Professional Documents
Culture Documents
การควบคุมคุณภาพการหล่อเครื่องประดับทองด้วยวิธีการออกแบบการทดลอง
การควบคุมคุณภาพการหล่อเครื่องประดับทองด้วยวิธีการออกแบบการทดลอง
โดย
นายโอรส พินิจรัตนพันธ์
โดย
นายโอรส พินิจรัตนพันธ์
By
Mr. Oros Pinitrattanapan
………………………………………..
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ปานใจ ธารทัศนวงศ์)
คณบดีบณั ฑิตวิทยาลัย
วันที่………. เดือน……….……… พ.ศ. ….……
อาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิพนธ์
ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. นิติพงศ์ โสภณพงศ์พิพฒั น์
6
คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์
……………………………………….. ประธานกรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระศักดิ์ หุ ดากร)
6
………………………………………… กรรมการ
(รองศาสตราจารย์ ดร. วลัยลักษณ์ อัตธีรวงศ์)
…………. / ………………../ ……..………
………………………………………… กรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. นิติพงศ์ โสภณพงศ์พิพฒั น์)
…………. / ………………../ ……….…….
53405331: สาขาวิชาการจัดการงานวิศวกรรม
คําสําคัญ : การหล่อเครื่ องประดับ/ วิธีการทากูชิ/การออกแบบการทดลอง
7
7 การศึ ก ษานี้ ทํา การวิ เคราะห์ แ ละปรั บปรุ ง คุ ณ ภาพงานหล่ อเครื่ องประดับทอง เพื่ อ ลด
7
ง
53405331: MAJOR: ENGINEERING MANAGEMENT
KEY WORD: JEWELRY CASTING/ TAGUCHI METHOD/ EXPERIMENTAL DESIGN
OROS PINITRATTANAPAN: THE QUALITY CONTROL OF GOLD JEWELRY
CASTING PROCESS BY EXPERIMENTAL DESIGN THESIS ADVISOR: ASST.PROF.DR.
NITIPON SOPONPONGPIPAT, D.ENG. 107 PP.
The purposes of this study were to analyze the cause of defects in gold jewelry casting
process and to propose an appropriate casting condition that can eliminate these defects. Taguchi
method was conducted to study factors that affacted the yield in casting process. Moreover, the
significance level of each factors were determined. Finally the equation to explain the casting
efficiency was obtained.
It was found that flask temperature, metal melting temperature and flask casting
temperature significantly affected casting process in gold jewelry manufacturing. To find suitable
temperature of the three main factors, Taguchi technique (L9 3 levels 3 factors) was repeatedly
used for testing 3 times in 9 positions of the surface. The result was found that the most suitable
temperature of flask temperature, metal melting temperature and flask casting temperature were
710 C, 1160 C, and 580 C, respectively.
จ
กิตติกรรมประกาศ
วิ ท ยานิ พ นธ์ ฉ บับ นี้ สํ า เร็ จ ลุ ล่ ว งลงได้ด้ว ยดี เนื่ อ งจากได้รั บ ความกรุ ณ าและความ
อนุเคราะห์จาก ผศ.ดร.นิ ติพงศ์ โสภณพงศ์พิพฒั น์ อาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิ พนธ์ ที่ได้ให้คาํ ปรึ กษา
7
ฉ
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย ………………………………………………………………………... ง
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ……………………………………………………………….......... จ
กิตติกรรมประกาศ ……………………………………………………………………....... ฉ
สารบัญตาราง …………………………………………………………………………....... ฌ
สารบัญภาพ ……………………………………………………………………………….. ญ
บทที่
1 บทนํา …………………………………………………………………………… 1
ความเป็ นมาและความสําคัญของปัญหา …………………………………… 1
วัตถุประสงค์การวิจยั ……………………………………………..……....... 5
กรอบแนวความคิด ………………………………………………………… 5
สมมติฐานที่ใช้ในการวิจยั …………………………….……………………. 5
ขอบเขตการวิจยั ……………………………………………………………. 6
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ …………………………………..……………. 6
นิยามคําศัพท์ ………………………………………………………………. 6
2 ทฤษฏีและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง ………………………………………………….. 7
โลหะวิทยาเบื้องต้นสําหรับทองคํา ……………………………………….... 7
การผลิตเครื่ องประดับแบบหล่อ …………………………………………… 10
ประเภทการหล่อ …………………………...……………………………… 15
ข้อบกพร่ องในงานหล่อตัวเรื อนเครื่ องประดับ ……………...…………….. 17
การออกแบบการทดลอง …………………………………….…………….. 27
งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………. 45
3 วิธีดาํ เนินงานวิจยั ……………………………………………………..………... 49
วิธีการศึกษาที่นาํ มาใช้ ………………………………………...…………… 51
ขั้นตอนในการศึกษา ………………………………….………………….... 51
เครื่ องมือที่นาํ มาใช้ในการเก็บข้อมูล ……...……………………….………. 63
เครื่ องจักร เครื่ องมือ และอุปกรณ์ที่ใช้ ……………………….…………….. 63
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง …………………………………………..…….. 71
ช
สารบัญ
บทที่ หน้า
สถานที่เก็บข้อมูล ………………………………………………………….. 71
ข้อมูลที่ใช้ในการทดลอง…………………………………..……………….. 71
วิธีการเก็บข้อมูล ………………………………………………..………….. 71
4 ผลการศึกษา……………………………………………..……………………… 72
ผลการวิเคราะห์ระบบการวัด …………………………….........…………… 72
ผลการวิเคราะห์ความสามารถของกระบวนการผลิต ……………………… 78
ผลการดําเนินการทดลองตามการออกแบบการทดลอง ……......….………. 80
ผลการทําการทดลองเพื่อยืนยันผล …………………………...……………. 88
5 สรุ ปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ ……………………..……………………… 91
สรุ ปผลการศึกษา …………………………………………………………… 91
ปั ญหาและอุปสรรคในการดําเนินงานวิจยั …………….…………………… 92
ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจยั ครั้งต่อไป …………………………………… 92
รายการอ้างอิง ……………………………………………………………..……..………... 93
ภาคผนวก ………………………………………………………………………….……… 95
ภาคผนวก ก …………………………………..………….........…………… 96
ภาคผนวก ข ……………………………………………………..…………. 99
ภาคผนวก ค ……........................................................................….………. 101
ภาคผนวก ง …………………………………………………...…………… 105
ประวัติผวู ้ จิ ยั ……………………………………………………………………….……… 107
ซ
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1 ปริ มาณของชิ้นงานเสี ยและซ่อมเทียบกับปริ มาณผลผลิตทั้งหมด …………... 2
2 อันดับชนิดของข้อบกพร่ องที่พบมากในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน 2554 2
3 ตารางออทอกอนอล อะเรย์ L 8 (27)…………………………………………… 36
4 ตารางปั จจัยร่ วมระหว่างคอลัมน์ L 16 (215)……………………………………. 40
5 หลักการเลือกใช้เทคนิคการออกแบบการทดลองให้เหมาะสม ……………... 47
6 ผลการทดลองของกระบวนการสี ขา้ วระหว่างเทคนิคดั้งเดิมกับเทคนิคทากูชิ . 48
7 ช่วงการดําเนินงานในปัจจุบนั ของปัจจัยควบคุมสําหรับการหล่อเครื่ อง
ประดับทอง…………………………………………….…………….. 55
8 แสดงปั จจัยคงที่ …………………………………………..…………………. 56
9 ระดับของตัวแปรที่ใช้�ในการทดลอง…………………………………..…….
60
10 แสดงการทดลอง Orthogonal Array L 9 (33) ตามมาตรฐานของ Taguchi
Method ………………………………………………………………. 61
11 แสดงแผนการทดลอง Orthogonal Array L 9 (33) ตามมาตรฐานของ Taguchi
Method ………………………………………………………….…… 61
12 แสดงลําดับการทดลองตามแผน Orthogonal Array L 9 (33) ............................
62
13 ANOVA ของผลการทดลอง Orthogonal Array L 9 (3 3 )…………..….………
83
14 ผลการวิเคราะห์ดว้ ยวิธีการทากูชิ……………………………………………. 85
15 ผลการตรวจสอบชิ้นงานเครื่ องประดับที่มาจากกระบวนการหล่อเครื่ องประ
ดับทอง……......................................................................................... 89
ฌ
สารบัญภาพประกอบ
ภาพที่ หน้า
1 แผนภูมิพาเรโตแสดงข้อบกพร่ องต่างๆที่พบในชิ้นงานช่วงเดือน
มิถุนายน – กันยายน 2554 …………………………………………… 4
2 แสดงลักษณะชิ้นงานที่เป็ นตามด …………………………………………… 4
3 แสดงลักษณะของรู พรุ นเนื่องจากการหดตัวเมื่อสังเกตด้วยตาเปล่า ………… 17
4 แสดงลักษณะรู พรุ นเนื่องจากแก็สเมื่อสังเกตด้วยตาเปล่า …………………… 18
5 แสดงชิ้นงานที่น้ าํ โลหะไหลเข้าโพรงแบบไม่เต็ม …………………………… 20
6 แสดงลักษณะของผิวชิ้นงานที่หยาบ ………………………………………… 21
7 แสดงลักษณะฟองโลหะบนชิ้นงานหล่อ ……………………………………. 23
8 แสดงลักษณะคราบนํ้าบนผิวชิ้นงาน ………………………………………... 24
9 แสดงชิ้นงานหล่อเปราะ ……………………………………………………... 24
10 แสดงชิ้นงานหล่อเป็ นครี บ …………………………………………………... 25
11 แสดงชิ้นงานที่มีผวิ หยาบและดําเนื่องจากออกซิไดซ์ ………………………... 26
12 แสดงชิ้นงานหล่อที่มีสิ่งแปลกปลอมปน …………………………………….. 27
13 แนวความคิดของการเทียบเคียงค่า Z ………………………………………… 30
14 ความหมายของสัญลักษณ์ตารางออทอกอนอล อะเรย์ ………………………. 35
15 ลิเนียร์กราฟมาตรฐานของตารางออทอกอนอล อะเรย์ L8 (27) ……………….. 36
16 การเปรี ยบเทียบในการพิจารณาระดับขั้นความอิสระ ……………………….. 37
17 ลิเนียร์กราฟ L 4 (23) …………………………………………………………...
