Professional Documents
Culture Documents
374776889 04 หนังสือ RC Design เนื อหา PDF
374776889 04 หนังสือ RC Design เนื อหา PDF
(ที่มา : HTTP://WWW.STRUCTUREMAG.ORG/WP-CONTENT/UPLOADS/0413-F2-9.JPG)
1.1 บทนำ
โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced concrete) หรือบางตาราเรียกว่าคอนกรีตเสริมแรง เนื่องจากเป็นการนา
วัสดุที่มีคุณสมบัติด้านการรับแรงดึงได้ดี อาทิ เหล็กเส้น ไฟเบอร์ มาเสริมในบางส่วนของโครงสร้างที่เกิดแรงดึง หรือแม้แต่บางครั้งก็
ยังสามารถใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ มาเสริมเพื่อให้รับแรงดึงที่เกิดขึ้นในชิ้นส่วนหรือองค์อาคารเหล่านั้น คอนกรีตเสริมแรง ถือว่า
เป็นวัสดุประกอบ โดยเอาข้อดีของวัสดุอีกชนิดหนึ่งมาทดแทนข้อด้อยของวัสดุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ
คอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) โดยเอาเหล็กเส้นซึ่งอาจจะเป็นทั้งเหล็กเส้นกลมหรือเหล็กข้ออ้อย มาเพิ่มความสามารถที่ขาดไปของ
คอนกรีต นั่นก็คือ คอนกรีตมีความสามารถในการรับกาลังอัดได้ดี แต่เป็นวัสดุที่เปราะ (Brittle material) รับแรงดึงได้เพียง
เล็กน้อย ดังนั้น ในส่วนขององค์อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กในส่วนใดหรือบริเวณใดที่ต้องรับแรงดึง เราจึงใช้การเสริมเหล็กเส้นเพื่อ
รับแรงดึง ส่งผลให้โครงสร้างมีพฤติกรรมความเหนียว (Ductile) โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กถือว่า ได้รับความนิยมมาเป็นเวลา
นับร้อยปี นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยอาคาร คสล. หลังแรกที่นับได้ว่าเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่ได้รับการยอมรับ
กันเกิดขึ้นในปี คศ.1867 โดย Joseph Monier ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กหลังแรกของโลกใน
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เนื่องจากจุดเด่นในเรื่องต้นทุน ราคาค่าก่อสร้างที่ต่ากว่าโครงสร้างเหล็ก และสามารถก่อสร้างเป็น
โครงสร้างขนาดใหญ่หรืออาคารสูงได้ทาให้อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กได้รับความนิยมเรื่อยมา
1.2 คุณสมบัติของคอนกรีต
1.2.1 กำลังอัดประลัยของคอนกรีต ( )
คอนกรีตเกิดจากการนาวัสดุต่าง ๆ มาผสมกัน โดยวัสดุหลัก ๆ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ วัสดุมวลรวมหยาบ วัสดุมวลรวม
ละเอียด และน้า นอกจากนี้อาจจะยังมีส่วนผสมเป็นวัสดุผสมเพิ่มอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น น้ายาลดน้า สารหน่วงการ
ก่อตัว เป็นต้น กาลังอัดของคอนกรีตถือว่าเป็นคุณสมบัติสาคัญในการออกแบบชิ้ นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็ก เนื่องจากชิ้นส่วน
คอนกรีตเสริมเหล็ก วัสดุหลักที่ใช้คือคอนกรีต ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักมากกว่าร้อยละ 90 โดยทั่วไปแล้วกาลังอัดของคอนกรีตที่
ใช้ในการออกแบบชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็ก เราจะใช้กาลังอัดประลัยของแท่งตัวอย่างคอนกรีตรูปทรงกระบอกมา ตรฐานที่มี
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับ 15 เซ็นติเมตร (6") และความสูงเท่ากับ 30 เซ็นติเมตร (12") ดังแสดงในภาพที่ 1.1(a) ทดสอบที่
อายุ 28 วันของการบ่ม ตามมาตรฐาน ASTM C192 (American Society of Testing and Materials, 2001) หรือเรียกว่ากาลัง
อัดประลัยของแท่งคอนกรีต ( ) แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่สามารถหาแท่งตัวอย่างทรงกระบอกในการเก็บตัวอย่างเพื่อทดสอบ
ได้ เราสามารถใช้แท่งตัวอย่างรูปทรงลูกบาศก์มาตรฐานขนาด 15 เซ็นติเมตร ดังแสดงในภาพที่ 1.1(b) ทดสอบที่อายุ 28 วัน
เช่นเดียวกัน ตามมาตรฐานของ BS 1881 (British Standard Institute, 1983)
15 ซม.
15 ซม. 15 ซม.
15 ซม. 15 ซม.
กาลังรับแรงดึงของคอนกรีตจะสามารถคานวณจากสมการที่ 1.1a
(1.1a)
เมื่อ P คือน้าหนักบรรทุกสูงสุดที่ทาให้ก้อนคอนกรีตวิบัติ
D คือเส้นผ่าศูนย์กลางของก้อนตัวอย่างคอนกรีตทรงกระบอก
L คือความยาวของก้อนตัวอย่างคอนกรีตทรงกระบอก
1.3 คุณสมบัติของเหล็กเสริม
ตามที่เราได้ทราบแล้วว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) เป็นวัสดุเชิงประกอบ (Composite Materials) ที่นาเอาคุณสมบัติ
ด้านการรับแรงดึงที่ดีกว่าของเหล็กเสริมมาใช้ในบางส่วนขององค์อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่ต้องรับแรงดึง เพื่อทาให้คอนกรีต
เสริมเหล็กมีพฤติกรรมเหนียวมากขึ้น เหล็กเสริมที่นามาใช้ในชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นเหล็กกล้าละมุน (Mild steel) ซึ่ง
จัดเป็นประเภทเหล็กกล้าคาร์บอนต่า เหล็กเสริมคอนกรีตที่นิยมนามาใช้มีทั้งที่เป็นเหล็กเส้นกลมแบบผิวเรียบ (Round bars , RB)
และเหล็กเส้นกลมแบบผิวข้ออ้อย (Deformed bars, DB) ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ 1.3 โดยในประเทศไทยมีสานักงานมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ควบคุมคุณภาพการผลิตเหล็กเสริมในคอนกรีตทั้งสองแบบ
เหล็กเส้นกลมแบบผิวข้ออ้อยมีกาลังรับแรงดึง ณ จุดครากและจุดประลัยของเหล็กที่สูงกว่าเหล็กเส้นกลมแบบผิวเรียบ
ค่อนข้างมาก โดยจุดเด่นก็คือ คุณสมบัติการยึดเกาะระหว่างเหล็กเสริมกับคอนกรีตได้ดีกว่าเหล็กเส้นกลมแบบผิวเรียบ เนื่องมาจาก
มีผิวโดยรอบเป็นปล้องหรือครีบเกลียว แต่มีจุดด้อยในด้านเปอร์เซ็นต์การยืดตัว เนื่องจากเหล็กชนิดนี้มีปริมาณคาร์บอนในเหล็กที่
สูงขึ้น ทาให้เหล็กชนิดนี้เปราะกว่าเหล็กเส้นกลมแบบผิวเรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กที่ชั้นคุณภาพสูงอย่างเช่น SD50 ยิ่งมี
เปอร์เซ็นต์การยืดตัวที่ค่อนข้างต่า ดังนั้น เหล็กชนิดนี้ จึงมักนิยมใช้ในชิ้นส่วนรับแรงอัดเป็นหลัก เช่น องค์อาคารเสาในอาคารสูง
เป็นต้น
1.3.4 พื้นที่หน้ำตัดของเหล็กเสริมคอนกรีต
ในตารางที่ 1.4 และ 1.5 เป็นตารางช่วยสาหรับการคานวณหาปริมาณ (พื้นที่หน้าตัด) หรือจานวนของเหล็กเสริมเพื่อ
เลือกใช้ในหน้าตัดคาน, พื้น, บันได, เสาและฐานราก เป็นต้น เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน โดยในตารางที่ 1.4 เป็นปริมาณของเหล็ก
เสริมเมื่อคิดจากจานวนเส้นต่อหน้าตัด สาหรับใช้ในกรณีของการเสริมเหล็กในหน้าตัดคาน, เสา, ฐานราก เป็นต้น และในตารางที่
1.5 เป็นปริมาณของเหล็กเสริมเมื่อคิดต่อความยาวหนึ่งเมตรโดยระบุเป็นระยะเรียง (@) หรือระยะศูนย์กลาง ถึง ศูนย์กลางของ
เหล็ก ซึ่งนิยมใช้ในกรณีของการเสริมเหล็กในหน้าตัดพื้น, บันได, ผนัง, กาแพง บ่อพัก คสล. เป็นต้น
ขนำดเหล็กเสริม จำนวนเส้นของเหล็กเสริม
(มม.) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
RB6 .283 .565 .848 1.13 1.41 1.70 1.98 2.26 2.54 2.83
RB9 .636 1.27 1.91 2.54 3.18 3.82 4.45 5.09 5.73 6.36
DB10 .785 1.57 2.36 3.14 3.93 4.71 5.50 6.28 7.07 7.85
DB12 1.13 2.26 3.39 4.52 5.65 6.79 7.92 9.05 10.18 11.31
DB16 2.01 4.02 6.03 8.04 10.05 12.06 14.07 16.08 18.10 20.11
DB20 3.14 6.28 9.42 12.57 15.71 18.85 21.99 25.13 28.27 31.42
DB25 4.91 9.82 14.73 19.63 24.54 29.45 34.36 39.27 44.18 49.09
DB28 6.16 12.32 18.47 24.63 30.79 36.95 43.10 49.26 55.42 61.58
DB32 8.04 16.08 24.13 32.17 40.21 48.25 56.30 64.34 72.38 80.42
DB40 12.57 25.14 37.71 50.28 62.85 75.42 88.00 100.57 113.14 125.71
เงื่อนไข ระยะหุ้มน้อยที่สุด
(ซม.)
1. คอนกรีตหล่ออยู่บนพื้นดินหรือในดินถาวร 7.5
(เทลงบนดินโดยไม่ใช้ไม้แบบ)
2. คอนกรีตหล่อบนพื้นดินหรือสภาพอากาศภายนอก (กรณีที่ใช้ไม้แบบ)
- เหล็กเสริมเอกเป็นขนาด DB20mm. และใหญ่กว่า 5.0
- เหล็กเสริมเอกเป็นขนาด DB16mm. และเล็กกว่า 4.0
3. คอนกรีตไม่สัมผัสพื้นดินหรือสภาพอากาศภายนอก
- พื้น ผนัง คานย่อย 2.0
- คาน 3.0
- เสา 3.5
ลูกปูนหนุนเหล็ก
ไม้แบบ
ระยะหุ้ม (d')
1.5 โมดูลัสยืดหยุ่นของวัสดุ
เมื่อวัตถุหนึ่งอยู่ภายใต้การกระทาของแรง หน่วยแรงที่เกิดขึ้นในวัตถุจะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง หรือเกิด
ความเครียดขึ้น ถ้าหากเราเอาแรงออกแล้วความเครียดหายไป นั่นคือ วัตถุสามารถคืนกลับสู่สภาพหรือขนาดดั้งเดิมก่อนถูกแรง
กระทาได้ เราเรียกสภาวะนี้ว่า สภาวะยืดหยุ่น (elastic, linear-elastic) แต่ถ้าหลังจากที่เอาแรงกระทาออกแล้วแต่วัตถุไม่สามารถ
คืนกลับสภาพหรือขนาดดั้งเดิมได้ และยังคงมีความเครียดเหลืออยู่ เราเรียกสภาวะนี้ว่า สภาวะไม่ยืดหยุ่น (Inelastic) ซึ่งผู้ที่ค้นพบ
ทฤษฎีนี้คือ Robert Hooke ได้สังเกตเห็นว่าหน่วยแรงที่เกิดขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความเครียด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นรับแรง
จนกระทั่งถึงจุด ๆ หนึ่ง ซึ่งเรียกจุดนี้ว่า พิกัดสัดส่วนเชิงเส้น (Proportional limit) และเมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้ว การเพิ่มขึ้นของหน่วย
แรงจะทาให้สภาวะไม่ยืดหยุ่น (Non-linear) เกิดขึ้น ความเป็นสัดส่วนโดยตรงระหว่างหน่วยแรงและความเครียด เรียกว่า กฎของ
ฮุค (Hooke's law) ซึ่งสามารถแสดงในรูปของสมการได้ดังนี้
(1.2)
E
Plastic region F
C
B D
A
Elastic region
0
1.5.1 โมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม
ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม คือค่าความชันของเส้นสัมผัสหรืออัตราส่วนระหว่างหน่วยแรงดึงที่เกิดขึ้นในหน้าตัด
เหล็กต่อหน่วยการยืดตัวของเหล็กในช่วงอีลาสติก โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหล็กเส้นกลมหรือเหล็กข้ออ้อยในทุกชั้นคุณภาพ จะมี
ค่าเท่ากัน ตามสมการที่ (1.3)
กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (กก./ตร.ซม.) (1.3)
(1.5)
1.6 น้ำหนักบรรทุก
ในการออกแบบชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็ก สิ่งที่จาเป็นต้องพิจารณาคือการวิเคราะห์โครงสร้างจากน้าหนักบรรทุกหรือ
แรงต่าง ๆ ที่กระทาต่อโครงสร้าง เพื่อ วิเคราะห์หาแรงภายในต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้แก่ แรงตามแนวแกน ( ) โมเมนต์ดัด ( ) แรง
เฉือน ( ) และโมเมนต์บิด ( ) แล้วจึงออกแบบขนาดหน้าตัดและการเสริมเหล็ก วัสดุทั้งคอนกรีตและเหล็กเสริม สามารถต้านทาน
หน่วยแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ หน่วยแรงอัดหรือหน่วยแรงดึง หน่วยแรงดัด หน่วยแรงเฉือนที่เกิดขึ้นจากแรง
เฉือน หน่วยแรงเฉือนจากโมเมนต์บิด เป็นต้น ดังนั้น การคานวณน้าหนักบรรทุกต่าง ๆ ทั้งน้าหนักบรรทุกคงที่ น้าหนักบรรทุกจร
แรงลม แรงแผ่นดินไหว แรงกระแทก หรือแรงอื่น ๆ ที่มากระทาต่อโครงสร้าง จึงมีความสาคัญที่จะต้องคานวณให้ถูกต้องตาม
เกณฑ์ขั้นต่าของมาตรฐานการออกแบบและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้งานอาคาร โดยน้าหนักที่กระทาต่อโครงสร้างประกอบ
ไปด้วยดังต่อไปนี้
หลังคา 50 กก./ตร.ม.
กันสาด หรือ หลังคาคอนกรีต 100 กก./ตร.ม.
ที่พักอาศัย โรงเรียนอนุบาล ห้องน้า,ส้วม 150 กก./ตร.ม.
อาคารชุด หอพัก โรงแรม 200 กก./ตร.ม.
สานักงาน ธนาคาร 250 กก./ตร.ม.
อาคารพาณิชย์ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน 300 กก./ตร.ม.
ห้องโถง บันได ทางเดิน ของอาคารชุด หอพัก โรงแรม 300 กก./ตร.ม.
ห้างสรรพสินค้า โรงมหรสพ หอประชุม ภัตตาคาร ที่จอดหรือ 400 กก./ตร.ม.
เก็บรถยนต์นั่ง
ห้ อ งโถง บั น ได ทางเดิ น ของอาคารพาณิ ช ย์ มหาวิ ท ยาลั ย 400 กก./ตร.ม.
วิทยาลัย โรงเรียน
คลังสินค้า พิพิธภัณฑ์ อัฒจันทร์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพิมพ์ 500 กก./ตร.ม.
ห้องเก็บเอกสารและพัสดุ
ห้ อ งโถง บั น ได ทางเดิ น ของห้ า งสรรพสิ น ค้ า โรงมหรสพ 500 กก./ตร.ม.
หอประชุม ภัตตาคาร และหอสมุด
ห้องเก็บหนังสือของหอสมุด 600 กก./ตร.ม.
(1.6a)
(1.6b)
1. กาลังที่ต้องการเพื่อต้านทานน้าหนักบรรทุกอย่างน้อยสุดจะต้องเท่ากับ
(1.9a)
2. ในกรณีของอาคารที่คิดแรงลมร่วมด้วย
(1.9b)
3. ในกรณีของอาคารที่คิดแรงจากแผ่นดินไหวกระทาร่วมด้วย
(1.9c)
หรือ
(1.9d)
4. ในกรณีอาคารรับแรงดันทางด้านข้างของดินและน้าใต้ดิน
เมื่อ D มีส่วนไปลดผลของ H
(1.9f)
เมื่อ L มีส่วนไปลดผลของ H
(1.9g)
เมื่อกาหนดให้
= น้าหนักประลัยสูงสุด ได้จากการรวมน้าหนักหรือแรงที่เพิ่มค่าแล้ว
= น้าหนักบรรทุกคงที่
= น้าหนักบรรทุกจร บวกด้วยแรงกระทา
= แรงลม
= แรงจากแผ่นดินไหว
= แรงดันด้านข้างของดินและน้าใต้ดิน
1.10 เอกสำรอ้ำงอิง
Homework /Assignment
2.1 บทนำ
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้เรียนรู้ความเข้าใจพื้นฐานของการออกแบบชิ้นส่วนของโครงสร้าง คสล. จากการศึกษาพฤติกรรมการรับ
แรงดัดของหน้าตัดคาน คสล.ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสาคัญในการศึกษาการออกแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก เนื่องจากโดยส่วนใหญ่ของ
โครงสร้างมักจะเกิดพฤติกรรมการดัดร่วมทั้ งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น พื้น บันได คาน เสาของอาคารที่รับแรงทางด้านข้าง ผนังกันดิน
หรือแม้แต่ฐานรากทั้งแบบฐานรากเดี่ยวหรือฐานรากร่วมที่รับเฉพาะแรงตามแนวแกนอย่างเดียว ก็ยังเกิดพฤติกรรมการดัด โดย
เนื้อหาในบทที่ 2 จะเน้นสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับคาน คสล. ในสภาวะต่าง ๆ ตั้งแต่การเริ่มต้นทดสอบจนกระทั่ง
คานวิบัติ ว่าหน่วยแรงและความเครียดเกิดขึ้นในวัสดุแต่ละชนิดอย่างไรบ้าง นอกจากนี้นักศึกษายังจะได้เข้าใจถึงพฤติกรรมของ
คาน คสล. ในกรณีที่เสริมเหล็กในปริมาณที่สูงหรือต่ากว่าเหล็กเสริมสมดุล ผลที่จะเกิดขึ้นในกรณี ที่เสริมเหล็กต่าหรือสูงกว่าสมดุล
การเสริมเหล็กแบบใดมีความเหมาะสมกว่ากัน
2.3 ข้อสมมุติฐำนเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีกำรดัดของคำน
ข้อสมมุติฐานที่สาคัญจานวน 6 ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษากาลังต้านทานการดัดของคาน คือ
1) ระนาบของหน้าตัดทั้งก่อนและหลังการดัดยังคงเป็นระนาบเดียวกัน นั่นคือการกระจายของหน่วยการยืด -
หดตัวในคอนกรีต เป็นสัดส่วนโดยตรงกับระยะที่ห่างจากแกนสะเทิน
2) ความเครียด (Strain) ที่เกิดขึ้นในคอนกรีตมีค่าเท่ากันกับความเครียดที่เกิดขึ้นในเหล็กเสริม ณ ตาแหน่ ง
เดียวกัน ซึ่งจะเป็นผลให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเหล็กเสริมกับคอนกรีตเพียงพอที่จะทาให้ไม่เกิดการลื่นไถลระหว่างทั้งสองวัสดุใน
ระหว่างที่มีแรงกระทาในสภาวะต่าง ๆ
กาลังรับแรงดึงที่แท้จริง
หน่วยแรงดึง,
(กก./ตร.ซม.)
ตามสมมุติฐานที่ใช้
ความเครียด,
(มม./มม.)
3) เราทราบความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยแรงและความเครียดทั้งของเหล็กเสริมและคอนกรีต
P/2 P/2
P/2
M+
คานที่เสริมเหล็กสูงกว่าสมดุล เหล็กเสริมถึงจุดคราก
(Over reinforced) คานที่เสริมเหล็กต่ากว่าสมดุล
(under reinforced)
ช่วงที่ 2
คอนกรีตใต้แกนสะเทินเริ่มแตกร้าว
ช่วงที่ 1
การโก่งตัวที่กึ่งกลางของคาน คสล. ( )
c
M N.A. d
d-c
Steel
b (n-1)As
M N.A. d
Steel
b
(2.1a)
c=kd
M > Mcr d N.A.
d-kd n As
Steel
b b
ปริมำณเหล็กเสริมต่ำสุด
ในสภาวะนี้ เมื่อคาน คสล. เริ่มเกิดรอยร้าว คอนกรีตที่อยู่ใต้แกนสะเทินจะถ่ายหน่วยแรงดึงให้กับเหล็กเสริมทันที ดังนั้น
ปริมาณเหล็กเสริมที่ใช้เสริมเพื่อให้รับโมเมนต์ดัดจะต้องมีปริมาณอย่างน้อยที่เพียงพอในการป้องกันการวิบัติแบบทันทีทันใด โดยที่
ปริมาณเหล็กเสริมขั้นต่าที่ต้องใช้เสริมในคาน คสล. เราสามารถพิจารณาได้จากการสมมุติให้หน่วยแรงดึงในเหล็กเสริมมีกาลังถึงจุด
คราก ดังต่อไปนี้
(2.2a)
เมื่อ (2.2b)
จะได้
หรือ (2.2c)
(2.2d)
หรือ
(2.2e)
- (2.2f)
ให้ใช้
dy C
c f
y N.A.
h d yt
d-c
fs T
b
สมดุลของแรงคู่ควบ (2.3a)
โมเมนต์ดัดทีเ่ กิดขึ้นภายในหน้าตัดคานจะเท่ากับแรงคูณด้วยแขนของแรง
(2.3b)
แรงดึงลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในเหล็กเสริมมีค่าเท่ากับ
(2.3c)
โดยที่ As คือพื้นที่หน้าตัดของเหล็กเสริม และ คือความเค้นดึงที่เกิดขึ้นในเหล็กเสริม ในขณะที่แรงอัดลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับ
คอนกรีตเหนือแกนสะเทินสามารถหาได้จากการอินทิเกรทหน่วยแรงอัดเหนือแกนสะเทิน โดยพิจารณาจากแถบซึ่งมีความกว้าง
เท่ากับ ที่มีพื้นที่เล็ก ๆ เท่ากับ โดยมีระยะห่างจากแกนสะเทินเท่ากับ และความเครียด ณ จุดดังกล่าวมีค่า
เท่ากับ X ดังนั้นแล้ว แรงอัดลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจะหาได้จาก
(2.3d)
=0.003
C
c a=
N.A.
h d (d-a/2)
As
b
T = As T = Asfs
fs
(a) รูปตัดคาน คสล. (b) ความเครียด (c) หน่วยแรงอัดจริง (d) หน่วยแรงอัดที่สมมุติ
ภำพที่ 2.9. การกระจายของหน่วยแรงอัดที่แท้จริงและหน่วยแรงอัดเทียบเท่า ณ จุดวิบัติ
(2.4)
c= kud a=
N.A.
h d jud = (d-a/2)
d-c
As
fs T = Asfs
b
สมดุลของแรง = จะได้
ย้ายข้างสมการ จะได้
ความลึกของการกระจายหน่วยแรงอัดเทียบเท่า, (2.5c)
(2.5d)
(2.6a)
(2.6b)
หรือถ้าคานวณจากแรงอัดลัพธ์ในคอนกรีต จะได้
(2.6c)
เมื่อนาค่า จากสมการ 2.5C แทนค่าลงในสมการที่ 2.6b และ 2.6C จะได้ กาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุด เท่ากับ
หรือ (2.6d)
c a
N.A.
