You are on page 1of 3

เติมเต็มด้วยความว่างเปล่า 

 
ด้วยร่างกายทีโปร่งใส และนํ า้ตาทีไหลรินออกมาด้วยความเจ็บใจ ฉันยืนมองพ่อและแม่ทีอยู่ตรงหน้า 
คิดเพียงแค่ว่า ถ้าเกิดการตัดสินใจทีมีแต่อารมณ์ชัววูบของเราไม่เกิดขึน เราก็คงจะยังอยู่ในบ้านหลังเดิม กับ
พ่อและแม่ทีเรารัก ถึงแม้จะไม่เคยแสดงออกเลยก็ตาม ตอนนี ร่างของพวกท่านค่อยๆ สลายหายไป ทุกอย่างไม่
หวนกลับมาอีกต่อไปแล้ว… 
 
“มาถึงช่วงต่อไป ในศตวรรษที 30 มานี นับตังแต่หน่ วยงานดูแลและปรับปรุงห้วงเวลาได้ก่อตังขึน 
ก็ได้สร้างผลงานมากมายและไม่เคยมีข้อผิดพลาดเกิดขึนแม้แต่นอ้ ย แต่ท่าทางว่าหลังจากนี หัวหน้าหน่ วยก็
คงจะต้องรับศึกหนักจากข้อผิดพลาดร้ายแรงทีเกิดขึน” 
“ล่าสุดหน่ วยงานดูแลและปรับปรุงห้วงเวลาได้เกิดข้อผิดพลาดขึน นักวิทยาศาสตร์ทังหมดทีได้เดิน
ทางไปยังห้วงเวลาอืนยังไม่สามารถกลับมายังปจจุบัน หัวหน้าหน่ วยได้ออกมารับปากว่าจะพยายามอย่างเต็มที
ในการรักษาห้วงเวลาเอาไว้ และนํ าตัวนักวิทยาศาสตร์ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย รายงานด่วนจากประเทศ
นอร์ทเทิร์นแลนด์” 
ฉันได้ยินเสียงทีวีดังมาจากข้างล่าง พ่อนังอยู่ตรงนัน ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนฉันได้ยิน เสียงถอน
หายใจพ่อดูไม่สบายใจ ฉันอธิบายไม่ถูก แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร แม่เดินไปหาพ่อ แล้วคุยอะไรบางอย่างด้วย
เสียงทีอ่อนหวาน ฉันฟงไม่รู้เรือง แต่พ่อน่ าจะดีขึนจากเมือสักครู่ล่ะมัง 
“อาเลเธียมากินข้าวได้แล้วลูก” นันคือเสียงของแม่ทีร้องเรียกฉันอยู่ทุกๆวัน และฉันก็ไม่เคยปฏิเสธ 
เพราะไม่อยากให้แม่นอ้ ยใจสักเท่าไหร่ 
 