39
18 แสดงลักษณะความเบ้รูปทรงต่างๆ ………………………………………….. 43
19 แสดงลักษณะความโด่งในลักษณะต่างๆ …………………………………….. 43
20 แสดงขั้นตอนในการศึกษา …………………………………………………… 52
21 แสดงลําดับขั้นตอนของกระบวนการหล่อเครื่ องประดับ ……………………. 53
22 แสดงแผนผังก้างปลาแสดงสาเหตุที่คาดว่ามีผลต่อปัญหาของชิ้นงาน
ญ
เครื่ องประดับทอง …………………………………………………… 54
23 แสดงหัวเจาะอุปกรณ์ที่ใช้ในการทําพิมพ์ …………………………………… 63
24 แสดงเหล็กฝังพลอยประเภทต่างๆใช้สาํ หรับการทําพิมพ์ …………………… 64
25 แสดงแม่พิมพ์ยาง ……………………………………………………………. 64
สารบัญภาพประกอบ
ภาพที่ หน้า
26 แสดง ก) เครื่ องอัดแม่พิมพ์ยาง ข) แผ่นประกบกรอบ ค) กรอบ (บล็อก)
อะลูมิเนียม …………………………………………………………… 65
27 แสดงเทียนสําหรับฉี ดเทียนในงานหล่อเครื่ องประดับ ………………………. 65
28 แสดงเครื่ องฉี ดเทียนระบบสุ ญญากาศ ………………………………………. 66
29 แสดงเครื่ องคว้านขนาดแหวน ตะไบเทียน และวงเวียน …………………….. 66
30 แสดงขี้ผ้ งึ ดูดจับพลอย ………………………………………………………. 66
31 แสดงอุปกรณ์วดั ขนาดพลอย ………………………………………………... 67
32 แสดงหัวแร้งหรื อปากกาเชื่อมเทียน …………………………………………. 67
33 แสดงฐานยาง ………………………………………………………………... 68
34 แสดงเครื่ องชัง่ นํ้าหนักละเอียดแม่นยําสู ง …………………………………… 68
35 แสดงกระบอกปูน …………………………………………………………… 69
36 แสดงเครื่ องผสมปูน ……………………………………………………….... 69
37 แสดงเครื่ องดูดสุ ญญากาศ …………………………………………………... 69
38 แสดงเตาอบปูน ……………………………………………………………... 70
39 แสดงเครื่ องหล่อสุ ญญากาศ …………………………………………………. 70
40 แสดงผลการประมวลผลการตรวจสอบคุณภาพงานในระยะสั้น ……………. 73
41 แสดงการประมาณค่าแบบช่วงของเปอร์เซ็นต์ค่าการตรวจซํ้า ………………. 74
42 แสดงผลการประมวลผลของระบบการตรวจสอบ …………………………... 76
43 แสดงแผนภูมิควบคุมของข้อมูลที่เก็บเพื่อวิเคราะห์ความสามารถของ
กระบวนการ …………………………………………………………. 79
44 แสดงผลการคํานวณหาขนาดของสิ่ งตัวอย่าง ……………………………….. 80
45 แสดงการแจกแจงแบบปกติของค่า Residual ………………………………… 81
ฎ
46 แสดงกราฟระหว่าง ค่าความคลาดเคลื่อนกับค่าพยากรณ์ของข้อมูล ………… 82
47 แสดงการทดสอบข้อมูลเป็ นตัวแปรสุ่ มและมีความเป็ นอิสระต่อกัน ………… 82
48 แสดงผลของอิทธิพลหลัก …………………………………………………… 84
49 แสดงผลของอิทธิพลหลักของค่า S/N ratios ………………………………… 86
สารบัญภาพประกอบ
ภาพที่ หน้า
50 แสดงกราฟเส้นโครงร่ างของค่าผลผลิตจากอิทธิพลร่ วมของทั้ง 3 ปัจจัย ........ 86
51 แสดงพื้นผิวตอบสนองของอิทธิพลร่ วมระหว่างปัจจัย ทั้ง 3 ปั จจัย …………. 87
52 แสดงปั จจัยที่บริ เวณเหมาะสมของค่าทั้ง 3 ปั จจัย …………………………… 88
53 แสดงแผนภูมิควบคุมของข้อมูลที่เก็บเพื่อวิเคราะห์ความสามารถของ
กระบวนการ ………………………………………………………… 89
ฏ
1
บทที่ 1
บทนํา
1
2
2
ตารางที่ 2 อันดับชนิดของข้อบกพร่ องที่พบมากในช่วงเดือนมิถุนายน 2554 – พฤษภาคม 2555
ชนิด จํานวนข้อบกพร่ องของชิ้นงานแต่ละเดือน (ชิ้น)
ข้อบกพร่ อง 6/54 7/54 8/54 9/54 10/54 11/54 12/54 01/55 02/55 03/55 04/55 05/55 รวม
ตามด 1,456 2,324 3,317 3,694 3,645 3,396 3,189 1,521 1,347 1,571 1,477 1,367 28,304
ตัวเรื อนผุ 1,167 1,780 2,522 2,889 3,179 3,037 2,921 1,244 1,254 1,350 1,270 1,283 23,896
ขัดไม่
1,112 2,037 2,577 2,311 2,479 2,677 2,259 1,005 1,065 1,248 1,053 991 20,814
เกลี้ยง
ผืน่ 884 1472 2,237 2,073 2,021 2,048 1,740 844 823 882 768 824 16,616
ตัวเรื อน
439 715 783 685 913 809 628 313 299 333 243 265 6,425
เป็ นรอย
ตอกตรา 126 518 401 482 381 327 401 172 156 169 161 127 3,421
ตัวเรื อน
78 313 316 177 163 234 246 67 51 76 62 71 1,854
เป็ นคลื่น
รอย
กระดาษ 48 242 141 84 114 156 138 42 27 58 53 32 1,135
ทราย
อื่นๆ 35 142 53 72 71 110 40 11 10 42 22 27 635
รวม 5,345 9,543 12,347 12,467 12,966 12,794 11,562 5,219 5,032 5,729 5,109 4,987 103,100
3
14
แผนภูมิพาเรโตแสดงข้อบกพร่ องต่างๆที่พบในชิ้นงาน
อื่นๆ
เป็ นรอย
ขัดไม่เกลี้ยง
ตัวเรื อนผุ
ตามด
ตอกตรา
ผืน่
ลักษณะตามด (ดังภาพที่ 2) มีลกั ษณะเป็ นรู และลึก มีเป็ นบางจุด แต่ไม่กระจายทัว่ ชิ้นงาน
ซึ่งชิ้นงานที่ปรากฏลักษณะดังกล่าวจะต้องนํามาทําการแก้ไขงานใหม่ (Rework) โดยการนําไปขัด
ผิวใหม่, ตีผวิ เพื่อปิ ดรู พรุ น หรื อชุบเพื่อปิ ดรอยพรุ น
เมื่อได้ทาํ การวิเคราะห์สาเหตุของปั ญหาการเกิดตามดในเครื่ องประดับทองโดยการระดม
สมองของผูท้ ี่รับผิดชอบในกระบวนการผลิตนี้ พบว่า การควบคุมระดับอุณหภูมิอบเบ้าปูนอุณหภูมิ
หลอมโลหะ และอุณหภูมิเบ้าปูนสําหรับการหล่อ
1
52
1.3 กรอบแนวความคิด
ตัวแปรอิสระ กระบวนการวิจัย ตัวแปรตาม
2
36
1.5 ขอบเขตการวิจัย
1.5.1 ทําการศึกษาและวิเคราะห์เฉพาะกระบวนการหล่อของชิ้นงานเครื่ องประดับ ซึ่ งเป็ น
ชิ้นงานแหวนรหัส R-10021 ตัวเรื อนทํามาจากทองสี ขาว 18 กะรัตผสมแพลเลเดียม (18 K
Palladium White Gold)
1.5.2 เลือกทําการศึกษาปั จจัยเฉพาะอุณหภูมิอบปูน อุณหภูมิหลอมโลหะ และอุณหภูมิเบ้า
ปูนสําหรับการหล่อของกระบวนการหล่อเครื่ องประดับทอง
1.5.3 การออกแบบการทดลองด้วยวิธีการทากูชิในการศึกษาควบคุมคุณภาพเครื่ องประดับ
ทอง
1.7 นิยามคําศัพท์
การหล่ อเครื่องประดับ (Jewelry Casting) หมายถึง กระบวนการหล่อเครื่ องประดับด้วยการ
หล่อแบบประณี ต จะได้ชิ้นงานที่มีรายละเอียดดีกว่าแบบหล่อชนิ ดอื่นๆ มีขนาดเที่ยงตรงและมีการ
ตบแต่งน้อย
กระบวนการหล่ อประณีต (Investing Casting) หมายถึง กระบวนการหล่อโลหะแบบหนึ่ง
ซึ่งเริ่ มจากการทําต้นแบบ ซึ่งมีรูปร่ างเหมือนชิ้นงานจากขี้ผ้ งึ (Wax) หลังจากนั้นจะนําต้นแบบขี้ผ้ งึ
นี้ไปจุ่มในสลิปของวัสดุทนไฟเพื่อให้วสั ดุทนไฟเกาะโดยรอบขี้ผ้ งึ จากนั้นจะนําไปให้ความร้อน
เพื่อไล่ข้ ีผ้ งึ ออกไป ทําให้เกิดเป็ นแม่พิมพ์ ซึ่งมีโพรงภายใน ซึ่งจะใช้ในการเทนํ้าโลหะขึ้นไปได้ มี
ความหมายเหมือนกับหล่อแบบขี้ผ้ งึ หาย (Lost Wax Casting)
ทอง 18 K (Gold 18 Karat) หมายถึง เครื่ องประดับที่ใช้ทองเป็ นวัสดุหลักในการหล่อตัว
เรื อน ซึ่ งตามข้อกําหนดสํานักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ได้กาํ หนดให้ใช้ทองเป็ นวัสดุหลักโดยที่