h d (d-a/2)
d-c
As
0.003
b T = Asfs
(a) กราฟหน่วยแรง-ความเครียด (b) รูปตัดคาน (c) หน่วยการยืด-หดตัว (d) หน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริง (e) แรงคู่ควบ
ภำพที่ 2.11 พฤติกรรมของคาน คสล. ที่เกิดการวิบตั ิในสภาวะสมดุล
จากสมดุลของแรง = จะได้
(2.7a)
A
c= kud
N.A. O B
h d
d-c
As
D C
b
(2.7d)
แทนค่า จากสมการที่ 2.7d ลงในสมการ 2.7b และค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็ก, Es = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม. จะได้
(2.7e)
ผิวคอนกรีตบริเวณรับแรงอัด
T : Tension failure
cb B : Balanced condition
C : Compression
failure
d C
T B
ศูนย์กลางของเหล็กเสริมรับแรงดึง
c a
N.A.
h d (d-a/2)
d-c
As
0.003
b T = Asfs
(a) กราฟหน่วยแรง-ความเครียด (b) รูปตัดคาน (c) หน่วยการยืด-หดตัว (d) หน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริง (e) แรงคู่ควบ
ภำพที่ 2.14 พฤติกรรมของคาน คสล. ที่เกิดการวิบตั ิโดยแรงดึง
(2.8a)
โดยแทนค่า
กาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุด
(2.8b)
หรือ (2.8c)
c a
N.A.
h d (d-a/2)
d-c
As
0.003
b T = Asfs
(a) กราฟหน่วยแรง-ความเครียด (b) รูปตัดคาน (c) หน่วยการยืด-หดตัว (d) หน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริง (e) แรงคู่ควบ
ภำพที่ 2.15 พฤติกรรมของคาน คสล. ที่เกิดการวิบตั ิโดยแรงอัด
หรือ = (2.9a)
= หรือ (2.9b)
(2.9c)
(2.9d)
(2.9e)
แก้สมการกาลังสองจะได้ว่า
(2.9f)
ดังนั้นเราสามารถหาตาแหน่งแกนสะเทินได้จาก ของการวิบัติแบบแรงอัดซึ่งสามารถนาไปคานวณหาค่า
และ ได้ ทาให้เราสามารถหากาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุดของหน้าตัดคาน คสล.ที่เสริมเหล็กสูงกว่าสมดุลได้จาก
(2.9g)
2.6 แรงเฉือนที่เกิดขึ้นในคำน
2.6.1 แรงเฉือนและพฤติกรรมของแรงเฉือน
คานเป็นโครงสร้างทีว่ างอยูใ่ นแนวราบและรับน้าหนักบรรทุกกระทาในแนวตั้งฉากกับแกนของคาน คือ แกน x ดังแสดง
ในภาพที่ 2.16 เมื่อน้าหนักบรรทุกหรือแรงภายนอกที่มากระทาต่อคานนอกจากจะทาให้คานเกิดการดัดแล้ว ยังทาให้เกิดการเฉือน
ทั้งในแนวดิ่งและแนวนอน น้าหนักบรรทุกหรือแรงเหล่านี้จะพยายามเฉือนคานในแนวดิ่งเพียงอย่างเดียว ดังแสดงในภาพที่ 2.16
การเฉือนในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นแม้ว่าจะไม่มีการดัดของคาน แต่ในความเป็นจริงเมื่อคานรับน้าหนักบรรทุกกระทาคานจะเกิดการ
ดัด ทาให้ด้านหนึ่งของแกนสะเทินเกิดการดึงและอีกด้านตรงข้ามเกิดการอัด จากเหตุดังกล่าวทาให้แต่ละด้านของระนาบสะเทินจะ
เกิดการไถลลื่นในทิศทางตรงกันข้ามที่เคยติดกัน เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ สามารถแสดงให้เห็นได้โดยการนาแผ่นไม้กระดานที่ไม่ยึด
ติดกันวางซ้อนกันหลาย ๆ แผ่น ดังแสดงในภาพที่ 2.17 เมื่อมีแรงกระทาที่กึ่งกลางช่วง การดัดที่เกิดขึ้นทาให้แผ่นกระดานที่อยู่
ด้านล่างยืดมากกว่าแผ่นที่อยู่ด้านบนถัดมา เป็นผลให้แต่ละแผ่นเคลื่อนอิสระจากกัน แต่ในกรณีที่คานเป็นวัสดุเนื้อเดียวกันก็จะเกิด
ความต้านทานต่อการลื่นไถลออกจากกัน ความต้านทานที่ว่านี้ก็คือหน่วยแรงเฉือนในแนวนอนนั่นเอง
การเลื่อนไถลของไม้กระดานแต่ละแผ่น
ภำพที่ 2.17 การเฉือนที่เกิดขึ้นในคานในแนวนอน
1) หน่วยแรงเฉือนของคานที่ไม่มีเหล็กเสริมรับแรงเฉือน ( )
(2.10a)
2) หน่วยแรงเฉือนของตงที่ไม่มีเหล็กเสริมรับแรงเฉือน ( )
(2.10b)
3) หน่วยแรงเฉือนขององค์อาคารเสริมเหล็กลูกตั้งหรือเหล็กคอม้า ( )
(2.10c)
4) หน่วยแรงเฉือนของแผ่นพื้นและฐานราก ( )
(2.10d)
(2.11a)
(2.11b)
2.7 สรุปเนื้อหำ
2.8 เอกสำรอ้ำงอิง
3.1 บทนำ
ในบทนี้นักศึกษาจะได้ศึกษาและทาความเข้าใจขั้นตอนของการออกแบบ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อกาหนดประกอบการ
ออกแบบ (Design criteria) และตัวแปรของการออกแบบ (Parameter) ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบทั้งวิธีหน่วยแรงใช้งาน
(WSD) และวิธีกาลัง (SDM) การคิดวิเคราะห์หาแรงภายในที่เกิดขึ้นในชิ้นส่วนหรือโครงสร้าง คสล. ทั้งสองวิธี และเมื่อได้แรง
ภายในแล้วจึงนาแรงภายในสูงสุดไปออกแบบขนาดหน้าตัดและการเสริมเหล็กให้เพียงพอต่อการต้านทานแรงภายในได้อย่าง
ปลอดภัยในทุก ๆ หน้าตัด
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) WSD หรือ SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , ....................... กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม ,
SR24 กาลังรับแรงดึง ณ จุดคราก 2,400 กก./ตร.ซม.
SD30 กาลังรับแรงดึง ณ จุดคราก 3,000 กก./ตร.ซม.
SD40 กาลังรับแรงดึง ณ จุดคราก 4,000 กก./ตร.ซม.
SD50 กาลังรับแรงดึง ณ จุดคราก 5,000 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, ....................... ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด ....................... ซม.
(เพื่อหาระยะเรียงของเหล็กเสริม)
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , กก./ตร.ซม.
8. กาลังอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต , ....................... กก./ตร.ซม.
9. กาลังรับแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเสริม , ....................... กก./ตร.ซม.
10. น้าหนักบรรทุกคงที่
คอนกรีต 2,400 กก./ลบ.ม.
น้าหนักวัสดุตกแต่งผิวพื้น 90 กก./ตร.ม.
เป็นต้น
11. น้าหนักบรรทุกจร
พื้นใช้งานทั่วไป 200 กก./ตร.ม.
พื้นทางเดิน โถงบันได และบันได 300 กก./ตร.ม.
หลังคา 50 กก./ตร.ม.
กันสาด คสล. 100 กก./ตร.ม.
จอดรถส่วนบุคคล 400 กก./ตร.ม.
เป็นต้น
หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของวิศวกรโครงสร้างที่จะต้องคานวณออกแบบโครงสร้าง โดยเริ่มต้นจากการทดลองกาหนดขนาด
หน้าตัดของโครงสร้างและสร้างแบบจาลองเพื่อวิเคราะห์โครงสร้าง เมื่อได้แรงภายในในแต่ละหน้าตัด จึงนาแรงภายในสูงสุดไป
ออกแบบและตรวจสอบเงื่อนไขการออกแบบ ถ้าหากเป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกาหนดการออกแบบจึงเขียนแบบและรายละเอียด
ของโครงสร้าง แต่ถ้าหากไม่ผ่านตามเงื่อนไขการออกแบบก็จะทดลองโดยกาหนดขนาดใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การออกแบบที่
เหมาะสมจาเป็นจะต้องดาเนินการตามวงรอบการออกแบบ (Design loop) จานวนไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง เพื่อให้ได้ขนาดหน้าตัดและ
ปริมาณการเสริมเหล็กที่มีความเหมาะสม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการออกแบบที่เหมาะสมที่สุด (Optimization) ทั้งในแง่ของ
ความเหมาะสมในสภาวะใช้งาน การออกแบบหน้าตัดที่มีความประหยัด (Lowest direct cost) มักจะต้องออกแบบโดยทดลอง
เปลี่ยนหน้าตัดหลาย ๆ ขนาดหน้าตัดเพื่อคานวณตรวจสอบค่าก่อสร้างทางตรงที่ต่าที่สุด เพื่อให้ได้หน้าตัดที่ดีที่สุด
แบบโครงสร้าง ช่างเขียนแบบ
แบบสถาปัตยกรรม สถาปนิก & เจ้าของ
สอดคล้อง
รายละเอียดแบบโครงสร้าง วิศวกร
เลือกระบบโครงสร้าง วิศวกร และรายการประกอบแบบ
ผ่าน
สร้างแบบจาลองของโครงสร้าง ไม่ผา่ น ตรวจสอบเงื่อนไข
(ทดลองกาหนดขนาดหน้าตัด) การออกแบบ
วิเคราะห์โครงสร้าง วงรอบการออกแบบ
(หาแรงภายในที่เกิดขึ้นในแต่ละหน้าตัด)
ออกแบบชิ้นส่วนของโครงสร้าง
(ใช้แรงภายในค่าสูงสุด)
kd/3
c= kd
N.A.
h d jd
d-kd
As
T = Asfs
b
ในขณะที่การออกแบบโดยวิธีกาลังเราใช้พฤติกรรมการดัดของคานในช่วงสภาวะกาลังประลัยในการออกแบบหรือ
วิเคราะห์หากาลังประลัยของหน้าตัดคานโดยใช้การกระจายของหน่วยแรงอัดตามข้อเสนอของ Whitney นั่นคือหน่วยแรงอัดรูป
สี่เหลี่ยมผืนผ้าเทียบเท่า ดังแสดงในภาพที่ 3.2 โดยน้าหนักบรรทุกที่กระทาเป็นน้าหนักบรรทุกที่เพิ่มค่าโดยตัวคูณน้าหนักบรรทุก
แล้ว
c= kud a=
N.A.
h d jud = (d-a/2)
d-c
As
b
fsu T = Asfs
Ideal x=kd C
d e f T
= (3.1)
x kd
jd d d
3 3
หรือ
k
j 1 (3.2)
3
จัดใหม่ให้อยู่ในรูปของ
(3.3)
จะได้
(3.4)
และเช่นเดียวกัน เมื่อให้โมเมนต์ดัด ที่เกิดขึ้นจริงในหน้าตัด ซึ่งสามารถต้านทานได้โดยเหล็กเสริม มีค่าเท่ากับ
ซึ่งจะได้
(3.5)
Parameter
= ...................... (จานวนเต็ม)
= .....................
= .....................
= .....................
= .....................
น้าหนักบรรทุกใช้งานสูงสุดที่ได้จากกรณีข้างต้น จะต้องเป็นน้าหนักบรรทุกสูงสุดที่นาไปใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างเพื่อ
หาแรงภายในสูงสุดที่เกิดขึ้นในชิ้นส่วนโครงสร้างเพื่อนาไปออกแบบขนาดหน้าตัดและการเสริมเหล็กโดยวิธีหน่วยแรงใช้งานต่อไป
อย่างไรก็ตามในกรณีของโครงสร้างที่รับแรงลม หรือแรงแผ่นดินไหว มาตรฐานการออกแบบยินยอมให้เพิ่มค่าหน่วยแรง
ใช้งานเพิ่มขึ้นได้อีก ร้อยละ 33 แทนการใช้ตัวคูณ 0.75 ดังที่ปรากฏในสมการที่ 3.7 ข้างต้น
5.00 m. S1
B1
ทดลองความลึกของคาน (h) = L/10 = 500/10 = 50 ซม. และ ความกว้าง (b) = h/2 = 50/2 = 25 ซม.
น้าหนักที่กระทาต่อคาน (w) ประกอบด้วย
1) น้าหนักบรรทุกคงที่ (DL) ประกอบด้วย
- น้าหนักคาน คสล. B1 = 0.25x0.50x2,400 = 300 kg./m.
- น้าหนักแผ่นพื้น คสล. S1 = (5x5x0.15x2,400)/(4x5) = 450 kg./m.
2) น้าหนักบรรทุกจร (LL) ประกอบด้วย
- น้าหนักน้า = 4x2,000/(4x5) = 400 kg./m.
รวมน้าหนักบรรทุกกรณีที่ 1
= (300+450)+400 = 1,150 kg./m.
L= 5.0 m.
M+max. = wL2/8 = 1,150(5)2/8 = 3,594 kg.-m.
Vmax. = wL/2 = 1,150(5)/2 = 2,875 kg.
3.5.3 กำรออกแบบโครงสร้ำงโดยวิธีหน่วยแรงใช้งำน
การออกแบบโดยวิธีหน่วยแรงใช้งานถือได้ว่าเป็นวิธีการออกแบบที่ได้รับความนิยมมายาวนาน และยังคงได้รับความนิยม
ใช้วิธีนี้มากกว่าวิธีกาลัง แม้ว่าวิธีกาลังสามารถออกแบบได้ประหยัดมากกว่าก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากการออกแบบโดยวิธีหน่วยแรงใช้
งานเป็นวิธีการออกแบบที่ง่ายกว่า และมีความปลอดภัยสูงกว่า การคานวณออกแบบโดยวิธีหน่วยแรงใช้งานอาศัยหลักการทฤษฎี
เส้นตรง (Straight line theory) หรือทฤษฎีอีลาสติกที่สมมุติให้การกระจายของหน่วยแรงบนรูปตัดของส่วนโครงสร้างเป็นเส้นตรง
และมีค่าเป็นสัดส่วนโดยตรงกับหน่วยการยืดหดตัวของวัสดุนั้น ๆ นั่นคือถือว่าชิ้นส่วนของโครงสร้างยังคงมีพฤติกรรมแบบยืดหยุ่น
ในขณะที่รับน้าหนักบรรทุกใช้งาน
การออกแบบโดยวิธีหน่วยแรงใช้งานใช้หลักเกณฑ์ คือ หน่วยแรงที่เกิดขึ้นในชิ้นส่วน (Working stress, f) ภายใต้น้าหนัก
บรรทุกใช้งานจริง (Service load) ต้องมีค่าไม่เกินกว่าค่าของหน่วยแรงที่ยอมให้ (Allowable stress, F) ตามข้อกาหนด โดยที่
หน่วยแรงที่ยอมให้สามารถหาค่าได้จากการหารกาลังสูงสุดของวัสดุนั้น ๆ ด้วยอัตราส่วนปลอดภัย (Factor of Safety, F.S.) ไม่
น้อยกว่า 2.0
นอกจากนี้แล้ว การออกแบบโครงสร้างโดยวิธีหน่วยแรงใช้งานจะต้องให้หน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริงในโครงสร้างต้องน้อยกว่า
หน่วยแรงที่ยอมให้ทุกประเภทของหน่วยแรง อาทิเช่น หน่วยแรงดัด หน่วยแรงเฉือน โมเมนต์บิด หรือแรงตามแนวแกน หรือ
ชิ้นส่วนที่รับแรงดัดร่วมกับแรงตามแนวแกน โดยตั้งแต่บทที่ 4 เป็นต้นไปนักศึกษาจะได้ทดลองออกแบบชิ้นส่วนต่าง ๆ โดยละเอียด
ต่อไป
ทดลองขนาดคานที่เล็กลง
b = 0.15 m., h = 0.40 m. --> MR = 3,438 kg.-m. > Mmax. = 3,106 kg.-m. O.K.
b = 0.15 m., h = 0.45 m. --> MR = 4,577 kg.-m. > Mmax. = 3,162 kg.-m. O.K.
= = 6.37 sq.cm.
(ปริมาณเหล็กเสริมที่เพียงพอต่อการต้านทานการดัดที่เกิดขึ้นจริงของคาน)
เขียนแบบและรำยละเอียดกำรเสริมเหล็ก
2-DB12mm.(Main)
0.40 m. ป-RB6mm.@0.18m.
3-DB12mm.(Ext.)
3-DB12mm.(Main)
0.15 m.
1. กาลังที่ต้องการเพื่อต้านทานน้าหนักบรรทุกอย่างน้อยสุดจะต้องเท่ากับ
(3.9a)
2. ในกรณีของอาคารที่คิดแรงลมร่วมด้วย
(3.9b)
3. ในกรณีของอาคารที่คิดแรงจากแผ่นดินไหวกระทาร่วมด้วย
(3.9c)
หรือ
(3.9d)
4. ในกรณีอาคารรับแรงดันทางด้านข้างของดินและน้าใต้ดิน
(3.9e)
เมื่อ มีส่วนไปลดผลของ
(3.9f)
เมื่อ L มีส่วนไปลดผลของ H
(3.9g)
เมื่อกาหนดให้
= น้าหนักประลัยสูงสุด ได้จากการรวมน้าหนักหรือแรงที่เพิ่มค่าแล้ว
= น้าหนักบรรทุกคงที่
= น้าหนักบรรทุกจร บวกด้วยแรงกระทา
= แรงลม
= แรงจากแผ่นดินไหว
= แรงดันด้านข้างของดินและน้าใต้ดิน
c a=
N.A.
h d jud = (d-a/2)
d-c
As
0.003
b T = As
fs
(a) กราฟหน่วยแรง-ความเครียด (b) รูปตัดคาน (c) หน่วยการยืด-หดตัว (d) หน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริง (e) แรงคู่ควบ
ภำพที่ 3.5 พฤติกรรมของคาน คสล. ที่เกิดการวิบัติในสภาวะสมดุล
แนวคิดทั่วไปในการออกแบบคาน คสล. ก็คือให้เกิดการวิบัติด้านแรงดึง โดยเสริมเหล็กรับแรงดึงให้ต่ากว่าสมดุล เพื่อให้
เหล็กเสริมรับแรงดึงถึงจุดครากก่อน ซึ่งจะเป็นการป้องกันการวิบัติแบบทันทีทันใด
ดังนั้นแล้ว กาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุด ของคาน คสล. จะขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของเหล็กเสริมรับแรงดึง ถ้าหาก
ใช้อัตราส่วนของเหล็กเสริมรับแรงดึง มีค่าน้อยกว่าอัตราส่วนที่สภาวะสมดุล ในสมการที่ 2.7e คานจะวิบัติที่แรงดึงก่อน
(Tension failure) โดยเหล็กเสริมมีกาลังรับแรงดึงจนถึงจุดคราก ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากเราเสริมเหล็กเสริมรับแรงดึงใน
อัตราส่วนที่สูงกว่า คานจะวิบัติที่ด้านรับแรงอัด (Compression failure) โดยคอนกรีตถูกอัดแตก (Crushing) ก่อนที่เหล็กเสริมรับ
แรงดึงจะถึงจุดคราก
กาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุดของคาน
(3.8a)
หรือ
(3.8b)
ความลึกของการกระจายหน่วยแรงอัดเทียบเท่า, เมื่อเกิดการวิบัติด้านแรงดึง
หรือระยะ (3.8c)
หรือ (3.8d)
ดังนั้น โมเมนต์ที่ใช้ในการออกแบบ =
(3.8g)
(3.8h)
Parameter
= .............................
= .............................
= .............................
โดยที่ = .............................
= .............................
= .............................
= .............................
= .............................
5.00 m. S1
B1
น้าหนักที่กระทาต่อคาน ประกอบด้วย
1) น้าหนักบรรทุกคงที่ ( ) ประกอบด้วย
- น้าหนักคาน คสล. B1 = 0.25x0.50x2,400 = 300 kg./m.
- น้าหนักแผ่นพื้น คสล. S1 = (5x5x0.15x2,400)/(4x5) = 450 kg./m.
2) น้าหนักบรรทุกจร ( ) ประกอบด้วย
- น้าหนักน้า = 4x2,000/(4x5) = 400 kg./m.
รวมน้าหนักบรรทุกประลัยกรณีที่ 1
= 1.4(300+450)+1.7(400) = 1,730 kg./m.
วิเคราะห์โครงสร้าง
U = 1,730 kg./m.
L= 5.0 m.
โมเมนต์ดัดประลัยเกิดขึ้นที่กึ่งกลางคาน
แรงเฉือนประลัยเกิดขึ้นที่บริเวณใกล้จุดรองรับ
การออกแบบโดยวิธีกาลัง = และ
หรือสามารถประหยัดได้มากกว่าร้อยละ 6
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 240 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = 202,588 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง สาหรับแรงดัด = 0.90
9. น้าหนักบรรทุกคงที่
คอนกรีต = 2,400 กก./ตร.ม.
10. น้าหนักบรรทุกจร
พื้นรับถังเก็บน้า = 320 กก./ตร.ม.
Parameter
= 0.85
= 0.0388
= 0.0047
= 0.0291
โดยที่ = 0.0100
= 6.91 cm.
= 0.926
= 27.79 ksc.
ออกแบบขนาดคาน คสล.
ดังนั้น โมเมนต์ที่สามารถต้านทานได้โดยคอนกรีต
= 0.90*27.79*0.25*(50-3-1.2/2)2 = 13,460 kg.-m. > Mu
OK.
= = 4.91 sq.cm.
2-DB12mm.(Main)
0.40 m. ป-RB6mm.@0.18m.
2-DB12mm.(Ext.)
2-DB12mm.(Main) + 1-DB12mm.(Ext.)
0.15 m.
3.8 สรุปเนื้อหำ
Homework /Assignment
4.1 บทนำ
ในระบบโครงสร้างของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นระบบพื้น-คาน หรือพื้นไร้คาน นับได้ว่าพื้น เป็นชิ้นส่วน
โครงสร้างแรกสุดที่ต้องรับน้าหนักบรรทุกจากการใช้งานอาคารซึ่งประกอบไปด้วยน้าหนักบรรทุกคงที่และน้าหนักบรรทุกจร แล้วส่ง
ถ่ายน้าหนักต่อไปยังส่วนโครงสร้างอื่น ๆ ได้แก่ ตง หรือคาน หรือผนัง เพื่อส่งถ่ายน้าหนักต่อไปยังเสาและฐานรากต่อไป พฤติกรรม
การรับน้าหนักของพื้นเมื่อถูกแรงกระทาจะคล้ายกับพฤติกรรมการดัดของคาน โดยการออกแบบจะต้องให้สามารถต้านทานทั้ง
โมเมนต์ดัด แรงเฉือนและโมเมนต์บิดที่เกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย
(c) พื้นระบบตงสองทาง
ภำพที่ 4.1 แปลนและรูปตัดแสดงตัวอย่างระบบแผ่นพื้นไร้คาน
S S
DB12mm.@0.25m
DB12mm.@0.15m
.
. t = ความหนาพื้น
L = ระยะยื่นของพื้นยื่น
พื้นเสริมเหล็กสองทำง
1) ความหนาของพื้น > (2S+2L)/180
เมื่อ S = ความยาวพื้นสองทางด้านสั้น (หน่วย : เมตร)
L = ความยาวพื้นสองทางด้านยาว (หน่วย : เมตร)
2) ความหนาพื้นจะต้องไม่น้อยกว่า 0.08 เมตร
ระยะเรียงของเหล็กเสริมในพื้น
1) ระยะเรียง (@) ของเหล็กเสริมในพื้น (c/c) จะต้องไม่ห่างเกินกว่า 3 เท่าของความหนาพื้น (t)
หรือไม่เกิน 45 ซม. ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ 4.8
t = ความหนาพื้น
ตัวอย่ำงที่ 4.1 ให้ออกแบบพื้นยื่น SC3 ที่ใช้เป็นกันสาด คสล. ตามแปลนโครงสร้าง ดังแสดงในภาพที่ 4.9 และเขียน
รายละเอียดการเสริมเหล็ก
Parameter
1. = 11.41 = 11
2. = 0.366
3. = 0.878
4. = 0.5*63*0.366*0.878 = 10.12 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คานวณความหนาเบื้องต้นของพื้น (t) = L/10 = 1.60/10 = 16 ซม.
