Professional Documents
Culture Documents
มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม เล่ม 4 (small file) PDF
มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม เล่ม 4 (small file) PDF
“ลงทุนหุ้นปันผลด้วยความเข้าใจ ถ่ายทอดความมังคังสู่ลูกหลาน”
1|P a ge
ขอขอบคุณ
คุณนุชา สีบญ
ุ เรือง เจ้ านายทีไว้ ใจในตัวผมเสมอ
2|P a ge
สารบัญ
บทที 3 กําไรขันต้ น (Gross profit) และอัตรากําไรขันต้ น (Gross profit margin) หน้ าที 12
บทที 4 ค่ าใช้ จ่ายในการขายและการบริ หาร (Sale, general and administration cost - SG&A) หน้ าที 15
บทที 5 กําไรก่ อนหักภาษี ดอกเบียและค่ าเสือมราคา (Earning Before Interest, Tax, Depreciation
and Amortization - EBITDA) หน้ าที 19
บทที 8 กําไรสุทธิ (Net profit) และอัตรากําไรสุทธิ (Net profit margin) หน้ าที 29
บทที 9 ผลตอบแทนต่ อส่ วนของผู้ถอื หุ้น (Return on Equity - ROE) ,ผลตอบแทนต่ อสินทรั พย์
(Return on Asset - ROA) และสัดส่ วนหนีสินต่ อทุน (Debt on Equity - D/E) หน้ าที 32
3|P a ge
บทนํา
สํา หรั บ “วัต ถุป ระสงค์ ” ของหนัง สือ ทัง 4 เล่มนัน ก็ ชัด เจน ก็ คื อ “การมุ่ง ลงทุน ในหุ้นปั น ผล ในช่ ว งเวลาที
เหมาะสม และถือไว้ ตราบเท่าทีมันยังเป็ นหุ้นทีดี” ซึงผมเชือว่าเป็ นสิงทีมีความจําเป็ นจะต้ องให้ “เงินออมทํางานให้ เรา”
เพราะภายใต้ สถานการณ์ ที “หนี ท่ ว มโลก” นี สวัสดิก ารของประเทศก็ จะลดตําลงทุก วัน และเราเองก็ต้ อ งสํา รองเงิ น
ให้ มากขึ น เพื อรองรั บ กั บ ค่ า ใช้ จ่ า ยที สูง ขึ น โดยเฉพาะอย่ า งยิ งค่ า ใช้ จ่ า ยที สํ า คั ญ คื อ “ค่ า เล่ า เรี ย นบุ ต ร” และ
“ค่ารักษาพยาบาลของคนในครอบครัว” ซึงลําพังการฝากเงินในธนาคาร อาจจะยังไม่เพียงพอ
สุดท้ ายนี ผมขอขอบพระคุณ ผู้ซึงอยู่เ บืองหลังของหนัง สือ “มี ความสุข กับ หุ้นปั นผล by หมี ส้ม” เล่มที 4 นี
ได้ แ ก่ เ จ้ า นา ยข อ งผม “คุ ณ นุ ช า สี บุ ญ เ รื อ ง ” ที ได้ ใ ห้ คว า มไ ว้ ว า งใ จใ น ตั ว ผม แ ละ ใ ห้ โอ กา ส ใ น กา ร
“กลันกรองและตรวจทาน"”งบการเงินของบริษัทในเครื อทังแปด ทีมีโครงสร้ างธุรกิจและการประกอบกิจการทีแตกต่างกัน
รวมไปถึงงบการเงินรวมของเครือ ทีทําให้ ผมได้ มีความรู้มากพอทีจะเขียนหนังสือเล่มนีขึนมาจนสําเร็จได้
วรชิต หอมโกศล
5 ตุลาคม 2557
4|P a ge
บทนํา (เวอร์ ชัน หมีส้ม)
เพราะการศึกษาเรืองอะไรก็ตาม จะเห็นผลได้ อย่างเป็ นรู ปธรรมก็ต้องเรี ยนรู้ จากการ “ปฏิ บัติ” และสิงทีเรากําลัง
จะเรียนรู้กนั ก็คือ “เรียนรู้การลงทุน” เพราะว่าเราต้ องเรียนรู้ทีจะวางเงินไปอยู่ในจุดทีมันสามารถ “งอกเงย” เพิมขึนมาได้ ก็
อย่างทีเรารู้กนั ว่า การฝากเงินไว้ เฉยๆ ทําให้ เงินด้ อยค่าลงไปทุกที
ทีนีก็ เชือว่าหมีชักจูง มาขนาดนี คงต้ องสนใจลงทุนใน “หุ้น หรื อ กองทุน ” กันบ้ า งล่ะนะ.. และสิงหนึงทีจะต้ อ ง
ทํ า ความเข้ า ใจกัน ไว้ ด้ ว ยก็ คื อ “การปลูก พื ช ยัง ต้ อ งรอให้ ง อก” ฉัน ใดก็ ฉัน นัน “การลงทุน ในหุ้น ที ดี ก็ ต้ องใช้ เ วลาให้
ออกดอกออกผล” เช่นเดียวกัน ซึงหากเราลงทุนในหุ้นทีมีขนาดใหญ่โต กิจการทีมันคง เราก็จะกลายเป็ น “เจ้ าของรายจิว”
ทีได้ มี ค วามสุข กับ การเก็ บ ดอกออกผลที เติบ โตของกิจ การตลอดไป และสิงที สํา คัญต่ อ มาก็ คื อ “ส่ง มอบความมันคง
และมังคังนี ไปสูล่ กู หลานได้ โดยง่าย”
สุด ท้ า ยนี ถ้ า ยัง ไม่ ชัว ร์ จ ริ ง ๆ ก็ ข อให้ รอ “วิ ก ฤตการณ์ ท างเศรษฐกิ จ ครั งใหญ่ ” ที ทํ า ให้ ห้ ุน ตกลงมามากกว่ า
30% - 50% ของจุดสูงสุด และดําเนินการตามสูตรสําเร็จของหมีส้ม ดังนี
5|P a ge
ขั นตอนสุ ด ท้ ายก็ คื อ หลัง จากลงทุ น ไปแล้ ว เราก็ ต้ องหมั นตรวจสอบสุข ภาพกิ จ การ ว่ า เงิ น ปั นผลที ได้
ยัง อยู่ ใ นอั ต ราที เราพอใจหรื อ ไม่ ถ้ าพอใจแล้ ว ก็ ไ ม่ ต้ องทํ า อะไร แต่ ถ้ าไม่ พ อใจ หรื อ ว่ า “เงิ น ปั น ผลต่ อ หุ้น ลดลง”
อันนีเราก็ต้องพิจารณาเปลียนไปลงทุนในหุ้นตัวอืน
หมีส้ม
6|P a ge
บทที 1 โครงสร้ างธุรกิจและจุดคุ้มทุน (Break Even Point)
ผมอยากจะเริมต้ นเล่มนี โดยการอธิบายเรื องง่ายๆ ทีใช้ ในการประกอบธุรกิจ (รวมถึงการวิเคราะห์ ธุรกิจ) ให้ ได้
รับทราบกันสักหน่อย โดยทีผมคิดว่ายังไม่ อยากพูดถึงคําว่า “บัญชี” มากนัก เพราะผมเชือว่า ความเข้ าใจเรื องธุรกิจจะ
นําไปสูก่ ารเรียนรู้ด้านบัญชีทีง่ายขึน ผมคิดว่าผมใช้ วิธีสร้ างเหตุการณ์ขนมาอธิ
ึ บาย น่าจะเข้ าใจง่ายกว่าเนอะ..
ผมควรจะตัด สิน ใจอย่ างไร.. เริ มต้ นมาผมก็ค งจะต้ องดูว่ า ผมสามารถทํ าหมูปิ งออกมาขายได้ ทีต้ นทุนไม้ ละ
เท่าไหร่ อันนีล่ะ มันก็คือ “ต้ นทุนขาย” โดยนิยามก็คือ ต้ นทุนของสินค้ าหรือบริการทีเราเอามาส่งถึงมือลูกค้ านันเอง ถ้ าเป็ น
สินค้ าพวกซือมาขายไป เช่น เครืองใช้ ไฟฟ้า ต้ นทุนขายก็อาจจะเป็ น “ราคาทีซือ + ค่าขนส่ง” เท่านันเอง แต่ของผมมันเป็ น
หมูปิงนีสิ ต้ นทุนมันมีอะไรบ้ างนะ
ค่าใช้ จ่ายผันแปร ได้ แก่ ค่า เนือหมู 2 บาทต่อไม้ , ค่าซ๊ อสหมัก 0.50 บาทต่อไม้ ค่าไม้ เสียบ 0.20 บาทต่อไม้
และค่ า ถุง พลาสติ ก +ค่ า นํ าแข็ ง แช่ เ ย็ น +ค่ า ถ่ า น รวม 0.30 บาทต่ อ ไม้ รวมเป็ นต้ นทุน ผั น แปรทังสิ น 3 บาทต่ อ ไม้
ซึงจะสังเกตได้ ว่า ค่าใช้ จ่ายผันแปร (ไปตามรายได้ ) มันจะขึนลงไปตามยอดขาย และค่าใช้ จ่ายคงที ได้ แก่ ค่าคนปิ งหมู
วันละ 400 บาท และค่ารถไปซือของอีก 100 บาท รวมค่าใช้ จ่ายคงที 500 บาทต่อวัน
เพราะสิงทีเราเห็นข้ างบน เป็ นเพียงต้ นทุนขายซึงแสดงถึงกําไรขันต้ นเท่านัน เรายังมีต้นทุนอืนๆ อยู่อีก ซึงได้ แก่
ค่าเช่าแผง วันละ 100 บาท ค่าบริ หารจัดการของเราเอง วันละ 200 บาท ค่าโต๊ ะและเตาปิ ง ซือมารวมกัน 8000 บาท
ซึงคนขายบอกว่าใช้ ได้ ปีนึง ผมตีว่าใช้ แค่ 200 วันก็พอ ก็ตกวันละ 40 บาท (อันนีคือค่าเสือมราคานันเอง แต่เพือไม้ ให้ งง
เด๋ว เราอธิ บ ายในบทอืนนะ) แล้ วก็ต้ นทุนเงิ นทีกู้มาลงทุน เสียดอกเบียวันละ 60 บาท รวมเป็ นต้ นทุนอืนๆ ทังสินอยู่ที
400 บาท (100 + 200 + 40 + 60)
ทีนี ผมเอาต้ น ทุน ขายมารวมกับต้ น ทุน ค่า บริ ห ารจัด การ ก็ จะได้ แก่ ไม้ ละ 3 บาท + 900 บาท (ต้ น ทุน ขาย
500 บาท + ต้ นทุนค่าบริหารจัดการ 400 บาท) ดังนัน ถ้ าผมจะขายให้ ถงึ จุดทีคุ้มทุน หรือ “เจ๊ า” ในแต่ละวัน ผมก็ต้องขาย
7|P a ge
ถ้ าหากผมมีเวลาขายเฉพาะช่วงเช่า คือ ตังแต่ 6-10 โมงเช้ า เป็ นเวลา 4 ชัวโมง นันหมายความว่า ผมต้ องขาย
ให้ ได้ ชัวโมงละ 55 ไม้ หรือตกเฉลียประมาณนาทีละไม้ .. เอ้ อ!! เป็ นไปได้ นะ เพราะปิ งทีเยอะ หลายไม้
ผมนํ า เสนอประเด็ น นี เข้ ามา เพราะบางธุ ร กิ จ นั น ในทางต้ นทุ น กํ า หนดว่ า จะต้ อ งขายให้ ได้ นาที ล ะชิ น
แต่ความสามารถในการผลิต ใช้ เวลาถึง 2 นาทีในการผลิต 1 ชิน ซึงนันก็หมายความว่า ยอดขายจะไม่มีทางเจ้ ามาบรรจบ
กับ จุ ด คุ้ มทุน ตั งแต่ แ รกแล้ ว ซึ งถ้ า เกิ ด เหตุ ก ารณ์ นี นั นคื อ เราต้ องปรั บ ปรุ ง กระบวนการผลิต แต่ ก็ อ ย่ า งว่ า นะครั บ
“ทุกปั ญหาก็มีทางออก แต่ทกุ ทางออกก็มีปัญหาต้ องแก้ เช่นกัน” (ซึงเดียวเราจะกล่าวถึงในบทต่อๆไป)
แต่ บทนี เราก็จ ะทราบแล้ ว ว่ า โครงสร้ างของธุ รกิ จ หมูปิ ง มี อะไรบ้ าง และต้ อ งขายเท่ า ไหร่ ถึงจะเริ มมีกํ า ไร..
เราเริมมีเข็มทิศในการตัดสินใจแล้ วล่ะ ก่อนทีจะไปถึงบทต่อไป ผมอยากให้ ทุกคนลองคิดตามไปว่า ต้ นทุนตรงจุดไหนเป็ น
ต้ นทุนทีเป็ นสัดส่วนทีสูง หรือต้ นทุนไหนเราจะทําให้ มนั ลดลงได้ บ้าง เดียวบทหน้ าเราค่อยมาคุยกันต่อนะ..
8|P a ge
บทที 2 โครงสร้ างกําไรและต้ นทุนคงที
จากบทที แล้ ว เราพอรู้ คร่ า วๆ แล้ ว ล่ะ ว่ า จุด คุ้ม ทุน มัน อยู่ที เท่า ไหร่ ต้ อ งขายหมูปิ งกี ไม้ แต่ ทีนี เนี ย ผมเองก็
อยากจะแสดงให้ เ ห็ น ว่ า การที เราขายของไปเรื อยๆ นัน ยอดขายที สูง อาจจะไม่ ไ ด้ ห มายถึง กํ า ไรที สูง ที สุด เสมอไป
เอ๊ ะ!! นีผมกําลังหมายถึงอะไรนะ.. คือ ผมอยากจะกล่าวถึงต้ นทุนทีเป็ น “ความเสียง” ของกิจการ นันก็คือ “ต้ นทุนคงที”
ซึงอันทีจริงแล้ ว มันไม่ได้ คงที แต่มนั เพิมขึนแบบเป็ นขันๆ เพือให้ เกิดความเข้ าใจ ผมคงต้ องนอกเรืองสักนิดน่าจะดี..
ประเด็นก็ คือ เราทราบว่าความสามารถในการขนส่ง (Capacity) อยู่ทีเที ยวละ 500 กล่อง ถ้ าหากว่า ลูกค้ า
สังสินค้ า 600 กล่องล่ะ ต้ นทุนจะเป็ นเท่าไหร่ เพราะผมไปเทียวเดียวไม่หมด ค่าขนส่งจะเบิล กลายเป็ น 2 เทียว คือ 3,000
บาท และค่าขนส่งจะกลายเป็ น 3000/600 หรื อกล่องละ 5 บาททันที สิงทีผมนําเสนอให้ เห็นก็คือ ต้ นทุนคงที มันไม่ ได้
“คงที” แต่มันเพิมเป็ นลําดับขัน ด้ วยเหตุผลนีจึงทําให้ ผ้ ปู ระกอบการต้ องมาวัดดวงเวลา “ขยายโรงงาน” เพือทําให้ ธุรกิจ
เติบโตยังไงล่ะ และเราก็มีให้ เห็นมาสมําเสมอว่า กิจการบางกิจการทียืนหยัดมาได้ หลายสิบปี กลับต้ องล้ มละลายเพราะ
ขยายกําลังการผลิตแล้ วไม่ถงึ จุดคุ้มทุน ลากให้ สว่ นเดิมทีมีกําไรขาดทุนลงไปด้ วย
เพือให้ เกิดความเข้ าใจมากขึน เรามาดูตารางกันดีกว่า ซึงผมได้ รวมภาษี เข้ าไปด้ วยเพือความสมจริ ง (พอดูตาราง
เสร็จ ก็ลองเอาโครงสร้ างไปเทียบในงบกําไรขาดทุนของบริ ษัทในตลาดหลักทรัพย์ ดูก็ได้ นะ) ทีนี Pattern ของตารางทีผม
นํ า มาให้ ดูนี ผมจะใช้ แบบนี ไปเรื อยๆ เพื อให้ เ กิ ด ความเคยชิ น แต่ ผมจะปรั บ เปลียนตัว เลขไปตามรู ป แบบธุ รกิ จ กั บ
อุตสาหกรรมทียกตัวอย่างในแต่ละบท การได้ เห็นตารางบ่อยๆ จะทําให้ เกิดการซึมซับและความเคยชินช่วยให้ เกิดความ
เข้ าใจมากขึนนะครับ..
9|P a ge
จากตารางทีแสดงอยู่ ในบทนีผมอยากจะให้ ดูเฉพาะในส่วนของกําไรขันต้ น ซึงเป็ นพืนฐานของกิจการเสียก่อน
เพราะถ้ าหากกําไรขันต้ น “ไม่เกิดขึน” เราก็เริมต้ นธุรกิจไม่ได้ ซึงเราจะสังเกตได้ ว่าต้ นทุนคงทีมีผลต่อกําไรขันต้ น การขาย
สินค้ าได้ มากไม่ได้ หมายความว่าจะมีกําไรทีสูงกว่าเสมอไป ทังนีกิจการร้ านหมูปิงของเรา หากเพิมยอดขายจาก 300 ไม้
เป็ น 400 ไม้ เราจําเป็ นจะต้ องจ้ างคนมาปิ งเพิมทันที ทําให้ การขายหมูปิงจาก 300 ไม้ ไปที 400 ไม้ อาจจะไม่มีกําไร
เพิมขึน แต่ว่าพอไม้ ที 401 เป็ นต้ นไป ถึงจะเริมมีกําไรทีสูงขึน เพราะว่าเราใช้ ต้นทุนคงทีได้ ค้ มุ ค่ามากขึน
ซึงกิ จ การหมูปิงของเราค่ อนข้ า งโชคดี ที ต้ น ทุนของคนปิ งไม่สูง เมื อเที ย บกับ ต้ น ทุน ขายอืนๆ (คิ ด ดูง่ ายๆ ว่ า
เราจ่าย 300 บาท ปิ งได้ เต็มที 300 ไม้ แสดงว่าต้ นทุนการปิ งถ้ าใช้ งานเต็มที ก็คือไม้ ละ 1 บาท (400 บาท / 300 ไม้ )
และอาจจะสูงได้ ถึง 3-4 บาท หากขายได้ น้อยหรื อขายไม่ไ ด้ เลย (400 บาท / 100 ไม้ ลองดูใ นตารางสิ ว่าถ้ าขายได้
แค่ 100 ไม้ เราขาดทุนเลยนะ)
กิจ การหมูปิ งมีต้ นทุนค่ าแรงเพีย ง 25-50% ของต้ นทุนขายทังหมด บางกิ จการเช่ น กิจ การการ์ เ ม้ น ต์ ใ นอดี ต
ต้ น ทุน ค่า แรงงานอาจสูงได้ ถึง 50-70% ของต้ น ทุน ขาย ซึงทํา ให้ มีผลกระทบมาก (เราอาจจะได้ นํา ตารางมาปรับ กับ
อุตสาหกรรมอืนๆ กันในบทต่อๆ ไป)
10 | P a g e
จุดๆหนึงทีมันต้ องขยาย และต้ นทุนคงที เมือลงทุนไปแล้ ว ก็จะกลายเป็ นว่า “ไม่ทําไม่ขาย ก็ต้องจ่ายอยู่ดี” เป็ นไฟท์ บังคับ
บทนีเอาเท่านีก่อนแล้ วกัน..