ทองมีความบริ สุทธิ์ไม่ต่าํ กว่า 75.0 เปอร์เซ็นต์
3
7
บทที่ 2
ทฤษฎีและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้ อง
ในการศึ ก ษาวิ ท ยานิ พ นธ์ น้ ี จัด ทํา ขึ้ น เพื่ อ ศึ ก ษาปั จ จัย ที่ เ กี่ ย วข้อ งกับ กระบวนการหล่ อ
ผลิตภัณฑ์เครื่ องประดับทองที่เหมาะสม กรณี ศึกษาโรงงานเครื่ องประดับ และเพื่อแก้ไขปั ญหาเรื่ อง
คุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดของเสี ยและงานซ่ อมจากการผลิต โดยผูว้ ิจยั ได้ทาํ การรวบรวมเอกสาร
แนวความคิ ด และงานวิ จ ัย ที่ เ กี่ ย วข้อ งกับ วิ ท ยานิ พ นธ์ โดยเนื้ อ หาที่ เ กี่ ย วของจะแยกตามส่ ว น
ดังต่อไปนี้
1.โลหะวิทยาเบื้องต้นสําหรับทองคํา
2. การผลิตเครื่ องประดับแบบหล่อ
3. ประเภทการหล่อ
4. ข้อบกพร่ องในงานหล่อตัวเรื อนเครื่ องประดับ
5. การออกแบบการทดลอง (DOE: Design of Experiment)
6. งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
7
8
ได้ค่า ที่ ไม่ แ ม่ น ยํา นัก ควรใช้ห ลัก การหาช่ ว งการหลอมเหลว เช่ น วัด หากราฟแสดงการเย็น ตัว
(Cooling curve)
สําหรับในกรณี ที่ตอ้ งการหล่อชิ้นงานจํานวนมาก จะทําต้นขนาดใหญ่ ช่วยทําให้มีกระบอก
ขนาดใหญ่น้ ัน ได้มีคนเคยประดิ ษฐ์เครื่ องจักรที่ หล่อชิ้ นงานที่ ติดในกระบอกขนาดใหญ่ออกมา
พบว่า ผลที่ได้ไม่ดีนกั เพราะการหล่อชิ้นงานต้นใหญ่หรื อติดชิ้นงานจํานวนมาก เพราะทําให้ความ
ดัน และอุณหภูมิในแต่ละจุดไม่เท่ากัน และคุณภาพงานหล่อที่ได้ไม่ดี คือ ส่ วนยอดกับส่ วนปลายมี
คุณภาพไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงควรใช้ตน้ ขนาดเล็ก และจํานวนหลายต้นแทนต้นที่มีขนาดใหญ่ และติด
ชิ้นงานจํานวนมาก
2.4.2.1 ให้ความร้อนแก่โลหะมากเกินไป
การแก้ไข ลดอุณหภูมิของโลหะระว่างการหล่อ ถ้าโลหะถูกให้ความร้อนมาก
เกินไปและเทลงในแม่พิมพ์ซ่ ึงร้อนเกินไป ซึ่งหมายความว่าจําเป็ นต้องใช้เวลานานขึ้นในการแข็งตัว
และทําให้ผวิ ชิ้นงานสัมผัสกับปูนหล่อนานขึ้น การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะเพิม่ ความเสี่ ยงของการเกิด
แก็สจากปูนหล่อ การลดอุณหภูมิของโลหะจะทําให้สามารถลดเวลาที่น้ าํ โลหะสัมผัสกับปูนหล่อได้
2.4.2.2 อากาศภายในเตาไม่ถ่ายเท
การแก้ไข เพิ่มการถ่ายเทและการระบายอากาศในเตาอบ ตรวจสอบเตาอบเพื่อให้
แน่ใจว่ามีอากาศไหลเข้าและระบายออกอย่างพอเพียง อาจจะเจาะรู ที่ประตูเตาอบ 2-3 รู เพื่อให้
แน่ใจว่ามีช่องระบายอากาศเพื่อไห้มีการไหลของอากาศอย่างพอเพียง ถ้าสังเกตเห็นรอยวงสี เหลือง
บนปูนหล่อหลังจากทําการหลอมเรี ยบร้อยแล้ว, ได้กลิ่นคล้ายไข่เน่ าเมื่อนําเบ้าหล่อไปจุ่มนํ้า
หลังจากที่อบเสร็ จแล้ว หรื อปูนหล่อมีสีดาํ หลังจากที่หล่อเรี ยบร้อยแล้ว สิ่ งเหล่านี้ เป็ นบ่งบอกว่าได้
เกิดปฏิกิริยาของแก็สกํามะถันในเตาอบ การปรับปรุ งการไหลเวียนของอากาศและการเพิ่มเวลาอบ
จะช่วยกําจัดปั ญหาเหล่านี้
2.4.2.3 เวลาอบปูนหล่อไม่พอเพียง
การแก้ไข เพิ่มเวลาในการอบปูนที่อุณหภูมิสูงสุ ดในการอบ อะตอมคาร์ บอนที่
เหลือจากเทียนอาจจะทําปฏิกิริยากับโลหะในขณะไหลสู่ แม่พิมพ์และทําให้เกิดแก็สขึ้น แก็สเหล่านี้
จะถูกดักไว้ภายใต้พ้นื ผิวของโลหะที่แข็งตัวแล้วทําให้เกิดรู พรุ นเนื่องจากแก็สขึ้น
2.4.2.4 เบ้าร้อนเกินไป
การแก้ไข ลดอุณหภูมิเบ้าลง การเพิ่มอุณหภูมิในบรรยากาศตํ่าภายในเตาอบเป็ น
สาเหตุก่อให้เกิดแคลเซียมซัลเฟตภายในปูนหล่อเนื่องมาจากการสลายตัวของผิวปูนหล่อ และปล่อย
ซัลเฟอร์ ออกมา เมื่อนํ้าโลหะถูกหล่อภายในแม่พิมพ์จะเกิดซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ข้ ึน และถูกดูดซึ ม
โดยโลหะในขณะที่ยงั เหลวอยูก่ ่อให้เกิดรู พรุ น เนื่องจากแก็สซัลเฟอร์ การลดอุณหภูมิเบ้าจะทําให้
โลหะเย็นตัวเร็ วขึ้นจึงทําให้ผวิ ของชิ้นงานกลายเป็ นของแข็งและไม่สามารถดูดซับแก็สได้
2.4.2.5 ใช้เศษโลหะจากงานหล่อเก่ามาหลอมใหม่บ่อยเกินไป
การแก้ไข ทําความสะอาดโลหะก่อนนํามาหลอมใหม่ หรื อใช้เศษโลหะจากการ
หล่อเก่าไม่เกิน 50% การใช้เศษโลหะหล่อเก่านั้นมีโอกาสทําให้สิ่งแปลกปลอมต่างๆ เข้าสู่ น้ าํ โลหะ
ได้ส่ิ งแปลกปลอมเหล่านี้ทาํ ให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีซ่ ึงมีแก็สเป็ นสารผลิตภัณฑ์ และนําไปสู่ รูพรุ น
เนื่องจากแก็สในงานหล่อเครื่ องประดับ
2.4.2.6 มีออกซิเจนมากเกินไปในเปลวไฟหลอมโลหะ
20
ภาพที่ 6 แสดงลักษณะของผิวชิ้นงานที่หยาบ
สาเหตุของการเกิดผิวของชิ้นงานหยาบมีดงั นี้
2.4.4.1 ผิวของชิ้นงานต้นแบบหยาบ
การแก้ไข สร้างชิ้นงานต้นแบบและแม่พิมพ์ข้ ึนใหม่ ชิ้นงานที่ได้จากการหล่อนั้น
ไม่มีทางที่จะดี ไปกว่าชิ้นงานต้นแบบ ดังนั้นจึงควรให้ความสนใจในทุกรายระเอียดของชิ้นงาน
ต้นแบบแม้ว่าจะใช้เวลาอย่างมากในการสร้างชิ้ นงานต้นแบบก็ตาม การชุบชิ้นงานต้นแบบด้วย
โรเดียมสามารถป้ องกันการหมองระหว่างการอบแม่พิมพ์ยางได้
22
2.4.4.2 ผิวชิ้นงานเทียนหยาบ
การแก้ไข ลดผงแป้ งที่ใช้ระหว่างขั้นตอนการฉี ดเทียน การมีผงแป้ งติดที่แม่พิมพ์
ยางมากเกินไปนั้นจะทําให้ชิ้นงานเทียนที่ได้มีผวิ หยาบซึ่งจะส่ งผลโดยตรงต่อชิ้นงานหล่อ
2.4.4.3 เบ้าร้อนเกินไป
การแก้ไข ลดอุณหภูมิเบ้า ถ้าอุณหภูมิที่ใช้อบเบ้าหล่อสู งเกินกว่า 760 องศา
เซลเซี ยสจะทําให้ปูนหล่อเริ่ มแตกตัว ดังนั้นนํ้าโลหะจึงสามารถแทรกซึ มไปตามรู ที่ผิวของผนัง
โพรงแบบได้
2.4.4.4 นํ้าโลหะร้อนเกินไป
การแก้ไข ลดอุณหภูมิการหล่อ ถ้าอุณหภูมิของโลหะสู งเกินไปจะส่ งผลทําให้เกิด
แก็สซัลเฟอร์ ซึ่งแก็สเหล่านี้ จะถูกดักอยูภ่ ายใต้ผวิ โลหะเมื่อขัดชิ้นงานแล้วจะเห็นเป็ นลักษณะคล้าย
ผิวหยาบ
2.4.4.5 ทางนํ้าโลหะที่ไม่เหมาะสม
การแก้ไข ปรับระบบทางนํ้าโลหะ หลีกเลี่ยงการใช้ทางนํ้าซึ่งทําให้การไหลของนํ้า
โลหะไม่ราบเรี ยบและทางนํ้าที่มีความโค้งมาก การไหลแบบปั่ นป่ วนนั้นจะทําให้เกิดการกัดกร่ อน
ของโพรงแบบ ซึ่งเป็ นสาเหตุหนึ่งที่ทาํ ให้งานหล่อที่ได้มีผวิ หยาบ ควรให้ความใส่ ใจต่อการติดทาง
นํ้าโลหะกับชิ้นงาน
2.4.4.6 ใช้เวลาในการละลายเทียนออกจากโพรงแบบนานเกินไป
การแก้ไข ใช้เวลาในการละลายเทียนไม่เกิน 1 ชัว่ โมง จุดประสงค์ง่ายๆ ของการ
ละลายเทียนโดยใช้ไอนํ้า คือ เพื่อกําจัดเทียนซึ่งอยูใ่ นเบ้าปูนเพื่อให้เกิดโพรงแบบหล่อ แต่ถา้ ใช้เวลา