ทดลองความหนา = 15 ซม.
W = 460 kg./m.
L = 1.60 m.
5. โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่จุดรองรับ (M-max.)
M-max = WL2/2 = 460x1.62/2 = 588.8 กก.-ม.
6. แรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุด
Vmax = WL = 460x1.6 = 736 กก.
2. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
2.1) เหล็กเสริมเอก (Main rebar) วางตั้งฉากกับแนวคาน B4T
As = = 4.66 ตร.ซม.
3. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ของคอนกรีต vc = = = 3.43 กก./ตร.ซม.
= = 22.58 กก./ตร.ซม.
RB12mm.@0.30m.(Temp. steel)
RB12mm.@0.225m.(Main)
t = 0.15 m.
ระยะฝัง > 0.33 ม.
L = 1.60 m.
CL คาน คสล.
ภำพที่ 4.10 รูปตัดขยายพื้นยื่น SC3
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 140 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 178,665 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 63 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
9. ขนาดวัสดุมวลรวมหยาบใหญ่สดุ = 2.0 ซม.
Parameter
1. = 11
2. = 0.316
3. = 0.894
4. = 0.5*0.894*0.316*63 = 8.89 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คานวณความหนาเบื้องต้นของพื้น (t) = L/24 = 200/24 = 8.33 ซม.
ทดลองความหนา = 12.5 ซม.
L= 2.0 m.
6.2) แรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุด
ขั้นตอนกำรออกแบบ
2. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
2.1) เหล็กเสริมเอก (Main rebar) วางขนานกับ Grid Line A และขนานกับ Grid line B
As = = 5.22 ตร.ซม.
3. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
1.0 m.
L = 2.50 m. L = 2.50 m.
5.15 m. 1.90 m.
4.5 Ton 17.5 Ton 8.5 Ton 8.5 Ton
TL = 5.75 m.
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของคอนกรีต เท่ากับ 240 กก./ตร.ซม. , เหล็กเสริมชั้นคุณภาพ SD40 ระยะหุ้มของคอนกรีต 4.0 ซม.
ท่อระบายน้าดังกล่าวใช้เป็นคลองระบายน้าที่ยินยอมให้รถบรรทุก 10 ล้อ รวมน้าหนักบรรทุกไม่เกิน 25 ตัน ผ่าน
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 140 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 178,665 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 63 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
Parameter
1. = 11
2. = 0.316
3. = 0.894
4. = 0.5*63*0.316*0.894 = 8.89 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คานวณความหนาขั้นต่าของพื้น (t) =(2S+2L)/180 = (2*200+2*300)/180 = 5.55 ซม.
ทดลองความหนา = 10 ซม.
2. คานวณน้าหนักบรรทุกคงที่ (DL) ประกอบด้วย
น้าหนักของแผ่นพื้นหนา 0.10 ม. = 0.10x2,400x1.0 = 240 กก./ม.
น้าหนักฝ้าเพดาน = 30x1.0 = 30 กก./ม.
3. น้าหนักบรรทุกจร (LL) = 6,000/(2x3) = 1,000 กก./ตร.ม.
4. น้าหนักบรรทุกรวม (W) = DL + LL = 240+30+1,000(1.0) = 1,270 กก./ม.
5. ตรวจสอบอัตราส่วน m = S/L = 2.0/3.0 = 0.67
6. คานวณโมเมนต์สูงสุดทีต่ ้องออกแบบในแต่ละตาแหน่งของพื้น
ด้ำนที่ต่อเนื่อง
ขั้นตอนกำรออกแบบ
1. โมเมนต์ทตี่ ้านทานโดยคอนกรีต (MR)
2. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
2.1) เหล็กเสริมด้านสั้น
2.1.1) เหล็กเสริมเพื่อรับโมเมนต์บวกที่กึ่งกลางช่วง
2.1.2) เหล็กเสริมเพื่อรับโมเมนต์ลบที่ด้านซึ่งไม่ต่อเนื่องกัน
2.1.3) เหล็กเสริมเพื่อรับโมเมนต์ลบที่ด้านซึ่งต่อเนื่องกัน
2.2.1) เหล็กเสริมเพื่อรับโมเมนต์บวกที่กึ่งกลางช่วง
2.2.2) เหล็กเสริมเพื่อรับโมเมนต์ลบที่ด้านซึ่งไม่ต่อเนื่องกัน
2.2.3) เหล็กเสริมเพื่อรับโมเมนต์ลบที่ด้านซึ่งต่อเนื่องกัน
3. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
การถ่ายน้้าหนักให้กับคานที่รองรับของพื้นสองทาง
น้าหนักบรรทุกทั้งหมดของแผ่นพื้นสองทางจะถูกกระจายไปลงคานที่อยู่โดยรอบทั้งสี่ด้าน โดยอาศัยการลากเส้นจากมุม
ทั้ง 4 ด้านของพื้นทามุม 45 องศา ดังแสดงในภาพที่ 4.15 น้าหนักทั้งหมดของแผ่นพื้นจะกระทาต่อคานด้านสั้นและคานด้านยาว
ตามสมการที่ 4.2 และ 4.3 ตามลาดับ
45o S
เมื่อ อัตราส่วนด้านสั้นต่อด้านยาว
(4.3a)
(4.3b)
4.4.1 กำรออกแบบพื้นยื่นวำงบนคำน
เช่นเดียวกันกับการออกแบบพื้นยื่นโดยวิธีหน่วยแรงใช้งาน พฤติกรรมของพื้นยื่นจะคล้าย ๆ กับพฤติกรรมการดัดของ
คาน ดังนั้นแล้ว การออกแบบพื้นยื่นก็เหมือนกับการออกแบบคานยื่น โดยที่คิดความกว้างของพื้นยื่นเท่ากับ 1.0 เมตร และความ
ลึกของหน้าตัดเท่ากับความหนาของพื้นยื่น ปริมาณการเสริมเหล็กก็ให้คิดต่อความยาว 1.0 เมตรของพื้นยื่น ดังแสดงในภาพที่ 4.19
b = ความกว้างที่ใช้
ออกแบบ = 1.00 m.
L = ความยาวพื้นยื่น
CL คาน คสล.หรือผนัง คสล.
t = ความหนาพื้นยื่น
ตัวอย่ำงที่ 4.5 ให้ออกแบบพื้นยื่น SC3 ที่ใช้เป็นกันสาด คสล. ตามตัวอย่างที่ 4.1 โดยใช้วิธีกาลัง และเขียนรายละเอียดการ
เสริมเหล็ก โดยใช้ข้อกาหนดการออกแบบเช่นเดียวกันกับตัวอย่างที่ 4.1
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 140 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SR24 , = 2,400 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = = 178,665 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง
สาหรับแรงดัด = 0.90
สาหรับแรงเฉือน = 0.85
Parameter
= 0.85
= 0.0303
= 0.0058
โดยที่ = 0.0059
= 1.13 ซม.
= 0.940
= 13.32 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คานวณความหนาเบื้องต้นของพื้น (t) = L/10 = 1.60/10 = 16 ซม.
= 16 = 11.88 ซม.
ทดลองความหนา = 12.5 ซม.
เลือกใช้เหล็ก RB12mm.@0.35 m. < (3t) (As = 3.23 ตร.ซม. > 3.125 ตร.ซม.) O.K.
3. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
หน่วยแรงเฉือนที่คอนกรีตสามารถต้านทานได้
เขียนแบบและรำยกำรประกอบแบบ
ขนาดและรายละเอียดการเสริมเหล็กของพื้นยื่น SC3 ดังแสดงในภาพที่ 4.20
RB12mm.@0.35m.(Temp. steel)
RB12mm.@0.20m.(Main)
t = 0.125 m.
ระยะฝัง > 0.35 ม.
L = 1.60 m.
CL คาน คสล.
ภำพที่ 4.20 รูปตัดขยายพื้นยื่น SC3 ออกแบบโดยวิธีกาลัง
Temp. steel
L/4 L/3
1.0 m.
L = 2.50 m. L = 2.50 m.
5.15 m. 1.90 m.
4.25 Ton 17 Ton 8.5 Ton 8.5Ton
TL = 5.75 m.
กาหนดให้
กาลังอัดประลัยของคอนกรีต เท่ากับ 240 กก./ตร.ซม. , เหล็กเสริมชั้นคุณภาพ SD40 ระยะหุ้มของคอนกรีต 4.0 ซม.
ท่อระบายน้าดังกล่าวใช้เป็นคลองระบายน้าที่ยินยอมให้รถบรรทุก 10 ล้อ รวมน้าหนักไม่เกิน 25 ตัน ผ่าน
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 240 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 4.0 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = = 233,928 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง
สาหรับแรงดัด = 0.90
สาหรับแรงเฉือน = 0.85
9. น้าหนักบรรทุกคงที่ (DL)
คอนกรีต = 2,400 กก./ลบ.ม.
ผนังอิฐมอญครึ่งแผ่น = 180 กก./ตร.ม.
10. น้าหนักบรรทุกจร (LL)
รถบรรทุกรวมน้าหนักบรรทุก = 25,000 กก.
ขนาดของรถบรรทุก = 1.90x5.15 ตร.ม.
คิดเป็นน้าหนักกระจายของรถบรรทุก = 2,200 กก./ตร.ม.
= 0.85
= 0.0262
= 0.0035
โดยที่ :, = 0.0126
= 3.95 ซม.
= 0.876
= 44.16 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คานวณความหนาเบื้องต้นของพื้น (t) = L/24 = 2.5/24 = 10.5 ซม.
ทดลองความหนา = 20 ซม.
= = 18.08 ตร.ซม.
= = 8.54 ตร.ซม.
3. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
หน่วยแรงเฉือนที่คอนกรีตสามารถต้านทานได้
ทดลองความหนา = 0.30 ม.
SFD
Vu = 11,460 กก.
0.20 m.
0.30 m.
0.50 m. 1.50 m. 0.50 m. 0.50 m. 1.50 m. 0.50 m.
2.00 m.
2.50 m. 2.50 m.
จากปริ มาณเหล็ก เสริ มที่ คานวณได้ เราจั ด ระยะเรีย งเหล็ก เสริ มใหม่ เพื่ อ ให้ ง่า ยต่อ การทางาน โดยจั ดเหล็ ก เสริ ม
ดังต่อไปนี้
เหล็กล่าง (รับโมเมนต์บวก)
เหล็กเสริมหลัก DB16@0.20m.(วิ่งยาวตลอด)
เหล็กเสริมพิเศษ DB16@0.20m.(สลับกับเหล็กเสริมหลักเฉพาะช่วงกลางของพื้น ยาวไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร)
เหล็กเสริมกันแตก DB12@0.25m.
เหล็กบน (รับโมเมนต์ลบ)
เหล็กเสริมหลัก DB12@0.20m.(จากผนังริมนอกยาวไม่น้อยกว่า 0.83 เมตรรวมของอ )
เหล็กเสริมพิเศษ DB12@0.125m.(บริเวณเหนือผนังช่วงต่อเนื่อง ยาว 2.00 เมตร)
เหล็กเสริมกันแตก DB12@0.25m.
DB12mm.@0.25m.(Ext.) DB12mm.@0.125m.
DB12mm.@0.20m.
>0.75 m. >0.96 m.
0.30 m. 0.20 m.
DB16mm.@0.20m.(Ext.) L=1.50 m. สลับกับเหล็กเสริมหลัก
DB16mm.@0.20m.(Main)
2.50 m.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 240 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SR24 , = 2,400 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = = 233,928 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง
สาหรับแรงดัด = 0.90
สาหรับแรงเฉือน = 0.85
9. น้าหนักบรรทุกคงที่ (DL)
คอนกรีต = 2,400 กก./ลบ.ม.
ผนังอิฐมอญครึ่งแผ่น = 180 กก./ตร.ม.
10. น้าหนักบรรทุกจร (LL)
น้าหนักถังน้า = 1,800 กก./ตร.ม.
น้าหนักบรรทุกจรบนดาดฟ้า = 100 กก./ตร.ม.
น้าหนักฝ้าเพดาน = 0 กก./ตร.ม.
= 0.85
= 0.0519
= 0.0058
โดยที่ = 0.008
= 0.66 ซม.
= 0.953
= 18.29 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คานวณความหนาเบื้องต้นของพื้น (t) = (2S+2L)/180 = 4.08 ซม.
ทดลองความหนา = 10 ซม.
5. อัตราส่วนของพื้น = 0.75
Mu5(-), C4 = 0.0290
S= 1.575 m. S= 1.575 m.
ช่วงสั้น ช่วงยาว
ขั้นตอนกำรออกแบบโครงสร้ำง
1. ตรวจสอบความหนาพื้น
จากสมการ
2. ตรวจสอบการรับแรงเฉือน
= 3,744.3 กก.
= 4,571.3 กก.
O.K.
3. คานวณหาปริมาณการเสริมเหล็กในแต่ละตาแหน่ง
ทดลองเลือกใช้เหล็ก RB9mm.
= 688.21 กก.-ม.
= 17.82 กก./ตร.ซม.
= 5.11 ตร.ซม.
2. เหล็กเสริมรับโมเมนต์ลบด้านที่ไม่ต่อเนื่อง
= 344.1 กก.-ม.
= 8.91 กก./ตร.ซม.
= 3.80 ตร.ซม.
3. เหล็กเสริมรับโมเมนต์บวกที่ช่วงกลางของพื้น
= 521.02 กก.-ม.
= 17.82 กก./ตร.ซม.
= 0.0058 =
= 3.80 ตร.ซม.
= 256.53 กก.-ม.
= 8.93 กก./ตร.ซม.
= 3.28 ตร.ซม.
2. เหล็กเสริมรับโมเมนต์บวกที่ช่วงกลางของพื้น
= 389.22 กก.-ม.
= 13.54 กก./ตร.ซม.
= 0.0058 =
= 3.28 ตร.ซม.
เขียนแบบและรำยกำรประกอบแบบ
จากปริมาณเหล็กเสริมที่คานวณได้ เราจัดระยะเรียงเหล็กเสริมใหม่ เพื่อให้ง่ายต่อการทางาน ดังนี้
เหล็กบน
ช่วงสั้นด้านที่ต่อเนื่องใช้ RB9mm.@0.12 m. ช่วงสั้นด้านที่ไม่ต่อเนือ่ งใช้ RB9mm.@0.15 m.
ช่วงยาว RB9mm.@0.175 m.
เหล็กล่าง
RB9mm.@0.30 m. + RB9mm.@0.30 m.(เสริมพิเศษที่กลางช่วง) ทั้งช่วงสั้นและช่วงยาว
L L
S S
เหล็กบน เหล็กล่าง
ภำพที่ 4.27 แปลนการเสริมเหล็กพื้น RS2
A RB9mm.@0.15m. RB9mm.@0.12m.
S/4 S/3
0.10 m.
S/5 S/5
RB9mm.@0.30m.+RB9mm.@0.30m.(Ext.)
Short span (S)
2 RB9mm.@0.175m 1
L/4 .
L/4
0.10 m.
L/5 L/5
RB9mm.@0.30m.+RB9mm.@0.30m.(Ext.)
Long span (L)
4.6 เอกสำรอ้ำงอิง
Homework/Assignment
(ที่มา http://pre04.deviantart.net/436e/th/pre/f/2012/282/7/5/vitra_stair_by_marcelhieber-d5hbk8k.jpg)
5.1 บทนำ
ในอาคารชนิ ด ต่ า ง ๆ ไม่ ว่ า จะเป็ น อาคารบ้ า นพั ก อาศั ย หรื อ อาคารอื่ น ๆ ที่ มี ค วามสู งของอาคารมาก กว่ า ชั้ น เดี ย ว
จาเป็นต้องมีบันไดเป็นตัวเชื่อมระหว่างชั้นเพื่อสะดวกในการขึ้น-ลงระหว่างชั้น แม้ว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีการเดินทางโดยลิฟท์
ที่ทันสมัยหรือราคาถูกลงมากก็ตาม เนื่องจากข้อบังคับในด้านความปลอดภัยของอาคารที่จาเป็นต้องมีบันไดหนีไฟเพื่อใช้ในยาม
ฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุเพลิ งไหม้ โดยทั่วไปแล้วบันไดขึ้น -ลงอาคารจะถูกควบคุมโดย พรบ.ควบคุมอาคาร ให้มีระยะความกว้างของ
ทางเดิน ความสูงที่จาเป็นต้องมีชานพัก ระยะลูกตั้ง ลูกนอนที่เหมาะสมกับสรีระของคน พฤติกรรมการรับน้าหนักบรรทุกของบันได
จะเหมือนพฤติกรรมของพื้นทางเดียวโดยมีจุดรองรับที่ปลายของบันไดเป็นคานหรือกาแพง
ชำนพัก
T = 0.25-0.30 m.
R = 0.15-0.20 m.
P = R/T
t = ความหนาบันได
ผนัง คสล.
(c) บันไดช่วงสั้นที่พาดไปยังคานทั้งสองด้าน
ภำพที่ 5.3 ตัวอย่างบันไดแบบพาดทางข้าง
คานรับที่ปลาย คานรับที่ปลาย
คานรับที่ปลาย คานรับที่ปลาย
คานรับที่ปลาย
คานรับที่ช่วงกลางบันได
คานรับที่ปลาย
ภำพที่ 5.5 บันไดพาดทางยาวแบบสองช่วง
คานรับที่ปลายบนของบันได
ชานพักลอยอิสระ
คานรับที่ปลายล่างของบันได
5.4.1 บันไดยื่นที่พำดออกจำกคำนหรือผนังเพียงด้ำนเดียว
บันไดลักษณะนี้อาจทาเป็นลักษณะที่ยื่นออกจากคานแม่บันไดเพียงตัวเดียว ซึ่งจะยาวและลาดเอียงไปกับตัวบันได หรือ
ในบางครั้งก็จะเห็นได้ว่าอาจจะทาในลักษณะที่ยื่นออกมาจากผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งการคานวณออกแบบจะคล้าย ๆ กับพื้น
ยื่นหรือคานยื่น ดังนั้น การเสริมเหล็กของบันไดลักษณะนี้เหล็กเสริมหลักจึงเป็นเหล็กบนเพื่อรับโมเมนต์ลบที่เกิดขึ้น
1.05 ม.
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน เท่ากับ 140 กก./ตร.ซม. และใช้เหล็กเส้นกลมชั้น
คุณภาพ SR24 โดยให้มีระยะหุ้มของคอนกรีตไม่น้อยกว่า 2.5 ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
กรณีที่ 1 วิเคราะห์แบบน้าหนักกระจายสม่าเสมอ
1. คานวณความหนาเบื้องต้นของลูกบันได (t) = L/10 = 102.5/10 = 10.25 ซม.
ทดลองความหนา = 10 ซม.
L = 1.05 m.
6. โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่จุดรองรับ (M-max.)
6. โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่จุดรองรับ (M-max.)
7. แรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุด
Vmax = WL = 125x1.05 + 160 = 214 กก.
ขั้นตอนกำรออกแบบ
1. โมเมนต์ทตี่ ้านทานโดยคอนกรีต (MR)
2. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
As = = 1.94 ตร.ซม.
4. คานวณระยะยึดหน่วง เพื่อหาระยะล้วงเหล็กเข้าไปในคานหลัก
= = 22.58 กก./ตร.ซม.
โดยถ้าเป็นเหล็กเส้นกลมให้ใช้ได้เท่ากับครึ่งหนึ่งของค่าที่กาหนดไว้สาหรับเหล็กข้ออ้อย แต่ต้องไม่เกิน 11 กก./ตร.ซม.
= = 32.72 ซม.
O.K.
จากรายการคานวณจะเห็นได้ว่า หน้าตัดสามารถรับโมเมนต์ที่เกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย หน่วยแรงเฉือนที่เกิดขึ้นจริงน้อย
กว่าหน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ ดังนั้น ถือว่าการออกแบบสามารถต้านทานทั้งโมเมนต์ดัดและแรงเฉือน แสดงว่าความหนาและการ
เสริมเหล็กตามหน้าตัดดังกล่าวสามารถใช้ได้ และเหล็กเสริมหลักในพื้นยื่นจะต้องล้วงเข้าไปในคานหลักไม่น้อยกว่า 33 ซม.
L = 1.05 m.
CL คาน แม่บันได
ภำพที่ 5.9 รูปตัดตามยาวบันไดยืน่ ST1
RB6mm.@0.30m.(Temp. steel)
2-RB12(Main)
t = 0.10 m.
T = 0.28 m.
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน เท่ากับ 170 กก./ตร.ซม. และใช้เหล็กเส้นกลม
แบบผิวข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD30 โดยให้มีระยะหุ้มของคอนกรีตไม่น้อยกว่า 2.5 ซม.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 170 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 196,880 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 76.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 2.5 ซม.
9. น้าหนักบรรทุกจรของบันไดหอพักอาศัยรวม (LL) = 300 กก./ตร.ม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
2.0 เมตร
= 1/2* 0.275*0.178*2400*4/(1.10)
= 213.6 kg./m.
W = 800 kg./m.
L = 2.0 m.
3. โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่กึ่งกลางช่วงบันได (M+max.)
4. แรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุดบริเวณริมจุดรองรับ
ขั้นตอนกำรออกแบบ
2. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
3. คานวณหาปริมาณเหล็กเสริม
As = = 4.01 ตร.ซม.
เขียนแบบขยำยกำรเสริมเหล็ก
เขียนรูปตัดการเสริมเหล็กของบันได ST2 ได้ดังแสดงในภาพที่ 5.12 ซึ่งในภาพดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีการเสริมเหล็กยึด
ขั้นบันได เพื่อป้องกันการแตกร้าวบริเวณมุมบันได โดยที่ปริมาณการเสริมเหล็กยึดขึ้นบันไดสามารถใช้ขนาดและระยะเรียง
เดียวกันกับปริมาณเหล็กเสริมกันแตกร้า ว แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็พบบ่อย ๆ ว่าขนาดของการเสริมเหล็กยึดขั้นบันไดนิยมใช้
เหล็กกลมแบบผิวเรียบ เนื่องจากทาการดัดเป็นรูปขั้นบันไดได้ง่ายกว่าเหล็กกลมแบบผิวข้ออ้อย
เหล็กยึดขั้นบันได RB9@0.25m.
1-RB9mm.(ทุกมุม)
27.5 ซม.
17.8 ซม.
เหล็กเสริมกันแตก DB10@0.30m.
เหล็กเสริมหลัก DB12@0.25m.
t = 10 ซม.
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน เท่ากับ 170 กก./ตร.ซม. และใช้เหล็กเส้นกลม
แบบผิวข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD40 โดยให้มีระยะหุ้มของคอนกรีตไม่น้อยกว่า 2.5 ซม.
1.15 ม. X1 = 2.00 ม.
ชานพัก +5.05 2.90 ม.
B3A
+3.60
B3
3.15 ม.
5.45 ม.
1 2
ภำพที่ 5.16 รูปตัดบันได ST3 และคานรับบันได
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คิดน้าหนักบันไดต่อความยาว 1 เมตร ดังแสดงในภาพด้านล่าง
t = 17.5 ซม.
T = 25 ซม.
R = 16.1 ซม.
1.0 เมตร
มุมลาดเอียงของบันได หรือ
ดังนั้น
น้าหนักที่กระทาต่อบันได ประกอบด้วย
1. น้าหนักบรรทุกคงที่ (DL)
- น้าหนักลูกนอน =
= 193.2 กก./ตร.ม.
- น้าหนักวัสดุตกแต่งผิวบันได = 50 กก./ตร.ม.
t = 17.5 ซม.
t = 17.5 ซม.
W = 1,044 กก./ม.