11 | P a g e
บทที 3 กําไรขันต้ น (Gross profit) และอัตรากําไรขันต้ น (Gross profit margin)
สมมติผมตกงาน ผมซึงเป็ นหัว หน้ า ครอบครัว ซึงมี รายจ่ายจิปาถะในบ้ า นเดือนละ 20,000 บาท แน่นอนว่ า
ครอบครั ว ผมจะต้ อ งดึง เงิ น เก็ บ ในครอบครัว ออกมาใช้ จ่า ย และวัน หนึงผมก็ มีบ ริ ษั ท มาเรี ยกไปสัมภาษณ์ ถึง 2 แห่ ง
แห่ ง แรกให้ เ งิ นเดื อนผม 25,000 บาท แต่ อยู่ใ กล้ บ้ า น ผมสามารถไปทํ า งานได้ โ ดยเสียค่ า ใช้ จ่ า ยทังสิน (ค่า เดิน ทาง
และค่าอะไรก็ตามที เกียวกับการไปทํางาน) เพีย ง 5,000 บาทต่อเดือ น ทําให้ ผมมีเงินเหลือเก็บมาใช้ จ่ายในครอบครั ว
20,000 บาทต่อเดือน ในขณะทีแห่งทีสองให้ เงินเดือนผม 30,000 บาท แต่ว่าไกลมาก ผมต้ องเสียค่าเดินทางเดือนละ
12,000 บาท ทําให้ ผมเหลือมาให้ ครอบครัวเพียง 18,000 บาท ถ้ ามองเฉพาะในด้ านของตัวเงิน แห่งแรกทีสร้ างรายรับ
โอเคล่ะ .. ว่ าผมเลือ กทํา งานแห่ ง แรกแล้ ว ผมยังให้ แ ฟนผมจากทีเดิ ม เป็ นแม่ บ้ า น ให้ อ อกมาทํ างานอีก ด้ ว ย
แต่ทํางานใกล้ บ้าน สามารถนังมอเตอร์ ไซด์ไปทําได้ ทําให้ มีรายรับ 12,000 บาทต่อเดือน ในขณะทีค่าใช้ จ่ายในการทํางาน
ทังสิน เดือนละ 1,000 บาท ก็จะเหลือเก็บกลับมาทีครอบครัวเดือนละ 11,000 บาท ทีนีจากทีผมทํางานรวมกับของแฟน
ก็จะกลายเป็ นเงินเก็บเข้ ามาในครอบครัวทังสินเดือนละ 31,000 บาท (20,000+11,000) และถ้ าค่าใช้ จ่ายจิปาถะในบ้ าน
ยังไม่เ พิม (คือ ยัง มีค่า ใช้ จ่า ยในบ้ านเท่ าเดิ มคื อเดือ นละ 20,000 บาท) ครอบครัว ผมก็จ ะมี เงิ นเก็บ (หรื อ กํา ไรสะสม)
เพิมขึนเดือนละ 11,000 บาททีเดียว ซึงหากมองในแง่บริ ษัท ค่าใช้ จ่ายจิปาถะในบ้ าน ถ้ าเปรี ยบเทียบ ก็คือ ค่าใช้ จ่ายใน
การบริ หารจัดการ (Selling, General and administrative expense หรื อ SG&A) และถ้ าผมมีค่าผ่อนบ้ านผ่อนรถ
ก็ถือเป็ นค่าเสือมราคา (Depreciation) ส่วนดอกเบียของบ้ านและรถ ในแง่บริ ษัทก็ถือเป็ นดอกเบียจ่ายนันเอง อันทีจริ ง
มันก็เทียบชีวิตครอบครัวกับรูปแบบบริษัทเป๊ ะๆ คงไม่ได้ แต่ก็พอดูๆไปเป็ นไอเดียนะครับ..
สรุปก็คือว่า เราพอรู้แล้ วล่ะ ว่า “กําไรขันต้ น” ทีเกิดขึนจะเหมือนเป็ นการ “ส่งส่วย” เข้ าสู่ค่าใช้ จ่ายส่วนกลางของ
บริ ษั ท สํา หรั บ อัต รากํ า ไรขันต้ น ( Gross profit margin) ก็ ไ ม่ มี อ ะไรมาก ก็ คื อ เอากํ า ไรขันต้ น มาหารด้ ว ยรายรั บ
ถ้ าหากใช้ ตัวอย่างเดิม คือ รายได้ ของผมหักรายจ่ายในการไปทํางาน คือ 20,000 / 25,000 ก็จะเท่ากับ 80% และของ
แฟนผมก็คือ 11,000 / 12,000 ก็จะเท่ากับ 92% ซึงจะสังเกตได้ ว่าของแฟนผม มีอัตรากําไรขันต้ นทีสูงกว่า เห็นแบบนี
แล้ ว หลายคนก็อาจจะถามว่า ถ้ าเป็ นแบบนีเราเป็ นลูกจ้ างก็ดีสิ อัตรากําไร ดีไปหมดเลย.. แต่ช้าก่อน อัตรากําไรมันสูงก็
จริงแต่เราเพิมยอดขายไม่ได้ มันก็เลยล๊ อคตายอยู่แค่นนั แต่แน่นอนว่ามันได้ ความมันคงและเสียงน้ อยกว่าการทํากิจการ..
12 | P a g e
นอกเรื องไปไกล ผมขอย้ อนกลับ เข้ า มาที ร้ า นหมูปิงของผมนะครับ ซึงเราก็จ ะสัง เกตเห็ นได้ ว่า ต้ นทุนมัน แบ่ ง
ออกเป็ น 2 ก้ อน ส่วนทีหนึงก็คือ ต้ นทุนขาย และส่วนทีสอง คือ ค่าบริ หารจัดการ ค่าเสือมราคา ดอกเบียและภาษี ซึ งถ้ า
หากว่าราคาขายสินค้ าของเรา เมือลบกับต้ นทุนขายไปแล้ วติดลบ เราก็ไม่ควรจะขายมันแล้ ว เพราะกําไรขันต้ นมันติดลบ
ยิงทํายิงเจ๊ ง..
บางคนก็ เ ลยสงสัย ว่ า “ใครมัน จะบ้ า ไม่ ร้ ู ตัว ว่ า ขายแล้ ว ขาดทุน หรื อ กํ า ไรขันต้ น ติ ด ลบ” อัน ที จริ ง แล้ ว มี ค รั บ
โดยเฉพาะอย่ างยิงธุรกิจขนาดใหญ่ ที มีโ ครงสร้ างซับ ซ้ อ น และมัก จะเกิด จากสินค้ าหรื อบริ ห ารที เคยมี กํา ไรในอัตราสูง
มาก่ อ น และเกิ ด การเปลียนแปลง ทํ า ให้ อัต รากํ า ไรขันต้ น ลดลง แต่ รายจ่ า ยลงตามมาไม่ทัน หรื อไม่ ก ล้ า ลดรายจ่ า ย
บางอย่ า งลง ซึงถ้ า เปรี ย บเที ย บว่ า ครอบครัว เราเป็ นมอเตอร์ ไ ซด์ พอเจออะไรกระทัน หัน เราเบรคทัน แต่ใ นธุ รกิ จ นัน
มันเหมือนเป็ นรถเทรลเลอร์ บรรทุกมาเต็มคัน ถึงจะเห็นคนอยู่ไกลๆ รู้ ว่าจะชน และพยายามจะเบรค บางครังก็เบรคไม่ทัน
จริงๆ แต่เชือไม๊ ว่า ยังคงมีผ้ บู ริ หารจํานวนมาก ทีไม่ร้ ู ว่าตัวเองยิงขายยิงขาดทุน อันเนืองมาจากการ “หลอกตัวเอง” หรื อ
อาจจะเกิดจาก การไม่สามารถกระจายต้ นทุนคงที ทําให้ ไม่สามารถระบุได้ ว่าสินค้ าใดมีต้นทุนคงทีเท่าใด ทําให้ ไม่สามารถ
คิดต้ นทุน ขายต่อ หน่วยที แท้ จริ ง ออกมาได้ เป็ นต้ น (ประเด็น พวกนี ผมจะเอามานํา เสนอช่ วงกลางๆ เล่ม ตอนนี เราเอา
เบืองต้ นไปก่อนนะ)
13 | P a g e
จากตาราง เราก็จะเห็นได้ ว่า ถ้ าหากขายลูกชินปิ งและขายได้ เยอะถึง 300 ไม้ ก็จะมีกําไรมาช่วยหมูปิงถึงวันละ
250 บาทที เ ดี ย ว ซึงรายรั บ จากกํ า ไรขันต้ น ของลูก ชิ นปิ งตรงนี ก็ จ ะมาช่ ว ยจ่ า ยในส่ว นของต้ น ทุน ค่ า บริ ห ารจัด การ
ค่าเสือมราคาและดอกเบียจ่าย ให้ หมูปิงเบาแรงลง และถ้ าเราสังเกตดีๆ เราก็จะพบอีกประเด็นว่า แต่เดิมทีเราเคยบอกว่า
ถ้ าขายหมูปิงไม่ถงึ 300 ไม้ เราก็อาจจะไม่กําไรหรืออาจจะถึงขันขาดทุนด้ วยซํา (เช่นถ้ าขายได้ แค่ 100 ไม้ ) การมีลกู ชินปิ ง
ก็อาจจะกลายเป็ นว่า หากลูกชินและหมูปิงขายรวมกันไม่เกิน 300 ไม้ ผมอาจจะไม่ต้องจ้ างคน 2 คนก็ได้ เพราะคนเดียว
ก็ปิงไหว ทําให้ สถานการณ์ทีหมูปิงทีอาจจะขาดทุนหากขายไม่ถึง 100 ไม้ กลับมามีกําไร ภายใต้ เงือนไขทีว่าจะต้ องขาย
รวมกับลูกชินปิ งให้ ได้ 200 ไม้ ซึงเป็ นเรืองทีง่ายกว่า หรืออาจจะบอกว่า “ลูกชินมาช่วยหมูปิง ในแง่ทีว่า มาช่วยหารต้ นทุน
คงที หรื อ อาจกล่า วได้ ว่ า มาช่ ว ยให้ ก ารใช้ ท รั พ ยากรให้ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพดี ยิ งขึนนันเอง” ตรงส่ ว นนี ล่ะ ที คลาสสิค และ
พลิกแพลง กําไรของหลายๆ กิจการมาจากตรงนี เพราะว่าเวลาเรี ยกเก็บตังลูกค้ าเรี ยกเก็บเต็มๆ ซึงเท่ากับว่าได้ ค่าต้ นทุน
มาเต็มทีแล้ ว แต่เอา Capacity ทีเหลือไปทํางานส่งลูกค้ าอีกราย ซึงต้ นทุนบางส่วนนีไม่มีแล้ ว (เพราะเก็บจากลูกค้ าเจ้ า
แรก) แต่ก็ยงั เรียกเก็บกับลูกค้ าอีกราย กําไรมันอยู่ตรงนี ลองดูในตารางก็ได้ ว่าถ้ าหมูปิงหรื อลูกชิน อันใดอัน หนึงไม่ต้อง
จ่ายค่าคนปิ ง กําไรขันต้ นมันจะสูงขนาดไหน... แต่ลกู ค้ าทีรู้ทนั ก็จะขอต่อรองราคาอยู่ดี เพราะในโลกของธุรกิจ “ไม่มีใครโง่”
มีแต่ “แกล้ งโง่” เท่านันเอง.. บทนีเอาเท่านีก่อนดีกว่า..
14 | P a g e
บทที 4 ค่ าใช้ จ่ายในการขายและการบริ หาร (Sale, general and administration cost - SG&A)
ในรู ป บริ ษั ท ก็เ ช่น เดีย วกัน หน่ วยผลิต ก็ ทํา การสร้ างสรรค์ ผลิต ภัณฑ์ แ ละบริ การ โดยมี หน่ ว ยสนับ สนุน ได้ แ ก่
ส่วนกลางทีทําหน้ าทีโฆษณา พัฒนาวิจัย การเงินและบริ หาร ซึงถ้ าหน่วยผลิตหากําไรขันต้ นมาได้ ไม่มากพอ ธุรกิจก็จะ
ล่มสลาย คือ ธุรกิจจะไม่มี “เงินเก็บ” หรืออาจจะ “ขาดทุน” นันเอง ค่าใช้ จ่ายส่วนกลางครงนี ภาษาทางบัญชี จะบันทึกไว้
ว่า “ค่าใช้ จ่ายในการขายและการบริ หาร” นันเอง ซึงผู้อ่า นก็คงจะนึกภาพตามได้ ว่า ถ้ า หากค่าใช้ จ่ายส่วนนีสูง บริ ษัท ก็
จะต้ องพยายามทําให้ กําไรขันต้ นสูงพอทีจะครอบคลุมค่าใช้ จ่ายส่วนนีจนทําให้ เกิด “กําไร” หรือ “เงินเก็บของบริษัท”
15 | P a g e
สมมติว่า ต้ นทุนขายหมูปิงเฉลียที 2 บาท ขายออกได้ ไม้ ละ 5 บาท เราเกิดกําไรขันต้ น 3 บาทต่อไม้ ทีนี ถ้ าร้ าน
ของผมมีต้นทุนค่าบริ หารจัดการวันละ 600 บาท หมายความว่า ผมจะมีกําไรจริ งๆ หลังจากขายได้ แล้ ว 200 ไม้ นันเอง
และถ้ าผมบอกว่าอยากจะเร่งยอดขาย ผมก็ไปจ้ างเด็กมาตะโกนหน้ าปากซอย โดยให้ ค่าจ้ างวันละ 300 บาท มันก็เท่ากับ
ว่า ผมจะต้ อ งมี ย อดขายเพิ มให้ ไ ด้ อี ก อย่ า งน้ อ ย 100 ไม้ จึง จะครอบคลุม ค่ า ใช้ จ่ า ยส่ว นนี และการให้ เ ด็ ก ไปตะโกน
ปรากฏว่าวันนันผมขายได้ เพิมขึน 300 ไม้ ผมก็อาจจะปั กใจเชือว่า “การจ้ างเด็กมาตะโกน” ทําให้ ยอดขายโต ซึงอาจจะ
เกียวหรือไม่เกียวก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้ ตัดสินใจจ้ างเด็กมาตะโกนเพิมอีก 2 คน รวมเป็ น 3 คน มีค่าใช้ จ่ายในการ
จ้ างเด็กเพิมขึนเป็ น 900 บาทต่อวัน ทําให้ ต้นทุนค่าบริ หารจัดการของผม ทีเดิมมีเพียง 600 บาท กลายเป็ น 1,500 บาท
และผมต้ องขายให้ ได้ 500 ไม้ ถงึ จะเริมมีกําไร..
ถึงแม้ เราจะดูว่าค่าใช้ จ่ายตรงนี เป็ นค่าใช้ จ่ายทีจําเป็ นจะต้ องพยายามควบคุมให้ มีประสิทธิ ภาพทีสุด แต่การที
บางบริ ษัททุ่มงบโฆษณาหรื ออัดค่าใช้ จ่า ยทางการตลาดไปเป็ นจํานวนมาก ก็ อ าจทํา ให้ บริ ษัทสามารถ “สร้ างแบรนด์ ”
ซึงหมายถึง “ความเชือถือในคุณภาพของสินค้ า หรือภาพลักษณ์ทีหรูหราทําให้ ผ้ บู ริ โภคดูมีระดับ” ได้ สําเร็ จ ส่งผลให้ สินค้ า
ของบริษัททีมีคณ
ุ ภาพใกล้ เคียงกับคู่แข่งสามารถขายได้ ทีราคาสูงกว่า 20-50% โดยทีผู้บริ โภคซือหามาใช้ ด้วยความเต็มใจ
(เชือไม๊ ว่า .. ต้ นทุน ของผลิตภั ณฑ์ บํา รุ งผิ วบางยีห้ อ มีสดั ส่วนค่ าใช้ จ่ ายในการทําการตลาดและโปรโมชันสูง ถึง 35-40%
ของต้ นทุนรวม ซึงหมายความว่า สินค้ าทีเราซือในราคา 100 บาท อาจจะมีต้นทุนค่าประชาสัมพันธ์ ถงึ 40 บาททีเดียว)
ขณะเดี ย วกัน ในด้ านของค่ า ใช้ จ่ า ยในการบริ ห าร บางธุ ร กิ จ ก็ อ าจจะจํ า เป็ นจะต้ อ งเสี ย ค่ า ใช้ จ่ า ยในการ
จ้ างพนักงานทีมีความเชียวชาญ มาดูแลจัดการระบบส่วนกลาง (อย่างเช่นพวกกิจการทีมีสาขามากมาย) หรื ออาจจะต้ อง
มีนิติกรและพนักงานบัญชีอยู่จํานวนมาก (สําหรับกิจการทีเกียวข้ องกับกฏหมายหรือการเงิน) ทําให้ ตวั เลขส่วนนีดูสงู มาก
จะเห็นได้ ว่า การที “ค่าใช้ จ่ายในการขายและการบริหาร” มีสดั ส่วนทีสูงหรื อตํา ยังไม่สามารถบอกได้ ว่าเป็ นบวก
หรื อเป็ นลบ เพราะมันแล้ วแต่โ ครงสร้ างของกิ จ การ ดัง นัน เพื อให้ เ ราสามารถนํ า ความรู้ ส่วนนี ไปใช้ ได้ จริ ง สํา หรั บการ
“ส่อ งกิ จ การ” ว่ า มัน ปกติ ดี หรื อ ดี ขึนหรื อ แย่ ลง วิ ธี ก ารก็ คื อ เราต้ องนํ า “ค่ า ใช้ จ่ า ยในการขายและการบริ ห าร” มา
เปรียบเทียบในมิติต่างๆ ดังนี (อันนีคือเท่าทีผมพอจะมีความรู้ ซึงอาจจะมีท่านอืนทีมีวิธีทีดีกว่าครับ)
มิติแรกที เราทําได้ ก็คือ “เปรี ยบเทียบตัวมันเอง” เทียบไตรมาสต่อ ไตรมาส หรื อปี ต่ อปี ว่าค่ าใช้ จ่ายส่วนนีงอก
ขึนมาหรื อไม่ หรื อมัน ลดลงไป เพราะแต่ละกิจ การที มี เสถี ยรภาพ ค่า ใช้ จ่า ยเหล่านี มันจะไม่ “บวม” ซึงถ้ า มัน “บวม”
มัน จะต้ องมีอ ะไรเกิด ขึน ยกตัวอย่า งเช่ น ชาเขี ยวเจ้ า เก่ า ซึงถูก ชาเขี ย วเจ้ าใหม่ เข้ า มาตีต ลาด ก็ อ าจจะมี ต้น ทุนด้ า น
การตลาดสูงขึนแบบผิดหูผิดตา เพราะอยู่ในสภาวะทีต้ อง “สู้” กับรายใหม่ เป็ นต้ น การเปรียบเทียบลักษณะนี ทําให้ ร้ ู ความ
เป็ นไปของบริษัทมากขึนว่ามีทรงเป็ นอย่างไร หรือบริษัท “กําลังเสียหลัก” อยู่
16 | P a g e
โดยทีรายอืนไม่เพิมขึน แสดงว่าต้ องมีอะไรพิเศษ การจ่ายเงินออกไปต้ องมีเหตุผล ถ้ าบริ ษัท A มีกําไรเพิมสูงขึนจากเงิน
ทีลงไปก็คงไม่เป็ นไร แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็ต้องนําไปพิจารณาว่าเกิดอะไรขึน และเมือพิจารณาควบคู่ไปกับ “การเปรี ยบเทียบตัว
มันเอง” แล้ ว เราก็อาจจะพอทราบได้ ว่าบริษัท “กําลังเพลียงพลําเสียท่า” หรือไม่
ผมว่าผมน่ าจะอธิ บ ายในเรื องของ “ค่าใช้ จ่ายในการขายและการบริ หาร” ค่อนข้ างจะครบถ้ วนพอสมควรแล้ ว
บทต่อไป เราจะได้ มาเรียนรู้ เกียวกับพระเอกตัวหนึงในงบการเงิน นันก็คือ “กําไรก่ อนหักภาษี ดอกเบียและค่ าเสือม
ราคา” หรือ ทีเราได้ ยินบ่อยๆ ว่า Earning Before Interest, Tax, Depreciation and Amortization (EBITDA)
17 | P a g e
18 | P a g e
บทที 5 กําไรก่ อนหักภาษี ดอกเบียและค่ าเสือมราคา(Earning Before Interest, Tax, Depreciation and
Amortization - EBITDA)
บทนี อาจจะเป็ นบทหนึ งที สํ า คั ญ ที สุด ในเล่ ม นี เพราะเป็ นส่ ว นที ผู้ อ่ า นจะได้ นํ า ไปวิ เ คราะห์ ห้ ุ นได้ อย่ า ง
มีประสิทธิภาพและอาจนําไปสูค่ วามสําเร็จในการลงทุน ซึงผมจะพยายามอธิบายให้ ละเอียดทีสุดเท่าทีจะทําได้ นะครับ..