ในการละลายเทียนมากเกินไปจะส่ งผลเสี ยต่อปูนหล่อ เนื่องจากเกิดการสึ กกร่ อน
2.4.4.7 เบ้าปูนไม่ได้ถูกทิ้งให้แข็งตัวนานพอก่อนที่จะอบ
การแก้ไข วางเบ้าปูนทิ้งไวอย่างน้อย 1 ชัว่ โมงก่อนทําการละลายเทียนออกจาก
โพรงแบบ ถ้าขั้นตอนละลายเทียนออกจากแม่พิมพ์เร็ วเกินไปจะทําให้ผิวงานหล่อเกิดการกัดกร่ อน
ได้
2.4.4.8 ใช้อตั ราส่ วนผสมปูนหล่อกับนํ้าไม่เหมาะสม
การแก้ไข ผสมอัตราส่ วนปูนและนํ้าตามที่ผผู ้ ลิตระบุไว้ สาเหตุหลักของการเกิด
ผิวชิ้นงานหยาบ คือ อัตราส่ วนผสมที่มีปริ มาณนํ้ามากเกินไป
2.4.4.9 เบ้าปูนได้รับความร้อนเร็ วเกินไป
การแก้ไข อบเบ้าปูนโดยทําตามวัฏจักรการอบเบ้าปูน ถ้าให้ความร้อนแก่เบ้าปูน
เร็ วเกินไป จะทําให้มีเทียนหลงเหลือในโพรงแบบซึ่ งจะทําให้เกิดการกัดกร่ อนที่ผวิ ของโพรงแบบ
23
ภาพที่ 7 แสดงลักษณะฟองโลหะบนชิ้นงานหล่อ
ภาพที่ 8 แสดงลักษณะคราบนํ้าบนผิวชิ้นงาน
สาเหตุการเกิดคราบนํ้าที่ผวิ ชิ้นงาน
2.4.6.1 ไม่ทาํ ตามคําแนะนําของผูผ้ ลิตในขั้นตอนผสมปูน
การแก้ไข ทําตามขั้นตอนการผสมปูนซึ่ งผูผ้ ลิตแนะนํา ถ้าไม่ใช้เวลาในการผสม
ปูนที่กาํ หนดจะทําให้เกิดการแยกชั้นของปูนหล่อซึ่งเป็ นสาเหตุทาํ ให้เกิดคราบนํ้า
2.4.6.2 ผสมนํ้ามากเกินไป
การแก้ไข ใช้อตั ราส่ วนของนํ้าและผงปูนหล่อตามที่ผผู ้ ลิตแนะนํา
2.4.7 ชิ้นงานเปราะ
ภาพที่ 9 แสดงชิ้นงานหล่อเปราะ
สาเหตุการเกิดข้อบกพร่ องเนื่องจากชิ้นงานเปราะแตกหักง่าย
2.4.7.1 ใช้โลหะอัลลอยที่ไม่เหมาะสม
การแก้ไข ใช้โลหะอัลลอยที่มีคุณภาพ โลหะคุณภาพตํ่าจะมีออกไซด์และซัลไฟด์
ผสมอยู่ ซึ่งทําให้ชิ้นงานที่หล่อได้มีความเปราะแตกหักง่าย
2.4.7.2 อุณหภูมิของนํ้าโลหะตํ่าเกินไป
การแก้ไข เพิ่มอุณหภูมิหล่อ ถ้านํ้าโลหะซึ่งเทเข้าสู่ โพรงแบบมีอุณหภูมิต่าํ เกินไป
นํ้าโลหะ จะเกิดการเย็นตัวอย่างรวดเร็ วทําให้เกิดโครงสร้างผลึกเล็กๆ ซึ่ งมีความแข็งแรงตํ่า จึงทํา
ให้ชิ้นงานหล่อที่แตกหักได้ง่าย
25
2.4.7.3 อุณหภูมิเบ้าตํ่าเกินไป
การแก้ไข เพิ่มอุณหภูมิเบ้า ถ้านํ้าโลหะถูกเทเข้าไปในเบ้าปูนที่มีอุณหภูมิต่าํ จะเกิด
การถ่ายเทความร้อนจากโลหะสู่ เบ้าปูนทําให้โลหะเย็นตัวอย่างรวดเร็ ว ซึ่ งก่อให้เกิดผลึกเล็กๆ ใน
ชิ้นงานหล่อที่แข็งตัว โครงสร้างโลหะชนิดนี้มีความเปราะบางสูง จึงทําให้แตกร้าวได้ง่าย
2.4.7.4 มีอะตอมคาร์บอนอยูใ่ นส่ วนที่บางของโพรงแบบ
การแก้ไข เพิ่มเวลาในการอบปูนที่อุณหภูมิสูงสุ ดในการอบ อะตอมคาร์ บอนที่อยู่
ในส่ วนที่บางของโพรงแบบจะทําให้เกิดการสลายตัวของปูนหล่อที่อุณหภูมิต่าํ กว่า 750 องศา
เซลเซี ยสการที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในชิ้นงานส่ วนที่บางจะทําให้ความแข็งแรงของชิ้นงานบริ เวณ
นั้นตํ่า จึงแตกหักได้ง่าย
2.4.7.5 ใช้ปริ มาณโลหะเก่าในการหล่อมากเกินไป
การแก้ไข ใช้โลหะเก่าในการหล่อไม่เกิน50% หรื อใช้โลหะที่สะอาดในการหล่อ
การนําเศษโลหะหล่อเก่ามาหลอมใหม่อาจทําให้เกิดออกไซด์ของทองแดงในการหลอม
2.4.8 ชิ้นงานหล่อเป็ นครี บ
ภาพที่ 12 แสดงชิ้นงานหล่อที่มีสิ่งแปลกปลอมปน
2.5 การออกแบบการทดลอง
2.5.1 วิเคราะห์ระบบการวัด
กิติศกั ดิ์ พลอยพานิ ชเจริ ญ (2546: 119) ได้กล่าวไว้ว่า ในการศึกษาความสามารถของ
กระบวนการวัดแบบอาศัยข้อมูลนับนี้ จะเป็ นการประเมินโดยการเปรี ยบเที ยบชิ้ นงานที่ทาํ การ
28
จํานวนครั้งที่ผลการตรวจสอบ
% ความไม่ไบอัสของพนักงานตรวจสอบ = เหมือนกันและถูกต้อง (2)
จํานวนชิ้นงานตรวจสอบ
จํานวนครั้งที่ผลการ
% ประสิ ทธิผลด้านรี พีททะบิลิต้ ีของการตรวจสอบ = ตรวจสอบเหมือนกัน (3)
จํานวนชิ้นงานตรวจสอบ
จํานวนครั้งที่พนักงานตรวจสอบทุกคน
% ประสิ ทธิผลด้านไบอัสของการตรวจสอบ = ตรวจสอบได้ถูกต้องเหมือนกัน (4)
จํานวนชิ้นงานตรวจสอบ
2.5.1.2 การวิเคราะห์ผลของระบบการตรวจสอบ
แนวความคิดของการทดสอบสมมติ ฐานจากตารางไขว้จะพิจารณาจากผลการ
ตรวจสอบที่ให้ผลเหมือนกันของพนักงานทั้งสองคนโดยอาศัย Cohen’s Kappa หรื อสัมประสิ ทธิ์
ของ Kappa และ Kendall’s โดย
Kappa = P 0 – P e (5)
1-Pe
เมื่อ P 0 = ผลรวมของค่าสัดส่ วนของค่าสังเกตในแนวทแยงมุม
P e = ผลรวมของค่าสัดส่ วนคาดหมายในแนวทแยงมุม
ในการวิเคราะห์ผลการตรวจสอบนี้ อาจจะทําการวิเคราะห์ถึงความสามารถของ
พนักงานตรวจสอบแต่ละคนได้ โดยการพิจารณาถึ งความมี ประสิ ทธิ ผลของพนักงานแต่ละคน
29
OE = จํานวนครั้งที่บ่งได้อย่างถูกต้อง (6)
โอกาสทั้งหมด (opportunity) ที่ถูกต้อง
I FA = จํานวนครั้งที่ปฏิเสธผิดพลาด (7)
โอกาสทั้งหมด (opportunity) ที่ปฏิเสธผิดพลาด
B FA
IB = (9)
B MISS
สัดส่ วนผลิตภัณฑ์บกพร่ อง
0.135 %
ภาพที่ 13 แนวความคิดของการเทียบเคียงค่า Z
P R Bench = 1 (12)
P p Bench
1
P pkR Bench = Z Bench (13)
3
โดยที่ Z Bench ได้จากการกําหนดให้สัดส่ วนผลิตภัณฑ์บกพร่ องอยูท่ ี่ดา้ นใดด้าน
หนึ่งของค่ากลางเพียงก้านเดียว
31
จํานวนปัจจัยสูงสุ ด
จํานวน 8 การทดลอง
ของตาราง
L 8 (27)
2 ระดับปัจจัย
ระดับขั้นของความอิสระของปัจจัย A x B = (ระดับขั้นความอิสระปัจจัย A)
x (ระดับขั้นความอิสระปัจจัย B)
= (2-1) x (2-1) =1
ระดับขั้นความอิสระของตารางออทอกอนอล อะเรย์ (Peace, 1993: 250)
ระดับขั้นความอิสระของตารางออทอกอนอล อะเรย์ จะมีค่าเท่ากับ ระดับขั้นความอิสระของปั จจัย
ในแต่ละคอลัมน์คูณด้วยจํานวนคอลัมน์ หรื ออาจบอกได้ว่า ระดับขั้นของความอิสระของตารางออ
ทอกอนอลอะเรย์ จะมีค่าเท่ากับ จํานวนการทดลอง – 1
ดังนั้น ระดับขั้นความอิสระของตาราง = (ระดับของปัจจัย-1) x จํานวนคอลัมน์ (16)
ตัวอย่างเช่น ออทอกอนอล อะเรย์ L 9 (34) จะมีคอลัมน์ท้ งั หมดเท่ากับ 4 และระดับปัจจัย
เท่ากับ 3
เพราะฉะนั้น
ระดับขั้นความอิสระของตาราง = (ระดับของปั จจัย-1) x จํานวนคอลัมน์
= (3-1) x 4 =8
2.5.4.3 การเลือกตารางออทอกอนอล อะเรย์ (Belavendram, 1995: 87)
การเลือกตารางออทอกอนอล อะเรย์ จะพิจารณาจากผลรวมของระดับขั้นความ
อิสระของปั จจัยหลัก และปั จจัยร่ วม แล้วนํามาพิจารณาเปรี ยบเทียบกับระดับขั้นความอิสระของ
ตารางออทอกอนอลอะเรย์ โดยมีการคํานวณดังนี้
การคํานวณระดับขั้นความอิสระของปัจจัยหลัก และปั จจัยร่ วมในการทดลอง
ระดับขั้นความอิสระของปั จจัยหลัก = (ระดับปัจจัย-1) x จํานวนปั จจัยหลัก (17)