3.40 ม.
3. คานวณหาแรงภายในที่เกิดขึ้นสูงสุด
โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่กึ่งกลางช่วงบันได (M+max.)
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุดบริเวณริมจุดรองรับ
2. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
3. คานวณหาปริมาณเหล็กเสริม
As = = 6.60 ตร.ซม.
4. ตรวจสอบการยึดหน่วง
เส้นรอบรูปของเหล็กเสริมหลักที่ตอ้ งการเพื่อให้เกิดแรงยึดหน่วงที่เพียงพอ
เขียนแบบขยำยบันไดและกำรเสริมเหล็ก
เขียนรูปตัดการเสริมเหล็กของบันได ST3 ได้ดังแสดงในภาพที่ 5.17 ซึ่งในภาพดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการเสริมเหล็ก
บริเวณจุดต่อระหว่างพื้นบันไดกับพื้นชานพักมีการเสริมเหล็กที่ไม่ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้เนื่องมาจากถ้าหากเราเสริมเหล็กต่อเนื่องกันแรง
ดึงลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะทาให้คอนกรีตบริเวณดังกล่าวเกิดการแตกร้าวได้ นอกจากนี้แล้ว ในกรณีที่ออกแบบอาคารต้านทานแรง
แผ่นดินไหว จะแนะน าให้ใส่เหล็กเสริมในบริเวณที่รับแรงอัด เพิ่มด้วย เพื่อป้องกัน การแตกร้าวในกรณี ที่เกิดการสั่นสะเทือ น
เนื่องจากแรงแผ่นดินไหว
DB12mm.@0.15m.
เหล็กเสริมรับโมเมนต์ลบ
ในอาคารต้านแผ่นดินไหว
t = 17.5 ซม.
ชานพักบันได DB12mm.@0.15m.(Main Steel)
DB12mm.@0.30m. (Temp. Steel)
A A
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน เท่ากับ 210 กก./ตร.ซม. และใช้เหล็กเส้นกลม
แบบผิวเรียบชั้นคุณภาพ SR24 โดยให้มีระยะหุ้มของคอนกรีตไม่น้อยกว่า 2.5 ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
T= 30 ซม.
R= 16.7 ซม.
t= 25 ซม.
t= 25 ซม.
16.7 ซม.
t= 25 ซม.
น้าหนักที่กระทาต่อบันได ประกอบด้วย
- น้าหนักบรรทุกคงที่ จากลูกนอนบันได
- น้าหนักบรรทุกคงที่จากวัสดุตกแต่งผิวบันได = 50 กก./ตร.ม.
2. คานวณหาแรงภายในที่เกิดขึ้นสูงสุด
โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่กึ่งกลางช่วงบันได (M+max.)
ขั้นตอนกำรออกแบบ
2. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
3. คานวณหาปริมาณเหล็กเสริม
As = = 21.02 ตร.ซม.
4. ตรวจสอบการยึดหน่วง
= = 22.12 กก./ตร.ซม.
และเหล็กเส้นกลมแบบผิวเรียบใช้ได้ไม่เกินครึ่งหนึ่งของเหล็กข้ออ้อยและสูงสุดไม่เกิน 11 กก./ตร.ซม.
เส้นรอบรูปของเหล็กเสริมหลักที่ตอ้ งการเพื่อให้เกิดแรงยึดหน่วงที่เพียงพอ
เขียนแบบขยำยกำรเสริมเหล็ก
เขียนรูปตัดการเสริมเหล็กของบันได ST4 ได้ดังแสดงในภาพที่ 5.21 ซึ่งในภาพดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการเสริมเหล็ก
ค่อนข้างยุ่งยากกว่าบันไดแบบท้องเรียบ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าในปัจจุบันบันไดลักษณะนี้ได้รับความนิยมลดน้อยลงกว่าการออกแบบ
บันไดแบบท้องเรียบเนื่องจากมีความยุ่งยากทั้งการทางานเหล็กเสริมและงานไม้แบบ
RB15mm.@0.08m.
RB9mm.(ยึดขั้นบันได)
t = 25 ซม.
รูปแบบของเหล็กเสริมเอก
A z-Axis
คานรับที่ปลายบันได y-Axis
s-Axis C
B
O
A' B' x-Axis
ชานพักลอยอิสระ
C'
คานรับที่ปลายบันได
(a) รูปทรงทางสถาปัตยกรรมของบันไดชานพักลอยอิสระ
w1
A
A
C C,B,O
O B
A' B'
C' A'
(b) แบบจาลองโครงข้อแข็งบันได (c) รูปด้านข้างและน้าหนักกระทาต่อแม่บันได
A C
b1 b b1 A B b1
c
w2
H
C' B' O B C O b D
H
M0 M0 A' B'
c
A' b1
C'
T V
R
ระดับชานพัก
ti tc
V
tf
ระดับชั้นล่าง
H1 H2
= แรงหรือน้าหนักบรรทุกที่กระทาต่อแม่บันไดต่อความยาวหนึ่งหน่วย (กก./เมตร)
= (5.1a)
= แรงหรือน้าหนักบรรทุกที่กระทาต่อชานพักต่อความยาวหนึ่งหน่วย (กก./เมตร)
= (5.1b)
(5.2a)
และ
(5.2b)
ชิ้นส่วน OB :
ชิ้นส่วน BA :
เนื่องจากในการคานวณหาแรงภายในของแต่ละชิ้นส่วนของบันไดชานพักลอยอิสระมีความยุ่งยากในการคานวณ ดังนั้น
แล้ว จึงจาเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ในการทดลองกาหนดขนาดความหนาของแต่ละชิ้นส่วน แล้วจึงใช้สมการของแรงภายในใน
แต่ละชิ้นส่วนเพื่อหาแรงภายในที่เกิดขึ้น เมื่อได้แรงภายในของแต่ละชิ้นส่วนแล้ว เราก็จะสามารถตรวจสอบกาลังต้านทานโมเมนต์
ดัดของหน้าตัดว่าเพียงพอหรือไม่แล้วจึงคานวณหาปริมาณการเสริมเหล็กได้ต่อไป ซึ่งการคานวณโดยใช้วิธีการคานวณออกแบบมือ
จึงค่อนข้างต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อให้ค้นหาขนาดความหนาของส่วนต่าง ๆ ของบันไดที่ทา
ให้มีกาลังต้านทานแรงภายในได้อย่างพอเพียง กับทาให้ราคาค่าก่อสร้างของบันไดมีราคาที่ต่าที่สุด จึงสามารถพัฒนาเป็นงานวิจัยได้
ในอนาคต เพื่ออานวยความสะดวกให้กับวิศวกรผู้ ออกแบบให้สามารถคานวณออกแบบได้อย่างรวดเร็ว และอีกทั้งยังช่วยให้
สามารถออกแบบเพื่อให้ประหยัดค่าก่อสร้างได้ด้วย
5.5.1 บันไดพำดทำงยำวแบบท้องเรียบ
บันไดพาดทางยาวแบบท้องเรียบจะพบเห็นได้โดยส่วนใหญ่ เนื่องจากการก่อสร้างคานรองรับทาได้ง่ายกว่าบันไดแบบพาด
ทางข้าง ที่ต้องก่อสร้างคานลาดเอียงไปตามแนวของบันได และง่ายในการก่อสร้างทั้งการทางานไม้แบบและงานเหล็กเสริม การ
ออกแบบบันไดแบบพาดทางยาวโดยวิธีกาลังจะออกแบบโดยคิดพฤติกรรมเหมือนคานที่มีความกว้าง 1.0 เมตร โดยมีจุดรองรับที่
ปลายบันไดเป็นแบบจุดรองรับแบบง่าย (Simply Supported Beam) ดังแสดงในตัวอย่างที่ 5.5
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 170 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 2.5 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = = 196,880 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง
สาหรับแรงดัด = 0.90
สาหรับแรงเฉือน = 0.85
9. น้าหนักบรรทุกคงที่ (DL)
คอนกรีต = 2,400 กก./ลบ.ม.
วัสดุตกแต่งผิวบันได = 50 กก./ตร.ม.
10. น้าหนักบรรทุกจร (LL)
น้าหนักบรรทุกจรของบันได = 300 กก./ตร.ม.
Parameter
= 0.85
= 0.0186
= 0.0139
= 0.0035
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คิดน้าหนักบันไดต่อความยาว 1.0 เมตร ดังแสดงในภาพด้านล่าง
t = 17.5 ซม.
T = 25 ซม.
R = 16.1 ซม.
1.0 เมตร
มุมลาดเอียงของบันได หรือ
1. น้าหนักบรรทุกคงที่ ( )
- น้าหนักลูกนอน =
= 193.2 กก./ตร.ม.
- น้าหนักวัสดุตกแต่งผิวบันได = 50 กก./ตร.ม.
U=1,552 kg./m.
3.40 ม.
2. คานวณหาแรงภายในที่เกิดขึ้นสูงสุด
โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่กึ่งกลางช่วงบันได (M+max.)
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุดบริเวณริมจุดรองรับ
ขั้นตอนกำรออกแบบโครงสร้ำง
1. คานวณหาความลึกประสิทธิผลที่ต้องการของพื้นบันได
= = 12.84 ซม.
2. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
จากสูตร
จากสมการ
จะได้ = 0.0031
ตรวจสอบกับปริมาณเหล็กเสริมขั้นต่า O.K.
เลือกใช้เหล็ก DB12mm.@0.25 m. < (3t) (As = 4.52 ตร.ซม. > 4.52 ตร.ซม.) O.K.
เลือกใช้เหล็ก DB12mm.@0.30 m. < (3t) (As = 3.77 ตร.ซม. > 3.50 ตร.ซม.) O.K.
3. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
หน่วยแรงเฉือนที่คอนกรีตสามารถต้านทานได้
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 210 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SR24 , = 2,400 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 2.5 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = = 218,820 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง
สาหรับแรงดัด = 0.90
สาหรับแรงเฉือน = 0.85
9. น้าหนักบรรทุกคงที่ (DL)
คอนกรีต = 2,400 กก./ลบ.ม.
วัสดุตกแต่งผิวบันได = 50 กก./ตร.ม.
10. น้าหนักบรรทุกจร (LL)
น้าหนักบรรทุกจรของบันได = 400 กก./ตร.ม.
Parameter
= 0.85
= 0.0454
= 0.0058
โดยที่ = 0.012
= 2.82 ซม.
= 0.919
= 26.47 กก./ตร.ซม.
เลือกทดลองความหนาบันได 0.20 ม.
T= 30 ซม.
R= 16.7 ซม.
t= 20 ซม.
t= 20 ซม.
16.7 ซม.
t= 20 ซม.
น้าหนักที่กระทาต่อบันได ประกอบด้วย
- น้าหนักบรรทุกคงที่ จากลูกนอนบันได
= (0.20*0.30+0.167*0.20)*2,400/(0.30ม.) = 743 กก./ตร.ม.
- น้าหนักบรรทุกคงที่จากวัสดุตกแต่งผิวบันได = 50 กก./ตร.ม.
2. คานวณหาแรงภายในที่เกิดขึ้นสูงสุด
โมเมนต์ดัดสูงสุดเกิดขึ้นที่กึ่งกลางช่วงบันได (M+max.)
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุดบริเวณริมจุดรองรับ
1. คานวณหาความลึกประสิทธิผลที่ต้องการของพื้นบันได
= = 16.55 ซม.
2. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
จากสมการ
= = 25.85 กก./ตร.ซม.
จะได้ = 0.0117
ตรวจสอบกับปริมาณเหล็กเสริมขั้นต่า OK.
เลือกใช้เหล็ก RB15mm.@0.09 m. < (3t) (As = 19.63 ตร.ซม. > 19.58 ตร.ซม.) OK.
เลือกใช้เหล็ก RB12mm.@0.225 m. < (3t) (As = 5.03 ตร.ซม. > 5.00 ตร.ซม.) OK.
หน่วยแรงเฉือนที่คอนกรีตสามารถต้านทานได้
RB15mm.@0.09m.
RB9mm.(ยึดขั้นบันได)
t = 20 ซม.
รูปแบบของเหล็กเสริมเอก
ภำพที่ 5.24 รูปตัดขยายบันไดพับผ้า คสล. ST4 เมื่อออกแบบโดยวิธีกาลัง
5.7 เอกสำรอ้ำงอิง
6.1 บทนำ
คานเป็นชิ้นส่วนของโครงสร้างที่รับน้าหนักจากการใช้งานซึ่งถูกถ่ายน้าหนักต่าง ๆ มาจากพื้นหรือรับ น้าหนักจากผนัง
น้าหนักกระทาแบบจุดจากการใช้งานต่าง ๆ เป็นต้น แล้วจึงส่งถ่ายน้าหนักต่อไปยังเสาหรือกาแพง คสล.ต่อไป ในบทนี้ นักศึกษาจะ
ได้เรียนรู้วิธีการคานวณออกแบบคานโดยอาศัยความรู้จากพฤติกรรมการดัดของคาน คสล. ในบทที่ 2 เป็นพื้นฐาน ซึ่งในการ
ออกแบบคานจะมีทั้งในกรณีที่เสริมเหล็กรับแรงดึงเพียงอย่างเดียว ในกรณีที่ไม่ถูกจากัดขนาดของหน้าตัดคาน แต่ถ้าในกรณีที่
ขนาดหน้าตัดคานถูกจากัด อาจจะเนื่องมาจากความต้องการทางสถาปัตยกรรม ก็อาจจาเป็นต้องออกแบบให้เป็นคานที่มีทั้งเหล็ก
เสริมรับแรงดึงและเหล็กเสริมรับแรงอัด อย่างไรก็ตามการออกแบบคานก็ยังคงให้เป็นไปตามแนวคิดให้เกิดการวิบัติด้านแรงดึง โดย
การเสริมเหล็กต่ากว่าสมดุล และนอกจากนี้แล้วยังต้องออกแบบให้ป้องกันการวิบัติเนื่องจากแรงเฉือน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการวิบัติ
แบบทันทีทันใด
6.2.2 ตำแหน่งของเหล็กเสริมในคำน
เนื่องจากการรับน้าหนักของคานหรือลักษณะของคานที่แตกต่างกัน ทาให้เกิดพฤติกรรมการดัดที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง
เช่น คานช่วงเดียวในภาพที่ 6.1 จะเกิดการดัดเนื่องจากโมเมนต์บวก ดังนั้น พฤติกรรมการดัดจะทาให้เกิดแรงดึงในบริเวณใต้แกน
สะเทิน ดังนั้น การเสริมเหล็กล่างจึงมีความจาเป็นเพื่อให้เหล็กเส้นรับแรงดึงที่เกิดขึ้นเนื่องจากแรงคู่ควบของการดัด ในกรณีที่เหล็ก
เสริมเอกที่คานวณได้มากกว่า 2 เส้น เราสามารถจัดเหล็กบางส่วนเหล็กเสริมพิเศษ (สพศ.) เฉพาะช่วงกลางคานได้ และเหล็กล่างที่
เหลือ (ไม่น้อยกว่า 1/3 ของเหล็กเสริมรับแรงดึง) จะปล่อยให้เลยจุดรองรับไม่น้อยกว่า 15 ซม. ดังแสดงในภาพที่ 6.1(c)
(a) การดัดและลักษณะรอยแตกร้าวของคาน
(+)
(b) แผนภูมิโมเมนต์ดัด (Bending Moment Diagram)
เหล็กเสริมพิเศษ(สพศ.)
(c) ตาแหน่งการเสริมเหล็กรับแรงดึง
ภำพที่ 6.1 พฤติกรรมการดัดและการเสริมเหล็กของคานช่วงเดียว (Simple beam)
(c) ตาแหน่งการเสริมเหล็กรับแรงดึง
ภำพที่ 6.2 พฤติกรรมการดัดและการเสริมเหล็กของคานยื่น (Cantilever beam)
(a) การดัดและลักษณะรอยแตกร้าวของคาน
(+) (+)
(-) (-) (-)
(b) แผนภูมิโมเมนต์ดัด (Bending Moment Diagram)
(c) ตาแหน่งการเสริมเหล็กรับแรงดึง
As
d e f T=Asfs
= (6.1)
หรือ
(6.2)
โดยที่ คืออัตราส่วนระหว่างแขนของแรงคู่ควบ ต่อความลึกประสิทธิผลของหน้าตัดคาน เมื่ออยู่ในสภาวะสมดุล
แรงคู่ควบ และกาหนดให้
จัดใหม่ให้อยู่ในรูปของ
(6.3)
จะได้
(6.4)
(6.5)
ตัวอย่ำงที่ 6.1 ให้ออกแบบคาน คสล. ช่วงเดียวที่มคี วามยาวช่วง 4.0 เมตร รับน้าหนักจากพื้น S1 เพื่อวางถังเก็บน้า
สาเร็จรูปขนาด 3 ลบ.ม. จานวน 2 ถัง ตามแบบแปลนในภาพที่ 6.5 โดยวิธีหน่วยแรงใช้งาน (WSD)
4.00 m.
4.00 m. S1
กำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. สมมุติขนาดของคาน
ความลึกของคาน (h) = L/10 = 400/10 = 40 ซม.
ความกว้างของคาน (b) = h/2 = 40/2 = 20 ซม.
2. คานวณน้าหนักบรรทุกที่กระทาต่อคาน
น้าหนักบรรทุกจร (LL)
- น้าหนักน้า = 2x3,000/(4x4) = 375 กก./ตร.ม.
- น้าหนักบรรทุกจร = (375)x4.0/3 = 500 กก./ม.
4. คานวณหาแรงสูงสุดที่เกิดขึ้นในหน้าตัดคาน
คานวณหาปริมาณการเสริมเหล็ก
= = 4.07 ตร.ซม.
อัตราส่วนเหล็กเสริมในสภาวะสมดุล
= = 0.0066
As min = 4.07 sq.cm. < As use = 4.52 sq.cm. < As balance = 4.91 sq.cm. O.K.
แสดงว่าเสริมเหล็กในสภาวะต่ากว่าสมดุล (Under reinforcement) ซึ่งเป็นสภาวะที่พึงปรารถนา
เขียนหน้ำตัดกำรเสริมเหล็ก
เขียนหน้าตัดคานและการเสริมเหล็กได้ ดังรูป อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าขนาดหน้าตัดดังกล่าวไม่จาเป็นต้องเสริมเหล็กเสริม
รับแรงอัดก็ตาม แต่ข้อกาหนดของ ว.ส.ท. ระบุไว้ว่า จะต้องให้มีเหล็กขนาดไม่ต่ากว่า 12 มม. จานวนไม่น้อยกว่า 2 เส้น เพื่อยึด
เหล็กปลอกคาน ดังรูป ในส่วนของเหล็กปลอกเพื่อต้านทานแรงเฉือนจะได้ศึกษาในหัวข้อต่อ ๆ ไป
2-DB12mm.(Main)
0.40 m. ป-RB6mm.@0.18m.
2-DB12mm.(Main)+2-DB12mm.(Extra)
0.20 m.
1) คานวณหาโมเมนต์ที่ตา้ นทานโดยคอนกรีต
(6.6a)
2) คานวณค่าปริมาณเหล็กเสริมของแรงคู่ควบคู่แรก
จาก (6.6b)
เมื่อ
เปรียบเทียบกับ (6.6b)
3) คานวณหาค่าโมเมนต์ส่วนเกิน
(6.6c)
4) คานวณค่าแรงคู่ควบ คู่ที่สอง
5) คานวณหาค่า ปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่ที่สอง
(6.6e)
6) คานวณปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงรวม
(6.6f)
7) คานวณค่า หน่วยแรงอัดที่เกิดขึ้นจริงในคอนกรีต
(6.6g)
8) เปรียบเทียบค่า กับค่าหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ในเหล็ก
S1
4.50 m.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน ( ) = 140 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จะครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 ( ) = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม ( ) = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต ( ) = = = 178,665.61 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต ( ) = 63 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น ( ) = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
Parameter
1. อัตราส่วนโมดูลาร์ ( )= = 11.42 ใช้ 11
2. = = 0.316
3. = 0.895
4. = = 8.91 กก./ตร.ซม.
กำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. ขนาดของคาน
ความกว้างของคาน (b) = 20 ซม.
ความลึกของคาน (h) = 40 ซม.
น้าหนักบรรทุกจร (LL)
- น้าหนักน้า = 4x3,000/(4.5x4.5) = 593 กก./ตร.ม.
- น้าหนักบรรทุกจร = (593)x4.5/3 = 889.5 กก./ม.
4. คานวณหาแรงสูงสุดที่เกิดขึ้นในหน้าตัดคาน
ออกแบบโครงสร้ำง
MR < Mmax.
คานวณออกแบบหน้าตัดคานที่เสริมเหล็กรับแรงอัดตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1) คานวณหาโมเมนต์ที่ตา้ นทานโดยคอนกรีต
= 2,439 กก.-ม.
2) คานวณค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่แรก
เมื่อ = = 0.0066
= = 4.88 ตร.ซม.
3) คานวณหาค่าโมเมนต์ส่วนเกิน
= = 1,109 กก.-ม.
4) คานวณค่าแรงคู่ควบคู่ที่สอง
= = 3,261.7 กก.
5) คานวณหาค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่ที่สอง
= = 2.17 ตร.ซม.
6) คานวณปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงรวม
= = 7.08 ตร.ซม.
7) คานวณค่า
= = 46.83 กก./ซม.2
8) เปรียบเทียบค่า กับค่าหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ในเหล็ก
แสดงว่า ksc
9) เลือกหน้าตัดเหล็กทั้งเหล็กเสริมรับแรงดึงและเหล็กเสริมรับแรงอัด
2-DB16mm.(Main)
0.40 m. ป-RB6mm.@0.18m.
3,548 kg-m.
(+)
2-DB16mm.(Main)
2-DB16mm.(Extra) , L> 2.70 m.
2-DB16mm.(Main)
การเคลื่อนตัวของแต่ละชั้น
แนววิบัติเนื่องจากแรงเฉือน
ดังนั้น แรงเฉือนที่คอนกรีตสามารถรับได้จะเท่ากับ
(6.8)
โดยที่
= หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ของคอนกรีต จากหัวข้อ 2.6.2 ในบทที่ 2
d เหล็กลูกตั้ง
T
d
o
45
s s s t
s
จากคุณสมบัติของตรีโกณมิติ
(6.9b)
ดังนั้น
(6.9c)
ในกรณีที่วางเหล็กปลอกในแนวตั้ง ( )
(6.9d)
หรือ
(6.9e)
1. คานวณและวิเคราะห์หาค่าแรงเฉือนที่เกิดขึ้นสูงสุดในหน้าตัดคานที่ต้องการออกแบบ ( )
3. คานวณแรงเฉือนส่วนเกินที่ต้องใช้เหล็กปลอกเป็นตัวรับ ( )
(6.10)
(6.11)
ตัวอย่ำงที่ 6.3 จากตัวอย่างที่ 5.3 ให้ออกแบบคาน B3 และ B3A เพื่อรับบันไดตามแบบแปลนในภาพที่ 6.14 โดยวิธีหน่วย
แรงใช้งาน (WSD)
ST
3
คาน B3A
t = 17.5 ซม.
คาน B3
W = 1,044 กก./ม.
3.40 ม.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 170 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 196,880 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 76.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = ใช้ได้ไม่เกิน = 1,700 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 2.5 ซม.
Parameter
1. = 10.36 ใช้ 10
2. = = 0.310
3. = 0.897
4. = = 10.64 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
W = 1,967 kg./m.
L = 2.5 m.
3. คานวณหาแรงสูงสุดที่เกิดขึ้นในหน้าตัดคาน
ขั้นตอนกำรออกแบบ
ออกแบบเหล็กเสริมหลักเพื่อรับโมเมนต์ดดั
1) คานวณหาโมเมนต์ที่ตา้ นทานโดยคอนกรีต
2) คานวณหาปริมาณการเสริมเหล็ก
= = 3.05 ตร.ซม.
= = 0.0069
As min = 3.05 sq.cm. < As use = 3.39 sq.cm. < As balance = 5.15 sq.cm. O.K.
ออกแบบเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
1) คานวณหาแรงเฉือนที่หน้าตัดคอนกรีตสามารถรับได้
เมื่อ = หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ของคานที่ไม่มีเหล็กเสริมรับแรงเฉือน
= = 3.78 กก./ตร.ซม.
ดังนั้น ไม่จาเป็นต้องเสริมเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
แต่ จาเป็นต้องเสริมเหล็กปลอกเพื่อยึดเหล็กเสริมหลัก
หรือเลือกใช้เหล็กปลอก
เขียนแบบขยำยกำรเสริมเหล็ก
เขียนหน้าตัดคานและการเสริมเหล็กได้ ดังรูป อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าขนาดหน้าตัดดังกล่าวไม่จาเป็นต้องเสริมเหล็กเสริม
รับแรงอัดก็ตาม แต่ข้อกาหนดของ ว.ส.ท. ระบุไว้ว่า จะต้องให้มีเหล็กขนาดไม่ต่ากว่า 12 มม. จานวนไม่น้อยกว่า 2 เส้น เพื่อยึด
เหล็กปลอกคาน ดังนั้นเลือกใช้ ดังแสดงในรูป
0.40 m. ป-RB6mm.@0.175 m.
3-DB12mm.(Main)
0.20 m.
ตัวอย่ำงที่ 6.4 จากแบบแปลนโครงสร้างพื้น -คานของอาคารพักอาศัยรวม คสล. สูง 5 ชั้น ดังแสดงในภาพที่ 6.14 ให้
ออกแบบหน้าตัดคาน B7 และ B7C ตามแนว Grid Line 4 โดยวิธีหน่วยแรงใช้งาน (WSD)
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 170 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 196,880 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 76.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 2,000 ใช้ได้ไม่เกิน = 1,700 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 2.5 ซม.
Parameter
1. = 10.36 ใช้ 10
2. = = 0.310
3. = 0.897
4. = = 10.64 กก./ตร.ซม.
ออกแบบคำน B7
ออกแบบเหล็กเสริมหลักเพื่อรับโมเมนต์ลบ
1) ตรวจสอบโมเมนต์ต้านทานโดยคอนกรีต
= = 6.76 ตร.ซม.
3) ตรวจสอบอัตราส่วนเหล็กเสริมในสภาวะสมดุล
= = 0.0070
As min = 6.76 sq.cm. < As use = 8.04 sq.cm. < As balance = 8.31 sq.cm. O.K.
ออกแบบเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
1) คานวณหาแรงเฉือนที่หน้าตัดคอนกรีตสามารถรับได้
เมื่อ = หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ของคานที่ไม่มีเหล็กเสริมรับแรงเฉือน
= = 3.78 กก./ตร.ซม.
ดังนั้น จาเป็นต้องเสริมเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
2) คานวณแรงเฉือนส่วนเกินที่ต้องใช้เหล็กปลอกเป็นตัวรับ ( )
3) คานวณหาปริมาณเหล็กปลอกที่ต้องเสริมรับแรงเฉือนส่วนเกิน
ออกแบบเหล็กเสริมหลักเพื่อรับโมเมนต์ดดั (โมเมนต์ลบ)
ตรวจสอบโมเมนต์ตา้ นทานโดยคอนกรีต
คานวณออกแบบหน้าตัดคานที่เสริมเหล็กรับแรงอัดตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1) คานวณหาโมเมนต์ที่ตา้ นทานโดยคอนกรีต
= 6,001 กก.-ม.
2) คานวณค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่แรก
เมื่อ = = 0.0070
= = 8.31 ตร.ซม.
= 8.28 ตร.ซม.
3) คานวณหาค่าโมเมนต์ส่วนเกิน
4) คานวณค่าแรงคู่ควบคู่ที่สอง
= = 7,842.2 กก.
5) คานวณหาค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่ที่สอง
6) คานวณปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงรวม
= = 12.92 ตร.ซม.
7) คานวณค่า
= = 63.51 กก./ซม.2
8) เปรียบเทียบค่า กับค่าหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ในเหล็ก
= = 1,270 กก./ซม.2
แสดงว่า
9) เลือกหน้าตัดเหล็กทั้งเหล็กเสริมรับแรงดึงและเหล็กเสริมรับแรงอัด (โมเมนต์ลบเป็นหน้าตัดควบคุม)
ออกแบบเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
1) คานวณหาแรงเฉือนที่หน้าตัดคอนกรีตสามารถรับได้
เมื่อ = หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ของคานที่ไม่มีเหล็กเสริมรับแรงเฉือน
= = 3.78 กก./ตร.ซม.
ดังนั้น จาเป็นต้องเสริมเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
2) คานวณแรงเฉือนส่วนเกินที่ต้องใช้เหล็กปลอกเป็นตัวรับ ( )
เลือกใช้เหล็กปลอก
เขียนแบบขยำยหน้ำตัดคำนและกำรเสริมเหล็ก
B A
B7 B7C
3.00 m.
2-DB16mm.(Main) 2-DB16mm.(Main)
+2-DB16mm.(Ext.) +5-DB16mm.(Ext.)
0.50 m. ป-RB6mm.@0.225 m. 0.50 m. ป-RB6mm.@0.125 m.
2-DB16mm.(Main) 2-DB16mm.(Main)
+1-DB16mm.(Ext.) +2-DB16mm.(Ext.)
0.25 m. 0.25 m.
M M+dM
dx
L C C+dC
(a) คานช่วงเดียวที่รับน้าหนักบรรทุก N.A.
V V
T T+dT
dx T= dx T+dT=
จะได้ = จากความสัมพันธ์
จะได้หน่วยแรงยึดหน่วงของคอนกรีต, = (6.11)
โดยที่ คือแขนของแรงคู่ควบที่เกิดจากโมเมนต์ดัด
โดยที่
= หน่วยแรงยึดหน่วงที่ยอมให้ (กก./ตร.ซม.)
= กาลังรับแรงอัดประลัยของคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐาน ที่อายุ 28 วัน (กก./ตร.ซม.)
= ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเสริม (ซม.)
3. กรณีที่เป็นเหล็กเสริมรับแรงอัด ประเภทเหล็กเส้นกลมผิวข้ออ้อย
T=Asfs
l
ภำพที่ 6.22 ระยะฝังยึด (Anchorage length)
จากสมดุลของแรง
= (6.15a)
จะได้
(6.15b)
เมื่อ =พื้นที่หน้าตัดของเหล็กเสริม =
= เส้นรอบรูปของเหล็กเสริม =
= ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเสริม (ซม.)
(6.15c)
L = 2.00 m.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 173 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 198,610 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 77.8 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
Parameter
1. = 10.27 ใช้ 10
2. = = 0.342
3. = 0.886
4. = = 11.78 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
1. คานวณน้าหนักบรรทุกต่าง ๆ ที่กระทาต่อคานยื่น ดังนี้
ขั้นตอนกำรออกแบบโครงสร้ำง
ตรวจสอบโมเมนต์ตา้ นทานโดยคอนกรีต
คานวณออกแบบหน้าตัดคานที่เสริมเหล็กรับแรงอัดตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1) คานวณหาโมเมนต์ที่ตา้ นทานโดยคอนกรีต
2) คานวณค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่แรก
เมื่อ = = 0.0089
= = 6.59 ตร.ซม.
= 6.56 ตร.ซม.
3) คานวณหาค่าโมเมนต์ส่วนเกิน
4) คานวณค่าแรงคู่ควบคู่ที่สอง
= = 171 กก.
= = 0.114 ตร.ซม.
6) คานวณปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงรวม
= = 6.70 ตร.ซม.
7) คานวณค่า
= = 59.35 กก./ซม.2
8) เปรียบเทียบค่า กับค่าหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ในเหล็ก
= = 1,187 กก./ซม.2
แสดงว่า
9) เลือกหน้าตัดเหล็กทั้งเหล็กเสริมรับแรงดึงและเหล็กเสริมรับแรงอัด (โมเมนต์ลบเป็นหน้าตัดควบคุม)
ออกแบบเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
1) คานวณหาแรงเฉือนที่หน้าตัดคอนกรีตสามารถรับได้
เมื่อ = หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ของคานที่ไม่มีเหล็กเสริมรับแรงเฉือน
= = 3.81 กก./ตร.ซม.
เลือกใช้เหล็กปลอก
ตรวจสอบแรงยึดหน่วงและระยะฝังยึด
1) ตรวจสอบแรงยึดหน่วง
= = = 2.54 กก./ตร.ซม.
เขียนแบบขยำยหน้ำตัดคำนและกำรเสริมเหล็ก
1. หน่วยแรงบิดสูงสุด, (6.16a)
โดยที่ = โมเมนต์บิดที่หน้าตัดคานต้องรับ
= หน่วยแรงบิด
= ด้านสั้นและด้านยาวของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตามลาดับ
(6.16b)
(6.16d)
เมื่อกาหนดให้ = ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวในแต่ละมุม
= พื้นที่หน้าตัดเหล็กปลอกเกลียว
= โมเมนต์บิดที่หน้าตัดคานต้องรับ
= พื้นที่หน้าตัดคอนกรีตที่อยูภ่ ายในเหล็กลูกตั้งหรือเหล็กปลอกเกลียว
= หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเสริมตามยาว
= หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กลูกปลอกเกลียว
= ระยะห่างระหว่างเหล็กเสริมตามยาวทั้งสี่มุม (โดยเฉลี่ย)
= ระยะห่างระหว่างเหล็กลูกตั้งหรือเหล็กปลอกเกลียว
4.00 m.
1.80 m.
t = 0.125 ม.
La = Lb/2 + b/2
น้าหนักรวมของแผ่นพื้นที่เยื้องศูนย์ = 680 kg./m.
h Lb = 1.80-0.20/2 = 1.70 เมตร
Lc = 1.80 เมตร
b
CL คำน B4T
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 210 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 218,820 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 94.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 2,000 ใช้ได้ไม่เกิน = 1,700 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 2.5 ซม.
Parameter
1. = 9.32 ใช้ 9
2. = = 0.333
3. = 0.889
4. = = 14.00 กก./ตร.ซม.
วิเครำะห์โครงสร้ำง
น้าหนักที่กระทาบนพื้นยื่น = DL + LL
ดังนั้น
เกิดแรงเฉือนที่หน้าเสา = w*L/2 = 1,388*4/2 = 2,776 กก.
1) ตรวจสอบโมเมนต์ต้านทานโดยคอนกรีต
ดังนั้น หน้าตัดคานขนาดดังกล่าวปลอดภัยจากการดัดและเสริมเหล็กรับแรงดึงเพียงอย่างเดียว
= = 3.87 ตร.ซม.
3) ตรวจสอบอัตราส่วนเหล็กเสริมในสภาวะสมดุล
= = 0.0092
= (15+45)/2 = 30 ซม.
5) สรุปปริมาณเหล็กเสริมตามยาว
6) เลือกใช้เหล็กเสริมตามยาว ดังนี้
ออกแบบเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือนร่วมกับโมเมนต์บดิ
1) ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือนที่เกิดจากโมเมนต์บิดสูงสุดที่คานต้องรับ
= = 17.25 กก./ตร.ซม.
3) คานวณหาแรงเฉือนที่หน้าตัดคอนกรีตสามารถรับได้
เมื่อ = หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ของคานที่ไม่มีเหล็กเสริมรับแรงเฉือน
= = 4.20 กก./ตร.ซม.
ดังนั้น ไม่จาเป็นต้องเสริมเหล็กปลอกเพื่อรับแรงเฉือน
4) คานวณปริมาณเหล็กปลอกที่ตอ้ งเพิ่มในหน้าตัดเพื่อต้านทานแรงเฉือนที่เกิดจากโมเมนต์บิด
จากสูตร
จะได้
= = 8.66 ซม.
5) สรุปปริมาณเหล็กปลอกที่ต้องใช้เพื่อต้านทานหน่วยแรงเฉือนที่เกิดขึ้นทั้งเนื่องจากแรงเฉือนและโมเมนต์บิด
เลือกใช้เหล็กปลอก
2-DB16mm.(Main)
0.50 m. St-RB9mm.@0.08 m.
2-DB16mm.(Extra)
2-DB16mm.(Main)
0.20 m.
Problem 6.1 จงออกแบบคาน คสล. ช่วงเดียว (Simple beam) ความยาว 5.0 เมตร ซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุกกระจาย
สม่าเสมอเท่ากับ 1,500 กก./ม. (ไม่รวมน้าหนักคาน) โดยให้ใช้ fc' = 210 ksc, เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD30 ระยะหุ้มของ
คอนกรีตเท่ากับ 2.5 ซม.
ก. ออกแบบขนาดคานโดยให้หน้าตัดเป็นแบบเสริมเหล็กรับแรงดึงเท่านั้น (Singly reinforcement)
ข. ออกแบบโดยให้คานมีขนาดหน้าตัดกว้าง เท่ากับ 20 ซม. และความลึกเท่ากับ 40 ซม.
Problem 6.2 จงออกแบบคาน คสล. ต่อเนื่อง (Continuous beam) ความยาว 4.5 เมตร สองช่วง ซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุก
กระจายสม่าเสมอเท่ากับ 2,800 กก./ม. (ไม่รวมน้าหนักคาน) โดยให้ใช้ fc' = 173 ksc. , และเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ
SD30 ระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 2.5 ซม. พร้อมทั้งจัดหน้าตัดเหล็กเสริมให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการรับแรงดัดของคาน โดย
ให้ใช้ขนาดหน้าตัดคาน 0.20x0.40 ม.
Problem 6.3 จงออกแบบคาน คสล. ต่อเนื่อง (Continuous beam) ความยาว 5.0 เมตร สองช่วง ซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุก
จากพื้นสาเร็จรูป span 4.0 เมตร (LL= 300 kg/sq.m.) จากสองด้าน และรับผนังก่ออิฐมอญครึ่งแผ่นสูง 2.8 เมตร ตลอดความ
ยาวคาน โดยให้ใช้ fc' = 210 ksc. , และเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD30 ระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 3.0 ซม. พร้อมทั้ง
จัดหน้าตัดเหล็กเสริมให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการรับแรงดัดของคาน
Problem 6.4 จงออกแบบคาน คสล. ช่วงเดี่ยว (Simple beam) ความยาว 6.0 เมตร ซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุก จากพื้นสาเร็จรูป
span 4.0 เมตร (LL= 800 kg/sq.m.) เพียงด้านเดียว และรับผนังก่ออิฐมอญครึ่งแผ่นสูง 1.0 เมตร ตลอดความยาวคาน โดยให้ใช้
fc' = 210 ksc. , และเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD40 ระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 3.0 ซม. โดยให้ออกแบบเป็นคานที่
เสริมเหล็กรับแรงอัด
Problem 6.6 จากแปลนพื้น-คานหอพัก ดังรูป จงออกแบบคาน B3 ตามแนว Grid Line C/1-4 และเขียนแบบแสดงการเสริม
เหล็กคานให้ครบทุกหน้าตัด โดยให้ใช้ fc' = 170 ksc, และเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD30 ระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ
2.5 ซม. โดยที่ PS1 เป็นพื้นสาเร็จแบบท้องเรียบหนา 5 ซม. เทคอนกรีตทับหน้าหนา 5 ซม. ทิศทางการวางตามแนวลูกศร และ
แนวดังกล่าวต้องรับผนังอิฐมอญครึ่งแผ่น สูง 2.5 เมตร
Problem 6.8 จงออกแบบคาน คสล. ช่วงเดี่ยว (Simple beam) ความยาว 6.0 เมตร ซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุก จากพื้นสาเร็จรูป
span 4.0 เมตร (LL= 400 kg/sq.m.) เพียงด้านเดียว และรับผนังก่ออิฐมอญเต็มแผ่นสูง 3.0 เมตร ตลอดความยาวคาน โดยให้ใช้
fc' = 210 ksc. , และเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD40 ระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 3.0 ซม. โดยให้ออกแบบเป็นคานที่
เสริมเหล็กรับแรงอัด พร้อมทั้งออกแบบปริมาณเหล็กปลอกรับแรงเฉือน
c a=
N.A.
h d jud = (d-a/2)
d-c
As
0.003
T = As fs
(a) กราฟหน่วยแรง-ความเครียด (b) รูปตัดคาน (c) หน่วยการยืด-หดตัว (d) หน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริง (e) แรงคู่ควบ
: ซม. (6.17c)
(6.17d)
สรุปขั้นตอนกำรออกแบบคำน คสล.ที่เสริมเฉพำะเหล็กเสริมรับแรงดึงเพียงอย่ำงเดียว
ในการศึกษารายวิชาการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก นักศึกษาอาจจะได้พบโจทย์หรือข้อสอบที่ให้คานวณ
ออกแบบที่แตกต่างกัน โดยบางครั้งโจทย์อาจจะกาหนดขนาดหน้าตัดมาให้แล้ว และให้หาปริมาณเหล็กเสริม หรือบางครั้งอาจจะ
ไม่ได้กาหนดขนาดหน้าตัดมาให้ โดยให้ออกแบบเพื่อหาขนาดหน้าตัดและคานวณปริมาณเหล็กเสริม ดังนั้น ขั้นตอนที่แนะนา
ต่อไปนี้จะช่วยให้นักศึกษาได้ช่วยฝึกหัดการออกแบบในหลาย ๆ วิธี ดังนี้
1) หาค่าโมเมนต์ดัดประลัยที่เกิดขึ้นจริง โดยคานวณจากน้าหนักบรรทุกประลัยที่เพิ่มค่าแล้ว
4) หาค่า
ถ้า อัต ราส่ วนเหล็ กเสริม ที่ ได้ เ กิน กว่ า ค่า ให้ ขยายหน้า ตั ดคาน หรื อ ถ้า ไม่ ส ามารถขยายได้ ให้
ออกแบบเป็นหน้าตัดที่มีทั้งเหล็กเสริมรับแรงดึงและแรงอัด
แต่ถ้าค่าอัตราส่วนเหล็กเสริม ที่คานวณได้ไม่เกินกว่าค่า เราก็จะสามารถคานวณหาพื้นที่หน้าตัดของ
เหล็กเสริมที่ต้องการได้จาก ตร.ซม.
วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากเราสามารถใช้การประมาณขนาดคานเพื่อหาความลึกและ
ความกว้างของคาน จากข้อแนะนาในเรื่องความลึกน้อยที่สุดของคาน และเลือกขนาดความกว้างของคานให้อัตราส่วน b/d มีค่าอยู่
ระหว่าง 0.25 ถึง 0.60 แต่อย่างไรก็ตามขนาดทั้งความกว้างและความลึกของคาน ควรจะเป็นตัวเลขที่สอดคล้องหรือพอเหมาะกับ
แบบหล่อคอนกรีตที่มีอยู่ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปจะให้ลงตัวที่การเพิ่มหรือลดค่าครั้งละ 5 ซม. หลังจากนั้นจะดาเนินการต่อตามขั้นตอน
ดังต่อไปนี้
1) หาค่าโมเมนต์ดัดประลัยที่เกิดขึ้นจริง โดยคานวณจากน้าหนักบรรทุกประลัยที่เพิ่มค่าแล้ว
2) ทดลองเลือกอัตราส่วนเหล็กเสริม โดยให้อยู่ในช่วงระหว่างค่า
และ
ถ้า อัต ราส่ วนเหล็ กเสริม ที่ ได้ เ กิน กว่ า ค่า ให้ ขยายหน้า ตั ดคาน หรื อ ถ้า ไม่ ส ามารถขยายได้ ให้
ออกแบบเป็นหน้าตัดที่มีทั้งเหล็กเสริมรับแรงดึงและแรงอัด
แต่ถ้าค่าอัตราส่วนเหล็กเสริม ที่คานวณได้ไม่เกินกว่าค่า เราก็จะสามารถคานวณหาพื้นที่หน้าตัดของ
เหล็กเสริมที่ต้องการได้จาก ตร.ซม.
= 0.85
= 0.0153
= 0.0115
= 0.0035
และ , = 0.0070
= 8.71 ซม.
= 0.882
= 24.70 กก./ตร.ซม.
กำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
ความลึกของคาน ( ) = 40 ซม.
2. คานวณน้าหนักบรรทุกที่กระทาต่อคาน
น้าหนักบรรทุกจร (LL)
3. น้าหนักบรรทุกประลัย ( )
4. คานวณหาแรงสูงสุดที่เกิดขึ้นในหน้าตัดคาน
2) ทดลองเลือกอัตราส่วนเหล็กเสริม = 0.0070
3) หาค่าความลึกประสิทธิผลขั้นต่าที่ต้องการของคาน
= = 35.64 ซม.
5) หาค่าอัตราส่วนเหล็กเสริม จาก
6) เลือกขนาดและจานวนเหล็กเสริมให้ได้สูงกว่าพื้นที่หน้าตัดเหล็กเสริมที่ต้องการ
น้าหนักบรรทุกประลัย ( )
คานวณหาแรงสูงสุดทีเ่ กิดขึ้นในหน้าตัดคาน
2) ทดลองเลือกอัตราส่วนเหล็กเสริม = 0.006
4) สมมุติความกว้างของคาน, = 20 ซม.
5) หาความลึกของหน้าตัดคาน และปัดให้เป็นเลขที่ลงตัวเหมาะสมกับแบบหล่อคาน
ความลึกคานมากกว่าความลึกน้อยที่สุดและน้าหนักคานไม่เกินจากที่สมมุติ O.K.
6) หาระยะ ที่แท้จริง
7) หาอัตราส่วนของเหล็กเสริมรับแรงดึง
8) เลือกขนาดและจานวนเหล็กเสริมให้ได้สูงกว่าพื้นที่หน้าตัดเหล็กเสริมที่ต้องการ
เขียนหน้ำตัดกำรเสริมเหล็ก
เขียนรูปตัดคานและการเสริมเหล็กเมื่อเปรียบเทียบวิธีการออกแบบทั้งสองวิธี ได้ดังแสดงในภาพที่ 6.28 จะพบว่า การ
ออกแบบทั้ง 2 วิธี ทาให้ได้ขนาดหน้าตัดและปริมาณการเสริมเหล็กไม่เท่ากัน แต่คานทั้งสองตัวต่างสามารถต้านทานโมเมนต์ดัด
ประลัยได้อย่างปลอดภัยเช่นเดียวกัน ดังนั้น การออกแบบขนาดหน้าตัดที่เหมาะสมจะทาให้สามารถประหยัดค่าก่อสร้างลงได้
2-DB12mm.(Main)
2-DB12mm.(Main)
b 0.003
d' C2
a=
d' C2 = A'sfs'
A's c C1
C1 A's
N.A.
h d d-d'
d-a/2
As As1 As2
T2= As2fy
T
T1= As1fy
Mn = Mn1 + Mn2
(a) หน้าตัดคาน คสล. และความเครียด (b) แรงคู่ควบคู่ที่ 1 (c) แรงคู่ควบคู่ที่ 2
(6.18a)
= (6.18b)
= (6.18c)
ดังนั้น กาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุดของคาน
(6.18d)
หรือ
(6.18e)
ตำแหน่งแนวแกนสะเทิน
จากสมดุลของแรงภายใน
หรือ (6.19a)
จากระยะ และ
(6.19b)
(6.19c)
(6.19d)
(6.19e)
เมื่อให้ และ
(6.19g)
(6.19h)
(6.19i)
หรือ (6.20a)
หรือ (6.20b)
(6.20c)
ในกรณีที่เหล็กเสริมรับแรงอัดถูกอัดจนถึงกาลังที่จุดคราก ดังนั้น
(6.20c)
(6.21a)
หรือ (6.21b)
(6.21c)
หรือ (6.21d)
ย้ายข้างสมการจะได้
= (6.21e)
กาลังต้านทานโมเมนต์ดัด ของคานจะได้
(6.21f)
หรือ
(6.21g)
0.003
ตรวจสอบกำรครำกของเหล็กเสริมรับแรงอัด d'
พิจารณาความเครียดที่เกิดขึ้นในเหล็กเสริมรับแรงอัด โดยใช้กฎ c
N.A.