ในบทก่อนๆ เราได้ ท ราบถึงต้ นทุนขายและต้ นทุนด้ านการขายและบริ หารเป็ นทีเรี ยบร้ อยแล้ ว ต้ น ทุนข้ างต้ น นี
ประกอบรวมกัน เป็ น “ต้ น ทุน การดํา เนิ นงาน” ซึงเมือหักจากรายรับ ทีได้ ก็ จะได้ เป็ น “กํา ไรก่อ นหัก ภาษี ดอกเบี ยและ
ค่าเสือมราคา” ซึงบางคนสงสัยว่าในทางบัญชีแล้ วนัน ทําไมต้ นทุนทางการเงิน (ดอกเบีย) และค่าเสือมราคา ถึงไม่ถูกเอา
มารวมใน “ต้ นทุนการดําเนินงาน” ระบบบัญชีมีเหตุผลอะไรหรื อ... ซึงเหตุผลก็คือ ต้ นทุนค่ าเสือมราคาและต้ นทุนทาง
การเงิน (ดอกเบีย) ไม่ได้ เกียวข้ องโดยตรงกับความสามารถในการดําเนินงานน่ะสิ..
สมมติ บริ ษั ท A มี รายได้ อ ยู่ที 100ล้ า นบาท ต้ นทุน การดํ า เนิ นงานมีจํ า นวน 70ล้ า นบาท เท่า ว่ า %EBITDA
อยู่ที 30% ซึงถือว่าสูงทีเดียว แต่ปรากฏว่าบริ ษัท มีหนีสินอยู่ทีประมาณ 200ล้ านบาท ทําให้ เกิดดอกเบียจากเงินกู้สงู ถึง
30ล้ านบาทและมีค่าเสือมราคาตัดจ่ายในปี นันอีก 20ล้ านบาท กลับกลายเป็ นว่ารายรับที 100 ล้ านบาท ไม่เพียงพอต่อ
ต้ นทุนทังหมด ทําให้ ขาดทุนไป 20ล้ านบาท (รายรับ 100 ล้ านบาท รายจ่าย = 70+30+20 = 120ล้ านบาท) การขาดทุน
20 ล้ านบาทนี คือ กําไรขาดทุนก่อนหักภาษี ครับ (ซึงเราจะได้ อธิบายกันอย่างละเอียดในบทต่อๆไป)
ทีนีกลุ่ม เจ้ า ของบริ ษัท A ก็เลยบอกว่า ไม่ เอาละ!! ทํา มาก็เ อาไปใช้ หนี หมด เอาเงิ นตัว เองมาเพิ มทุน ซะเลย
จึงลงเงินเพิมเข้ าไป 200ล้ านบาท ถ้ าเหตุการณ์ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม รายรับและต้ นทุนการดําเนินงานของบริ ษัทยังคง
เท่าเดิม มันก็เท่ากับว่ากิจการนีจะประหยัดต้ นทุนทางการเงินไปได้ 30ล้ านบาท ทําให้ กิจการทีปี กลายขาดทุน 20ล้ านบาท
พลิกกลับมามีกําไรที 10ล้ านบาททันที ต่อมากลุ่มเจ้ า ของบริ ษัท A ก็ ร้ ู อีกว่าค่า เสือมราคาทีเกิดขึนนี มาจากการลงทุน
รถบรรทุกที มีการตัดค่า เสือมราคา 5 ปี และปี นีเป็ นปี สุดท้ าย คือ ปี ที 5 แล้ วเช่น กัน (ในปี หน้ ามูลค่าซากในทางบัญชี
จะเหลือ 1 บาท) ดังนันต้ นทุนค่าเสือมราคาอีก 20ล้ านบาทก็จะหมดไป และปี ต่อไปบริษัทก็จะมีกําไรสูงขึนอีก 20ล้ านบาท
19 | P a g e
กลายเป็ นว่าผลของการเปลียนแปลงโครงสร้ างเงินทุน ทําให้ ต้นทุนทางการลดลงและการทีค่าเสือมราคาหมดลงด้ วยพร้ อม
กัน จะทําให้ กิจการทีเมือปี กลายขาดทุน 20ล้ านบาท กลายมาเป็ นกําไร 30ล้ านบาททันที..
จากตัวอย่างข้ างต้ น เราก็จะเห็น ว่า ทังต้ นทุน ค่าเสือมราคาและต้ นทุน ทางการเงิน เป็ นต้ น ทุนที ถึงแม้ ว่า จะมี
ผลกระทบต่องบกําไรขาดทุนของบริษัท แต่เป็ นเรืองทางบัญชีและสามารถแก้ ไขได้ โดยทีอาจจะใช้ กลไกทางการเงินและไม่
ต้ องพึงพาความสามารถในการดําเนินงาน และนี แหละคือประเด็นสํา คัญที บรรดานัก วิเคราะห์ หรื อเซียน VI ทังหลาย
ใช้ จดุ นีในการเข้ าเลือกลงทุนในหุ้น..
เพราะกลยุทธ์ ห นึงที สําคัญในการวิเ คราะห์ ก็คื อ การดูว่ า EBITDA มี ความสมําเสมอและมีการเติบ โตหรื อไม่
เพราะมันหมายถึง “ความสามารถทีแท้ จริงของกิจการ” และถ้ าเค้ าพบว่ามีบางกิจการทีมีการปรับเปลียนโครงสร้ างเงินทุน
หรือว่า “หนีลดฮวบๆ” อารมณ์ประมาณว่าบริ ษัทไม่เอากําไรมาปั นผล แต่เอาไปจ่ายหนี เค้ าก็จะฟั นธงว่าปี หน้ ากําไรก็จะ
“โตแบบก้ าวกระโดด” ในขณะเดี ย วกั น ที ผู้ ที มี ค วามรู้ ถึ ง ขนาด “เซี ย นเหยี ย บเมฆ” อาจจะสามารถแกะรอย
“ค่าเสือมราคาสะสม” ทําให้ ทราบว่าปี หน้ าค่าเสือมราคาจะลดลง (อันทีจริ งเรื องนี ผู้บริ หารจะรู้ ดีทีสุด เพราะเป็ นผู้จัดทํา
บัญชี) และทําให้ กําไรดีดตัวมหาศาลก็เป็ นได้ ซึงตรงนีผมขอเก็บไว้ เล่าในบทของค่าเสือมราคาและต้ นทุนทาการเงินแล้ ว
กันครับ
เราก็ จะเห็น ได้ ว่า การที EBITDA มี กํา ไรสมําเสมอก็ เป็ นเรื องทีดี แล้ ว ในบางโมเดลของบางธุ รกิ จ ระบบการ
ดําเนิ นงานทีมี เสถีย รภาพ ก็ ทําให้ EBITDA เติบโตอย่ างก้ าวกระโดดได้ อย่า งชัด เจน ผ่านความสามารถในการจัดการ
“ต้ นทุนขาย” และ “ต้ นทุนด้ านการขายและการบริหาร” ซึงผมจะขอลองยกตัวอย่างให้ เป็ นรูปธรรม ดังนี
20 | P a g e
ทังสองข้ อตรงนีล่ะ ทีทําให้ EBITDA ทีไม่เพียงแต่กําไรจะโตขึน แต่ % ของ EBITDA ก็จะเติบโตอย่างก้ าวกระโดด
ด้ วย ในลักษณะทีเรียกว่า “ยอดขายโต แต่ต้นทุนไม่โตตาม” ส่งผลให้ “กําไรเต็มๆ เน้ นๆ เนือๆ” ซึงหากทีสามารถวิเคราะห์
ตรงจุดนี ได้ และเข้ า ลงทุน ในจัง หวะที “คาบลูก คาบดอก” หรื อ “กํา ลัง เปลียนผ่า น” หรื อ ทีเค้ า พูดกัน อย่า งติ ดปากว่ า
“กําลัง Turnaround (ทังๆ ทีมันไม่ได้ Turn มันเป็ นธรรมชาติของมันอยู่แล้ ว มันแค่รอเวลากระโดด)” ก็จะสามารถทํากําไร
จากการลงทุน หรือแม้ แต่รอรับ “เงินปั นผล” ทีจะมีอย่างมหาศาลในอนาคต อย่างมิพกั ต้ องสงสัย..
สุดท้ ายนี ผมเชือว่าบทนีจะทําให้ เกิดผู้อ่านเกิดไอเดีย ในการ “เร่ งเปิ ดตัวเลขทางการเงิน เพือค้ นหา EBITDA”
ของบริษัททีเราสนใจ มาวิเคราะห์กนั อย่างละเอียดมากขึนแล้ ว
21 | P a g e
บทที 6 ค่ าเสือมราคาและค่ าตัดจําหน่ าย (Depreciation and Amortization)
ในการเริ มต้ น หน่ ว ยธุ รกิ จ หรื อ แม้ แต่ โ ครงการลงทุ น ใหม่ ๆ เรามัก จะเจอต้ น ทุน อยู่ ตัว หนึง ที เรี ย กกัน ว่ า
Pre-operating costs หรื อ ต้ น ทุน ที ลงไปก่ อ นที จะเริ มดํ า เนิ น ธุ รกิ จ ค่ า ใช้ จ่ า ยตรงนี บางครั งเป็ นพวกสิน ค้ า ทุน เช่ น
เครื องจักร โรงงาน ยานพาหนะ หรื อบางครังก็เป็ นสิงทีไม่มีตัวตน (Intangible asset) เช่น พวกค่าลิขสิทธิ ค่าสิทธิ บัตร
หรือซอฟท์แวร์ ต่างๆ ต้ นทุนพวกนีเป็ นค่าใช้ จ่ายทีก้ อนใหญ่ และไม่สามารถตัดค่าใช้ จ่ายได้ ใน 1 ปี ทําให้ เกิดตัวเลขในทาง
บัญชีทีเราจะได้ มาดูกนั ในบทนี นันก็คือ ค่าเสือมราคาและค่าตัดจําหน่าย (Depreciation and Amortization) เพือให้ เห็น
ภาพชัดเจน เรามาดูตวั อย่างกันเลย
ในทางเดี ย วกัน สํา หรั บ สิน ค่ า ที ไม่ มี ตัว ตน เราจะเรี ย กต้ น ทุน ว่ า ยกตัว อย่ า งเช่ น ค่ า ลิข สิท ธิ ในการผลิต ยา
หากซือมาในราคา 150,000,000 บาท ได้ สิทธิ มาผลิต 10 ปี เราตัดสินใจว่าจะหักค่าเสือมที 10 ปี ก็จะต้ องทําการบันทึก
ต้ นทุนในงบกําไรขาดทุนปี ละ 15,000,000 บาท แต่ถ้าคิดจะตัดจําหน่ายที 5 ปี ก็จะกลายเป็ นปี ละ 30,000,000 บาท
22 | P a g e
มีผลขาดทุน หลัง หัก ค่าเสือมราคาอยู่ที 20,000,000 บาท แต่หากตัดค่า เสือมราคาแบบใหม่ (50 ปี ) แทนทีจะขาดทุน
ก็จะพลิกกลับมามีกําไรทันที 10,000,000 บาท เห็นไม๊ ครับว่าวิธีการตัดค่าเสือมราคา มีผลต่อกําไรขาดทุนของกิจการ และ
ก็ขึนกับนโยบายการตัด ค่าเสือมราคาของผู้บ ริ หาร ซึงจากตัวอย่างข้ างต้ น ทุกวันนีผมก็ยังไม่เชือว่าเครื องจักรตัวนันจะ
สามารถใช้ ได้ จนถึง 50 ปี
ในทางกลับ กัน หากค่า เสือมราคามี การตัด หมดเร็ ว กว่า ความสามารถในการใช้ ง านของมัน ยกตัว อย่ า งเช่ น
รถบรรทุกอายุการใช้ งาน สามารถใช้ ได้ ถงึ 15 ปี ในทางมาตรฐานบัญชีอาจจะให้ ตดั ค่าเสือมราคาที 5 ปี ทําให้ เมือสินปี ที 5
ปุ๊ บ ต้ นทุนตรงนีจะหายไป ตรงนีล่ะ “แฮปปี ไทม์” ซึงหลายๆ ธุรกิจ อยู่ได้ ด้วย “แฮปปี ไทม์” ตรงนี มันแฮปปี ยังไงนะ..
เอาตัวอย่างจริ งเลยก็แล้ วกัน ก็คือ รถบรรทุก เราตัดค่าเสือมราคา 5 ปี ช่วงเวลา 5 ปี แรก ผมเรี ยกว่าช่วงเวลา
“ต่อยใช้ หนี” เพราะว่าต้ องกัดฟั นผ่อนรถ (ผ่อนรถ 5 ปี ค่าเสือมราคาก็ตัดที 5 ปี แต่ก็เห็นมีบางทีตัดค่าเสือมราคาที 7 ปี )
รถบรรทุก 18ล้ อ จํานวน 10 คัน พร้ อมหางลาก คันละ 3,000,000 บาท รวมเป็ นเงิน 30,000,000 บาท ทําให้ เกิดต้ นทุนค่า
เสือมราคาถึงปี ละ 6,000,000 บาท (เอา 30,000,000 / 5 ปี ) กิ จ การของผมอาจจะมีกํ า ไรก่ อ นหักค่ า เสือมราคา
อยู่ที 8,000,000 บาท หลังจากหัก ค่ าเสือมราคาก็จ ะมี กํ าไรเหลือ เพี ยง 2,000,000 บาท แต่พ อพ้ น 5 ปี แรกเมื อไหร่
หากผลการดําเนินงานของผมยังคงที กําไรของผมจะดีดกลับมาเป็ น 8,000,000 บาททันที เพราะเราได้ ผ่อนรถหมดแล้ ว
นันเอง ซึงช่วงเวลานี ผมเรียกว่าช่วง “แฮปปี ไทม์” เพราะเราจะได้ ตกั ตวงกําไรได้ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ ผมจะรู้ว่ารถบรรทุกของผมจะสามารถใช้ งานได้ ถงึ 15 ปี ก็ตาม แต่รถย่อมมีการเสือมสภาพ ช่วงเวลาทีรถจะใช้ งานได้
ดีจริงๆ อาจจะเพียงแค่ 10 ปี พอปี ที 11 เราก็จะมีค่าใช้ จ่ายซ่อมบํารุ งทีสูงมากจนไม่ค้ มุ จะนํามาใช้ ก็เป็ นได้ เพราะค่าซ่อม
อาจจะสูงกว่าศักยภาพทีสินทรัพย์ทํางานให้ เราได้ (ค่าซ่อมบํารุงทีเกิดขึนนี ไม่เกียวกับค่าเสือมราคาแล้ วนะครับ นิยามของ
ค่าเสือมราคา ก็คือ “เงิ นที ได้ ลงทุนไปตอนแรก แล้ ว รอตัด จํา หน่ ายตามนโยบายทางบัญชี” หรื อ ถ้ า เราใช้ วิธี ผ่อ น ก็คื อ
กู้แบงก์มาลงทุน เราก็จะมีค่าใช้ จ่ายเพิมขึนก็คือ “ต้ นทุนดอกเบียหรือต้ นทุนทางการเงิน” ทีเราจะได้ มาดูกนั ในบทต่อไป)
23 | P a g e
แต่ถ้าซือที P/BV 7 เท่า P/E 25 เท่าก็คงจะแพงเกินไปมากทีเดียว แม้ ว่าจะมี “แฮปปี ไทม์ ” อย่างต่อเนืองก็ตาม และถ้ าเรา
สัง เกตดู ก็ จ ะพบว่ า บางกิ จ การที นิ ย มประมู ลงานราชการเยอะๆ บางที เ ค้ ายอมที จะทํ า งานแบบไม่ มี กํ า ไร 4-5 ปี
เพือให้ ได้ มาซือเครืองจักรและอุปกรณ์ เพราะเค้ ารู้ว่าหลังจากจบโครงการของเหล่านีซึงต้ นทุนหมดไปแล้ ว (ค่าเสือมราคา
ตัดหมดแล้ ว) จะได้ นําของเหล่านีไปใช้ ประโยชน์ต่อไป
24 | P a g e
25 | P a g e
บทที 7 ต้ นทุนทางการเงิน (Finance costs)
ถ้ ายังจําบทที 5 ในเรืองของ EBITDA กันได้ เราได้ คุยกันว่า “ต้ นทุนทางการเงิน” เป็ นใช้ จ่ายทีไม่ได้ เกียวข้ องกับ
การบริหารโดยตรง (ถ้ าจะเกียวก็เป็ นเพียงการทีผู้บริ หารมีความสามารถในการหาแหล่งเงินกู้ดอกเบียตํา) นันก็เพราะว่า
ดอกเบียทีเกิดขึน ถ้ ากิจการมีเงินทุนมากพอก็จะไม่ต้องกู้ และก็ไม่ต้องเสียดอกเบีย ดังนันต้ นทุนตรงนี จึงเป็ นต้ นทุนของ
“เจ้ า ของกิ จ การหรื อ ผู้ถือ หุ้น ” มากกว่ า ที จะเป็ น “ต้ น ทุน ของธุ รกิ จ ” เพี ย งแต่ ว่ า เจ้ า ของกู้ม า แต่ ธุ รกิ จ ต้ อ งมาแบกรั บ
“ดอกเบีย” ทีเกิดขึน
ทีนี ก็จะเกิดคําถามว่า “กู้มาให้ เสียดอกเบียทําไม” มีเหตุผลอันใด ผมลองนึกๆดู ก็มีอยู่ 2-3 เหตุผล ดังนี
เหตุ ผลที สอง ก็ อ าจจะต้ องการจํ า กัด ความเสียงของผู้ ถื อ หุ้ น ยกตัว อย่ า งเช่ น ทํ า กิ จ การต้ อ งใช้ เ งิ น ลงทุ น
100ล้ านบาท เราไม่อยากลงทุนครบทัง 100ล้ านบาท จึงลงแค่ 70ล้ านบาท แล้ วอีก 30ล้ านบาท ก็เอาสินทรัพย์ ไปคําแล้ ว
กู้ธนาคาร ยอมเสียดอกเบีย แต่กิจการก็มีเงินสดเพียงพอในการดําเนินงานโดยไม่ต้องลงเงินจนครบ 100ล้ านบาท
เหตุผลที สาม ก็คื อ เพือต้ องการขยายงาน ก็เลยไปกู้มาเพิ ม ซึงตรงนีผู้บริ ห ารก็อาจจะเห็นว่ าธุรกิจที เราทําอยู่
สามารถได้ ผลตอบแทนทีสูงกว่าต้ นทุนดอกเบีย เช่นว่า มีกิจการมีอัตรากําไรสุทธิ อยู่ที 20% (ทุกสินค้ า 100 บาททีขายได้
ได้ กําไร 20 บาท) ดังนันเราไปกู้แบงก์ ดีกว่า เสียดอกเบีย 8% พอเอามาหักกลบกันยังได้ กําไรที 12% แน่ะ (20%-8%)
พอผู้ถือหุ้นใหญ่หรือบริหารคิดแบบนีก็เลยไปกู้มา และบางทีกก็ ้ มู าเยอะเกินไป จนทําให้ สดั ส่วนหนีสินต่อทุนอยู่ในระดับที
ไม่ปลอดภัย..
