Professional Documents
Culture Documents
เฮียนตั๋วเมือง ธเณศน์
เฮียนตั๋วเมือง ธเณศน์
ตั๋วเมืองคืออักษรล้านนาหรือที่เรียกกันในดินแดนลาวและอีสานว่าอักษรธรรม
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าตัวอักษรของคนไทเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่วงวิชาการส่วนใหญ่เห็น
ว่าตัวอักษรของคนไทเริ่มในเวลาใกล้เคียงกันคือช่วงต้นยุคสุโขทัย ได้แก่ไทในอัสสัม ในล้านนาและ
สุโขทัย ล้านนาอยู่ใกล้มอญ คนไท-ยวนก็นําเอาตัวอักษรมอญมาดัดแปลง สุโขทัยอยู่ใกล้ขอม พ่อขุน
รามคําแหงน่าจะดัดแปลงตัวหนังสือขอมมาใช้
“อัก ขรวิ ธี ที่ใ ช้ ยัง เป็น แบบสุ โ ขทัยอยู่ ต่ อมาตั ว หนัง สื อ สุโ ขทั ย นี้ ก ลายเป็ น อั ก ษรฝั ก ขามของ
ล้านนา มีรูปลักษณะยาวและเป็นเหลี่ยมดังปรากฏในจารึก ลพ. 9 พ.ศ. 1954 ซึ่งเดิมอยู่ที่พะเยา จารึก
หลักนี้เริ่มใช้อักขรวิธีของล้านนาเข้ามาผสม มีรายพระนามกษัตริย์ราชวงศ์มังรายสมบูรณ์กว่าหลักวัด
พระยืน
แม้เชียงใหม่จะตกไปอยู่กับพม่าใน พ.ศ. 2101 แต่จารึกในเชียงใหม่ก็ยังคงเป็นฝักขามมาจนถึง
พ.ศ. 2124 ป็นอย่างน้อย ต่อมาประชาชนนิยมใช้ตัวอักษรล้านนาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมีรูปลักษณะเป็นตัว
กลมๆ ดัดแปลงจากอักษรมอญเรียกกันว่าตัวอักษรพื้นเมืองหรือตัวหนังสือธรรม.....เจ้าผู้ครองนคร
เชียงใหม่สมัยรัตนโกสินทร์องค์แรกทรงพยายามนําตัวอักษรฝักขามกลับมาใช้อีก แต่ประชาชนไม่นิยมที่
จะใช้ตามเสียแล้ว.....
สันนิษฐานว่า (เมื่อพระมหาสุมณเถระนําศาสนานิกายลังกาวงศ์เก่าเข้ามาเผยแพร่) .....กษัตริย์
ล้านนาทรงบังคับให้พระสงฆ์แบบเก่ามาบวชเรียนในนิกายใหม่นี้ ตัวอักษรสุโขทัยจึงมั่นคงอยู่ในล้านนา
และกลายเป็นหนังสือฝักขามไปในที่สุด...เราไม่ทราบว่าล้านนาจะเลิกใช้ตัวหนังสือพื้นเมืองไประหว่าง
พ.ศ. 1902 ถึงประมาณ พ.ศ. 2000 หรือไม่ หรืออาจจะใช้ควบคู่กับอักษรฝักขามในระยะดังกล่าวก็
เป็นได้....หลังจากนั้นมานิยมใช้ตัวหนังสือพื้นเมืองบันทึกเรื่องราวทางศาสนาและตัวหนังสือฝักขาม
บันทึกเรื่องราวทางโลกมาจนถึงประมาณต้นรัตนโกสินทร์ จึงเลิกใช้ ตัวหนังสือฝักขามไป คงใช้แต่
ตัวหนังสือพื้นเมืองมาจนถึงสมัยรัฐนิยมได้เลิกสอนตัวหนังสือพื้นเมืองไป มาถึงบัดนี้ เกือบไม่มีพระสงฆ์
สามเณรรูปใดอ่านตัวหนังสือพื้นเมืองและตัวหนังสือฝักขามออก”
2. ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในนิกายลังกาวงศ์ใหม่ที่มาจากสุโขทัย จึงมีการนําตัวอักษรสุโขทัยมาใช้แต่
เพราะล้านนามีตัวอักษรพื้นเมืองของตนเอง จึงดัดแปลงตัวอักษรสุโขทัยกลายเป็นตัวหนังสือฝักขาม
สําหรับบันทึกเรื่องราวทางโลก ส่วนบันทึกเรื่องศาสนาใช้ตัว อักษรธรรม เลยมีคนเรียกว่าตัวอักษร
ธรรมที่แพร่ไปไกลถึง เชียงตุง-เชียงรุ่ง-ลาว-อีสาน