วันนี เปนวันอาทิตย์ วันนี ฉันรู้สึกแปลกๆ ยังไงพิกล เพราะเท่าทีจําได้ ธรรมดาแล้วพ่อแม่น่าจะต้องพา
ฉันไปยังสถานทีทีเรียกว่าโบสถ์ทุกๆสัปดาห์ แต่วันไหนฉันก็จําไม่ได้ ทีนันเปนทีทีเราต้องนังให้เรียบร้อยและ
รอคนในบริเวณนันทําอะไรให้เสร็จสักอย่าง ซึงฉันไม่เคยสนใจเลย แต่ดูเหมือนว่าอาทิตย์นีเรายังไม่ได้ไป
โบสถ์กันเลย พ่อแม่เหมือนจะลืมไปเสียสนิ ท พ่อแม่เคร่งเรืองการไปโบสถ์มากๆ ฉันก็เลยไม่เคยปฏิเสธพวก
ท่านสักครัง เพราะรู้ว่านันเปนสิงทีสําคัญต่อพวกเขาเลยล่ะ 
ฉันลองถามพ่อแม่เกียวกับโบสถ์ แต่พวกท่านดูเหมือนจะไม่รู้จักคําว่าโบสถ์เลยล่ะ แต่ถ้าพวกท่านว่า
อย่างนัน ฉันก็ไม่มีปญหา ไม่ต้องไปโบสถ์ก็ถือว่าเปนเรืองทีดีแล้ว ฉันตัดสินใจโทรหาเพือน เพือไปนังเล่นที
สวนข้างๆสถานทีทีเรียกว่าโบสถ์ 
เมือฉันไปถึงสวน มองไปด้านในโบสถ์ด้วยหางตา แต่มองไปรอบๆสวน ในบริเวณนันไม่มีใครอยู่เลย
ฉันตัดสินใจทีจะรอเพือนอีกสักพัก แต่ก็ไม่มีวีแววว่าจะมีใครมา ฉันจึงตัดสินใจโทรหาเพือน 
“ใกล้ถึงทีนัดหรือยัง เลยเวลานัดมานานแล้วนะ” ฉันพูดใส่เพือนทีปลายสาย 
“มีอะไรเหรออาเลเธีย ฉันไม่เข้าทีเธอพูดเลย ถ้านัดส่งงานนันล่ะก็มันอีกตังเดือนนึ งเชียว” เพือนตอบ
กลับมาด้วยเสียงทีงุนงง 
ฉันรู้สึกแปลกๆ กับเรืองทีเกิดขึน เราพึงคุยกันเมือชัวโมงทีแล้วเอง สุดท้าย ฉันก็ไม่ได้เคร่งเครียดกับ
เรืองเล็กๆ เรืองนี เสียเท่าไหร่ ฉันจึงบอกลาเพือนแล้วเดินกลับไปทีบ้านทันที พร้อมความคิดแปลกๆ ในหัวอีก
อย่างหนึ งว่า เครืองสีเหลียมเปล่งแสงทีฉันเรียกว่าโทรศัพท์เมือสักครู่มันคืออะไรกันแน่  
 
วันนี ฉันนัดกับเพือนไว้ตังแต่เช้าตรู่ ก่อนทีฉันจะเดินออกมาจากบ้าน ฉันเห็นพ่อขนของสีขาวบ้าง 
เหลืองบ้างออกจากบ้าน พ่อแม่เรียกมันว่ากระดาษนะถ้าจําไม่ผิด บางอันคือหนังสือด้วย มันคงจะเปนขยะอะไร
ซักอย่างคล้ายๆ กับเครืองส่งถ่ายข้ามเวลา ทีไร้ประโยชน์ของพ่อวันนัน  
ฉันได้ยินแม่บ่นพึมพัม “นี มันอะไรก็ไม่รู้ ทําไมบ้านเรามีเยอะจังนะ เราเคยใช้ประโยชน์จากเศษขยะ
พวกนี ด้วยหรอ” แต่ฉันก็เดินออกมาแบบไม่ได้สนใจอะไร 
 
“วันนี รายการโต้วาทีของเราจะมาโต้กันเรืองโลกกลมหรือโลกแบนนะคะ มีนักวิชาการมาโต้แย้งกัน
มากมาย” แล้วไง ทําไมต้องมาเถียงกันเรืองนี นะ โลกจะกลมหรือจะแบนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเราหรือ
เปล่า  
“ลูกดูอะไรอยู่เหรอจ๊ะ” แม่เดินมาและนังลงข้างๆ ฉัน ชะโงกหน้าดูทีว ี
“โต้วาทีค่ะ เขาเถียงกับเรืองโลกกลมหรือโลกแบน ตลกดีนะคะ เขาจะเถียงกันทําไม เสียเวลา” ฉัน
ตอบ   
“อ๋อ ก็ทีผ่านมามีทฤษฎีโลกกลมใช่ไหมล่ะจ๊ะ แต่พวกนักวิทยาศาตร์ค้นพบว่ายังไม่เคยมีใครพิสูจน์
เรืองนี ได้ พวกเขาเลยออกมาโต้แย้งกันนะจ๊ะ” แม่ตอบ  
“เอาเถอะค่ะแม่ หนูคิดว่ามันไร้สาระ” ฉันตอบแม่ และเปลียนช่องด้วยความเบือหน่ ายกับความขีสงสัย
ของคนพวกนัน 
เย็นวันนี ขณะทีฉันกําลังกินข้าวเย็นกับพ่อแม่ ฉันทําช้อนตกลงบนพืน ฉันก็ไม่เข้าใจนะว่าทํามันถึงตก 
แต่ฉันก็ก้มลงไปเก็บช้อน แล้วกินข้าวต่อ แม้ว่าพ่อกับแม่จะสงสัยและคุยกันเรืองนี เพราะฉันคิดว่ามันไม่สําคัญ 
 