ระดับขั้นความอิสระทั้งหมดของปัจจัย = ระดับขั้นความอิสระของปัจจัยหลัก +
ระดับขั้นความอิสระขอปัจจัยร่ วม (19)
นําผลการคํานวณระดับขั้นความอิสระทั้งหมดของปั จจัย มาเปรี ยบเทียบกับระดับขั้นความ
อิสระของตารางออทอกอนอล อะเรย์ มาตรฐาน โดยเลือกตารางออทอกอนอล อะเรย์ ที่มีระดับขั้น
ความอิสระมากกว่าหรื อเท่ากับ ระดับขั้นความอิสระทั้งหมดของปัจจัย
39
5.4.4.1 การกําหนดปัจจัยในลิเนียร์กราฟ
ในการกําหนดปั จจัยลงในตารางออทอกอกนอล อะเรย์ โดยใช้ลิเนี ยร์
กราฟปฏิบตั ิตามขั้นตอนดังนี้ (Peace, 1993: 170)
1. การเลือกตารางออทอกอนอล อะเรย์ ในขั้นตอนนี้ จะต้องทําการคํานวณหาค่า
ระดับขั้นความอิสระของปั จจัยหลักและปั จจัยร่ วม โดยระดับขั้นความอิสระของปั จจัยที่ทดลอง
จะต้องน้อยกว่าหรื อเท่ากับ ระดับขั้นความอิสระของตารางออทอกอนอล อะเรย์มาตรฐาน
40
i - y
ดังนั้น ค่าความแปรปรวน (S หรื อ σ ) =
2 2 i =1
(23)
n -1
โดยที่ n คือ จํานวนสิ่ งตัวอย่างที่ตอ้ งการ
yi คือ ข้อมูลของสิ่ งตัวอย่างที่น่าสนใจ
y คือ ค่าเฉลี่ยของข้อมูลของสิ่ งตัวอย่างที่สนใจ
2.5.6.1.2 ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ : Standard Deviations) ความ
แปรปรวนที่ได้จะมีค่ามากกว่าความเป็ นจริ ง เนื่ องมาจากยกกําลังสองของค่าความเบี่ยงเบน ดังนั้น
จึงสามารถหาค่าความเบี่ยงเบนที่แท้จริ งได้ดว้ ยการถอดรากที่สองของค่าความแปรปรวน และเรี ยก
ค่านี้วา่ ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งจะเป็ นค่าที่ใช้อนุมานความเบี่ยงเบนของประชากรได้ดีที่สุด
∑ (y )
n 2
i -y
S หรื อ σ = S =
2 i =1
(24)
n -1
2.5.6.2.2 ความโด่ง
ความโด่ ง หมายถึ ง ลักษณะสมบัติของรู ปทรงของรู ปแบบข้อมูลที่ ใช้
พิจารณาว่ารู ปแบบของข้อมูลมีความสู งเพียงใด ความโด่งของรู ปแบบของข้อมูลจะจําแนกลักษณะ
ของรู ปทรงได้ออกเป็ น 3 ประเภท โดยภาพที่ 20 ได้แสดงรู ปทรงความโด่งในลักษณะต่าง ๆ คือ
∑y i
y= i =1
(25)
n
ตารางที่ 5 หลักการเลือกใช้เทคนิคการออกแบบการทดลองให้เหมาะสม
ลักษณะปั ญหา เทคนิคทากูชิ เทคนิคดั้งเดิม
สามารถหาคู่ปัจจัยทุกคู่ที่มีผลกระทบระหว่างกัน X ⁄
สามารถหาค่าที่ดีที่สุดของเงื่อนไข X ⁄
สร้างสมการทํานายค่าเป้ าหมายที่เพิ่มสมรรถนะให้กระบวนการ X ⁄
สามารถหาค่าปั จจัยหลักและปั จจัยที่เกิดผลกระทบร่ วม X ⁄
สามารถนําไปประยุกต์ใช้งานได้ง่าย ⁄ X
สามารถลดความผันแปรของกระบวนการ ⁄ X
สามารถหาปั จจัยที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ ⁄ X
สามารถใช้ค่าความคลาดเคลื่อนของปัจจัยที่กระบวนการ ⁄ X
สามารถยอมรับความผันแปรที่เกิดขึ้นได้
ที่มา: Jiju Antony. (1997). “A strategic approach to the use of advanced statistical methods for
quality improvement.” PhD thesis, Portsmouth Business School , University of Portsmouth.
แบบเต็มส่ วน (Full Factorial Design) ด้วย 6 ปั จจัยหลัก 2 ระดับ ทําซํ้า 3 ครั้ง และมี 6 เงื่อนไขการ
ทดลอง จึงมีการทดลองทั้งหมด 1,152 การทดลอง แต่เทคนิ คทากูชิที่เงื่อนไขเดียวกันศึกษา 6 ปั จจัย
หลัก 2 ระดับและมีปัจจัยรบกวน 6 ปั จจัย ใช้การจัดเรี ยงแบบออโธกอนอล (Orthogonal Array; OA)
L12 ทําซํ้า 3 ครั้ง มีการทดลองทั้งหมด 432 การทดลอง ดังแสดงในตารางที่ 6
บทที่ 3
วิธีดําเนินงานวิจัย
การศึ ก ษาวิ ท ยานิ พ นธ์ ใ นครั้ งนี้ มุ่ ง เน้ น ศึ ก ษาที่ ปั จ จั ย ที่ มี ผ ลต่ อ กระบวนการหล่ อ
เครื่ องประดับทอง เพื่อหาระดับพารามิเตอร์ ที่เหมาะสมที่สุดของกระบวนการหล่อเครื่ องประดับ
ทอง ซึ่งในการวิจยั มีลาํ ดับดังต่อไปนี้
1. วิธีการศึกษาที่นาํ มาใช้
2. ขั้นตอนในการศึกษา
3. เครื่ องมือที่นาํ มาใช้ในการเก็บข้อมูล
4. เครื่ องจักร เครื่ องมือ และอุปกรณ์ที่ใช้
5. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
6. สถานที่เก็บข้อมูล
7. ข้อมูลที่ใช้ในการทดลอง
8. วิธีการเก็บข้อมูล
9. การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
3.2 ขั้นตอนในการศึกษา
ทําความเข้าใจถึงปั ญหา ศึกษากระบวนการหล่อเครื่ องประดับจากสื่ อความรู ้, จากสถาน
ประกอบการ และสอบถามผูร้ ู ้/ผูเ้ ชี่ยวชาญ กระบวนการหล่อเครื่ องประดับทอง
1. เลือกปั จจัย ระดับ และขอบเขต เพื่อทําการทดลอง กําหนดขอบเขตที่ปัจจัยเหล่านี้ และ
กําหนดระดับที่จะเกิดขึ้นในการทดลอง
2. เลือกตัวแปรผลตอบ โดยต้องมัน่ ใจว่าตัวแปรนี้ จะให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับกระบวนการที่กาํ ลัง
ศึกษาอยู่ และวิธีวดั ตัวแปรเหล่านี้ ก่อนที่จะเริ่ มทําการทดลองจริ ง
51
52
ทําความเข้าใจถึงปัญหา
เลือกตัวแปรผลตอบ
เลือกการออกแบบการทดลอง
ทําการทดลอง
วิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงสถิติ
สรุ ปและข้อเสนอแนะ
ภาพที่ 20 แสดงขั้นตอนในการศึกษา
53
3.2.1 ขั้นทําความเข้าใจถึงปัญหา
3.2.1.1 กระบวนการหล่อเครื่ องประดับ
กระบวนการหล่อเครื่ องประดับ สามารถแสดงได้ดงั นี้
การขึ้นพิมพ์หรื อต้นแบบ
การทําแม่พิมพ์ยาง
การฉี ดเทียน
การติดช่อ
การหล่อเบ้าปูน
การไล่เทียน
การอบเบ้าปูน
การหลอมโลหะและการหล่อ
การแกะปูน
การตกแต่งชิ้นงาน
การฝังอัญมณี
การขัดมัน
3.2.1.2 ระบุปัญหา
จากข้อมูลปริ มาณการผลิตตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 – พฤษภาคม 2555 พบว่า มี
ปริ มาณการผลิต 252,864 ชิ้น โดยในจํานวนชิ้นงานทั้งหมดนี้ จะมีชิ้นงานที่เสี ยและชิ้นงานที่ตอ้ งนํา
กลับไปซ่อม 103,100 ชิ้น ซึ่งคิดเป็ นร้อยละ 40.77 ของปริ มาณการผลิตทั้งหมด พบว่า ส่ วนใหญ่เกิด
จากข้อบกพร่ องจากงานหล่อเครื่ องประดับ คือ ตามด รู พรุ น และผืน่ โดยมีตามดมีสัดส่ วนที่สูงที่สุด
คือ ร้อยละ 27.18 , 21.05 และ 16.79 ของปริ มาณชิ้นงานที่เสี ยและส่ งซ่อมทั้งหมด ตามลําดับ
3.2.2 การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพือ่ กําหนดพารามิเตอร์ที่จะนํามาศึกษา
3.2.2.1 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผล
ในการวิเคราะห์หาสาเหตุที่คาดว่ามีผลต่อปั ญหาที่ทาํ ให้เกิดของเสี ยและงานซ่ อม
โดยวิธีการระดมสมองของวิศวกรและหัวหน้าแผนกงานหล่อของโรงงานตัวอย่าง เพื่อช่ วยกัน
วิ เ คราะห์ ห าสาเหตุ ใ นแต่ ล ะกระบวนการและระบุ ส าเหตุ ที่ ค าดว่ า มี ผ ลต่ อ ปั ญ หาของชิ้ น งาน