3. สมัยล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า มีการใช้ท้ังตัวอักษรพื้นเมืองบันทึกเรื่องศาสนาและตัวอักษรฝัก
ขามบันทึกเรื่องราวทางโลก
4. ตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา พระเจ้ากาวิละ-เจ้าหลวงเชียงใหม่ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
(พ.ศ. 2324-2358) พยายามรื้อฟื้นการใช้ตัวอักษรฝักขาม แต่ประชาชนไม่นิยม จึงได้ยกเลิกการใช้
ตัวอักษรฝักขาม ใช้ตัวอักษรธรรมบันทึกเรื่องราวทั้งทางธรรมและทางโลก คนล้านนาในยุคนี้เรียก
ตัวอักษรธรรมว่า ตั๋วเมือง
ตัวอักษรพื้นเมืองสร้างขึ้นในรัฐล้านนา โดยได้ดัดแปลงมาจากตัวอักษรของมอญและมีรูปแบบที่
คล้ายกับตัวอักษรของพม่าเป็นอย่างมาก และมีลักษณะแตกต่างจากตัวหนังสือของสุโขทัยและอยุธยาที่
ดัดแปลงมาจากตัวอักษรของขอม
การวินิจฉัยของท่านมีความสําคัญในการขยายขอบเขตความรู้เกี่ยวกับตัวเมืองออกไป และทําให้เกิด 2
ประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง คือ 1. การวินิจฉัยดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้อง อะไรคือสิ่งควรจะเป็น
และ 2. หากการจัดความสัมพันธ์เหล่านั้นถูกต้อง ท่านยังไม่ได้ทําเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ตั้งคําถามที่ว่า ทําไม
และ อย่างไร และค้นหาคําตอบ เช่น
สมหมายเห็นว่า การวิเคราะห์ของเซเดส์ผิดพลาดที่เห็นว่าเมื่อพระมหาสุมณเถระไปจากสุโขทัย
ถึงล้านนาได้นําอักษรไท-สุโขทัยไปใช้ในล้านนา ทําให้ชาวล้านนาหันไปใช้ตัวอักษรดังกล่าว แต่หลังปี
พ.ศ. 2050 ชาวล้านนาเลิกใช้ตัวอักษรสุโขทัย และกลับไปใช้อักษรของไทลื้อ และหลังจากนั้นในยุคต้น
รัตนโกสินทร์ พญากาวิละได้กลับไปใช้อักษรสุโขทัยอีกครั้ง เพื่อนําล้านนา “กลับไปเป็นเมืองไทยแท้”
โดยพบตัวอักษรไทยในศิลาจารึกวัดพระสิงห์ วัดลําปางหลวง และที่อื่นๆ แต่พญากาวิละดําเนินการได้
ไม่นาน ตัวหนังสือในล้านนาก็กลับไปเป็นแบบล้านนาทั้งหมด จะเห็นว่า การวิเคราะห์ของเซเดส์ นั่นเอง
ที่เป็นที่มาของการวิเคราะห์ของประเสริฐ ดังที่ได้เสนอไปแล้ว
สมหมายเห็นว่างานของเซเดส์และประเสริฐมีปัญหาดังต่อไปนี้
1. เมื่ อ อาศั ย แต่ ง านศิ ล าจารึ ก ไม่ ไ ด้ พิ จ ารณาหลั ก ฐานอื่ น ๆ การวิ เ คราะห์ จึ ง ผิ ด พลาด
2. ให้ความสําคัญแก่ไทยภาคกลางมากเกินไป จนคิดว่าไทยภาคกลางเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมของ
คนไททั้งหมด ทั้งๆที่ความจริง กลุ่มคนไทแต่ละพื้นที่มีวัฒนธรรมของตนเองและมีปัจจัยแวดล้อมที่
ต่างกัน “ล้านนาอยู่ห่างจากศูนย์กลางวัฒนธรรมขอม ไม่เคยอยู่ใต้อํานาจของพวกขอม ภาษาของ
ล้านนา...จึงไม่มีคําเขมรเข้ามาปะปน...จึงได้แบบมาจากอักษรมอญโบราณ และอักษรมอญโบราณ (ซึ่ง
มีสัณฐานกลม) เป็นต้นเค้าของอักษรมอญและพม่า ตลอดจนไทเหนือ ไทใหญ่ และไท-ยวนด้วย...”