วันถัดมา ฉันตืนขึนมาด้วยความงัวเงีย ซึงเช้ากว่าปกติ เพราะฉันได้นัดเพือนเอาไว้ทีสวนเดิมของเรา 
ฉันเดินลงมาข้างล่างด้วยความรีบร้อน แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมือได้ยินบทสนทนาระหว่างพ่อกับแม่ทีดูตึงเครียด
กว่าปกติ ฉันรู้สึกเปนกังวลอย่างมาก เลยตัดสินใจหยุดและแอบฟงอยู่ตรงบันได 
“แอดดิสันคะ ฉันรู้สึกอะไรบางอย่างค่ะ” แม่พูด “ฉันรู้สึกเหมือนฉันกําลังลืมสิงต่างๆรอบตัวไปทีละ
อย่าง ทีละอย่าง”  
“เอ๋ ผมไม่ค่อยจะรู้สึกว่าลืมอะไรไปนะ แต่เหตุการณ์เช่นนี เปนไปได้สองทางคือโรคอัลไซเมอร์ หรือ
ความจําเสือมนันแหละ” พ่ออธิบายให้แม่ฟง  
“อีกทางก็คือเวลาของโลกมันรวนน่ ะ เวลานักวิทยาศาสตร์เดินทางข้ามเวลาและเผลอไปถอดฟนเฟอง
นา ิกาเข้า เวลาทังหมดก็พัง เหตุการณ์ทีเกิดขึนก็เลยหายไป ความทรงจําก็จะหายไปด้วยยังไงล่ะจ๊ะ” พ่อพูด
ต่อ 
ฉันฟงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันเปนเรืองทีสําคัญมากเท่าไหร่ ไม่น่ามีผลอะไรมากกับคนอย่างเราๆ ฉันจึง
ตัดสินใจจะออกไปหาเพือนในทันที 
แต่ก่อนทีฉันจะเดินถึงประตูบ้าน ก็ได้ยินเสียงแม่พูดขึนมาว่า “แอดดิสัน คุณเคยคิดเรืองของการ
แยกกันอยู่ไหมคะ ฉันว่ามันดูไร้เหตุผลมากทีเรามาอยู่ด้วยกัน” เสียงของแม่จริงจังมาก และไม่ได้ดูล้อเล่น
แม้แต่นอ้ ย 
หลังจากฉันได้ยินเรืองนี ฉันรู้สึกตกใจและเสียใจเปนอย่างมาก จึงรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านเพือไปคุย
กับพ่อและแม่ให้รู้เรือง 
“พ่อแม่ต้องอยู่ด้วยกันเพือดูแลหนูไงคะ” ฉันตะโกนขึน เหตุผลอันนี ดีพอหรือเปล่าฉันเองก็ไม่ค่อย
มันใจ แต่เมือดูจากหน้าพ่อแม่แล้ว คําพูดของฉันก็คงทําให้พ่อแม่คิดได้เหมือนกัน 
“อาเลเธียจ๊ะ เท่าทีน้าจําได้นะ หนูอยู่กับพวกเรามานานมากแล้ว พ่อแม่หนูอยู่ไหนหรอจ๊ะ” แม่พูดขึน “
หนูไม่อยากกลับไปหาพ่อแม่หนูหรอจ๊ะ” มันชัดเจนนะว่าแม่คงลืมฉันเหมือนทีลืมพ่อ ฉันพูดไม่ออกเลย ไม่รู้ว่า
ควรตอบสนองเช่นไรดี รู้แค่ว่านํ าตาจะไหลออกมา 
“แต่นา้ ก็ไม่ว่าถ้าหนูจะอยู่ต่อเหมือนเดิมนะ เพียงแต่พวกเราสงสัยน่ ะ” พ่อพูดต่อ ประโยคนันทําฉัน
เสียใจจนทําอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจหนี ออกจากบ้านไปนอนบ้านเพือน เนื องจากไม่อยากจะรับฟงอะไรอีกแล้ว 
พ่อกับแม่เพียงแค่มองฉันเดินออกไปด้วยความน่ าสงสารเท่านัน 
 