ผลิตภัณฑ์เครื่ องประดับทองโดยผ่านแผนผังก้างปลา ตามภาพที่ 22
ของเสี ย
เม็ดทองไม่สะอาด
3.2.4 ขั้นเลือกการออกแบบการทดลอง
3.2.4.1 การวิเคราะห์ระบบการวัด
เนื่ อ งจากคุ ณ ลัก ษณะที่ ศึ ก ษางานหล่ อ เครื่ อ งประดับ ทองเป็ นคุ ณ ลัก ษณะเชิ ง
คุณภาพ คือ ความละเอียดของผิวงาน และรู ปทรงและขนาดผลิตภัณฑ์ ซึ่ งในการศึกษาระบบการวัด
จะเป็ นการประเมินโดยการเปรี ยบเทียบชิ้ นงานในการหล่อเครื่ องประดับที่ทาํ การตรวจสอบกับ
มาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพของงานหล่อเครื่ องประดับ ซึ่ งจะทําให้สามารถประเมินผลของ
ข้อมูลออกมาเป็ นที่ยอมรับหรื อปฏิเสธ และผ่านหรื อไม่ผา่ น ซึ่ งเป็ นการประเมินผลและระบบการ
ตรวจสอบเมื่อเป็ นข้อมูลนับ
3.2.4.1.1 การประเมิ นผลระบบการตรวจสอบในระยะสั้น เป็ นการ
ประเมินผลออกมาในรู ปของความมีประสิ ทธิผลของการตรวจสอบ ซึ่ งเป็ นความสามารถของระบบ
การวัด (หรื อ ตรวจสอบ) ในการแยกแยะงานไม่ ดี อ อกจากงานที่ ดี โดยมี ล ํา ดับ ขั้น ตอนการ
ดําเนินงาน ดังนี้
1) ทํา การเลื อ ก “คณะผูช้ ํา นาญการ” ซึ่ งเป็ นบุ ค คลที่ มี
ความสามารถเป็ นพิเศษในการแยกแยะคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ดี/เสี ย และลูกค้าให้การยอมรับใน
การตรวจสอบดังกล่าว
2) ให้กาํ หนด “ลอตมาตรฐาน (Standard lots)” สําหรับใช้ในการ
ตรวจสอบเพื่อประเมินความสามารถของระบบการตรวจสอบ
3) ทําการเลือกพนักงานวัดหรื อพนักงานตรวจสอบงานมา 2- 4
คน โดยพนักงานที่เลือกมาจะต้องเป็ นพนักงานที่มีหน้าที่ประจําในการตรวจสอบคุณภาพ และได้
ผ่านการฝึ กอบรมอย่างดี พร้ อมผ่านการสอบประเมินผลแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบที่
อาศัยความรู ้สึก เช่น ขนาดของจุดบกพร่ อง ความละเอียดผิว ฯลฯ
4) ทําการกําหนดจํานวนชิ้นตัวอย่างงาน และจํานวนครั้งในการ
ทดสอบซํ้า โดยจํานวนดังกล่าวจะขึ้นอยูก่ บั จํานวนของพนักงานทดสอบ
5) ให้สุ่ มพนักงานตรวจสอบขึ้นมาคนหนึ่ ง แล้วให้ตรวจสอบ
ตัวอย่างงานแบบสุ่ ม เพื่อประเมินผลคุณภาพของสิ่ งตัวอย่างว่า “ผ่าน (Good-G)” หรื อ “ไม่ผา่ น (No
Good- NG)” พร้อมการบันทึกผลในตารางการทดสอบ
6) ทําการสุ่ มพนักงานมาอีก แล้วดําเนิ นการเหมือนขั้นตอนที่ 5
ทําเช่นนี้ไปจนครบการประเมินผลจากพนักงานทุกคน
7) ดําเนินการประเมินผล ด้วย % ประสิ ทธิผลด้านรี พีททะบิลิต้ ี
58
ตารางที่ 9 ระดับของตัวแปรที่ใช้�ในการทดลอง
ระดับ ปั จจัย (Factor)
(LEVEL) อุณหภูมิหลอมโลหะ อุณหภูมิเบ้าปูนสําหรับ อุณหภูมิอบเบ้าปูน
(o C) หล่อ (o C) (o C)
1 1,080 550 650
2 1,120 600 700
3 1,160 650 750
61
3.2.5 ขั้นทําการทดลอง
เมื่อทําการทดลองจะต้องติดตามกระบวนการทํางานอย่างระมัดระวัง เพื่อให้แน่ ใจว่าการ
ดําเนิ นการทุกอย่างเป็ นไปตามแผนที่ได้วางไว้แผน แล้วเก็บผลในการทดลองจะแบ่งออกเป็ น 2
กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 คือ ชิ้นงานที่ดี ผิวของชิ้นงานหลังขัดไม่มี ตามด ผืน่ หรื อปั ญหาจากงานหล่อ และ
กลุ่มที่ 2 คือ ชิ้นงานที่มีตามด ผืน่ หรื อปั ญหาจากงานหล่อที่ผวิ หลังขัด โดยผูท้ ี่ทาํ การตรวจสอบคือ
พนักงานฝ่ ายควบคุมคุณภาพของโรงงาน
3.2.6 ขั้นวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงสถิติ
หลังจากนําค่าจํานวนงานดีและเสี ยที่เกิดจากงานหล่อเครื่ องประดับของชิ้นงานที่ได้ตาม
ข้อกําหนด ที่ได้ในแต่ละการทดลอง ป้ อนลงในโปรแกรม จะมีวิธีข้ นั ตอนในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
ดังนี้
3.2.6.1 ตรวจสอบความถูกต้องของแบบจําลอง จากการวิเคราะห์ โดยใช้กราฟของ
ค่าผิดพลาด (Residual Plot) เพื่อตรวจสอบการกระจายของค่าผิดพลาด (Residual ) เป็ นแบบแจก
แจงปกติ (Normal Distribution)
3.2.6.2 การวิเคราะห์ขอ้ มูลจากการทดลองเบื้องต้น ด้วยการวิเคราะห์ความ
แปรปรวน (Analysis of Variance : ANOVA) เพื่อพิจารณาว่าระดับที่แตกต่างของปั จจัยแต่ละตัว
แปร และปฏิสมั พันธ์ระหว่างปั จจัย ที่มีผลกระทบต่อตัวแปรตอบสนองหรื อค่าผลผลิต (Yield) ของ
เครื่ องประดับทอง
3.2.6.3 การสร้างสมการทํานายหลังจากตรวจสอบความพอเพียงของแบบจําลอง
แล้ว นําค่าของปั จจัยที่ได้จากการวิเคราะห์ ไปเขียนสมการสําหรับทํานายค่าของดีที่ได้จากการหล่อ
เครื่ องประดับทอง
3.2.6.4 หาค่าผลอิทธิ พลหลัก (main Effects Plots) โดยแสดงเป็ นแผนภูมิค่าเฉลี่ย
ผลผลิต (Yield) ของแต่ละระดับปั จจัย
63
3.4.2 การทําแม่พิมพ์ยาง
3.4.2.1 แม่พิมพ์ยาง อาจเป็ นยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์หรื อยางซิลิโคน
65
ภาพที่ 25 แสดงแม่พิมพ์ยาง
3.4.3 การทําชิ้นงานเทียน
3.4.3.1 เทียนควรมีคุณสมบัติต่างๆ เช่น มีจุดหลอมเหลวตํ่าเมื่อหลอมเหลวแล้วมี
อัตราการไหลดี เมื่อแข็งตัวควรรวมตัวเป็ นเนื้ อเดียวกัน มีผิวเรี ยบ เพื่อให้ฉีดเข้าไปในแม่พิมพ์ยาง
แล้วแบบเทียนจะเหมือนต้นแบบทุกประการ มีความเหนี ยว ไม่แตกง่าย ไม่กรอบ มีอตั ราการหดตัว
ตํ่า มีการจํารู ปที่ดีเพื่อรักษารู ปร่ างเดิมไว้ได้เมื่อแกะออกจากแม่พิมพ์ยาง เทียนที่ดีควรมีอายุการใช้
งานยาวนาน และมีความยืดหยุน่ สู ง สามารถถอด/แกะออกจากแม่พิมพ์ยางได้ง่าย ตัวอย่างชนิดเทียน
ที่มีความยืดหยุน่ สู งเหมาะกับการฝังพลอยบนชิ้นงานเทียน ได้แก่ Plast-O-Wax, Flexiplast, Magna
66
3.4.5 การติดต้นเทียน
3.4.5.1 หัวแร้ง หรื อปากกาเชื่อมเทียน ใช้สาํ หรับซ่ อมแซมเม็ดไข่ปลา หนามเตย
หรื อเพื่อส่ งผ่านความร้อนในการฝังพลอย
68
ภาพที่ 33 แสดงฐานยาง
3.4.6 การทําปูนหล่อแบบ
3.4.6.1 กระบอกปูนแบบเจาะรู ที่ไม่มีปีก เป็ นกระบอกปูนที่เหมาะสําหรับการ
หล่อดูดสุ ญญากาศที่อุปกรณ์ยกกระบอกปูนจากด้านล่าง ปั จจุบนั เครื่ องหล่อสุ ญญากาศส่ วนใหญ่
จะใช้กระบอกปูนชนิดนี้
ภาพที่ 35 แสดงกระบอกปูน
ภาพที่ 38 แสดงเตาอบปูน
บทที่ 4
ผลการศึกษา
72
73
Date of study:
Reported by:
Name of product:
Misc: -
Within Appraisers
Assessment Agreement
Appraiser # Inspected # Matched Percent 95 % CI
1 100 100 100.00 (97.05, 100.00)
2 100 99 99.00 (94.55, 99.97)
Assessment Agreement
Appraiser # Inspected # Matched Percent 95 % CI
1 100 98 98.00 (92.96, 99.76)
2 100 95 95.00 (88.72, 98.36)