ของสามเหลี่ยมคล้าย โดยเหล็กเสริมรับแรงอัดจะถึงจุดครากก็ต่อเมื่อค่า
d
มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ จะได้
(6.22a)
จัดใหม่ได้ (6.22b)
(6.22c)
(6.22d)
(6.22f)
1. คานวณค่าอัตราส่วน และ
3. ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงอัดว่าเหล็กเสริมรับแรงอัดครากหรือไม่
โดยที่ และ
หน่วย กก./ตร.ซม.
4. ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึง ว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถึงจุดครากหรือไม่
คานวณค่า นาไปเปรียบเทียบกับค่า
1) ถ้าเหล็กเสริมรับแรงดึงถึงจุดครากและเหล็กเสริมรับแรงอัดถึงจุดครากด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ระยะ =
2) ถ้าเหล็กเสริมรับแรงดึงถึงจุดครากแต่เหล็กเสริมรับแรงอัดยังไม่ถึงจุดคราก
2-DB12mm.
0.50 ป-RB6mm.@0.20m.
4-DB20mm.
0.30
Parameter
= 0.85
= 0.0164
= 0.0035
= 0.0123
ความกว้างคาน , = 30 ซม.
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงอัดว่าเหล็กเสริมรับแรงอัดถึงจุดครากหรือไม่
โดยหาค่า แล้วเปรียบเทียบกับค่า
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถูกดึงถึงจุดครากหรือไม่
โดยคานวณค่า นาไปเปรียบเทียบกับค่า
แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถูกดึงจนถึงกาลังที่จุดคราก นั่นคือ ( )
ขั้นตอนที่ 5 คานวณหาค่ากาลังต้านทานโมเมนต์ดัดที่หน้าตัดสามารถรับได้ปลอดภัย
= 18,567 กก.-ม.
= 18.57 ตัน-ม.
3-DB16mm.
0.50 ป-RB6mm.@0.20m.
4-DB20mm.
0.30
ภำพที่ 6.32 หน้าตัดคาน คสล. ทีเ่ สริมเหล็กเสริมรับแรงอัด
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐาน เท่ากับ 150 กก./ตร.ซม. ใช้เหล็กเสริมแบบผิวข้ออ้อยชั้น
คุณภาพ SD40 โดยมีระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 3.0 ซม.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 150 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = = 184,936 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง สาหรับแรงดัด = 0.90
Parameter
= 0.85
= 0.0164
= 0.0035
= 0.0123
ความกว้างคาน , = 30 ซม.
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงอัดว่าเหล็กเสริมรับแรงอัดถึงจุดครากหรือไม่
โดยหาค่า แล้วเปรียบเทียบกับค่า
= = 0.0051
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถูกดึงถึงจุดครากหรือไม่
โดยคานวณค่า นาไปเปรียบเทียบกับค่า
แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถูกดึงจนถึงกาลังที่จุดคราก นั่นคือ ( )
= 19,332 กก.-ม.
= 19.33 ตัน-ม.
1) คานวณหากาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุดของคานที่เสริมเฉพาะเหล็กเสริมรับแรงดึงเพียงอย่างเดียวโดยใช้ปริมาณ
เหล็กเสริมรับแรงดึงสูงสุด นั่นคือ ใช้อัตราส่วนเหล็กเสริม
คานวณปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่แรกที่ต้องใช้จาก
ดังนั้นหาความลึกของบล็อคหน่วยแรงอัดในคอนกรีตได้จาก ระยะ
คานวณกาลังรับโมเมนต์ดัดของคานที่เสริมเฉพาะเหล็กเสริมรับแรงดึงอย่างเดียว
หรือ
5) พิจารณาเหล็กเสริมรับแรงอัด
6) ปริมาณเหล็กเสริมรับแรงอัดที่ต้องใช้
7) ตรวจสอบกาลังรับโมเมนต์ดัดของหน้าตัดคาน ( ) ที่แท้จริงจากขนาดหน้าตัดและการเสริมเหล็กแท้จริง
6.00 m. 6.00 m.
ภำพที่ 6.33 คานต่อเนื่อง
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐาน เท่ากับ 173 กก./ตร.ซม. ใช้เหล็กเสริมแบบผิวข้ออ้อยชั้น
คุณภาพ SD30 โดยมีระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 4.0 ซม.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 173 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 4.0 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
Parameter
= 0.85
= 0.0280
= 0.0047
= 0.0210
และ , = 0.0210
= 19.17 ซม.
= 0.785
= 49.46 กก./ตร.ซม.
วิเครำะห์โครงสร้ำง
น้าหนักบรรทุกที่เพิ่มค่าแล้ว = 1.4(2.2)+1.7(3.2) = 8.52 ตัน/เมตร
ซึ่งข้อกาหนดดังกล่าวช่วยให้การวิเคราะห์คานต่อเนื่องง่ายขึ้นมาก โดยค่าสัมประสิทธิ์ของโมเมนต์บวกและโมเมนต์ลบที่
เกิดขึ้นในแต่ละหน้าตัดเพื่อใช้ในการออกแบบ เป็นดังนี้
จากค่าโมเมนต์ที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่า ค่าโมเมนต์ลบจะเป็นค่าที่ควบคุมขนาดหน้าตัดคาน
ออกแบบหน้าตัดเพื่อรับโมเมนต์บวกสูงสุด
1) หาค่าโมเมนต์ดัดประลัยที่เกิดขึ้นจริง = 19,170 กก.-ซม.
2) เลือกอัตราส่วนเหล็กเสริม = 0.021
3) หาค่าความลึกประสิทธิผลขั้นต่าที่ต้องการของคาน
= = 41.50 ซม.
5) หาค่าอัตราส่วนเหล็กเสริม จาก
6) เลือกขนาดและจานวนเหล็กเสริมให้ได้สูงกว่าพื้นที่หน้าตัดเหล็กเสริมที่ต้องการ
ออกแบบหน้าตัดเพื่อรับโมเมนต์ลบสูงสุด
1) คานวณหากาลังต้านทานโมเมนต์ดัดสูงสุดของคานที่เสริมเฉพาะเหล็กเสริมรับแรงดึงเพียงอย่างเดียว
กาลังรับโมเมนต์ดัดของคานที่เสริมเฉพาะเหล็กเสริมรับแรงดึงอย่างเดียว
= = 2,230,270 กก.-ซม.
= 22.30 ตัน-เมตร
โมเมนต์ที่หน้าตัดคานที่เสริมเฉพาะเหล็กเสริมรับแรงดึงน้อยกว่าโมเมนต์ประลัยที่เกิดขึ้น ดังนั้นต้องเสริมเหล็ก
เสริมรับแรงอัดเพื่อรับโมเมนต์ส่วนที่เกิน
3) คานวณหาปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงที่ต้องการเพิ่ม โดยสมมุติให้เหล็กเสริมรับแรงอัด ( )
หรือ
= = 5.07 ตร.ซม.
4) คานวณปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงทั้งหมด
5) พิจารณาเหล็กเสริมรับแรงอัด
= = 5,034 กก./ตร.ซม.
= 5.07 ตร.ซม.
7) ตรวจสอบกาลังรับโมเมนต์ดัดของหน้าตัดคานที่แท้จริง
ตรวจสอบกำลังรับโมเมนต์ดัดของหน้ำตัดคำนและปริมำณเหล็กเสริมที่เลือกใช้
ความกว้างคาน , = 25 ซม.
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงอัดว่าเหล็กเสริมรับแรงอัดถึงจุดครากหรือไม่
โดยหาค่า แล้วเปรียบเทียบกับค่า
= = ( ) = 0.01141
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถูกดึงถึงจุดครากหรือไม่
โดยคานวณค่า นาไปเปรียบเทียบกับค่า
แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถูกดึงจนถึงกาลังที่จุดคราก นั่นคือ ( )
ขั้นตอนที่ 5 คานวณหาค่ากาลังต้านทานโมเมนต์ดัดที่หน้าตัดสามารถรับได้ปลอดภัย
= = 28,888 กก.-ม.
= 28.88 ตัน-ม.
O.K.
6.00 m. 6.00 m.
(a) รูปตัดตามยาวคาน B1
2-DB25mm.(Main) 2-DB25mm.(Main)
+4-DB25mm.(Ext.)
2-DB25mm.(Main)
+2-DB25mm.(Ext.) 2-DB25mm.(Main)
0.25 m. 0.25 m.
6.5 เอกสำรอ้ำงอิง
Problem 6.10 จงออกแบบคาน คสล. ต่อเนื่อง (Continuous beam) ความยาว 5.0 เมตร สองช่วง ซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุก
จากพื้นสาเร็จรูป span 4.5 เมตร (LL= 300 kg/sq.m) จากสองด้าน และรับผนังก่ออิฐมอญครึ่งแผ่นสูง 2.8 เมตร ตลอดความยาว
คาน โดยให้ใช้ fc' = 210 ksc. และเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD30 ระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 3.0 ซม. พร้อมทั้งจัดหน้า
ตัดเหล็กเสริมให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการรับแรงดัดของคาน (โดยออกแบบเป็นคานที่มีเหล็กเสริมรับแรงอัดและพร้อมทั้ง
ออกแบบปริมาณเหล็กปลอกที่ต้องรับแรงเฉือน
Problem 6.11 จงออกแบบคาน คสล. ช่วงเดี่ยว (Simple beam) ความยาว 6.0 เมตร ซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุก จากพื้น
สาเร็จรูป span 4.0 เมตร (LL= 400 kg/sq.m) เพียงด้านเดียว และรับผนังก่ออิฐมอญเต็มแผ่นสูง 3.0 เมตร ตลอดความยาวคาน
โดยให้ใช้ fc' = 210 ksc. และเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD40 ระยะหุ้มของคอนกรีตเท่ากับ 3.0 ซม. โดยให้ออกแบบเป็น
คานที่เสริมเหล็กรับแรงอัด พร้อมทั้งออกแบบปริมาณเหล็กปลอกรับแรงเฉือน
(ที่มา : http://www.ctbuh.org/Portals/0/events/Conferences/Mumbai10/Tour/Palais%20Royale/Royale11_600x400.jpg)
7.1 บทนำ
ในระบบโครงสร้างของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก การถ่ายน้าหนักของโครงสร้างจากระบบพื้นลงสู่คานแล้ว น้าหนักหรือ
แรงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่จุดรองรับของคาน ก็จะถูกส่งถ่ายต่อไปยังเสา ซึ่งเสาจะทาหน้าที่สาคัญในโครงสร้างอาคาร คือรับแรงตาม
แนวแกน (Axially loaded) หรืออาจจะเป็นแรงแบบเยื้องศูนย์ (Eccentric loaded) โดยส่งถ่ายน้าหนักบรรทุกใช้งานจากพื้น -
คานลงสู่เสาชั้นต่อ ๆ ไป จนกระทั่งลงไปถึงเสาตอม่อและสุดท้ายส่งต่อไปยังฐานรากที่รองรับ เนื่องจากเสาเป็นองค์อาคารที่รับ
แรงอัด การวิบัติของเสา ณ จุดวิกฤติใด ๆ สามารถส่งผลให้โครงสร้างเกิดการวิบัติแบบทันทีทันใดได้ ซึ่งเป็นการวิบัติที่ไม่พึง
ประสงค์ ดังนั้น การออกแบบโครงสร้างเสา ควรจะต้องออกแบบให้มีความแข็งแรง (หรือมีส่วนปลอดภัย) มากกว่าโครงสร้างส่วน
พื้นและคาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงสร้างอาคารที่ออกแบบให้สามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหว มักจะออกแบบโดยใช้หลักการ
Weak-Beam Strong-Column คือ ถ้ามีแรงกระทาที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว จะต้องยินยอมให้เกิดการวิบัติขึ้นในส่วนของคาน
ก่อนที่จะเกิดการวิบัติในเสา ทั้งนี้หากเกิดการวิบัติของพื้นและคานขึ้น แต่โครงสร้างเสาจะยังคงอยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหาก
เกิดการวิบัติของเสา โครงสร้างในส่วนอื่น ๆ อาทิเช่น คานและพื้นย่อมเกิดการวิบัติด้วยเช่นกัน
การรับแรงของเสา นอกจากที่ต้องรับแรงอัดโดยตรงแล้ว ในบางครั้งยังต้องรับแรงบิดหรือโมเมนต์ดัดร่วมที่หัวเสาด้วย
อาทิเช่ น ในกรณีของเสาต้ นริมของอาคารสูงที่ ต้องค านวณแรงลมหรือแรงแผ่น ดินไหว หรือเสาที่ต้ องรับรางเครนในโรงงาน
อุตสาหกรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ในการคานวณออกแบบเสา ก็ยังมีตัวแปรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น พฤติกรรมแบบเสาสั้น
(Short column) เสายาว (Long column) ลักษณะการยึดรั้งบริเวณหัวเสา เป็นต้น ดังนั้น การออกแบบเสาต้องให้สอดคล้ องกับ
พฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยการออกแบบเสาก็คือการหาขนาดและรูปร่างของเสา รวมทั้งปริมาณเหล็กเสริมที่เพียงพอในการรับ
แรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย
กรณีศึกษำที่ 7.1
งานก่อสร้างอาคารปฏิบัติการของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งซึ่งตามแบบสถาปัตยกรรมระบุระยะห่างระหว่างเสา (Span)
เท่ากับ 20.0 เมตร โดยที่บริเวณชั้น G มีระดับสูงจากดินเดิมประมาณ 2.00 เมตร โดยไม่มีชั้นใต้ดิน เสาตาม Grid Line ดังกล่าว
ห่างกันทุก ๆ 5.0 เมตร ดังแสดงในภาพที่ 7.4 ซึ่งถ้าวิศวกรโครงสร้างวางแบบจาลองโดยใช้ความยาวช่วงเสา 20.0 เมตร ตามแบบ
สถาปัตยกรรม เมื่อลองคานวณน้าหนักบรรทุกที่กระทาต่อคานโดยประมาณและวิเคราะห์หาหน่วยแรงภายในได้ดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริง
สมมุติขนาดคาน B10 มีขนาดกว้าง 0.60 ม. ความลึก 1.80 ม. น้าหนักที่กระทาต่อคาน ประกอบด้วย
1. น้าหนักบรรทุกคงที่
2. น้าหนักบรรทุกจร
ถ้าออกแบบโครงสร้างคานโดยวิธีหน่วยแรงใช้งาน
Axial deformation ( )
(a) กราฟความสัมพันธ์ระหว่างแรงอัดกับการเสียรูปตามแนวแกนของเสาสั้น
7.5.2 ช่องว่ำงระหว่ำงเหล็กยืน
จะต้องไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางเหล็กยืนหรือต้องมากกว่า 1.5 เท่าของขนาดหินใหญ่สุดที่ต้องใช้ผสม
คอนกรีต หรือไม่น้อยกว่า 4 ซม. แต่ถ้าหากปริมาณเหล็กเสริมเรียงชิดกันมากกว่านี้ ให้จัดวางเหล็กเป็น 2 วง
7.5.4 ขนำดและปริมำณของกำรเสริมเหล็กปลอกเสำ
จะต้องเป็นไปตามข้อกาหนด ดังต่อไปนี้
ก) เหล็กปลอกสาหรับเสาปลอกเดี่ยวต้องมีขนาดไม่เล็กกว่า 6 มม. และรัดเป็นระยะห่างไม่เกินกว่า 16 เท่าของ
เส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กยืน หรือ 48 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอกหรือระยะห่างไม่มากกว่าด้านที่แคบที่สุดของเสา
และเหล็กปลอกจะต้องเกี่ยวยึดกับเหล็กยืนทุกเส้น
ข) เหล็กปลอกเกลียวจะต้องใช้ขนาดไม่ต่ากว่า 6 มม. พันเป็นเกลียวต่อเนื่องไป โดยมีระยะห่างไม่ต่ากว่า 3 ซม.
และไม่มากกว่า 7 ซม. หรือไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของขนาดใหญ่สุดของหินที่ใช้ผสมคอนกรีต ปริมาตรของเหล็กปลอกเกลียวจะต้อง
ไม่น้อยกว่าที่คานวณได้จากสมการที่ 7.2
(7.2)
ปริมาตรของเหล็กปลอกเกลียว
โดยที่
ปริมาตรของแกนเสาวัดที่ขอบนอกสุดของเหล็กปลอกเกลียว
fy = กาลังคลากของเหล็กปลอกเกลียว (และต้องไม่เกิน 4,200 กก./ตร.ซม. แต่ถ้าใช้เป็นเหล็กเส้น
กลม RB6 หรือ RB9 ชั้นคุณภาพ SR24 ให้ใช้ 2,400 กก./ตร.ซม.)
Ac = เนื้อที่แกนของเสาปลอกเกลียว โดยวัดถึงขอบนอกสุดของเส้นผ่าศูนย์กลางเหล็กปลอกเกลียว
Ag = เนื้อที่หน้าตัดทั้งหมดของเสาปลอกเกลียว
h = 7.50 m.
7.6.1 เสำสั้นปลอกเดี่ยวและปลอกเกลียว
ก) เสำปลอกเกลียว
(7.3a)
หรือก็คือ
: กาลังรับน้าหนักที่เสาสามารถรับได้โดยคอนกรีต (กก.)
: กาลังรับน้าหนักที่เสาสามารถรับได้โดยเหล็กเสริม (กก.)
กาลังรับน้าหนักปลอดภัยของเสา (กก.)
(7.3b)
(7.4a)
: กาลังรับน้าหนักที่เสาสามารถรับได้โดยเหล็กเสริม (กก.)
กาลังรับน้าหนักปลอดภัยของเสา (กก.)
(7.4b)
จัดเป็นเสาสั้น สามารถใช้สมการการออกแบบเสาสั้นได้
น้าหนักบรรทุกที่ต้องรับโดยเหล็กเสริม เท่ากับ
ตรวจสอบน้าหนักบรรทุกปลอดภัยที่เสาสามารถรับได้
3) ด้านที่แคบที่สุดของเสา = 25 ซม.
ดังนั้น เลือกใช้เหล็กปลอก
8-DB12mm.(Main) 8-DB12mm.(Main)
0.30 m. ST-RB6mm@0.175m. 0.30 m. ST-RB6mm@0.175m.
0.25 m. 0.25 m.
ขั้นตอนกำรออกแบบ
จัดเป็นเสาสั้น สามารถใช้สมการการออกแบบเสาสั้นได้
กาลังรับน้าหนักบรรทุกที่หน้าตัดคอนกรีตของเสากลมขนาด 0.25 m. สามารถรับได้ เท่ากับ
น้าหนักบรรทุกที่ต้องรับโดยเหล็กเสริม เท่ากับ
ตรวจสอบน้าหนักบรรทุกปลอดภัยที่เสาสามารถรับได้
ปริมาตรของเหล็กปลอกเกลียว
โดยที่
ปริมาตรของแกนเสาวัดที่ขอบนอกสุดของเหล็กปลอกเกลียว
จะได้ = 0.0206
ดังนั้น ระยะห่างของเหล็กปลอกเกลียว ,
ดังนั้น เลือกใช้เหล็กปลอกเกลียว
เขียนรูปตัดเสาและการเสริมเหล็กได้ดังรูป
0.25m. 6-DB16mm.(Main)
ST-RB6mm@0.03m.(Spiral)
7.6.2 เสำปลอกเกลียวเสริมแกนเหล็ก
ในบางครั้งเสาที่มีแป้นหูช้าง ซึ่งเป็นเสาปลอกเกลียวธรรมดา อาจจะใช้วิธีการเสริมแกนเหล็ก โดยอาจจะเป็นเหล็กหล่อ
หรือแกนเหล็กรูปพรรณเป็นแกนกลางเสา มีสูตรหาน้าหนักปลอดภัยดังนี้
(7.5)
= พื้นที่หน้าตัดเสาส่วนที่เป็นคอนกรีต (ตร.ซม.)
= , เมื่อ = พื้นที่หน้าตัดเสา
= หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของเหล็กเสริม (กก./ตร.ซม.)
= กาลังอัดประลัยของคอนกรีต (กก./ตร.ซม.)
= พื้นที่หน้าตัดของเหล็กยืน (ตร.ซม.)
ส่วนที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กจะต้องออกแบบให้รับน้าหนักบรรทุกจากแป้นหูช้างที่เชื่อมกับเหล็กแกนได้ โดย
หน่วยแรงของส่วนนี้จะต้องไม่เกิน เมื่อเทียบกับหน้าตัด
ช่องว่างระหว่างเหล็กปลอกเกลียวกับเหล็กเสริมแกนจะต้องมากกว่า 7.5 ซม.
ถ้าหน้าตัดเหล็กเสริมแกนเป็นหน้าตัดรูปตัว H ช่องว่างส่วนแคบสุดจะต้องมากกว่า 5.0 ซม.
เหล็กเสริมแกนต้องรับน้าหนักต่าง ๆ ระหว่างการก่อสร้างได้อย่างปลอดภัยก่อนเทคอนกรีตหุม้
7.6.3 เสำเหล็กหุ้มด้วยคอนกรีต
เป็นเสาเหล็กที่มีคอนกรีตหุ้มไม่น้อยกว่า 6 ซม. และที่ระยะประมาณ 2.5 ซม.จากผิวนอกจะต้องเสริมลวดตาข่ายเบอร์
10 โดยรอบเสาและเหลื่อมซ้อนกันมากกว่า 40 เท่าของขนาดลวด เหล็กที่พันรอบเสาห่างกันไม่เกิน 10 ซม. เหล็กยืนวางห่างกันไม่
เกิน 20 ซม. ค่าน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาคานวณได้จากสมการที่ 7.6
(7.6)
= พื้นที่หน้าตัดของเหล็กรูปพรรณ (ตร.ซม.)
= พื้นที่หน้าตัดเสาส่วนที่เป็นคอนกรีต (ตร.ซม.)
= , เมื่อ = พื้นที่หน้าตัดเสา
= หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของเหล็กเสริมแกน (ตร.ซม.)
= 1,250 ksc (สาหรับเหล็กรูปพรรณชั้นคุณภาพ A36)
= 1,100 ksc (สาหรับเหล็กรูปพรรณชั้นคุณภาพ A7)
= 700 ksc (สาหรับเหล็กหล่อ)
เหล็กเสริมแกนต้องรับน้าหนักต่าง ๆ ระหว่างการก่อสร้างได้อย่างปลอดภัยก่อนเทคอนกรีตหุม้
(7.7)
= ความสูงของเสา (ม.)
= หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของเหล็กเสริมแกน (ตร.ซม.)
= กาลังอัดประลัยของคอนกรีต (กก./ตร.ซม.)
= พื้นที่หน้าตัดของท่อเหล็ก (ตร.ซม.)
= พื้นที่หน้าตัดเสาส่วนที่เป็นคอนกรีต (ตร.ซม.)
= รัศมีไจเรชั่นของหน้าตัดส่วนที่เป็นคอนกรีต (ม.)
= รัศมีไจเรชั่นของหน้าตัดส่วนท่อเหล็กรูปพรรณ (ม.)
Mx ex
My cy x-Axis
y-Axis
(a) (b)
เมื่อเสาต้องรับแรงเยื้องศูนย์หรือรับโมเมนต์ร่วมกับแรงตามแนวแกนดังกล่าวไปแล้ว จะทาให้เกิดหน่วยแรงทั้งจากแรง
และจากโมเมนต์ดัด และ โดยพิจารณาจากผลรวมของอัตราส่วนของหน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริงต่อหน่วยแรงที่ยอมให้ทั้งแรง
ในแนวแกนและโมเมนต์ดัดที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในทิศทางแกน x และแกน y จะต้องมีค่าไม่เกิน 1 ดังสมการที่ 7.8a
(7.8a)
โดยที่
= หน่วยแรงในแนวแกนที่เกิดขึ้นในหน้าตัดเสา (กก./ตร.ซม.)
= (7.8b)
= พื้นที่หน้าตัดเสา (ตร.ซม.)
= หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ (กก./ตร.ซม.)