3. วิเคราะห์ผิดที่ว่าล้านนาใช้อักษรสุโขทัยและหันไปใช้อักษรของไทลื้อกลับไปกลับมา
4. วิเคราะห์ผิดที่ว่าพญากาวิละพยายามแก้ไขการกลับไปกลับมาของล้านนาด้วยการรื้อฟื้นตัวอักษร
สุโขทัย แต่ไม่สําเร็จ (การวิเคราะห์ตอนนี้ได้รับการขยายความโดยประเสริฐ) สมหมายอ้างถึงการ
สํารวจจารึกที่ฐานพระพุทธรูปในตัวเมืองเชียงใหม่ ของฮันส์ เพนธ์ในปี พ.ศ. 2513 ว่าได้สํารวจ 312
องค์ ซึ่งมีอายุต้ังแต่ พ.ศ. 2008 จนถึงปัจจุบัน พบว่า เป็นตัวอักษรล้านนา 289 องค์ ตัวอักษรฝักขาม
11 องค์ ตัวอักษรล้านนาปนตัวอักษรฝักขาม 4 องค์ ตัวอักษรพม่าปนตัวอักษรไทใหญ่ 2 องค์ ฯลฯ และ
ท่านได้เปิดเผยผลการสํารวจคัมภีร์ใบลานในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ช่วงปี พ.ศ. 2516-2518 โดยได้
สํารวจคัมภีร์ใบลาน 37,683 ผูก มีอายุต้ังแต่ พ.ศ. 2081 เป็นต้นมา เป็นคัมภีร์ใบลานที่จารด้วยอักษร
ขอมและบาลี 3 ผูก ไม่มีจารด้วยตัวอักษรสุโขทัยเลย นอกนั้นเป็นตัวอักษรล้านนาทั้งหมด
สมหมายจึงมีความเห็นว่า
1. ตั้งแต่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรล้านนาในช่วงต้นยุคล้านนา คนในล้านนาก็ใช้ตัวอักษรดังกล่าวเรื่อยมา
2. พระมหาสุมณเถระมาจากสุโขทัย การเขียนศิลาจารึกหลักแรกที่วัดพระยืนเป็นตัวอักษรสุโขทัยก็เป็น
เรื่องเข้าใจได้ กระทั่งท่านอาจลงมือเขียนจารึกเองด้วยซ้ํา หลังจากนั้น จึงอาจเป็นธรรมเนียมที่มีการ
จารึกเป็นตัวอักษรสุโขทัย แต่จารึกเป็นตัวอักษรล้านนาก็มีเช่นกัน แต่พบว่าจารึกที่เป็นตัวอักษรสุโขทัย
มีเป็นบางช่วง เช่นเดียวกัน ศิลาจารึกในสุโขทัยและอยุธยาที่จารึกเป็นตัวขอมก็มี ขณะที่จารึกเป็น
ตัวอักษรล้านนาก็มีมาตลอด โดยเฉพาะที่เป็นคัมภีร์ใบลาน
มีแต่คําบอกเล่าที่สืบทอดกันมาจากยุคนั้นในวงการพระสงฆ์ เช่น
พ่อน้ อยอิน ทร์ มั่ งใหม่ บ้ านดงมะไฟ ต.สันผักหวาน อ. หางดง ถูก ครูบาขาวปีสั่งให้ ไปเก็บ
รวบรวมคัมภีร์ใบลานตามวัดต่างๆไปซ่อน เพราะกลัวว่าจะมีคนของทางการมายึดและนําไปเผา
มีข่าวว่าเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากข่วงประตูท่าแพ เมื่อได้รับคําสั่งห้ามเทศน์เป็นภาษา
ล้านนา และการทําลายประเพณีด้งั เดิมอื่นๆของวัด รู้สึกสะเทือนใจนักจึงแขวนคอจบชีวิต