ผมอยากขอเล่า เรื องราวเมือปี 2540 ให้ ฟัง สัก นิด หนึง.. ในช่ว งก่ อนหน้ าจะเกิ ดวิ กฤตต้ มยํ ากุ้ง ปี 2540 นัน
ประเทศไทยมีอัต ราการเจริ ญเติ บ โตที สูง มาก อัต ราดอกเบี ยในประเทศสูง มาก เพราะความต้ อ งการใช้ เ งิ น ลงทุน สูง
กิจการต่างๆ ในประเทศล้ วนเร่งขยายงาน บางกิจการมีเงินลงทุน 50,000ล้ านบาทก็ไปกู้เงินมาลงทุนอีก 50,000ล้ านบาท
เพื อการขยายงานเพราะเชื อว่ า จะมี กํ า ไรสูง ธนาคารทั งหลายรวมไปถึ ง ผู้ เชี ยวชาญทางการเงิ น ก็ เ ริ มมี ไ อเดี ย ว่ า
เงิ น ต่ า งประเทศ โดยเฉพาะตะวั น ออกกลางและญี ปุ่ น มี อัต ราดอกเบี ยเงิ น กู้ ตํ ามาก ก็ เ ลยไปกู้ เงิ น มาเป็ นเงิ น สกุ ล
ต่างประเทศแล้ วมาแปลงเป็ นเงินบาท ทังๆ ทีเค้ ายอมให้ ก้ แู ค่ระยะสัน (ไม่เกิน 1 ปี ) แต่ท่านเหล่านันเอามาปล่อยกู้ระยะ
ยาวในอัตราดอกเบีย 8-15% เรียกว่าหวังจะ “กินนํา” จากส่วนต่างอัตราดอกเบียระหว่างประเทศ
26 | P a g e
เงินระยะยาว) ก็ขาดกระแสเงินสดทันที ไม่ได้ ขาดแค่กระแสเงินสดเท่านัน แต่ยังขาดเงินในรู ปของเงินตราต่างประเทศที
จะต้ องนําไปชําระคืนด้ วย และจากการเบียผิดนัดชําระหนีสูงมาก ทําให้ กิจการน้ อยใหญ่แย่งกันซือเงินตราต่างประเทศเพือ
นํ า มาชํ า ระหนี ในขณะที คนที มี เ งิ น ตราต่ า งประเทศก็ ไ ม่ ย อมขายให้ เพราะรู้ ว่ า ในประเทศไทย (และเพื อนบ้ า น)
ร้ อนเงินสกุลต่างประเทศ ก็เลยทําให้ อตั ราแลกเปลียนขยับขึน ค่าเงินบาทจึงอ่อนตัวลงเรื อยๆ ซําเติมให้ ภาระหนีเพิมขึนไป
จนทําให้ กิจการล้ มระเนระนาด เพราะสมมติว่ากู้มา 1,000ล้ านดอลล่าร์ สหรัฐ เอาเข้ ามาทีไทยแปลงเป็ นเงินบาททีอัตรา
25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ สหรัฐ ได้ เงินมาใช้ จ่าย 25,000ล้ านบาท พอช่วงเค้ าดึงเงินกลับ ถึงแม้ จะกัดฟั นไปรวบรวมมาครบ
25,000ล้ านบาท แต่ในขณะนันไม่มีใครให้ แลกทีอัตรา 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ สหรัฐอีกแล้ ว เค้ าให้ แลกที อัตรา 50 บาท
ต่อ 1 ดอลล่าร์ สหรัฐ ก็คือจะได้ แค่ 500ล้ านดอลล่าร์ สหรัฐเท่านัน ทําให้ ยังเหลือหนีอีกครึงหนึงทันที จากอัตราแลกเปลียน
ที เงิ น บาทด้ อยค่ า ลง และนี เองที เป็ น “ความเสียงจากการกู้เ งิ น มาลงทุน ” และถูก เบิ ลด้ ว ย “ความเสียงจากอั ต รา
แลกเปลียน”
จากวิกฤตการณ์ ช่วงนัน เราก็ จะพบว่า หลายๆ กิจการทีดํ าเนินงานต่อมา บางรายมี EBITDA เป็ นบวกตลอด
ทุก ปี และเยอะแยะด้ ว ย ปรากฏว่ า ในงบกํ า ไรขาดทุน นัน “เจ๊ ง ทุก ปี ” และพอไปเช็ ค ดูก็ พ บว่ า สิงที ทํ า ให้ ขาดทุน ก็ คื อ
“ดอกเบีย” ซึงในภายหลัง (หลังจากทีฝุ่ นหายตลบจากความวุ่นวายต้ ม ยํากุ้ง) หลายๆ กิจ การจึงถูก ซือไปโดย ”เจ้ าหนี ”
โดยการแปลง “หนี สิน เป็ นทุน” หรื อผู้อาจจะถูกกิ จการอื น “เทคโอเวอร์ ” และล้ า งหนี ออกไป ทํา ให้ กิจการมี กํา ไรอย่า ง
สวยงามและประกอบกิจการมาจนถึงทุกวันนี และบางกิจการก็ยงั คง “แบกหนี” จากวิกฤตปี 2540 มาจนถึงปั จจุบนั
27 | P a g e
(แต่ต้องมันใจว่า เป็ นการจ่ายคืน เงินกู้ ไม่ใช่การจ่ายดอกเบียนะ ต้ องแยกกันให้ ชัด เพราะบางกิจการขนาดทุน บักโกรก
จนถึงขนาดทีว่าต้ องกู้ยืมเงินมาจ่ายดอกเบีย เราคงพอรู้นะว่ากิจการนีจะเป็ นอย่างไรต่อไป)
จากทีกล่าวมาทังหมด เราก็ได้ เห็นแล้ วว่าผลกระทบของ “ต้ นทุนทางการเงิน” ก็มีทังด้ านทีไม่ดี เพราะเป็ นความ
เสียงของกิจการ และก็ มีแฝงไว้ ด้วยประโยชน์ อ ยู่ด้วย ก็ คือ การทีผู้ถือหุ้นอาจจะไม่ต้องเติมเงิน เข้ าไป กิจการก็ โตต่อไป
เรือยๆ ได้ บางกิจการก็ได้ มีการเติบโตแบบก้ าวกระโดดได้ จากเงินทีกู้มาลงทุนภายใต้ การบริ หารความเสียงทีดี ในขณะที
หลายๆกิจการ แม้ จะมีการขยายงานต่อเนือง แต่เนืองจากโมเดลธุรกิจทีไม่สามารถบริ หารความเสียงได้ ก็อาจจะยอมทีจะ
โตช้ าหน่อย คือ”เติบโตด้ วยทุนของตนเอง” ซึงก็ คือ ใช้ เพียงกําไรเก็บหอมรอมริ บได้ แต่ละปี มาขยายกิจการ เพราะก็ร้ ู ว่า
หากกู้เงินมามากเกินไปและไม่มีการบริหารความเสียงทีดีพอ ก็เหมือนกับ “วัดดวง” เท่านันเอง..
28 | P a g e
บทที 8 กําไรสุทธิ (Net profit) และอัตรากําไรสุทธิ (Net profit margin)
ในบทนี เราก็ จะมาพูดกัน ถึง ตัวเลขทีสํา คัญทีสุด ตัว หนึงในงบการเงิ น ที หลายๆ คนชอบพูดว่า ให้ ไปดู บรรทัด
สุดท้ าย (bottom line) ตัวเลขนันก็คือ กําไรสุทธิ (Net profit) ซึงมันก็หมายถึง กําไรของกิจการทีหักค่าใช้ จ่ายทังหมดออก
แล้ ว เป็ นดอกผลของกิจการทีเกิดขึนในรอบปี หรือรอบไตรมาสนันๆ ซึงในบางครังก็อาจจะเป็ น “ขาดทุนสุทธิ” ได้ เช่นกัน
แต่ทีนี “กําไรสุทธิ” เวลาทีเราบอกว่า ปี นีกําไร 10ล้ านบาท ปี ถัดมากําไร 13ล้ านบาท ขายของได้ ดีขึนนะ มันก็คง
จะบอกไม่ได้ ชดั เจนว่ากิจการของเราดีขนึ เพราะในข้ อเท็จจริงแล้ ว กําไรของเราอาจจะมาจากการทีเราเพิมเงินลงทุนเข้ าไป
เพือขยายกําลังการผลิต (ยกตัวอย่างเช่น จากเดิมเครืองจักร 10 เครือง ได้ กําไร 1ล้ านบาท ซือมาเพิมกลายเป็ น 20 เครื อง
แต่กําไรได้ มาแค่ 1.2ล้ านบาท เป็ นต้ น) หรืออาจจะเกิดจากฝี มือของเราจริงๆ เพราะยอดขายมันโตขึน ตรงนีล่ะทีเราต้ องใช้
“กําไรสุทธิ ” มาวิ เคราะห์ โดยหากเรานําตัว เลขกํ าไรสุทธิ นี ไปผสมกับตัว เลขทางการเงิน อืนๆ เราก็ จะได้ กลุ่มข้ อมูลที มี
“คุณค่า” ในการประเมินหรื อวิเคราะห์ กิจการอย่างมากทีเดียว และตัวเลขทีเรานิยมใช้ กันในปั จจุบัน ก็ได้ แก่ อัตรากํา ไร
สุทธิ (Net profit margin), ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity - ROE) และผลตอบแทนต่อสินทรัพย์
(Return on Asset - ROA) ซึงตัวเลข ROE และ ROA เป็ นเรื องเกียวกับความคุ้มค่าในการใช้ “ทุน” จะถูกอธิ บายแยกใน
บทต่อไป ดังนันผมจะยังไม่นํามาอยู่ในบทนี
อัตรากําไรสุทธิ (Net profit margin) วิธีคิดของมันก็คือ เอากําไรสุทธิ มาหารกับรายรับรวมของปี นันๆ หรื อไตร
มาสนันๆ ก็ จ ะได้ ค่ า ออกมาเป็ นเปอร์ เ ซนต์ (%) ยกตัว อย่ า งเช่ น กิ จ การมี กํ า ไรสุท ธิ 28ล้ า นบาท จากรายรั บ รวม
100ล้ า นบาท ก็ จ ะกลายเป็ นว่ าอัต รากํา ไรสุท ธิ คื อ 28% (28/100 *100%) ความหมายของมัน ก็ คื อ ถ้ า มี รายรั บ ที
100 บาท จะได้ กําไร 28 บาท เป็ นต้ น
สมมติว่าถ้ าเรานําตัวเลขอัตรากําไรสุทธิ ไปเปรี ยบเทียบตัวมันเอง จากปี นีและปี ก่อน ยกตัวอย่างเช่น ปี ก่อ นมี
รายรับรวม 10ล้ านบาท กําไร 2ล้ านบาท แต่ปีนีมีรายรับรวม 20ล้ านบาท กําไร 3ล้ านบาท พอเราเอามาคิดตัวเลขอัตรา
กําไรสุทธิ เราก็จ ะได้ ว่ า ปี ก่อ น จะมีอัตรากํ าไรสุทธิ ที 20% (2/10) ในขณะทีปี นีจะมี อัต รากําไรสุทธิ ที 15% (3/20)
ซึงเราก็จะเห็นได้ ว่าแม้ จะมีกําไรสูงขึน แต่เราขายของต่อหน่วยได้ กําไรลดลง เป็ นต้ น แต่เราก็อย่าเพิงด่วนสรุ ปว่ามันไม่ดี
เพราะจากบทก่อนๆ ที เราได้ เรี ย นรู้ กันมา เราก็จะพบ “ธรรมชาติของการประกอบธุรกิ จ”อย่างหนึงทีว่า “กิจ การทีโตขึน
ยอดขายโตขึน อัตรากําไรมักจะลดลง แต่กําไรสุทธิก็จะยังคงสูงขึนอยู่ดี” ในทางกลับกันถ้ าหากว่า “กิจการไม่โต ยอดขาย
ไม่โต แต่อตั รากําไรลดลง กําไรสุทธิลดลง อันนีก็ตวั ใครตัวมัน”
แต่ถงึ แม้ ว่ากําไรสุทธิจะโตขึน และอัตรากําไรสุทธิ จะสูงขึนด้ วยก็ตาม เราต้ องพิจารณาว่า กิจการทีเราวิ เคราะห์
เป็ นกิ จ การประเภทใด ยกตัว อย่ างเช่ น ถ้ า เป็ นกิ จการโรงไฟฟ้ าหรื อ ร้ านสะดวกซื อ ที มี รายรับ สมํ าเสมอ เราก็ อ าจจะ
วิเคราะห์แบบตรงไปตรงมา คือเอาตัวเลขรายปี หรือรายไตรมาสมาเทียบกันตรงๆ ได้ แต่ในบางกิจการมันไม่อย่างนันน่ะสิ..
