวิแพผู้ จากแมลงสาบ  ควรทนาความสะอาดบผู้ านเรหือนใหผู้ สะอาดอยผป่เสมอ
ซากหรหือสะเกด็ดแมลงสาบทลียื่อยผป่ภายในบผู้ านเปด็ นสารกป่อภผมวิแพผู้ ในเดด็กทลียื่สาน คฉัญรองจาก  ภาชนะเกด็บเศษอาหารควรมลีฝาปวิ ดใหผู้ มวิดชวิด ควรกนาจฉัดขยะและเศษอาหารภายในบผู้ านทรุกวฉัน
ตฉัวไรฝรุป่ น (จากผลการทดสอบภผมวิแพผู้ ทางผวิวหนฉัง )  อยป่าปลป่อยใหผู้ นานรื้ ขฉังในทลียื่ตป่างๆ เชป่นในอป่างนนารื้ ขาตผผู้กฉับขผู้ าว ทลียื่ลผู้างจาน เพราะแมลงสาบชอบอยผป่ใน
บรวิเวณเหลป่านลีรื้
 อาจพวิจารณาใชผู้ ยาฆป่าแมลง ( pesticides) หรหือพวิจารณาจผู้ างผผผู้เชลียื่ยวชาญในการขจฉัดแมลง
(exterminator) เขผู้ ามาฉลีดยาขจฉัดแมลงในบผู้ านเปด็ นระยะๆ
สารกป่อภผมวิแพผู้ จากละอองเกสร ดอกหญผู้ า และ สปอรน์เชหืรื้อรา  ละอองเกสรเปด็ นสวิยื่งทลียื่หลลีกเลลียื่ยงไดผู้ ยาก
 การปวิ ดประตผหนผู้ าตป่างเพหืยื่อปผู้ องกฉันละอองเกสรจากภายนอก ในฤดผทยื่มลี ลีการกระจายตฉัวของเกสรมาก
เชป่นในชป่ วงเดหือนตรุลาคมถศึงกรุมภาพฉันธน์ของทรุกปลี อาจจะชป่วยลดอฉัตราการสฉัมผฉัสละอองเกสรหญผู้ าใน
ประเทศไทยไดผู้
 การตวิดเครหืยื่องปรฉับอากาศ เครหืยื่องฟอกอากาศ ทลียื่เปด็ นระบบ HEPA (high efficiency
particulate airfilter) อาจจะลดปรวิมาณละอองเหลป่านลีรื้ลงไดผู้ บผู้าง
 ปรฉับปรรุงแกผู้ ไขบรวิเวณทลียื่มลีนานรื้ ขฉังเปด็ นประจนาซศึยื่งอาจเปด็ นแหลป่งของเชหืรื้อราในบผู้ าน เชป่นในหผู้ องนนารื้ และ
หผู้ องครฉัว
 อาจใชผู้ นานรื้ ยาพป่นฆป่าหรหือกฉันเชหืรื้อรา ในบรวิเวณทลียื่มลีเชหืรื้อราอยผป่มาก

สารกป่อภผมวิแพผู้ จากขนสฉัตวน์  ววิธทลี ยื่ดลี ลีทยื่สลี ดรุ คหือ งดเลลีรื้ยงสฉัตวน์ตป่างๆ เหลป่านลีรื้ หรหืออยป่างนผู้ อยทลียื่สดรุ ควรกฉันออกไปจากหผู้ อง หรหือทลียื่พฉัก
สฉัตวน์เลลีรื้ยงหรหือขนสฉัตวน์บางชนวิด เชป่น สรุนฉัข แมว หรหือกระตป่าย หนผ อาจเปด็ นสารกป่อ ผป่อนเปด็ นประจนา
ภผมวิแพผู้ ไดผู้ ในผผผู้ปป่วยบางราย  ในกรณลีทยื่ตลี ผู้ องเลลีรื้ยงไวผู้ ในบผู้ าน และ ไมป่สามารถกนาจฉัดไดผู้ ควรอาบนนารื้ สฉัตวน์เลลีรื้ยงเหลป่านลีรื้เปด็ นประจนาทรุก
สฉัปดาหน์เปด็ นอยป่างนผู้ อย และ ไมป่ควรใหผู้ ผผู้ ผปป่วยเลป่นคลรุกคลลีใกลผู้ ชวิด
ควฉันไฟจากการใชผู้ เตาถป่าน , กก๊าซ หรหือสารกป่อระคายเคหืองในบผู้ านอหืยื่นๆ  ควรใชผู้ เตาทลียื่มลีควฉันภายนอกบผู้ าน ในทลียื่มลีอากาศถป่ายเททลียื่ดลี
 หลลีกเลลียื่ยงการใชผู้ สารจนาพวก ยาพป่ นสเปรยน์ หรหือ นนารื้ ยาเคลหือบมฉัน ทลียื่ไมป่จาน เปด็ นภายในบผู้ าน
26