# Matched: Appraiser's assessment across trials agrees with the known standard.
Between Appraisers
Assessment Agreement
# Inspected # Matched Percent 95 % CI
100 97 97.00 (91.48, 99.38)
Assessment Agreement
# Inspected # Matched Percent 95 % CI
100 95 95.00 (88.72, 98.36)
ภาพที่ 41 แสดงผลการประมวลผลการตรวจสอบคุณภาพงานในระยะสั้น
74
Date of study :
Assessment Agreement
Reported by :
Name of product:
Misc:
98 98
96 96
Percent
Percent
94 94
92 92
90 90
1 2 1 2
Appraiser Appraiser
ภาพที่ 42 แสดงการประมาณค่าแบบช่วงของเปอร์เซ็นต์ค่าการตรวจซํ้า
3. เมื่อนําผลการตรวจสอบของพนักงานแต่ละคนมาเปรี ยบเทียบกับ
มาตรฐานจะได้ว่า % ผลการตรวจสอบของพนักงานคนที่ 1 และคนที่ 2 เมื่อเปรี ยบเทียบกับ
มาตรฐาน คือ 98 เปอร์ เซ็ นต์และ 95 เปอร์ เซ็นต์ ตามลําดับ และเมื่อประมาณค่าแบบช่ วงความ
เชื่อมัน่ 95 เปอร์เซ็นต์สาํ หรับผลการตรวจสอบของพนักงานคนที่ 1 มาเปรี ยบเทียบกับค่ามาตรฐาน
จะอยู่ ใ นช่ ว ง 92.76 ถึ ง 99.76 เปอร์ เ ซ็ น ต์ แ ละพนั ก งานคนที่ 2 อยู่ ใ นช่ ว ง 88.72 ถึ ง 98.36
เปอร์เซ็นต์
4. ประสิ ทธิ ผลด้านการตรวจสอบซํ้า (% Screen Effect Score) เท่ากับ 97
เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าในการใช้พนักงานตรวจสอบ 2 คนตรวจสอบงาน 100 ชิ้น งานที่ตรวจสอบได้มี
ผลลัพธ์เหมือนกันทั้งหมดทั้ง 98 ชิ้น
5. ประมาณค่าแบบช่วงความเชื่อมัน่ 95 เปอร์ เซ็นต์ สําหรับประสิ ทธิ ผล
ด้านการตรวจสอบซํ้า จะอยูใ่ นช่วง 91.48 เปอร์เซ็นต์ ถึง 99.76 เปอร์เซ็นต์
6. % คะแนนของค่าแอตทริ บิวต์ (% attribute screen effective score) ที่
แสดงถึ ง ประสิ ท ธิ ผ ลด้า นความพ้อ งกัน ระหว่ า งพนัก งานแต่ ล ะคนกับ มาตรฐาน เท่ า กับ 95
เปอร์ เซ็นต์ และเมื่อประมาณค่าแบบช่วงความเชื่อมัน่ 95 เปอร์ เซ็นต์ สําหรับ % คะแนนของค่า
แอตทริ บิวต์ จะอยูใ่ นช่วง 88.72 ถึง 98.36 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น พบว่า พนักงานตรวจสอบทั้ง 2 คนมีความสามารถของการตรวจสอบ
(ระบบการวัด) ในการแยกแยะชิ้นงานไม่ดีออกจากงานที่ดีได้
4.1.2 การวิเคราะห์ผลของระบบการตรวจสอบ
ในการวิเคราะห์ผลของระบบการตรวจสอบ จะใช้ผลการตรวจสอบคุณภาพงานในระยะ
สั้น มาประมวลผลด้วยโปรแกรม MINITAB ได้ผลดังนี้
76
Within Appraisers
Fleiss' Kappa Statistics
Appraiser Response Kappa SE Kappa Z P(vs > 0)
1 G 1.00000 0.1 10.0000 0.0000
NG 1.00000 0.1 10.0000 0.0000
2 G 0.95429 0.1 9.5429 0.0000
NG 0.95429 0.1 9.5429 0.0000
Between Appraisers
Fleiss' Kappa Statistics
Response Kappa SE Kappa Z P(vs > 0)
G 0.920251 0.0408248 22.5415 0.0000
NG 0.920251 0.0408248 22.5415 0.0000
ภาพที่ 43 แสดงผลการประมวลผลของระบบการตรวจสอบ
ผลการตรวจชิ
ผลการตรวจสอบช◌ิ ้นงานเครื◌่องประด◌ั
นงานเคร◌ื
◌้ ่ องประดับบท◌ี
ที่บกพร่ องจากแผนกควบคุ
บกพร◌่
◌่ มคุณภาพมค◌ุณภาพ
องจากแผนกควบค◌ุ
P C har t Rate of Defectives
U C L=0.3476
0.3 30
% Defective
P r opor tion
0.2 _ 20
P =0.1469
0.1 10
0.0 LC L=0 0
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 40 60 80
Sample Sample Size
Tests performed w ith unequal sample sizes
Low er C I: 11.59
Fr equency
U pper C I: 18.24
14
Target: 0.00 2
12 P P M Def: 146868
Low er C I: 115888 1
10 U pper C I: 182441
P rocess Z: 1.0500 0
2 4 6 8 10 Low er C I: 0.9061 0 4 8 12 16 20
Sample U pper C I: 1.1958 % Defective
ภาพที่ 44 แสดงแผนภูมิควบคุมของข้อมูลที่เก็บเพื่อวิเคราะห์ความสามารถของกระบวนการ
95
90
80
70
Percent
60
50
40
30
20
10
1
-10 -5 0 5 10
Residual
Versus Fits
(response is yield)
10
5
Residual
-5
-10
20 30 40 50 60 70 80
Fitted Value
Versus Order
(response is yield)
10
5
Residual
-5
-10
2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24 26
Observation Order
เบ้าปู น สํา หรั บ การหล่ อ ส่ ง ผลกระทบต่ อคุ ณ ภาพงานหล่ อเครื่ องประดับ ทองอย่า งมี นัย สํา คัญ
เนื่องจากค่า P-value มีค่าน้อยกว่า 0.05 (α = 0.05)
ผลการวิเคราะห์สมการถดถอยที่เหมาะสมคือ Yield = 67.78+16.67X 1 +3.89X 2 -3.89X 2 2-
7.78X 3 2-6.67X 1 X 2 โดยสมการถดถอยนี้ สามารถอธิบายค่าผลผลิต (R-Sq(adj))ได้ 95.14 เปอร์เซ็นต์
4.3.3.2 ผลของอิทธิพลหลักของแต่ละปัจจัย
T หลอม T หล◌่
อ
80
70
60
Mean of Means
50
70
60
50
T หลอม T หล◌่
อ
38
36
Mean of SN ratios
34
36
34
จากภาพที่ 50 ผลของอิทธิ พลหลักของค่า S/N ratios ของ Taguchi Method พบว่า จุดที่ให้
ผลงานหล่อเครื่ องประดับทองดีที่สุดที่ทาํ ให้ค่า S/N มีค่าสู งที่สุด (Max S/N) ดังนี้ ปั จจัยอุณหภูมิ
หลอมโลหะสู งที่สุด คือ 1160 องศาเซลเซี ยส มีค่าเท่ากับ 37.92 ส่ วนอุณหภูมิเบ้าปูนสําหรับการ
หล่อสู งที่สุด คือ อุณหภูมิ 600 องศาเซลเซี ยส มีค่าเท่ากับ 35.87 และอุณหภูมิอบเบ้าปูนสู งที่สุดคือ
700 องศาเซลเซียส มีค่าเท่ากับ 36.02
4.3.4.3 ผลของกราฟเส้นโครงร่ างของค่าผลผลิตจากอิทธิพลร่ วมของทั้ง 3 ปั จจัย
Contour Plots of yield
T หล◌่
อ*T หลอม T อบเบ◌้
า*T หลอม y ield
650 750
< 30
30 – 40
625 725
40 – 50
50 – 60
600 700 60 – 70
70 – 80
575 675 > 80
Hold Values
550 650
T หลอม 1080
1100 1125 1150 1100 1125 1150
T หล◌่
อ 550
T อบเบ◌้
า*T หล◌่
อ T อบเบ◌้
า 650
750
725
700
675
650
550 575 600 625 650
85
yield 80
75 750
70 700 T เบ◌้
า
550
600 650
650
T หล◌่
อ
Composite
Desirability
0.84152
yield
Maximum
y = 87.3213
d = 0.84152
4.4.2 ผลการวิเคราะห์ความมีเสถียรภาพของกระบวนการ
จากข้อมูลที่ได้จากตารางที่ 15 นํามาพลอตแผนภูมิควบคุม ได้ดงั ภาพที่ 54
ผลการตรวจชิ้นงานเครื
ผลการตรวจสอบช◌ิ ่ องประดั◌่องประด◌ั
นงานเคร◌ื
◌้ บที่บกพร่บทองท◌ี
องจากแผนกควบคุ มคุณมภาพ
แผนกควบค◌ุ
◌่
P C har t Binomial P lot
0.4 U C L=0.3846 2
Expected Defectives
P r opor tion
0.2 1
_
P =0.1
0.0 LC L=0 0
1 2 3 4 0 1 2
Sample O bser ved Defectives
Low er C I: 2.79
Fr equency
15
U pper C I: 23.66
Target: 0.00 1.0
10
P P M D ef: 100000
5 Low er C I: 27925 0.5
U pper C I: 236637
0 P rocess Z: 1.2816 0.0
1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5 4.0 Low er C I: 0.7172 0 10 20
Sample U pper C I: 1.9122 % Defective
บทที่ 5
สรุ ปผลการศึกษาและข้ อเสนอแนะ
91
92
รายการอ้ างอิง
ภาษาไทย
กิตติศกั ดิ์ พลอยพานิชเจริ ญ. (2546). การวิเคราะห์ระบบการวัด. กรุ งเทพมหานคร: สมาคมส่ งเสริ ม
เทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น.
กิตติศกั ดิ์ พลอยพานิชเจริ ญ. (2546). การวิเคราะห์ ความสามารถกระบวนการ. กรุ งเทพมหานคร:
สมาคมส่ งเสริ มเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น.
กิติศกั ดิ์ พลอยพานิชเจริ ญ. (2539). สถิติสําหรับงานวิศวกรรม. กรุ งเทพมหานคร: สมาคมส่ งเสริ ม
เทคโนโลยี ไทย – ญี่ปุ่น.
ขจีพร วงศ์ปรี ดี. (2549). เทคนิคหล่ อพร้ อมฝังพลอย. กรุ งเทพมหานคร : กรมส่ งเสริ มอุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม.
ปาณิ กา เสนาะดนตรี .(2549). “การพัฒนาประสิ ทธิภาพงานหล่อเครื่ องประดับด้วยการออกแบบการ
ทดลองและวิเคราะห์ผลการทดลอง กรณี ศึกษา:โรงงานเครื่ องประดับ.” วิทยานิพนธ์
ปริ ญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระ
นครเหนือ.
ปารเมศ ชุติมา. (2545). การออกแบบการทดลองทางวิศวกรรม. กรุ งเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
ภัทราพร บําเพ็ญศิล, วิษา พูนมาน, อรุ ณรัตน์ บุราณเดช (2549). “การศึกษากระบวนการหล่อ
ผลิตภัณฑ์เครื่ องประดับที่เหมาะสมสําหรับเครื อข่ายวิสาหกิจชุมชน กรณี ศึกษา: กลุ่ม
พลอยไพลิน นิลเมืองกาญจน์.” ปริ ญญานิพนธ์วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา
วิศวกรรมอุตสาหการและการจัดการ, มหาวิทยาลัยศิลปากร.