นอกจากนี้ อํานาจสงฆ์ส่วนกลางยังออกคําสั่งให้พระสงฆ์ในล้านนาเปลี่ยนแปลงวิธีครองผ้าให้
เป็นแบบส่วนกลาง นั่นคือ นุ่งห่มผ้าสีเหลือง และครองผ้าแบบมัดลูกบวบ มิใช่นุ่งห่มสีหมากสุก (สีแดง
ม่วงย้อมด้วยเปลือกไม้ฝาง) และครองผ้าแบบรัดอก (ดังเช่นครูบาศรีวิชัยและพระรูปอื่นในล้านนายุค
นั้น) คําสั่งนี้มีไปถึงเจ้าอาวาสทุกวัดและเจ้าคณะอําเภอรอบนอก หากพระสงฆ์องค์ใดไม่ยอมก็ให้ลา
สิกขา พระสงฆ์หลายรูปจึงลาสิกขาด้วยเหตุนี้
ทั้งหมดนี้คือเรื่องเล่าจากพระสงฆ์หลายรูปในเขตเมืองเชียงใหม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในช่วงทศวรรษ 2480 ที่เล่าสืบต่อกันมา
จากการสัมภาษณ์พระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาสซึ่งปัจจุบันบวชเรียนในช่วงทศวรรษ 2490-2500
คัมภีร์ใบลานที่ถูกนําไปซ่อนในถ้ํา หรือบางแห่งขุดหลุมฝังกลางวิหาร จะเป็นวัดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
กับครูบาศรีวิชัย (ซึ่งคาดว่ามีจํานวนหลายร้อยวัด)
ความสนใจต่อภาษาตัวเมืองจึงลดลงเป็นลําดับ และสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งเลวร้ายลงมากขึ้น
เมื่ อ ทิ ด คนหนึ่ ง ที่ ต้ั ง โรงพิ ม พ์ ใ นเมื องเชี ย งใหม่ ได้ แ ปลพระธรรมคํ า สอนภาษาตั ว เมื อ งทั้ ง หมดเป็ น
ภาษาไทยและจัดพิมพ์จําหน่าย ซึ่งเท่ากับทําลายโอกาสของพระสงฆ์ที่คิดจะเรียนตัวเมืองมากขึ้น ยิ่ง
เอกสารเหล่านี้แพร่หลายไปทั่วล้านนามากเท่าใด พระสงฆ์ก็ยิ่งเรียนเขียนอ่านตัวเมืองน้อยลงๆ
สําหรับประชาชน เมื่อกระทรวงธรรมการออกคําสั่งห้ามการเรียนเขียนอ่านภาษาล้านนาและ
ห้ามพูดคําเมืองในห้องเรียนตั้งแต่ พ.ศ. 2456 ก็หมายความว่าเยาวชนนับตั้งแต่น้ันและเรื่อยมา
กลายเป็นผู้ใหญ่และคนชราในเวลานี้เกือบครบรอบ 100 ปี ที่หาคนอ่านออกเขียนตัวเมืองได้น้อยมาก
คนที่อ่านออกเขียนตัวเมืองได้ในห้วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาก็คือคนที่เคยบวชเรียนมาก่อน
เมื่อเธอเรียนวิชาภาษาไทยที่สถาบันราชภัฏเชียงใหม่ เธอมีโอกาสได้เรียนภาษาล้านนาอีกครั้ง
ต่อมาวันหนึ่ง จักรยานยนต์ของเธอไปเสียที่หน้าโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา เธอจูงรถเข้าไปในที่