= (7.8c)
= หน่วยแรงดัดที่เกิดขึ้นเนื่องจากโมเมนต์ดัดในแนวแกน x (กก./ตร.ซม.)
Reinforced Concrete Design (WSD & SDM) by Aj.Pongnathee Maneekul 228
= (7.8d)
= หน่วยแรงดัดที่เกิดขึ้นเนื่องจากโมเมนต์ดัดในแนวแกน y (กก./ตร.ซม.)
= (7.8e)
= (7.8g)
= อัตราส่วนเหล็กเสริมของเหล็กเสริมทั้งหมดต่อพื้นที่หน้าตัดประสิทธิผล
= (7.8h)
= อัตราส่วนเหล็กเสริมของเหล็กเสริมด้านรับแรงดึงต่อพื้นที่หน้าตัดประสิทธิผล
= (7.8i)
' = อัตราส่วนเหล็กเสริมของเหล็กเสริมด้านรับแรงอัดต่อพื้นที่หน้าตัดประสิทธิผล
= (7.8j)
CL P C
CL T
e = M/P
M เสา เสา
0.003
ขนาดเสา c c
ระยะเยื้องศูนย์สมดุล
ระยะเยื้องศูนย์สมดุลจะทาให้เกิดหน่วยแรงจริงเท่ากับหน่วยแรงที่ยอมให้ทั้งในเหล็กเสริมด้านรับแรงดึงและคอนกรีตใน
ด้านรับแรงอัด เราเรียกว่าสภาวะสมดุล โดยเสารูปร่างแต่ละชนิดมีระยะเยื้องศูนย์สมดุลที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
1. เสาปลอกเดี่ยวหน้าตัดสี่เหลี่ยมจตุรัส (เสริมเหล็กทั้งสองด้านเหมือนกัน)
y-Axis
b x-Axis
(7.9a)
2. เสาหน้าตัดสี่เหลี่ยมจตุรัสเหล็กปลอกเกลียว (เสริมเหล็กทั้งสองด้านเหมือนกัน)
y-Axis
x-Axis
b Ds
(7.9b)
3. เสาปลอกเกลียวหน้าตัดกลม y-Axis
D x-Axis
(7.9c)
y-Axis
t x-Axis
(7.9d)
(7.9e)
5. เสาปลอกเดี่ยวหน้าตัดสี่เหลี่ยมผืนผ้า (เสริมเหล็กทั้งสองด้านไม่เหมือนกัน)
y-Axis
x-Axis
t
(7.9f)
(7.9g)
1.หน้าตัดวงกลม เรียงเหล็กยืนเป็นวงกลม
D x-Axis
(7.10c)
และระยะ (7.10d)
2.หน้าตัดสี่เหลี่ยมจตุรัส เรียงเหล็กยืนเป็นวงกลม
y-Axis
b x-Axis Ds
(7.10a)
และระยะ (7.10b)
3. หน้าตัดสี่เหลี่ยมจตุรัส เรียงเหล็กยืนเหมือนกันทั้งสองด้าน
y-Axis
b Db
x-Axis
b
(7.10e)
และระยะ (7.10f)
y-Axis
t x-Axis
Dt
Db
b
(7.10g)
(7.10h)
และระยะ (7.10i)
4. หน้าตัดสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรียงเหล็กทั้งสองด้านไม่เท่ากัน
y-Axis
t x-Axis
Dt
Db
b
(7.10j)
(7.10k)
และระยะ (7.10l)
ช่วงที่ 1 ออกแบบเสำรับแรงในแนวแกนเพียงอย่ำงเดียว
ระยะเยื้องศูนย์ (7.11a)
(7.11b)
(7.11c)
ช่วงที่ 2 สมกำรกำรคำนวณออกแบบโดยพิจำรณำแรงอัดเป็นหลัก
สาหรับเสาหน้าตัดกลมและสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีเหล็กยืนเรียงเป็นวงกลมและเหล็กปลอกเกลียว
(7.12a)
(7.12c)
สาหรับเสาหน้าตัดสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหล็กปลอกเดี่ยว เหล็กสองด้านไม่เหมือนกัน
(7.12d)
(7.12e)
แผนภูมิปฏิสัมพันธ์ของเสำ (Interaction Diagram)
Pa ea
1
2
Pb eb
3
Ma Mo Mb
เสาเป็นเสาปลอกเดี่ยวที่มหี น้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน ( ) = 170 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จะครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 ( ) = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม ( ) = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต ( ) = = = 196,880 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต ( ) = 76.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น ( ) = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของเหล็กเส้น ( ) = 1,200 กก./ตร.ซม.
9. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
Parameter
1. อัตราส่วนโมดูลาร์ ( ) = = 10.36 ใช้ 10
2. = = 0.338
3. = 0.887
ออกแบบปริมำณกำรเสริมเหล็ก
ในการออกแบบเสาที่ต้องรับโมเมนต์ดัดร่วม มีข้อแนะนาในการออกแบบคือให้เพิ่มแรงตามแนวแกนที่ใช้ในการออกแบบ
อีกประมาณ 15% ดังนั้น
= 40,250 กก.
น้าหนักบรรทุกที่ต้องรับโดยเหล็กเสริม เท่ากับ
โดยมีคณ
ุ สมบัติของหน้าตัดดังต่อไปนี้
= = 81,001.68 ซม.3
= 30/2 = 15 ซม.
ระยะเยื้องศูนย์ของแรง
ตรวจสอบระยะเยื้องศูนย์,
= = 3,000/(0.85*170) = 20.76
ตรวจสอบระยะเยื้องศูนย์ ,
เข้ากรณีที่ เราจะต้องคานวณออกแบบโดยใช้แรงอัดเป็นหลักโดยใช้สมการ
โดยที่
= = 35,000/750 = 46.67 กก./ตร.ซม.
ดังนั้น
ดังนั้น =1
P(Ton)
70
60
(1.5,35) OK.
12-DB12mm.(Main)
50
ea 0.30 m. ST-RB6mm@0.175m.
3%
40 2%
30 eb 0.25 m.
20
10
Mx(Ton-m.)
0
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0
หรือ
เสายาว = ความสามารถในการรับโมเมนต์ของเสายาว
อัตราส่วนความชะลูดของเสายาว =
เมื่อ r = รัศมีไจเรชั่น =
h = ความสูงอิสระของเสาตามรายละเอียดในหัวข้อ 7.5.5
ปัจจัยสำคัญทีม่ ีผลกระทบต่อกำลังรับน้ำหนักของเสำยำว
ได้แก่
อัตราส่วนระหว่างช่วงความยาวของเสาต่อความลึกของรูปตัด ระยะเยื้องศูนย์หรือโมเมนต์ดัดเริ่มแรกที่กระทา
ตลอดจนทิศทางของโมเมนต์ดัดที่กระทาต่อปลายทั้งสองของเสา
การเซของปลายเสา ยอมให้เกิดการเซได้หรือไม่ ซึ่ งถ้าหากเสามีการเซที่ปลายมากก็จะทาให้กาลังรับน้าหนัก
บรรทุกของเสายาวน้อยกว่าเสาที่ไม่เกิดการเซ
สภาพการยึดที่ปลายของเสา ถ้าหากขนาดของคานที่มายึดปลายเสามีสติฟเนสสูงก็จะทาให้กาลังรับน้าหนักของ
เสาสูงขึ้นด้วย
ปริมาณของเหล็กยืนและกาลังของวัสดุ
ระยะเวลาของการรับ น้าหนักบรรทุก ซึ่งมี ผลมาจากคอนกรีต เกิด การล้า เมื่ อต้ องรั บน้าหนั กบรรทุก เป็ น
เวลานาน
ในส่วนของการเซที่ปลายเสาและสภาพการยึดที่ปลายเสา เราจะได้ศึกษาโดยละเอียดดังหัวข้อต่อไปนี้
ลักษณะการเสียรูปของเสา
เมื่อรับแรงตามแนวแกน
กรณีที่ 1 : จุดรองรับที่ปลายทั้งบนและล่างเป็นจุดรองรับแบบยึดแน่น
กรณีที่ 4 : จุดรองรับที่ปลายล่างเป็นแบบยึดแน่นและจุดรองรับที่ปลายบนเคลื่อนที่ได้แต่หมุนไม่ได้
(a) Braced frame, hinge base (b) Unbraced frame, hinge base
P P
(c) Braced frame, fixed base (d) Unbraced frame, fixed base
ภำพที่ 7.18 ลักษณะและพฤติกรรมการเสียรูปของโครงสร้างที่มีการค้ายันและปราศจากการค้ายัน
(Chu-Kia Wang and Charles G. Salmon, 1992)
(7.14a)
= ผลรวมของสติฟเนสของคาน ( ) ที่มาพบตรงจุดต่อ j
= ความสูงอิสระของเสา
= ความยาวของคาน
= โมเมนต์ความเฉื่อยของเสาและคาน
= สาหรับเสาและคานหน้าตัดสี่เหลี่ยมผืนผ้า
= สาหรับเสาหน้าตัดกลม
(7.14b)
ตัวคูณลดกำลังเสำยำว
(7.15a)
2. เมื่อเสำรับแรงอัดเป็นหลัก
P P P P r'T < 25
r'T < 25 r'T > 1 r'T < 25 P
MT MT MT
h จุดดัดกลับ
จุดดัดกลับ
MB MB MB MB
r'B
'
r B < 25 r'B > 25 r'B = 1
r'B < 25 >1
(a) (b) (c) (d) (e)
ภำพที่ 7.19 พฤติกรรมการดัดและจุดรองรับเสาที่แตกต่างกัน (สมศักดิ์ คาปลิว, 2535)
(7.16c)
(7.16d)
โดยที่ (7.16e)
และ
(7.16f)
โดยที่ (7.16g)
2.5) ปลายเสาเคลื่อน ลักษณะการโก่งแบบเสายื่น
(7.16h)
โดยที่ (7.16i)
3. เมื่อเสำรับแรงดึงเป็นหลัก
= ระยะเยื้องศูนย์สมดุล
= ระยะเยื้องศูนย์จริง
เสา C1 h = 7.40 m.
เสา C1
แกน x
คาน GB1
คาน GB2
L = 7.00 m.
คาน GB2
แกน y
เสาเป็นเสาที่รับแรงตามแนวแกนร่วมกับโมเมนต์ดัด
ตรวจสอบระยะ h/b = 740/25 = 29.6 > 15 (เสายาว)
คำนวณตัวคูณลดกำลังของเสำยำว
ดังนั้น ต้องหาตัวคูณลดกาลังของเสายาว
คานวณค่าสติฟเนสของเสาและคาน
เสา C1 = I/h = Ar2 = (25x30)(0.3x30)2/740 = 82.10
เสาตอม่อ = I/h = Ar2 = (25x30)(0.3x30)2/150 = 405
คาน B1 = I/L = Ar2 = (25x70)(0.3x70)2/700 = 1,102.5
คาน B2 = I/L = Ar2 = (25x70)(0.3x70)2/800 = 964.70
คาน GB1 = I/L = Ar2 = (25x50)(0.3x50)2/700 = 401.8
คาน GB2 = I/L = Ar2 = (25x60)(0.3x60)2/800 = 607.5
C1 C1 = = 1.21 < 25
GB1 r'B
เสาตอม่อ C1 เสาตอม่อ C1
แนวแกน y
r'T B2
= = 0.08 < 25
C1
เลือกใช้ตัวคูณลดกาลังเสายาว = 0.93
เสาสั้น
เสายาว
= 38/0.93 = 40.86 ตัน
และ เสาสั้น
เสายาว
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน ( ) = 170 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จะครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 ( ) = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม ( ) = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต ( ) = = = 196,880 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต ( ) = 76.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น ( ) = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของเหล็กเส้น ( ) = 1,200 กก./ตร.ซม.
9. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 3.0 ซม.
Parameter
1. อัตราส่วนโมดูลาร์ ( ) = = 10.36 ใช้ 10
2. = = 0.338
3. = 0.887
ออกแบบปริมำณกำรเสริมเหล็กเสำ
ในการออกแบบเสาที่ต้องรับโมเมนต์ดัดร่วม มีข้อแนะนาในการออกแบบคือให้เพิ่มแรงตามแนวแกนที่ใช้ในการออกแบบ
อีกประมาณ 15% ดังนั้น
P = 1.15(40,860) = 46,989 กก.
กาลังรับน้าหนักบรรทุกที่หน้าตัดคอนกรีตของเสาขนาด 0.25x0.30 m. สามารถรับได้ เท่ากับ
น้าหนักบรรทุกที่ต้องรับโดยเหล็กเสริม เท่ากับ
โดยมีคณ
ุ สมบัติของหน้าตัดดังต่อไปนี้
= = 111,271 ซม.3
= = 73,546 ซม.3
= 30/2 = 15 ซม.
= = 3,000/(0.85*170) = 20.76
แสดงว่าปริมาณเหล็กเสริมที่เลือกใช้ยังไม่เพียงพอต่อการต้านทานแรงตามแนวแกนร่วมกับโมเมนต์ดัดทั้งสองแกน ดังนั้น
ทดลองเพิ่มปริมาณเหล็กยืน
จาก = = 0.486
ดังนั้น เพื่อให้ปลอดภัยจากผลรวมของหน่วยแรงอัดและแรงดัด
จะได้ว่า = 0.513
หรือ = = = 106.20
= = 133,268 ซม.3
= = 87,332 ซม.3
= 30/2 = 15 ซม.
= = 3,000/(0.85*170) = 20.76
ดังนั้น
= 0.921 < 1.00 O.K.
แสดงว่าหน้าตัดดังกล่าวและปริมาณเหล็กเสริมที่เลือกใช้เพียงพอต่อการต้านทานแรงตามแนวแกนร่วมกับโมเมนต์ดัดทั้ง
สองแกน
7.7.1 เสำสั้นปลอกเดี่ยวและปลอกเกลียว
ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงพื้นฐานการออกแบบเสา คสล. โดยวิธีกาลัง ซึ่งจะพิจารณาที่เสาซึ่งเข้าตามเกณฑ์กาหนดเสาสั้ น
และมีแรงกระทาเฉพาะแรงอัดตามแนวแกน โดยที่แรงกระทาไม่มีการเยื้องศูนย์ รวมทั้งยังไม่พิจารณาการรับโมเมนต์ดัดร่วม โดย
แบ่งเป็นการออกแบบเสาประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ก) เสำปลอกเกลียว
7.8 สรุปเนื้อหำ
ในบทนี้ นักศึกษาได้เรียนรู้พฤติกรรมและลักษณะการวิบัติของเสาสั้น คสล. นิยามของเสาสั้นและเสายาว สมการในการ
คานวณหากาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาสั้นชนิดต่าง ๆ สมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเสาสั้นที่ต้องรับแรง
ตามแนวแกนร่วมกับโมเมนต์ดัด และการปรับลดกาลังของเสายาวตามลักษณะเงื่อนไขของจุดรองรับเสาที่แตกต่างกัน รวมทั้งได้ฝึก
การคานวณออกแบบเสาสั้นและเสายาวทั้งวิธีหน่วยแรงใช้งาน (WSD) และวิธีกาลัง (SDM)
(ที่มา : http://debug.pi.gr/BookimagesEn/00590.jpg)
8.1 บทนำ
ในส่วนของโครงสร้างอาคารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารสูงจาเป็นต้องออกแบบให้รับแรงทางด้านข้าง (Lateral loads)
ที่กระทาต่ออาคาร ซึ่งประกอบไปด้วย แรงลม (Wind load) หรือในบางพื้นที่ซึ่งอยู่ในโซนที่มีความเสี่ยงในการเกิดแผ่นดินไหว
จาเป็นต้องคานวณออกแบบให้สามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหว (Earthquake load)ได้ ซึ่งแรงทางด้านข้างที่กระทาต่ออาคารจะ
ทาให้เกิดแรงเฉือนในแนวราบกับหน้าตัดเสา ซึ่งถ้าหากแรงเฉือนดังกล่าวมีขนาดหรือหน่วยแรงเฉือนสูงกว่าหน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้
จาเป็นต้องขยายหน้าตัดเสา หรือในบางครั้งอาจจะใช้กาแพง คสล. เป็นกาแพงรับแรงเฉือนจากแรงทางด้านข้างดังกล่าว โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งอาคารสูงซึ่งจาเป็นต้องมีลิฟท์โดยสาร ผู้ออกแบบมักนิยมออกแบบให้ผนังลิฟท์เป็นผนัง คสล. เพื่อรับแรงเฉือน
9.1 บทนำ
ฐานรากเป็นชิ้นส่วนของโครงสร้างที่ถ่ายแรงทั้งหมดของอาคารนับตั้งแต่หลังคาลงมาจนกระทั่งถึงเสาตอม่อหรือกาแพง
กันดินลงไปยังชั้นดินที่แข็งแรงเพียงพอ ถ้าการถ่ายน้าหนักจากอาคารลงไปสู่ชั้นดินที่แข็งแรงได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ฐานราก
จะต้องถูกออกแบบให้ป้องกันการทรุดตั วเกินกว่าค่าที่ยอมให้ (Excessive settlement) หรือเกิดการหมุน (Rotation) การเลื่อน
ไถล (Sliding) หรือการพลิกคว่า (Overturning) นอกจากนี้แล้ว การออกแบบฐานรากที่ดีควรจะคานึงถึงในเรื่องการป้องกันการ
ทรุดตัวไม่เท่ากันด้วย (Differential settlement) โดยเฉพาะอย่างยิ่ งการออกแบบฐานรากที่ระดับฐานรากไม่อยู่ที่ดินระดับ
เดียวกันดังเช่นตัวอย่างในภาพที่ 9.1 ซึ่งแสดงอาคารคลุมหลุมขุดค้นไดโนเสาร์ซึ่งต้องก่อสร้างอยู่บนลาดเชิงเขาทาให้ระดับฐานราก
แตกต่างกัน การออกแบบจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
9.2.1 กำรทดสอบเพื่อหำกำลังรับน้ำหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน
การทดสอบเพื่อให้มั่นใจได้ว่าได้การคาดคะเนค่ากาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดินได้อย่างถูกต้อง จาเป็นต้องมีการ
ทดสอบทั้งในภาคสนามและในห้องปฏิบัติการ (วัชรินทร์ กาสลัก, 2556)
9.3 ชนิดของฐำนรำก
ชนิดของฐานรากจะขึ้นอยู่กับลักษณะและวัตถุประสงค์การทางานที่แตกต่างกัน โดยฐานรากที่ง่ายสุดในการออกแบบและ
ทางานได้แก่ ฐานรากเดี่ยว ทั้งแบบฐานสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือฐานสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ในกรณีที่พบปัญหา เช่น ไม่สามารถออกแบบเป็น
ฐานรากเดี่ยวได้ เนื่องจากขนาดฐานรากเกยทั บกันหรือใกล้กันมากเกินไป หรือที่พบบ่อยครั้งในกรณีชิดเขตที่ดิน การออกแบบ
อาจจะต้องออกแบบเป็นฐานรากชนิดอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีฐานรากบางรูปแบบที่เหมาะสมกับงานที่แตกต่าง
กัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะประกอบไปด้วยฐานรากชนิดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
P/Length
(a) Isolated squared footing (b) Isolated rectangular footing (c) Isolated circular footing
ภำพที่ 9.5 ลักษณะของฐานแผ่เดีย่ วแบบต่าง ๆ
(c) Combined footing, trapezoidal, PB > PA (d) Combined footing, trapezoidal, PA > PB
PA
PB
Property line
P3 P2 P1 P5 P4
P6 P
P9 P8 7
9.4 พฤติกรรมกำรรับน้ำหนักบรรทุกของฐำนรำก
น้าหนักต่าง ๆ ที่กระทาต่ออาคารรวมทั้งน้าหนักคงที่ของโครงสร้าง (Self-weight) เมื่อถ่ายน้าหนักลงไปยังฐานราก ดินที่
อยู่ใต้ฐานรากจะต้องมีกาลังรับแรงแบกทาน (qu) ที่เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ฐานรากเกิดการทรุดตัวเกินกว่าค่าที่ยอมให้ แรงดัน
ดินดังกล่าวจะกระทากลับต่อฐานราก ทาให้ฐานรากนั้นต้องรับทั้งโมเมนต์ดัดและแรงเฉือน
9.4.1 พฤติกรรมกำรรับน้ำหนักบรรทุกของฐำนรำกแผ่
หากดินใต้ฐานรากเป็นแบบไม่เชื่อมแน่น (Granular soils) เช่น ดินทราย แรงดันดินจะมีค่ามากที่สุดบริเวณช่วงกลางฐาน
และค่อย ๆ ลดน้องลงจนถึงขอบฐานราก ดังแสดงในภาพที่ 9.8(a) ซึ่งตรงกันข้ามกับดินแบบเชื่อมแน่น (Cohesive soils) เช่น ดิน
เหนียว ซึ่งแรงดันดินจะมากที่สุดบริเวณขอบและค่อย ๆ น้อยลงจนต่าสุดที่ กลางฐาน ดัองแสดงในภาพที่ 9.8(b) แต่อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้ง่ายต่อการคานวณออกแบบ เราจะสมมุติให้แรงดันของดินใต้ฐานรากแผ่กระจายอย่างสม่าเสมอ ดังแสดงในภาพที่ 9.8(c)
P P P
9.4.2 ลักษณะกำรวิบัติของฐำนรำกแผ่
แรงดันดินที่กระทาต่อฐานรากจะทาให้เกิดทั้งโมเมนต์ดัดและแรงเฉือนในแต่ละตาแหน่งของฐานราก ซึ่งทั้งโมเมนต์ดัด
และแรงเฉือนที่เกิดขึ้นในแต่ละแนวระนาบจะทาให้เกิดการวิบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. กำรวิบัติเนื่องจำกโมเมนต์ดัด
จากพฤติกรรมการรับน้าหนักบรรทุกที่กล่าวมาแล้ว การคานวณออกแบบจะสมมุติว่าฐานรากและเสาตอม่อเชื่อมยึดกัน
เป็นลักษณะโครงข้อแข็ง (Rigid) และส่วนยื่นของฐานรากที่ยื่นออกไปจากแนวริมของเสาตอม่อก็จะมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับพื้นยื่น
Q S
R T
L
(a) แปลน
ดินเดิมหรือดินถมบดอัดแน่น
qn = P/BL < qa หน้าตัดวิกฤติของโมเมนต์ดัดและระยะฝังยึดเหล็กเสริม
(b) รูปตัด
2. กำรวิบัติเนื่องจำกแรงเฉือน
การวิบัติเนื่องจากแรงเฉือนในฐานราก มีอยู่ 2 แบบ คือ
d
X Z
d
P
Q R
S T
qn = P/BL < qa
(a) ภาพจาลองการวิบัติแบบเจาะทะลุ
Q R d/2
B
S T
d/2
L
(b) Plan
1. ฐำนรำกที่รับเฉพำะแรงกระทำตำมแนวแกน (P)
ฐานรากแผ่วางบนดินซึ่งต้องรับน้าหนักบรรทุกใช้งาน ซึ่งประกอบไปด้วย DL (น้าหนักบรรทุกคงที่ใช้งาน + น้าหนักของ
ฐานราก + น้าหนักดินเหนือฐานราก) และน้าหนักบรรทุกจรใช้งาน LL ซึ่งน้าหนักบรรทุกทั้งหมดเหล่านี้กระทายังศูนย์กลางของ
ตอม่อและฐานราก ดังแสดงในภาพที่ 9.12 และจากที่เราสมมุติให้แรงดันดินใต้ฐานราก (qn) แผ่กระจายอย่างสม่าเสมอ
L
(a) Plan
ระดับ + 0.00
ดินถมกลบ P=DL+LL+DLfooting+DLsoil
qn = P/BL < qa
(b) section
จะได้ (9.1a)
โดยที่ = หน่วยแรงดันขึ้นของดินเพื่อต้านทานน้าหนักบรรทุกจากฐานราก
= น้าหนักบรรทุกทั้งหมดที่กระทาต่อฐานราก
= กาลังรับแรงแบกทานหรือกาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน (ตัน/ตารางเมตร)
ดังนั้น เราสามารถหาขนาดพื้นที่ของฐานรากที่ต้องการ ( ) เพื่อให้รับแรงตามแนวแกนได้อย่างปลอดภัยจาก
(9.1b)
2. ฐำนรำกที่รับแรงกระทำตำมแนวแกนร่วมกับโมเมนต์ดัด (P-M)
ในกรณีที่ฐานรากต้องรับแรงตามแนวแกน (P) ร่วมกับโมเมนต์ดัดรอบแกน (My) ซึ่งโมเมนต์ที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากการ
คานวณแรงลมหรือแรงแผ่นดินไหว และมีระยะเยื้องศูนย์ของแรง (e= M/P) น้อยกว่าระยะ k (เรียกว่าระยะเคิร์น, kern distance)
B/6 X-Axis
B B/6
L L L
PLAN PLAN PLAN
(9.2a)
(9.2b)
ซึ่งในกรณีนี้แรงดันดินที่อยู่ใต้ฐานรากทั้งหมดจะเป็นแรงกดฐานรากมีเสถียรภาพ (ไม่พลิกเนื่องจากโมเมนต์)
2) กรณีที่แรงเยื้องศูนย์อยู่บนเส้นขอบเขตของพื้นที่เคิร์น (e = L/6) ดังแสดงในภาพที่ 9.13(b) แรงดันดินที่
ขอบฐานรากด้านตรงข้ามกับตาแหน่งของแรงเยื้องศูนย์ (qmin.= 0) และ qmax. ยังเป็นไปตามสมการที่ 9.2b ในกรณีนี้ฐานรากจะเริ่ม
พลิกถ้าหากมีโมเมนต์สูงกว่าโมเมนต์ดัดที่ทาให้แรงเยื้องศูนย์อยู่บนเส้นขอบเขตพื้นที่เคิร์น
1. ฐำนรำกเสำเข็มที่รับเฉพำะแรงกระทำตำมแนวแกน (P)
กรณีของฐานรากแบบวางบนเสาเข็มที่รับเฉพาะแรงตามแนวแกน (P) ซึ่งกระทาร่วมศูนย์ทั้งเสาตอม่อและฐานราก จะ
สมมุติว่าเสาเข็มทุกต้นต้องรับแรงต้าน (R) เฉลี่ยเท่า ๆ กันทุกต้น ดังแสดงในภาพที่ 9.14
1 2 3
> 3D
4 5 6
> 3D > 3D
(a) PLAN
P
R R R
(b) SECTION
จะได้ว่า แรงต้านโดยเสาเข็มแต่ละต้น
1 2 3
4 5 6 > 3D
d1 > 3D d1 > 3D
(a) PLAN
M P
9.6.2 กำรเสริมเหล็กรับโมเมนต์ดัดในฐำนรำก
การเสริมเหล็กรับโมเมนต์ดัดในฐานราก ให้ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
1) ในฐานรากที่รับแรงทางเดียว ต้องเสริมเหล็กให้มีปริมาณเพียงพอที่จะต้านทานโมเมนต์ดัดและต้องมีระยะฝัง
ยึดของเหล็กเสริมจากหน้าตัดวิกฤติอย่างเพียงพอ และต้องกระจายเหล็กให้สม่าเสมอตลอดความกว้างของหน้าตัดนั้น ๆ
2) ในฐานรากที่รับแรงกระทาสองทิศทาง ต้องเสริมเหล็กให้มีปริมาณเพียงพอที่จะต้านทานโมเมนต์ดัดและต้อง
มีระยะฝังยึดของเหล็กเสริมจากหน้าตัดวิกฤติอย่างเพียงพอ และต้องกระจายเหล็กให้สม่าเสมอตลอดความกว้างของฐานรากใน
ทิศทางนั้น ๆ
3) ฐานรากสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่รับแรงกระทา 2 ทิศทาง ต้องกระจายเหล็กเสริมด้านที่ขนานกับด้านยาวของฐาน
ราก ( ) ให้สม่าเสมอเท่ากันตลอดความกว้างของฐานราก และจัดเหล็กเสริมชุดนี้ให้อยู่ด้านล่างสุดใต้เหล็กเสริมที่เรียงขนานกับ
ด้านสั้นของฐานราก ส่วนเหล็กเสริมที่เรียงขนานด้านสั้นของฐานราก ให้เรียงชิดในบริเวณช่วงกลางและเรียงห่างในบริเวณช่วงริม
ดังแสดงในภาพที่ 9.16 โดยปริมาณเหล็กเสริมที่วางขนานด้านสั้นที่ต้องเรียงในบริเวณช่วงกลางและริมต้องเป็นไป ดังนี้
แถบริม แถบกลาง แถบริม
B
L
ภำพที่ 9.16 การกระจายเหล็กเสริมด้านสั้นและด้านยาวในฐานรากสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ปริมาณเหล็กเสริมที่เรียงในแถบกลาง ( ) ของเหล็กเสริมขนานด้านสัน้ จะต้องเรียงให้มคี วามกว้างเท่ากับ ระยะ B
โดยใช้อัตราส่วน
(9.4a)
ตัวอย่ำงที่ 9.1 ให้ออกแบบฐานรากรับกาแพง คสล. WB1 ที่ต้องรับน้าหนัก ประกอบไปด้วย พื้น คสล.ทางเดียว ยาว 4.00 ม.