เอกสิ ทธิ์ นิสารัตน์. (2549). คู่มือแนวทางแก้ไขข้ อบกพร่ องในชิ้นงานหล่อเครื่องประดับ.
กรุ งเทพมหานคร: บางกอกบล็อก.
เอกสิ ทธิ์ นิสารัตน์. (2549). เทคนิคการหล่อเครื่องประดับ. กรุ งเทพมหานคร : กรมส่ งเสริ ม
อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม.
ภาษาอังกฤษ
Dieter Ott. (1991). Defect in Jewelry a New Version of and Old Problem. The Santa Fe
Symposium on Jewelry.
94
Jiju Antony. (1997). “A strategic approach to the use of advanced statistical methods for
quality improvement.” PhD thesis, Portsmouth Business School , University of
Portsmouth.
Jiju Antony. (2003). Design of Experiments for Engineers and Scientists. Oxford :
Butterworth-Heinernann.
Jiju Antony. (2006). Taguchi or Classical design of experiments: a perspective from a
practitioner. Emerald, 26 : 227-230.
Mongomery , D.C. (1996). Introduction To Statistical. 3rd ed. New York : Jonh Wilay & Sons
: 75-453.
Phillip J. (1996). Taguchi Techniques for Quality Engineering. 2nd ed. New York: McGraw-
Hill.
Richard V. Carrano. (1990). Sterling Silver Casting Problem. The Santa Fe Symposium on
Jewelry.
Worlaluck Jankrajang. (2003). “Design of Experiment Approach for Improving Rice Milling
Quality.” M.S. Thesis, Industrial Engineering, Kasepsart University.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก
ผลจากการตรวจสอบชิ้นงานเครื่ องประดับประเภทแหวน
จากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพ
พนักงาน พนักงาน พนักงาน พนักงาน
คุณภาพ คุณภาพ
ตัวอย่ าง ตรวจสอบ ตรวจสอบ ตัวอย่ าง ตรวจสอบ ตรวจสอบคน
งานที่ งานที่
ที่ คนที่1 คนที่2 ที่ คนที่1 ที2่
แท้ จริง แท้ จริง
1 2 1 2 1 2 1 2
1 NG G G G G 26 G G G G G
2 G G G G G 27 G G G G G
3 G G G G G 28 G G G G G
4 G G G G G 29 G G G G G
5 G G G G G 30 G G G G G
6 G G G G G 31 G G G G G
7 G G G G G 32 G G G G G
8 G G G G G 33 G G G G G
9 G G G G G 34 NG NG NG NG NG
10 G G G G G 35 G G G G G
11 G G G G G 36 G G G G G
12 NG NG NG NG NG 37 G G G G G
13 G G G G G 38 G G G G G
14 G G G G G 39 G G G G G
15 G G G G G 40 G G G G G
16 G G G G G 41 G G G G G
17 G G G G G 42 G G G G G
18 NG NG NG G G 43 G G G G G
19 G G G G G 44 NG NG NG NG NG
20 G G G G G 45 G G G G G
21 G G G G G 46 G G G G G
22 G G G G G 47 G G G G G
23 G G G G G 48 G G G G G
24 G G G G G 49 G G G G G
25 NG NG NG NG NG 50 G G G G G
พนักงาน พนักงาน พนักงาน พนักงาน
คุณภาพ คุณภาพ
ตัวอย่ าง ตรวจสอบ ตรวจสอบ ตัวอย่ าง ตรวจสอบ ตรวจสอบคน
งานที่ งานที่
ที่ คนที่1 คนที่2 ที่ คนที่1 ที2่
แท้ จริง แท้ จริง
1 2 1 2 1 2 1 2
51 G G G G G 76 G G G G G
52 NG NG NG NG NG 77 G G G G G
53 G G G G G 78 NG NG NG NG NG
54 G G G G G 79 G G G G G
55 G G G G G 80 G G G G G
56 G G G G G 81 NG NG NG G G
57 G G G G G 82 G G G G G
58 G G G G G 83 G G G G G
59 G G G G G 84 NG NG NG NG NG
60 G G G G G 85 G G G G G
61 NG NG NG NG NG 86 G G G G G
62 G G G G G 87 G G G G G
63 G G G G G 88 NG NG NG NG NG
64 G G G G G 89 G G G G G
65 G G G G G 90 G G G G G
66 NG NG NG NG NG 91 G G G G G
67 G G G G G 92 G G G G G
68 G G G G G 93 G G G G NG
69 G G G G G 94 G G G G G
70 G G G G G 95 G G G G G
71 G G G G G 96 G G G G G
72 NG NG NG NG NG 97 G G G G G
73 G G G G G 98 G G G G G
74 G G G G G 99 G G G G G
75 G G G G G 100 G NG NG NG NG
ภาคผนวก ข
ผลการวิเคราะห์ความสามารถของกระบวนการ
ผลการตรวจสอบชิ้นงานเครื่ องประดับที่บกพร่ อง
กลุ่มย่อยที รหัสสิ นค้า จํานวนตรวจสอบ จํานวนผลิตภัณฑ์ สัดส่ วนของ
(n) บกพร่ อง (np) เสี ย (p)
1. R-10020 #M 53 5 0.0943
2. R-10020 #O 61 8 0.1311
3. R-10020 #Q 40 5 0.1250
4. R-10020 #T 28 4 0.1429
5. R-10019 76 12 0.1579
6. R-10020 #O 62 11 0.1774
7. R-10015 38 5 0.1316
8. R-10019 #L 42 6 0.1429
9. R-10018 #N 35 7 0.2000
10. R-10017 #P 28 5 0.1786
ผลรวม 463 68
จํานวนผลิตภัณฑ์บกพร่ องโดยรวม ∑ np 4
p = = = 0.1
จํานวนตรวจสอบโดยรวม ∑ n 40
Z 0.1 = 1.28 , Z 0.05 = 1.64
ในการประเมินความสามารถด้านศักยภาพจะถือว่ากระบวนการมีค่าเฉลี่ยอยูท่ ี่ค่า
กลางของพิกดั ข้อกําหนดเฉพาะ จึงหาค่าเทียบเคียงด้วยการให้ค่าสัดส่วนผลิตภัณฑ์บกพร่ องเท่ากัน
ที่แต่ละด้านของการแจกแจง (ในที่น้ ีคือ 0.1/2 = 0.05) ซึ่งจากตารางแจกแจงแบบปกติมาตรฐาน จะ
ได้ค่า Z Bench = Z 0.05 = 1.64
ค่าดัชนีความสามารถเชิงศักยภาพของกระบวนการ คือ
P p Bench = 1 Z Bench = 1 (1.64) = 0.55
3 3
ค่าอัตราส่ วนความสามารถของกระบวนการคือ
1 1
P R Bench = = = 1.82
PpBench 0.55
สําหรับการประเมินความสามารถด้านสมรรถนะของกระบวนการ จะพิจารณาโดย
ถือว่าผลิตภัณฑ์บกพร่ องทั้งหมดอยูท่ ี่ดา้ นใดด้านหนึ่งของการแจกแจงแบบปกติ ซึ่งจากตารางการ
แจกแจงแบบปกติมาตรฐาน จะได้ค่า Z Bench = Z 0.1 = 1.28
จะได้ดชั นีความสามารถด้านสมรรถนะของกระบวนการคือ
1
P pk Bench = Z Bench = (1.28) = 0.43
3
ภาคผนวก ง
ผลการทดลองการหล่อเครื่ องประดับทอง
ปัจจัย ผลการทดลองชิ้นงานหล่อ
การทดลอง T หลอมโลหะ T เบ้าปูนสําหรับการ T อบเบ้าปูน ผลผลิต
ดี เสี ย
(°C) หล่อ (°C) (°C) (% yield)
1 1080 550 650 3 7 30
2 1080 600 700 5 5 50
3 1080 650 750 5 5 50
4 1120 550 700 6 4 60
5 1120 600 750 6 4 60
6 1120 650 650 5 5 60
7 1160 550 750 8 2 80
8 1160 600 650 8 2 80
9 1160 650 700 8 2 80
10 1080 550 650 3 7 30
11 1080 600 700 5 5 50
12 1080 650 750 5 5 50
13 1120 550 700 6 4 60
14 1120 600 750 6 4 60
15 1120 650 650 6 4 60
16 1160 550 750 8 2 80
17 1160 600 650 7 3 70
18 1160 650 700 8 2 80
19 1080 550 650 4 6 40
20 1080 600 700 6 4 60
21 1080 650 750 5 5 50
22 1120 550 700 6 4 60
23 1120 600 750 6 4 60
24 1120 650 650 5 5 60
25 1160 550 750 7 3 80
26 1160 600 650 8 2 80
27 1160 650 700 8 2 80
ประวัติผู้วจิ ัย
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. 2550 สําเร็ จการศึกษาปริ ญญาตรี หลักสูตร วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิศวกรรมอุตสาหการและการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร
พ.ศ. 2553 ศึกษาต่อระดับปริ ญญาโท หลักสูตรวิศวกรรมมหาบัณฑิต
สาขาการจัดการงานวิศวกรรม ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์
และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร
จังหวัดนครปฐม
ประวัติการทํางาน
พ.ศ. 2550-2551 วิศวกร บริ ษทั ทีพีเอ็น สตีลกรุ๊ ป จํากัด แขวงบางกระดี่
เขต แสมดํา จ. กรุ งเทพมหานคร
พ.ศ. 2551-2552 หัวหน้าแผนกประกอบ บริ ษทั พีเพิ่ล (ประเทศไทย)
อ .สามพราน จ.กรุ งเทพมหานคร
พ.ศ. 2552-2553 สมาชิกที่ปรึ กษาระบบคุณภาพ บริ ษทั ซีเคอี แอน เอส จํากัด
อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
พ.ศ. 2553-2554 สมาชิกที่ปรึ กษาระบบคุณภาพ บริ ษทั เมวินเทค จํากัด
อ.วังน้อย จ.พระนครศรี อยุธยา
พ.ศ. 2554-ปั จจุบนั สมาชิกที่ปรึ กษาระบบคุณภาพ บริ ษทั ทีพเี อ็น ไรซ์มิล จํากัด
อ.แม่จนั จ.เชียงราย