การเปด็ นหวฉัด หรหือ การตวิดเชหืรื้อไวรฉัสในทางเดวินหายใจ  สป่งเสรวิมใหผู้ มลีโภชนาการทลียื่ดลี มลีสรุขภาพแขด็งแรง


สามารถกระตรุผู้นใหผู้ เกวิดอาการจฉับหหืดเฉลียบพลฉันไดผู้ บป่อย โดยเฉพาะในเดด็ก  หลลีกเลลียื่ยงการสป่งเดด็กไปอยผป่ในสถานทลียื่มลีเดด็กอยผป่อยป่างแออฉัด
 หลลีกเลลียื่ยงการใกลผู้ ชวิดกฉับผผผู้ทยื่มลี ลีอาการหวฉัด หรหือ การตวิดเชหืรื้อของระบบทางเดวินหายใจอหืยื่นๆ
 ควรใหผู้ วฉัคซลีนบางชนวิด เชป่น วฉัคซลีนปผู้ องกฉันไขผู้ หวฉัดใหญป่ อาจจะปผู้ องกฉันการกระตรุผู้นใหผู้ เกวิดอาการหหืด
ไดผู้
การออกกนาลฉังกาย  ไมป่ควรงดเวผู้ น และควรสป่งเสรวิม โดยอยผป่ภายใตผู้ การดผแลและรฉับคนาแนะนนาจากแพทยน์ทยื่ดลี ผแลรฉักษา
เชป่น การววิยื่งออกกนาลฉังกาย การวป่ายนนารื้ ถศึงแมผู้ วป่าจะทนาใหผู้ เกวิดอาการหหืดหลฉังการออก อยป่างเหมาะสม
กนาลฉังกายไดผู้ แตป่อยป่างไรกด็ตาม การออกกนาลฉังกายกด็ยฉังมลีประโยชนน์ ถผู้ าทนาในระดฉับทลียื่เหมาะ  อาจพวิจารณาใหผู้ ยาสผดขยายหลอดลม ชนวิด short-acting หรหือ long-acting 2
สม agonist หรหือ ยา cromolyn sodium สผดกป่อนออกกนาลฉังกาย 15-30 นาทลี จะสามารถ
ชป่วยปผู้ องกฉันการจฉับหหืดเนหืยื่องจากการออกกนาลฉังกายไดผู้
 การฝศึ กออกกนาลฉังกายใหผู้ มลีชป่วงอบอรุป่นรป่ างกายกป่อน (warm-up) ประมาณ 6-10 นาทลี อาจจะ
สามารถลดอาการหหืดไดผู้ เชป่นกฉัน
27
เอกสารอผู้ างอวิง
I. บทนนา
1. National Heart, Lung and Blood Institute, National Institutes of Health. Global initiative
for Asthma. NIH/NHLBI publication no 95-3659. Washington DC:NIH;1995.
2. National Heart, Lung and Blood Institute, National Institutes of Health. Guidelines for the
diagnosis and management of asthma. Expert panel report 2. NIH/NHLBI publication
no. 97-4051. Washington DC:NIH:1997.
3. Vichyanond P, Jirapongsananuruk O, Visitsuntorn N, Tuchinda M. Prevalence of asthma,
rhinitis, and eczema in children from the Bangkok area using the ISAAC (International
study for asthma and allergy in children) questionnaires. J Med Assoc Thai 1998;81:175-
81.
4. Vichyanond P, et al. Guidelines on the diagnosis and treatment of childhood asthma in
Thailand. Thai J Pediatrics 1995;34:3:194-211.
5. Sullivan SD. Cost and cost-effectiveness in asthma. Immunol Allergy Clin N America
1996;16:819-38.