29 | P a g e
เพราะว่าบางกิจการจะมีฤดูกาลของมัน ทีเค้ าเรี ยกว่า “Seasonal” ซึงนอกจากทีเราจะต้ องดูว่าฤดูกาลเป็ นช่วง
ไหนแล้ ว ยังต้ องดูด้วยว่า “กําไร” จะเข้ าไตรมาสไหนด้ วย ยกตัวอย่างเช่น เราบอกว่ากิจการโรงแรม ก็จะดีช่วงสินปี กับต้ นปี
รายรับก็น่าจะเข้ ามาเต็มๆ ช่วงนัน เพราะลูกค้ ามักจะจ่ายเงินทันทีทีเข้ าพัก แต่ถ้าเป็ นกิจการอสังหาริ มทรัพย์ ล่ะ เราก็ต้อง
มาดูว่ารายรับมันจะเข้ าช่วงไหน ถ้ าเค้ าเขียนในนโยบายบันทึกรายได้ ว่าจะบันทึกเมือ “โอนคอนโดแล้ ว” นันก็หมายความ
ว่า วันที จองคอนโด ถึง แม้ จะจองแล้ ว เต็มเร็ ว รายได้ ก็จะยังไม่ถูกบันทึก กํ าไรก็เลยยังจะไม่เกิด ขึน แต่พ อรายได้ เข้ ามา
มันก็ จะเข้ า มาเป็ นก้ อ นใหญ่ ม ากๆ จนทํ าให้ เราเข้ าใจผิด ว่า รายได้ และกํ าไรทีโดดขึนมาอันนี เป็ นสิงทีจะเกิดขึนอย่า ง
ต่อเนือง ทําให้ บางครังราคาหุ้นขึนไปหลายเท่า ทังๆ ทีเป็ นการ “เข้ าใจผิดในสาระสําคัญของกําไร ทีโดยข้ อเท็จจริ งแล้ ว
กํา ไรมีค วามผันผวน ไม่ สมํ าเสมอ” หรื อถ้ าจะซับซ้ อนไปกว่ า นัน กิ จการ เช่น รับ เหมาก่อ สร้ าง ซึงเป็ นกิ จการทีรู้ กัน ว่ า
“เบียว” กันง่าย หรือบางทีก็จ่ายเงินล่าช้ าเป็ นปี เช่นพวกทีรับงานราชการ เป็ นต้ น บางครังถ้ า “ซวย” ก็คือ ทํางานไปแล้ ว
ตรวจรับงานผ่านไปแล้ ว อยู่ในขันตอนการ “รอเบิกจ่าย” บริ ษัทก็จึงตังกําไรตรงนีไว้ (คือ รับรู้ รายได้ ไปแล้ ว แต่เงินยังไม่ได้
ตังเป็ นรายได้ ค้างรับ ติดเอาไว้ ตรงลูกหนีการค้ า) ต่อมาปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุทางการเบิกจ่ายใดๆ ทีอ้ างว่า “ไม่สามารถ
จ่ายเงินได้ ” ทําให้ ต้องตัดหนีสูญทังก้ อน บันทึกเป็ นผลขาดทุนตามมา แล้ วไตรมาสทีบันทึกผลขาดทุน ก็จะ “อ่วม” ไปเต็มๆ
และเราซึงเป็ นรายย่อย ไม่มีทางรู้ลว่ งหน้ าอยู่แล้ ว พองบออกมาก็เลยโดน “น๊ อคมืด”
นอกจากนี เราก็ยงั ต้ องพิจารณาว่ากําไร อาจจะมาจากรายได้ อืนๆ ของบริ ษัท ซึงเป็ นรายได้ ลกั ษณะทีชัวคราว
ส่งผลให้ เกิด “กําไรชัวคราว” เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การปรับมูลค่าทีดิน เป็ นต้ น (ดูรูปประกอบ)
30 | P a g e
จากรูป เราก็จะเห็นได้ ว่า งบไตรมาสนีของบริษัท จริงๆ แล้ วมีรายได้ จากธุรกิจหลักเพียง 7 ล้ านบาทเท่านัน แต่มี
รายได้ อืน ได้ แก่ “สินทรัพย์รอการขาย” (ซึงตีความได้ ว่าอาจจะยังไม่ได้ ขายด้ วยซํา เพราะรอการขาย) ทําให้ เกิดรายได้ สงู
ถึง 200ล้ านบาท และส่งผลทําให้ งบมีกําไรพุ่งสูงถึง 190ล้ านบาท คิดเป็ นอัตรากําไรต่อหุ้นที 1.45 บาทต่อหุ้น ซึงถ้ าเรามอง
แค่สรุปงบการเงินผิวเผิน โดยไม่ได้ เข้ าไปดูใส้ ใน เราก็อาจจะ “เข้ าใจผิดในสาระสําคัญของกําไร” ก็เป็ นได้ แต่ถ้าเราเข้ ามา
ตรวจสอบข้ างในงบการเงินนีแล้ ว มันก็ชัดเจน.. ซึงจะเห็นได้ ว่า แต่ละบริ ษัทเค้ าก็ไม่ได้ ปิดบังอะไรเรานะ เค้ าแค่อาจจะ
“เขียนตัวเล็ก” หรือ “เขียนคลุมเครือ” ก็เท่านัน
31 | P a g e
บทที 9 ผลตอบแทนต่ อส่ วนของผู้ถอื หุ้น (Return on Equity - ROE) ,ผลตอบแทนต่ อสินทรั พย์ (Return
on Asset - ROA) และสัดส่ วนหนีสินต่ อทุน (Debt on Equity - D/E)
ในบทก่อน เราได้ เรี ยนรู้ กันในเรื องของ “กําไรสุทธิ และอัตรากําไรสุทธิ ” ซึงทําให้ เราทราบว่าสิงทีเราลงทุนมันมี
กําไรรึเปล่า ถ้ ากําไร กําไรเท่าไหร่ แต่เราก็ยังบอกไม่ได้ ว่ามันเป็ นการลงทุนทีดีหรื อไม่ เพราะเรายังไม่ร้ ู ว่า “มันคุ้มกับสิงที
เราลงทุน ไปไม๊ ” ตอนนี เราก็เ ลยจะเข้ า มาสู่ใ นเรื องของ “ความคุ้มค่ า ในการลงทุน” กัน แล้ ว แต่ ก่อ นทีจะเข้ าสู่เ นือหา
เราลองมาดูตวั อย่างเพือจะได้ เข้ าใจได้ ง่ายขึน กันสักนิดดีกว่า แต่ก่อนจะไปถึงตัวอย่าง จะฝากสูตรไว้ สตู รหนึงก็คือ
สมมติว่าผมได้ ลงทุนทําร้ านขายหมูปิงด้ วยเงิน 100,000 บาท ปรากฏว่าผมได้ กําไรในปี แรก 20,000 บาท เท่ากับ
ว่าผลได้ ผลตอบแทนอยู่ที 20% ต่อปี (20,000/100,000) หมายความว่า ลงทุน 100 บาท ได้ 20 บาทอะไรทํานองนัน
ตรงนี ผมก็จ ะบอกว่ าผมได้ ผลตอบแทนต่ อสิน ทรั พย์ (ROA) อันประกอบไปด้ วย เงิน ของผู้ลงทุน จริ งๆ และเงิน ทีกู้ยื ม
มาลงทุน (ซึงรวมไปถึงวงเงินเดินสะพัดต่างๆ ทีกิจการทําไว้ กับสถาบันการเงินเพือเสริ มสภาพคล่องในการดําเนินธุรกิ จ)
คํานวณแล้ วได้ ROA ที 20% ต่อปี ซึงในกรณีนีจะเท่ากับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ก็คือ 20% ต่อปี ก็เงินที
ลงทุนทังหมดมันเป็ นเงินของผมนีนา ROA กับ ROE มันก็เลยเท่ากันเป๊ ะ..
แต่ ที นี ได้ ผมคิ ด ว่ า กํ า ไรที ได้ ยัง น้ อยไปนิ ด และผมก็ ดูแ ล้ ว ว่ า หมู ปิ งขายดี ม าก ผลิต มาเท่ า ไหร่ ก็ ข ายหมด
แต่พอจะลงทุนเพิมก็ไม่มีเงิน ผมก็เลยไปกู้เงินมาลงทุน จากเงินลงทุนตอนแรก (เงินของผมเอง) 100,000 บาท ผมไปกู้มา
50,000 บาท กลายเป็ นทุนทีลงไปทังหมด (สินทรัพย์ ทังหมดทีลงทุนไป) อยู่ที 150,000 บาท ปรากฏว่าขายได้ กําไรในปี
ต่ อ มา 30,000 บาท ผลตอบแทนของผมก็ จ ะกลายเป็ นว่ า ผลตอบแทนต่ อ สิ น ทรั พ ย์ (ROA) ก็ เ ท่ า กั บ 20%
(30,000/150,000) ซึงเท่าเดิมจากตอนทีก่อนจะขยายการลงทุนเลยนะ แต่ว่าผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) จะ
เท่ากับ 33% (30,000/100,000) เยอะมากเลยนะเนีย ก็แน่ล่ะ ผมอุตส่าห์ ยอมเสียดอกเบียแพงๆ (ดอกเบียเงินกู้ MRR
ปี 2557 อัตรา 8-12%) เพือมาลงทุนนีนา..
เราก็จะพอเห็นภาพแล้ วว่า ROA และ ROE มันแตกต่างกันอย่างไร แต่เราต้ องเข้ าใจถึงขนาดทีว่า ความหมาย
ของมันในการนําไปใช้ มันหมายถึงอะไร เรามาดูกนั เลยดีกว่า..
32 | P a g e
อัตราส่วนความสามารถในการใช้ สินทรัพย์ (Asset Turnover Ratio) = ยอดขายรวม (Total sales) / สินทรัพย์
รวม (Total Asset)
และเพือให้ เห็นภาพ เรามาดูตวั อย่างกันสักนิด ยกตัวอย่างเช่น ในปี ที 1 เรามียอดขายอยู่ 1,000,000 บาท และมี
สินทรัพย์อยู่ที 500,000 บาท ก็เท่ากับว่า Asset Turnover Ratio ในปี ที 1 ก็คือ 2 เท่า (1,000,000 / 500,000) แต่สมมติปี
ที 2 เราบอกว่าเราไปกู้เงินมาเพิม 200,000 บาท ทําให้ สินทรัพย์ รวมกลายเป็ น 700,000 บาท (500,000 + 200,000)
แต่ ป รากฏว่ า ทํ า ยอดขายได้ เพิ มขึ นเพี ย ง 50,000 บาท ทํ า ให้ ยอดขายในปี ที 2 เท่ า กั บ 1,050,000 บาท
(1,000,000+50,000) ก็เท่ากับว่า Asset Turnover Ratio ในปี ที 2 ก็คือ 1.5 เท่า (1,050,000 / 700,000) ซึงเท่ากับว่าเรา
ใช้ ทุนได้ มีประสิทธิ ภาพน้ อยลง เป็ นต้ น ซึงมันก็เท่ากับว่าผลการดําเนินงานในปี ที 2 น่าจะแย่กว่าปี ที 1 แต่ทังนีก็ต้องดู
ปั จจัย หลายๆ อย่า งประกอบกัน เช่น ว่าปี นันนําท่วมหรื อ ไม่อ ย่างไร เค้ าถึงได้ บ อกว่ า เวลาจะให้ เห็น ภาพชัดๆ ต้ อ งเอา
ตัวเลข 5 ปี ย้ อนหลังมาวิเคราะห์..
วิเคราะห์ เปรี ยบเทียบกับตัวเองแล้ ว ก็ต้องเปรี ยบเทียบกับคู่แข่งในตลาดด้ วย ว่า Asset Turnover Ratio ของ
คนอืนๆ เค้ าเป็ นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น มีบริษัททีทําอะไรทีคล้ ายๆกัน (มันก็คงไม่เหมือนกันเป๊ ะๆ ซะทีเดียว) อยู่ 5 บริ ษัท
ถ้ าค่าเฉลีย Asset Turnover Ratio ของอุตสาหกรรม (คือเอาทัง 5 บริษัทมาเฉลีย) อยู่ที 3 เท่า แต่ของเราทําได้ แค่ 1.5 เท่า
แสดงว่าของเราน่าจะยังใช้ ทรัพยากรไม่ค้ มุ ค่ารึเปล่า (แต่ถ้าคิดในแง่ดีก็คือ กําลังการผลิตหรื อบริ หาร (capacity) ยังเหลือ
ถ้ าปรับปรุงกระบวนการภายใน อาจจะทําให้ มีกําไรเพิม โดยทีไม่ต้องลงทุนเพิมก็ได้ นะ..
จากทีเราได้ ยกตัวอย่างร้ านหมูปิงในตอนต้ นของบทนี เราก็จะเห็นได้ ว่าการ ”กู้ยืมเงิน” แม้ ว่าจะทําให้ กิจการมี
วงเงิ น เพื อ “คว้ า โอกาส” ทางธุ รกิ จ ที ผู้บ ริ ห ารได้ เล็ ง เห็ น แต่ ใ นทางเดี ย วกั น มั น ก็ นํ า มาซึ ง “ภาระ” หรื อ “Liability”
อย่างหลีกเลียงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิง “ไม่มีใครรู้อนาคต” และการกู้ยืมเงินมาลงทุน ก็หลีกไม่พ้นความเสียงนีเช่นกัน
33 | P a g e
ในอดีตทีผ่านมา เราได้ มีโอกาสเห็นทังผู้ทีประสบความสําเร็ จและล่มสลายในทางธุรกิจ ประเด็นหลักๆทีทําให้
พวกเขาเหล่านันส่วนหนึงก็มาจาก “การกู้ยืม ” ทังนัน ยกตัวอย่างเช่น รายของนําเมาที ไม่มีเงินทุนมากพอจะไปประมูล
สัมปทานโรงเหล้ า จึงต้ องออก “หุ้นกู้” โดยเอาเหล้ าในสต๊ อกมาคําประกัน เพราะถ้ าไม่ประมูล โอกาสทองก็จะหลุดลอยไป
ผลทีเกิด ขึนก็คือ สัมปทานใบนัน สร้ า งทรัพย์ สินอย่า งมหาศาลให้ แ ก่ผ้ อู อกหุ้นกู้ท่า นนัน แต่ก็เช่น เดียวกัน ในช่ วงวิกฤต
2540 การล่มสลายของธุรกิจน้ อยใหญ่ รวมไปถึง “ธนราชันย์ ” อันยิงใหญ่ ทังหลาย ส่วนใหญ่ ก็มาจากการกู้เงินมาลงทุน
ทังนัน โดยผู้ทีได้ ประโยชน์ ก็คือ “พวกเก็บซาก” (ผู้ทีไม่ได้ เจ็บแต่เก็บเงินสดไว้ หรื ออาจจะแอบเจ็บนิดหน่อย) กลายเป็ น
ผู้เก็บกินผลประโยชน์จากอาณาจักรทีล่มสลายเหล่านัน และนีเป็ นแนวทางทีหนังสือ “มีความสุขกับหุ้นปั นผล by หมีส้ม”
แนะนํามาตลอดนันเอง
เราก็เลยจะเห็นได้ ว่า “การกู้ยืม” เป็ นทัง “โอกาส” และ “ความเสียง” กลัวเกินไปไม่ก้ มู าเลย กิจการก็อาจจะโตช้ า
ทําให้ ไม่ทันคู่แข่ง และอาจจะถูกคู่แข่งไล่บีจนต้ องปิ ดกิจการก็ได้ หรื อ ว่าถ้ ากู้มามากเกินไป ก็เดียวจะกลายเป็ นภาระที
“หนักอึง” ยกตัวอย่างเช่น ถ้ าเราไม่ก้ มู าเลย สมมติเราทําแซนวิชขาย มีแ ข่งกัน 2 ราย ต้ นทุน ทุกอย่ างเท่ ากันหมดเลย
อยู่ทีชินละ 5 บาท ขายก็เท่ากัน (ก็ถ้าขายแพงกว่าคนก็ไม่ซือ) ทีราคา 7 บาท ต่อมามีเครื องจักรผลิตแซนวิช ทําให้ ไม่ต้อง
ใช้ คน แต่ต้ องลงทุน ตอนแรกค่อ นข้ างมาก รายแรกไม่ย อมลงทุน เพราะไม่ อยากเสียง แต่ อีก รายที 2 คํา นวณแล้ ว ว่ า
“จากต้ นทุนทีลดลงด้ วยเครื องนี น่าจะทําให้ มีกําไรเพิมขึน 15% ในขณะทีต้ นทุนดอกเบียทีกู้มาลงทุนอยู่ที 8% ภายใต้
ความเสียงทีพอรับได้ ” จึงได้ ก้ มู าลงทุน ผลต่อมาทําให้ รายทีลงทุนไป มีต้นทุนตํากว่าเดิม 1 บาท (ตอนนีต้ นทุนรายนึงยังคง
เป็ น 5 บาท แต่อีกคนหนึงเหลือ 4 บาทแล้ ว) รายที 2 ทีมีต้นทุนตํากว่า ถ้ าหากไม่ลดราคาขาย ยังคงขายที 7 บาท ก็จะมี
กําไรเพิม แต่ถ้าต้ องการกินรวบ (กะว่าอีกฝ่ ายไม่สามารถตังตัวติดแน่ๆ การเปลียนกระบวนการผลิตไม่ใช่เรื องทีทําได้ ง่ายๆ)
ก็ ดั ม ป์ ราคาขายลงมาเหลื อ 6 บาท รายแรกที ต้ นทุน สูง กว่ า ก็ จ ะตายลงในท้ ายที สุด เพราะต้ นทุน แข่ ง ขั น ไม่ ไ ด้
ส่วนรายที 2 ก็ไปซือกิจการต่อจากรายแรก และปรับราคาขายกลับมาเป็ น 7 บาทเหมือนเดิม ทุกอย่างก็จบ (คุ้นๆ มะ ออก
แนวคล้ ายกับบางอุตสาหกรรมทีเราต้ องซือ “ปอปคอร์ น” เค้ าบ่อยๆ) ส่วนในอีกตัวอย่างหนึง ก็คือ กิจการทีกู้มามากเกินไป
อันนีอาจจะเป็ นกิจการที “ตัวเล็กกว่า” และก็ร้ ูว่าถ้ าไม่ทําอะไรก็จะถูกรายใหญ่เจ้ าตลาดกลืนไปจนหมด ก็เลยไปลงทุนเพิม
และเก็งตลาดผิดพลาด จากทีคิดว่าจะได้ กําไรเพิมขึน สมมติสกั 10% ดอกเบีย 8% กลายเป็ นว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทําให้
กําไรไม่โตขึน จากทีแต่เดิม ROE ก่อนกู้มา สมมติอยู่ที 10% ตอนนีกลายเป็ นว่าต้ องจ่ายดอกเบีย ทําให้ เหลือ ROE 1-2%
หรื อติดลบ เป็ นต้ น ส่วนรายใหญ่ ทีไม่ได้ ก้ มู าลงทุน ก็แค่ “เฮิร์ท” นิดน่อยจากภาวะเศรษฐกิจ ก็แค่ “ไม่กําไร”หรื อ “กําไร
ลดลง” แต่ไ ม่ต้ อง “ต่ อยใช้ หนี ” เหมือ น “รายเล็ก ” ทีกู้มาลงทุน (แต่จ ริ ง ๆ แล้ ว “รายเล็ก ” รายนันก็ไ ม่ไ ด้ เ ล็ก ซะทีเ ดีย ว
ล้ มทีเดียว สะเทือนทังประเทศเหมือนกัน)
34 | P a g e
พันล้ านบาท แต่กบั บางรายทีส่วนของผู้ถือหุ้นมีเพียงแค่ร้อยล้ านบาท ก็อาจจะเป็ นภาระทีสูงพอสมควร ในทางการคํานวณ
เค้ าก็จะใช้ วิธีดทู ีเรียกว่า “สัดส่วนหนีสินต่อทุน” หรือ Debt on Equity ratio (D/E Ratio) เรามาดูสตู รกันก่อน
สัดส่ วนหนีสินต่ อทุน (Debt on Equity ratio - D/E Ratio) = หนีสิน (Debt) / ส่ วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
โดยหลัก การก็ คื อ เป็ นการเที ย บกัน ว่ า หนี สิน เป็ นกี เท่ า ของทุ น ยกตั ว อย่ า งเช่ น หนี สิ น 2,000,000 บาท
ทุน 1,000,000 บาท (สินทรัพย์ก็จะเท่ากับ 3,000,000 บาท) ก็จะคํานวณ D/E ได้ ที 2 เท่า (2,000,000 / 1,000,000) เป็ น
ต้ น ซึงก็จะแสดงถึงภาระทีบริษัทหรือกิจการต้ องแบกเอาไว้ ถ้ าจะเห็นภาพชัดเจน คงต้ องยกตัวอย่าง ดังนีครับ
สมมติ กิจการมีสิน ทรัพย์ 3,000,000 บาท โดยเป็ นเงินลงทุนของผู้ถือ หุ้นทังหมด ไม่มีหนี สินใดๆ ถ้ าในปี ที 1
กิจการทํากํ าไรสุทธิ ไ ด้ ที 300,000 บาท ก็เท่ ากับว่ าได้ ROA อยู่ที 10% ต่อ ปี แต่พอปี ถัดมาเกิด นําท่ว ม ทํ าให้ กิ จการ
สามารถทํากําไรได้ เพียง 150,000 บาท ก็เท่ากับว่าได้ ROA อยู่ที 5% ต่อปี ถ้ าหากเป็ นเงินเราเอง ก็คงไม่ได้ เจ็บมากนัก
ซึงประเด็นนี ทีเราต้ องขีดเส้ นใต้ ไว้ ในใจว่า ROE ทีโตขึน อาจมาจากหนีสินทีเพิมขึน เราจึงต้ องตามดูในระยะยาว
ว่า มันมี การ “จุดพลุ” หรื อไม่ โดยเฉพาะเวลาที กู้เงิ นมาแบบ “มหาศาลอภิ มหาโปรเจค” คือ บางครังก็อาจจะเกิด การ
“ทิงทวน” คือกิจการจะ “เจ๊ ง” เลยกู้เงินมา แล้ วก็ทําให้ ผลประกอบการดีขนเพี
ึ ยงปี เดียว (เพือทําให้ ดเู หมือนว่าเงินทีกู้มาเอา
มาใช้ จ่า ยเป็ นไปเพื อกิ จการจริ งๆ) แต่พ อมาปี หลังๆ ปรากฏว่า กิจการมีกํา ไรหดตัวลงมาเท่า กับก่ อนทีจะ “กู้เงิ น” หรื อ
อาจจะขาดทุนส่วนเงินสดทีได้ จากการกู้เงิน อาจจะอ้ างว่าเอาไปลงทุนเครื องจักร หรื ออืนๆ (ซึงก็อาจจะไม่ได้ ลงทุนอย่าง
คุ้ม ค่า ก็ไ ด้ เพราะเราซึงเป็ นรายย่อ ยไม่มี ทางรู้ ว่ าลงทุนกับเครื องจักรอะไร แล้ วราคาเท่า ไหร่ ) ซึงทังหมดนี เป็ นเรื องที
เราซึงเป็ นผู้ลงทุน ต้ องซีเรียสกันอย่างมากทีเดียว ในการติดตามการใช้ เงินทุนของบริษัท เท่าทีจะทําได้ เพราะ “ความเสียง
แห่งหนี” มันตามมาหลอกหลอนพวกเรารายย่อยด้ วย
35 | P a g e
ดังนัน ผู้บริ หารบางคน ก็เลยจะหลีกเลียงการกู้ยืมเงิน โดยใช้ วิธี “ปั นผลเป็ นหุ้น” เพือเก็บเงินสดไว้ ลงทุน หรื อ
อาจจะใช้ วิธี “เพิมทุน” โดยระดมเงินจากผู้ถือหุ้นหรื อนักลงทุนทีสนใจ เพราะเงินตรงนี ไม่เสียดอกเบีย แต่ต้องยอมเสีย
“สัดส่วนความเป็ นเจ้ าของ” เพือแลกกับการทีไม่ต้องเสียงกับภาระดอกเบียนันเอง..