ที่มีความหนา 0.20 ม. และรับน้าหนักบรรทุกจรจากเครื่องจักร เท่ากับ 2,800 กก./ตร.ม. และผนังก่ออิฐมอญครึ่งแผ่นสูง 2.00
เมตร กาแพงดังกล่าวเป็นกาแพง คสล. ที่มีความหนา 25 ซม. และสูง 1.50 ม. ดังแสดงในภาพที่ 9.17 (โดยใช้วิธี WSD)
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 173 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
3. = 0.886
4. = 0.5*77.8*0.342*0.886 = 11.78 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
2. หาแรงดันดินที่กระทาต่อฐานราก
4. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
5. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
หน่วยแรงยึดหน่วงที่เกิดขึ้นจริงคานวณจาก
= = = 11.77 กก./ตร.ซม.
+ 0.00 m.
DB12mm@0.225m.#
0.25 ม.
คอนกรีตหยาบหนา 5 ซม.
ทรายหยาบบดอัดแน่นหนา 10 ซม.
1.10 ม. ดินเดิม qa > 8 ton/m2
(S.F. > 2.5)
ภำพที่ 9.18 รูปตัดขยายฐานแผ่แบบกาแพง WB1
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 210 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 218,820 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 0.45*210 = 94.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 0.5*4,000 =2,000 = 1,700 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 5.0 ซม.
9. กาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน , qa = 10,000 กก./ตร.ม.
Parameter
1. = 9.32 ใช้ 9
2. = = 0.333
3. = 0.889
4. =0.5*94.5*0.333*0.889 = 14.00 กก./ตร.ซม.
2. หาแรงดันดินที่กระทาต่อฐานราก
CL ฐานราก
โมเมนต์สูงสุดที่ขอบเสาตอม่อ
4. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
แสดงว่าความหนาของฐานรากที่ใช้ไม่สามารถต้านทานแรงเฉือนแบบเจาะทะลุได้ ต้องทดลองเพิ่มความหนาของฐานราก
CL ฐานราก
แสดงว่าความหนาของฐานรากที่ใช้ไม่สามารถต้านทานแรงเฉือนแบบเจาะทะลุได้ ต้องเพิ่มความหนาอีก
CL ฐานราก
6. ตรวจสอบแรงยีดหน่วง
หน่วยแรงยึดหน่วงที่เกิดขึ้นจริงคานวณจาก
= = = 11.38 กก./ตร.ซม.
+ 0.00 m.
ความลึกไม่น้อยกว่า 1.15 ม.
13-DB16mm#
0.35 ม.
คอนกรีตหยาบหนา 5 ซม.
ทรายหยาบบดอัดแน่นหนา 10 ซม.
2.60 ม. ดินเดิม qa > 10 ton/m2
(S.F. > 2.5)
ภำพที่ 9.19 รูปตัดขยายฐานรากแผ่รูปสี่เหลี่ยมจตุรสั F1 ขนาด 2.60x2.60 ม.
น้าหนักบรรทุกคงที่ 34 ตัน
น้าหนักบรรทุกจร 18 ตัน
โมเมนต์ดัดรอบแกน y 2.5 ตัน-เมตร
ระดับฐานรากฝังลงไปในดินไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร
หน่วยน้าหนักดิน 1.8 ตัน/ลบ.ม.
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 210 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 218,820 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 0.45*210 = 94.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 0.5*3,000 =1,500 = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 5.0 ซม.
9. กาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน , = 12,000 กก./ตร.ม.
Parameter
1. = 9.32 ใช้ 9
2. = = 0.362
3. = 0.879
4. =0.5*94.5*0.362*0.879 = 15.03 กก./ตร.ซม.
ทดลองขนาดฐานรากเดี่ยวแบบสี่เหลี่ยมสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีสดั ส่วนใกล้เคียงกับหน้าตัดเสา
2. หาแรงดันดินที่กระทาต่อฐานราก
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบคาน
(0.465 ม. จาก CL ฐานราก)
หน้าตัดวิกฤติของโมเมนต์ดัดและระยะฝังยึด
1.035 m. (0.175 ม. จาก CL ฐานราก)
1.325 m.
10.16 Ton/m.2
11.04
11.25 11.74 Ton/m.2
L = 3.00 m.
3. หาความหนาของฐานราก
โมเมนต์สูงสุดที่ขอบเสาตอม่อ
4. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
ปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงที่เรียงขนานด้านยาว ( )
= = = 41.75 ตร.ซม.
ปริมาณเหล็กเสริมที่เรียงขนานด้านสั้นในแถบกลาง ( )
ปริมาณเหล็กเสริมที่เรียงขนานด้านสั้นในแถบริม (รวมสองด้าน) ( )
6. ตรวจสอบแรงยีดหน่วง
หน่วยแรงยึดหน่วงที่เกิดขึ้นจริงคานวณจาก
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นบนหน้าตัดวิกฤติโมเมนต์ดดั ,
= = = 12.06 กก./ตร.ซม.
B=2.10 ม.
แถบกลางกว้าง 2.10 ม.
L=3.00 ม.
(a) PLAN
+ 0.00 m.
ความลึกไม่น้อยกว่า 1.10 ม.
14-DB20mm
15-DB20mm
0.40 ม.
คอนกรีตหยาบหนา 5 ซม.
ทรายหยาบบดอัดแน่นหนา 10 ซม.
แถบกลางกว้าง 2.10 ม. ดินเดิม qa > 12 ton/m2
L=3.00 ม. (S.F. > 2.5)
(b) SECTION
แนวเขตที่ดิน แนวเขตที่ดิน
P1 P2 P1 P2 P1 P2
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 210 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 218,820 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 0.45*210 = 94.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 0.5*4,000 =2,000 = 1,700 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 5.0 ซม.
9. กาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน , = 15,000 กก./ตร.ม.
Parameter
1. = 9.32 ใช้ 9
2. = = 0.333
3. = 0.889
4. = 0.5*94.5*0.333*0.889 = 14.00 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
เสาต้นชิดเขต
เสาต้นด้านใน
0.50 ม.
qn= 12.67 Ton/m2 qn= 12.96 Ton/m2
4.95 ม.
Rext= 57 Ton Rint= 81 Ton
3. หาความหนาของฐานราก
4. ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือน
ความยาวของเส้นรอบรูปหน้าตัดต้านทานแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ , bo
bo = 4*(0.40+2*(0.39/2)) = 3.16 ม.
แรงเฉือนบริเวณพื้นที่รับแรงดันดินโดยรองแนวแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ
5. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
ปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึง ( )
= = = 34.51 ตร.ซม.
6. ตรวจสอบแรงยีดหน่วง
หน่วยแรงยึดหน่วงที่เกิดขึ้นจริงคานวณจาก
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นบนหน้าตัดวิกฤติโมเมนต์ดดั ,
= = = 16.18 กก./ตร.ซม.
ตรวจสอบโมเมนต์ตา้ นทานโดยคอนกรีต
คานวณออกแบบหน้าตัดคานที่เสริมเหล็กรับแรงอัดตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1) คานวณหาโมเมนต์ที่ตา้ นทานโดยคอนกรีต
= 28,350 กก.-ม.
2) คานวณค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่แรก
เมื่อ = = 0.0093
= 41.68 ตร.ซม.
3) คานวณหาค่าโมเมนต์ส่วนเกิน
4) คานวณค่าแรงคู่ควบคู่ที่สอง
= = 11,674 กก.
5) คานวณหาค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงของแรงคู่ควบคู่ที่สอง
= = 6.87 ตร.ซม.
6) คานวณปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงรวม
7) คานวณค่า
= = 55.80 กก./ซม.2
8) เปรียบเทียบค่า กับค่าหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ในเหล็ก,
= = 1,004 กก./ซม.2
แสดงว่า
9) เลือกหน้าตัดเหล็กทั้งเหล็กเสริมรับแรงดึงและเหล็กเสริมรับแรงอัด (โมเมนต์ลบเป็นหน้าตัดควบคุม)
จะได้ขนาดความกว้างของคานยึดรั้งบริเวณชิดกับขอบของฐานรากตัวใน
เลือกใช้เหล็กปลอก
8. คานวณปริมาณเหล็กเสริมในฐานรากชิดเขต
ปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงวางแนวขนานกับด้านยาว 2.50 ม. ( )
= = = 47.43 ตร.ซม.
1.80 ม. 2.50 ม.
A B C D
5.85 ม.
แนวเขตที่ดิน
(a) Plan
1.00 ม.
10-DB20mm
6-DB20mm(Ext.)
ST-2RB6mm@0.20m.
5-DB20mm
Section B
8-DB20mm 11-DB20mm#
16-DB20mm
0.50 ม.
16-DB20mm
4-DB20mm
0.50 ม. ST-RB6mm@0.20m.
3-DB20mm
2.50 ม. 2.50 ม.
Section A Section C Section D
(b) ฐานรากชิดเขต (Exterior footing) (c) คานยึดรั้ง (Strap beam) (d) ฐานรากตัวใน (Interior footing)
โดยด้านใดที่ต้องรับโมเมนต์ดัดกระทาร่วมกับน้าหนักตามแนวแกนสูง เราจะออกแบบให้ค่าโมเมนต์ความเฉื่อยของกลุ่ม
เสาเข็มมีค่าสูงในด้านนั้น ๆ เพื่อให้สามารถต้านทานโมเมนต์ดัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังตัวอย่างการออกแบบดังต่อไปนี้
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = WSD
2. กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน, = 210 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเส้นกลมชั้นคุณภาพ SD30 , = 3,000 กก./ตร.ซม.
4. โมดูลสั ยืดหยุ่นของเหล็กเสริม, = 2,040,000 กก./ตร.ซม.
5. โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต, = 218,820 กก./ตร.ซม.
6. หน่วยแรงอัดที่ยอมให้ของคอนกรีต = 0.45*210 = 94.5 กก./ตร.ซม.
7. หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของเหล็กเส้น = 0.5*3,000 =1,500 = 1,500 กก./ตร.ซม.
8. ระยะหุม้ ของคอนกรีต, = 7.5 ซม.
9. กาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม , = 48,000 กก./ต้น
3. = 0.879
4. = 0.5*94.5*0.362*0.879 = 15.03 กก./ตร.ซม.
ขั้นตอนกำรวิเครำะห์โครงสร้ำง
2. คานวณจานวนของเสาเข็มที่ต้องใช้
3. คานวณแรงต้านที่แท้จริงของเสาเข็ม
4. คานวณขนาดของฐานราก
2.00 ม.
หน้าตัดวิกฤติของโมเมนต์ดัด(ด้านสั้น)
=1.20-0.25=0.95 ม.
หน้าตัดวิกฤติของโมเมนต์ดัด(ด้านยาว)
6. คานวณความหนาขั้นต่าของฐานราก
จาก M = Rbd2
= = 55.10 ซม.
= = 28.99 ซม.
7. ตรวจสอบแรงเฉือนแบบคาน
3.20 ม.
2.00 ม.
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบคาน(ด้านสั้น)
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบคาน(ด้านยาว)
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบคาน อยู่นอกแนวแรงต้านจากเสาเข็มที่กระทาต่อฐานราก ดังนั้น ไม่จาเป็นต้องตรวจสอบ
8. ตรวจสอบแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ
3.20 ม.
2.00 ม.
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นกับหน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ, V
ดังนั้น ต้องเพิ่มความหนาของฐานราก
3.20 ม.
2.00 ม.
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ
ความยาวของเส้นรอบรูปหน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ, bo
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นกับหน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ, V
10. คานวณปริมาณเหล็กเสริม
= = = 85.72 ตร.ซม.
หน่วยแรงยึดหน่วงที่เกิดขึ้นจริงคานวณจาก
= = = 47.37 ตร.ซม.
หน่วยแรงยึดหน่วงที่เกิดขึ้นจริงคานวณจาก
= = = 22.08 เส้น
11. สรุป
ใช้ฐานรากเสาเข็มรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 3.00x2.00 ม. ความหนา = 80 ซม.
เหล็กเสริมหลัก(วางขนานด้านยาวของฐานราก ) = 18-DB25mm.
เหล็กเสริมรอง(วางขนานด้านสั้นของฐานราก) = 15-DB25mm.
B=2.00 ม.
1.20 ม.
1.20 ม. 1.20 ม.
(a) PLAN
+ 0.00 m.
ความลึกไม่น้อยกว่า 1.00 ม.
18-DB25mm
15-DB25mm
0.80 ม.
คอนกรีตหยาบหนา 5 ซม.
ทรายหยาบบดอัดแน่นหนา 10 ซม.
L=3.20 ม.
(9.5b)
(9.6c)
เมื่อ
= ความลึกประสิทธิผลของหน้าตัด (ซม.)
= เส้นรอบรูปของหน้าตัดวิกฤติแบบแรงเฉือนเจาะทะลุ
= อัตราส่วนระหว่างด้านยาวต่อด้านสั้นของเสาตอม่อ หรือของแรงกระทาแบบจุด หรือพื้นที่ของแรงปฏิกิริยา
= ตัวคูณลดกาลังสาหรับแรงเฉือน = 0.85
= ค่าคงที่ ซึ่งใช้ในเสาตามตาแหน่งที่แตกต่างกัน ดังนี้
= 40 (สาหรับเสาที่อยู่ภายใน)
= 30 (สาหรับเสาที่อยู่ริมนอก)
= 20 (สาหรับเสาต้นที่อยู่บริเวณมุมอาคาร)
ดังนั้น แล้ว ความแตกต่ างระหว่า งการออกแบบฐานรากโดยวิธีห น่วยแรงใช้งานและวิธี กาลั ง จะมีรายละเอีย ดการ
ออกแบบที่แตกต่างกันดังรายละเอียดตัวอย่างการออกแบบฐานรากแบบต่าง ๆ โดยใช้วิธีกาลัง ดังต่อไปนี้
กำหนดให้
กาลังอัดประลัยของแท่งคอนกรีตทรงกระบอกมาตรฐานที่อายุ 28 วัน เท่ากับ 210 กก./ตร.ซม. และใช้เหล็กเส้นกลม
แบบผิวข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD40 โดยให้มีระยะหุ้มของคอนกรีตไม่น้อยกว่า 5.0 ซม. โดยที่กาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน
(qa) ไม่น้อยกว่า 10 ตัน/ตารางเมตร (โดยใช้วิธี SDM)
Design Criteria
1. วิธีการออกแบบ (Design Method) = SDM
2. กาลังอัดประลัยของคอนกรีต , = 210 กก./ตร.ซม.
3. กาลังรับแรงดึง ณ จุดครากของเหล็กเสริม SD40 , = 4,000 กก./ตร.ซม.
4. ระยะหุ้มของคอนกรีต, = 5.0 ซม.
5. ขนาดของมวลรวมหยาบใหญ่สุด = 2.0 ซม.
6. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของเหล็กเสริม , = 2.04 x 106 กก./ตร.ซม.
7. ค่าโมดูลัสยืดหยุ่นของคอนกรีต , = = 184,936 กก./ตร.ซม.
8. ตัวคูณลดกาลัง สาหรับแรงดัด = 0.90
สาหรับแรงเฉือน = 0.85
9. กาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน (qa) > 10 ตัน/ตร.ม.
Parameter
= 0.85
= 0.0229
= 0.0035
= 0.0172
โดยที่ = 0.0050
= 2.69 cm.
หาขนาดของฐานรากกาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดิน
น้าหนักเฉลี่ยของฐานรากและดินถมซึ่งลึก 1.50 ม.
ดังนั้น กาลังรับน้าหนักบรรทุกปลอดภัยของดินจะลดเหลือ
ขั้นตอนที่ 2 หาหน่วยแรงดันขึ้นสุทธิของดินที่กระทาต่อฐานราก
ขั้นตอนที่ 3 หาความลึกของฐานราก
1) พิจารณาจากโมเมนต์ดัด
โดยสมมุติเลือกใช้ = 0.0050
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบคาน
หน้าตัดวิกฤติของแรงเฉือนแบบเจาะทะลุ
(b0 =4*0.54=2.16m.)
หน้าตัดวิกฤติของโมเมนต์ดัด
และจาก
ดังนั้น คานวณหาความลึกประสิทธิผลของฐานรากได้จาก
แรงเฉือนที่หน้าตัดสามารถรับได้
O.K.
และ
O.K.
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบน้าหนักของฐานรากและดินถม
ขั้นตอนที่ 5 ออกแบบปริมาณเหล็กเสริม
ต้องใช้ปริมาณเหล็กเสริมต่าสุด
ขั้นตอนที่ 6 เขียนแบบและรายละเอียด
เขียนแบบขยายขนาดฐานรากและการเสริมเหล็กได้ดังแสดงในภาพที่ 9.27
ความลึกไม่น้อยกว่า 1.20 ม.
11-DB16mm#
0.30 ม.
คอนกรีตหยาบหนา 5 ซม.
ทรายหยาบบดอัดแน่นหนา 10 ซม.
2.50 ม. ดินเดิม qa > 10 ton/m2
(S.F. > 2.5)
ภำพที่ 9.27 รูปตัดขยายฐานรากแผ่รูปสี่เหลี่ยมจตุรสั F1 ขนาด 2.50x2.50 ม.
Parameter
= 0.85
= 0.0229
= 0.0035
= 0.0172
โดยที่ = 0.0050
= 2.69 cm.
= 0.944
= 18.88 ksc.
(ที่มา : http://www.gibtownrecords.com/wp-content/uploads/2015/07/retaining-wall.jpg)
10.1 บทนำ
Stem
ลักษณะและรูปแบบของกาแพงกันดินมีหลากหลายรูปแบบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า
เป็นอย่างมาก การประยุกต์ใช้กาแพงกันดินสาเร็จรูปในลักษณะต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กาแพงกันดินที่ใช้เสาเข็ม
ตอกแล้วเสียบแผ่นป้องกันดินสาเร็จรูป ดังแสดงในภาพที่ 10.2 เป็นต้น ซึ่งรายละเอียดการออกแบบกาแพงกันดินชนิดต่าง ๆ ที่
หลากหลายเหล่านี้ นักศึกษาจะได้ศึกษาโดยละเอียดในเนื้อหารายวิชา วิศวกรรมฐานราก ต่อไป
10.2.1 ประเภทของกำแพงกันดิน
ถ้าเราจัดแบ่งประเภทของกาแพงกันดินหรือโครงสร้างอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เขื่อนป้องกัน
ตลิ่ง จะสามารถแบ่งประเภทของกาแพงกันดินได้ 2 ประเภท คือ
1) กาแพงกันดินแบบไม่ใช้เสาเข็ม กาแพงกันดินลักษณะนี้มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะรูปร่าง
และรูปแบบของการต้านทานแรงดันที่กระทาต่อกาแพง ประกอบไปด้วย กาแพงกันดิน ดังต่อไปนี้
Backfill
Counterfort Buttress
Batter pile
(a) Gravity wall (b) Cantilever wall (c) Piling wall (d) Anchored wall