II. การววินวิจฉฉัยและการประเมวินความรรุนแรงของโรค

1. National Heart, Lung and Blood Institute, National Institutes of Health. Global initiative
for Asthma. NIH/NHLBI publication No 96-3659. Washington DC:NIH;1998.
2. National Heart, Lung and Blood Institute, National Institutes of Health. Guidelines for the
diagnosis and management of asthma. Expert panel report 2. NIH/NHLBI publication
No. 97-4051. Washington DC:NIH:1997.

III. การรฉักษาโรคหหืดในระยะเฉลียบพลฉัน
1. National Heart, Lung and Blood Institute, National Institutes of Health. Guidelines for the
diagnosis and management of asthma. Expert panel report 2. NIH/NHLBI publication
No. 97-4051. Washington DC:NIH:1997.
2. Global NHLBI/WHO Workshop Report: Global Strategy for Asthma Management and
Prevention. NIH Publication No. 96-3659A. December 1995
28

Anticholinergic Agents in Acute Asthma


1. Brian J L. Treatment of acute asthma. Lancet 1997;350(suppl II):18-23.
2. O'Driscoll RB, Taylor RJ, Horsley MG, Chambers DK, Bernstein A. Nebulised salbutamol
with and without ipratropium bromide in acute airflow obstruction. Lancet 1989;i:1418-20.
3. Schuh S, Johnson DW, Callahan S, Cally G, Levison H. Effects of frequent nebulised
ipratropium bromide added to frequent high dose albuterol therapy in severe childhood
asthma. J Paediatr 1995;126:639-45.
4. Karpel JP, Schacter NE, Fanta C, et al. A comparison of ipratropium and albuterol versus
albuterol alone for the treatment of acute asthma. Chest 1996;110:611-16.
5. Fitzgerald MK, Grunfeld A, Parae PD, et al. The clinical efficacy of combination
nebulised anticholinergic and adrenergic bronchodilators versus nebulised adrenergic
bronchodilator alone in acute asthma. Chest 1997;111:311-15.

Intravenous bronchodilator therapy for acute asthmatic attack


1. Janson C. Plasma levels and effects of salbutamol after inhaled or iv administration for
stable asthma. Eur Respir J 1991;4:544-50.
2. Swedish Society of Chest Medicine. High dose inhaled versus intravenous salbutamol
combined with theophylline in severe acute asthma. Eur Respir J 1990;3:163-70.
3. Salmeron S, Brochard L, Mal H, et al. Nebulised versus intravenous albuterol in
hypercapnic acute asthma. Am J Respir Crit Care Med 1994;149:1466-70.
4. Cheong B, Reynolds SR, Rajan G, Ward MJ. Intravenous 2-agonist in severe acute
asthma. BMJ 1988;297:448-50.
5. Browne GJ, Penna AS, Phung X, Soo M. Randomised trial of intravenous salbutamol in
early management of acute severe asthma in children. Lancet 1997; 349: 301-05.
6. Murphy DG, McDermott MF, Rydman RJ, Sloan EP, Zalenski RJ. Aminophylline in the
treatment of acute asthma when -adrenergics and steroids are provided. Arch Intern Med
1993;153:1784-88.
7. Huang D, O'Brien RG, Harman E, et al. Does aminophylline benefit adults admitted to
the hospital in acute exacerbation of asthma. Ann Intern Med 1993; 119: 1155-60.
8. DiGiulio G, Kercsmar C, Krug S, Alpert S, Marx C. Hospital treatment of asthma: lack
of benefit from theophylline given in addition to nebulised albuterol and intravenously
administered corticosteroid. J Pediatr 1993;122:464-69.
29

9. Strauss ARE, Wertheim DL, Bonagura VR, Velacer DJ. Aminophylline therapy does not
improve outcome and increases adverse effects in children hospitalised with acute
asthmatic exacerbations. Paediatrics 1994;93:205-10.

Theophylline
1. Miles Weinberger, Leslie Hendeles. Drug Therapy: Theophylline in Asthma. NEJM
1996;21:334.
2. DeNicola LK, GF Monem, MO Gayle, and N Kissoon. Treatment of Critical Status
Asthmaticus in Children. Pediatr Clin N America 1994;41:1293-325.
3. Brian J Lipworth. Treatment of acute asthma. Lancet 1997;350(suppl II):18-23
4. Practice Parameters for the Diagnosis and Treatment of Asthma: Joint Task Force on
Practice Parameters; The American Academy of Allergy, Asthma, and Immunology, The
American College of Allergy, Asthma, and Immunologyand the Joint Council of Allergy,
Asthma, and Immunology Editors: Sheldon L. Spector, MD; Richard A. Nicklas, MD. J
Allergy Clin Immunol 1995;96(5):2.