36 | P a g e
บทที 10 ตรวจสุขภาพหุ้นผ่ านงบกําไรขาดทุน
ที เราต้ องรู้ โครงสร้ างของงบกํ า ไรขาดทุ น ก็ เ พราะว่ า เราต้ องสามารถจํ า แนกได้ ว่ า กิ จ การที เราวิ เ คราะห์
(หรือทีเราลงทุน) มีความเข้ มแข็งหรือมีความอ่อนแอทีตรงจุดไหน อาจจะอ่อนแอตังแต่แรก ก็คือ ไม่มีแม้ กระทังกําไรขันต้ น
(Gross profit) เลยรึเปล่า หรืออาจจะขาดทุนจากต้ นทุนการบริหารและการขาย (SG&A) หรื อว่าจริ งๆแล้ วขาดทุนจากการ
ลงทุนสินค้ าทุนและอัตราดอกเบีย ซึงเราก็คงได้ เรียนรู้กนั ในรายละเอียดแล้ วว่าในแต่ละรายการทีเอ่ยถึงนันเป็ นอย่างไร
ในขณะเดี ยวกัน เราก็อ าจจะพบว่ากิ จการทีเราวิเ คราะห์ นัน มีค วามเข้ ม แข็งมากขึนเรื อยๆ ก็เป็ นได้ ซึงการที
เราจะทราบถึงความอ่อนแอหรือความเข้ มแข็งของกิจการนันๆ สิงทีเราต้ องทําก็คือ “การเปรียบเทียบ”
“เปรี ย บเทีย บกับ ตัว มัน เอง” “เปรี ยบเทีย บกับกิ จการทีมีโ ครงสร้ า งธุรกิจ แบบเดียวกัน หรื ออยู่ในอุต สาหกรรม
เดียวกัน” “เปรียบเทียบกับภาพรวมของกิจการในตลาดหลักทรัพย์” เราเปรียบเทียบไปทําไมกันนะ..
“เปรียบเทียบกับตัวมันเอง” ก็เพือให้ ทราบว่า โดยตัวมันเองแล้ ว มีความเข้ มแข็งหรื ออ่อนแอลง จะทําให้ เรารู้ ว่า
กิจการนีเป็ นกิจการทีมีแนวโน้ มเป็ นอย่างไรบ้ าง เพราะในฐานะทีเราเป็ นผู้ลงทุน เราก็ควรจะวางเงินลงทุนของเรากับบริ ษัท
ทีมีแนวโน้ มทีดี
นอกจากนี หากผู้อ่ านได้ พิ จารณาอย่ างละเอีย ดใน 9 บทแรกแล้ วนัน ผู้อ่านจะสัม ผัสได้ ว่ าได้ มีก ารพยายาม
อธิ บายถึง “การนําไปใช้ ” หรื อการทีสามารถนําความรู้ ทีได้ ไ ปใช้ ได้ จริ ง ซึงก็ได้ พยายามยกตัวอย่างในแง่ทีว่า โครงสร้ า ง
37 | P a g e
งบกําไรขาดทุน มันจะสามารถเปลียนแปลงไปได้ อย่างไรบ้ าง เพราะการเปลียนแปลงทังหลายเหล่านัน เป็ นสิงสําคัญอย่าง
ยิงทีจะนํา มาซึง “โอกาสงาม” ในการลงทุน และเพือให้ เ ห็นภาพมากขึน ผมจะลองยกตัวอย่ างเท่ าทีผมจะพอมีค วามรู้
อยู่บ้าง ดังนี
บางกิจการ เป็ นกิจการทีมีภาระค่าเสือมราคา ซึงต้ องอดทนกัดฟั นกับการลงทุนในสินค้ าทุน ทีอาจจะต้ องใช้ เวลา
หลายปี จึงจะหัก ต้ นทุนค่า เสือมราคาจนหมด แต่ สินค้ าทุน ทีอาจจะสามารถใช้ ได้ หลายสิบปี นัน ก็ จะย้ อนกลับ มาสร้ า ง
ความได้ เปรี ยบให้ แก่กิจการในระยะยาว สกัดกันคู่แข่งที กล้ าไม่เสียงในการลงทุนในสินค้ าทุนดังกล่าว และส่งผลให้ เกิด
กําไรในภายหลังจากการ “เก็บกิน” ดอกผลแห่งสินค้ าทุนนัน
บางกิ จ การ เป็ นกิ จ การที มี ห นี สิ น ล้ น พ้ นตั ว อาจจะเกิ ด จาก “อุ บัติ เ หตุท างการเงิ น ” หรื อ อาจจะเกิ ด จาก
“สภาพของธุรกิจทีต้ องใช้ เงินลงทุนสูง” ซึงภาระดอกเบียทีถาโถมก็อาจจะพัดให้ กิจการซวนเซ และมีช่วงเวลาทีต้ อง “ลุ้น”
ว่าจะสามารถยืนหยัดในระยะยาวได้ หรื อไม่ แต่เมือมีโครงสร้ างเงินทุนทีเปลียนแปลงไป หรื อสามารถชําระหนี ได้ หมดสิน
แล้ ว ก็อาจจะทําให้ กิจการนันๆ เติบโตก้ าวกระโดด และแผ่กิงก้ านสาขาออกไปไม่ร้ ูจบสิน
แต่สงเหล่
ิ านีเอง เราก็จะทราบได้ จากการทีมันสะท้ อนผ่าน “งบกําไรขาดทุน” ทีเราได้ กล่าวถึงกันไป และเราจะ
เติมเต็มการวิเคราะห์ โดยการวิเคราะห์ “งบดุล” และ “งบกระแสเงินสด” ทีเราจะเริมกล่าวถึงกันในบทต่อๆ ไปครับ
38 | P a g e
บทที 11 งบดุลหรื องบแสดงฐานะทางการเงิน
ตัว เงิ นรายได้ และรายจ่ ายทีไหลเจ้ าออกในแต่ละเดือ น ก็คื อ “งบกํา ไรขาดทุน” ของผมในแต่ละเดือ นนันเอง
ในขณะที การเปลี ยนแปลงในสิ น ทรั พ ย์ แ ละหนี สิ น ที ผมได้ ยกตั ว อย่ า งมา ก็ คื อ “งบดุ ล ” ของตั ว ผมเอง ที พอมา
“กระทบยอด” ในแต่ละเดือนกับ “งบกําไรขาดทุน” ก็จะกลายเป็ น “ฐานะทางการเงิน” แต่ละเดือนของผมทีเปลียนแปลงไป
บริ ษั ทก็ เช่น เดี ยวกัน ทีจะต้ อ งมีก ารลงบันทึก “บัญชีท รัพย์ สิน และหนี สิน” หรื อ ทีเราเรี ยกกัน ว่า “งบดุล” หรื อ
“งบแสดงฐานะทางการเงิ น ” ซึ งก็ จ ะแบ่ ง ออกเป็ น 3 ส่ ว นหลัก ก็ ไ ด้ แก่ “ส่ ว นของทุ น หรื อ ส่ ว นของผู้ ถื อ หุ้ น” ,
“ส่วนของสินทรัพย์” และ “ส่วนของหนีสิน”
39 | P a g e
แล้ ว เป็ นจํานวน 1,000,000 บาท (พาร์ 10 x 100,000 หุ้น) และมี “ส่วนเกินมูลค่าหุ้น” อีกจํานวน 150,000 บาท รวมเป็ น
ส่วนของทุนทังสิน 1,150,000 บาท ส่วนผู้ทีได้ ซือ IPO ไปในราคา 15 บาทนัน จะไปขายคนอืนในราคาตลาดเท่าใดก็
สุดแล้ วแต่ โดยจะไม่มีผลต่องบดุลของบริ ษัท แต่เป็ นเรื องของการ “ได้ -เสียจากการขายหุ้น” ของผู้ลงทุนว่าจะกําไรหรื อ
ขาดทุนแค่ไหน
แต่เ นืองจากใช้ เงิ นไปมากจนมาพบว่า เงิน ทีมี อยู่ไ ม่พ อในการดํา เนิ นกิจ การ ก็จึง ต้ อ งไปกู้ยื มเงิ น หรื อ บางที ก็
ไปเอาวัต ถุดิ บ ของคนอื นมาผลิ ต ก่ อ นแล้ ว ค่ อ นจ่ า ยเงิ น ที ห ลัง เงิ น ที กู้ ยื ม มาทั งหลายก็ ก ลายเป็ น “ส่ ว นของหนี สิน ”
จํ า แนกออกมาง่ า ยๆ เป็ น “หนี สิ น จากสถาบั น การเงิ น ต่ า งๆ” (จากการที ไปกู้ ยื ม เงิ น มาหมุ น ) และเหล่ า บรรดา
“เจ้ าหนี การค้ า ” (จากการเอาของเค้ า มาแล้ ว ยั ง ไม่ จ่ า ยตั ง ) ซึ งหนี สิ น ทั งหลายก็ ก่ อ ให้ เกิ ด ภาระหนี ที ไม่ เ หมื อ นกั น
ทังในด้ านของ “ความบีบคันในการจ่าย” และ “ต้ นทุนดอกเบีย” (หรื อต้ นทุนทางการเงิน ทีเราได้ เจอในงบกําไรขาดทุน ใน
บทก่อนหน้ าแล้ ว)
ทังหมดนีทีกล่าวมานี ก็คือโครงสร้ างของ “งบดุล” ซึงมีโครงสร้ าง ก็คือ ส่ วนของผู้ถอื หุ้น = สินทรั พย์ - หนีสิน
40 | P a g e
บทที 12 สินทรั พย์ ในงบการเงิน
บทนี เราก็จ ะมาพูดถึง “ส่วนของสิน ทรั พย์ ” กัน นะครั บ ซึงในบทนี ผมขอชี ประเด็นไปที “มูลค่า ทีแท้ จ ริ ง ของ
สินทรัพย์” และแนวทางการประเมินว่า “มันควรจะมูลค่าเท่าไหร่” เพือให้ เราเข้ าใจในกองทรัพย์สนิ ทีบริษัทมีอยู่ได้ ดียิงขึน
“สิน ทรั พ ย์ ” ที ปรากฏใน”งบดุ ล” นี ถ้ า หากเราได้ เ ห็ น ตัว งบแล้ ว ก็ จ ะเห็ น ได้ ว่ า เค้ า จะจํ า แนกออกมาเป็ น
2 ประเภท คือ “สินทรัพย์หมุนเวียน” และ”สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” (ถ้ าเราสังเกตดีๆ เราจะพบว่ารู ปแบบทางบัญชี ล้ วนเป็ น
รู ป แบบที มี ม าตรฐาน ได้ รับ การพัฒ นาให้ เ ข้ า ใจง่ า ยและเป็ นเหตุเ ป็ นผล ซึ งถ้ าหากเราทํ า ความเข้ า ใจกับ มัน ได้ แ ล้ ว
เราก็ สามารถทีจะใช้ ง านได้ อย่ างคล่องแคล่ว เข้ าใจความเป็ นไปในทุกบริ ษัทผ่ านงบการเงิน ทีมีโ ครงสร้ า งเหมือนๆ กัน
เพียงแต่บางทีเราอาจจะท้ อในการทําความเข้ าใจไปเสียก่อน ทําให้ เราไม่สามารถจะ ”ฟิ น” ไปกับมันได้ )
ก่อนอืนเราอาจจะต้ อ งเข้ าใจถึงประเด็นที มาของ ”สิน ทรัพ ย์ ” กันก่ อน ว่าเริ มต้ นมัน ก็คือ “เงินสด” แล้ ว นํามา
แปรเปลียนเป็ นสิน ทรั พ ย์ อื นๆ เพื อดํ า เนิ น กิ จ การของบริ ษั ท ซึงสิน ทรั พ ย์ ห มุน เวี ย นก็ คื อ สิงที น่ า จะ (ยํ าว่ า “น่ า จะ”)
แปรเปลียนกลับเป็ นเงินสดได้ ง่าย ในขณะทีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนก็คืออะไรทีแปรเปลียนเป็ นเงินสดได้ ยาก
ยกตัวอย่างเช่น ร้ านขายหมูปิง ก็จะมีสนิ ทรัพย์หมุนเวียนได้ แก่ เงินสด (เอาไว้ ใช้ สอยและทอนตัง เป็ นรายการเงิน
สดและเทียบเท่าเงินสด), ลูกหนีการค้ า (ขายหมูปิงให้ ไปแล้ วแต่รอเก็บตังตอนเย็น เป็ นลูกหนีการค้ าของเรา), วัตถุดิบต่างๆ
ทีซื อหมุน เวี ย นสํา หรั บ ผลิต เช่น หมู ซ๊ อ ส ข้ า วเหนี ย ว เป็ นต้ น (เป็ นรายการสิน ค้ า คงเหลือ ) และก็ อ าจจะมี เ ป็ นพวก
ถุงพลาสติก (เป็ นสินทรัพย์หมุนเวียนอืนๆ) ในขณะทีมีสนิ ทรัพย์ไม่หมุนเวียนก็ได้ แก่ พวกเตาปิ งและรถเข็น ซึงเปลียนกลับ
เป็ นเงินได้ ยาก และถึงจะเปลียนเป็ นเงินได้ (ขายได้ ) ก็ไม่ร้ ูจะได้ มากน้ อยแค่ไหน
บริษัท ก็เช่นเดียวกัน มันก็จะเป็ นโครงสร้ างคล้ ายๆ แบบนี แต่รูปแบบจะซับซ้ อนและมีรายการสินทรัพย์ ทีเยอะ
กว่ากิ จการหมูปิ งนีแน่ นอน และเวลาทีเราเห็น “สินทรัพ ย์ ” ในงบการเงิน เราก็ เลยต้ องมาวิเคราะห์ ว่ามันเป็ นอะไรบ้ า ง
และจริ งๆแล้ ว “มันควรมี มูลค่ า เท่ าไหร่ ” เพราะสิงที ปรากฏในงบการเงิ น “มัน ตรงไปตรงมาจากการบันทึก ทางบัญชี ”
แต่มนั อาจจะไม่ได้ เป็ นมูลค่าทีแท้ จริง หากว่าเราต้ องการ “ขายสินทรัพย์นน”
ั ออกไปก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น
สมมติว่าผมอยากได้ เครืองทํากาแฟ และเดินเข้ าไปซือทีร้ านกาแฟ ด้ วยราคาเครื องละ 100,000 บาท ทันทีทีผม
เดินออกจากร้ านผมคิดว่าผมไม่อยากได้ มันแล้ ว จึงเดินกลับไปเพือขอคืนเครื องทํากาแฟ ผลปรากฏว่าผมได้ เงินคืนเพียง
80% เพราะคนขายบอกผมว่า “มันเป็ นเครืองมือสอง” และยังบอกกับผมอีกว่า “ดีนะทีไม่เอากลับบ้ านไปแล้ ว ไม่งันจะคืน
ได้ ทีราคาเพีย งครึงหนึงของทีซือมา” ฉัน ใดก็ฉัน นัน บรรดาสินทรัพย์ ต่างๆ (ทีไม่ ใช่รายการเงิ นสดและเทีย บเท่าเงินสด)
ทีปรากฏในงบการเงิน ล้ วนแต่ถกู บันทึกด้ วยราคาทุนทีซือมา หักด้ วยค่าเสือมราคา แต่โดยข้ อเท็จจริ งแล้ ว ราคามันอาจจะ
ด้ อยค่าลงไปแล้ วก็ได้
ดังนันเวลาที ผู้เชียวชาญทางการเงิ นเค้ า ประเมินสิน ทรัพย์ ข องบริ ษัท (เวลาทีเค้ า จะซือกิจการกัน) เค้ า ก็จะใช้
วิ ธี ก ารตี ราคาแบบต่ า งๆ เพื อให้ ท ราบว่ า สิ น ทรั พ ย์ แ ต่ ละชนิ ด ควรมี มู ลค่ า เท่ า ไหร่ โ ดยใช้ มุ ม มองต่ า งๆ ไม่ ว่ า จะเป็ น
41 | P a g e
“มุ ม มองในแง่ ที ว่ า สิ น ทรั พ ย์ ชิ นนี จะสามารถทํ า เงิ น หรื อ สร้ างรายได้ เท่ า ไหร่ ” หรื อ อาจจะเป็ น “มุม มองในแง่ ที ว่ า
ถ้ าเปลียนเป็ นเงินสดตอนนี จะได้ เท่าไหร่” เป็ นต้ น ซึงก็เป็ นแต่ละวิธีทีเค้ าจะนํามาใช้ เพือประเมินให้ ใกล้ เคียงความเป็ นจริ ง
มากทีสุด ซึงเราเองอาจจะไม่ต้อ งไปคิดอะไรละเอียดขนาดนัน วิธี ทีผมใช้ ก็ อาจจะเป็ นวิ ธีทีเรี ยกว่า “ปลอดภั ยไว้ ก่อน”
โดยเป็ นการประเมินจากประสบการณืโดยตรงของผมทีได้ พบเห็นมาตลอดหลายปี ทีผ่านมาว่า ”เวลาปิ ดกิจการสินทรัพย์
อะไรมันเหลือเท่าไหร่ หรืออาจจะกล่าวได้ ว่า ผมใช้ วิธีคิดทีว่า ดังนี
1. เงิน สดหรื อรายการเทีย บเท่ าเงินสด มีก ารบัน ทึก จํานวนทังสิน 1,000,000 บาท ก็จ ะตี ราคาว่า มีอ ยู่
1,000,000 บาทเต็มๆ (ก็เงินสดก็คือเงินสด)
2. เงินลงทุน มีการบันทึกจํานวนทังสิน 500,000 บาท ก็อาจจะดูว่าเป็ นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรื อเป็ นหุ้น
ทีอยู๋นอกตลาดหลักทรัพย์ ถ้ าเป็ นหุ้นทีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะเช็คราคาปั จจุบันที www.set.or.th แต่ถ้า
หากเป็ นหุ้นของบริ ษัททีอยู่นอกตลาด ก็จะใช้ วิธีดูงบการเงินของบริ ษัทนันๆ ใน website ของกรมพัฒนา
ธุรกิจการค้ า ในเคสนี ขอตีมลู ค่าเอาไว้ ที 200,000 บาทก็แล้ วกัน
(กดเข้ าไปดูได้ ที www.dbd.go.th และเข้ าไปในส่วนของ “คลังข้ อมูลธุรกิจ” โดยเอาตัวเลข “ส่วนของผู้