แห่งนั้นด้วยความประสงค์จะซ่อมรถ สุดท้าย เธอก็ได้เรียนตัวเมืองที่นั่นกับครูอีกหลายคน ด้วยความ
เอาใจใส่ในการอ่านและหาความรู้เพิ่มเติม ดาวรายก็สามารถอ่านตัวเมืองที่อยู่ในจารึกเก่าแก่ได้อย่าง
แตกฉาน ส่งผลให้เธอได้งานทําเป็นผู้ช่วยการปริวรรตงานเขียนตัวเมืองเป็นภาษาไทย ขณะนี้ เธอ
ทํางานหาเลี้ยงชีพด้วยการปริวรรตงานเขียนตัวเมืองของสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ เป็นงานเต็ม
เวลา รายได้จากการทํางานปริวรรตตัวเมืองช่วยให้เธอได้เรียนต่อระดับปริญญาตรีในโครงการวัน
เสาร์-อาทิตย์และจะจบในปีการศึกษานี้
ทั้งสี่เหมือนกันตรงที่ต่างคนต่อสู้ไปจนถึงเป้าหมายของตนเอง และปัจจุบันมีหน้าที่การงานอัน
เป็นฟันเฟืองหนึ่งของสังคม เป็นผู้นําระดับกลางขององค์กรต่างๆในเชียงใหม่
หลายปีมานี้ มีหลายวัดที่เปิดสอนตัวเมืองในวันเสาร์และอาทิตย์เพื่อรื้อฟื้นตัวอักษรของล้านนา
เช่น วัดสวนดอก วัดพันอ้น วัดลอยเคราะห์ โดยไม่คิดค่าสอน สํานักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ม.ช. และ
สภาคริสตจักรที่เชิงสะพานนวรัฐก็เปิดโครงการนี้ จังหวัดต่างๆในล้านนาก็ริเริ่มโครงการนี้ มีคนไปเรียน
ห้องละหลายสิบคน นับเป็นกิจกรรมที่ควรได้รับการชื่นชมอย่างยิ่ง
ที่โรงเรียนมัธยมหลายแห่ง มีการสอนตัวเมืองเป็นวิชาเลือก ครูที่สอนเรียนรู้จากโครงการที่
กล่าวข้างต้นหรือเคยเรียนในสถาบันอุดมศึกษา บางโรงเรียนมีครูที่เคยบวชเรียนเปิดสอนตัวเมืองเป็น
วิชาเลือก แต่ครั้นได้เวลาเกษียณอายุ ก็ไม่มีใครมาสอนแทนอีก
เมื่อนักเรียนจํานวนน้อยเรียนตัวเมืองในระดับมัธยมและไม่มีโอกาสได้เรียนอีกในมหาวิทยาลัย
ที่มหาวิทยาลัยมีคนเรียนด้านนี้เพียงไม่กี่คน แต่ละปีแทบไม่มีสถาบันไหนรับคนที่มีความรู้ความสามารถ
ด้านภาษาตัวเมือง คนที่เรียนตัวเมืองในโครงการวันเสาร์-อาทิตย์จบออกไปก็ไม่มีโอกาสได้อ่าน เพราะ
ไม่มีชมรม ไม่มีเอกสารตัวเมืองจําหน่ายอย่างต่อเนื่อง ไม่มีป้ายตัวเมืองตามจุดต่างๆสําหรับกิจกรรม
รายวัน มีแต่ป้ายบอกชื่ออาคาร วัดต่างๆไม่มีการจัดทําห้องสมุดสําหรับพระ-เณร และคนที่สนใจเข้าไป
หาอ่านและค้นคว้าเอกสารตัวเมืองที่เก่าแก่ ฯลฯ