IV. แนวทางการรฉักษาผผผู้ปป่วยในระยะเรหืรื้อรฉัง (Chronic therapy for childhood asthma)


1. National Heart, Lung and Blood Institutes of Health. Global initiative for asthma.
NIH/NHLBI publication no 95-3659. Washington DC: NIH;1995.
2. National Heart, Lung and Blood Institutes of Health. Guidelines for the diagnosis and
management of asthma. Expert panel report 2. NIH/NHLBI publication no. 97-4501.
Washington DC: NIH;1997.
3. Warner JO, Naspitz CK, Croup GJA. Third international pediatric consensus statement on
the management of children asthma. Pediatr Pulmonol 1998;25:1-17.
4. De Jongste JC. Prophylactic drugs in asthma: their use and abuse. Clinical Pediatr
1995;3:379-98.
5. Price JF. The management of chronic childhood asthma. In: Silverman M, ed. Childhood
asthma and other wheezing disorders. London: Chapman & Hill, 1995:357-74.
30

V. การปผู้ องกฉันโรคหหืด

1. National Heart, Lung and Blood Institute, National Institutes of Health. Global initiative
for Asthma. NIH/NHLBI publication no 95-3659. Washington DC:NIH;1995.
2. National Heart, Lung and Blood Institute, National Institutes of Health. Guidelines for the
diagnosis and management of asthma. Expert panel report 2. NIH/NHLBI publication
no. 97-4051. Washington DC:NIH:1997.
3. Warner JO, Naspitz CK, Croup GJA. Third international pediatric consensus statement on
the management of childhood asthma. Pediatric Pulmonol 1998;25:1-17.
4. Warner JO, Warner JA. Preventing Asthma. In: Silverman M, ed. Childhood asthma and
other wheezing disorders. London: Chapman & Hall; 1995;429-40.
5. Partridge MR. Education of patients, parent, health professionals and other. In:
Silverman M, ed. Childhood asthma and other wheezing disorders. London: Chapman &
Hall; 1995:465-72.
31
รายชหืยื่อผผผู้มลีสป่วนรป่วมในการจฉัดทนาแนวทางการววินวิจฉฉัยและรฉักษาโรคหหืดในผผผู้ปป่วยเดด็กของประเทศไทย
1. 15 พฤษภาคม 2541 กรุมารแพทยน์ทยื่วฉั ประเทศประมาณ 400 ทป่าน
การประชรุมครฉัรื้งแรก วฉันทลียื่
2. ผผผู้รฉับผวิดชอบในการเขลียนรป่างแตป่ละตอน 4 ทป่าน
1. นพ.เฉลวิมชฉัย บรุญยะลลีพรรณ
2. พญ.อฉัญชลลี เยหืยื่องศรลีกรุล
3. พญ.จวิตลฉัดดา ดลีโรจนน์วงศน์
4. นพ.ไพศาล เลวิศฤดลีพร
3. ผผผู้เขผู้ าประชรุมจากราชววิทยาลฉัยกรุมารแพทยน์แหป่ งประเทศไทย เพหืยื่อพวิจารณารป่างทลียื่ไดผู้ จากการประชรุมครฉัรื้งแรก
1. นพ. มนตรลี ตผผู้จวินดา
2. พญ. สภรลี สรุวรรณจผฑะ
3. นพ. ปกวิต ววิชยานนทน์
4. พญ. นวลอนงคน์ ววิศวิษฏสรุนทร
5. พญ. อารลียา เทพชาตรลี
6. พญ. มรุกดา หวฉังวลีรวงศน์
7. พญ. กณวิกา ภวิรมยน์รฉัตนน์
8. พญ. มรุฑวิตา ตระกผลทวิวากร
9. นพ. ธลีรชฉัย ฉฉันทโรจนน์ศวิรวิ
10. พญ. นวลจฉันทรน์ ปราบพาล
11. พญ. ชลวิดา เลาหะพฉันธน์
12. พญ. จามรลี ธลีรตระกรุลพวิศาล
13. นพ. สมชาย สรุนทรโลหะนกผล
14. นพ.เฉลวิมชฉัย บรุญยลลีพรรณ
15. พญ. อฉัญชลลี เยหืยื่องศรลีกรุล

You might also like