ถือหุ้น” มาหารจํานวนหุ้นทังหมด ก็จะได้ “มูลค่าต่อหุ้น” แล้ วเอามาคูณกับจํานวนหุ้นทีบริ ษัทถืออยู่ ข้ อมูล
งบการเงินตรงนี มีการอัพเดทปี ละครังตามทีได้ สง่ งบการเงินรายปี ดังนันอาจจะไม่ได้ อพั เดทเป็ นปั จจุบัน แต่
ก็ยงั พอมีอะไรให้ เราประเมินราคาได้ บ้าง)
3. ลูกหนีการค้ า มีการบันทึกจํานวนทังสิน 200,000 บาท เราก็จะใช้ วิธีการหารสองเลย (เพือความปลอดภัย
เพราะเด๋วนีทําธุรกิจโดนชักดาบกันเยอะ) คือ ก็จะตีว่าเหลือมูลค่าจริงๆ แค่ 100,000 บาท
4. สินค้ าคงเหลือ มีการบันทึกเอาไว้ 500,000 บาท ก็จ ะใช้ วิธีการคิดราคาแค่ 20% หรื อว่าเหลือมูลค่าแค่
100,000 บาทเท่านัน
5. ทีดิน อาคาร เครื องจักรและอุปกรณ์ อืนๆ มีการบันทึกไว้ ที 10,000,000 บาท เราก็จะเอาเฉพาะรายการ
ทีดินเท่านัน (เพราะทีดินน่าจะไม่เสือมมูลค่า) รายการอืนตีเป็ น 0 ให้ หมดเลย สมมติว่าบริ ษัท A มีรายการที
เป็ นทีดิน 5,000,000 บาทก็แล้ วกัน
42 | P a g e
สินทรั พย์ ของบริ ษัท A ราคาตามบัญชี ราคาทีประเมินเอง
เงินสดหรื อรายการเทียบเท่ าเงินสด 1,000,000 1,000,000
เงินลงทุน 500,000 200,000
ลูกหนีการค้ า 200,000 100,000
สินค้ าคงเหลือ 500,000 100,000
ทีดิน อาคาร เครื องจักรและอุปกรณ์ อืนๆ 10,000,000 5,000,000
รวมสินทรั พย์ 12,200,000 6,400,000
จากตาราง ถ้ าเป็ นผมประเมินราคาตามแบบของผมเอง ถึง แม้ จ ะมีสินทรั พย์ ของบริ ษัทรวมอยู่ที 12,200,000
บาท แต่ผมก็จะตีราคาหรือคิดว่ามันมีมลู ค่า แค่ 6,400,000 บาทเท่านัน เพราะโดยข้ อเท็จจริ งแล้ ว เราซึงเป็ นผู้ลงทุน ไม่มี
ทางจะรู้ได้ เลยว่า สิงบันทึกลงไปในบัญชีนนั มีอยู่ “ครบถ้ วน” และ “ตรงตามมูลค่า” หรื อไม่ เพราะผู้สอบบัญชีก็จะมีจุดที
ไม่สามารถเข้ าไปตรวจสอบได้ อยู่หลายส่วน (เช่นพวกรายละเอียดลึกๆ ว่าสต๊ อกสินค้ ามีอยู่จริ งๆ เท่าไหร่ และลูกหนีการค้ า
รายไหนที “ชักดาบ” ไปแล้ วบ้ าง)
ทีนี บางคนก็ อ าจจะสงสัย ว่ า ทํ า ไมบางรายการที เราทราบว่ า “มัน มีอ ยู่จ ริ ง ” เช่ นพวกอาคารและเครื องจัก ร
ผมตี ราคาบางรายการไม่มีค่ าเลยหรื อตี ค่าเอาไว้ น้ อยมาก เหตุผลที ทํา แบบนัน ก็เนื องมาจากว่ า สมมติว่า เราต้ องขาย
ทรัพย์สนิ ออกไป เราไม่ได้ เพียงแค่ขายแล้ วให้ เค้ ามายกของกันไป แต่การขายทรัพย์ สินนํามาด้ วยความ “เหนือยยาก” และ
มี “ต้ น ทุน แฝง” ทีเกิ ดขึนจากกระบวนการขายสิน ทรั พ ย์ เ หล่า นี ซึงหลายๆ คนที ยัง ไม่ เ คยพบเจอ จะไม่ ท ราบถึง ความ
“วุ่นวาย” และ “เดือดร้ อน” อาจจะถึงขนาดทีต้ องพูดว่า “ยกให้ เค้ าฟรีไปเถอะ ให้ มนั จบไป“ คือ มันเหนือยแบบสาหัสจริงๆ
ก่อนจะจากกันในบทนี ขอทิงท้ ายว่า เราก็จะสังเกตได้ ว่าหลายๆ บริ ษัท (อาจจะเป็ นส่วนทีน้ อยมาก แต่ปฏิ เสธ
ไม่ได้ ว่ามีให้ พบเห็นเรือยๆ) ทีจะกําลังจะเจ๊ ง ถึงได้ พยายามแปลงกายและแต่งงบให้ สวยหรู แล้ วเอาหุ้นเข้ ามาขายในตลาด
หลักทรัพย์ เพือระบายหุ้นออกไป (หาทาง Exit ออกจากธุรกิจ) โดยยึดมูลค่าตามบัญชี ทังทีความจริ งอาจจะเหลือเพียง
“ซาก” ไปแล้ วก็ได้ และถ้ าหากเค้ าเลิก กิจการแบบปกติ และต้ อง “เลหลัง” ทรั พย์ สินทีมี ก็จะเป็ นเรื องทีเหนือยยากและ
วุ่นวายมาก มิส้ เู อามา “กระจายหุ้น” ในตลาดหลักทรัพย์ ได้ ทงมู
ั ลค่าทีเพิมขึนมหาศาลจาก “ความเข้ าใจผิดในสาระสําคัญ
ของกิจการของผู้ลงทุน” หรือ “ผู้ลงทุนทีรู้ทงรู
ั ้ แต่ชอบเล่นกับไฟ เพราะคิดว่าตนเองจะไม่ใช่ไม้ สดุ ท้ าย” นอกจากจะได้ ออก
จากธุรกิจแบบได้ เงินกลับมาครบถ้ วนหรือเกือบครบถ้ วนแล้ ว อาจจะได้ กําไรติดมือกลับมาเป็ นกอบเป็ นกําอีกด้ วย ก่อนที
บริษัทนันจะล้ มหายตายจากไป อาจจะในอีก 2-5 ปี ถัดมา (เข้ ามา 2 ปี แล้ วล้ ม เรี ยกว่า “ล้ มกระทันหัน” แต่ถ้าเข้ ามา 5 ปี
แล้ วล้ ม เรียกว่า “ล้ มแบบเนียนๆ” เป็ นไปตามแผนทีผู้บริหารเค้ าวางไว้ ลว่ งหน้ าแล้ วนันเองครับ..
43 | P a g e
บทที 13 หนีสินในงบการเงิน
หนีสินในงบการเงิ น เป็ นเรื องที สามารถอธิ บายได้ ง่ ายมากโดยที ไม่ ต้อ งชี แจงกันมากนัก เพราะ “หนี สิน ก็คื อ
หนีสิน” หรือเราอาจจะบอกได้ ว่า คือ “ปริมาณหรือมูลของภาระทางการเงิน” ทีบริษัทได้ ไปสร้ างเอาไว้ นนเอง
ั ซึงแบ่งออกได้
เป็ น 2 ส่วน อันประกอบไปด้ วย “หนีสินหมุนเวียน” และ “หนีสินไม่หมุนเวียน” นันเอง
สมมติว่ าบริ ษัท มีว งเงิ นกู้ธนาคารอยู่ทีอัตราดอกเบีย 12% ต่อ ปี (โดยทัวไปตัว เลขน่า จะอยู่ที 7-10% ต่อ ปี
แต่ใช้ ตัวเลข 12% จะได้ อธิ บายง่ายๆ) เท่ากับว่าเฉลียแล้ วเสียดอกเบีย 1% ต่อเดือน ถ้ าหากเราขายสินค้ าให้ กับบริ ษัท
ขนาดใหญ่ทีเป็ นร้ านสะดวกซือสาขามากมาย โดยมีเครดิตเทอมที 60 วันหลังจากวางบิล นันก็หมายความว่าสินค้ าของเรา
หากส่ง ไปเร็ วสุดของเดื อนเลย คือ ส่งไปวันที 1 ของเดื อนที 1 ผมจะวางบิลตามรอบปกติ ได้ ในวันที 30 ของเดื อนที 1
และรออี ก 60 วัน เท่ ากับ ว่ า จากวัน ที สินค้ า เราออกไป ไปจนถึง วัน ที ผมได้ รับ ชํ า ระเงิ น มี ระยะเวลาห่ า งกัน 90 วัน
หรือ 3 เดือน หรือได้ รับเงินในวันที 30 ของเดือนที 3 นันเอง..
44 | P a g e
ผมก็ จ ะเสี ย ต้ น ทุ น ไปถึง 3% ที เ ดี ย ว (ต้ น ทุน ดอกเบี ยเดื อ นละ 1% เป็ นเวลา 3 เดื อ น) ซึงเชื อไม๊ ว่ า ต้ นทุน ตรงนี
ผู้ประกอบการหลายๆ รายไปได้ นํามาคิดคํานวณ (โดยเฉพาะ SMEs) ดังนัน ถ้ าเราส่งของไป 1,000,000 บาท ผมก็จะมี
ค่าใช้ จ่ายทางการเงินจากการขายสินค้ าให้ กบั ลูกค้ ารายนี อยู่ที 30,000 บาททันที
45 | P a g e
บทที 14 สรุ ปเรื องของงบดุล
เราจะเห็ นได้ ว่ า “ส่วนของหนีสิน” ที บริ ษัท สร้ างขึนจะก่อให้ เ กิด “ต้ น ทุน ทางการเงิ น” หรื อ “ต้ น ทุน ดอกเบีย”
ทีจะปรากฏอยู่ในงบการเงิน ซึงดูไม่ค่อยจะซับซ้ อนในแง่ของ “ความเข้ าใจ” เท่าใดนัก เพราะหนีสินทีเกิดขึนอย่างไรเสีย
ก็จะอยู่ครบถ้ วนตามจํานวนแน่นอน
แต่สงที
ิ น่าจะต้ องใช้ เวลาในการทําความเข้ าใจมากกว่าก็คือ “ส่วนของสินทรัพย์ ” ซึงจากทีกล่าวมาในบทก่อนๆ
จะเห็นได้ ว่ามัน “ดินได้ ” ทังในเรื องการค่าเสือมราคาก็ดี หรื อทังในเรื องของ “มูลค่าทีแท้ จริ ง” ของสินทรัพย์ ต่างๆ ดังทีได้
ยกตัวอย่างให้ เห็นภาพมาอย่างต่อเนือง และบางครังเราจะเห็นได้ ว่า กําไรหรื อขาดทุนของบริ ษัทอาจจะไม่ได้ เ กิดมาจาก
การดําเนินงานเสียทังหมด แต่อาจจะเกิดจากการการลงบัญชีและการปรับมูลค่าของสินทรัพ ย์ ประเภทต่างๆ โดยการที
เราเป็ นนักลงทุนแต่ไม่ไ ด้ เข้ าไปเป็ นผู้บริ ห ารกิ จการ ก็ อาจทําให้ เราไม่ท ราบถึงรายละเอีย ดลึก ๆ ของสิน ทรัพ ย์ บางส่ว น
ทีอาจจะเกิดการ “เล่นแร่แปรธาตุ” ให้ เกิดกําไรหรือขาดทุน ซึงบางครังอาจจะคาดไม่ถงึ เลยทีเดียว..
นานมาแล้ ว มี ผ้ ูใ หญ่ ท่ า นหนึงสอนผมว่ า “ขายแล้ ว ต้ อ งเก็ บ ตัง ได้ ด้ ว ย” สมัย เมื อยัง เด็ ก ผมยัง ไม่ ค่ อ ยเข้ า ใจ
แต่พ อเมื อโตมาผมก็ พบว่ าประโยคนี คือ “ปรัชญาในการทํา ธุรกิ จที สําคัญยิง” ซึงในทางบัญชีเ ราจะบัน ทึก รายได้ ก็ เมื อ
“ส่งมอบสินค้ าหรือบริการจนเสร็จสินแล้ ว” โดยทีอาจจะยังไม่ได้ รับเงินมาจริ งๆ ก่อให้ เกิดเป็ น “รายได้ ค้างรับ” ซึงจะลงไป
อยู่ในช่อง “ลูกหนีการค้ า” ตรงนีเองทีทําให้ งบรายไตรมาสหรืองบปี ของกิจการอาจจะระบุว่ามีกําไรจากการทําโครงการโน้ น
นี และต้ องมา “ตัดหนีสูญ” ในภายหลัง ก่อให้ เกิดการ “ขาดทุนไม่คาดคิด” ทังๆ ทีไตรมาสก่อนหรื อปี ก่อนอาจจะ “โชว์ กําไร
อย่างมากมาย” แต่เชือไม๊ ว่าในหลายๆ กิจการมีความจงใจเห็น “เกิดขึนแบบนัน” โดยมีวตั ถุประสงค์เพือกําหนดราคาหุ้น..
นอกจากนี อี กสิงหนึงที เราควรต้ อ งระวังอย่ างสมํ าเสมอก็คื อ “การย้ า ยรายการระหว่า งกัน” ยกตัว อย่า งเช่ น
เราอาจจะมองผิวเผินว่าในปี ที 1 และ 2 มีสว่ นของสินทรัพย์และหนีสินไม่เปลียนแปลงหรือเปลียนแปลงน้ อยมาก ทําให้ เรา
ค่อ นข้ างสบายใจว่ า “ทุก อย่ า งยังปกติ ดี ” แต่ พ อเราเข้ า ไปดูใ ส้ ใ นเราก็ ได้ พ บว่ ารายการ ”เงิน สดและเที ยบเท่ า เงิ นสด”
มีจํานวนทีลดลงและกลับไปเพิมที “เงินลงทุน” หรืออาจจะเป็ น “ลูกหนีการค้ า” ซึงโดยนัยยะคือ “เงินสดของกิจการลดลง”
ซึงถ้ าเป็ นผม ผมจะค่อนข้ างซีเรียสกับเรืองนีทีเดียวกับการใช้ เงินสด “มากเกินกว่าทีเคยใช้ ในปี ก่อนๆ” เพราะมันแสดงถึง
46 | P a g e
ความผิดปกติของกิจการ ซึงโดยปกติกิจการทีเริมจะยํายานัน “เงินสดจะลดลงอย่างต่อเนือง” ในขณะทีหากว่าในส่วนของ
หนีสินแม้ จะมียอดรวมไม่เปลียนแปลง แต่ถ้ารายการ “เจ้ าหนีการค้ าลดลง” แต่ “หนีเบิกเกินบัญชีหรื อหนีสินกับสถาบัน
การเงิน ” เพิมสูงขึน อัน นีก็ต้ องระมัด ระวังเช่นเดียวกัน เพราะหนีสิน ถูกแปรเปลียนจาก “หนี ทีมีต้ นทุน ทางการเงิน ตํา”
ไปยัง “หนีทีมีต้นทุนทางการเงินสูงกว่า” ทําให้ สดุ ท้ ายแล้ วต้ นทุนก็จะตีกลับเข้ ามาใน “งบกําไรขาดทุน” ในท้ ายทีสุด
47 | P a g e
บทที 15 งบกระแสเงินสด
กิจกรรมที 3 ได้ แก่ กิจกรรมการจัดหาเงิน เป็ นเรื องเกียวกับการจัดการเงินทุนของบริ ษัท เช่น หากมีการจ่ายปั น
ผลออก รายการที เกิดขึนก็จ ะแสดงว่ าเงินสดลดลง (เงินจ่ายออกมาเป็ นปั นผล) ในขณะทีถ้ าหากมีการกู้เงินเข้ ามาเพื ม
ทําให้ มี “ภาระหนี“ เพิมขึนมา เงินสดเพิมขึนก็จริง แต่หนีสินก็เพิมขึนตามไปด้ วย
มาถึง ตรงนี เราก็ จ ะสัง เกตเห็ น ได้ ว่ า “งบกระแสเงิ น สด” บอกถึ ง “การเปลียนแปลงในเงิ น สด” ของบริ ษั ท
แต่เ ราเองก็ยังบอกไม่ไ ด้ ว่ ากิจ การดีขึนหรื อ แย่ลง จนกว่า จะได้ มี การพิ จารณาในรายละเอีย ดของแต่ละกิ จกรรม ซึงขอ
อธิบายเพิมเติมดังนีครับ
ถ้ าเรามองดูใ นส่ว นของกิ จกรรมที 1 กิ จกรรมการดํา เนิ นงาน อัน นีชัด เจนว่า กิ จกรรมนีควรมี เงิ นสดเพิ มขึน
เพราะถ้ า กิ จ กรรมนีมี เ งิ น สดน้ อ ยลง ถื อว่ า กิ จการกํ าลัง ยํ าแย่ เพราะรายได้ ของกิ จ การต้ องมาจากการประกอบธุ ร กิ จ
ในขณะที กิจกรรมที 2 ได้ แก่ กิ จกรรมการลงทุน การทีเงินสดลงจากการลงทุน เราอาจจะเป็ นห่วงว่าเงิ นหายไป แต่ถ้ า
การลงทุนนี ได้ ผล ในงวดถัดๆ มา “ความสามารถของสินทรัพย์ ทีเราลงทุน ” ก็จะสะท้ อนให้ เกิด รายได้ ตีกลับมาเพิ มให้
“กิจกรรมการดําเนินงาน” มีรายได้ ทีสูงขึนในภายหลัง (แต่ถ้าลงทุนไปแล้ วสัก 2-3 ปี แล้ วรายได้ จากการดําเนินงานไม่เพิม
48 | P a g e
อันนีก็จ ะน่าเป็ นหว่ง จริ งๆ ละ) ในขณะที กิจกรรมที 3 กิจกรรมการจัดหาทุน เงินทีไหลออกไป ก็อ าจจะเป็ นเงิ นปั นผล
ซึงกลับไปยังผู้ถือหุ้น การหายไปของ “เงินสด” ก็จงึ ไม่น่ากังวล ในขณะทีถ้ าหากรายการเงินสดลดลง จากการนําเงินไปคืน
“เจ้ าหนี ” บางที อ าจจะเป็ นเรื องดี กว่ า การที “เงิ น สด” เพิ มขึ นจากการก่ อ หนี ก็ เ ป็ นได้ ดั ง นั น กระแสเงิ น สด
จึงต้ องถูกพิจารณาอย่างละเอียด และเพือให้ เห็นภาพชัดเจนขึน ผมว่าเราน่าจะลองยกตัวอย่างดูสกั หน่อยดีกว่า..