หารู้ไม่ว่า ในทีวีทีพ่อกับแม่ได้เปดทิงไว้เปนข่าวด่วนจากหน่ วยงานดูแลและปรับปรุงห้วงเวลา แจ้งถึง
การบรรเทาผลข้างเคียงของความปนปวนทีเกิดขึนจากกาลเวลาทีผิดเพียน 
“ทางเราได้ค้นพบถึงการยับยังและกู้คืนความทรงจําทีหายไปกับช่วงเวลาทีย้อนกลับ แม้ว่าผู้ใดทีไม่รู้
สึกถึงการลืมอะไรบางอย่างไป ทางหน่ วยงานขอความร่วมมือให้ทําสิงดังต่อไปนี ทุกๆคน: การจะบรรเทาสิงดัง
กล่าว คือการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มากทีสุดในวันนี เนื องจากปรากฏการทางธรรมชาติกาลศึกษาศาสตร์ 
กระแสจิตของผู้คนทีมีความเกียวข้องกันทางสายเลือด เมืออยู่รวมกัน กระแสจิตจะแผ่ออกได้เพียงพอ และจะ
สามารถต่อต้านกระแสเวลาทีมีผลข้างเคียงได้ โดยการกระทําดังกล่าวมีผลมากทีสุดในวันนี เนื องจากโลกใน
จักรวาลคู่ขนานที 7705 จะโคจรเข้ามาใกล้เคียงกับตําแหน่ งของโลกในจักรวาลของเรา และกระแสเวลาของเรา
จะปรับเข้าหาโลกดังกล่าวได้ดีทีสุด...”  
แม่กับพ่อทีกําลังยุ่งอยู่กับการเก็บข้าวของก็ไม่ได้สนใจข่าวดังกล่าวเลยแม้แต่นอ้ ย อาเลเธียทีวิงออก
ไปจากบ้านพร้อมนํ า้ตาก็เช่นกัน  
 
ตังแต่เมือไหร่ไม่รู้ ทุกอย่างรอบๆตัวเธอเหมือนตอนทีเธอหลับ แต่ไม่มีความฝนเกิดขึน และ 
เหตุการณ์ทีเกิดขึนหลังจากความผิดพลาดของหน่ วยงานเวลาอะไรนัน ก็แล่นผ่านหัวเธอนับร้อยนับพันอย่าง 
เธอรับรู้ทุกสิงทุกอย่างแล้ว รวมถึงสิงทีเธอควรจะทําเพือรักษาพ่อแม่ของเธอไว้ด้วยเช่นกัน 
เมือรู้สึกตัวอีกที เธอก็ได้มาอยู่ในทีๆสงบ ว่างเปล่า ไร้สิงก่อสร้าง มันคือธรรมชาติล้วนๆ สงบ บริสุทธิ
จริงๆ มันคือทีๆเธอเห็นชายชุดดําซึงคือยมทูตยืนอยู่ พร้อมกับพ่อกับแม่เธอ หน้าตาพวกเขาดูมีความสุข สงบ 
ฉันค่อยๆเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยความคิดถึง และเจ็บใจในตัวเอง ทังสองยิมให้และรับฉันเข้าไปในอ้อมแขน 
นับวันทีเราเฝามองอยู่ทีนันเฉยๆ โลกก็ยิงเลือนรางไปเท่านัน ทีแห่งนี ทําให้ฉันรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเรา
เหมือนถูกเติมเต็มด้วยพลังงานดีๆอีกครัง 
 
“หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ หนูขอโทษ” ฉันพูดออกไป 
ฉันตัดสินใจพูดในสิงทีไม่เคยแสดงออกมาเลยสักครัง “หนูรักพ่อแม่นะคะ” พ่อแม่ยิมให้ฉัน ณ ทีแห่ง
นัน สุดท้ายแล้วร่างของพวกเขาก็หายไปอย่างช้าๆ 

You might also like