ในทางตรงกัน ข้ า ม บริ ษั ท ที เริ มยํ าแย่ เราก็ จะเห็ น ได้ ว่า กิ จ กรรมการดํา เนิ น งาน จะมี ผลขาดทุน และทํ า ให้
“เงิ นสด” ลดลง การลดลงของ “เงิ นสด” นี มัน ก็ ทํ าให้ สภาพคล่อ งภายในบริ ษั ท ฝื ดเคื อง จนทํ า ให้ กิ จกรรมการลงทุน
ต้ องขายสินทรัพย์ ออกมา ซึงแม้ ว่ า “เงิน สด” จะเพิ มขึน (จากการขายสินทรัพย์ ) ในขณะทีอาจจะไปหา “เงินสด” จาก
กิจกรรมการจัดหาทุน (กู้มาเพิม) ซึงเราก็จะเห็นว่า แม้ เงินสดจะเพิมขึน แต่โดยข้ อเท็จจริงมันดูแย่เอามากๆ เลยทีเดียว
ด้ วยเหตุ นี เอง ทั งสามกิ จ กรรมที ผมได้ กล่ า วมานี จึ ง ประกอบกั น กลายเป็ น “งบกระแสเงิ น สด” หรื อ
“งบแสดงแหล่งทีมาและใช้ ไปของเงินทุน” โดยถ้ ากิจการเป็ นกิจการทีดีเยียมและแข็งแกร่ งจริ งๆ “เงินสดจากกิจกรรมการ
ดําเนินงาน” จะต้ องเพิมขึน แต่ในกิจกรรมนี มันจะมีประเด็นทีทําให้ งงอยู่ประเด็นหนึงก็คือ บรรทัดทีเขียนว่า “การบวกกลับ
ของค่าเสือมราคา” ทีอยู่ในกิจกรรมการดําเนินงาน ผมจึงคิดว่าน่าจะอธิบายสักหน่อย..
ในงบกําไรขาดทุน เราเคยเรียนรู้กนั มาว่า สมมติ EBITDA ของกิจการในปี นี อยู่ที 100ล้ านบาท หากกิจการไม่มี
ต้ นทุนทางการเงินเลย (สมมติให้ ไม่มี จะได้ ไม่สบั สน) แต่มีต้นทุนต้ นทุนค่าเสือมราคาอยู่ที 120ล้ านบาท ในงบกําไรขาดทุน
จะโชว์ทนั ทีว่า ปี นีกิจการขาดทุน 20ล้ านบาท (100ล้ านบาท - 120ล้ านบาท) แต่ในแง่เงินสดนัน “ไม่ใช่” เพราะเงินสดไม่ได้
ถูกจ่ายออกไป เพราะ “ค่าเสือมราคา” มาจากการหักต้ นทุนใน “สินค้ าทุน” ทีได้ ลงทุนไปแล้ ว ไม่ได้ เกิดการจ่ายออกไปจริ ง
ดัง นันถึง แม้ ว่ าในบการเงิ นจะขาดทุน แต่ เ วลาคํ า นวณ “เงิ น สด” ในกิ จ กรรมการดํ า เนิ น งานก็ จ ะต้ อ งบวกกลับ ไปอี ก
120ล้ านบาท เช่นว่า ผมซือรถมาทํางาน ผมไม่อยากเสียดอกเบียก็เลยเอาเงินเก็บมาซือที 200,000 บาท โดยผมกําหนดว่า
ผมจะเอาเงินคืนตัวเอง เดือนละ 10,000 บาทเป็ นเวลา 20 เดือน และผมมีรายจ่ายอืนๆ 20,000 บาท รวมเป็ นรายจ่าย
ทังสิน 30,000 บาท ปรากฏว่ า มี เ ดือ นหนึงผมเงิ น ไม่ พ อใช้ ผมมี รายรั บ แค่ 25,000 บาท ทํ า ให้ ผมติ ด ลบในเดื อ นนี
5,000 บาททันที (จากรายจ่าย 30,000 บาท) แต่เงินสดของผมเดือนนีเพิมขึนนะ มันยังคงมีเพิมอยู่ 5,000 บาทไม่หายไป
ไหน (แม้ ว่าผมจะรับรู้ว่าผมชอตเดือนนี จากการทีผมหักค่าเสือมราคาทีนําไปซือรถยนต์ แต่จริ งๆ 5,000 บาทเพิมเข้ ามาใน
49 | P a g e
บัญชีของผม) ฉันใดก็ฉนั นัน เวลาทีตังต้ นงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมการดําเนินงาน จึงตังจาก “กําไรสุทธิ ” แล้ วจึงบวก
กลับด้ วย “ค่าเสือมราคา” ทีได้ หกั ไว้ นนเอง
ั
บางคนที เข้ า ใจในเรื องนี แล้ ว เวลาที เค้ าเห็ นงบกํ าไรขาดทุนว่ า กํ าไรจากการดํา เนิ นงานเป็ นบวก แต่ไ ปโดน
ค่ า เสื อมราคาหรื อ โดนดอกเบี ยจนทํ า ให้ กิ จ การมี ผลขาดทุ น เค้ าก็ จ ะไปดูใ นงบกระแสเงิ น สดเลย ว่ า กระแสเงิ น สด
จากกิ จ กรรมการดํ า เนิ น งาน “เป็ นบวกหรื อ ไม่ ” และ “บวกเยอะแค่ ไ หน” แล้ ว ค่ อ ยกลับ มาดูใ น “งบกํ า ไรขาดทุน ”
ว่าโดนหักอะไรไปเท่าไหร่ ดอกเบียทีจ่าย (ต้ นทุนทางการเงิน) จ่ายไปเท่าไหร่ และไปดูในงบดุลว่ามาจาก “ภาระหนีอะไร
จํานวนเท่าไหร่” และ “มีแนวโน้ มจะลดลงไม๊ ” ในขณะทีเค้ าก็จะไปดูค่าเสือมราคาในงบกําไรขาดทุนด้ วย ว่า “โดนงวดนี
เท่าไหร่” เพราะเค้ าอาจจะแกะข้ อมูลค่าเสือมราคาเพือหาว่า “ปี ใดทีค่าเสือมหมด ปี นันกําไรจะดีดกลับมหาศาลทันที”
ที กล่ า วมาทังหมดนี ก็ ค งจะพอทํ า ให้ ภ าพรวมและการเชื อมโยงระหว่ า ง “งบกํ า ไรขาดทุน ” “งบดุ ล” และ
“งบกระแสเงินสด” มากขึนแล้ ว ในบทต่อไปเราน่าจะมาดูกนั สักหน่อยว่าเราจะสามารถใช้ “งบกระแสเงินสด” วิเคราะห์ กัน
อย่างไรได้ บ้าง
50 | P a g e
บทที 16 วิธีการอ่ านงบกระแสเงินสด
51 | P a g e
ก่อนทีเราจะเรียนรู้ “งบกระแสเงินสด” กัน เราจะเห็นตัวเลขบวกและตัวเลขติดลบ ให้ เราจําไว้ เลยว่า ตัวเลขบวก
ก็คือเงินสดเพิมขึน ตัวเลขติดลบ คือ เงินสดลดลง ถ้ างงก็ให้ ยึดหลักการนีไว้ เพราะเราอาจจะสับสนกับบางบรรทัด
เช่นบรรทัดทีเขียนว่า “ทีดิน อาคาร อุปกรณ์ (เพิมขึน) ลดลง” -8.91ล้ านบาท เค้ าก็จะหมายความว่า ถ้ าตัวเลขนีเป็ นบวกก็
จะหมายความว่า “ทีดิน อาคาร อุปกรณ์ ลดลง” แต่ถ้าตัวเลขนีเป็ นลบ ก็จะหมายความว่า “ทีดิน อาคาร อุปกรณ์ เพิมขึน”
เพราะว่าถ้ า “ทีดิน อาคาร อุปกรณ์ เพิมขึน” แสดงว่าเราเอาเงินสดไปซือหามา ดังนัน ”เงินสดต้ องติดลบ”
52 | P a g e
เอาล่ะ!!! น่าจะพอเห็นภาพกันสักนิดหนึงแล้ ว เรามาดูกนั เป็ นขันๆ นะครับ
ขันที สอง ก็คื อ จากการทีเราได้ เรี ยนรู้ กัน ในบททีแล้ วว่ ากิ จกรรมที เงิ นจะไหลเวีย นเข้ าออก 3 กิจ กรรม ได้ แ ก่
กิจกรรมการดําเนินงาน, กิจกรรมการลงทุนและกิจกรรมการจัดหาเงิน จะต้ องรวมกันแล้ วเท่ากับเงินสดทีเปลียนแปลงไป
โดยจากข้ อมูลงบการเงิน เรามาดูกรอบสีนําเงินเลยครับ ว่าในแต่ละกิจกรรมได้ ยอดรวมเป็ นอย่างไร (การอ่านงบกระแสเงิน
สดในครังแรกๆ จะหาสามบรรทัดนีลําบากเพราะรายการมันเยอะ ต้ องค่อยๆ ดูนะครับ)
เราพบว่า ในงวดบัญชีนี กิจกรรมการดํ าเนิ นงาน มีเ งินสดสุทธิ -222.08ล้ า นบาท ในขณะทีกิจ กรรมการลงทุน
มีเงินสดสุทธิ -8.91ล้ านบาท และกิจกรรมการจัดหาเงิน มีเงินสดสุทธิ 209.99ล้ านบาท
ทีนี ผมอยากจะอธิ บายเพิมเติม ในส่วนของ “กิจ กรรมการดําเนินงาน” เพิ มเติ มอีก สักนิ ด ว่ ามัน มี “ทีมาทีไป”
อย่างไร ตัวเลขของกิจกรรมนี เริมต้ นมาจากงบกําไรขาดทุนก่อนหักภาษี เงินได้ ซึงมีตัวเลขอยู่ที -85.55ล้ านบาท ซึงผม
อยากให้ ดูในงบกําไรขาดทุน (ภาพทีสอง) ในกรอบสีแดงทีผมตีไว้ อันนี คือรายการกําไรสุทธิที -44.05ล้ านบาท เมือ
รวมกับภาษีเงินได้ ที -41.49ล้ านบาท จะรวมได้ เท่ ากับ -85.55ล้ านบาทพอดี ซึงเราจะเห็นได้ ว่าตัวเลขตรงนี ยังไม่ได้
บวกกลับ ต้ นทุนทางการเงิน เพราะถ้ า รวมไปแล้ วตัว เลขจะไม่เท่ากับ -88.55ล้ านบาทแน่ นอน (เราจะเห็ นได้ ว่า ช่องล่า ง
ถัด ๆ มามี ก ารบวกต้ น ทุน ทางการเงิ น กลับ เข้ า ไปในภายหลัง ) และจากตัว เลขงบกํ า ไรขาดทุน ก่ อ นหัก ภาษี เ งิ น ได้ ที
-85.55ล้ า นบาท ผมได้ ตี กรอบสีเขี ยวในงบกระแสเงิ นสดไว้ คือ “รายการค้ าเสือมราคาบวกกลับ ” เห็ นไม๊ ค รับ ว่า มีก าร
บวกกลับไป 23.24ล้ านบาท นีคือสิงทีเราพูดถึงกันในบททีแล้ วครับ
53 | P a g e
จากรูปด้ านซ้ าย เห็นไม๊ ครับว่าบริษัทนีมีผลกําไรสุทธิอยู่ที 190.65ล้ านบาท แต่มีกําไรจากการขายสินทรัพย์ ถาวร
สูงถึง 201.85ล้ านบาท และจากตัว เลขทีโชว์ ว่า -201.85ล้ านบาท แสดงว่า “เงิน ไม่มีจริ ง” เราก็เลยกลับไปดูในงบกําไร
ขาดทุนในรูปด้ านขวา เราก็จะเห็นว่ามันเป็ นรายการ “กําไรจากการขายทรัพย์สนิ รอการขาย” คือบันทึกเป็ น “กําไร” ไปแล้ ว
แต่ยงั ไมได้ รับเงิน และถ้ าหากรายการนีเกิด “ผิดพลาดทางเทคนิค” รับรองว่าจะวุ่นวายกันมากมายทีเดียว ทีนีพอย้ อนกลับ
มาดูรูปฝั งซ้ ายตรงสรุปว่า “เงินสดสุทธิได้ มาจาก (ใช้ ไปใน) กิจกรรมการดําเนินงาน” มีค่าสุทธิ -115.21ล้ านบาท เราก็เลย
ไม่ต้องสงสัยอะไรแล้ ว.. เห็นไม๊ ครับว่าบางทีทีบริษัทโชว์ว่ามีกําไร แต่พอเข้ าไปเช็คดูโดยการเอางบแต่ละแบบมาประกบกัน
ปรากฏว่าบริษัทไม่มีอะไรเลย อาจจะออกแนว “แหกตา” ด้ วยซํา ดังตัวอย่างทียกมาให้ เห็นข้ างต้ น
54 | P a g e
บทที 17 ปั จจัยทีมีผลต่ องบการเงิน
บทนี ผมมี ป ระเด็น ที ต้ อ งการจะนํ าเสนออยู่ 2-3 ประเด็ นด้ ว ยกัน ที น่ าจะมีป ระโยชน์ เ วลาทีเราใช้ วิเ คราะห์
งบการเงิน เพราะมันอาจจะทําให้ เราเข้ าใจในตัวของงบการเงินของแต่ละบริษัทชัดเจนมากยิงขึนครับ
55 | P a g e
ประเด็นที 3 ซึ งเป็ นประเด็นสุ ดท้ ายก็คือ “ความฉ้ อฉลและความรั วไหลในงบการเงิน ” ซึงแน่น อนว่ า
งบการเงิน ทุก ฉบับ จะต้ องผ่า นการรั บรองตามมาตรฐานบัญชี ทีเข้ มงวด โดยผู้สอบบัญชี ชันนําที ได้ รับอนุญาตเป็ นการ
เฉพาะ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่า มันมีสว่ นที “ก้ าวเข้ าไปตรวจไม่ถึง” ซึงถ้ าเราพิจารณาดูอย่างดีแล้ ว เราก็จะพบว่ามีบางสิง
บางอย่างทีความเป็ นจริงอาจจะไม่ได้ สะท้ อนให้ เห็น ยกตัวอย่างเช่นบริ ษัท A มีสินทรัพย์ รวม 200,000ล้ านบาท ในขณะที
มี ห นี สิน รวม 190,000ล้ า นบาท ทํ า ให้ มี ส่ว นของผู้ ถื อ หุ้น ทังสิน 10,000ล้ า นบาท ตรงจุด นี เราก็ อ าจจะพอทราบได้ ว่ า
“หนีสินเป็ นของจริง” แต่ทรัพย์สนิ เมือเข้ าไปดูแล้ วกลับพบว่ามีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดเพียงไม่ถึง 10,000ล้ านบาทเป็ น
ต้ น ถ้ าหากเป็ นการพิจารณาด้ วยความเห็นของผม ผมก็จะคิดว่าสินทรัพย์ ตรงนีอาจจะมีเพียงครึงเดียว ส่วนของผู้ถือหุ้น
จริ ง ๆอาจจะติ ด ลบไปแล้ ว เป็ นหลายหมื นล้ า น และเข้ า สู่ภ าวะล้ ม ละลายมาตังนานแล้ ว แต่ กิ จ การยัง อยู่ไ ด้ จ ากการ
“หมุนเงิน” ใช้ กลไกของตลาดหลักทรัพย์ ในการ “ปั มเงิน” ขึนมาความคู่ไปกับการ “เพิมทุน” เป็ นระยะๆ เพือให้ กิจการยัง
ดํารงอยู่ได้ ซึงถ้ าหากเราเจอกิจการประเภทนี และเราวิเคราะห์ในงบการเงินอย่างเป็ นกลาง เราก็จะพบว่า “มันไม่น่าลงทุน
เอาเสียเลย” และหากเราลงทุนเข้ าไปกับกิจการประเภทนีทังๆ ทีเรารู้ ในเรื องราวเหล่านีก็เท่ากับว่า “เราเข้ าไปเก็งกําไร”
ไม่ใช่ “การลงทุน” นอกจากนีก็อาจจะรวมไปถึงกิจการทีกําไรน้ อยหรื อขาดทุนอย่างต่อเนืองจนเงินสด “ไม่เหลือติดมือ ”
แต่ออกข่าวใหญ่โตว่าจะลงทุนโน้ นนี ด้ วยเงินเท่านันเท่านี และจะทําให้ กําไรก้ าวกระโดด ซึงเมือเราพิจารณาในด้ านเงินทุน
แล้ ว ไม่ น่ า จะเป็ นไปได้ เ พราะเงิ น สดไม่ พ อ หรื อ หากในแง่ ค วามสามารถของผู้บ ริ ห ารแล้ ว ว่ า ถ้ า ผู้บ ริ ห ารไม่ เ ปลียน
เหตุการณ์เหล่านีจะเกิดขึนได้ หรือไม่ เพราะทีผ่านมาก็ได้ พิสจู น์ผ่านงบการเงินแล้ วว่าบริหารงานได้ ยําแย่ หรื อ “เรื อยเปื อย”
มาตลอด ตรงนีล่ะที “การวิเคราะห์งบการเงิน” เข้ ามาช่วยเหลือเราให้ ทราบข้ อเท็จจริ งเหล่านีได้ บ้าง (แม้ จะไม่ครบถ้ วนก็
ตาม เนืองจากเรามองเรืองราวเหล่านีผ่านงบการเงินและตามสือต่างๆ)
56 | P a g e
บทที 18 บทสรุ ปของหนังสือเล่ มนี
ในส่วนของ “การรอจัง หวะทีเหมาะสม” ผมเชือว่ าการทีเราเจอบริ ษั ททีดี ไม่ได้ หมายความว่าบริ ษัท เหล่านัน
“น่ า ลงทุน ” เสมอไป นันเพราะว่ า ในวัน ที เราไปพบก็ อ าจจะเป็ นช่ ว งเวลาที “ราคาหุ้น สูง จนไม่ ค้ ุม ค่ า แก่ ก ารลงทุน ”
ทําให้ เราอาจจะต้ องเบนเข็ม ไปหาหุ้นตัว อืน และ “อดทนเฝ้ารอ” จนกว่ าหุ้น ตัวนันจะมีราคาลดลงมาจนถึง ระดับที เรา
“สบายใจทีจะเข้ าลงทุน”
ขอบพระคุณครับ..
57 | P a g e